CHAPTER 52 - ซ้ำรอย(ต่อ)
.
.
.
.
ปัง!! ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ !!!เสียงกระหน่ำเคาะประตูห้องกลางดึกเรียกให้เจ้าของห้องสองคนซึ่งกำลังจมดิ่งในห้วงนิทราสะดุ้งขึ้นมานั่งทำหน้าตาตื่น เคาะรัวขนาดนี้ไม่แผ่นดินไหวก็คงกำลังมีไฟไหม้หอ เสียงผู้ชายแหบพร่าตะโกนแทรกมาจับใจความได้ว่าน่าจะเป็นชื่อพวกเขาและเนื้อหาว่าให้รีบตื่นมาเปิดประตูสักที
“อาทิตย์ ได้ยินไหม? ปิ่นหยก? ตื่นหน่อย!”พวกเขามองหน้ากันในความมืดสลัวก่อนจะกระโจนลงจากเตียง ถามพร้อมกันขึ้นมาว่า “ใคร?” แต่ไม่มีฝ่ายไหนให้คำตอบได้
“ครับ!” ปิ่นหยกขานรับเมื่อเสียงเคาะประตูชุดใหม่ดังขึ้นอีกครั้งแล้วสาวเท้ายาว ๆ ไปหยุดอยู่หน้าลูกบิด “ใครครับ” มือกำลังเอื้อมไปเปิดแต่อาทิตย์คว้าไหล่เขาแล้วออกแรงดึงให้ไปยืนอยู่ด้านหลังก่อนจะร้องถามขึ้นอีกครั้ง
“ใครครับ?”
“อาทิตย์หรือ? นี่พี่เอง พี่พล”
“พี่พล..?”
เด็กหนุ่มใช้เวลาแวบหนึ่งในการขุดคุ้ยความทรงจำเกี่ยวกับผู้ชายชื่อ
‘พล’ อีกฝั่งประตู ก่อนจะนึกได้ในเสี้ยววินาทีหลังจากนั้นซึ่งอาจเรียกว่านานกว่าปกตินิดหน่อยด้วยเพิ่งถูกปลุกให้ตื่นกลางดึก เขาเปิดประตูออกโดยยังไม่ทิ้งท่าทีระแวดระวังเพื่อเผชิญหน้ากับชายหนุ่มร่างสูงในเชิ้ตสีฟ้าชายเสื้อหลุดลุ่ยออกจากกางเกง ด้านหลังมียามของหอพักแสดงอาการสงสัยใคร่รู้ยืนกำกับอยู่หลังจากเดินตามขึ้นมาด้วยเพราะเห็นว่าเป็นคนแปลกหน้าซึ่งอ้างว่ารู้จักกับคนในหอ
‘สามพล พร้อมพิมาน’ ทนายความหนุ่มผู้เป็นคนรักของอันนาซึ่งเขาไม่ได้พบหน้านานแล้ว จู่ ๆ มาเคาะประตูห้องกลางดึกเช่นนี้ เขาไม่สามารถคิดว่าเป็นเรื่องดีได้เลย
“พี่พลมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ตกลงรู้จักกันจริงใช่ไหม?” ลุงยามแทรกขึ้นมาเรียกให้อาทิตย์หันไปผงกศีรษะเป็นเชิงตอบรับ
“พี่ชายผมเองครับ”
“งั้นลุงไปเฝ้าที่ป้อมล่ะ” แกหันหลังแล้วเดินลงบันไดไปเมื่อหมดหน้าที่พลางส่งเสียงบ่นกระปอดกระแปด “เด็กสมัยนี้ทำอะไรกันดึก ๆ ดื่น ๆ”
“อาทิตย์ไปหาเสื้อคลุมให้เรียบร้อยแล้วมากับพี่ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังระหว่างอยู่บนรถ” ชายหนุ่มนัดแนะพลางชะเง้อไปหาอีกคนที่ยืนงงอยู่ข้างหลัง “เธอด้วย ปิ่นหยกใช่ไหม”
ปิ่นหยกชี้หน้าตัวเองงง ๆ “ผมน่ะหรือ” เรื่องของสองคนตรงนี้ดูอย่างไรก็ไม่เห็นเกี่ยวกับเขา
“ถ้าเธอชื่อปิ่นหยก...และเป็นลูกชายของคุณกิ่งเพชร”
ชื่อนั้นทำให้เขาเบิกตากว้าง ความคิดในหัวตีกันให้ยุ่งก็ยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าสักนิด “ใช่ แต่....”
“พี่จะพูดอีกครั้งเดียว รีบไปหาเสื้อคลุมให้เรียบร้อยแล้วตามมา เดี๋ยวคุยกันบนรถ”
อาทิตย์ดันหลังเขาเบา ๆ ให้เข้าไปให้ห้อง อธิบายรวบรัดด้วยคำพูดไม่กี่คำซึ่งไม่ช่วยให้เขารู้เรื่องมากขึ้นเท่าไรนัก
“คนนี้คือพี่พล เชื่อใจได้ เป็นทนายความ แฟนพี่อัน”
ปิ่นหยกสะดุดใจตรงประโยคสุดท้าย
“แฟนพี่อัน? งั้นเขาอาจมาแกล้งตามที่พี่อันบอกก็ได้...พี่สาวแกขี้แกล้งไม่ใช่หรือ”
เด็กหนุ่มร่างสูงสวมเสื้อแจ็กเก็ตทับชุดนอน หยิบอีกตัวซึ่งเป็นของเขามาให้ปิ่นหยกซึ่งยังอ้าปากค้างมองเขาสลับกับมองชายหนุ่มแปลกหน้าที่เดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้อง
“พี่พลไม่ทำอย่างนั้นครับ นอกจากจะไม่ลงมาเล่นกับแผนการของพี่อันบางทียังคอยห้ามด้วยซ้ำ ปกติแล้วเป็นคนใจเย็นมาก” เขาว่าพลางจัดคอเสื้อให้อีกฝ่าย “และถ้าเขาแสดงอาการว่ามีเรื่องด่วนก็คือมีเรื่องด่วนจริง ๆ”
ไม่กี่อึดใจต่อมา พวกเขาก็ขึ้นมานั่งอยู่บนรถซึ่งกำลังพุ่งทะยานออกไปจากถนนหน้าหอพักด้วยความเร็วสูงพร้อมกับความสงสัยเหมือนกองด้ายซึ่งขมวดกันจนเป็นปมยุ่งเหยิง
บนรถไม่ได้เปิดเพลง ไม่มีเสียงวิทยุ และหากไม่มีเสียงหอบน้อย ๆ ของสามชีวิตที่โดยสารอยู่มันคงเป็นความเงียบที่น่าขนลุกทีเดียว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับพี่พล” อาทิตย์เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อนเมื่อเห็นว่าถึงขนาดนี้เขาควรได้รับคำอธิบายอะไรบ้าง
“คาดเข็มขัดให้เรียบร้อย”
เด็กหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย หันไปสบตาปิ่นหยกซึ่งกำลังทำสีหน้าหวาดระแวงโดยไม่รู้ตัวอยู่ที่เบาะหลังเป็นเชิงให้ความมั่นใจ
“พี่อยากให้พวกเธอใจเย็นก่อน ค่อย ๆ ฟัง” เสียงทุ้มบอกให้พวกเขาใจเย็น แต่ระดับความเร็วรถบนมาตรวัดซึ่งกำลังพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ นั้นค้านกับเนื้อหาในประโยคอย่างน่าหวั่นวิตก “ตอนอันโทรเข้ามือถือทำไมถึงไม่มีคนรับสาย เธอบอกว่าเคยให้โทรศัพท์ปิ่นหยกไว้”
ปิ่นหยกเผลอกลั้นลมหายใจ สบตากับชายหนุ่มผ่านกระจกมองหลังแล้วเอ่ยเสียงสำนึกผิด...แม้ยังไม่แน่ใจนักว่าเขากำลังทำผิดอยู่หรือเปล่า
“ผม..ลืมชาร์จแบตฯ แล้วก็ลืมพกไว้กับตัว...ไม่เคยมีมือถือมาก่อนเลยไม่ชิน”
“แล้วโทรไปที่ร้านเค้กก็ไม่ติดเหมือนกัน สายไม่ว่างตลอด”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว...หลังจากคุยกับมารดาเสร็จก็ไม่มีใครใช้งานโทรศัพท์ของร้านเครื่องนั้นอีก หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขาวางหูไม่สนิท? “ผมไม่รู้...แต่ผมใช้มันเป็นคนสุดท้าย...ไม่แน่ใจว่าวางหูดีหรือเปล่า”
“ช่างเถอะ” ชายหนุ่มตัดบทเมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังกดดันอีกฝ่ายมากเกินไปตามนิสัยเดิม “อันจะโทรมาบอกเรื่องนี้นั่นแหละ”
ไม่รู้ทำไม...เขารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดเหมือนมีกองทัพแมลงกำลังพยายามขุดหลุมอยู่ในนั้น ต่อสู้กับความหวาดกลัวบางอย่างซึ่งก่อตัวขึ้นเป็นก้อนมวลขนาดใหญ่อัดแน่นอยู่รอบตัวแล้วกลั้นใจถามออกไปเสียงแหบพร่า “เรื่องอะไรครับ”
“หายใจเข้าออกลึก ๆ”
เขาพยายามทำตาม แต่พบว่าไม่สามารถทำได้
“รถของพวกเขาเกิดอุบัติเหตุ”“....”
“ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลซึ่งเรากำลังจะไป อันก็อยู่ที่นั่นแล้ว”
“...พวกเขาที่ว่าคือใครครับ” คราวนี้อาทิตย์เป็นฝ่ายถามหลังจากนิ่งฟังมาครู่หนึ่ง ความร้อนรนแทรกซึมในประโยคนั้นจนไม่สามารถซ่อนไว้ใต้น้ำเสียงซึ่งพยายามปรับให้เป็นปกติได้
สามพลเงียบไปหนึ่งอึดใจ ให้เวลาเด็กหนุ่มทั้งสองคนในรถได้สงบสติอารมณ์จนเสียงหายใจหอบเมื่อครู่กลับมาช้าลง “พวกเขา....คุณพ่อ...พี่หมายถึงคุณอานนท์ แล้วก็แม่กับน้องสาวของเธอ ปิ่นหยก”
นัยน์ตาสีดำสนิทเบิกโพลง รีบถามกลับเกือบจะเป็นเสียงตะโกน “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ!?” ขณะที่ปิ่นหยกส่ายหน้าทั้งที่ยังไม่สามารถสลัดความหวาดหวั่นทิ้งไปได้
“ตลกแล้วครับ แม่กับน้องสาวผมดึกป่านนี้ไม่ไปไหนหรอก คงนอนหลับปุ๋ยอยู่บ้านนั่นแหละ”
พวกเขามัวแต่วุ่นวายกับอารมณ์พลุ่งพล่านในรูปแบบของตัวเองจนไม่ทันมองว่าถึงที่หมายแล้ว ชายหนุ่มหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าลานจอดรถของโรงพยาบาลกะทันหันทำเอาหัวเกือบทิ่มก่อนจะรถจอดสนิทที่ซองจอดรถ
“ถึงแล้ว”
สามพลรอจนทุกคนรีบร้อนลงจากพาหนะมายืนทำตัวไม่ถูกอยู่ข้างนอกแล้วจึงสาวเท้านำเข้าไปในตัวโรงพยาบาลพร้อมกับอธิบายไปด้วย “ตอนพี่ออกไปรับพวกเธอ หมอเซ็ตผ่าตัดฉุกเฉินแล้ว ตอนนี้คุณพ่อน่าจะกำลังอยู่ในห้องผ่าตัด”
ร่างสูงของชายหนุ่มเลี้ยวขวาตรงหัวมุมแล้วเดินนำไปตามป้ายและลูกศรที่เขียนไว้ว่า
‘ห้องฉุกเฉิน’ ก่อนจะพูดต่อ “เลือดออกในช่องท้องน่าจะจากรอยฉีกขาดที่ม้ามแต่อาจมีที่อื่นด้วย ต้องผ่าตัดเปิดช่องท้องไปดู กับกระดูกต้นขาด้านขวาหัก แล้วก็...” เขานิ่งไป พยายามนึกคำพูดไม่คุ้นเคยที่ได้รับคำอธิบายจากแพทย์ก่อนหน้านี้ “...กระดูกซี่โครงด้านขวาหักสี่ซี่ร่วมกับมีเลือดออกในช่องเยื่อหุ้มปอด อันคงกำลังเฝ้าอยู่หน้าห้องผ่าตัด”
อาทิตย์รู้สึกตัวเองฟังคำพูดเหล่านั้นแทบไม่เข้าใจสักนิด รู้เพียงแต่นั่นดูเป็นอาการบาดเจ็บสาหัสซึ่งไม่น่ารักษาให้หายในวันสองวันหรือแม้แต่สัปดาห์สองสัปดาห์ได้เลย ขาเขาก้าวเร็ว ๆ ตามไปแต่เหมือนไม่ได้ใช้สติ “คุณพ่อจะเป็นอะไรไหม....แล้วแม่เพชรกับน้องจี้ล่ะครับ....ทำไมถึงมาอยู่ด้วยกันได้ แล้วเป็นอะไรหรือเปล่า!?”
“ไม่ใช่แม่เพชรกับจี้หรอก” ปิ่นหยกยังปฏิเสธทั้งสีหน้าซีดเผือด “สองคนนั้นไม่ออกไปไหนกลางดึกอย่างนี้”
“ไปด้วยกันได้ยังไงนั้นพี่ไม่รู้” สามพลสูดลมหายใจ รู้สึกทั้งกระอักกระอ่วนจะพูดและเสียใจกับเด็กหนุ่มร่างโปร่งซึ่งเดินตามหลังเขามาทั้งที่เพิ่งเคยพบกันครั้งแรก “แต่เป็นความจริงว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันตอนเกิดอุบัติเหตุ”
“จี้หยกหมดสติไป มีกระดูกที่แขนซ้ายกับกระดูกไหปลาร้าหักแต่ไม่รุนแรงมาก หมอบอกศีรษะกระทบกระเทือนแต่ซีทีเบรน(CT brain)แล้วไม่มีเลือดออกในสมอง”
ห้องฉุกเฉินปรากฏอยู่ต่อหน้า ผู้คนในชุดขาววิ่งอยู่ตรงนั้นตรงนี้ท่ามกลางผู้ป่วยมากมาย ดึกดื่นค่ำคืนก็ยังวุ่นวายไม่ได้หยุดหย่อน ปิ่นหยกส่ายหน้าปฏิเสธความคิดชวนหวาดหวั่นในหัวตัวเองแล้วกวาดตามองไปทั่วห้อง แต่เขาไม่เห็นใครที่ดูเหมือนจะเป็นคนรู้จักสักคน หากนี่กำลังอยู่ในแผนการตลกร้ายอะไรสักอย่างของอันนา เด็กหนุ่มก็อยากให้มันรีบจบสิ้นแล้วรอพี่สาวคนงามผู้นั้นออกมาหัวเราะเยาะใส่เขาดัง ๆ ตรงนี้เพื่อเป็นการยืนยันว่าเขาหลงกลร้ายกาจแสนแนบเนียนของเธอแล้ว
“ผมมากับญาติคุณกิ่งเพชรครับ”
ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปเอ่ยแนะนำตัวกับพยาบาลในชุดขาว และปิ่นหยกยิ่งหน้าซีดเผือดลงไปอีก นี่มันห่างไกลจากคำว่าล้อเล่นที่เขาพยายามบอกตัวเองเข้าไปทุกที
พยาบาลสาวพยักหน้าให้พวกเขา “ท่านไหนหรือคะ เป็นอะไรกับคุณกิ่งเพชรคะ?”
“..ผมเป็นลูกของเธอ” เด็กหนุ่มชี้ที่ตัวเองช้า ๆ ขอบตาร้อนผ่าวอย่างไม่อาจควบคุมได้ แม้แต่เสียงที่เอ่ยออกมาก็ยังสั่นระริกราวกับไม่ใช่เสียงของตัวเอง “..แม่เป็นยังไงครับ”
เธอไม่ได้ตอบในสิ่งที่เขาอยากฟัง ทว่าสีหน้าจริงจังของเธอทำให้เขาหวาดกลัวกับอะไรก็ตามที่กำลังจะได้รับรู้
“เดี๋ยวคุยกับคุณหมอนะคะ” เธอว่าพร้อมกับผายมือไปยังอีกคน
หญิงสาวสวมแว่นในชุดกาวน์สั้นท่าทางทะมัดทะแมงอีกคนตรงเข้ามา ก่อนจะเริ่มแนะนำตัวเองว่าเป็นแพทย์ประจำห้องฉุกเฉินวันนี้แล้วเดินนำเขาผ่านพื้นที่โซนแดงวุ่นวายซึ่งมีแต่กลิ่นคาวเลือดและเสียง
...ปี๊บ...ปี๊บ... บาดหูของเครื่องมือหน้าตาประหลาดที่เขาไม่รู้จักเพื่อข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งของห้อง
บนเตียงรถเข็นโลหะไร้ชีวิตชีวา...มีร่างหนึ่งนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนนั้นปิ่นหยกผลุนผลันเข้าไปใกล้ ยื่นมือสั่นเทาเปิดดูใต้ผืนผ้าสีขาวมีรอยด่างสีแดงเป็นดวง ๆ ซึ่งคลุมร่างหญิงผู้นั้นอยู่ สีผิวเธอช่างซีดเซียว ริมฝีปากเขียวคล้ำ คราบเลือดยังติดอยู่ตามใบหน้าและเส้นผม ดวงตาทั้งสองปิดสนิทราวกับเจ้าของร่างเพียงแค่หลับไป
หมอสาวพยายามพูดอะไรกับเขา แต่เด็กหนุ่มไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้นแม้แต่น้อย“.....แม่...เพชร....”หากเขาเรียกอย่างทุกที...เธอจะตื่นขึ้นมาพูดกับเขาหรือเปล่า
“......แ...ม่...."ปิ่นหยกกุมมือเธอไว้ มันเย็นเฉียบเหมือนกับที่เคยเป็นทุกครั้งในฤดูหนาวก่อนที่สักพักจะค่อย ๆ อุ่นขึ้นเมื่อได้จับกันไว้เช่นนี้....มันควรจะอุ่นขึ้นเมื่อเขาประคองมือเธอไว้แบบนี้ไม่ใช่หรือ?
“...แม่ครับ.....แม่....แม่เพชร.......แม่...แม่!” ....ไม่มีลมหายใจ....เด็กหนุ่มร้องเรียกเสียงดังจนกลายเป็นตะโกนในท้ายที่สุด และเมื่อก้อนสะอื้นแรกหลุดจากลำคอ ความรู้สึกทั้งหมดที่ถูกกักกั้นอยู่ในนั้นก็ล้นทะลักออกมาพร้อมกับหยดน้ำที่ไหลลงอาบแก้ม ม่านน้ำตาบิดเบือนการมองเห็นจนพร่าเลือน..ทว่าไม่อาจบิดเบือนความจริงที่ตอกย้ำอยู่ตรงหน้าได้เลย
เข่าทั้งสองข้างของเขาสั่นจนคล้ายจะทรงตัวไม่อยู่ แม้ตอนที่โน้มตัวทิ้งน้ำหนักลงโอบกอดร่างเย็นชืดบนเตียงของผู้เป็นมารดาแล้วปล่อยเสียงสะอึกสะอื้นแทบขาดใจอยู่อย่างนั้นจนถูกใครสักคนกอดไว้อีกทอดจากข้างหลัง หยาดน้ำอุ่น ๆ หยดลงบนไหล่ของเขาโดยไม่มีถ้อยคำใดเอ่ยออกมา...หรือบางทีอาจมีแต่เขาไม่ได้ยิน สิ่งเดียวที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในหูคือเสียงพูดคุยสดใสของเธอทางโทรศัพท์เมื่อตอนค่ำ
เหตุการณ์เพิ่งผ่านมาได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง ราวกับเขาเพิ่งเห็นเธอหัวเราะอยู่ตรงหน้าเมื่อครู่ แต่พอกะพริบตาแค่ครั้งเดียวเท่านั้นก็พบกับความว่างเปล่าที่ทำเขาแทบใจสลาย
ปิ่นหยกหลับตา..ปล่อยให้น้ำตาทั้งหมดร่วงลงจนกว่ามันจะไม่มีอะไรให้ไหลซึ่งเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไร ก่อนจะก้มลงจูบลงบนฝ่ามือเย็นเฉียบเธอ...ผู้หญิงที่เป็นแม่อีกคนหนึ่งของเขา คนที่ใช้ชีวิตแทนแม่พลอย ยิ้มแทนเธอ หัวเราะแทนเธอ หรือแม้แต่ต่อว่าต่อขานด้วยน้ำเสียงและใบหน้าแบบเดียวกัน เขารู้สึกตลอดมาที่มีกิ่งเพชรอยู่ว่ายังมีแม่ทั้งสองคนเคียงข้างจนวินาทีที่ได้เห็นร่างไร้ลมหายใจตรงหน้านี้ ซึ่งนั่นทำให้ความสูญเสียซ้ำรอยแผลเก่ายิ่งย้ำความปวดปร่าในอกเป็นเท่าทวี
ด้วยรู้ดีว่าจะไม่มีวันได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเธอทั้งสองคนอีกแล้วTo be continued…===========================
*หมายเหตุ - CT brain >>> คำเรียกสั้น ๆ ของเทคนิค Computed Tomography : เอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (ภาษาพูดในที่นี่คือเอาไปเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ส่วนศีรษะ/สมอง)ค่ะ
*ยืนแผ่ให้คนอ่านเขวี้ยงหม้อถังกะละมังไห*

เขียนตอนนี้เหนื่อยมากค่ะ แม่เพชร....ฮืออออ
ทั้งที่คิดไว้ตั้งนานแล้ว แต่พอเขียนจริงก็น้ำตาร่วงเอง โอยย เขียน ๆ หยุด ๆ อยู่นาน TT___TT
ยอมให้คนอ่านเหยียบอีกทีเอ้า

<< มาโซคิสม์ ;w;
ทนไปด้วยกันนิดนึงนะคะ จะพยายามให้หน่วงไม่นานและรีบ ๆ มาต่อ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและทุกคอมเม้นต์ค่ะ
==========================
*ขออนุญาตตอบคอมเม้นต์รวบยอด
>>ร้านเค้กทานตะวันยังไม่เปิดจ้างพนักงานใหม่(ไปส่องหนุ่ม) แต่คนเขียนยินดีจัดที่นั่งพิเศษแบบริงไซด์เอาไว้จ้องหนุ่ม ๆ กินกันเอง(??)ให้นะคะ XD
>>คนที่โทรมาก็พี่อันนั่นเอง โทรจนแบตหมด โทรเข้าร้านก็ไม่มีคนรับเพราะวางโทรศัพท์ไม่สนิท โถ..
*อนึ่ง พี่สามพล (ใคร!?) แฟนพี่อันนานั่นเองค่ะ //แอบแจ้งไว้ก่อน
เป็นทนาย มีน้องชายชื่อสามภพ พระเอกจาก
● เล่ห์รักฤดูร้อน ● นั่นเอง ปั่นไปหนึ่งตอนแล้ว อ่านพี่ภพคิมหันต์เบา ๆ แก้เครียดลดอาการหน่วงได้ค่ะ TT^TT (ไม่ค่อยโฆษณาเลย)
พบกันตอนหน้านะคะ
ของแถมรีพลายถัดไปเช่นเคย
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***