Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”CHAPTER 57 – ทบทวน::Pinyok's POV::ผมนั่งเอ้อระเหยอยู่ตรงบันไดที่ทอดลงไปยังสนามหญ้าเล็ก ๆ หลังบ้าน เหม่อมองพรรณไม้หน้าตาสวยบ้างประหลาดบ้างในคอลเลคชันของคุณอานนท์พลางหยิบคุกกี้จากพี่อันนาใส่ปาก รสชาติดีทีเดียว ได้กลิ่นโกโก้ อัลมอนด์ เฮเซลนัท วานิลลา และอะไรสักอย่างที่ระบุไม่ได้แต่เดาว่าหากพี่เอมได้ชิมคงรู้
พอกินของหวานพวกนี้แล้วก็อดคิดถึงร้านเค้กทานตะวัน...อดคิดถึงผู้คนที่นั่นขึ้นมาไม่ได้ เวลานี้ลูกค้าคงเริ่มบางตา ป่านนี้พี่เอม อุ่นใจ พี่แวว กำลังทำอะไรกัน หมีกริชยังมาเดินทำตัวจืดจางแถวเคาน์เตอร์อยู่หรือเปล่า เย็นย่ำอย่างนี้แล้วพี่หมอใส่แว่นชื่อหมอไอซ์คนนั้นจะยังมานั่งจิบกาแฟเตรียมตัวไปอยู่เวรอีกไหม
“เ...ฮ่...อออ..อ.......”ผมถอนหายใจยาว...รอบที่เท่าไรแล้วก็เหนื่อยจะนับ เริ่มเบื่อตัวเองที่ไม่ต้องทำงานทำการอะไรเลย ผมสอบได้ทุนคณะวิทยาศาสตร์แล้ว นั่นหมายความว่าจะมีโอกาสได้เรียนในมหาวิทยาลัยจนกระทั่งจบปริญญาโทเป็นอย่างน้อยก่อนจะไปทำงานใช้ทุน ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องเครียดหรือกดดัน อ่านหนังสือไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็หยุด บางครั้งตื่นมาในเวลาเดิม ๆ ตั้งแต่เช้ามืด กลับไปนอนต่อก็หลับไม่ลงเสียแล้ว มีเวลาว่างมากขนาดนี้เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยสักนิดและมันกำลังทำให้ผมเริ่มฟุ้งซ่าน เรื่องในอดีตทั้งดีร้ายลอยฟุ้งอยู่เต็มหัวเหมือนตะกอนนอนก้นที่ถูกกวนจนขุ่น
“แม่เพชรว่าปิ่นอยู่นี่ดีแล้วเหรอ”
ผมเงยหน้ามองฟ้า ถามปุยเมฆสีส้มเหมือนขนมสายไหมก้อนโตที่ลอยอยู่เบื้องบน ลมพัดเอื่อยมาจากไหนสักแห่งวูบหนึ่งแล้วทุกอย่างก็นิ่งสนิท
“ลูกเขาก็ไม่ใช่...ถึงเขาจะรับจี้เป็นลูกแล้วก็เถอะ”
เมฆไม่ตอบ แถมยังทำตัวเลื่อนลอยใส่ผมที่เป็นเศษฝุ่นเล็ก ๆ ของจักรวาลอีก
แต่นั่นแหละ..ตอบกลับมาจริงคงน่ากลัวแย่ พูดเพ้อเจ้อคนเดียวเป็นพวกสติไม่ดีไปได้ ผมแค่นหัวเราะกับตัวเองแล้วไถลลงไปนั่งแหมะอยู่ตรงบันไดขั้นสุดท้าย ตั้งใจจะหยุดอยู่แค่นั้นแต่พอเห็นหญ้านุ่ม ๆ ก็เผลอตัวย้ายร่างไปเหยียดแข้งเหยียดขาแทบนอนแผ่กับพื้นหญ้าในท้ายที่สุด
นี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วหรือเปล่า? วินาทีแรกที่ก้าวเท้าลงเหยียบบนพื้นในอาณาเขตของบ้านวิจิตรนิรันดร์ ราวกับผมหลุดมาอยู่อีกโลกหนึ่งซึ่งห่างจากโลกเดิมซึ่งผมเคยอยู่สักสองสามล้านปีแสง ชายวัยกลางคนที่ผมไม่รู้จักกุลีกุจอเข้ามาพยายามรับประเป๋าเสื้อผ้าไปจากมือ ยื้อยุดกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนอาทิตย์จะดึงมันออกไปเองแล้วยื่นให้เขา เดินไปได้อีกเพียงไม่กี่ก้าวหญิงท่าทางสุภาพคนหนึ่งโค้งให้ท่าทางนอบน้อม(เธอคงโค้งให้อาทิตย์มากกว่า) แต่รู้ตัวอีกทีผมก็โค้งตอบเงอะงะแล้วเดินหลบห่างออกมาหลายเมตรเผลอชนไหล่คนข้าง ๆ จนมันหันมาส่งเสียงหัวเราะหึ ๆ ใส่ ที่สุดแล้วเมื่อตัวบ้านใหญ่โตโอ่อ่ารูปแบบสถาปัตยกรรมกลางเก่ากลางใหม่ปรากฏอยู่ต่อหน้า..ขาผมก็เกิดก้าวไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ผมเงยหน้าดูซุ้มประตูขนาดใหญ่หน้าบ้าน เสาสูงสีขาวรับชายคาดูสวยงามวิจิตร ลักษณะน่าจะเป็นโคโลเนียลสไตล์คล้ายภาพจากหนังสือแต่งบ้านที่เคยอ่าน เพดานสูงให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ทว่าบรรยากาศโดยรวมไม่ได้ดูเย่อหยิ่งอย่างที่ตัวอาคารทรงสมมาตรนี้พึงเป็นด้วยถูกโอบล้อมด้วยแมกไม้เขียวชอุ่มร่มรื่นรอบตัวบ้าน
ขณะที่ผมจ้องมองบ้านหลังนี้...ก็รู้สึกได้ว่ามันกำลังจ้องผมกลับมาเช่นกัน
นี่ไม่ใช่ที่ที่ผมควรอยู่เลย “...อาทิตย์”
ผมเรียกชื่อมัน...ไม่รู้เรียกไปทำไม ไม่รู้ด้วยว่าตั้งแต่เมื่อไรที่พอเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจชื่อนี้ก็มักเป็นชื่อแรกที่ผมนึกถึง
“ครับ?”
“ฉัน....” ผมหยุดนิ่ง เพราะในเมื่อไม่รู้ว่าเรียกมันทำไมเลยไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปโดยปริยาย กำลังคิดว่าถ้าจะหันหลังแล้ววิ่งขึ้นรถเมล์กลับหอก็ควรทำเสียตอนนี้ท่าจะดี “ฉันรู้สึกว่ามันแปลก ๆ”
ผมใคร่ครวญคำพูดซึ่งเพิ่งเอ่ยออกไปของตัวเอง
‘รู้สึกแปลก ๆ’ อาจไม่ใช่คำอธิบายที่ดีนัก ความจริงผมคิดว่ามันไม่มีอะไรปกติมาตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก
“แปลกยังไงหรือ?”
อาทิตย์หันมาส่งยิ้มอ่อนโยน แบบเดียวกับที่ทำผมคงสติได้ไม่เต็มร้อยครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งครั้งล่าสุดก็ทำให้ผมหน้ามืดตามมันมาถึงบ้านนี่เอง ช่างบ้าแท้ ๆ
“ฉัน..ไม่รู้ตัวเองมาทำอะไรที่นี่ ไม่รู้ว่า—”
มือผมถูกกระตุกเบา ๆ ก่อนจะได้พล่ามอะไรมากไปกว่านั้น
“แต่นายรู้ว่าฉันรักนาย”
มันยิ้ม และผมรู้เพิ่มอีกอย่างว่าตัวเองงี่เง่าสิ้นดี
“เพราะงั้นก็เป็นเหตุผลแล้วใช่ไหม ว่าทำไมเรามาที่นี่ด้วยกัน”
"....."
“อาทิตย์! ปิ่นหยก!” ผมหันขวับ เสียงพี่อันนาดึงความสนใจผมได้ดีเสมอและคงจะส่งผลแบบเดียวกันกับอาทิตย์ด้วย...ในหลาย ๆ ความหมาย
“พี่นึกว่ามาตอนเย็นกัน ตั้งใจจะให้คนไปรับอยู่เชียว”
“เซอร์ไพรส์ไงครับ” ถ้อยคำคล้ายพูดเล่น แต่ด้วยน้ำเสียงเนิบนาบและหน้ามึน ๆ ของหมอนั่นผมเลยไม่แน่ใจนักว่าพี่น้องคู่นี้เขาล้อเล่นกันแบบไหน พี่อันฟังแล้วก็ล็อคคออาทิตย์โน้มลงมาทำท่าจะแทงเข่าใส่เบา ๆ ไปทีหนึ่งก่อนหันมามองผม เดินสำรวจรอบตัวอย่างกับเพิ่งเคยพบกันครั้งแรกทั้งที่เคยเจอกันถึงขั้นกล้า(อย่างหน้าด้าน ๆ)ยืนเงินสามพันบาทจากเธอมาแล้ว
“เซอร์ไพรส์จริง ๆ นั่นแหละ” หลังจากเดินวนรอบผมครบหนึ่งรอบถ้วนแล้วก็ไปยืนกอดอกพร้อมกับอมยิ้มไปด้วย “ไม่นึกว่าจะพาปิ่นมาด้วยได้ อ๊ะ! อย่าขมวดคิ้วอย่างนั้นสิ”
ผมเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังขมวดคิ้วอยู่ก็ตอนเธอทักนั่นเอง อาทิตย์หันมาเอานิ้วหัวแม่มือกดแล้วหมุน ๆ อยู่แถวกลางหน้าผากผมให้หัวคิ้วคลายออกเลยเผลอตีมือไปหนึ่งเผียะต่อหน้าต่อตาพี่สาวเจ้าตัว ลืมไปว่าที่นี่ถิ่นมัน จุดนี้เองที่ผมเริ่มสังเกตขึ้นมาว่าพี่อันเลิกเรียกผมนำหน้าด้วยคำว่า
‘น้อง’ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงชื่อเฉย ๆ อย่าง
‘ปิ่น’ หรือไม่ก็
‘ปิ่นหยก’ แบบเดียวกับที่พี่เอมเรียก ซึ่งผมรู้สึกว่าฟังดูน่าสยองน้อยกว่าเดิมอีกโข
“พี่ให้คนเตรียมห้องพักไว้” พี่อันดึงแขนผมเบา ๆ ให้เดินตามเข้าบ้านโดยมีอาทิตย์ตามหลังมาอีกคน “จัดไว้แบบถาวร..อยากอยู่ตลอดไปก็ได้ ห้องอยู่ทางฝั่งโน้—”
“ปิ่นหยกจะนอนห้องเดียวกับผม” เสียงทุ้มท้วงขึ้นทันควัน พี่อันหยุดกึกแล้วหันมายืนกอดอกมองหน้าน้องชายตัวเอง ถ้าเธอสวมแว่นตอนนี้ก็คงกำลังมองลอดแว่นด้วยสายตาแบบคุณครูเตรียมเทศนาศิษย์รัก
“ใช่ไหมครับ?” มันหันมาพยายามหาตัวช่วย ไม่ถามความสมัครใจผมล่วงหน้าสักคำ จะมั่นใจเกินไปแล้วหรือเปล่า
“แยกกันหน่อยจะตายไหม หืม?”
อาทิตย์เดินเข้ามาเบียดพร้อมกับตอบเสียงเนิบนาบเหมือนเดิม “ตายครับ ตายแน่ ๆ” สีหน้าก็ยังนิ่งสนิทไม่เปลี่ยน แต่ครั้งนี้ผมว่ามันตั้งใจกวนประสาทซึ่งนั่นทำให้พี่อันย่นจมูกใส่น้องชายตัวเอง และเธอคงถือว่าการมัวแต่อ้ำอึ้งไม่ตอบของผมกลายเป็นตอบตกลงไปเสียอย่างนั้น เธอเชิดหน้าเบา ๆ ก่อนบ่นอะไรบางอย่างออกมาที่ทำให้ผมอยากเอาหนังหน้าตัวเองไปซุกไว้ใต้พื้นโลก
“ความจริงก็ไม่ได้จัดไว้หรอก จะให้นอนห้องเดียวกันนั่นแหละ” เธอว่าแล้วเอานิ้วชี้จิ้มอกอาทิตย์ซึ่งเอาแต่ยืนอมยิ้ม “แต่กะจะดูปฏิกิริยาน้องชายที่รักสักหน่อย ไม่คิดว่าจะติดเขาขนาดนี้” พูดเสร็จเธอก็หันหน้ามาหาผม “ปิ่นหยกไม่รำคาญเจ้านี่หรือ?”
ผมเหลือบมองเธอ เห็นเธอจ้องกลับมาก็เผลอหลบตาไปวูบหนึ่ง สายตาทิ่มแทงจริง ๆ ผู้หญิงคนนี้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็พยักหน้าช้า ๆ ขณะที่อาทิตย์คล้ายจะเริ่มออกอาการเหวอ
“ยิ้มแล้วเด็กน้อย”
“หา?”
“รู้ตัวไหม เธอทำหน้าอมทุกข์มาตลอดเลยตั้งแต่ตอนนั้น”
ผมคิดว่ารู้ แต่ผมอาจจะลืมนึกถึงมันไปจนกระทั่งเธอชี้ให้เห็น“ถ้าแม่เพชร...เอ้อ...พี่ขอเรียกอย่างนี้ได้ไหม” พี่อันจ้องผมตาไม่กะพริบคล้ายจะขออนุญาต จนกระทั่งผมพยักหน้าอีกครั้งเธอจึงพูดต่อ “ถ้าแม่เพชรเป็นแบบที่อาทิตย์เล่าให้พี่ฟัง...และพี่ว่าหมอนี่ไม่กล้าโกหกกับพี่...พี่ว่าเขาคงอยากให้เธอยิ้มมากกว่า”
ผมพยายามส่งยิ้ม..ซึ่งมันคงดูแห้งเหือดมากกว่าจะร่าเริง แต่ก็จริงอย่างที่พี่อันว่านั่นเอง แม่เพชรคงไม่อยากเห็นผมเป็นแบบนี้ และหากตัวเองยังทำตัวหมดอาลัยตายอยากก็ไม่รู้จะเป็นที่พึ่งให้จี้หยกได้อย่างไร
“ผมก็คิดว่าจะพยายาม”
สีหน้าเธอดูไม่ถูกใจคำตอบของผมนัก “นั่นฟังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เลย”
ผมลองดูอีกครั้ง นึกภาพว่าแม่เพชรคงกำลังมองผมอยู่จากที่ไหนสักแห่งไม่ไกลแล้วพูดใหม่ชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงมั่นคงกว่าเดิม หวังว่าเธอจะได้ยิน “ผมมั่นใจเวอร์ ๆ”
พี่อันยิ้มกว้าง ดึงผมเข้าไปกอดไว้แน่น แวบหนึ่งที่ผมเผลอคิดไปว่าความจริงแล้วเธอก็เป็นผู้หญิงขี้แกล้งแต่ใจดีแบบเดียวกับแม่เพชรนี่เอง
“เย็นแล้ว มานอนทำอะไรตรงนี้” ผมสะดุ้ง หลุดจากภวังค์กลับมาสู่ช่วงเวลาปกติ ปุยเมฆสีส้มเปลี่ยนเป็นสีเทาครึ้มตามแสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าเสียแล้ว เพิ่งรู้ตัวว่าผมนอนแผ่อยู่บนพื้นหญ้าจนเวลาผ่านไปขนาดนี้
“...หืม?” เขาส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงถามอีกครั้ง พยายามทรุดตัวลงนั่งบนพื้นข้าง ๆ ทั้งที่ยังมีไม้ค้ำยันดูเงอะงะ แม้พอกลับมาเดินเหินได้แล้วแต่ก็ยังถูกสั่งห้ามลงน้ำหนักเต็มที่ จะเคลื่อนกายไปไหนต้องใช้ไม้ค้ำเดินท่าทางลำบากไม่น้อย
“ทำไมไม่ไปนั่งเก้าอี้ล่ะครับ”
“นั่นสิ..อาจจะเหตุผลเดียวกับเธอละมั้ง”
เขายิ้มพร้อมกับย่อตัวลงเก้ ๆ กัง ๆ สุดท้ายผมก็ลุกไปช่วยประคองเพราะดูท่าแล้วคุณอานนท์คงทำมึนยืนยันจะนั่งแหมะตรงนี้ให้ได้ หากปล่อยให้พยายามด้วยตัวเองอาจโดนส่งกลับเข้าโรงพยาบาลเพราะล้มกลิ้งกระดูกกระเดี้ยวร้าวอีกสักท่อนสองท่อน
“ขอบใจ”
ผมค้อมศีรษะน้อย ๆ แล้วถอยออกมานั่งที่เดิม หมดอารมณ์ลงไปนอนแผ่แบบเมื่อครู่แล้ว บรรยากาศตรงนี้ดูแปลกประหลาดพิกล ไม่เชิงอึดอัดแต่ก็ไม่ได้ปลอดโปร่งโล่งใจ มันอึมครึมเหมือนช่วงเวลาใกล้พลบค่ำที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ไม่มีผิด ผ่านไปอีกครู่ใหญ่จนเขาเองเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
“ฉันขอโทษเธอแล้วหรือยัง”
ผมดึงต้นหญ้าเล่นติดมือมาต้นหนึ่ง ก่อนจะนึกได้ว่าไม่ควรทำลายสมบัติบ้านคนอื่น
“คุณพูดหลายรอบแล้ว ผมฟังจนเบื่อไปเลย”
คุณอานนท์ถอนหายใจอ่อนแรง ดึงต้นหญ้าตรงหน้าผมขึ้นมาหนึ่งกระจุกแล้วพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตว่าอยากถอนมันออกมาก็ทำต่อไปสิ ผมมองเขาตาปริบ ๆ อยู่ราวอึดใจแล้วคิดว่าไม่ควรขัดศรัทธาเลยกระชากพืชสีเขียวต้นเล็กต้นน้อยออกมาเป็นพวงจนเห็นพื้นสนามตรงหน้าเป็นรอยโหว่ ไม่รู้ความหมั่นไส้มันผุดมาจากไหนเยอะแยะ เห็นเขาส่งยิ้มบางมาให้แล้วยิ่งอยากคว่ำกระถางบอนไซที่หน้าตาบอกราคาว่าคงแพงหูฉี่ล้มคว่ำเสียรู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่ติดว่ามันจะน่าเสียดายเกินไปและเกิดเขาคิดเรียกร้องค่าเสียหายอะไรขึ้นมาผมคงลำบาก
“อยากคว่ำกระถางนั่นไหม” เขาถามขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาผมสะดุ้ง มือชี้ไปยังกระถางบอนไซซึ่งกลายเป็นเหยื่อทางความคิดของผมไปแล้วเมื่อครู่นี้ ไม่รู้ว่าผมส่งสายตาอาฆาตความเข้มข้นสูงเกินไปใส่มันจนเขาสังเกตได้หรืออย่างไร
“แก้หงุดหงิด คาใจ ขุ่นเคือง หรือว่าอะไรพวกนั้น” เขาพูดต่อขณะที่ผมมองตามนิ้วเขา จ้องดูอีกทีต้นไม้แคระนั้นก็สวยงามเกินกว่าจะมาสังเวยให้กับอารมณ์คลั่งไม่เป็นเรื่อง
“ถ้าทำอย่างนั้นมันก็จะตาย...”
ผมพึมพำ ไม่ได้ตั้งใจจะแฝงความหมายอะไรเป็นพิเศษ สำหรับบอนไซซึ่งต้องใช้เวลาเนิ่นนานและการดูแลเอาใจใส่ของคนเลี้ยงกว่าจะตัดแต่งให้เป็นรูปร่างสวยงามเช่นนั้นได้ มาตายด้วยสาเหตุงี่เง่าที่ว่าถือเป็นเรื่องน่าเสียดายเกินไป
“นั่นสินะ” เขาเหม่อมองไปไกลที่เส้นขอบฟ้า “...ไม่ควรต้องมาตายแบบนี้”
ผมไม่แน่ใจว่าเขาพูดถึงต้นไม้หรือว่าอะไร รู้แต่ในอกโหวงเหวงไปหมดแล้ว ตระหนักขึ้นมาว่าเวลาผ่านไปเป็นเดือนไม่ได้ทำให้ความสูญเสียลดลงเลย เพียงแต่ผมรับมือกับมันได้ดีขึ้นเท่านั้นเอง แม้ต้องยอมรับกับบางครั้งที่มีการ์ดตกบ้างซึ่งผมหวังว่ามันจะไม่บ่อยนัก
“ฉันทำผิดต่อพวกเธอพี่น้องมากจริง ๆ มากจนไม่รู้ว่าจะชดใช้ให้ยังไงดี”
“แค่คุณรับดูแลจี้หยกเป็นลูกอีกคนผมก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว”
เขายิ้มน้อย ๆ ครู่หนึ่งก็แค่นหัวเราะออกมา “พวกเรานี่ประหลาดกันทั้งนั้นเลยนะ”
“ผมเปล่า” ผมเถียง งอขาขึ้นนั่งชันเข่า จ้องมองสนามหญ้าโหว่ ๆ ซึ่งเจ้าของเป็นคนเริ่มทำให้มันเป็นแบบนั้นเอง “ที่ประหลาดคือคนจากบ้านคุณต่างหาก..ประหลาดทั้งบ้านเลย”
“โดยเฉพาะอาทิตย์ใช่ไหม”
ได้ยินแล้วถึงกับรีบพยักหน้าหงึกหงัก
“ฉันก็ว่าจะถามเธอเรื่องนี้ตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ยังหาโอกาสไม่ได้สักที”
ผมหันไปมองหน้าเขา ชักใจไม่ดีขึ้นมา เริ่มประเด็นใหม่แบบนี้คงไม่ใช่กำลังจะพูดถึงอะไรที่ผมหวั่นอยู่หรอกใช่หรือเปล่า
“เรื่องปิ่นหยกกับอาทิตย์”
นั่นปะไร...ถึงตรงนี้เล่นเอาอยากอุดหูทำเป็นไม่ได้ยินแล้ววิ่งหนีเข้าบ้านเสียรู้แล้วรู้รอด แต่ทิ้งคนแก่ขาไม่ดีไว้กลางสวนตอนค่ำมืดแบบนี้ฟังดูเป็นมนุษย์ใจบาปหยาบช้าไปทันทีถึงแม้ที่นี่จะเป็นบ้านเขาเองก็เถอะ
"..ฉันอยากได้ยินจากปากเธอ"
"...."
พูดโกหกไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัด...แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพร้อมจะคายความจริงเหมือนได้กินสัจจะเซรุ่ม หวังอยู่ลึก ๆ ว่าหากมีใครสักคนโผล่มาขัดจังหวะตอนนี้คงดีไม่น้อยแม้ผมรู้อยู่แล้วว่าเรื่องดีไม่ค่อยเข้ามาในชีวิตบ่อยนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังขอเข้าข้างตัวเองเลยเถิดไปอีกนิดว่าบางทีคุณอานนท์อาจอยากถามเรื่องอื่น อย่างเรื่องเรียน เรื่องงาน หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่..
“ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันแบบไหนหรือ?”To be continued…=================================
ดึกแล้ว มาดึกเหมือนตอนเช้าไม่ต้องทำงานทำการ O<-<
หมายเหตุ-ผู้หญิงเรื่องนี้น่ากลัวแต่คนเขียนไม่น่ากลัวน้าาา <<หล่อนมันไม่ใช่ผู้หญิง!! (ฮา)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่า ^o^ *กอดดดด*

พบกันตอนหน้า ของแถมรีพลายถัดไปปปปป
ปล. มีของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเมื่อตอนลาพักร้อนไปเที่ยวมาด้วยล่ะค่ะ (แต่มีไม่กี่ชิ้น ;w;) ถ้าสนใจรายละเอียดไปส่องได้ที่ fb ค่ะ ^^