:::: S p e c i a l ::::
ก่อนเราจะเจอกัน คืนข้ามปีของผมคือช่วงเวลานอนอืด นอนข้ามปีแบบไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกในรุ่งเช้าของอีกวัน เพราะปลุกไปก็ไม่ตื่นอยู่ดี เรื่องแสงแรกแห่งปีไม่ต้องพูดถึง เพราะผมไม่เห็นสนใจว่ามันจะต่างจากแสงที่สอง...แสงที่สาม...สี่ห้าหก หรือแสงที่สามร้อยหกสิบห้าหรือหกสิบหกของปีตรงไหน
ปีถัด ๆ มา ช่วงที่ผมตามเกาะเขา ทำตัวด้านได้อายอดย้ายมาอยู่หอเดียวกันดื้อ ๆ หลังถูกคุณพ่อเฉดหัวออกจากบ้าน คืนข้ามปีของผมเป็นช่วงเวลานรกของการทำงานกรรมกร แต่นอนน้อยกว่า กลางวันรับลูกค้า ซึ่งบรรยากาศมักจะครึกครื้นเป็นพิเศษ เพราะเค้กกับเทศกาลปีใหม่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น และฝีมือทำเค้กของพี่เอมก็ธรรมดาเสียที่ไหน ลูกค้าจึงไหลมาเทมาจนหัวหมุน รับหน้าร้านไม่พอ ยังมีออเดอร์พิเศษมาอีกเป็นกระบุง แถมพี่เอมก็ไม่ปิดร้านในช่วงเวลากอบโกยเช่นนี้เสียด้วย
ถึงจะบอกพนักงานว่าลากลับบ้านได้นะ หรือหยุดเที่ยว หยุดพักผ่อนก็ได้ แต่ปิ่นหยกที่หลังจากเสียคุณแม่ไป ก็ไม่มีใครให้ต้องไปหาแล้ว (จี้หยกน้องสาวเขาแวะมาเยี่ยมเยียนแล้วก็กลับบ้านไปกับคุณพ่อของผม—หรืออีกนัยคือพ่อบุญธรรมของจี้หยก) และตัวผมเองที่บ้านช่องมีแต่ยังกลับไม่ได้ ครั้นจะหยุดนอนอยู่ห้องเฉย ๆ ปิ่นหยกคงมองตาเขียว เลยต้องมาช่วยกันทำงานทำการตลอดวันหยุดเทศกาลไปโดยปริยาย
ปีถัด ๆ จากนั้น ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย คืนข้ามปีผมก็ยังคงสภาพเป็นกรรมกรอีกเช่นเคย (แม้ผมคิดว่าตัวเองหน้าตาดีเกินตำแหน่งไปสักหน่อย) เพราะปิ่นหยกไปรับงานพิเศษมาอยู่เรื่อย บอกว่าช่วงนี้แหละเงินดี ถึงเขาจะไม่ได้บังคับผมไป แต่ถ้าปิ่นหยกทำงาน ผมที่อยากอยู่กับเขาตลอดก็ต้องทำงานด้วยนั่นละ จะให้ปล่อยไว้ไกลหูไกลตาช่วงกลางค่ำกลางคืนน่ะไม่เอาด้วยหรอก แค่เรียนคนละคณะตอนกลางวัน แถมบางวันยังเหนื่อยจนแทบไม่ได้คุยไม่ได้อ้อนเขายาว ๆ ก็แย่แล้ว
พอจบทำงาน ปีใหม่ของผม ก็เป็นช่วงเวลาแห่งการสังคายนาบ้าน(ของปิ่นหยก)ครับ
พอเข้าช่วงสิ้นปีก็เริ่มแล้ว เริ่มต้นการทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ เรื่องงานบ้านนี่ยกให้เขาเลยจริง ๆ แต่เห็นอย่างนี้ผมก็ช่วยด้วยเหมือนกันนะ หลอกแต๊ะอั๋งระหว่างทำความสะอาดไปก็กำไรอยู่ ใจคอจะให้อดทนกับคอเสื้อกว้าง ๆ โชว์กระดูกไหปลาร้า แล้วก็ต้นคอเพรียวที่เห็นชัดตอนเขารัดผมจุกได้อย่างไร
ส่วนของที่เพิ่มขึ้นมาทุกปี ไม่รู้โผล่มาจากไหน อะไรเก็บขายได้ก็ขายเกลี้ยง แถมปิ่นหยกเคยบ่นด้วยว่าหากผมยังทำตัวขัดแข้งขัดขาเขา(คือ..ผมแค่แสดงความรัก)ตอนกำลังทำงาน เขาจะเอาผมไปขายด้วย... เชื่อเขาเลย
ไม่ได้หลงตัวเองหรอกนะ แต่ขายผมไป ถึงจะมีกินสบาย ๆ ไปทั้งชาติ—ผมตีค่าตัวของตัวเองไว้เยอะประมาณนั้นแหละ แต่เขาต้องเหงาตายแน่นอน
ถัดจากของที่จะขาย ก็มาแยกของบางอย่างที่ยังดีอยู่แต่ไม่ได้ใช้ เตรียมเอาไปบริจาคให้เด็ก ๆ ยากไร้ ถึงจะปากร้าย มือหนัก แต่ความจริงแม่ไก่ของผมใจดีสุด ๆ นะว่าไหม
แต่ปีนี้สิแปลกไป
ท่าทางเขายุ่งมากมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคมแล้ว ปกติถึงจะยุ่งอย่างไร ผมก็อาศัยความหน้าด้านถือวิสาสะเข้าไปส่องเขาถึงที่ทำงานเสมอ แต่ปลายปีนี้ นอกจากสอนหนังสือแล้ว ยังง่วนอยู่กับห้องแลบ ร่วมอยู่ในทีมวิจัยอะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้เรื่อง แล้วยังไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปวุ่นวายเสียด้วยสิ เล่นเอาอยากเปลี่ยนสายงานจากด้านบริหารไปอยู่สายวิทยาศาสตร์บ้างเสียรู้แล้วรู้รอด
ช่วงกลางเดือน เขาเริ่มกลับดึกบ่อย ๆ เอางานกลับมาทำต่อที่บ้านก็สลบเหมือดหน้าคอมพิวเตอร์ประจำ เวลาอย่างนั้นต่อให้จะเข้าไปลวนลามยังหมดเรี่ยวแรงปัดป้อง แต่ไอ้ครั้นจะให้หาเศษหาเลยต่อ เห็นรอยคล้ำใต้ตาแล้วเล่นเอาทำไม่ลง (งานเขาเสร็จ พลังฟื้นเมื่อไหร่ผมคงโดนเอาคืนย้อนหลังไม่น้อย) สุดท้ายก็ได้แต่อุ้มไปนอนที่เตียงดี ๆ เลือกอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เย็นประมาณที่เขาชอบแล้วห่มผ้าบาง ๆ ให้ เพราะรู้ว่าเขาขี้ร้อนแต่ก็ยังชอบจะมีอะไรคลุมร่าง อีกอย่างเวลาเขาโดนผมกอดแน่น ๆ จะได้ไม่ร้อนจนอึดอัดเกินไป
พอหลังคริสต์มาส จากที่แค่กลับดึก ถึงขั้นมีไม่กลับบ้านด้วย
ผมนี่ห่อเหี่ยวไปเลยครับ
อยากค้านเต็มแก่ ทว่าเห็นความมุ่งมั่นในแววตาเขาแล้วก็ได้แต่ยอมตามใจ ท่าทางคงเป็นงานสำคัญมากจริง ๆ ตัวผมที่โดนเฝ้าบ้านคนเดียวเลยโต๋เต๋มาเปิดโทรทัศน์ดูในห้องนั่งเล่น จากนั้นเผลอหลับไปบนโซฟา ปล่อยโทรทัศน์ดูผมแทน
เมื่อตื่นมาตอนเช้า ก็พบว่ามีผ้าห่มคลุมอยู่บนตัว โทรทัศน์ปิดเป็นที่เรียบร้อยตามมาตรการประหยัดไฟของบ้านเรา
ผมผุดลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มร่วงจากตัว ได้กลิ่นกาแฟหอมฉุยโชยเตะจมูก เหลียวไปมองด้านหลังที่มีชุดโต๊ะเก้าอี้เล็ก ๆ ตั้งอยู่ เห็นถ้วยกาแฟมีควันลอยกรุ่นวางอยู่บนโต๊ะ แต่ปิ่นหยกที่คงจะเป็นคนชงมากลับฟุบศีรษะอยู่ข้างถ้วยกาแฟ
ใจหนึ่งก็ห่วง อีกใจก็คิดถึง เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ เห็นแผ่นหลังขยับน้อย ๆ ตามจังหวะการหายใจสม่ำเสมอ ค่อยย่อตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวข้าง ๆ เอื้อมมือไปลูบหลังเขาแผ่วเบา เห็นคนหลับไม่มีทีท่าจะขยับ จึงค่อยเคลื่อนปลายนิ้วแทรกไปตามเส้นผม ค้อมตัวเอาแก้มแนบโต๊ะหันหน้าเข้าหาเขา
ตาเป็นหมีแพนด้านั้นทั้งน่าสงสารทั้งน่ารัก ริมฝีปากแห้งจนอดคิดไม่ได้ว่าได้ดื่มน้ำบ้างไหมนะ จ้องนานเข้าจึงเผลอขโมยจูบเบา ๆ บนกลีบปากบางนั่นสักที
“ปิ่นหยก?”
เขาไม่ตอบคำ หลับปุ๋ยขนาดไฟไหม้บ้านก็คงไม่ตื่น โดนปล้ำก็ท่าทางจะไม่ตื่นเหมือนกัน...น่าลอง
ผมตบหน้าผากตัวเองเบา ๆ กับความคิดอกุศล หากเป็นทุกทีเขาไม่รอดแน่ แต่คราวนี้ดูเหนื่อยเอาจริง ๆ จนใจร้ายด้วยไม่ไหว
เหลือบไปอีกทาง เห็นกาแฟที่ควันเริ่มบางลง อีกเดี๋ยวคงเย็นหมด สงสัยจะไม่ได้กิน
อยากกอดฟัดแรง ๆ สักทีก็กลัวทำตื่น ตัดสินใจอุ้มไปนอนดีกว่า
ทว่าตอนกำลังช้อนตัวเขาขึ้นมา จู่ ๆ ปิ่นหยกกลับลืมตาโพลง เห็นแสงสว่างแล้วทำหน้าเหมือนแวมไพร์โดนลากออกจากโลงตอนฟ้าสาง ทะลึ่งพรวดหลุดจากอ้อมกอดผมลงมายืนเซแซ่ด ๆ คำแรกที่หลุดจากปากไม่ใช่อรุณสวัสดิ์ เมอร์รี่คริสต์มาส หรือถ้อยคำหวานหูใดทั้งสิ้น
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว!?”
ผมกะพริบตาเอ๋อ ๆ ช่วยพยุงเขาไม่ให้ล้มไปกองกับพื้น จากนั้นเสยผมยุ่ง ๆ ของเขาให้พ้นจากหน้าผาก ตอนที่ปิ่นหยกพยายามมองไปทั่วบ้าน เหมือนยังสับสนจนลืมไปแล้วว่าตำแหน่งนาฬิกาติดอยู่บนผนังด้านไหน
“กี่โมงแล้วนะ” เขาถามซ้ำเสียงลนลาน
ผมมองข้ามไหล่เขาไปอีกฝั่ง อ่านเวลาบนนาฬิกาให้เขาฟัง
“แปดโมงครึ่งครับ”
“ฉิบหายแล้ว!”
ที่พอฟังรู้เรื่องเป็นภาษามีเท่านั้นเอง ก่อนเขาจะรีบผละออกไป คว้ากาแฟเย็นชืดกระดกใส่ปากอึก ๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำพร้อมออกจากบ้านในเวลาไม่ถึงสิบนาทีหลังจากนั้น
“เดี๋ยวก่อนสิ” ผมรั้งแขนเขาไว้ก่อนเจ้าตัวจะคว้ากุญแจรถผลุนผลันจากบ้านอีก “รีบขนาดนี้เลยหรือ”
“รีบ” ปิ่นหยกพูดเสียงจริงจัง “ปล่อยก่อนเร็ว”
“นายต้องพักบ้างนะ”
“รู้แล้ว แต่ปล่อยก่อน”
ผมถอนใจเฮือก คิดว่าช่วงนี้เขาโหมงานมากไปหน่อยแล้ว ใกล้สิ้นปีเป็นเวลาที่ควรจะพักผ่อนแท้ ๆ แถมเช้านี้คริสต์มาสอีกต่างหาก ทั้งที่ปกติเราควรจะนอนกลิ้ง ๆ กันบนเตียงหลังจากกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันทั้งคืนไม่ใช่หรือไง ยังไม่ทันไรก็จะไปทำงานอีกแล้ว
“ปิ่นหยกครับ”
“ฉันรีบจริง ๆ นะอาทิตย์ ปล่อยก่อนเหอะ มีงานที่ต้องรีบสะสางจริง ๆ”
“ค่อยเก็บไว้ทำปีหน้าก็ได้—อุ!”
น้อยครั้งนักที่ปิ่นหยกจะเริ่มทำอะไรอย่างเช่นจูบผมก่อน และน้อยยิ่งกว่าน้อยที่ปิ่นหยกจะเริ่มก่อนแบบดุเดือดขนาดนี้ นี่จะต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์บ้านกุ๊กไก่เลยทีเดียว
“...อือ”
เขาทำเอาผมเคลิ้มจริง ๆ นะ มือผมนี่ย้ายไปขยำแถวสะโพกเขาเตรียมดำเนินขั้นตอนถัดไปแล้ว แต่ยังไม่ได้จะได้ลงมือทำอะไรต่อเป็นเรื่องเป็นราว ก็ถูกอาศัยทีเผลอตอนกำลังการ์ดตก โดนผลักเสียหน้าหงาย ผงกขึ้นมาได้อีกที เห็นปิ่นหยกทำหน้าตื่นอยู่ในลานสายตา ปากเจ่อขึ้นมานิดหน่อยอย่างน่าเอ็นดู พูดเสียงร้อนรนปนหอบ
“อยู่บ้านดี ๆ อย่าดื้อนะ” ว่าพลางวางสองมือประคองหน้าผมไปด้วย แม่ไก่ก็ยังเป็นแม่ไก่อยู่วันยังค่ำ “รอก่อน โอเคไหม”
ยังไม่ทันได้ร้องตอบเลยว่าผมไม่โอเค ปิ่นหยกก็วิ่งปรู๊ดออกจากบ้าน แล้วอึดใจต่อมา รถเขาก็แล่นฉิวผ่านรั้วไปต่อหน้าต่อตา
ปล่อยผมเป็นลูกเจี๊ยบถูกทิ้ง ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างอาลัยอาวรณ์
ผมรึอุตส่าห์ลางานให้ตัวเองรอไว้แล้วแท้ ๆ กะว่าช่วงรอยต่อปีจะหยุดยาว อ้อนเขาแล้วหิ้วไปอยู่บ้านพักตากอากาศสักแห่งที่คนไม่พลุกพล่าน นอนดูดาวกันข้ามปี โรแมนติกสุด ๆ แต่ความบ้างานของปิ่นหยกไม่เคยปรานีผมเลย
วันที่ยี่สิบห้า-ยี่สิบหก เขาไม่กลับบ้าน
วันที่ยี่สิบเจ็ด กลับดึก...เรียกว่าเกือบเช้าดีกว่า
ผมนอนรออยู่บนโซฟาจนผล็อยหลับไปอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ตั้งตัวไว้อย่างดี เปิดแอร์หนาว ๆ แล้วไม่ยอมห่มผ้า ตั้งใจนอนอ่อยเต็มที่ รู้สึกตอนเขาเข้ามาห่มผ้าให้ราวตีสาม
โดยไม่ปล่อยให้ได้ลุกหนี รีบใช้โอกาสตอนปิ่นหยกกำลังเผลอ (เราอยู่กันแบบอาศัยทีเผลออย่างนี้แหละครับ) ยื่นแขนไปคล้องรอบเอวเขาแล้วรวบเข้ามากอดโดยพลัน
ปิ่นหยกตัวสูงใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อน ตอนเด็ก ๆ นี่ผอมแห้งเหลือเกิน แต่ตัวผมเองก็สูงใหญ่ขึ้นเช่นกัน ขนาดร่างกายเขาตอนนี้ผมจึงถือว่ากำลังดี กำลังกอดสบาย แถมต่อให้ยกขึ้นอุ้มทั้งตัวก็ยังไหว
เขาดิ้นขลุกขลักอยู่ครู่หนึ่ง บอกว่าต้องรีบจัดการงานอะไรของเขาสักอย่าง แต่คราวนี้ผมดื้อเอาจริง ๆ ยังไงก็กอดแน่นไม่ยอมปล่อย จนสุดท้ายเขาเหมือนจะยอมแพ้ ถอนใจเฮือกอย่างอ่อนแรง บ่นว่างั้นขอตั้งนาฬิกาปลุกหน่อย ก้ม ๆ เงย ๆ กับหน้าจอมือถือที่ส่องสว่างในความมืด เสร็จแล้ววางไว้ไม่ไกลนัก ก่อนจะซุกตัวเข้ามาในอ้อมกอดผม พึมพำแผ่วเบา ถ้าฟังไม่ผิดคล้ายจะเป็น ‘โทษทีนะ ทนอีกหน่อย’
พอเช้ามาเข้าวันที่ยี่สิบแปด ปิ่นหยกก็หายไปอีกแล้ว มีส่งข้อความมาบอกว่าอยู่ที่ทำงาน
วันที่ยี่สิบเก้า เจอหน้ากันอยู่พักหนึ่งช่วงเช้าถึงสาย จากนั้นเขาก็รีบรุดออกจากบ้านอย่างเคย
วันที่สามสิบ จิตใจผมห่อเหี่ยวเหมือนลูกโป่งลมรั่วจบฟีบ คืนนี้ปิ่นหยกไม่กลับบ้าน ประกาศเจตนารมณ์ไว้ชัดเจนตั้งแต่ก่อนออกไป
ผมซึ่งหมดข้อโต้แย้งใด ๆ ได้แต่นั่งทอดถอนใจ จนล่วงเลยมาถึงวันที่สามสิบเอ็ด วันสิ้นปีเข้าไปแล้ว รู้สึกว่าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ จึงได้ตัดสินใจขับรถตามไปดูที่ทำงานเขาตั้งแต่ตะวันเริ่มคล้อย
แต่แล้วก็มาสิ้นไร้หนทางอย่างน่าเวทนาอยู่ตรงประตูที่ต้องใช้คีย์การ์ด ให้ตาย รู้อยู่แล้วแท้ ๆ แต่มันอดมาดูให้เห็นกับตาไม่ได้
แต่เอาเถอะ ผมรออยู่แถวนี้ก็ได้ ตรงลานจอดรถที่ผ่านมาเมื่อครู่ยังเห็นรถเขาจอดนิ่งอยู่เลย ทว่าเมื่อโทรไปกลับไม่ติด ไม่รู้โทรศัพท์เขาแบตฯ หมดไปแล้วหรือเปล่า ตัดสินใจว่าจะรอจนกว่าเขาเลิกงานอยู่แถวประตูนี่แล้วกัน
ทว่ายิ่งนั่งรอนานเข้า มองเข็มนาฬิกาข้อมือหมุนจนเกือบจะหมดปี ก็ยิ่งรู้สึกสิ้นหวังพิกล
เวลาราวห้าทุ่มกว่า มีเงาตะคุ่มของคนเดินออกมากจากประตู เห็นหน้าแล้วจำได้ว่าเป็นผู้ร่วมงานคนหนึ่งของปิ่นหยก ผมผุดลุกขึ้นยืนจังก้า เตรียมพุ่งเข้าชาร์จเหยื่อ
“อ้าว คุณอาทิตย์”
แต่ดันโดนทักเข้าก่อน
“มาทำอะไรตรงนี้ครับ หาไอ้ปิ่นหรือ”
ผมรีบพยักหน้า “ใช่ครับ เขาอยู่ไหม โทรไปไม่เห็นรับ”
“มือถือแบตฯ หมดมั้งครับ”
“อา..”
“แต่มันก็น่าจะใกล้เสร็จแล้ว ทันสิ้นปีพอดีเลย”
“งานน่ะหรือครับ”
อีกฝ่ายผงกศีรษะพลางถอนใจยาว “เจ้านั่นบ้างานนะครับ แต่ปกติก็ไม่ขนาดนี้”
ผมกู่ร้องในใจว่าใช่! ก็รู้อยู่หรอกว่าเขาขยันทำงาน แต่ทุกทียังมีเวลาให้ผมเสมอ แล้วยิ่งเป็นช่วงสิ้นปีอย่างนี้อีก ที่ผ่านมาต่อให้ไม่ยอมหยุดยาวไปไหนด้วยกัน ผมไม่เคยว่าเขา (อาจมีบ่นหงุงหงิงนิดหน่อยพอให้เขารำคาญเล่น) แต่ปีนี้หนักเข้าถึงขนาดเวลาจะใช้ด้วยกันยังน้อยนิดจนอดสะเทือนใจไม่ได้ ที่ผ่านมาปิ่นหยกไม่เคยทอดทิ้งผมนานขนาดนี้เลย
“เพราะว่าปีนี้จะขอลายาวช่วงปีใหม่ด้วยละมั้ง”
“หือ?”
“เชื่อเขาเลยนะครับ ปกติจะวันหยุดอะไรไม่เคยขอลายาว วันลาพักร้อนไม่ยักเอามาใช้ แต่ปีนี้บอกมีคนสำคัญที่อยากอยู่ด้วยกันลาหยุดไว้ก่อนแล้ว เลยอยากรีบจัดการงานส่วนของตัวเองให้เสร็จก่อนจะไม่มาอีกหลายวัน”
ผมอยากจะกดรีเพลย์คำพูดของอีกฝ่ายสักรอบ ให้แน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิด ในอกพลันตื้อขึ้นมา แทบจะกระโดดโลดเต้นเสียตรงนั้น
คนสำคัญคนนั้นจะมีใครได้อีกนอกจากผม...ต้องเป็นผมเองแหง ๆ พอคิดอย่างนั้นใจก็สุดแสนจะลิงโลด ขณะที่ยังได้ยินเสียงคู่สนทนาบ่นหงุงหงิงมาเข้าหู
“น่าอิจฉาชะมัด พวกคนมีแฟนเนี่ย สงสัยแฟนสวยแหง ๆ เลยยอมเหนื่อยส่งท้ายปีขนาดนี้”
ผมกระแอม ตั้งใจจะแก้ให้สักหน่อยว่าที่จริงแล้วคนอื่นก็ชมว่าผมหล่อนะ ไม่ใช่สวย ทว่ายังไม่ได้ทันได้ออกปาก ร่างคุ้น ๆ ที่ขอบตากลายเป็นหมีแพนด้าไปแล้วก็เดินสะโหลสะเหลออกมาจากประตู
“ปิ่นหยก!”
ผมร้องเรียกพลางโผเข้าไปกอดหมับอย่างไม่สนใจมนุษย์ส่วนเกินอีกคนที่ยืนอ้าปากหวอมองเราสองคน ขณะที่ปิ่นหยกก็ดูเหนื่อยล้าเกินกว่าจะปัดป้องแล้ว หลังจากตกใจไปเฮือกหนึ่งที่ผมมาโผล่อยู่ตรงนี้ กะพริบตาปริบ ๆ อยู่ครู่ใหญ่คงนึกได้ว่าไม่น่าแปลกสักนิดกับการปรากฏตัวนอกเหนือคำสั่งรออยู่ที่บ้าน
สุดท้ายเขาก็กอดตอบเบา ๆ ตบหลังผมแปะ ๆ หัวเราะแผ่วเบาแล้วซบหน้าผากลงบนไหล่ผม พึมพำเสียงอ่อนแรง
“ไอ้ลูกเจี๊ยบดื้อ”
เสียงพลุปีใหม่ดังมาไกล ๆ จากที่ไหนสักแห่ง ดอกไม้ไฟหลากสีอวดแสงวูบวาบปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า จะดีมาก ๆ ถ้ามีแค่ผมกับเขาสองคน แต่ถือว่าตัดเพื่อนร่วมงานผู้กำลังงุนงงอีกคนตรงนี้ออกจากฉากในหัวผมแล้วกัน
“ไม่ดื้อจะได้เจอนายก่อนสิ้นปีหรือ?”
เขาส่งเสียงหัวเราะอ่อนใจ จากที่ลูบหลังผมอยู่ก็ฟาดลงมาดังตุบ...แทบกระอักปอดออกมาทางปาก มือหนักอย่างทุกทีเลย
“พรุ่งนี้ไปเที่ยวกัน จองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว”
ผมหูผึ่ง ประหลาดใจแทบหงายหลัง ปิ่นหยกผู้งกแสนงกบอกจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว คุณพระช่วย!
ผมไม่กล้าถามเลยว่าไปไหน หรือปิ่นหยกลางานไว้กี่วัน รู้แต่เขาจะชวนผมไปไหนก็ไปทั้งนั้นละ และถ้าวันลาผมไม่พอ ก็จะขี้โกงลาต่อในฐานะผู้บริหารควบตำแหน่งพ่อบ้านใจกล้าแห่งปีให้รู้แล้วรู้รอด
คิดแล้วให้แสนกระหยิ่มในใจ มือรวบเอวเขาหมับ เอี้ยวตัวนิดหน่อยเพื่อจูบลงบนขมับเขาหนึ่งฟอดใหญ่ ปิ่นหยกเหมือนจะผล็อยหลับไปทั้งที่ยังทิ้งน้ำหนักใส่ผมเต็มตัว ส่วนพยานรู้เห็นเหตุการณ์อีกหนึ่งตกใจจนขากรรไกรล่างแทบร่วงหล่นลงพื้นไปแล้ว
ผมยักคิ้วให้เพื่อนร่วมงานของคนรักหนึ่งครั้ง เอ่ยสิ่งที่หากปิ่นหยกตื่นรู้สติเต็มตัว ต้องโดนเขาต่อยหน้าหันแหง ๆ
“ผมว่าแฟนปิ่นหยกหล่อมากกว่านะครับ ไม่ใช่สวย”
“หา!?”
“ก็ใคร ๆ มักชมผมอย่างนั้นนี่นา เกิดมาไม่เคยมีใครบอกสวยนะ”
“ห้ะ!?”
ผมหัวเราะ รวบทั้งร่างคนในอ้อมแขนไว้แน่น จากนั้นอุ้มของขวัญปีใหม่ของตัวเองกลับขึ้นรถ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างครึ้มอกครึ้มใจข้ามปี
H A P P Y N E W Y E A R 2 0 1 6 !
อาทิตย์ นางมั่นหน้ามาก 55555 ปิ่นหยกสู้มั้ยลูก ฮาา
สวัสดีปีใหม่ค่า ^o^
ขอให้เป็นปีที่ดี สดใสเจิดจ้านะคะ ด้วยรักและคิดถึงคนอ่านและครอบครัวกุ๊กไก่ค่ะ
ปล. เรื่องรักติดดิน น่าจะมีแพลนรีปริ๊นต์ในปีนี้่ด้วยแหละค่ะถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด แฮร่~~~
