Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”CHAPTER 59 – ลูกเจี๊ยบ แม่ไก่ ::Artid’s POV::ปิ่นหยกน่ารักมากจริง ๆผมสีน้ำตาลของเขายุ่งเหยิงอีกแล้ว ใบหน้าก็แดงซ่านไปหมด พ่นลมหายใจกระท่อนกระแท่นออกมาทั้งจากจมูกและริมฝีปากสีชมพูสดราวกับเพิ่งออกแรงทำอะไรมาเยอะแยะทั้งที่ผมแค่จับเขาพลิกตัวลงมานอนแผ่บนเตียงเท่านั้นเอง ซึ่งเรื่องเหล่านั้นผมอาจเคยพร่ำเพ้อออกมาหลายครั้งหลายหนจนเขาเบื่อจะฟังว่าผมชอบทุกสิ่งที่เป็นเขาขนาดไหน เห็นทุกครั้งก็ยังตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ร่ำไป แต่สิ่งที่ทำผมแทบหลุดจากแรงโน้มถ่วงโลกไปเลยคงเป็นตอนเขายื่นมือขึ้นมาโอบรอบคอผมไว้ กอดแน่นอยู่อย่างนั้นและกระซิบถ้อยคำบางอย่างที่ไม่คิดว่าจะได้ยินอยู่ข้างหู
“ฉันรักแก...ไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องผิดพลาดเลย”“....”
มนุษย์บินไม่ได้(ผมหมายถึงบินด้วยตัวเองโดยไม่ใช้พาหนะหรืออุปกรณ์ช่วย..อย่างน้อยก็ในยุคนี้) แต่หลังจากวินาทีที่เขาเอ่ยคำนั้นออกมา...ผมรู้สึกราวกับตัวเองกำลังบินสูงสักสองหมื่นฟิตจากระดับน้ำทะเล เกือบตอบออกไปแล้วว่าผมก็รักเขา รักมากยิ่งกว่าที่เคยรักเมื่อเดือนก่อน เมื่อวันก่อน หรือแม้แต่เมื่อวินาทีก่อน (ฟังดูน้ำเน่ามาก..ได้โปรดอย่าเพิ่งขำหรือวิ่งไปขย้อนมื้อที่แล้วออกมาเพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ) ทว่าประสบการณ์ที่ผ่านบอกให้ผมตัดสินใจสงบปากสงบคำในครั้งนี้ รู้ดีว่าไม่ว่าผมพูดอะไรออกไปเขาคงเขินม้วนจนแทบบ้าได้เลย ถึงแม้ผมจะชอบมาก...ความจริงก็ชอบมันทุกอย่างนั่นแหละ แต่วันนี้ผมคิดว่าเขาอายสุดชีวิตดครั้งแล้วครั้งเล่าจนน่าสงสารเกินไปแล้ว
“อือ..”
ผมงึมงำในลำคอ ไม่ได้ออกมาเป็นคำที่มีความหมาย แค่ต้องการให้รู้ว่าผมได้ยินแล้วเท่านั้นเอง สองมือโอบรอบเอวเขาแนบไว้แล้วพลิกขึ้นนอนหงายโดยดึงทั้งร่างนั้นตามมาด้วยจนอยู่ในท่าที่เขาคว่ำตัวทิ้งน้ำหนักลงบนอกและท้องของผม ส่วนใบหน้าเขาก็.....ไม่ยอมเงยขึ้นมาเลย
แต่ผมรู้เรื่องนั้นอยู่แล้วละ“แกไม่พูด?” อยู่ ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นมา ด้วยคำถามแปลกประหลาดท่ามกลางความเงียบ
“หืม? ไม่พูด?”
“...แบบที่...” เสียงเขาตะกุกตะกัก แล้วก็เบาลง...เบาลง.. ถ้าเบากว่านี้อีกนิดผมคงต้องยื่นหูพร้อมด้วยจมูกปากเป็นของแถมไปจ่อฟังใกล้ ๆ น่าเสียดายที่ตรงนี้ยังพอได้ยิน หมดข้ออ้างเอาจมูกไปฟัดแถวกกหูเลยได้แต่นอนฟังเขาพูดต่อโดยไม่ขยับตัว “...แบบที่เคยเป็นประจำ”
“ที่เคยเป็นประจำ?” ผมทวนคำอีกรอบ รู้สึกความฉลาดตัวเองใกล้เคียงนกแก้วโง่ ๆ บนคอนขึ้นรา
ปิ่นหยกเงยหน้าขึ้นมาแวบหนึ่ง แวบเดียวจริง ๆ แต่ก็เพียงพอจะทำให้สังเกตได้ว่าทั้งหน้าเขาแดงไปหมดเหมือนเพิ่งโดนน้ำร้อนลวก (ผมรู้ว่าเปรียบเทียบได้แย่ แต่ตั้งใจจะหมายถึงมันแดงยิ่งกว่าทุกที) จากนั้นก็ฟุบลงไปเหมือนเก่า..จุดที่เยี่ยมมากคือ
‘เหมือนเก่า’ เป็นการที่เขาฟุบลงกับอกผมนี่แหละ
“ปิ่นหยก?”
“ลืม ๆ ไปเหอะ”
“พูดอย่างนี้ก็ยิ่งอยากรู้สิ”
“ทีเรื่องเรียนละความจำสั้น!”
“แต่รักฉันยาว”
“...มุกทุเรศ...” เขาคำรามลอดไรฟัน เสื้อผมโดนขยำยับย่นไปหมดแล้ว อดหัวเราะพร้อมกับเอาแขนรัดทั้งตัวเขาแน่นหนึบขึ้นอีกไม่ได้ ให้ตายเถอะ..มันฟังดูโรคจิตมากเลยถ้าผมจะบอกว่ายิ่งดิ้นก็ยิ่งน่ากอด
“แล้วปิ่นหยกอยากฟังอะไรหรือครับ?” ผมถาม จงใจกดเสียงต่ำลงกว่าปกติพร้อมกับเอามือสอดใต้รักแร้เขาแล้วดึงขึ้นมาจนใบหน้ามาอยู่ในระดับเดียวกันโดยเขายังนอนอยู่บนตัวผม กับคนที่อายจนแทบจะลงไปขดเป็นก้อนกลมดิกบางทีก็ต้องใช้กำลังบังคับกันบ้าง และผมขอสารภาพว่าผมล้มเลิกความตั้งใจว่าจะไม่ทำเขาเขินมากกว่านี้เป็นที่เรียบร้อย
“....ม..ไม่...” ท่าทางปิ่นหยกมีปัญหากับลิ้นพอดูทีเดียว พอสบตากันก็คล้ายความสามารถด้านภาษาของเขาจะลดฮวบ หากผมเป็นนกแก้วโง่ ๆ ตอนนี้เขาก็เป็นลูกนกที่พูดแทบไม่รู้เรื่อง “ไม่อยากฟังแล้ว!” แม่ไก่ที่กลายเป็นลูกนกของผมร้องโวยโดยยังคงทะเลาะกับลิ้นของตัวเองอยู่
“น่ารัก.." ผมลองนึกถึงอะไรที่ตัวเองพูดกับเขาอยู่เป็นประจำ "ฉันรักนาย” และ...แย่แล้ว..จมูกเชิดรั้นของเขาน่างับชะมัด “รักจมูกนายด้วย”
เขาขมวดคิ้ว..พร้อมกับเลิกคิ้วไปพร้อมกัน ส่วนผสมระหว่างการย่นและยกคิ้วสูงขึ้นในเวลาเดียวกันดูตลกมากโดยเฉพาะเมื่อรวมกับอาการอ้าปากหวอและทั้งหมดปรากฏอยู่บนผิวหน้าแดง ๆ
“.....”
“รักปิ่นหยกครับ” ผมหัวเราะ เม้มปากลงไปบนจมูกเขาทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งโหยง “แบบนี้ใช่ที่อยากฟังหรือเปล่า หรือว่าเอาเป็นอย่างอื่นดี”
“เลว! เงียบที”
“ใจร้ายจัง ไม่รักไม่พูดหรอกนะเนี่ย”
“...อาทิตย์...ขอเถอะ....ฟังไม่ไหวแล้วไอ้เวรเอ๊ย” ปิ่นหยกยกมือขึ้นโปะกลางหน้าตัวเอง แต่ผมก็อดไม่ได้จะยื่นหน้าไปดัน ๆ ตรงรอยแยกระหว่างนิ้วเขาก่อนจะได้รับเสียงตวาดกลับมา “หยุดเอาจมูกมาดันด้วย!”
“โอเคครับ” ผมยิ้มกว้าง กำไรเยอะแล้ววันนี้ ค่อยคลายอ้อมกอดออกแล้วเปลี่ยนเป็นนอนแผ่กางแขนกางขาเกือบเต็มเตียง “ไม่แกล้งแล้วคนดี” พูดไม่ทันขาดคำเขาก็กลิ้งหนีลงจากตัวผม...(กลิ้ง? ไม่ใช่อาการนั้นเสียทีเดียวแต่เป็นอะไรที่ใกล้เคียงและทำผมเกือบดึงเขากลับมาฟัดอีกรอบแล้ว) ปิ่นหยกนอนคว่ำยึดผ้าปูที่นอนเป็นสรณะ และเขาคงเชื่อว่าวิธีนั้นจะทำให้ตัวเองหายหน้าแดงซึ่งผมคิดว่ามันไม่ค่อยได้ผล ถึงไม่เห็นหน้าแต่ยังพอเดาได้จากสีผิวที่ใบหู อย่างน้อยก็ตอนที่ผมขยับตัวไปนอนตะแคงแล้วเอาแขนพาดเอวเขาไว้
“จะนอนแล้วหรือ?”
เขาไม่ตอบ ผมเลยเอานิ้วจิ้มเอวเบา ๆ ไปทีหนึ่งเรียกอาการกระตุกเหมือนโดนไฟช็อตบนร่างเขา ตามมาด้วยแรงฟาดดังเผียะที่มือซึ่งเอาไปจิ้มก่อนเจ้าตัวจะกลับไปแน่นิ่งเหมือนเดิม มือหนักจริง ๆ
“ไปอาบน้ำก่อนเร็ว จะได้สบายตัว” ทีนี้ผมลองเขย่าเขา ก่อกวนไปเรื่อยแล้วรอดูว่าจะได้สีหน้าแบบไหนกลับมา “นอนอย่างนี้ได้ไง”
“แกขี้บ่นขึ้นนะไอ้ลูกเจี๊ยบ”
“ปิ่นหยกก็มึนขึ้นครับ..ไม่รู้ตัวล่ะสิ?”
ผมเห็นเขาขยับตัวยุกยิก ท่าทางไม่พอใจคำชมนัก พอผมเอานิ้วไปม้วนผมสีน้ำตาลนุ่มนิ่มของเขาก็โดนคว้าข้อมือเอาไว้หมับขณะกำลังพยายามเอาปอยผมพวกนั้นไปทัดไว้หลังใบหูให้ พร้อมกับเจ้าของมือซึ่งจับไว้หันมาจ้องเหมือนพยายามจะยิงเลเซอร์ออกทางรูม่านตา
และผมส่งยิ้มกลับไปให้เขา...ทิ้งตัวลงบนความสุขกองโต
“ปะ..อาบน้ำสระผม” ผมเคลื่อนมือตัวเองกลับมา ติดมือเขามาด้วยเพราะเจ้าตัวดึงดันไม่ยอมปล่อย (และผมก็ไม่อยากให้ปล่อย) ยื่นหน้าไปสูดเฮือกที่กลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเต็มปอด “หัวเหม็นแล้ว”
เขาเอาหัวโหม่งคางผมหลังจากส่งความขุ่นเคืองมาทางสายตา “เหม็นแล้วดมทำไมวะ ไอ้โรคจิต!”
“อืม..จะดมหัวเหม็น ๆ ของใครได้ต้องเป็นเพราะรักมากแน่เลย”
“หน้าด้าน!” เขาสบถแล้วกระโดดผลุงคว้าผ้าขนหนูวิ่งเข้าห้องน้ำ ส่วนผมน่ะหรือ? ไม่น่าถาม...
ก็เดินตามเขาไปไงครับ.
.
.
.
“โอ๊ะ!”เกือบโดนเขาฟาดประตูใส่หน้าแล้ว ขอบคุณความไวแบบที่เคยเป็นนักกีฬาเทนนิสของตัวเองซึ่งส่งร่างแทรกตัวผ่านประตูเข้าไปได้ทันในเวลาเฉียดฉิว
“เมื่อกี้กะให้ฟาดเต็ม ๆ เลยใช่ไหมนี่”
“ใช่” ตอบรับมาได้เต็มปากเต็มคำ...จริงใจน่าดู
“โหด”
ปิ่นหยกไม่เถียงอะไร ย่นจมูกใส่แล้วก้มหน้างุด ๆ เดินย้อนกลับไปทางประตูที่เขาเพิ่งใช้เป็นอาวุธประทุษร้ายผมเมื่อครู่ กำลังจะก้าวพ้นอาณาเขตห้องน้ำแล้วถ้าผมไม่รั้งแขนเอาไว้เสียก่อน “เดี๋ยวสิ ไปไหนน่ะ”
“ไม่อาบแล้ว”
“ทำไมล่ะครับ?”
“จะเอาหัวเน่าไปถูไถให้เต็มเตียง”
“ได้ไง”
เขาหันมายืนเท้าเอวทำหน้าแดงแจ๋พร้อมกับยื่นคำขาด “ไม่งั้นแกก็ออกไป”
ผมอมยิ้ม..ที่แท้ก็เขิน
“กลับมาก่อน เดี๋ยวสระผมให้” สายตาหวาดระแวงถูกส่งกลับมารัว ๆ เลยต้องต่ออีกหน่อยเพิ่มความน่าเชื่อถือ “ไม่ทำอะไรหรอก” พร้อมยกสองมือขึ้นในท่ายอมแพ้อีกนิดเพราะดูแล้วผมไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจเท่าไรนัก แถมด้วยไม้ตายส่งสายตาออดอ้อนอีกหน่อยเป็นการปิดท้ายด้วยเริ่มสรรหาคำมาเรียกเครดิตให้ตัวเองไม่ออกแล้ว “พูดจริง”
“ทำเองได้” ปิ่นหยกบ่นงึมงำ จด ๆ จ้อง ๆ อีกพักหนึ่ง สุดท้ายก็เดินกลับเข้ามา แอบสังเกตว่ายังตั้งการ์ดสูงมาเชียว
“มานั่งนี่เร็ว” ผมก้าวขาไปนั่งแหมะอยู่ตรงขอบอ่าง เอามือตีแปะ ๆ บนที่ว่างตรงหน้าแล้วจ้องเขาตาไม่กะพริบ เห็นเขานิ่งอยู่อย่างนั้นเลยตบมืออีกสองสามทีแล้วกางแขนออกเป็นเชิงต้อนรับเต็มที่พร้อมโฆษณาชวนเชื่อ “ไม่เคยทำให้ใครมาก่อนเลยนะ”
เขาชะงัก ดูเหมือนประโยคเชื้อเชิญของผมจะใช้การได้ไม่ดีนักหากประเมินจากสิ่งที่เขาตอบกลับมา “ไอ้บ้า ไม่เคยทำก็ลุกไป เล่นอะไรปัญญาอ่อน”
“นึกว่าจะซาบซึ้งซะอีก” ผมยิ้มกริ่ม ดึงเขาลงมานั่งในอ่างว่าง ๆ ที่ไม่ได้เปิดน้ำไว้ จับไหล่เขาให้เอนพิงมาที่ขอบอ่างซึ่งผมนั่งห้อยขาลงมาอยู่ “พี่อันเคยสระผมให้คุณพ่อแบบนี้ตอนเด็ก ๆ คุณพ่อบอกว่าสบายมาก”
“เชื่อแกได้ไหมเนี่ย”
“ได้สิครับ” ผมก้มลงจูบที่ขมับเขาไปทีหนึ่ง ก่อนจะโฉบมือคว้าชายเสื้อยืดเขาเตรียมดึงออกทางศีรษะ แล้วก็...
เพียะ!!...ช่างฟาดมาได้...“ทำ’ไรวะ!?”
“ถอดไง” ผมลูบรอยนิ้วแดงเถือกบนหลังมือตัวเองป้อย ๆ “เดี๋ยวเสื้อผ้าเปียกหมด”
เขายกมือกอดอกเตรียมลุกหนีทันควัน แต่ไม่เร็วไปกว่ามือผมซึ่งกดไหล่ให้ลงนั่งที่เดิมพร้อมกับเอาขาหนีบไว้ด้วย(แบบไม่ได้ตั้งใจ) ผมถึงกับหัวเราะเสียงสะท้อนก้องทั่วห้องน้ำเมื่อรู้ว่าเผลอหนีบเขาไว้ในท่านั้น
“ไอ้เลว!!” เขาดิ้น และผมยิ่งหัวเราะ
“ก็ได้ ไม่ถอดก็ไม่ถอด”
พอได้ยินอย่างนั้นก็คล้ายเจ้าตัวจะสงบลงได้นิดหน่อย หันมาคาดโทษเสียงสั่น “อย่าให้รู้ว่าคิดจะ—
เฮ่ย!!!! ไหนบอกไม่ถอดไงวะ!!!”
“ฮ่า ๆ ๆ ขอโทษครับ” ผมพยายามตีหน้าสำนึกผิดแต่ไม่สำเร็จ หัวเราะจนเมื่อยขากรรไกรขณะที่โยนเสื้อเขาลอยหวือไปกองอยู่บนพื้นนอกอ่าง “มือมันลื่น”
“ไอ้ลูกเจี๊ยบ!”“ครับแม่ไก่” ผมรับเสียงใสซื่อ ของถนัดเลยทีเดียว
“จะหาเรื่องใช่ไหม!?”
“ฉันออกจะเป็นเด็กดีมาตลอด”
“ไอ้ลูกไก่ตอแหล!”
ขี้เกียจเถียงแล้วเลยรวบกอดเลย ได้ผลเสียด้วย ปิ่นหยกเงียบสนิทเหมือนบทสนทนากึ่งทะเลาะเมื่อครู่เป็นแค่เสียงจากโทรทัศน์ก่อนมันจะถูกปิด ปล่อยผมเอาหน้าซุกแผ่นอกอุ่น ๆ ที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจถี่กระชั้นของเขา ฟังเสียงหัวใจเต้นรัวอยู่เป็นนานสองนานกว่าจะเอามือมาแซะหน้าผมออก
“...พอแล้ว เหนื่อย”
“ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ผมยิ้ม ดันหน้าสู้มือเขา ส่วนมือผมเองที่โอบเขาอยู่ก็ลูบไปตามรอยนูนของแผลเป็นบนแผ่นหลังร่างในอ้อมแขน
“อยู่กับแกก็เหนื่อยแล้ว”
“อือ เชื่อ” ผมดันชนะมือเขาในที่สุด เอาหูแนบลงบนหน้าอกเขาต่อ “ใจนายเต้นตูมตามเลย”
“ยังไม่สำนึกอีก!”
“เหนื่อยอยู่กับฉันตลอดไปนะ”
ท่าทางก่อนหน้านี้คงหัวเราะร่ามากไปหน่อยเพราะเสียงผมแหบแห้งเชียวตอนที่เอ่ยประโยคนั้น
เขาพ่นเสียง
"ชิ!" ออกมาหนึ่งพยางค์แล้วเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ผมนั่งกอดเขาซึ่งยืนอยู่เงียบ ๆ อีกครู่ใหญ่ การขยับครั้งต่อมาคือผมเอียงศีรษะรับกับมือเขาซึ่งยื่นมาลูบแผ่วเบา ส่งปลายนิ้วแทรกเข้ามาตามแนวเส้นผม ก่อนผมจะรู้สึกถึงน้ำหนักของอะไรบางอย่างที่กดลงมากลางกระหม่อมพร้อมกับเสียงสูดลมหายใจฟอดใหญ่
“แกก็หัวเหม็น” เขาหัวเราะ ถอนจมูกออกไปยิ้มร่า
“....”
และนาน ๆ ทีผมจะรู้สึกถึงความร้อนวาบบนใบหน้าตัวเองอย่างที่เป็นอยู่นี้ เหมือนอย่างเขาชอบว่านั่นแหละ ปกติผมคงหน้าหนาไปหน่อย มีเวลาให้ผมเขิน(ถ้าสิ่งนี้เรียกว่าเขิน)อยู่เพียงสองสามวินาทีก่อนน้ำเย็นเฉียบเป็นสายจะพุ่งเข้าใส่ศีรษะผมจากด้านบนจนเปียกโชกไปทั้งตัว
“สวมเสื้อผ้าอยู่ก็สระผมได้ เห็นยัง!?” เสียงเขาเปี่ยมความสนุกสนานอย่างกับเด็กได้ของเล่นถูกใจ ซึ่งผมก็ปลื้มนะที่เขาถูกใจผม...โอเค ยอมอยู่ในตำแหน่งของเล่นก็ได้
“เห็นแล้ว...แต่คราวหลังถ้าจะเล่นแบบนี้ขอน้ำอุ่นนะครับ”
เขาไม่ตอบ แต่คว้าขวดแชมพู (ผมจะพยายามคิดว่ามันเป็นแชมพูแม้ได้กลิ่นเหมือนครีมอาบน้ำมากกว่า)มาละเลงเต็มเส้นผมเปียก ๆ ที่ไหลลู่ลงมาปรกหน้าปรกตาของผม จากนั้นก็ลงมือขยี้จนฟองฟอด ...ซึ่งถึงตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่ามันเป็นครีมอาบน้ำ ไม่รู้ว่าตั้งใจแกล้งหรือบังเอิญแต่ก็ยังดีที่ไม่ใช่ยาสีฟัน ได้ยินเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจคลอไปด้วยตลอดการละเล่นของเขา แต่ปัญหาหลักคือผมนั่ง...เขายืน ระดับสายตาผมตรงกับอกขาว ๆ ที่เป็นทิวทัศน์เบื้องหน้านี่แหละทำสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ทำอะไรสักอย่างคงได้จับเขาเหวี่ยงลงกับอ่างอาบน้ำตรงนี้แล้วถลาตามลงไปฟัดในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าเป็นแน่
ทำอย่างอื่นก่อน...ทำอะไรดี? ผมควานหาฝักบัว เอื้อมมือปรับจนน้ำอุ่นกำลังดีแล้วหันหัวฝักบัวใส่หน้าเขาเต็ม ๆ...เพื่อความเท่าเทียม
“อาทิตย์! ไอ้เลว!” เขาสบถ ยกมือลูบหน้าลูบตาขณะที่ผมเริ่มรดน้ำลงบนเส้นผมของเขา ท่าทางเขายิ่งดูยิ่งเหมือนลูกหมาตกน้ำแล้วก็คิดได้ว่าสภาพตัวเองใช่ว่าจะต่าง แต่อย่างน้อยผมก็ใช้แชมพูบีบลงบนศีรษะเขาไม่ใช่ยาสีฟันหรือครีมอาบน้ำ
"พ..พอก่อน"
ผมทำหูทวนลม
“..เข้าตา เวรเอ๊ย!”
“ขอโทษครับ" ผมชะงัก "ไหนมาล้าง”
ปิ่นหยกเอาหลังมือตัวเองขยี้ตาพลางขยับตัวเข้ามาใกล้อย่างว่าง่าย ยื่นมือมาเกาะไหล่ผมคล้ายจะหาที่พึ่ง ผมเพิ่งรู้ตัวว่าคิดผิดตอนเขาเงยหน้าขึ้นมายักคิ้วพร้อมกับส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เฉลยออกมาอย่างน่าจับทำโทษให้หนักว่า “โกหกว่ะ” ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่ววินาที ก่อนเขาจะผลักผมหงายหลังไปบนที่ว่างตรงขอบอ่างแล้วกระโจนขึ้นมานั่งคร่อมพร้อมกับฝักบัวซึ่งเปลี่ยนเป็นน้ำเย็นอีกแล้วในมือ นึกถึงตอนทะเลาะแย่งห้องน้ำกันเมื่อครั้งที่ไปอยู่หอพักกับเขาใหม่ ๆ ขึ้นมาเลย
“เสร็จแน่ไอ้ลูกเจี๊ยบ” เขาหัวเราะหึ ๆ สุ้มเสียงกระหยิ่มยิ้มย่อง
“หืม??”
ผมเหลือบมองสิ่งที่อยู่ในมือเขา ละอองเย็น ๆ กระเซ็นมาโดนใบหน้าและผมไม่ชอบเวลาตัวเองเปียกน้ำเย็นเท่าไรนัก ร้ายจริง ๆ แต่ก็ช่างปะไร ให้เขาได้ใจสักหน่อยเพราะท่าทางตื่นเต้นดีใจเช่นนี้ออกจะน่าเอ็นดู
"ยอมแล้วครับ"
ปากว่าอย่างนั้น แต่มือโน้มคอเขาจนใบหน้าเคลื่อนลงมาเกือบชิด ตอนแรกเขาทำท่าตกใจเล็กน้อยแล้วออกอาการต่อต้าน แต่พอเราใกล้กันอีกนิด...ตัวเปียกน้ำอีกหน่อย และผมแนบริมฝีปากลงไปแผ่วเบาบนกลีบปากชมพูสดตรงหน้า อึดใจต่อมาฝักบัวก็หลุดจากมือเขาหล่นตุบแล้วสะบัดไปมาอยู่บนพื้น
ผมเอื้อมมือกดปิดน้ำ(ตามที่ถูกกรอกหูเช้าเย็นว่าให้ประหยัด)โดยยังไม่ละปลายลิ้นซึ่งเกี่ยวกระหวัดกันอยู่ สรรพสำเนียงอื่นหมดไป เหลือเพียงเสียงเสื้อผ้าและผิวเนื้อแฉะ ๆ กระทบกันคลอไปกับเสียงครางต่ำในลำคอซึ่งผมไม่แน่ใจนักว่าเป็นของใคร แขนทั้งสองข้างเขาค้ำอยู่บนไหล่ผม ขณะที่ผมเลื่อนฝ่ามือไปตามแผ่นหลังลื่นฟองแชมพู..หรือบางทีอาจเป็นครีมอาบน้ำ? ลากแผ่วเบาผ่านเส้นโค้งน้อย ๆ แถวเอวไปจนถึงช่วงสะโพก เกี่ยวขอบกางเกงชุ่มน้ำไว้ด้วยปลายนิ้ว..
เรื่องต่อจากนั้นผมขอไม่เล่าเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว แต่เอาน่า...อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ปล้ำเขาในห้องน้ำนะ
ถ้าสมยอมแล้วใครเขาเรียกปล้ำกันล่ะ?To be continued…====================================
ตอนนี้ไม่มีสาระอะไรนอกจากนัวเนีย...นัวเนีย...และนัวเนีย
*เขินอายม้วนต้วนหายไป* =////=
ไม่มีอะไรจะพูด ค้างไว้เท่านี้เชื่อว่าส่งคุณผู้อ่านพ้นสถานีปล่อยจรวด ส่วนไปจะสิ้นสุดที่ดาวไหนเชิญจิ้นตะนาการต่อได้ตามอัธยาศัยค่ะ (ฮา)
พบกันตอนหน้า ม๊วฟฟฟฟ ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยม ของแถมเลื่อนลงไปเช่นเคยนะคะ ^o^