แวบอัพตอนพักเที่ยง XD
Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”CHAPTER 49 – ผู้เหนือกว่าปิ่นหยกใจเต้นระรัว เหงื่อไหลซึมบนขมับ มือไม้สั่นไปหมด...นี่เขาเพิ่งทำบ้าอะไรลงไป ได้แต่หันไปหาหญิงสาวคนงามซึ่งยืนยิ้มพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ อยู่ที่เดิม พยายามควบคุมไม่ให้มีอาการหอบปะปนกับสุ้มเสียงอ่อนระโหยซึ่งลอดผ่านริมฝีปากพร้อมกับความหวังว่าเธอจะปรานีเขาสักนิด
“....ให้ผมยืมนะครับ”
อันนาเกือบหัวเราะออกมาแล้ว.. เด็กอะไรทั้งน่าเอ็นดูและน่ายันให้หัวทิ่มไปพร้อม ๆ กัน แล้วถ้าเธอบอกไม่ให้นี่จะเอาที่ไหนไปจ่ายเขา
“ว้าววว....มีคนเสนอราคาสามพันค่ะ!” พิธีกรซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นใส่อารมณ์ลงไมโครโฟนเต็มที่หลังจากหายจากอาการตะลึงไปกับคนอื่นด้วย
“แถมคนคนนั้นยังเป็นผู้มีกิตติศัพท์เรื่องความงกขึ้นชื่ออันดับต้น ๆ ในโรงเรียนซะด้วยยยยย!!! อาทิตย์ดีใจไหมคะที่มีคนแย่งกันดุเดือดขนาดนี้” ไม่ต้องชี้แจงสรรพคุณละเอียดขนาดนั้นก็ได้ให้ตาย! ปิ่นหยกไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าคนบนเวทีซึ่งเพิ่งทำเขาสติหลุดไปสด ๆ ร้อน ๆ ต่อให้จากตรงนี้ไม่ได้ชัดสักเท่าไรก็เถอะ ท่ามกลางเสียงเฮฮาเป่าปากกึกก้องทั่วบริเวณ เด็กหนุ่มแทบแทรกแผ่นดินหนีแต่คงลำบากหน่อยเพราะไม่มีพื้นที่ว่างให้มุดลงไปได้เลย มองไปทางไหนก็เห็นแต่ผู้คนยุ่บยั่บไปหมด
บรรลัยแล้วจริง ๆ...สามพันบาท สติเริ่มกลับมา แต่ปัญญายังไม่เกิด แค่เด็กนักเรียนมัธยมคนเดียวคงไม่มีใครสู้ราคาอีกเป็นแน่ แม้แต่สาวน้อยชื่อฟ้าที่แข่งขันจะเอาให้ได้มาตลอดยังยืนอึ้งไม่หาย ตอนนี้อ้าปากค้างจนขากรรไกรล่างแทบร่วงลงไปแหมะอยู่บนพื้นได้แล้ว ปัญหาคือเงินสดในกระเป๋ามีเหลือติดตัวอยู่ยี่สิบบาทจะให้เอาอะไรไปจ่าย
อันนาผิวปากออกมาเบา ๆ ซึ่งไม่ใช่กิริยาซึ่งลูกคุณหนูผู้เพียบพร้อมพึงกระทำเลย แต่น่าแปลกที่พอเป็นผู้หญิงคนนี้แล้วจะทำอะไรก็ดูดีไปเสียหมดเหมือนกับน้องชายไม่มีผิด ท่าทางเหมือนกำลังรอให้เขาพูดอะไรบางอย่าง..และปิ่นหยกก็ไม่คิดขัดศรัทธา
“...ให้ผมยืม...”
ถึงตรงนี้เด็กหนุ่มหายใจติดขัดขึ้นมาทันที รู้สึกอากาศรอบกายช่างดูเบาบางเสียจริง ความหวังทั้งหมดของเขาฝากไว้ในเงื้อมมือสาวสวยซึ่งคาดเดาอะไรไม่ได้เลยตรงหน้าแล้ว
“...เถอะนะครับพี่อัน?”
น้ำเสียงอ้อนวอนเต็มที่ หากใช้กับอาทิตย์หมอนั่นคงเคลิ้มตายไปแล้ว...แต่นี่กับพี่สาวสายแข็งยิ่งกว่าคุณชายแบบเทียบไม่ติดแล้วเขาจะรอดไหม?
หญิงสาวขยับริมฝีปากเป็นหยักคล้ายกับรอยยิ้มแต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว ก่อนจะเอ่ยออกมาหนึ่งพยางค์ที่ทำให้เขาถอนหายใจเฮือกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
“ได้”
ไม่เคยดีใจที่จะได้เป็นหนี้เท่านี้มาก่อนเลย! นั่นเป็นความคิดแรกซึ่งแหวกความสับสนอลหม่านทั้งปวงในหัวเขาขึ้นมา แต่รอแค่มรสุมอารมณ์นี้ผ่านไปปิ่นหยกต้องเสียใจแน่นอนที่ปล่อยความหวงครอบงำจนทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังเช่นนี้
เพราะภูเขาซึ่งเพิ่งคิดว่ายกออกไปแล้ว ..แท้จริงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทือกเขาซับซ้อนที่กองสุมทับอกเขาอยู่เท่านั้นเอง
“แต่มีข้อแม้...”ปิ่นหยกสะดุ้ง มองหน้าหญิงสาวตาปริบ ๆ
อันนาก็ยังคงเป็นอันนา ที่อาทิตย์เคยบอกว่าเธอทั้งสวยและน่ากลัวในเวลาเดียวกันตอนนี้เขาคิดว่าเข้าใจแล้ว คนบ้านวิจิตรนิรันดร์คล้ายจะเกิดมาเพื่อให้เขาแพ้ทาง และหากปิ่นหยกหลงลืมความจริงข้อนี้ไป บางทีพี่สาวคนงามของบ้านคงกำลังช่วยเตือนให้เขาจำได้ฝังลึกลงกับร่างแหเซลล์ประสาทในสมองชนิดที่ชีวิตนี้จะไม่กล้าลืมอีกเลย
บนเวทีกำลังสัมภาษณ์ความรู้สึกสินค้าประมูลหน้าหล่อซึ่งเขาไม่ทันได้ฟัง และคิมหันต์ซึ่งยืนอยู่หลังเวทีเชื่อว่าปิ่นหยกคงไม่อยากฟัง(แต่ก็ใจดีเอามือถือบันทึกเสียงไว้ให้) พิธีกรพยายามยืดเวลาอีกสักหน่อยเผื่อจะมีคนสู้ราคา ทว่าความวุ่นวายรอบตัวอันชวนให้ตาลายหูอื้อไม่ได้ส่งมาถึงเขาสักนิดเพราะมัวแต่พยายามจดจ่ออยู่กับความหมายในท่าทางยิ้มกริ่มของหญิงสาวตรงหน้า
“ข้อแม้?”
“อ่าฮะ”
“อะไรครับ”
“พี่ขอตัวเธอหนึ่งวัน”“หา?”“แบบน้องปิ่นประมูลอาทิตย์ไง...กติกาเดียวกันเป๊ะ ไม่มีเรื่องเกินเลย ไม่มีอะไรผิดศีลธรรม แค่เหมือนพี่ประมูลปิ่นหยกอีกที”
“ด้วยการให้ยืมเงินน่ะหรือครับ”
“อื้ม!...ปกติเงินกู้นอกระบบน่ะดอกเบี้ยสูงลิบ แต่อันนี้ถือว่าพี่ยกดอกให้ คืนแค่เงินต้นก็พอ”
“....”
“อยากคืนเมื่อไหร่ก็ได้”
เธอยื่นข้อเสนอชวนเชื่อต่อพลางส่งยิ้มหวานเชื่อม และยิ้มแบบนั้นทำเขาเสียวสันหลังวาบ “...ใจดีไหมจ๊ะ”
"............"
พิธีกรเริ่มกลับมาเตรียมตัวนับหนึ่งอีกครั้งเมื่อเห็นว่าไม่มีใครสู้ราคา ปิ่นหยกตวัดสายตาขึ้นมองบนเวที ริมฝีปากบางเม้มแน่นแทบเป็นเส้นตรง ...ดูเหมือนเขาจะไม่เหลือทางอื่นให้เลือกแล้ว
เอาวะ! ท่องไว้ว่าเป็นผู้ชายไม่มีอะไรให้เสียหายสักหน่อย หลับหูหลับตาแล้วรีบตอบตกลงไปเถอะ
“แบบนั้นก็ได้ครับ”
“ให้มันได้อย่างนี้สิเด็กดี”
อันนาหัวเราะชอบใจ ยกมือลูบผมเด็กหนุ่มตรงหน้าเบา ๆ มันนุ่มนิ่มเหมือนเส้นไหมแถมเป็นสีน้ำตาลแบบที่เธอชอบเลยทีเดียว ชักหมั่นไส้แกมอิจฉาน้องชายตัวเองขึ้นมาตงิด ยีเล่นจนหัวยุ่งอยู่อีกนิดหน่อยก่อนจะยื่นธนบัตรสีเทาให้เขาไปสามใบไม่มีอิดออด
“เอาล่ะนะคะ...นับสองง..งงง...ง..ง.....มีใครสนใจจะสู้ราคาอีกไหมคะ”ปิ่นหยกถอนหายใจ กำเงินสามพันที่เพิ่งได้มาไว้ในมือ บอกตัวเองว่ามาถึงขั้นนี้แล้วก็ปลงเสียเถิด หยุดทำใจเต้นโครมครามได้แล้ว อีกเดี๋ยวพอพิธีกรนับสาม...เงินนี้ก็จะหลุดลอยไปไม่หวนกลับ และเก้าร้อยบาทจะเข้ากระเป๋าอาทิตย์ในนามสามสิบเปอร์เซ็นต์จากราคาประมูลซึ่งเขาตัดสินใจแล้วว่าคงไม่คิดไปเบียดบังทรัพย์สินส่วนตัวอีกฝ่ายต่อให้อยากมาก ณ จุดนี้
“…เฮ้อออ....ออ....อ.....”
นี่เขากำลังเล่นบ้าอะไรอยู่นะ “...มีไหมคะ..” พิธีกรทำเสียงระทึกเหมือนกำลังประกาศผลรางวัลออสการ์
“ถ้าไม่มี....ก็จะนับ....สา—”“ห้าพันค่ะ!”เทพเจ้าแห่งเงินตราช่วยบอกให้เขาลุแก่ความโง่ทีว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น!?เงินสามพันสำหรับซื้อตัวเด็กมัธยมปลายหน้ามึนเป็นเวลาหนึ่งวันก็ถือว่าคนประมูลต้องหน้ามืดมากเต็มที(และมันแย่มากตรงคนที่ว่าคือเขาเอง) แต่นี่ห้าพันบาท...โลกบิดเบี้ยวใบนี้เป็นอะไรไปแล้ว?
ปิ่นหยกเบือนหน้าไปมองผู้ที่เพิ่งทำให้โลกของเขาผิดรูปหนักกว่าเก่า คนเสนอราคาอย่างบ้าดีเดือดนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกลเลย..
อันนาคนงามซึ่งเพิ่งปล่อยเงินกู้ให้เขาด้วยข้อแลกเปลี่ยนสุดประหลาดเมื่อครู่นี้เอง“...พี่...อัน...”
เขาแทบครางออกมาเสียงแหบแห้ง
เธอหันมาพยักหน้าน้อย ๆ เป็นทำนองว่ากำลังฟังอยู่ และเขาควรพูดอะไรต่อดี เสียงฮือฮาโห่ร้องยังดังกระหึ่มพุ่งเข้ากระแทกเยื่อแก้วหูไม่หยุดหย่อน มือที่กำเงินสามพันบาทไว้แน่นเริ่มมีเหงื่อซึม อยากถามออกไปว่าเธอทำแบบนี้ได้อย่างไรแต่ก็นึกขึ้นมาว่าแล้วทำไมจะทำไม่ได้...?
อันนาแสดงความถูกใจผ่านแววตาเมื่อเห็นว่าปิ่นหยกเริ่มเข้าใจสถานการณ์ได้ดีกว่าที่คิด
เธอให้เขายืมเงิน...แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่แย่งประมูลเสียหน่อยเสียงนับสามจากพิธีกรไม่รู้ดังขึ้นตั้งแต่เมื่อไร รู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่อันนาบอกกับเขาว่าบนเวทีประกาศเรียกแล้วและราคาประมูลเป็นอันยุติที่ห้าพันบาทถ้วน ก่อนไปยังย้ำชัดพร้อมรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์เผื่อเขาจะลืมที่ตกลงกันก่อนหน้านี้
“สรุปว่าน้องปิ่นเป็นของพี่หนึ่งวัน และอาทิตย์ก็เป็นของพี่หนึ่งวัน” หญิงสาวยักคิ้วหลิ่วตาเหมือนวินมอเตอร์ไซค์จีบสาวซึ่งเธอเลียนแบบมาจากปากซอยหน้าหอพักตัวเอง แต่อย่างที่บอก...ไม่ว่าจะทำอะไร ต่อให้ยืนเท้าเอวผิวปากหรือยักคิ้วยียวนก็ยังดูมีเสน่ห์ชวนมองได้ตลอด
“วันไหนค่อยว่ากันทีหลัง... ส่วนเงินสามพันจะใช้คืนเลยก็ได้นะจ๊ะ”
เธอโปรยยิ้มชวนละลายแล้วเดินจากไป แต่ปิ่นหยกแทนที่จะละลายกลับยืนแข็งทื่อเป็นก้อนหินขนาดเท่ามนุษย์
หากอาทิตย์ทำให้เขารู้สึกเป็นไอ้งั่งได้ อันนาก็คงทำให้เขารู้สึกตัวเองเป็นไอ้โคตรงั่งไปเลยที่เดือดร้อนดิ้นรนหาเงินสามพันจากความปากไวของตัวเอง สุดท้ายก็โดนตัดหน้าแบบไม่คาดคิด เงินที่ยืมมายังไม่ทันได้ใช้และคงไม่ต้องใช้แล้ว ณ จุดนี้เขาไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจที่ไม่ต้องเป็นหนี้แต่ดันเสียท่าเพราะเงื่อนไขหนึ่งวันที่เธอเรียกร้อง
ปิ่นหยกทรุดตัวลงนั่งหมดเรี่ยวแรง สิ้นความสงสัยว่าทำไมผู้หญิงอย่างอันนา วิจิตรนิรันดร์ ถึงอยู่ร่วมชายคาต่อกรกับความมึนของคุณพ่ออานนท์และคุณน้องอาทิตย์มาได้ตั้งเป็นสิบกว่าปี
เจอแบบนี้เข้าไป จะมึนเล็กมึนใหญ่คงไม่คณามือเธอ..............................................................................
....................................................
.
.
.
อันนาเดินเฉิดฉายขึ้นเวที แต่ละย่างก้าวสะกดสายตาผู้คนรอบอาณาบริเวณ
จริงอยู่ที่หลายคนรู้ว่าอาทิตย์มีพี่สาว แต่จะมีกี่คนกันรู้ว่าพี่สาวคนนั้นคือเธอนี่เอง ยิ่งกับน้องชายซึ่งไม่ได้ติดต่อกันมาเนิ่นนาน เรื่องอาจมีคนอื่นมาเห็นอยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้เป็นไปแทบไม่ได้เลย ในสายตาคนอื่นแล้วเธอคงเป็นหญิงสาวนอกโรงเรียนสักคนซึ่งมีความสัมพันธ์ลึกลับซ่อนเร้นอะไรบางอย่างกับเด็กหนุ่มบนเวทีอันทำให้ยอมทุ่มเงินถึงห้าพันบาทเพื่อซื้อตัวเขามาเป็นเวลาหนึ่งวัน
“สวัสดีค่าาาาา” พิธีกรสาวลากคำทักทายยาวเหยียดก่อนจะเอ่ยแสดงความยินดีแล้วถามไถ่ชื่อเสียงเรียงนามของเธอ “แนะนำตัวหน่อยค่ะ...ชื่ออะไรคะ?”
“แอนนาค่ะ”
เธอยืนทำท่าทางเริงร่าอยู่เคียงข้างร่างสูงของน้องชาย ออกเสียงชื่อตัวเองผิดเพี้ยนไปอย่างจงใจด้วยไม่อยากให้คนอื่นจับต้นชนปลายถูก แต่เผื่อโดนจับได้ขึ้นมาก็ยังมีข้ออ้างว่าเธอบอกตัวเองชื่อ
‘อันนา’ แต่ตอนพูดเสียงคงขึ้นจมูกไปหน่อย
“เอ...ไม่ใช่คนในโรงเรียนใช่ไหมคะ”
อันนาพยักหน้าน้อย ๆ ตลอดการสัมภาษณ์เธอตอบอย่างไว้เชิงยิ่งทำให้ดูลึกลับขึ้นไปอีก และทั้งหมดนั้นหญิงสาวไม่ได้พูดอะไรที่จะส่อว่าเด็กหนุ่มซึ่งยืนมึนอยู่ข้างกายเป็นน้องชายร่วมสายเลือดออกมาสักคำ จนกระทั่งจบด้วยคำถามสุดท้ายของพิธีกร
“มีอะไรอยากพูดกับอาทิตย์ไหมคะ”
“มีค่ะ”
เธอพยักหน้าพลางเอียงคออมยิ้มทำเอาหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่หน้าเวทีใจละลาย ก่อนจะหันไปจ้องนัยน์ตาดำขลับของอีกฝ่ายที่เธอเห็นจนคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก แต่ละพยางค์เปล่งออกมาชัดถ้อยชัดคำผ่านไมโครโฟนได้ยินกันทั่ว
“คิดถึงอาทิตย์จังเลย”ว่าแล้วก็เขย่งบนปลายเท้า ประทับจูบลงบนแก้มซ้ายของเด็กหนุ่มฟอดใหญ่ต่อหน้าต่อตามหาชนซึ่งพร้อมใจกันอยู่ในอาการตกตะลึงไปเสี้ยววินาที ตามด้วยเสียงหวีดและโห่ร้องออกมาดังสนั่นในหลาย ๆ ความหมาย
อันนาถอยออกมาลอบยิ้มสนุกสนานที่มุมปาก มองตามแสงแฟลชสว่างวาบและเสียงรัวชัตเตอร์จากมุมนั้นมุมนี้ วันรุ่งขึ้นชมรมหนังสือพิมพ์ของโรงเรียนคงมีอะไรให้เขียนข่าวไม่หวาดไม่ไหวแน่นอน
หลังเดินลงจากเวทีมาตกลงเรื่องเงินเรียบร้อยจึงถูกขอดูบัตรประชาชน (เธอไม่ชอบรูปติดบัตรประชาชนของตัวเองเลยให้ตาย) เด็กสาวใส่แว่นซึ่งเพื่อนข้าง ๆ เรียกชื่อว่า
‘ณิชา’ รับบัตรไปแล้วขออนุญาตจดชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของเธอไว้ แต่ตอนที่ลากสายตาผ่านชื่อเสียงเรียงนามบนบัตรนั้น การเคลื่อนไหวทุกอย่างของเด็กสาวกลับชะงักลงฉับพลัน
‘อันนา วิจิตรนิรันดร์’ อันนายักยิ้ม สงสัยโดนจับได้แล้วสิ
ณิชาเงยหน้าขึ้นมองกลับมา ท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากถาม “...เป็นญาติกันหรือคะ?”
นั่นปะไร เธอหัวเราะออกมาแผ่วเบา ควงแขนเด็กสาวตรงหน้าไว้หลวม ๆ แล้วก้มลงไปกระซิบ
“เป็นภรรยา”ปากกาในมือเด็กสาวร่วงผล็อยจากมือลงไปกลิ้งอยู่ที่พื้น
ปฏิกิริยาตอบรับเยี่ยมไปเลย เธอชอบพวกเด็ก ๆ ก็ตรงนี้ เพียงแต่วิธีแสดงความชอบอาจจะแตกต่างจากคนอื่นไปนิดหน่อย หญิงสาวยิ้มกว้าง อาศัยจังหวะตอนอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอาการตระหนกพูดต่อโดยเรียกชื่อตามที่ได้ยินเมื่อครู่
“ณิชาว่าสมกันไหม?”
“........”
“หือ?”
“อ่า....ก็...”
ณิชาอ้ำอึ้ง รู้สึกลิ้นเป็นอัมพาตขึ้นมากะทันหัน ตกใจที่โดนเรียกชื่อเหมือนรู้จักกันมานานยังไม่เท่าที่บอกว่าเป็นภรรยาอะไรนั่น นิ่งกันไปหนึ่งอึดใจนักประดาน้ำซึ่งคงอึดมากเพราะเธอพูดไม่ออกไปนานทีเดียว ไม่ทันได้ตอบอะไรเสียงหวานก็เอ่ยกลั้วหัวเราะอยู่ข้างหู
“ล้อเล่นจ้ะ เป็นพี่สาวอาทิตย์ต่างหาก”
“...อ....อ้อ....ค่ะ ฮะ ๆ ๆ”
เสียงหัวเราะซึ่งคลอไปด้วยนั้นจืดสนิททีเดียวแม้ในขณะที่อีกฝ่ายเอานิ้วก้อยมือซ้ายเกี่ยวนิ้วก้อยของเธอขึ้นมาแล้วพูดต่อให้ได้ยินกันแค่สองคน
“แต่สัญญานะว่าจะไม่ไปป่าวประกาศ โอเคไหม?”
ณิชายิ้มรับแม้คงออกมาดูค่อนไปทางแยกเขี้ยวเหวอ ๆ โทนเสียงหญิงสาวตรงหน้าช่างไพเราะรื่นหู แต่เธอคิดไปเองหรือเปล่าว่าดวงตาคู่สวยนั้นดูคุกคามอยู่ในทีชอบกล เพราะฉะนั้นทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอย่างที่อีกฝ่ายว่าอาจจะเป็นเรื่องดีกับตัวเองมากกว่า
อันนาขยิบตา หยิบบัตรประชาชนคืนจากมือเด็กสาวแล้วก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ แฟนเธอคงมารับแล้ว...ป่านนี้อาจเดินเตร่อยู่ที่ไหนสักแห่งในงานพร้อมกับน้องชายของเขาที่น่าจะตามมาด้วยกัน
“แล้วแบบนี้พี่ไม่กลัวเสียหายหรือคะ?”
เด็กสาวทนเก็บความเป็นห่วงไม่ไหวถึงกับถามออกไปสีหน้าวิตกกังวล ซึ่งนั่นบอกชัดเจนว่าเธอยังไม่รู้จักอันนาดีพอ ไม่เช่นนั้นแล้วเธอควรรู้ว่าน่าจะห่วงคนที่อยู่รอบตัวผู้หญิงคนนี้มากกว่า
“อย่าคิดมากเลยจ้ะ” หญิงสาวส่ายหน้าช้า ๆ “ยังไงอีกไม่นานคนก็รู้ความจริงอยู่ดี”
เรียวปากอิ่มคลี่ยิ้มเอ็นดู พร้อมกับที่เสียงประกาศชื่อ
‘คิมหันต์ วานิชตระการกูล’ ดังขึ้นแว่ว ๆ บนเวที และถึงจุดนี้เธอเดาว่า
สามภพ น้องชายตัวแสบของแฟนหนุ่มเธออาจอยู่ใกล้กว่าที่คิด
“ปล่อยเป็นข่าวลือแบบนี้เรียกเรตติ้งให้งานประมูลดีออก”
อันนาหัวเราะออกมาแผ่วเบา หันไปเอ่ยทิ้งท้ายกับหัวหน้าห้องสาวแว่นก่อนจะเดินครึ้มอกครึ้มใจจากไป
“เพราะคนต่อไปอาจถูกประมูลด้วยราคาสูงกว่านี้ก็ได้”..................................................................
.................................
.
.
.
.
“ปิ่นหยก!”
เขาสะดุ้งสุดตัว หลังจากเหม่อมองคิมหันต์เดินขึ้นเวทีแต่คำพูดรอบตัวไม่ได้เข้าหัวเท่าไรนัก ยังไม่ทันพ้นช่วงอาฟเตอร์ช็อคจากพี่สาวคนสวยก็โดนวัตถุหน้ามึนขนาดใหญ่พุ่งเข้าจู่โจมจากด้านหลังด้วยความเร็วสูง
“ทำไมถึงน่ารักอย่างนี้ครับ!”
“หยุด!”
เด็กหนุ่มร้องปรามเสียงเขียวเมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งท่าจะทำอะไรเลยเถิดไปกว่ากระโดดกอดคอ มือไม้ปัดป่ายเต็มที่แต่ดูจะสู้ลูกดื้อของคุณชายไม่ไหว โชคดี(หรือโชคร้าย?)เพราะปกติกอดคอเกาะแกะกับคิมบ่อย ๆ พอเปลี่ยนเป็นกับอาทิตย์เลยอาจดูไม่แปลกประหลาดในสายตาคนรอบข้างมากนัก แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
“อาทิตย์..ปล่อย! คนเยอะแยะ!”
อาทิตย์ยอมถอยออกมานิดหน่อยพร้อมกับยิ้มกว้างจนเขาแสบตาไปหมดแล้ว ทรงผมเปิดหน้าผากแบบเดียวกับที่เห็นบนเวทีไกล ๆ พอลงมาอยู่ต่อหน้าทำเอาใจเต้นระรัวจนแน่นหน้าอกไปหมด แล้วนี่ใส่น้ำหอมด้วย...? เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้ละลายเป็นของเหลวจากอาการร้อนผ่าวไปทั้งร่างเต็มที
“..พี่อันล่ะ?”
นั่นเป็นคำแรกที่นึกออก อะไรก็ได้แต่ก็ขอชวนคุยดึงความสนใจตัวเองให้พ้นจากดวงหน้าหล่อเหลานั่นสักหน่อย
“กลับไปกับแฟนแล้ว”
“อ้อ..” เขาพยักหน้า เสมองไร้จุดหมายไปทางอื่น “ว่าจะคืนเงิน”
“สามพันที่ตั้งใจเอามาประมูลฉันใช่ไหม?”
ปิ่นหยกแหกปากโหยหวนอยู่ในใจ...ทำไมหมอนี่ถึงรู้!? พอนึกถึงว่าระหว่างอยู่หลังเวทีสองพี่น้องคุยอะไรกันไปบ้างเขาก็อับอายจนแทบบรรยายออกมาเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้แล้ว
“พี่อันบอกว่ายกให้”
“บ้าเรอะ! เมื่อกี้ยังทวงอยู่เลย”
“ช่างเถอะ แต่ขอกอดก่อน ปิ่นหยกน่ารักจนจะทนไม่ไหวแล้ว”
“หยุดเลย!”
เขาเอามือยันไว้เต็มที่ ถ้ายังขยับเข้ามาอีกจะเอาเท้าช่วยยันด้วยแล้ว พยายามคงจิตตั้งมั่นพลางกดเสียงลงต่ำ อยากเรียนวิชาสะกดจิตสัตว์ปีกก็วันนี้เอง ว่าแต่มันมีสอนที่ไหนหรือเปล่า “เห็นฝูงมนุษย์ไหมไอ้เวร! อย่าคิดว่าคนอื่นจะหน้าด้านเหมือนแกหมดสิวะ”
อาทิตย์มองตามสายตาเขาแต่ท่าทางไม่ได้เดือดร้อนอย่างที่ควรเป็นนัก พริบตาเดียวก็ได้ข้อสรุปแบบมึน ๆ ตามแบบฉบับของตัวเองออกมา
“งั้นไปที่ไม่มีคนกัน”
“ไปนรกเรอะ ไม่มีคน”
เขายักคิ้ว ตั้งใจยียวนตัดบรรยากาศวิ้ง ๆ ชวนใจสั่นลงบ้างเผื่อจะทำให้บทสนทนาเปลี่ยนทิศ แต่อีกฝ่ายกลับกรีดยิ้มมีเลศนัยกลับมาแล้วก้มลงกระซิบแผ่วเบาข้างหู
“ไปสวรรค์ดีกว่าครับ...”
ลมร้อนซึ่งรินรดอยู่ข้างแก้มจักจี้จนต้องหดคอหนี เสียงทุ้มเว้นจังหวะให้เขาได้สู้รบกับคลื่นอารมณ์หวิว ๆ ที่ซัดมาอีกระลอกก่อนจะกระซิบต่อนุ่มนวล “...ไปด้วยกัน”
นอกจากไม่หายใจสั่นแล้วคราวนี้เล่นเอาแทบวูบไปเลยไอ้ปิ่น..ไอ้โง่! ปากไม่มีหูรูด! เพิ่งเสียท่าคนพี่ไปก็จะมาพลาดต่อให้คนน้องอีกแล้ว
“ไปคนเดียวดิ!...จะ..จะดูคิม”
“ดูก็ได้ งั้นจูบตรงนี้แหละ”
“...เลว.....!” ไหนเมื่อกี้บอกแค่กอดแม้นั่นอาจไม่ใช่ประเด็นหลัก อยากตะโกนก็ไม่กล้าเสียงดังให้ตกเป็นเป้าสายตามากไปกว่านี้ รอบเวทีกำลังเฮฮาและเขาหวังว่ามันคงมากพอจะกลบบทสนทนาล่อแหลมของพวกเขาไปเสียให้หมด
แต่ตอนนี้ควรทำอย่างไรกับใบหน้าอีกฝ่ายซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบและทำท่าจะขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมขนาดนี้ดี
“..อาทิตย์...”
“ครับ?”
“...หยุดก่อน....ขอร้อง”
เขายกมือกุมหน้าอกตัวเองบอกให้รู้ว่ากำลังแย่แล้วจริง ๆ
“....จะหัวใจวายตายอยู่แล้ว”
“น่ารัก...”“บอกว่าพอไงวะ!”“อย่าทำหน้าแบบนี้ให้คนอื่นเห็นรู้ไหม”
ปิ่นหยกไม่แน่ใจว่าตัวเองแสดงสีหน้าอย่างไรออกไป แต่ใบหน้าซึ่งมองกลับมามีรอยยิ้มเว้าวอนซึ่งกำลังทำคริติคอลฮิตให้เขาเข้าสู่สภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันเร็วขึ้นส่งกลับมา
"น่ารักมากเลย"
กลิ่นน้ำหอมอ่อนละมุนโชยเตะจมูก รูปหน้าคมคายชวนให้หลงใหลทุกครั้งที่พิศมอง สีดำสนิทของนัยน์ตาคู่นั้นยิ่งดูใกล้ ๆ ก็ยิ่งสวย เขาต่างหากควรบอกอีกฝ่ายว่าอย่าทำหน้าแบบนี้ให้ใครเห็น เพราะรู้ดีว่าตัวเองคงไม่มีปัญญาหาเงินแย่งชิงอาทิตย์กลับมาหากว่ามีคนคิดจะเอาตัวไปอีก
ทว่ากลับไม่มีคำพูดอื่นใดหลุดลอดออกมาได้สักคำ
รู้ตัวอีกทีก็ถูกฉุดแขนให้วิ่งออกห่างจากฝูงชนแบบไร้โอกาสได้โต้แย้งออกมาแม้แต่พยางค์เดียวTo be continued…===============================
*กราบพี่อันสามครั้งแบบไม่แบมือแล้วถวายของเซ่น* (ฮา)
เธอได้ทั้งอาทิตย์และปิ่นหยกเป็นเวลาคนละ 24 ชั่วโมง
ปิ่นหยกก็หลงพระเอกหัวทิ่มแล้วเหมือนกันนั่นแหละ อิจฉาเด็ก ๆ เดี๋ยวปั๊ดจัดมาม่า //โดนเตะปลิว XD
***ก่อนจากวันนี้ขอแจ้งข่าวนิดนึง
ต้นเดือนนี้ คนเขียนจะไม่อยู่ และจะไม่ได้อัพต่อจนถึงประมาณกลางเดือน พ.ย.ค่ะ เลยมาแจ้งไว้ก่อน
เหตุเนื่องจากติดภารกิจ...ลาพักร้อนครั้งแรกของชีวิต
ทำงานหัวทิ่มมาปีกว่า ปีที่แล้วก็ยุ่งหัวบานเพิ่งได้เบาลงปีนี้ ขอหนีเที่ยวหน่อยนึง ^o^
ไม่ได้หิ้วโน้ตบุ๊คไปด้วย ไม่มีแท็บเล็ต เน็ตคงเล่นผ่านมือถือเท่านั้น จึงขออนุญาตแจ้งล่วงหน้าจะได้ไม่สงสัยว่าคนเขียนหายไปไหนแล้ว
ยังเจอกันได้ใน twitter, FB นะคะ ตราบใดที่เรายังมีเน็ตและมีมือถือ ทักได้ ทวงได้ แต่ไม่อัพ <<แย่มาก
แต่จะอัพรูปวาดในคลัง (คงมีแต่พวก doodle ก๊องแก๊งไปก่อน)ผ่านมือถือขึ้นทวิตกับ FB บ้างไม่ให้ห่างหายจนเกินไป กลัวคนลืมแม่ไก่ลูกเจี๊ยบ TTvTT
ขอกอดก่อนจาก

<< ทำอย่างกับจะลาตาย 555
รักคนอ่านมากมาย แล้วพบกันช่วงกลางเดือน ของแถมรีพลายถัดไปเช่นเคยค่ะ

ปล. ขอบคุณมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ จริง ๆ นะคะที่่ช่วยโหวตให้ในเซ็งเป็ดอวอร์ด แม้ว่าจะไม่ติดอันดับอะไรแต่รู้ว่ามีคนอ่านก็ชื่นใจมากมายแล้วค่ะ อยากจับฟัดให้หมดเลยแงงงง //โรคจิตเกินไปแล้ว ดีใจมากจริง ๆ และยินดีกับเรื่องที่ได้รางวัลด้วยเดี๋ยวหาเวลาได้จะไปตามอ่านตามเสียงร่ำลือ =////=
เราก็โหวตนักอ่านไปด้วยเหมือนกัน *เขิน* รอลุ้นผลค่ะว่าจะได้ที่โหวตไปไหม แฮ่ ๆ
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***