Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”CHAPTER 58 – ความซื่อสัตย์“ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันแบบไหนหรือ”ปิ่นหยกนั่งตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าจะแม้แต่จะหายใจ ทว่าก้อนเนื้อในอกกลับเต้นรัวเหมือนอยากพังซี่โครงเขาแล้วออกมาเขย่าโครมครามอยู่ข้างนอก เสียงบีบตัวแต่ละจังหวะของกล้ามเนื้อหัวใจดังลั่นขนาดนี้เขาเชื่อว่าหากอีกฝ่ายจะได้ยินอาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก เด็กหนุ่มอับจนด้วยคำพูดไปอีกครู่ใหญ่จนกระทั่งผู้สูงวัยกว่าเอ่ยย้ำอีกครั้งเพื่อบอกให้รู้ว่ายังรอฟังคำตอบอยู่
“หืม?”
“....ก็...” ก็อะไร แล้วคลังคำศัพท์ในหัวมันหายไปไหนหมดแล้ว “...สนิทกันครับ” เขาตอบเสียงเบาหวิว
“สนิทถึงขั้นไหน?” อานนท์หันมายิ้มพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ ส่งคำถามต่อเนื่องแบบไม่เปิดช่องว่างให้เขาได้หาทางบ่ายเบี่ยง “ปกติอาทิตย์ไม่ชวนใครมาบ้าน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องค้างคืน และยิ่งไม่ต้องไปนึกถึงเลยเรื่องจะพาใครมาอยู่ด้วยอย่างนี้ ถึงแม้จะบอกว่าอยู่บ้านชั่วคราวแค่ช่วงที่ฉันยังไม่หายดีก็เถอะ”
“.....” ปิ่นหยกก้มหน้ามองพื้น ต่อหน้าคนตระกูลนี้ทีไรทำไมเขาถึงต้องคอยรู้สึกเหมือนไปทำอะไรไม่ดีแล้วกำลังพยายามซ่อนความผิดเอาไว้อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้เขาคิดว่าไม่ใช่เรื่องผิดที่จะรักใครสักคน แต่ก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าที่เป็นอยู่นั้นเป็นสิ่งถูกต้องแล้ว
“ถ้าเรียกว่าสนิท ตามประสาพ่อ ฉันก็คิดว่าคงเป็นความสนิทที่
‘พิเศษ’ กว่าคนอื่น”
“ผมไม่รู้ควรเริ่มต้นยังไงดี”
เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากอยู่ครู่ใหญ่ขณะที่คนข้างกายก็ไม่ได้มีท่าทีเร่งรัด ปล่อยเวลาเดินไปช้า ๆ พร้อมกับที่ต่างคนก็คล้ายจะมีความคิดของตัวเองหมุนวนอยู่ในหัว เขาเหลือบตามองใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ชัดเจนของอีกฝ่ายก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามออกไป “แล้วในสายตาคุณคิดว่าเป็นแบบไหน?”
“เธอกำลังตอบคำถามด้วยคำถาม” อานนท์จ้องเข้าไปในดวงตาผู้อ่อนวัยกว่าตรงหน้า มองเห็นภาพซ้อนเป็นผู้หญิงสองคนซึ่งเป็นฝาแฝดกันและมีดวงตาสีน้ำตาลแบบเดียวกับเด็กหนุ่มคนนี้ “แบบที่แม่เธอชอบทำ เพื่อประเมินว่าตอนนี้ฉันรู้อะไรแค่ไหนแล้ว แต่ตอนนี้ฉันขอไม่ตอบ”
“ขอโทษครับ”
เขายิ้มรับ “ที่ไม่ตอบไม่ใช่เพราะเธอทำอะไรผิด แต่เป็นเพราะเธอไม่จำเป็นต้องสนใจว่าฉันรู้อะไรมากน้อยแค่ไหน" ไหล่ข้างหนึ่งยักขึ้นน้อย ๆ ท่าทีดูเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ยังอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง "ฉันอยากฟังเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับอาทิตย์ และเราไม่จำเป็นต้องเอาสิ่งที่ฉันรู้มาเป็นตัวแปร...จุดนี้เข้าใจใช่ไหม?”
ปิ่นหยกพยักหน้า พอเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าขึ้นมาบ้างแม้ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า ถึงบ่ายเบี่ยงต่อไปไม่นานอีกฝ่ายก็คงรู้อยู่ดี หรือบางทีอาจระแคะระคายอยู่แล้วด้วยซ้ำจึงได้มุ่งมั่นอยากให้เขาตอบนักหนา แม้ด้วยบุคลิกเนิบนาบของเจ้าตัวอาจทำให้ไม่ถึงกับดูเป็นการบีบบังคับ แต่เขาเชื่อว่าที่เป็นอยู่นี้คือการคาดคั้นในรูปแบบที่นุ่มนวลนั่นเอง
กระนั้นเดิมพันตรงหน้าก็ช่างสูงจนอดหวั่นใจไม่ได้ ถ้ารู้แล้วอีกฝ่ายจะรับได้ไหม? จะโดนรังเกียจหรือเปล่า หากว่าบอกไปแล้วทุกอย่างไม่กลับมาเป็นอย่างเคยจะทำอย่างไร ความคิดวุ่นวายตีกันให้ยุ่งในหัว แม้อยากถอยแต่ก็รู้สึกตัวเองเดินมาไกลเกินหันหลังกลับเสียแล้ว
เขาผ่อนลมหายใจเข้าออกเชื่องช้า เฟ้นหาถ้อยคำที่เป็นความจริงและฟังดูไม่รุนแรงเกินไปนัก แต่ก็คิดออกเพียงแค่ประโยคเดียว
“ผมชอบมัน”อานนท์พยักหน้า ปราศจากท่าทีตกใจ ความจริงคือเจ้าตัวไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาสักอย่างไม่ว่าจะเป็นพึงพอใจหรือรังเกียจ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มวิตกกังวลขึ้นไปอีกด้วยไม่อาจเดาทิศทางบทสนทนาต่อจากนี้ได้เลย
“ความชอบนั้นกว้างมาก เธอรู้ไหม” ชายหนุ่มประสานมือไว้บนตักขณะที่พูดต่อ “เหมือนฉันชอบกาแฟขม ๆ ชอบบอนไซต้นนั้น หรือว่าชอบมิกกี้เมาส์”
“ผมชอบมันมากจริง ๆ” ปิ่นหยกพึมพำกับหัวเข่าตัวเอง
“ฉันก็ชอบมิกกี้เมาส์มาก”
“...ผมชอบ....มากกว่านั้น” เขาเอ่ยเสียงแหบแห้ง “...หมอนั่นไม่ใช่มิกกี้เมาส์”
“อาทิตย์เป็นลูกชายคนเดียวของฉัน” อานนท์โบกมือไปมาคล้ายกำลังสื่อสารด้วยภาษากายซึ่งเขาไม่เข้าใจ “เธอคิดว่าคนเป็นพ่อทั่วไปจะหวังอะไรจากลูกชายคนเดียวของเขาบ้าง?”
ปิ่นหยกนิ่งไป เขาคงลืมความรู้สึกของการมีพ่อไปแล้ว คนเป็นพ่อต้องการอะไรจากลูกชายหรือ?
“เป็นเด็กดี เรียนจบ มีงานมีการทำมั่นคง” เขาเดาว่าหากพ่อเขายังอยู่ก็คงอยากให้เป็นเช่นนั้น “กตัญญู โตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี อยู่ท่ามกลางคนดี ๆ ได้แต่งงานกับผู้หญิงที่เหมาะสม...”
เด็กหนุ่มก้มลงมองนิ้วมือตัวเอง นึกถึงรอยฟันของบางคนที่นิ้วนางข้างซ้ายซึ่งเลือนหายไปนานมากแล้ว เสียงเบาลงเรื่อยโดยไม่รู้ตัว รู้แต่เจ็บแปลบขึ้นมาในอกอย่างน่าประหลาดกับความคิดต่อมาของตัวเองซึ่งคงเป็นความคิดของอีกฝ่ายด้วยเหมือนกัน
“...มีครอบครัวอบอุ่น มีลูก...สืบทอดวงศ์ตระกูล........”
ราวกับมีก้อนความกระอักกระอ่วนขนาดใหญ่จุกแน่นอยู่ที่คอ...แล้วเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรอย่างอื่นต่อได้อีก
“เห็นด้วย” อานนท์ลอบสังเกตสีหน้าเด็กหนุ่มและพบว่ามันดูไม่สู้ดีนัก “ฉันเชื่อว่าพ่อทั่วไปก็หวังให้เป็นอย่างเธอว่า”
ปิ่นหยกกล้ำกลืนความรู้สึกบางอย่างลงไป พยายามถึงที่สุดเพื่อจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณก็เป็นหนึ่งในพ่อเหล่านั้น”
“ดูเหมือนเธอเริ่มเข้าใจประเด็น”
“..ผมเข้าใจ”
อานนท์ไม่แน่ใจนักว่าปิ่นหยกเข้าใจคำพูดเขาว่าอย่างไร ทว่าเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่พ่ออย่างเขาต้องการให้เกิดกับลูกชายคือ
‘ความสุข’ “อาทิตย์ดูชอบเธอมาก”
ปิ่นหยกยกมือขึ้นทำท่าทางขยี้ตา เพียงเพราะอยากให้แน่ใจว่าไม่ได้มีอะไรไหลลงมาจากตรงนั้นขณะที่ฟังคู่สนทนาพูดต่อ
“แน่นอนว่าคนละแบบกับที่ฉันชอบมิกกี้เมาส์ แต่คิดว่าเรื่องนั้นเธอคงรู้ดีกว่าฉัน”
เด็กหนุ่มพยักหน้าอ่อนแรง จริงดังคาด...บางทีอาจไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้ว “ทีนี้คุณตอบผมบ้างได้หรือยัง”
“เอาสิ”
อีกฝ่ายควรตอบเขาตรงไปตรงมาอย่างที่เขากล้าพูดความจริง “รู้อย่างนี้แล้วคุณจะทำยังไงต่อ”
“ฉันต่างหากที่ต้องถามเธอเรื่องนั้น”
“คุณไม่ตอบ”
อานนท์สบตาเขา เอ่ยออกมาน้ำเสียงเย็นเยียบที่ทำให้หนาวไปถึงกระดูก
“ถ้าฉันไม่อนุญาตให้คบกันล่ะ?”“....”
ปิ่นหยกกัดริมฝีปาก เงียบไปครู่ใหญ่กว่าจะพึมพำออกมาได้อีกครั้ง “...อาทิตย์เป็นลูกชายคนเดียว”
“ซึ่งนั่นมีความหมายมาก”
เขาอยากท้วง อยากเรียกร้องว่านี่ไม่ยุติธรรมเลย แต่สิ่งที่เอ่ยออกไปกลับเป็นตรงกันข้ามซึ่งเจ็บมากกว่าอีกหลายเท่าตัว “คุณเป็นพ่อเจ้านั่น...ผมจะทำอะไรได้”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ยอมแพ้แล้วหรือ?”
“อยากเรียกอย่างนั้นก็ได้...คุณจะเรียกแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น”
เขามือสั่น ก่อนจะตระหนักได้ว่าไม่ใช่แค่มือ ทว่าทั้งร่างกำลังสั่นเทิ้มไปหมดอย่างหาสาเหตุไม่ได้ขณะพูดต่อด้วยเสียงซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเป็นของตัวเอง “แต่ผมไม่เลิกรักมันหรอก” เด็กหนุ่มกำมือจนข้อนิ้วขาวซีด ในอกแน่นไปหมด ลมหายใจถี่กระชั้นราวกับเพิ่งออกแรงมหาศาลทั้งที่เพียงแค่นั่งเฉย ๆ อยู่ตรงนี้ “ต่อให้ไม่ได้คบกัน...ผมก็รักหมอนั่นอยู่ดี แล้วแบบนี้เรียกยอมแพ้หรือเปล่า”
ถ้อยคำที่เปล่งออกมาดูประหลาดกระทั่งกับหูตัวเอง และคราวนี้กลับเป็นอานนท์ซึ่งเงียบไปครู่ใหญ่คล้ายกำลังทบทวนรายละเอียดทุกถ้อยคำของเขาให้ทะลุปรุโปร่ง
“เอาละ” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นในที่สุดหลังจากปล่อยความเงียบบีบอัดบรรยากาศอยู่ครู่ใหญ่ “บอกฉันอีกที...ให้หนักแน่นกว่านี้ หนักแน่นพอจะทำให้ฉันเชื่อว่าเธอรักเขาจริง ๆ”
“ผมรักมัน” ปิ่นหยกกระซิบแผ่วเบา ควรมั่นใจได้ตั้งนานแล้ว เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกสุดปอด เงยหน้าขึ้นแล้วพูดใหม่อีกครั้งถ่ายทอดความจริงจังในน้ำเสียงซึ่งเปล่งออกมาชัดถ้อยชัดคำ
“ผม-รัก-อาทิตย์”“...โอ้..”
“ได้ยินชัดหรือเปล่า...ผมรักลูกชายงี่เง่าคนเดียวของคุณ”ไม่รู้ลูกบ้าอะไรทำให้เขาพูดอย่างนั้นออกไป จำได้ว่ายังไม่เคยเอ่ยชัดเจนขนาดนี้มาก่อนแม้กระทั่งกับคนในบทสนทนา รู้ตัวว่าน้ำตาร่วงผล็อยอย่างน่าขายหน้าก็ตอนที่มันหยดแหมะลงบนเข่านั่นเอง อานนท์มองเขาด้วยสายซึ่งอ่านไม่ออก แต่เขาคิดว่ามองเห็นรอยยิ้มบางเบาบนรูปปากซึ่งคล้ายกับของลูกชายเจ้าตัว น่าแปลกที่กำลังคุยกันอยู่สองคนแต่สายตาอีกฝ่ายกลับมองเลยไปยังด้านหลัง
“ได้ยินชัดไหมลูกชายงี่เง่าคนเดียวของพ่อ?”..........................................................
........................................
.
.
.
.
.
“ปิ่นหยก”
“เลว!”
“ปิ่นหยกครับ”
“ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับแกแล้ว!”
“ปิ่นหยก ผมขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังจริง ๆ”
“ไอ้—!!” ปิ่นหยกค้างไว้เท่านั้นแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ยกสองมือขึ้นปิดหน้าทิ้งตัวเองลงกับพื้นกลางห้องนอน อับอายจนเกินบรรยายเป็นภาษามนุษย์ได้แล้ว ถึงเชื่อว่าอีกฝ่ายแค่กำลังจะเดินเข้ามาตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจมารอแอบฟังจริง ๆ แต่มันน่าขัดใจว่าทำไมช่างมาได้จังหวะอะไรอย่างนี้อยู่เรื่อย
“ทำไมต้องมีเรื่องให้ขายหน้าตลอดเลยวะ! บัดซบที่สุด!”
อาทิตย์ย่อตัวตามลงมาลูบหลังเขาเบา ๆ “โอเคครับ เราไม่พูดเรื่องนั้นกันแล้วดีไหม”
แทบไม่ได้ฟังประโยคเมื่อครู่ เพราะมีแต่เรื่องที่วิตกกังวลอยู่เต็มหัว “พ่อแกรับไม่ได้แน่ ๆ”
“ไม่จริงเลย คุณพ่อชอบนายมาก”
“ชอบที่ไหนพูดจาไซโคอย่างนั้นวะ!”
“เชื่อสิ ฉันบอกคุณพ่อไปหมดเกลี้ยงตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”
ปิ่นหยกทำตาเบิกโพลง หัวใจร่วงไปอยู่ตาตุ่ม ย้อนถามเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “.......หมด...เกลี้ยง...คือ...?”
“ตามนั้นแหละครับ...” อาทิตย์ดึงแขนคนตรงหน้าเบา ๆ ให้ลุกขึ้นแล้วถือโอกาสช่วงกำลังตกตะลึงกึ่งลากกึ่งโอบมานั่งซ้อนอยู่ด้านหน้าเขาตรงขอบเตียง สองมือสอดข้างเอวบางแล้วประสานกันไว้ก่อนจะรวบร่างในอ้อมแขนมาชิดกับแผ่นอก “ฉันว่าคุณพ่อแค่อยากฟังจากปากปิ่นหยกด้วยเท่านั้นเอง”
เจ้าของชื่อนั่งตัวแข็งทื่อ ขยับคอหนีโดนสัญชาติญาณตอนที่คางของเด็กหนุ่มร่างสูงยื่นจากข้างหลังมาวางพาดไว้บนไหล่ พยายามหายใจเข้าออกช้า ๆ ควบคุมสติอารมณ์ไม่ให้กระเจิดกระเจิงไปกับความอุ่นวาบของลมหายใจที่เป่ารดข้างแก้ม
“...อาทิตย์”
“ครับ?”
เขาไม่สบายใจจริง ๆ กับอีกเรื่องหนึ่งที่ยังค้างคาใจแม้ยิ่งพูดถึงก็คล้ายจะยิ่งเจ็บแปลบ
“...แกเป็นลูกชายคนเดียว”
“ปิ่นหยกก็เป็นลูกชายคนเดียว”
“มันไม่เหมือนกัน”
“ฉันรู้ที่นายอยากจะพูด”
เด็กหนุ่มก้มหน้ามองมือใหญ่ที่โอบเข้ามาประสานกันอยู่บนท้องของเขา บางทีเขาน่าจะแกะมันออก แต่พอเลื่อนมือตัวเองมาสัมผัสกับมือคู่นั้นก็กลับรู้สึกไม่อยากปล่อยขึ้นมา
“...ฉันกับแก มันไม่ควรเป็นอย่างนี้เลย เหมือนทุกอย่างผิดพลาดไปหมดตั้งแต่แรก”
“ไม่ควรเป็นอย่างนี้?” เสียงทุ้มย้อนถาม น้ำหนักของคางซึ่งวางพาดอยู่บนไหล่ซ้ายของเขาหายไปพร้อมกับมือสองข้างซึ่งโอบอยู่ก็คลายออกเช่นกัน ความรู้สึกใจหายวาบในเสี้ยววินาทีเพียงแค่มือนั้นขยับออกไปทำเขานึกอยากแค่นหัวเราะใส่ตัวเองด้วยความเวทนา ทว่ายังไม่ได้ทันทำเช่นนั้นไหล่ก็ถูกยึดไว้มั่น โลกหมุนคว้างชั่วพริบตาในจังหวะที่ทั้งร่างถูกแรงเหวี่ยงจากแขนซึ่งยึดไหล่เขาอยู่ส่งลงมานอนหงายบนเตียงเพื่อสบกับนัยน์ตาสีดำสนิทของคนที่คร่อมร่างเขาเอาไว้
“ปิ่นหยกคิดว่าการที่เรารักกันเป็นเรื่องผิดพลาดไปหมดจริง ๆ หรือ?”
“อาทิตย์”
“บอกฉัน”
เป็นเสียงแบบนั้นของอาทิตย์ที่เขาเกลียดที่สุด น้ำเสียงอ้อนวอนและสิ้นหวังซึ่งทำเขาแทบขาดใจ“...ไม่” ปิ่นหยกหลับตา ถามใจตัวเองอีกครั้ง ถึงเวลาหยุดวิ่งหนีความจริงและซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองเสียที
“ไม่จริง....ขอโทษ”โดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว มือทั้งสองข้างก็ทำงานนอกเหนือคำสั่งสมองด้วยการยื่นออกไปโอบรอบคอร่างเบื้องบนแล้วยกตัวขึ้นไปกอดไว้แน่น ซบหน้าลงข้างใบหูอีกฝ่ายเพื่อจะกระซิบบอกสิ่งเดียวกับที่เพิ่งได้ให้คำตอบกับตัวเอง
“ฉันรักแก...ไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องผิดพลาดเลย”To be continued…===================================
ดับเครื่องชนเลยลูก!! //โบกพู่เชียร์แม่ไก่ 5555
ใกล้จบแล้วล่ะค่ะ ยิ่งเขียนไปยิ่งรู้สึกคนอ่านลดลงฮวบฮาบ (ฮา) ทนอีกนิดนะคะ อาจจะหนึ่งตอนหรือสองตอนก็จบแล้ว
ขอบคุณมาก ๆ ที่เข้ามาเยี่ยมค่ะ ^o^

พบกันตอนหน้า มีของแถมรีพลายถัดไปเช่นเคยยยย