Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”CHAPTER 54 – ฟ้าสาง::Pinyok’s POV::ผมข้ามผ่านช่วงปฏิเสธ
พร่ำบอกตัวเองว่านี่ไม่ใช่ความจริง ผมคงกำลังหลับอยู่บนเตียง ถูกฉุดกระชากจมดิ่งกับฝันร้ายซึ่งต่อให้หนักหนาสาหัสสักเพียงไหนแต่มันก็จะจบลงในที่สุดเมื่อผมนอนดิ้นตกเตียงแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมา....วิธีหลอกตัวเองเช่นนั้นผ่านพ้นไปแล้ว
ผมผ่านความโกรธขึ้งน่ารังเกียจอันไม่รู้แหล่งที่มา
ไม่รู้ว่าโกรธใครหรืออะไร มีแต่คำถามว่าทำไมต้องเป็นแม่เพชร ทำไมต้องเป็นจี้หยก พวกเขาไปกับคุณอานนท์ได้อย่างไร ใครทำให้เกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ขึ้น มันยุติธรรมแล้วหรือที่แม่เพชรต้องพบกับจุดจบแบบนี้ ....ทำไม...ทำไม...และทำไม....หลอกหลอนซ้ำไปซ้ำมาไม่สิ้นสุด ผมร้องไห้จนแทบไม่เหลือน้ำตาให้ไหล วิ่งเข้าห้องน้ำไปอาเจียนออกมาเป็นน้ำย่อยเหม็นเปรี้ยวบาดคอ ไม่เหลือเสียงจะพูดอะไรออกมาได้สักคำ......และผมยังเฝ้าถามตัวเอง...ถามลมฟ้าอากาศที่ไม่เคยให้คำตอบได้ว่าทำไม?
ผมฟุ้งซ่าน บ้าบอ สติแตก คร่ำครวญเหมือนคนบ้า อยากลงไปดิ้นทุรนทุราย หยุดความคิดตัวเองไม่ได้ รู้สึกทนตื่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ไม่ไหวอีกแล้วแต่ก็ไม่สามารถหลับตาลงได้เช่นกัน คำถามในหัวเปลี่ยนจาก
‘ทำไม?’ เป็น
‘ถ้าเพียงแต่...’ ซึ่งนั่นก็ไม่ช่วยให้อะไรต่างจากเดิมอยู่ดี การต่อรองไร้ค่าของผมไม่ส่งผลอะไรกับความเป็นจริงซึ่งได้ล่วงเลยไปแล้ว
โลกของผมหยุดหมุนเวลาของผมหยุดนิ่งและโบกมือลาเข็มวินาทีซึ่งเดินห่างออกไปจากตำแหน่งเดิมเพื่อวนกลับมาอีกครั้งและพบว่าผมยังหยุดอยู่ตรงนี้ ไม่สามารถก้าวขาออกไปจากความมืดบอดรสขื่นและความรู้สึกคลื่นเหียนเวียนไส้ที่ปั่นป่วนอยู่ในร่างกาย หากแม่เพชรยังอยู่...เธอคงหัวเราะใส่ผมพร้อมกับเหน็บให้เจ็บแสบสักคำสองคำที่ผมทำตัวอ่อนแอปวกเปียกถึงเพียงนี้ ซึ่งผมยินดีจะฟังมันมากกว่าเสียงครางต่ำตีลมของเครื่องช่วยหายใจไร้ชีวิตข้างเตียงจี้หยกที่ยังไม่ฟื้น...
ผมกุมมือของเธอไว้ และหวังว่าจะได้ยินเสียงพูดของเธอตอบกลับมา ก่อนนึกได้ว่าหมอเพิ่งบอกผมแท้ ๆ ว่าขณะใส่ท่อช่วยหายใจเธอจะไม่สามารถพูดอะไรได้ จี้หยกไม่ขยับตัวสักนิดแม้ตอนที่ผมออกแรงบีบที่มือ เธอนิ่งจนผมกลัว หากไม่มีจังหวะขยับขึ้นลงสม่ำเสมอของแผ่นอกตามแรงส่งจากเครื่องช่วยหายใจผมคงคิดว่าเธอได้จากผมไปอีกคนแล้ว
ผ่านไปอีกเนิ่นนานกว่าความเกรี้ยวกราดจะเบาบางลงเพื่อบอกผมว่า แท้จริงแล้วความโกรธนั้นเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งซึ่งโผล่พ้นผิวน้ำออกมาให้เห็นเท่านั้นเอง ส่วนที่ซ่อนตัวจมลึกอยู่ใต้น้ำคือความโศกเศร้าเย็นเยียบซึ่งกระซิบว่าผมไม่เหลือใครอีกแล้วจริง ๆ
ผมหลับตา...ความคิดน่ากลัวแวบขึ้นมาในหัวว่าหากได้หลับลงไปแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลยก็คงดี“....ปิ่นหยก”เสียงนั้นเรียกให้ผมสะดุ้งขึ้นมาจ้องหน้าผู้มาเยือน บอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรที่เห็นว่าเป็นอาทิตย์ซึ่งควรอยู่กับคุณอานนท์ กับพี่อันนาและพี่พล
...กับครอบครัวของตัวเอง“.......”
ผมอยากเรียกชื่อมัน.....แต่ทำไม่ได้ ไม่เคยคิดเลยว่าเป็นเรื่องยากเย็นถึงเพียงนี้
“จี้หยกเป็นอย่างไรบ้างครับ”
ทำได้เพียงส่ายหน้าตอบกลับไปพร้อมกับคำปลอบโยนว่าจี้หยกจะต้องไม่เป็นไรดังมาถึงหู ก่อนอาทิตย์จะโถมตัวกอดผมไว้แน่น ผมสมเพชตัวเองที่พูดอะไรออกมาไม่ได้เลย ได้แต่ยกมือขึ้นกอดตอบเพราะกลัวว่าหากปล่อยมือนี้มันจะหายวับไปต่อหน้าต่อตาผมอีกคน
“ฉันอยู่ตรงนี้...จะไม่มีวันทิ้งนายไปไหน”ผมพยายามแล้วที่จะไม่ร้องไห้...ผมได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วจริง ๆ
แต่สุดท้ายผมก็ทำอกเสื้อมันเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาจนได้.........................................................
.............................
.
.
.
.
อาทิตย์อยู่กับผมจนรุ่งสาง ผมเห็นมันโทรศัพท์ไปลางานที่ร้านเค้ก เล่าให้ฟังคร่าว ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะวางสายไปแล้วหันมาบอกว่าคนที่ร้านจะรีบจัดการธุระให้เสร็จแล้วมาเยี่ยมวันนี้ หมอเดินมาตรวจดูเป็นระยะ สีหน้าพึงพอใจของเขาทำให้ผมเห็นแสงสว่างริบหรี่กลางความมืดมิดชัดเจนขึ้น....อีกนิด หลังจากนั้นไม่นานจี้หยกก็เริ่มรู้สึกตัว เธอลืมตา พยักหน้าโต้ตอบคำถามของผมได้แม้จะยังใส่ท่อช่วยหายใจอยู่
ท่ามกลางความสิ้นหวังที่กดดันผมตลอดทั้งคืน เป็นครั้งแรกที่ผมยิ้มออกมาได้แม้ในขณะที่น้ำตาก็ยังไม่รู้จักเหือดแห้งสักที
หมออีกคนมาตรวจดูอาการอีกครั้งตอนสาย พวกเขาคงเปลี่ยนเวรกันแล้ว ผมจ้องมองไฟฉายในมือหมอซึ่งสาดไปยังนัยน์ตาของเธอ แกว่งไปมาซ้ายขวาอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมาน้อย ๆ ซึ่งทำให้ผมใจชื้น เฝ้ามองเขาตรวจอะไรอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะหันไปเขียนบางอย่างลงแฟ้มในมือ ทีท่าร้อนรนของผมคงทำให้เขาต้องรีบหันมาอธิบายว่าอาการเธอดีขึ้นมาก วันนี้จะให้ถอดท่อช่วยหายใจออกได้ และจี้หยกพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นเหมือนเธอรอคำนี้มาตั้งแต่เริ่มรู้สึกตัวแล้ว
ผลออกมาดีกว่าที่คาด..หรือบางทีอาจเป็นเพราะผมไม่กล้าคาดหวังอะไรให้สวยหรูเกินไปอีกแล้ว จี้หยกพูดออกมาคำแรกเป็นชื่อผมด้วยเสียงแหบแห้ง และผมแทบพุ่งเข้าไปกอดเธอเอาไว้เต็มรักหากไม่ติดเรื่องเธอมีแผลเต็มตัวขนาดนี้
“เจ็บหรือเปล่า พี่เป็นห่วงแทบตายอยู่แล้ว”
จี้หยกพยักหน้า ลุกขึ้นมานั่งด้วยตัวเอง แล้วบ่นออกมาเป็นคำ ๆ แต่ความหมายชัดเจน “เจ็บ...เจ็บคอด้วย....หิว....แม่ล่ะ...คุณลุงอานนท์ล่ะ?”
ผมพูดไม่ออก อะไรบางอย่างจุกตื้อขึ้นมาที่คอด้วยนึกได้ว่ายังไม่ทันเตรียมคำพูดอะไรไว้บอกกับเธอเรื่องนี้ อาทิตย์บีบไหล่ผมเบา ๆ ขณะที่ผมนิ่งงันอยู่อย่างนั้นจนเธอถามซ้ำอีกครั้ง
“แม่ล่ะพี่ปิ่น?”
“...ตอนนี้อาจจะกำลังหลับอยู่”
“แม่เป็นอะไรหรือเปล่า!?”
ผมพยายามอย่างดีที่สุดที่จะยิ้ม แม้รู้สึกอยากร้องไห้มากกว่า
“ไม่..ไม่เป็นอะไร แต่ต้องพักนานหน่อย”
ผมโกหก...และพยายามฝืนตัวเองไม่ให้หลบตา“เหรอ” เธอกระแอมออกมา ท่าทางคงระคายคอไม่น้อย “อยากเจอจัง”
“ตอนนี้ยังไปเยี่ยมไม่ได้หรอก จี้ก็รีบ ๆ หายสิ”
“เดี๋ยวก็หาย จี้อึดพอกับพี่นั่นแหละ” เธอเริ่มหัวเราะแม้ฟังดูออกจะทุลักทุเล ขยับตัวในท่าที่สบายจากนั้นก็เปิดฉากจ้อทั้งที่น้ำเสียงผ่านลำคอยังแห้งหายไปบางคำ ดูเหมือนเธอจะโหยหาการได้ส่งภาษาพูดพอตัวทีเดียว
“คุณลุงอานนท์ล่ะ?”
ผมเผลอกัดฟันแน่น ได้ยินเสียงลมหายใจติดขัดของอาทิตย์จากข้างหลัง ก่อนผมจะช่วยตอบให้แทน “พักฟื้นอยู่...เดี๋ยวก็หายเหมือนกัน”
อย่างน้อยก็ให้ผมเป็นคนเดียวที่เอ่ยถ้อยคำหลอกลวงเธอพยักหน้าหงึกหงักท่าทางโล่งใจ “เมื่อคืนคุณลุงอานนท์ชวนออกไปเที่ยว กินอิ่มมากกกก เห็นต้นคริสต์มาสใหญ่เวอร์ ๆ โคตรใหญ่ ไฟเต็มต้น มีของขวัญกับซานต้าหน้าเกรียน ๆ ด้วย”
“เหรอ”
“อยากให้พี่ปิ่นมาดูด้วย เอาไว้เราชวนแม่ไปกันนะ”
ผมน้ำตารื้น รู้ดีว่าพวกเราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้แล้ว แต่สิ่งที่ตอบไปกลับเป็นอย่างอื่น
“เอาสิ....ไว้เราไปกันสามคน”
“สี่คนเถอะ...คุณลุงอานนท์ด้วย อือ...ห้าก็ได้ ชวนพี่อาทิตย์อีกคน”
เธอทำสายตาเจ้าเล่ห์จ้องมาทางผมแล้วเลยไปยังอาทิตย์ซึ่งยืนอยู่ข้างหลัง และถ้าเป็นเวลาปกติผมอาจเขกหัวเธอสักทีเป็นรางวัลที่ทำตัวรู้มาก “แม่ซื้อขนมมาฝากล่ะ ช็อกโกแลตกล่องใหญ่เบิ้มเลย ขอชิมก่อนก็ไม่ยอม บอกว่าจะเก็บไว้รอพี่ปิ่น”
“.......”
“มีหวังได้บูดก่อนกันพอดี แต่น่าเสียดายที่หายไปแล้วตอนรถชน”
“.....ฮึก........”“พี่ปิ่น...” จี้หยกทำหน้าตาตื่น “ร้องไห้ทำไม!?”
ผมรีบเงยหน้าก่อนจะมีอะไรหยดลงมาอีกพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตา ฉีกยิ้มกว้างแล้วพยายามพูดตลกทั้งเสียงสั่นเครือ “เสียดายตังค์..แถมยังอดกินอีก ฮ่า ๆ ๆ ทำไมไม่รักษาของเลย เสียดายจนน้ำตาจะไหล”
เธอขมวดคิ้วพร้อมกับต่อว่าต่อขานออกมา “พี่งกเกินไปแล้ว แถมขี้แยอีก ไว้รอจี้รวยจะซื้อให้ไม่อั้นเลย”
“กินอะไรไหม” ผมสูดลมหายใจแล้วตั้งสติ พยายามเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่รู้ว่าจะทนคุยกันแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน “เมื่อกี้บ่นหิวปะ”
“มาก อยากกินทุกอย่างในโลก”
“งบน้อย ข้าวต้มก่อนละกัน” ผมบอกเมนูภาคบังคับให้เสร็จสรรพ “เดี๋ยวไปซื้อมาให้ นอนพักนิ่ง ๆ อย่าซนโอเคไหม”
“ทำไมเค็มอย่างนี้ จี้เพิ่งบอกว่าถ้ารวยจะซื้อขนมให้พี่ไม่อั้นแท้ ๆ” เธอโอดครวญ “อาหารโรง’บาลก็ข้าวต้มแล้วยังจะให้กินเหมือนเดิมอีก ข้าวต้มที่พี่ซื้อต้องโคตรเค็มแน่”
“...ปากดี เดี๋ยวเถอะ”
“รังแกจี้เหรอ เดี๋ยวฟ้องแม่เลย”
อาทิตย์ซึ่งยืนนิ่งอยู่ด้านหลังบีบไหล่ผมเบา ๆ อีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนเป็นโอบผมไว้ในอ้อมแขนเหมือนดูออกว่าท่าทางผมจะพาบทสนทนาล่มอีกแล้วหากเรายังเอ่ยอะไรเกี่ยวกับแม่เพชรอีก เสียงทุ้มแทรกขึ้นกลางวงเพื่อช่วยให้การพูดคุยครั้งนี้ดำเนินไปได้ตลอดรอดฝั่ง
“จี้อยากกินขนมอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวได้ซื้อกลับมาด้วยเลย”
สีหน้าเธอสดชื่นขึ้นมาทันที “กิน..กินหมดแหละ อยากกินกว่าข้าวต้มเค็ม ๆ อีก” ว่าพลางมีเหล่มาทางผมอย่างกับจะเยาะเย้ยอย่างไรอย่างนั้น
“งั้นนอนพักแป๊บนึงนะครับ แล้วจะมาเสิร์ฟให้ถึงที่”
จี้หยกพยักหน้าว่าง่ายแล้วล้มตัวลงบนเตียง มันน่าข้องใจอยู่นิดหน่อยว่าทำไมจึงช่างเชื่อฟังหมอนี่ดียิ่งกว่าเชื่อฟังผมเสียอีก เธอใช้มือข้างขวาที่ไม่ได้สวมเฝือกไว้ขยับขึ้นดึงผ้าห่มคลุมตัวเอง พึมพำท่าทางครึ้มอกครึ้มใจให้ผมกับอาทิตย์ได้ยิน
“แม่บอกว่าพี่อาทิตย์จะมาเป็นสะใภ้บ้านเรา”
ผมเลิกคิ้ว...ไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไรดี
“แต่จี้ว่าพี่อาทิตย์หล่อกว่าพี่ปิ่นเยอะ ไม่น่าเป็นสะใภ้ได้เลย....ดูเหมือนพี่เขยมากกว่า”
“พี่ก็หล่อ” ผมพยายามเถียง แต่เหมือนกลายเป็นส่วนเกินในบทสนทนาของสองพี่น้องคู่ใหม่ไปแล้ว อาทิตย์ลูบผมเธอแผ่วเบา ท่าทางเออออห่อหมกราวกับคลุกคลีกันมาทั้งชีวิต
“พี่ก็ว่าอย่างนั้นครับ เพราะงั้นจี้ยกพี่ปิ่นให้พี่ดูแลได้ไหม?”
เธอหัวเราะ “เอาไปเลย แม่ยกให้แล้วนี่”
พูดเสร็จก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง ปล่อยผมยืนอึ้งว่าไปยกอะไรให้กันตอนไหน หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยความรู้สึกโหยหาอาลัยถึงแม่เพชรซึ่งถาโถมเข้าใส่อีกระลอก
.........................................................
.............................
.
.
.
.
“จี้หยกเข้มแข็งดีนะครับ”
“อือ...เขาเป็นอย่างนี้ตลอดล่ะ” ผมตอบพร้อมกับลูบผมเธอเบา ๆ ไปด้วย เห็นเธอตื่นขึ้นมากินอิ่มนอนหลับก็เรียกว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดในเวลานี้แล้ว “พ่อแกล่ะ?”
“พี่อันโทรมาบอกว่าฟื้นแล้ว”
“ไม่ไปเยี่ยม?”
“เป็นลูกเนรคุณใช่ไหม” อาทิตย์หัวเราะเสียงขื่น ทำเอาผมจุกกับถ้อยคำประชดประชันนั้นขึ้นมาบอกไม่ถูก
“แต่พี่อันส่งข้อความมาเล่าเหตุการณ์ตลอด”
“...อ้อ”
“เป็นห่วงนายมากจริง ๆ จนทำตัวอย่างนี้เลย”
ผมรู้สึกเหมือนเป็นตัวถ่วงของอาทิตย์..นั่นทำให้ผมนึกรังเกียจตัวเองขึ้นมา
“แต่กำลังจะไปนี่แหละครับ”
“ไปด้วยได้ไหม”
“หืม?”
ผมอึกอัก เพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรเพ้อเจ้อออกไป “.....ช..ช่างเหอะ พูดไปงั้นเอง เรื่องของคนในครอบครัว....เข้าใจว่ะ อย่าคิดมาก”
“ปิ่นหยก”
“แกรีบไปดิ”
“...ไม่โกรธคุณพ่อใช่ไหม?”
ผมอึ้งไป...ไม่รู้ว่าตัวเองโกรธเขาอยู่หรือเปล่า แต่ผมรู้สึกอยากชกเขาให้ปากแตกเหมือนที่แม่เพชรเคยทำดูสักที
“..ไม่แน่ใจ...อาจจะนิดหน่อย” พูดไปก็พบว่าตัวเองกำลังแค่นยิ้ม สับสนระหว่างอยากหัวเราะและร้องไห้ คิดขึ้นมาว่าผมคงใกล้บ้าเต็มที “พ่อแกทำชีวิตฉันรวนไปหมดตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว”
อาทิตย์พยักหน้าช้า ๆ ผมไม่รู้มันตีความคำพูดของผมแบบไหน แต่สีหน้าที่ปรากฏขึ้นตอนนี้ทำผมเริ่มเอนเอียงไปทางอยากร้องไห้มากกว่าหัวเราะ
“ขอโทษครับ”
“ขอโทษทำไม”
“มันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย....”
เสียงหมอนั่นสั่นจนผมใจคอไม่ดี โดยเฉพาะตอนที่มันเอ่ยถ้อยคำซึ่งรวมความสับสนทุกอย่างในหัวของผมไว้ในประโยคเดียว
“...ฉันคิดถึงแม่เพชร”
“.......”
บ้าฉิบ...ผมร้องไห้อีกแล้วผมร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอีกครั้งหลังจากนั้น ปล่อยตัวเองจมจ่อมอยู่กับความเศร้าโศกซึ่งคล้ายจะโจมตีเป็นระลอกเหมือนคลื่นซัดฝั่ง มันโถมเข้ามาแล้วก็จางลงบ้างเมื่อผมพยายามจดจ่อกับเรื่องอื่น ปัญหาโลกแตกหลังจากนี้ยังรออยู่อีกมากมาย ผมคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะจัดการกับชีวิตอย่างไรในเมื่อยังมีน้องสาวอยู่อีกทั้งคน แม่เพชรคงโกรธหากเธอรู้ว่าผมดูแลลูกสาวคนเดียวของเธอไม่ดี และถึงไม่อยากยอมรับกับตัวเองนัก แต่การมีอาทิตย์คอยวนเวียนอยู่ข้างผมก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้ผมไม่สติหลุดไปเสียก่อน
คลื่นใหญ่โหมกระหน่ำซัดมาแล้วจากไป ทว่าคลื่นก็ยังเป็นคลื่น ถึงจะแตกเป็นฟองแล้วถูกกลืนหายไปกับผืนน้ำในบางครั้งบางคราวจนทำให้รู้สึกเหมือนมันได้จากไปแล้ว
แต่ทุกคนรู้ดีว่ามันไม่เคยหายไปจริง ๆ จากทะเลผมเดินตามอาทิตย์มาที่อีกหอผู้ป่วยซึ่งอยู่คนละตึก ภาพของคุณอานนท์ซึ่งนอนสีหน้าอิดโรยอยู่บนเตียงทำให้ผมล้มเลิกความคิดอยากชกหน้าเขาไปชั่วขณะ อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะหาย..ซึ่งผมหวังว่าเขาจะหายมาให้ผมต่อยได้
พี่อันบอกว่าเขาเพิ่งออกจากห้องไอซียูได้ไม่กี่ชั่วโมง ตอนนี้รู้สึกตัวแล้วแต่ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ที่หน้าอกมีสายต่อซึ่งแทงเข้าไปผ่านช่องระหว่างซี่โครงเพื่อระบายเลือดที่ค้างอยู่ในช่องเยื่อหุ้มปอด ตามร่างกายมีบาดแผลฟกช้ำดำเขียว ผมเห็นแผลผ่าตัดขนาดใหญ่เป็นแนวยาวที่กลางท้อง อีกแผลผ่าตัดยาวเหยียดบริเวณต้นขาซึ่งได้รับคำอธิบายว่าเพื่อใส่เหล็กยึดไว้กับตัวกระดูกที่หักจากกัน นั่นหมายความว่าเขาจะไม่สามารถเดินเหินได้ปกติอีกเป็นเดือน ๆ
“เลือดยังซึมอยู่” พี่อันพูดด้วยสีหน้าคร่ำเครียด ขอบตาเธอช้ำไปหมดแล้วตอนนี้ “หมอบอกว่ามีภาวะซีด ต้องได้รับเลือด”
อาทิตย์พยักหน้าท่าทางเป็นกังวลและกึ่งจะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าความจริงแล้วเราอยู่ในสถานการณ์แทบไม่ต่างกันเลย ผมต้องใช้ความกล้ามากทีเดียวกว่าจะตัดสินใจเอื้อมไปกุมมือของมันไว้จากด้านหลัง ออกแรงบีบเบา ๆ ให้รู้ว่าผมยังอยู่ตรงนี้เช่นกัน หากมันยืนยันว่าจะอยู่กับผม...ผมก็ยืนยันว่าจะอยู่กับมัน
..จากข้างหลังก็ได้ถ้าหากว่าเคียงข้างกันนั้นไม่มีที่ให้ผมยืน“แต่เลือดกรุ๊ปเอที่นี่กำลังขาด ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้หาคนมาช่วยบริจาค”
พวกเขามองหน้ากันด้วยอาการซึ่งผมบอกได้ชัดว่าทั้งพี่พล พี่อันนา และอาทิตย์ไม่น่ามีใครเลือดกรุ๊ปเดียวกับที่ต้องการแน่นอน
“เดี๋ยวพี่จะโทรถามคนที่บ้—”
“ผมเลือดกรุ๊ปเอ” ผมแทรกขึ้นกลางวง ติดจะเสียมารยาทไปสักหน่อยแต่คงไม่ใช่เวลามากังวลเรื่องนั้น ตอนนี้ทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียวด้วยสีหน้าบรรยายลำบาก คล้ายกับไม่เชื่อหูระหว่างที่ผมพูดต่อ
“...และแข็งแรงพอจะเสียเลือดได้เป็นลิตร...ถ้าเผื่อสงสัย”To be continued…===============================
มาต่ออย่างไวว่อง เพราะทนไม่ไหวเองค่ะ ฮว้ากกกกกก!!!!
ค้นพบว่าการเขียนเรื่องโทนนี้ทำเราจิตตกเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ TT___TT
แต่เรื่องกำลังจะคลี่คลายนะคะ ไม่มีอะไรหดหู่ไปกว่าสองตอนก่อนหน้านี้อีกแล้วสัญญา (บอกตัวเองด้วยเหอะ)
คนอ่านอยู่ด้วยกันก่อนนะคะ อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหน ใกล้แล้วค่ะ...ใกล้แล้ว

//จวนเจียนสติแตก
ของแถมตอนนี้ไม่มี เพราะยังไม่ทันวาดอะไรเท่าไหร่ก็เอาตอนใหม่มาลงแล้วด้วยความทุรนทุรายเอง <<บ้าจริง ๆ
พบกันตอนหน้า ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและทุกคอมเมนต์ค่ะ รักมากจริง ๆ ฮืออออ
*รวบกอดดด*
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***