ตอนที่ 4กัส“คุณหมอคะ ขอบคุณค่ะ” เด็กหญิงใส่ชุดนักเรียนพนมมือไหว้ขอบคุณอย่างน่ารักด้วยรอยยิ้มแจ่มใสแววตาใสซื่อ ผมจึงยกมือลูบหัวทุยให้อย่างเอ็นดูกับคนไข้ตัวน้อยก่อนเอ่ยรับคำ
“ครับลูก” ผมมองตามแผ่นหลังเล็กๆที่หมุนตัวเดินจากไปด้วยใบหน้าที่ประดับยิ้มไม่คลาย ผมที่กำลังมองร่างที่เพิ่งจากไปเพลินๆก็ต้องหันมาตามน้ำเสียงเกรงใจที่ดังขึ้นข้างตัว
“หมอกัสคะ เด็กนักเรียนที่ต้องทำฟันหมดแล้วค่ะ เก็บของเลยนะคะ” หญิงสาวในชุดทำงานที่ปกปิดตั้งแต่ศีรษะลงไปเหลือเพียงลูกตาแวววาวขี้เล่น แต่ผมก็ยังรู้ว่าภายใต้ผ้าปิดจมูกนั้นใบหน้าของเธอคนนี้คงเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง ผมจึงพยักหน้าให้แทนคำตอบพร้อมถอดผ้าปิดจมูกก่อนคลี่ยิ้มไปให้ผู้ช่วยทันตแพทย์สาวที่ยืนรอรับคำสั่ง
“ครับ เดี๋ยววันนี้หมอจะพาทุกคนไปเลี้ยงข้าวนะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” หลังคำพูดของผมประกายตาที่ผมได้สบก็ส่องแสงวิบวับอย่างถูกใจมาให้ได้รู้ว่าเจ้าของถูกใจแค่ไหน ก่อนที่เธอจะหันกลับไปเก็บของอย่างกระตือรือร้น ผมเองก็ถอดเสื้อคลุมทำงานออกจากตัวหลังเสร็จสิ้นภารกิจออกหน่วยโรงเรียนประจำอาทิตย์แล้ว
งานประจำของผมในตอนนี้ก็คือการเป็นทันตแพทย์ตัวเล็กๆประจำในโรงพยาบาลชุมชนที่ห่างไกลความเจริญ นอกจากการให้บริการรักษาที่โรงพยาบาลเป็นปกติแล้ว ผมมีหน้าที่ที่ต้องออกหน่วยบริการทันตกรรมเคลื่อนที่ตามโรงเรียนที่ห่างไกลด้วย แม้จะเหนื่อยกว่าปกติแต่ความอิ่มใจและความสุขที่ได้รับจากเด็กตัวเล็กๆนั้นมันต่างกันมาก ‘ยิ่งเหนื่อยยิ่งสุขใจ ยิ่งเหนื่อยยิ่งอิ่มใจ’ ที่ทำให้เด็กน้อยกลับมายิ้มเต็มหน้าได้อีกครั้ง
“คุณหมอครับวันนี้ต้องขอบคุณมากเลยครับที่มาให้บริการถึงที่โรงเรียนของเรา” เจ้าของน้ำเสียงปรานีที่ผมได้ยินเป็นชายวัยใกล้เกษียณหน้าตาใจดีมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้มีรูปร่างผอมไม่สูงนักในชุดสีกากีใบหน้าประดับยิ้มอ่อนโยนแววตาใจดี
“ครับ ไม่เป็นไรครับ เพราะการออกหน่วยแบบนี้ถือเป็นการดูแลสุขภาพช่องปากให้แก่เด็กๆซึ่งหมอถือว่าเค้าเป็นลูกเป็นหลานอยากให้มีสุขภาพฟันที่ดีน่ะครับ” ผมส่งยิ้มละมุนให้แก่ครูใหญ่ใจดีที่เดินเข้ามาคุยด้วย ก่อนจะพูดถึงปัญหาสุขภาพช่องปากของนักเรียนเพื่อให้ทางผู้อำนวยการท่านได้รับรู้และหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน เมื่อเห็นว่าผู้ช่วยได้เก็บของเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยขอตัวกลับ
“วันนี้ผมคงต้องขอตัวนะครับเพราะเดี๋ยวจะต้องไปเลี้ยงข้าวเด็กๆต่อ” จบประโยคที่พูดกับครูใหญ่ผมก็หันไปกระเซ้าเพื่อนร่วมงานที่อยู่ในฐานะลูกน้อง และได้รอยยิ้มอายๆตอบกลับจากบรรดาลูกน้องที่ยืนเคียงข้าง ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ครูใหญ่อีกครั้งซึ่งท่านก็ยังยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี
หลังจากนั้นผมรวมทั้งลูกน้องก็เอ่ยล่ำลาครูใหญ่และคุณครูอีกสองคนที่เดินมาส่งถึงรถที่สตาร์ทเครื่องรอพร้อมอยู่แล้ว ก่อนพวกเราทุกคนจะยกมือทำความเคารพเพื่อเอ่ยลา
“ครับขอบคุณอีกครั้งนะครับ” เสียงอ่อนโยนไม่แพ้ดวงตาที่ผมได้สบของครูใหญ่ ยิ่งทำให้ผมฉีกยิ้มกว้างได้มากกว่าเดิม
“ครับ”
หลังจากนั้นรถโรงพยาบาลที่บรรจุเครื่องมือและเหล่าบุคลากรที่มาออกหน่วยก็ออกตัว เพื่อเดินทางกลับไปยังสถานที่ที่เป็นทั้งที่ทำงานและที่พักของผม
“กัสไปรึยังอ่ะ มิคหิวแล้วน้า” เสียงหวานของคนคุ้นเคยดังขึ้นหน้าประตู โดยที่เจ้าของเสียงถือวิสาสะเปิดเข้ามาเอง ผมก็หันไปส่งยิ้มให้เพื่อนสนิทที่กำลังส่งยิ้มกว้างตาปิดมาให้อย่างเอาใจ ก่อนเจ้าของความสูงที่ไม่ต่างจากผมนักจะเดินเข้ามาในห้องและหย่อนตัวนั่งลงบนเตียง
เพื่อนสนิทของผมคนนี้เป็นหนุ่มตัวเล็กผู้มีผิวขาวผ่อง มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยุ่งไม่เป็นทรงเพราะเจ้าตัวไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไหร่เมื่อเทียบกับของกิน ผู้ที่สวมแว่นกรอบหนาบดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง ทั้งๆที่เครื่องหน้าออกจะลงตัวไปหมด ด้วยตากลมโตที่มีกรอบขนตายาวงอนเป็นแผง ทั้งจมูกเรียวแหลมที่มีแว่นปิดทับไว้อย่างน่าเสียดาย ริมฝีปากแดงอวบอิ่มที่กำลังคลี่ยิ้มกว้างนั้นก็ยิ่งน่ามอง ประกอบกับผิวแก้มใสที่น่าฝังจมูกสูดกลิ่นนั่นอีก ถ้าใครมาเห็นเพื่อนสนิทของผมตอนถอดรูปเชื่อได้ว่าต้องหลงในความน่ารักเข้าเป็นแน่ครับ คุณสมบัติเหล่านี้เป็นของเพื่อนผมที่ชื่อ ‘น้องมิค หรือ ศรันย์’ ชื่อแรกนั้นคุณแม่คนสวยของมิคเรียกได้คนเดียวเท่านั้น เพราะถ้ามีใครเผลอเรียกโดยมีคำว่าน้องนำหน้าชื่อเล่นเมื่อไหร่มิคจะโกรธจนไม่คุยด้วยเลยต้องใช้เวลาง้อเป็นอาทิตย์กว่าจะยอมใจอ่อนคุยด้วยได้ ขนาดผมที่เป็นเพื่อนสนิทเผลอเรียกไปว่า ‘น้องมิค’ ตอนนั้นมิคงอนผมนานกว่าจะยอมคุยด้วยต้องเสียเงินเลี้ยงข้าวไปหลายมื้อทีเดียวครับ แต่มิคก็เป็นคนที่เข้มแข็งและเป็นที่พึ่งยามทุกข์ของผมได้เสมอ
“อะไรกันมิค ดูสิทำหน้าแบบนี้ไม่น่ารักเลยน้า” หลังจากผมพิจารณาใบหน้าคนน่ารักไปพักใหญ่ก็ต้องเอ่ยแซวขึ้นมา เมื่อเห็นว่ามิคเริ่มทำหน้างอนปากยื่นซะแล้ว ด้วยที่ว่าเห็นผมเงียบไปนานทั้งๆที่เจ้าตัวเค้าทักมานานมั้งครับ จึงขอเย้าให้เพื่อนอารมณ์ดีขึ้นมานิด แต่ดูท่าจะไม่ได้ผลเพราะมิคส่งค้อนเล็กๆก่อนแลบลิ้นส่งมาให้ ‘นี่เริ่มงอนแล้วล่ะสิ’ อารมณ์อยากแกล้งเพื่อนปะทุขึ้นเล็กๆ
“แต่จริงๆแล้วกัสตั้งใจเลี้ยงแค่เด็กๆในห้องเท่านั้นนะ มิคไม่เกี่ยวซะหน่อย ฮิๆๆ” นั่นไงครับย่นจมูกใส่ผมแล้ว ปากแดงๆก็เริ่มเม้มแน่นพร้อมกอดอกฉับทันที ดูสิครับมิคออกจะน่ารักจะให้ผมอดใจไม่แกล้งได้ยังไง
“โฮ ไรอ่ะ มิคก็เป็นลูกน้องกัสเหมือนกันนะสองมาตรฐานชัดๆ” เสียงกระเง้ากระงอดถูกส่งมาให้ผมพร้อมแววตาน้อยใจ และผมต้องรีบกลับตัวเลิกแกล้งเพื่อน เพราะถ้ามิคงอนขึ้นมาผมคงต้องง้ออีกนานเลย ผมจึงเดินเข้าไปนั่งข้างมิคบนเตียงและสวมกอดร่างบางไว้หลวมๆก่อนส่งเสียงง้องอน
“แหม หมอมิคไม่งอนนะ ป่ะเดี๋ยวหมอกัสเลี้ยงเอง” ใบหน้าบึ้งตึงของมิคค่อยๆคลายลงผมจึงกอดมิคแน่นขึ้นและโยกตัวไปมา จนกระทั่งมิคหลุดเสียงหัวเราะออกมานั่นแหละผมถึงโล่งใจได้ หลังจากนั้นเราสองคนก็พากันไปยังร้านอาหารที่นัดกับบรรดาลูกน้องในฝ่ายไว้
โต๊ะอาหารนอกชานของร้านอาหารที่มีขนาดไม่ใหญ่นักมีผู้ร่วมโต๊ะด้วยทั้งหมดหกคนประกอบด้วยชายหนุ่มสามคนและหญิงสาวสามคนนั้น ต่างพูดคุยกันเบาๆหลังจบมื้ออาหาร ผมที่กวาดมองไปโดยรอบก็เห็นว่าทุกคนทานกันเสร็จแล้วและได้เวลาสมควรที่จะกลับบ้าน จึงหันไปทางหญิงสาวที่นั่งใกล้ตัวและพยักหน้าส่งสัญญาณให้
“คิดเงินด้วยค่ะ” เสียงหญิงสาวที่ผมพยักหน้าส่งสัญญาณให้เรียกเก็บเงินดังขึ้น ก่อนที่ผมจะหันกลับมาไล่มองผู้ร่วมโต๊ะอาหารคนอื่นอีกครั้ง ซึ่งก็พบกับรอยยิ้มละไมและสายตาเปิดเผยที่เจ้าของนั่งอยู่ตรงหน้า จนผมต้องเสหลบตาหันมาทางมิคที่นั่งข้างกันแทน
“เดี๋ยววันนี้พี่เลี้ยงเองนะครับน้องกัส อย่าปฏิเสธพี่เลย” ผมพยายามปฏิเสธเมื่อรู้ความหมายที่เจ้าของประโยคต้องการ
“แต่.....อ๊ะครับ ขอบคุณครับหมอพจน์” ผมที่ยังปฏิเสธได้ไม่เต็มคำก็ต้องจำใจยอมรับความหวังดีของหมอหนุ่มรุ่นพี่ตรงหน้าไปด้วยรอยยิ้มแหยอย่างลำบากใจ เพราะโดนเพื่อนสนิทสะกิดด้วยเท้าใต้โต๊ะให้ยอมรับเลี้ยงจากหมอพจน์คนที่พยายามมาตีสนิทผมอยู่ตอนนี้
“ขอบคุณครับพี่พจน์ / ขอบคุณค่ะคุณหมอ” สี่เสียงประสานขอบคุณหมอหนุ่มร่างหนาผิวขาวตาตี่ที่เห็นว่าหัวหน้าอย่างผมยอมรับเลี้ยงแล้ว และผมก็หันมาส่งค้อนให้หมอมิคตัวแสบที่ยังยิ้มร่าอย่างถูกใจที่ได้กินฟรีในมื้อนี้
ไม่รู้ว่ามิคจะรู้มั้ยว่ามิคน่ะดีใจอยู่บนความลำบากใจของเพื่อนแบบผมอยู่ ผมนั้นรู้จุดประสงค์ที่หมอพจน์เข้ามาตีสนิทด้วย แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะรับไมตรีจากใครทั้งนั้น ไม่อยากให้ความหวังใครในขณะที่ตัวเองไม่พร้อมแบบนี้เลย และการที่หมอพจน์มาทานอาหารมื้อนี้ด้วยนั้นเป็นความบังเอิญแท้ๆเชียวครับ เพราะผมเจอหมอพจน์ตอนที่กำลังเดินไปขึ้นรถพร้อมมิคพอดี พอหมอพจน์รู้ว่าจะมาที่นี่จึงขอมาทานข้าวด้วยและผมก็ไม่มีเหตุผลดีพอที่จะปฏิเสธจึงต้องเลยตามเลย เหตุการณ์ลักษณะคล้ายกันแบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว ผมก็พยายามเลี่ยงมาตลอดเวลาหนึ่งปีที่เรารู้จักกันเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเพราะอะไรหมอพจน์ถึงมีพฤติกรรมแบบนี้
“ผมว่าเรากลับกันเถอะครับ ไปมิค พวกเรากลับกันดีๆนะครับ” เมื่อหมอพจน์รับเงินทอนแล้ว ผมก็เอ่ยปากชักชวนทุกคนให้กลับบ้าน เพราะผมนั้นห่วงเรื่องการเดินทางของลูกน้องยิ่งดึกยิ่งเดินทางลำบาก
“ค่ะคุณหมอ พรุ่งนี้เจอกันนะคะหมอกัสหมอมิค” ผู้ช่วยสาวหันมายกมือไหว้ผมและมิคด้วยรอยยิ้มขอบคุณ ก่อนจะหันไปขอบคุณเจ้ามือตัวจริงที่ยังคงยืนยิ้มอยู่ข้างกายผม
“ขอบคุณอีกครั้งค่ะคุณหมอพจน์” ทำให้อีกสองสาวที่เหลือทำตามทันทีและต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน เหลือเพียงผม มิค และหมอพจน์ที่ยืนส่งสามสาวที่ขี่มอเตอร์ไซค์กลับจนลับตา
“งั้นเดี๋ยวมิคกับกัสไปแล้วนะครับ” เสียงใสๆของมิคดังขึ้นทำลายความเงียบและอาการกระอักกระอ่วนภายในใจของผมลง ผมเงยหน้าสบตาวาวหวานของหมอพจน์ ก่อนจะรีบขอบคุณตามเพื่อนสนิทและหลบสายตาคู่นั้น ผมจับข้อมือมิคให้เดินตามกันมาที่รถแต่แล้วก็ต้องชะงักเท้าเพราะเสียงนุ่มที่ไล่หลังมา
“เอ่อน้องกัส ขับรถดีๆนะครับ” ผมหันไปส่งยิ้มจืดเจื่อนให้หมอพจน์นิดหน่อยและรับคำ ก่อนหมุนตัวเร่งฝีเท้าจากมาแต่ก็ยังอดรู้สึกผิดนิดๆไม่ได้เมื่อได้เห็นแววตาละห้อยของคนข้างหลัง
“น่าสงสารหมอพจน์จริงๆน้า พยายามมาเป็นปีแต่ก็ไม่เป็นผล โอ๊ยยยย กัสอ่ะ” ดูคำพูดคำจาของเพื่อนสนิทผมสิครับ ทำไมถึงกล้าพูดแบบนี้ขึ้นมานะผมยังไม่กล้าคิดประเด็นนี้เลย
ผมจึงจัดการตีแขนมิคไปเบาๆแต่ที่เจ้าตัวก็ร้องซะดังคงด้วยแกล้งร้องเกินจริงไปอย่างนั้นเอง หลังจากนั้นผมก็แกล้งตีหน้าดุชี้นิ้วคาดโทษเพื่อนจอมทะเล้นเพื่อปรามไม่ให้พูดเล่นอีก
“ครับ กลัวแล้วครับ น้องมิคไม่พูดแล้วครับ ฮ่าๆๆๆ” มิคฉีกยิ้มกว้างก่อนเข้ามากอดแขนประจบเอาใจอย่างน่ารัก จนผมเผลอยิ้มคลายดุให้เจ้าตัวดีต้องหัวเราะคิกคักออกมา แต่ก่อนที่เราจะแยกย้ายเข้าห้องเสียงโทรศัพท์ของมิคก็ดังขึ้น
“จ้า ว่าไงมายเดียร์.... กินแล้วเพิ่งกลับมาเนี่ย.....อยู่ด้วยกันเนี่ยแหละ.....คงลืมเอาไปมั้ง”
เท่าที่ผมจับใจความได้นั้นคนที่มิคคุยด้วยคงเป็นเพื่อนสาวคนสนิทอีกคนในกลุ่มเราที่เรียนมาด้วยกันตลอดหกปี ชื่อ ‘มาย หรือ ดวงกมล’ เพื่อนสาวคนสวยที่มิคมักจะติดปากแซวเรียกมายว่า ‘มายเดียร์’ เสมอ แรกๆเจ้าตัวก็โวยวายแต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้หนุ่มจอมซนประจำกลุ่มจนได้ มายเป็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักเครื่องหน้าจิ้มลิ้มปากนิดจมูกหน่อยแถมมีเขี้ยวมุมปากด้านขวาด้วยยิ้มทีหนุ่มๆแทบละลาย ประกอบกับเสน่ห์เรื่องรูปร่างที่แม้มายจะมีส่วนสูงไม่มากนัก พอๆกับผมและมิคแต่ด้วยทรวดทรงองค์เอวที่อวบอิ่มดั่งนาฬิกาทราย เดินไปทางไหนคนเหลียวหลังจนคอแทบเคล็ด ให้มิคต้องเหนื่อยคอยตีหน้ายักษ์กันหนุ่มๆที่เข้าหาเพื่อนสาวคนสวยตลอด และเมื่อเรียนจบถึงเวลาใช้ชีวิตทำงานมายหญิงเดียวในกลุ่มกลับโดนคุณแม่ขอร้องให้ชดใช้เงินแทนการมาใช้ทุนทำงานตามโรงพยาบาลรัฐบาลแทน เพราะความเป็นห่วงลูกสาวคนเล็กสุดสวยคนนี้ทำให้เราไม่ได้มาใช้ชีวิตทำงานร่วมกันเหมือนตอนเรียน
“ได้ครับ เดี๋ยวมิคเปิดสปีคเกอร์โฟนให้นะ” มิคพยักหน้ามาให้ผมก่อนวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะหน้าโซฟา ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงหวานๆของเพื่อนสาวคนสนิทดังออกมา
“คิดถึงกัสกับมิคจังเลย เนี่ยมายเพิ่งถึงบ้านเองอ่ะรถติดมากๆเลย” ได้ยินแบบนี้ผมจึงอมยิ้มก่อนเหลือบมองหน้ามิคซึ่งก็มีอาการไม่ต่างกัน ที่นึกเอ็นดูคนปลายสายที่ทำเสียงกระเง้ากระงอดได้อย่างน่ารัก
“อยู่กรุงเทพก็ยังงี้แหละหมดเวลาไปกับการเดินทางซะเยอะ แล้วมายทานข้าวรึยังจ๊ะ”
“ยังเลยจ้ะกัส เนี่ยคุณแม่บ่นใหญ่ว่ากลับช้า น่าจะให้มายไปทำงานที่เดียวกับกัสกับมิคเนอะ อากาศก็ดีรถก็ไม่ติดด้วย”
“แหม มายเดียร์จ๊ะทำเป็นพูด ถ้ามาอยู่จริงๆเนี่ยลูกคุณหนูอย่างมายเดียร์จะอยู่ได้เหรอ”
“มิคอ่ะ อย่ามาดูถูกมายนะ”
เอาล่ะสิครับปล่อยให้สองคนนี้คุยกันทีไรเป็นอันจะทะเลาะกันทุกที ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรหรอกครับแค่หยิกแกมหยอกด้วยความคิดถึงก็เท่านั้นเอง แต่ทางที่ดีผมรีบห้ามศึกก่อนดีกว่า
“นี่ๆทั้งสองคนอย่าเถียงกันเลย มายโทรมามีธุระอะไรกับกัสรึเปล่าจ๊ะ”
“เอ่อ จะว่ามีก็มีอ่ะนะ แต่ไม่อยากเล่าเลยอ่ะกลัวกัสไม่สบายใจน่ะ” น้ำเสียงลำบากใจอย่างชัดเจนของมายทำผมเริ่มเป็นกังวล หันไปมองหน้ามิคก็มีสีหน้าสงสัยแววตามีร่องลอยแห่งความกังวลไปต่างจากผมนัก
“แหม ขนาดนี้แล้วเล่าเถอะจ้ะมายเดียร์ กัสทำใจก่อน เอ้า หายใจเข้าลึกๆ ฮิๆ” เอาสิครับดูคนแสบซนซะก่อนขนาดเพิ่งทำสีหน้าเครียดขรึมเมื่อครู่ยังเปลี่ยนมาหัวเราะคิกคักได้ในเวลารวดเร็ว จนผมเริ่มคลายกังวลเก็บเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่
“ฮ่าๆๆ มิคเซี้ยวใหญ่แล้ว เล่ามาเถอะมาย” ผมเอ่ยเร่งสาวมายด้วยความอยากรู้
“จ้ะ คือ....มายเจอปรัชเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาอ่ะ” เสียงรัวเร็วของมายที่พยายามพูดให้จบรวดเดียว เหมือนกลัวว่าจะมีคนขัดก่อนจะพูดจบ จนเกิดความเงียบขึ้นทั้งสองฝ่าย
ผมอึ้งค้างด้วยใบหน้าที่กำลังยิ้มก่อนจะค่อยๆหุบยิ้มลงกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับ เห็นเพียงแววตาแสดงความเป็นห่วงชัดเจนจากมิค ก่อนที่มิคจะส่งมือมากุมทับมือผมไว้และออกแรงบีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ ผมรับรู้ทุกการกระทำของเพื่อนสนิทนะ แต่เหมือนร่างกายมันช็อคจนไม่สามารถตอบโต้กลับให้มิคสบายใจได้ว่าผมไม่เป็นอะไร แม้แต่จะยกยิ้มผมยังไม่มีแรงเลยครับ
‘เจอปรัชก็หมายความว่าต้องเจอคนๆนั้นสินะ’
....................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ ^O^
ใครที่รอหมอกัสอยู่สมใจแล้วน้า
พรุ่งนี้เจอกันใหม่ค่ะ

+1ให้ทุกเม้นท์แล้วน้า

ทุกการติดตามค่ะ
ใครสนใจรวมเล่ม "ซีรีย์เสน่ห์รัก" ติดตามหน้า 1 นะคะhttp://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33594.0