ตอนที่ 5กัสผมรับรู้ถึงแสงสีส้มจากไฟหัวเตียงที่เปล่งแสงนวลให้ความสว่างเพียงจุดเดียวในห้อง สายตาผมจับจ้องเพียงฝ้าเพดานสีขาวมานับชั่วโมง หลังจากจบการสนทนาทางโทรศัพท์ผมก็พาร่างกายที่หนักอึ้งกลับขึ้นห้อง คำบอกเล่าของเพื่อนสาวคนสวยเมื่อหัวค่ำส่งผลให้ผมต้องนึกถึงคนๆนั้น สับสน ฟุ้งซ่าน โกรธ เสียใจ เศร้า อารมณ์ตอนนี้บรรยายไม่ถูกจริงๆ เหตุการณ์นั้นผ่านมาเกือบสองปีแล้วผมที่คิดว่าตัวเองน่าจะลืมไปแล้ว แต่พอถึงวันนี้ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าผมยังลืมคนๆนั้นไม่ได้จริงๆ
สองปีก่อนเสียงดนตรีดังอึกทึกครึกโครมทำให้ต้องยื่นหน้าไปแนบหูคนข้างกายเพื่อตะโกนคุยถึงจะสื่อสารกันรู้เรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครอารมณ์เสียหรือไม่สบอารมณ์ที่ต้องทำ กลับชอบที่อยู่กับสถานที่แห่งนี้ สนุก ตื่นเต้น เร้าใจ ได้ปลดปล่อย คงเป็นความรู้สึกนี้ต่างหากที่เป็นแรงดึงดูดผู้คนให้มารวมตัวกัน รวมทั้งผมและเพื่อนสนิทอีกสองคนที่ต้องการหาประสบการณ์แปลกใหม่ชวนตื่นเต้นจากผู้คนรอบตัวและสถานที่แปลกใหม่แห่งนี้ มันช่างน่าค้นหายิ่งนักสำหรับพวกเราที่เพิ่งมาสถานที่แบบนี้เป็นครั้งแรก
“เสียงเพลงดังจังเลยแต่น่าสนุกดีนะ กัส มิค” เสียงหวานของหญิงสาวคนเดียวดังขึ้นทำให้ผมหันมาสนใจกับคนพูดทันที
“ใช่ๆ เฮ้ย! นั่นเค้ากอดกันด้วย ไมไม่จูบกันเลยอ่ะ” หนุ่มตัวเล็กใส่แว่นหน้าเด็กกว่าอายุทำท่าตกใจและชี้ชวนให้เพื่อนหันไปมองคู่รักข้างๆที่กำลังกอดกัน ใบหน้าใกล้กันจนแทบจะจูบกันอยู่แล้ว ผมหันหน้าหนีภาพตรงหน้าก่อนจะพูดกับมิค
“มิคอย่าไปมองเค้าสิ มาหันมานี่” ผมกลัวว่าจะโดนมองแปลกๆได้ที่พวกเรามัวแต่มองคนอื่นเขาจู๋จี๋กันแบบนั้น
“แหมกัสอ่ะ” มิคส่งเสียงเล็กๆทำหน้างอนปากยู่มาให้ผมทันทีที่ผมเอ่ยปราม
“อย่าไปห้ามมิคเลยกัส คนไม่เคยมีก็ยังงี้แหละ ฮิๆๆ” เสียงมายดังเอ่ยแซวมิคพร้อมเสียงหัวเราะอย่างถูกใจ
หลังจากสำรวจจนพอใจแล้วพวกเราก็หันกลับมาคุยกันเองพร้อมขยับตามจังหวะเสียงเพลงไปด้วย ทำให้เป็นจุดดึงดูดความสนใจของคนรอบข้างทั้งหญิงและชายแบบไม่รู้ตัว เปรียบเสมือนกวางน้อยเนื้อหวานที่มีเหล่าเสือสิงห์จ้องเขมือบ เพียงแต่รอจังหวะและคุมเชิงกันอยู่เท่านั้น
“ว้ายยย” เสียงร้องอย่างตกใจของสาวมายดังขึ้นทำให้ผมกับมิคต้องหันไปมองอย่างตกใจ
พบว่ามีชายหนุ่มร่างสูงโปร่งใส่แว่นหน้าเครียดกำลังจับข้อศอกของมายอยู่และจ้องตากับมายไม่กระพริบ ผมที่กำลังจะเข้าไปช่วยเพื่อนสนิทที่ถูกคนแปลกหน้าจับไว้ก็ต้องชะงักกับเสียงของมายที่ทักชายหนุ่มตรงหน้า
“น้องปรัช” สรรพนามที่มายใช้เรียกหนุ่มแว่นตรงหน้าทำให้ผมรู้ว่าทั้งคู่รู้จักกัน จึงเริ่มเบาใจได้บ้างแต่ก็ยังไม่ชอบใจอยู่ดีที่มายโดนผู้ชายถูกเนื้อต้องตัว
ส่วนคนที่มายเรียกว่า ‘น้องปรัช’ ไม่มีทีท่าจะคลายแรงจับมายลงเลย แถมหน้าตาก็ช่างเคร่งเครียดอย่างน่ากลัวด้วยอาการถลึงตาและขมวดคิ้วมุ่นจนเหมือนโกรธเกลียดกันมาก่อน ผมที่สังเกตทั้งคู่อยู่ก็เริ่มไม่พอใจนายปรัชอะไรนี่ขึ้นมาบ้างแล้วที่ทำกิริยารุนแรงกับเพื่อนผมแบบนี้ ส่วนมายก็เริ่มหน้าตาเหยเกคงด้วยเจ็บจากแรงบีบของนายปรัช แต่ก่อนที่ผมจะได้ห้ามปรามอะไรก็มีเสียงแทรกขึ้นซะก่อน
“นี่นายเป็นใครมากระชากเพื่อนเราทำไม” มิคที่คงไม่พอใจมากเข้าใกล้ทั้งคู่และตะคอกออกมาด้วยหน้าตาจริงจัง ก่อนที่มิคเข้าไปแทรกและพยายามดึงแขนมายออกจากมือของนายปรัช แต่ไม่เป็นผลเพราะรูปร่างที่ต่างกันเกินไป ผมที่เห็นท่าไม่ดีก็เตรียมเข้าไปช่วยอีกแรง
“กัส มิค ไม่เป็นไรจ้ะคนรู้จักมายเอง” เสียงใสเอ่ยห้ามทุกคนรอบกายเมื่อเห็นเค้าลางแห่งความวุ่นวาย พาลทำให้ผมกับมิคหยุดการกระทำทั้งหมด แต่เรายังคงจ้องหน้าผู้มาใหม่อย่างเอาเรื่องก่อนที่มายจะโดนนายปรัชดึงข้อมือให้ไปยืนข้างๆ
“แล้วนายนี่เป็นใครล่ะทำแบบนี้ตกใจหมด” มิคเอ่ยเสียงดังทั้งๆที่หน้าตายุ่งเหยิงอย่างอารมณ์ไม่ดีและจ้องหน้าปรัชอย่างเอาเรื่อง
“นี่ปรัชจ้ะ ปรัชจ๊ะนี่กัสกับมิคเพื่อนสนิทมายเอง” สาวมายแนะนำพวกเราสามคนให้รู้จักกันทันทีที่เห็นทุกคนหน้าตาไม่ดีพร้อมมีเรื่อง
พวกเราสามคนมองหน้ากันและพยักหน้าทักทายแต่ยังประเมินอีกฝ่ายอยู่ว่าจะมีท่าทางแบบไหน ยิ่งมิคที่ตัวเล็กกว่านายปรัชนั้นแทบจะกระโดดกินหัวนายนั่นด้วยซ้ำครับ ตัวผมแค่มองประเมินทั้งปรัชและมายอยู่จึงรู้ว่าทั้งคู่คงสนิทกันพอดู เพราะมายยอมให้ปรัชจับมือถือแขนได้โดยไม่คิดปัดป้อง ส่วนมายก็มองมิคกับปรัชสลับกันไปมาแบบหนักใจคงกลัวว่าทั้งคู่จะมีเรื่องกัน ส่วนนายปรัชก็มองมิคและผมนิ่งๆไม่มีอารมณ์โกรธในแววตาแบบแรกเจอแล้วครับ
“มายมานี่ได้ยังไง” นายปรัชหันไปถามคนที่ตัวเองจับข้อมือไว้ด้วยเสียงนิ่งเรียบและจ้องรอคำตอบจากมายเขม็ง
“ก็ขับรถมาสิจ๊ะ ถามได้” มายตอบตรงแต่แอบประชดเสียงแผ่วท้ายประโยคที่เจ้าตัวคงไม่ได้ตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยิน จนผมแอบขำที่สาวน้อยเค้ารู้จักยอกย้อนด้วย แต่นายปรัชนี่ก็หูดีมีประสิทธิภาพมากและคงได้ยินคำท้ายที่มายเอ่ย หน้าตานายนั่นถึงกับขมึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
“มาย! มานี่เลยนะตามมา” เสียงห้าวเรียกชื่อเพื่อนสาวของผมเสียงดังลั่น ก่อนจับจูงข้อมือบางลากออกจากโต๊ะไป
“เฮ้ยยยย นายปรัชจะพามายเดียร์ไปไหน” มิคลากเสียงยาวและถลาตามทั้งคู่ออกไปทันที
ผมที่มองภาพคนทั้งหมดอยู่ก็ตกใจที่เพื่อนสาวคนสนิทโดนลากออกไปโดยผู้ชายแปลกหน้าสำหรับตัวเอง แต่ข้าวของบนโต๊ะของเพื่อนๆและของผมนั้นยังอยู่ทำให้ผมเสียเวลาเก็บทุกอย่างมาถือไว้ หันมาอีกทีสามคนนั้นก็ไม่อยู่ในสายตาแล้วครับ เจอแต่คนแปลกหน้าอยู่รอบกาย
“ขอทางด้วยครับ โอ๊ะ ขอโทษครับผมไม่ได้ตั้งใจ” ผมที่พยายามเบียดเสียดผู้คนเพื่อจะตามเพื่อนๆออกไปนอกผับก็ชนเข้ากับใครก็ไม่รู้ที่อยู่ตรงหน้าเข้า
“เฮ้ยยย ไรวะชนแล้วแค่ขอโทษไม่พอหรอกนะเห็นมั้ยเลอะเต็มเสื้อเลย” คนที่ผมชนเขาโวยวายเสียงดังใส่ผมใหญ่เลยครับ แถมสะบัดเสื้อตัวเองไปมาให้ผมเห็นหลักฐานว่ามีเหล้าเปื้อนเสื้อเขาด้วยฝีมือผมเอง
“ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” เห็นดังนั้นผมก็รีบเอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิดออกไปอีกครั้ง
“อืม ฮึๆๆ ไม่เป็นไรน่ารักแบบนี้พี่ให้อภัย” ไอ้ผู้ชายที่ผมชนมันถึงกับหัวเราะชอบใจ ด้วยใบหน้ายิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยหลังได้มองหน้าผมแล้ว แต่แววตาวาวๆนั่นทำเอาผมขนลุกจนต้องรีบเอ่ยออกไป
“ขอบคุณครับ” ผมเดินเลี่ยงจากผู้ชายตรงหน้าหลังเอ่ยขอบคุณแล้ว แต่ต้องตกใจและใจหายวาบเมื่อมันเข้ามากอดรัดผมไว้ทั้งตัว
“เฮ้ย! ปล่อยนะทำบ้าอะไรของนายเนี่ย” ผมตะโกนและดิ้นรนออกจากอ้อมกอดที่แสนน่ารังเกียจนี้ แต่แรงผมน้อยกว่ามันมากทำให้มันได้ใจรัดร่างผมแน่นกว่าเดิม
“ให้อภัยแต่ต้องไปกับพี่นะจ๊ะหนุ่มน้อย ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะอย่างถูกใจของมันดังขึ้นใกล้หู ทำเอาผมขนลุกเพราะความรังเกียจปนขยะแขยง
“ไอ้บ้า ปล่อยนะ ช่วยด้วย” ผมทั้งด่าทั้งโวยวายและขอความช่วยเหลือจากคนที่ยืนอยู่รอบข้าง แต่ไม่มีใครคิดจะช่วยผมเลยครับ น้ำตาเริ่มมาคลอที่หน่วยตาเพราะความกลัวแล้ว
“เฮ้ย! มึงทำไรวะ” เสียงห้าวดังขึ้นข้างตัวผมพร้อมแรงกระชากที่สามารถทำให้ผมลอยตามแรงมือใหญ่คู่นี้ออกจากอ้อมกอดที่แสนน่ารังเกียจมาได้
หน้าผมชนเข้าอกแกร่งของคนที่เข้ามาช่วยและกลิ่นโคโลญจน์อ่อนๆสำหรับผู้ชายก็ลอยเข้าโสตประสาทรับกลิ่นทันที ‘สดชื่นหอมจัง’ นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิด แต่ผมก็ไม่สามารถเห็นหน้าผู้ที่มาช่วยตัวเองไว้ได้เพราะหลังจากโดนกระชากหน้าซุกอกแกร่งแล้ว เจ้าของอกก็ดันผมไปซ่อนไว้ด้านหลังที่มีแผ่นหลังกว้างขวางกั้นผมไว้อย่างปกป้อง
“ฉวยโอกาสกับเด็กนะมึงอ่ะ หา!” เสียงห้าวของคนตรงหน้าผมดังหาเรื่องขึ้นทันที
“ฉวยโอกาสไร นี่แฟนกู” ไอ้คนหน้าด้านนั่นมันพูดออกมาได้ยังไงว่าผมเป็นแฟนมัน แต่ผมยังไม่ทันปฏิเสธเจ้าของร่างสูงใหญ่ตรงหน้าผมก็สวนไอ้คนหน้าด้านไปซะก่อนครับ
“มึงอย่ามามั่ว กูเห็นตั้งแต่ต้นที่มึงลวนลามเค้าแล้ว หรือมึงจะมีเรื่องกับกู” เสียงเข้มดุอย่างน่ากลัวดังขึ้นจนผมอดจะสะดุ้งนิดๆไม่ได้ ส่วนไอ้ผู้ชายฉวยโอกาสนั่นผมก็ไม่รู้ว่ามันจะนึกกลัวแบบผมมั้ยนะ
“เอ่อ ไม่ มึงเอาไปเลย” ดูท่าทางไอ้ผู้ชายคนนั้นมันคงนึกกลัวขึ้นมาแล้ว เพราะมันถึงกับเอ่ยปากยอมยกผมให้คนที่มาช่วยผมไว้อย่างง่ายๆ ผมถึงกับโล่งใจและรู้สึกปลอดภัยอีกครั้ง
“มึงระวังตัวให้ดีนะ อย่ามาหาเรื่องที่นี่อีกแล้วอย่าหาว่ากูไม่เตือน”
จบบทสนทนาระหว่างไอ้เลวนั่นที่พยายามลวนลามผมกับ ‘อัศวินหนุ่ม’ ที่เข้ามาช่วยไว้แล้ว ผมคิดว่าจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นซะแล้วครับ แต่ไอ้เลวนั่นกลับไม่แน่จริงมันคงไม่กล้าหือกับชายหนุ่มร่างสูงคนนี้ และเขาคนนี้เป็นใครกันนะทั้งๆที่ไม่รู้จักกลับยื่นมือมาช่วยผมไว้ แต่ผมต้องหยุดความคิดทั้งหมดลงเมื่อโดนคนตัวใหญ่ที่มาช่วยลากข้อมือให้เดินตาม
“อ๊ายยยย วินจริงๆด้วย นั่นหล่อนวันนี้วินมาด้วย”
“วินไปไหนคะ กลับแล้วเหรอ”
ตลอดทางเดินที่เราสองคนเดินเพื่อออกนอกผับก็มีทั้งสาวๆและหนุ่มน้อยน่ารักทักคนที่จูงมือผมเดินนำหน้าอยู่ไม่ขาด และนั่นทำให้ผมรู้ว่าผู้ชายคนนี้มีชื่อว่า ‘วิน’ อัศวินของผม
อากาศปลอดโปร่งรอบตัวพร้อมแสงไฟส่องสว่างยามค่ำคืนข้างนอกนี้ทำให้ผมยิ่งเห็นชัดว่าคนที่ลากตัวเองออกมานั้นสูงใหญ่กว่าผมมากขนาดไหน วินมีแผ่นหลังกว้างไหล่หนาก้าวเดินด้วยขายาวมั่นคงด้วยความเร็วไม่มากนัก แต่กลับทำให้คนที่ตัวเล็กกว่าแบบผมถึงกับต้องซอยเท้าเดินให้ทันร่างสูงข้างหน้าถึงกับเหนื่อยหอบเลยครับ
“นี่ๆๆๆ คุณช้าๆหน่อยครับ ผมเดินไม่ทัน” ผมที่เริ่มเหนื่อยเอ่ยท้วงคนข้างหน้า ส่งผลให้ร่างสูงชะงักกึกหยุดเดินซะเฉยๆทำให้ผมที่ไม่ทันระวังชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างไปเต็มๆหน้าเลยทีเดียว
“โอ๊ยยย เจ็บจัง” ผมลูบคลำจมูกตัวเองป้อยๆเพราะความเจ็บที่แล่นจี๊ด และรู้สึกได้ว่ามีน้ำตาซึมออกทางหางตาตัวเองด้วย
ทันใดนั้นรู้สึกว่าแสงสว่างที่เคยมีถูกปกคลุมด้วยเงาดำทะมึนจากร่างตรงหน้าที่ชะโงกตัวก้มเข้าหาบดบังแสงไฟไปสิ้น พร้อมเสียงห้าวทุ้มน่าฟังก็ดังขึ้นมาให้ได้ยิน
“เป็นยังไงบ้าง เจ็บมากมั้ย” เสียงนุ่มแสดงความห่วงใยมาในประโยคที่เอ่ยถามจนคนที่ได้ยินแบบผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง
คิ้วเข้ม ตาคมดุ จมูกโด่งเป็นสัน ปากหนาแดงสด ‘หล่อมาก’ เป็นใบหน้าที่ผมเห็นเมื่อเงยหน้ามองคนที่ช่วยตัวเองไว้ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนและเวลาผ่านไปเท่าไหร่เพราะเผลอจ้องคนตรงหน้าซะเพลินตา แต่สติของผมคงไม่อยู่กับตัวนักเพราะมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีฝ่ามืออุ่นยื่นมาลูบหน้าลูบจมูกตัวเองเข้าแล้ว ตามมาด้วยเสียงนุ่มอ่อนโยนสอบถามอาการผมอย่างห่วงใย ก่อนใบหน้าหล่อเหลานั้นจะส่งยิ้มน้อยๆมาให้มีแววตาล้อเลียนอยู่ด้วย ทำให้ผมรู้สึกได้ว่าความร้อนวิ่งลามไปทั้งหน้าและใบหูของตัวเอง และเอ่ยตอบกลับอย่างยากลำบาก
“มะ ไม่เป็นไรแล้วครับ ขอบคุณที่ช่วยผมไว้” ผมก้มหน้าหลบสายตาคมคู่นี้ขณะตอบไม่อยากเห็นสายตารู้ทันเลย ‘น่าอายจัง’ ที่เผลอจ้องผู้ชายแปลกหน้าอยู่ได้ตั้งนานสองนาน
“ผมวินครับยินดีที่ได้รู้จัก” เสียงนุ่มดังแนะนำตัวเองขึ้นมา ผมรวบรวมความกล้าก่อนเอ่ยออกไป
“เอ่อ คือ ผมกัสครับ” ผมก็ได้แต่ตอบไปทั้งๆที่ก้มหน้าซ่อนหน้าแดงๆของตัวเองไว้
“ชื่อน่ารักจังน้า ‘กัส’ เหรอเหมาะสมกับตัวดี” เสียงล้อเลียนขี้เล่นเอ่ยเย้าผมยิ่งทำให้ผมต้องก้มหน้าชิดอกมากกว่าเดิม
ผมสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วอุ่นที่ถูกยื่นมาเชยคางตัวเองขึ้นให้สบตาคมหวานคู่นั้นและเหมือนต้องมนต์ ทำให้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมดุแต่มีเสน่ห์อย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะรับรู้ถึงสัมผัสแผ่วเบา นุ่ม และเปียกชื้นบริเวณริมฝีปากของตัวเอง ผมสะดุ้งตกใจจะผละออกแต่กลับมีแรงกดจากท้ายทอยไว้ด้วยฝ่ามือหนาของคนที่ ‘จูบ’ ผมอยู่
กลีบปากหนาของร่างสูงพยายามหยอกล้อบดเบียดปากของผมซึ่งเริ่มขัดขืนให้กลับมาเคลิ้มอีกครั้ง พร้อมเลาะเล็มไปตามขอบปากเพื่อให้ผมเปิดรับเรียวลิ้นของอีกฝ่ายเข้าไป ผมที่ไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้จึงเผลอตัวเปิดกลีบปางนุ่มให้อีกฝ่ายเข้ามาชิมความหวานภายในอย่างทั่วถึง ไม่รับรู้ว่าตอนนี้รอบตัวมีใครอยู่บ้างและตัวเองกำลังอยู่ที่ไหนเพราะเคลิ้มไปกับสัมผัสแรกที่ได้รับกับคนแปลกหน้าที่ช่วยผมไว้
“อืมมม”
เสียงครางอย่างพอใจจากร่างสูงที่ชิมความหวานจากปากของผมและเจ้าของมันก็กำลังโอบกอดผมอยู่ดังขึ้น ซึ่งตอนนี้ผมไม่มีแรงจะยืนด้วยตัวเองต้องอิงแอบอกกว้างเพื่อช่วยพยุงตัว แต่เหมือนผมตกจากสวรรค์เมื่อรับรู้ถึงแรงกระชากร่างของตัวเองออกจากอกหนาพร้อมเสียงของเพื่อนสนิทที่โวยวายขึ้นมา ผมยังจับใจความไม่ได้เพราะสติยังกลับมาไม่ครบถ้วน ก่อนจะเริ่มรับรู้ถึงอ้อมกอดนุ่มนิ่มกลิ่นคุ้นเคยของเพื่อนสาวตัวเล็กที่โอบประคองตัวผมไว้ และกลับมารู้ถึงเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง
“นายเป็นใครเนี่ย หา มาทำแบบนี้กับเพื่อนเราทำไม”
“ใจเย็นมิคนั่นเพื่อนปรัชจ้ะ ชื่อวิน”
“นายทำแบบนี้กับเพื่อนเราได้ยังไงกันเนี่ย ”
เสียงมิคกับมายโต้ตอบไปมาทำให้ผมที่สติรับรู้กลับมาครบถ้วนแล้ว รู้สึกอายมากกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นจนไม่กล้าแม้จะจะมองรอบตัวว่ามีใครอยู่บ้าง ตอนนี้คิดได้เพียงแต่อยากออกไปจากสถานการณ์ตรงหน้าให้เร็วที่สุดเท่านั้นครับ
“เอ่อ มิค มาย เรากลับกันเถอะ นะ” ผมเอ่ยขอร้องกับเพื่อนตัวเล็กอีกสองคน มิคกับมายมองหน้าผมอย่างห่วงใยและพยักหน้าให้กันเอง
“แต่..... อืมก็ได้ ส่วนพวกนายอย่ามาให้พวกเราเห็นหน้าอีกนะ” มิคหันไปพูดกับใครบ้างผมก็ไม่รู้ครับเพราะได้แต่มองหน้าเพื่อนทั้งสองคนเท่านั้น ไม่กล้าหันหลังกลับไปมองอีกฝ่ายที่มิคคุยด้วยเลย
แต่ถ้าผมจะหันไปมองก็คงจะต้องตกใจและอายมากกว่านี้ เพราะด้านหลังนั้นมีชายหนุ่มและหญิงสาวรวมกันถึงห้าคนยืนจับกลุ่มกันอยู่ ผมและเพื่อนอีกสองคนก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อกลับไปที่รถ แต่ต้องชะงักกับเสียงห้าวที่ดังขึ้นข้างหลัง
“ไม่รับปากหรอกนะว่าจะไม่ให้เห็นหน้าอีก ‘กัส’ เราต้องเจอกันอีกแน่ครับ”
ใจความที่อีกฝ่ายสื่อมาให้ได้ยินทำให้ผมยิ่งหน้าร้อนกว่าเดิม ไม่กล้าจะมองหน้าเพื่อนทั้งสองคนด้วยซ้ำ ได้แต่คว้าข้อมือมิคและมายเดินลิ่วแทบเป็นวิ่งกลับไปที่รถเท่านั้น
‘นี่ผมจะยังได้เจอคนแปลกหน้าที่จูบผมและทำให้ได้อายมากที่สุดในชีวิตอีกเหรอครับเนี่ย’
......................................
ลงซ่อมค่ะ
