Dormitory Boys - สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”CHAPTER 55 – ขอโทษ ขอบคุณ รัก“มึนหัวหรือเปล่าครับ”
“ไม่”
“หน้าซีดไปนะ”
“ขาวขึ้นมั้ง”
“นอนพักหน่อยดีไหม”
“พอเหอะไอ้เวร ไม่ได้ปวกเปียกขนาดนั้น” ปิ่นหยกโวยขึ้นมา ไม่อยากให้อะไรมาทำเขารู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอมากไปกว่านี้อีกแล้ว สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้นคือมือใหญ่ซึ่งเอื้อมมาคว้าต้นแขนเขาไว้ และเด็กหนุ่มคงบ่นออกมาอีกสักสองสามประโยคหากคนตรงหน้าไม่พูดอะไรบางอย่างออกมาก่อน
“ขอบคุณครับ”“.......”
“ขอบคุณมากจริง ๆ คุณพ่อก็คงอยากบอกอย่างนี้เหมือนกัน”
ร่องรอยเจ็บปวดบางอย่างในน้ำเสียงของอาทิตย์ทำเขาตื้อขึ้นมาในอก ที่อีกฝ่ายเคยพูดนั้นถูกแล้ว
มันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย“..ให้เขามาบอกเองสิ”
“ปิ่นหยก”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วขณะก้มหน้ามองพื้น ความรู้สึกด้านลบสับสนปนเปอยู่ในหัวแต่มั่นใจว่าไม่ใช่ความโกรธต่ออานนท์ เขาไม่มีความรู้สึกตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อยในการบริจาคเลือดให้ แล้วยังหวังด้วยว่าคนผู้นั้นจะปลอดภัย ในช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ ที่ผ่านมามีความสูญเสียเกิดขึ้นมากเกินไปและมันไม่ควรมากกว่านี้อีกแล้ว
“รีบหายซะที จะรอฟัง อย่าให้นานนัก”
ปิ่นหยกพึมพำขณะที่เสมองไปไกลในไอแดดไหวระริกยามบ่ายเหนือพื้นคอนกรีต แสบตาเสียจนหยดน้ำอุ่น ๆ เอ่อขึ้นคลอหน่วย เขายกมือขึ้นเช็ดมันออกพร้อมกับบอกตัวเองนี่ไม่ใช่เวลาจะมาร้องไห้ฟูมฟาย “ถ้าเป็นอะไรไปก่อนละก็น่าดู”
“...ขอโทษ”
“เพ้ออะไรขึ้นมาอีก”
“ขอบคุณ”
“พอเถอะ รู้แล้ว”
“...รักครับ”“...ไอ้.....เลว....”ปิ่นหยกทำตาแดง ๆ อีกแล้ว อาทิตย์ไม่แน่ใจว่าตัวเองดึงอีกฝ่ายมากอดไว้ตั้งแต่เมื่อไร จนกระทั่งเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ซึ่งพี่สาวให้เขาพกไว้ดังขึ้นดึงเขาหลุดจากภวังค์ ร่างโปร่งของสะดุ้งน้อย ๆ แล้วผละออกไปยืนก้มหน้าก้มตาไม่ห่างกันนัก ก่อนเขาจะหยิบสิ่งที่ส่งเสียงร้องอยู่ในกระเป๋าขึ้นมาดู
ชื่อคนโทรเข้าซึ่งเคยถูกบันทึกไว้ในโทรศัพท์ของอันนาปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
‘ตี๋หัวทอง’เขาไม่แน่ใจว่าใคร...แต่เดาว่าเป็นคิมหันต์
เสียงจากโทรศัพท์หลังกดรับสายบอกให้รู้ว่าเขาเดาไม่ผิดคิมหันต์กับสามภพมาเยี่ยม เวลาต่อมาไม่นานคนจากร้านเค้กก็ตามมาทั้งร้าน อีกฝั่งหนึ่งก็ญาติและคนรู้จักของบ้านเขา คมสันไปจนถึงลูกน้องคนอื่นของผู้เป็นพ่อที่ได้ทราบข่าว พวกเขาเดินสลับกันไปมาระหว่างสองตึกที่จี้หยกและอานนท์พักรักษาตัวอยู่ แทบไม่ได้แยกจากกันแม้แต่น้อย เป็นเขาเองที่ไม่คิดปล่อยปิ่นหยกอยู่คนเดียวแม้เจ้าตัวจะบอกว่าอยู่ได้ ช่วงที่เขาอยู่กับผู้เป็นพ่อปิ่นหยกก็อยู่กับเขาด้วยขณะที่อันนาหรือคิมจะไปอยู่กับน้องสาวของปิ่นหยก ส่วนตอนที่พวกเขาอยู่กับจี้หยก อันนาก็จะกลับไปเฝ้าอานนท์ สลับกันไปเช่นนี้เหมือนกับเป็นคนจากครอบครัวเดียวกัน
ไม่หรอก...ไม่ใช่แค่เหมือน
อาทิตย์ดึงแขนของคนข้างตัวเข้ามาใกล้ เลื่อนลงมากุมมืออีกฝ่ายไว้ในมือตัวเอง
พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ ต่างหาก“คุณอัน..คุณอาทิตย์!”
เสียงเรียกคุ้นหูที่คล้ายจะไม่ได้ยินมาเนิ่นนานดังขึ้นจากข้างหลัง หันไปมองก็พบใบหน้าหญิงชราท่าทางใจดีซึ่งเพิ่งเดินเข้ามาใหม่พร้อมกับหิ้วของพะรุงพะรังมาด้วย
“บัว” ทั้งเขาและอันนาประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน
“คุณนนท์เป็นอย่างไรบ้างคะ” หญิงชราเอ่ยทั้งใบหน้าตื้นตันที่ได้พบเด็ก ๆ ที่รักทั้งสองของเธอ ทว่าสุ้มเสียงก็ยังคงเต็มไปด้วยวิตกกังวลกับอาการของผู้เป็นเจ้านาย
อันนาเดินไปรับของจากมือเธอแล้ววางไว้บนชั้นข้างเตียงก่อนจะหันกลับไปกอดร่างท้วมของผู้มาใหม่ไว้แนบแน่น “คุณพ่อฟื้นแล้ว ยังต้องใส่ท่อช่วยหายใจอยู่แต่หมอบอกว่าดีขึ้นเยอะ”
“ไม่เป็นไรนะคะ”
“ไม่เป็นไร...พรุ่งนี้คงถอดท่อออกได้”
“บัวหมายถึงคุณอันด้วย”
หญิงสาวชะงัก ริมฝีปากไม่ได้ขยับเป็นรอยยิ้มชัดเจนแต่เธอก็กำลังยิ้มจริง ๆ ผ่านนัยน์ตา “อันก็ไม่เป็นไร”
“ดีแล้วค่ะ” หญิงชราว่าขณะที่อันนาผละออกจากอ้อมกอดเพื่อจะเดินไปดูคนป่วยข้างเตียงได้สะดวกขึ้น “คุณนนท์แข็งแรง ต้องหายเร็วแน่ ๆ คุณอันต้องเข้มแข็งไว้นะคะ”
“อันคิดถึงบัว”
หญิงสาวส่งเสียงอ้อนอย่างที่เคยทำเมื่อหลายปีก่อน หากปิ่นหยกไม่ได้เห็นกับตาเขาคงไม่เชื่อเลยว่าผู้หญิงตรงหน้าทำเรื่องแบบนี้เป็นด้วย
“โถ...บัวก็คิดถึงคุณอันค่ะ” เธอลูบผมอันนาแผ่วเบาท่าทีรักใคร่ จากนั้นจึงหันมาหาอาทิตย์ “แล้วคุณอาทิตย์ล่ะคะ เป็นอย่างไรบ้าง”
เจ้าของชื่อลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ทั้งที่ยังไม่ยอมปล่อยมือคนข้างกาย ค้างอยู่ในท่าทางกึ่งนั่งกึ่งยืนเพราะปิ่นหยกไม่ได้ลุกตามมาด้วย
“ผมสบายดีครับ”
ปิ่นหยกมองร่างสูงตรงหน้าสลับกับมองหญิงชราที่เคยได้ยินแต่ในบทสนทนาระหว่างเขากับอาทิตย์ก่อนจะหลุบตาลงต่ำ อดรู้สึกเป็นคนนอกขึ้นมาไม่ได้ ค่อย ๆ แกะมือของตัวเองออกจากมือใหญ่ที่เอื้อมมาเกาะกุมไว้ อยากบอกไปว่าไม่จำเป็นต้องทำตัวใส่ใจขนาดนี้เลย ทว่าแทนที่อีกฝ่ายจะปล่อยมือ นิ้วทั้งห้ากลับแทรกเข้ามาระหว่างนิ้วเขาเพื่อประสานกันไว้แนบแน่นขึ้นอีกก่อนจะดึงให้เขาลุกขึ้นมายืนเคียงข้างอีกคน
“ปิ่นหยก คนนี้บัวที่เคยเล่าให้ฟัง” พูดจบแล้วก็เปลี่ยนจากแค่จับมือเป็นโอบเอวเขามาจนชิดคล้ายจะประกาศเป็นนัย ไม่สนใจต่อสายตาคนอื่นที่ลอบมองมาด้วยความสงสัย “บัว คนนี้ปิ่นหยก”
บัวพยักหน้า หันมาส่งยิ้มอ่อนโยนให้เขา “สวัสดีค่ะคุณปิ่นหยก คุณอานนท์ก็เคยพูดถึงชื่อนี้ให้บัวได้ยินเหมือนกัน เป็นเพื่อนกับคุณอาทิตย์สินะคะ”
ยังไม่ทันได้พยักหน้าตอบ อาทิตย์ก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“เขาเป็นคนรักของผมครับ”“....”
หญิงชราทำตาโต มองหน้าเขาทีสลับกับมองอาทิตย์ที สุดท้ายก็หันไปหาอันนาอย่างขอความเห็น หากเป็นเวลาอื่นปิ่นหยกอาจเหยียบเท้าอีกฝ่ายแรง ๆ สักครั้งที่พูดอะไรน่าอายขนาดนี้ออกมาหน้าตาเฉย แต่ตอนนี้รู้สึกหมดแรงเต็มทีจึงได้แต่ส่งยิ้มแห้งเหือดออกไปโดยไม่มีคำตอบรับหรือปฏิเสธ
อันนาพยักหน้ากลับมาเป็นเชิงว่าที่อาทิตย์พูดนั้นถูกแล้ว “เหมือนอันกับพี่พลค่ะ..ประมาณนั้น” เธอว่าแล้วเดินอ้อมไปด้านหลังพวกเขา โอบไหล่ทั้งสองคนเอาไว้ แม้จะดูขัดตาอยู่บ้างเพราะเธอสูงพอกับปิ่นหยกแต่เตี้ยกว่าอาทิตย์ ทว่านั่นไม่ได้ทำให้ท่าทีออกตัวปกป้องของเธอลดความสำคัญในความหมายลงแต่อย่างใด
“ต่อไปนี้ปิ่นหยกเป็นคนในครอบครัวของเรา” หญิงสาวเอ่ยหนักแน่นคล้ายกับอันนาคนเดิมที่เต็มไปด้วยความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง สรุปออกมาอีกสองสามประโยคว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้โดยเลี่ยงจะพูดถึงกิ่งเพชรด้วยไม่อยากให้ปิ่นหยกซึ่งยืนฟังอยู่ด้วยต้องรู้สึกเศร้าโศกลงไปอีก ก่อนจะเอ่ยชวนหญิงชราออกไปคุยต่อด้านนอกทำทีว่าชวนไปซื้อขนมไปฝากจี้หยก
ไม่มีใครทันสังเกตว่าอานนท์ตื่นอยู่ ด้วยสติครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการเพียงแต่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมา
และได้ยินบทสนนาข้างเตียงของพวกเขาตั้งแต่ต้นจนจบ.........................................................
...............................
.
.
.
.
งานศพซึ่งเกิดขึ้นในช่วงรอยต่อระหว่างปีย้ำให้ความโศกเศร้าฝังลึกเหมือนเป็นหมึกดำด่างดวงบนผ้าขาว บรรยากาศชื่นมื่นของผู้คนรอบกายเลยไปจนถึงชาวโลกยิ่งชวนให้สีดำนั้นเด่นชัด ฉุดรั้งเขาจมดิ่งลงไปในวังวนแห่งความระทมทุกข์ลึกลงไปอีก
พิธีฌาปนกิจผ่านไปอย่างเรียบง่าย มีผู้ร่วมงานเพียงไม่กี่คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรู้จัก...หรือหากจะพูดให้ถูกจริง ๆ คือมีแต่คนรู้จัก ไม่มีญาติ เพราะบ้านเขาไม่ได้ติดต่อกับญาติร่วมสายเลือดมานานมากแล้ว ไม่ล้มหายตายจากก็ตัดขาดไปทั้งหมดตั้งแต่กิ่งเพชรแยกทางกับสามีของเธอ พวกเขาไม่ได้จากกันด้วยดีเท่าไรนัก
พิธีศพและเงินทองที่ต้องใช้ในการจัดงาน...ปิ่นหยกคงไม่มีปัญญาทำให้มันออกมาเป็นรูปเป็นร่างเช่นนี้หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนบ้านวิจิตรนิรันดร์สีดำของชุดที่ผู้คนสวมใส่มาทำให้เขารู้สึกหดหู่ แต่วันนี้ไม่มีน้ำตาอีกแล้ว เขาควรทำตัวเป็นพี่ชายที่เข้มแข็งของจี้หยกซึ่งเพิ่งได้ทราบความจริงในวันที่เธอออกจากโรงพยาบาล เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับกำลังมองภาพสะท้อนของตัวเองในครั้งแรกที่เขาได้เห็นร่างไร้ลมหายใจของมารดา เธอร้องไห้จนหลับไป...ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อร้องไห้อีกครั้ง และเขาแทบไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากกอดเธอไว้แน่น ๆ พร่ำซ้ำไปซ้ำมาว่ายังมีเขาอยู่ตรงนี้
จี้หยกเป็นเด็กเข้มแข็ง เธอยังสามารถร่วมงานอยู่ได้จนจบ แม้นัยน์ตาจะช้ำแดง บางครั้งส่งเสียงสะอื้นออกมาแผ่วเบา เฝือกปูนที่แขนซ้ายและเฝือกอ่อนที่คล้องไหล่ทั้งสองข้างไว้ยังตรึงอยู่เช่นนั้น แต่เด็กหญิงไม่ได้ปริปากคร่ำครวญออกมาสักคำระหว่างที่พวกเขามองใบหน้าผู้เป็นมารดาเพื่อบอกลาเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวางดอกไม้จันทน์ด้วยมือสั่นเทา ส่งความโหยหาอาลัยไปกับเปลวไฟร้อนระอุและควันโขมงสีเทาครึ้มลอยตัวอ้อยอิ่งอยู่เหนือยอดเมรุ พร้อมกับหวังว่ากิ่งพลอยซึ่งคงรออยู่ที่ไหนสักแห่งจะเป็นผู้ดูแลน้องสาวฝาแฝดของเธอนับจากนี้
ผู้ร่วมงานแยกย้ายกลับไปเกือบหมดแล้ว เหลือแค่คนสนิทอีกไม่มาก สองพี่น้องนั่งลงเคียงข้างกันใต้ร่มไม้ใหญ่ของวัด มีเพียงเสียงใบไม้ไหวยามต้องสายลมแผ่วขับไล่ความเงียบสงัดซึ่งโอบล้อมอยู่รอบกาย ครู่ใหญ่กว่าปิ่นหยกจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน
“เรา...กลับไปด้วยกันดีไหม”
“กลับไปที่ไหน” เด็กหญิงถามกลับมาเสียงเครือ บอกให้รู้ว่าช่วงที่เธอเงียบไปนั้นคงกำลังต่อสู้อย่างหนักกับความรู้สึกอยากร้องไห้ของตัวเอง
“ไปอยู่หอกับพี่ก่อน” เขาเว้นวรรคไปชั่วขณะเพื่อรอให้ตัวเองสงบพอจะพูดออกไปได้ราบรื่นกว่านี้ “หรือจี้อยากกลับบ้าน”
จี้หยกยกขาขึ้นชันเข่า วางคางของเธอพาดไว้บนนั้น ก้มหน้าพูดกับเข่าทั้งสองข้างโดยไม่ได้มองกลับมา
“บ้านไม่มีใครอยู่”
เด็กหนุ่มขยับเข้าไปใกล้แล้วโอบไหล่บางของน้องสาวเอาไว้ จริงอย่างเธอว่า และนั่นเป็นเหตุผลที่เขาอยากให้เธอไปอยู่กับเขาที่หอ อย่างน้อยก็ระยะหนึ่งจนกว่าผลกระทบทางจิตใจจากความสูญเสียเหล่านี้จะดีขึ้น
“ถ้าอยากกลับบ้านพี่ก็จะตามไปอยู่ด้วย”
เธอยังคงก้มหน้าอยู่ท่าเดิมเขาจึงเป็นฝ่ายพูดต่อ “แต่พี่ว่ากลับหอด้วยกันอาจดีกว่า ที่นั่นคนเยอะ มีพี่เอม พี่อุ่น พี่คิม พี่แวว พี่อาทิตย์ พี่ก็อยู่ด้วย จี้ได้ไม่เหงาระหว่างที่ยังไม่ได้ไปโรงเรียน”
“พี่ปิ่นอยู่กับพี่อาทิตย์นี่..ห้องพอหรือ”
“พอสิ”
เขาตอบทันทีแม้ไม่รู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดตัวเองนัก ห้องนั้นความจริงน่าจะเป็นห้องสำหรับคนเดียวด้วยซ้ำในเชิงพื้นที่ใช้สอย แต่ในด้านความรู้สึกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“สามคนกำลังอบอุ่น” เด็กหนุ่มย้ำอีกครั้ง
จี้หยกไม่ได้ตอบ แต่เขาถือว่านั่นเป็นคำตอบของเธอสามพล อันนา และอาทิตย์ ตามมาสบทบกับพวกเขาไม่นานหลังจากนั้น แลกเปลี่ยนคำพูดกันอีกไม่กี่คำก่อนพี่สาวคนงามจะชักชวนจี้หยกไปเดินเล่นทางอื่นให้หัวโล่ง ยังอดเป็นห่วงอยู่ไม่ได้แต่ดูเหมือนทั้งสองคนจะคุยกับถูกคอตั้งแต่ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนหนึ่งอาจเพราะพวกเธอเป็นผู้หญิงเหมือนกัน และเขาต้องยอมรับว่าแม้ช่วงพบกันใหม่ ๆ อันนาจะดูเป็นพี่สาวร้ายกาจที่ทำเขาหัวปั่น แต่จนถึงตอนนี้ก็เป็นเธอนี่เองที่ช่วยเหลือเขามาตลอดทั้งเรื่องที่โรงพยาบาลจนถึงพิธีศพ
“จากนี้คิดไว้หรือยังว่าจะทำอย่างไรต่อ”
ชายหนุ่มซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามถามขึ้น ปิ่นหยกเหลือบมองใบหน้าและบุคลิกเคร่งขรึมสมกับเป็นทนายความของเขาอย่างชั่งใจ ทั้งที่ปกติไม่ค่อยได้คุยกันนัก แต่อีกฝ่ายกลับมานั่งพูดพร้อมกับสีหน้าจริงจังจนทำให้คิดว่าบทสนทนาครั้งนี้ดูเหมือนเกิดขึ้นจากความตั้งใจมากกว่าจะเป็นเพียงแค่คำถามลอย ๆ
“ผมกำลังคิดอยู่”
อาทิตย์ขยับตัวอยู่ด้านข้าง เอื้อมมาจับมือเขาไว้หลวม ๆ ไปวางบนตักตัวเองโดยไม่พูดอะไรขณะที่สามพลเริ่มพูดต่อ
“จี้หยกอายุสิบสอง ส่วนเธอสิบเจ็ด จัดว่ายังเป็นผู้เยาว์”
ปิ่นหยกผ่อนลมหายใจเชื่องช้า สายตาเหม่อมองใบไม้สีเขียวสดซึ่งไหวตามสายลมอ่อน ๆ และหวังว่าบางทีมันอาจมีคำตอบที่เขาต้องการปรากฏขึ้นมา คำชี้แจงนั้นสะกิดให้เด็กหนุ่มครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป อีกแค่เดือนเศษเขาก็จะอายุสิบแปดปีแล้ว ยังไม่บรรลุนิติภาวะอยู่ดีแต่คงทำอะไรได้มากขึ้น
“ถ้าผมเกิดเร็วกว่านี้อีกหน่อยก็คงดี”
ใบไม้แก่หงิกงอใบหนึ่งปลิดตัวเองร่วงหล่นลงเหมือนภาพช้าเมื่อต้องลมวูบไหวอีกครั้ง ปิ่นหยกเฝ้ามองตั้งแต่มันหลุดลอยออกจากกิ่ง พลิ้วพรายด้วยท่วงทำนองเศร้าสร้อยอยู่ในความเวิ้งว้างเพียงชั่วอึดใจก่อนจะทิ้งตัวลงสู่พื้น ช่วงเวลาตั้งแต่ได้ผลิใบสีเขียวสดจนถึงกลับมารวมเป็นหนึ่งเดียวกับผืนดินอีกครั้งช่างแสนสั้นจนน่าหดหู่
ยังไม่มีคำตอบสำหรับเขา“ต้องมีผู้ดูแล..ซึ่งปกติมักจะเป็นญาติ” สามพลพูดต่อช้า ๆ พยายามคิดหาถ้อยคำที่เหมาะสมทั้งในด้านข้อเท็จจริงพร้อมกับถนอมสภาพจิตใจอีกฝ่ายไปด้วย “เพียงแต่กรณีของพวกเธอ...”
ทนายหนุ่มเงียบไป รู้สึกอึดอัดเกินกว่าจะเอ่ยคำว่า
‘ไม่มีญาติอีกแล้ว’ ขึ้นมาได้ แต่เขาคิดว่าพูดเพียงเท่านี้ปิ่นหยกก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก
“ผู้ดูแล”
ปิ่นหยกทวนคำแผ่วเบาราวกับสติล่องลอยไปอยู่ที่อื่น มีเพียงมืออุ่นที่ยังกุมกันอยู่อย่างเดิมบอกให้รู้ว่าตัวตนของเขายังนั่งอยู่ตรงนี้
“กฎหมายได้กำหนดกระบวนการช่วยเหลือเอาไว้”
ลมพัดมาอีกหนึ่งวูบ หอบเอากลิ่นหอมหวานคล้ายดอกมะลิโชยมาจากที่ไหนสักแห่ง สายตาเขามองตามการเคลื่อนไหวของใบไม้ที่ร่วงลงอีกหนึ่งใบ......สองใบ.........สาม.....
“กรณีนี้อาจมอบให้สถานรับเลี้ยงเด็กหรือสถานสงเคราะห์ของเอกชน หรือไม่ก็มอบให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น”
“ผมโตแล้ว ดูแลจี้หยกเองไม่ได้หรือครับ”
สามพลส่ายหน้าช้า ๆ ความสงสารแล่นวาบขึ้นมาจับใจ “เธอเองก็ยังเป็นผู้เยาว์อยู่เลย”
“แล้ว...ถ้าไม่มีผู้อุปการะอย่างที่พี่บอก?”
ปิ่นหยกก้มหน้า เขาไม่รู้ตัวเองถามไปทำไมในเมื่อพอจะเดาคำตอบได้อยู่แล้ว
“ทางเลือกสุดท้ายก็ต้องเป็นสถานสงเคราะห์ของรัฐ”To be continued…=============================
กอดคนอ่าน

ขอบคุณมาก ๆ ที่ยังไม่ทิ้งเด็ก ๆ ไปก่อนค่ะ TTvTT อาจจะยังหน่วง ๆ แต่คิดว่าไม่ถึงกับเศร้าน้ำหูน้ำตาร่วงเหมือนสองสามตอนก่อนแล้ว
พบกันตอนหน้า อย่าลืมของแถมรีพลายถัดไป(หลังจากครั้งก่อนเบี้ยว)ค่ะ ^^
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***