[ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555  (อ่าน 118915 ครั้ง)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2013 07:31:42 โดย juon »

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
มานั่งรอเรื่องที่ชอบแบบสุดๆ อีกเรื่องหนึ่ง

จะรีไรท์ หรือปรับเป็นเรื่องยาวค่ะ ^^

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ปิดจองแล้วค่ะ
--------------------------------------
ขอออกตัวชัดๆ ก่อนว่า.. เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่เขียนจบมาหลายปีแล้ว

และเราไม่ถนัดแนวแฟนตาซีอย่างสุดๆ ภาษาในเรื่องนี้อาจจะแปลกๆ ไปบ้าง (และอาจจะผิดเพียบ.. กรุณาช่วยแจ้งค่ะ แต่ว่าเราอาจจะไม่แก้ลงในนี้นะคะ จะเอาไปแก้ในต้นฉบับค่ะ<<เนื่องจากตัวนี้ก๊อปมาจากเว็บที่เคยลงไว้แล้วแบ่งบรรทัดแล้วน่ะค่ะ)

เรื่องนี้มีทั้งหมด21ตอน จะทยอยลงให้วันละตอน (ถ้าไม่ลืมหรือติดธุระ)

อนึ่ง อิฉันไม่ถนัดแนวแฟนตาซีจริงๆ ต้องกราบขออภัยท่านนักอ่านทุกท่านล่วงหน้าเลยนะคะ

อ้อ ลืมบอกเพิ่มเติมค่ะ สำหรับใครที่เคยอ่านเรื่องสั้นซึ่งใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน แต่ชื่อตัวละครอาจจะคล้ายๆ กัน แจ้งว่าเนื้อหาเรื่องนี้กับเรื่องสั้น ไม่เกี่ยวข้องกันเลยนะคะ เรื่องสั้นเป็นแค่แรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องนี้ค่ะ แต่ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกันแต่อย่างใดค่ะ
-----------------------------------------
ตอนที่1 ดวงตาแห่งอิลห์ลาริน

สิ่งที่สัมผัสได้ในห้วงของเหลวที่มืดมิดนั่นคือดวงตาสีเขียวขนาดมหึมา สีของมันสุกสกาวราวก้อนมรกตก้อนยักษ์ นัยน์ตาดำราวเม็ดนิลตรงกลางหดขยายราวกับกำลังตรวจสอบสิ่งที่ลอยคว้างอยู่ตรงหน้า อากาศเหลือน้อยลงทุกที พร้อมๆ กับของเหลวรสเค็มเฝื่อนที่ไหลทะลักเข้ามาทั้งทางจมูกและช่องปาก  ในสติอันเลือนราง มองเห็นซี่ฟันสีขาวเรียวแหลมเรียงชิดอยู่ใต้ดวงตาสีเขียวมรกตนั่น ขนาดของมันใหญ่โตพอๆ กับเสากำแพงและความแหลมคมคงจะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหอกดาบที่ถูกลับคมมาอย่างดีเลย ปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวอันน่าสะพรึงกลัวนั้นขยับเขยื้อนออกอย่างช้าๆ ฟันซี่เรียวแหลมบดขยี้ลงมาบนร่างที่ไร้ทางต่อสู้ซึ่งกำลังลอยคว้างอยู่ในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ในความเจ็บปวดนั้น สติก็พลันขาดสะบั้นลง
 
-------------------------------------------------
          คอนเชียร์
          ชื่อเรียกอาณาจักรที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงอันตั้งอยู่บนเกาะภูเขาไฟที่มีชื่อว่าคอนซาร์ก ซึ่งในภาษามังกรโบราณแปลว่าเพลิงใหญ่ ดังนั้นคอนเชียร์จึงแปลตามคำโบราณว่าบ้านแห่งเพลิง
          อาณาจักรแห่งนี้กินเนื้อที่ตลอดทั้งเกาะคอนซาร์ก ซึ่งกว้างราวๆ ยี่สิบห้าราฟ (1ราฟ = 1,000ตารางกิโลเมตร) บนเกาะเต็มไปด้วยภูเขาไฟน้อยใหญ่ขนาดลดหลั่นกันไป ภูเขาไฟลูกที่ใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลางของเกาะ มีชื่อว่าซาซาร์กัน บนซาซาร์กันนี่เองที่เป็นที่ตั้งของพระราชวังโบราณที่สร้างขึ้นมาจากหินภูเขาไฟ และลาวาที่เย็นตัวลงแล้วอันมีชื่อเรียกเดียวกับตัวภูเขา ที่พำนักของราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าพันธุ์แห่งสัตว์โบราณที่ทรงไว้ทั้งพละกำลังและอำนาจในการควบคุมเปลวเพลิง
          ราชวงศ์ซาร์เกวนส์ ผู้ปกครองนักรบแห่งเพลิง
          เชื้อสายแห่งซาร์เกวนส์ปกครองอาณาจักรคอนเชียร์ซึ่งประกอบไปด้วยประชากรที่เป็นมังกรไฟระดับล่าง ราวๆ สี่พันสามร้อยตน อาศัยอยู่ตามซอกปล่องภูเขาไฟต่างๆ บนตัวเกาะ และเป็นเชื้อสายราชวงศ์อีกราวๆ ห้าสิบถึงหกสิบตน ซึ่งเชื้อพระวงศ์เกือบทั้งหมดอาศัยอยู่รวมกันบนซาซาร์กัน  แน่นอนว่าแม้ซาซาร์กันจะใหญ่โต แต่คงไม่เนื้อที่มากพอจะให้มังกรไฟขนาดใหญ่ถึงหกสิบตนอยู่ร่วมกันได้ เชื้อสายแห่งซาร์เกวนส์ทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนซาซาร์กันนี้ จึงอยู่ในรูปร่างที่ต่างออกไปจากพวกระดับล่าง
          พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยร่างที่เรียกว่าร่างกลาง
          ร่างกลางของเหล่ามังกรนั้นใกล้เคียงกับร่างกายของมนุษย์ อาจจะมีขนาดและสัดส่วนใหญ่โตกว่าสักหน่อย แต่มีหลายๆ อย่างคล้ายคลึงกัน ทั้งหน้าตา ทรงผม และมัดกล้ามเนื้อ มังกรที่มีร่างกลางได้จำต้องมีเชื้อสายของมังกรชั้นสูงหรือไม่ก็มีอายุมากพอแล้วเท่านั้น และนี่เองที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถพำนักอยู่ในได้สถานที่ที่มีพื้นที่จำกันอย่างซาซาร์กัน
          เชื้อสายแห่งซาร์เกวนส์นั้นมีศักดิ์ต่างกันไป มีทั้งที่อยู่ในระดับข้ารับใช้ ไปจนถึงในระดับผู้ครองอาณาจักร กษัตริย์ในรัชกาลปัจจุบันมีชื่อว่า อัสราน ดูล ซาร์เกวนส์
          ตอนนี้องค์ราชันย์แห่งไฟที่ว่านี้กำลังแหงนพระพักตร์ขึ้นมองไอคุกรุ่นสีแดงที่พุ่งตรงเข้ามายังราชวังของพระองค์ ไม่นานนักเสียงเอะอะเอ็ดตะโรก็ดังขึ้นด้านนอก
          “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าเข้ามาด้วยร่างกายแบบนี้”
          เสียงเอ็ดอึงของหญิงสาวผมสีแดงดำรูปร่างสูงโปร่ง ในชุดกระโปรงยาวสีแดงเข้มดังขึ้น ท่ามกลางเศษฝุ่นจากหินราวระเบียงที่ถูกแรงกระแทกจนแตกละเอียดปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ กษัตริย์อัสรานเสด็จออกมายังระเบียงด้วยพระพักตร์ที่ไม่ได้แสดงอาการตกพระทัยหรือรุ่มร้อนแต่ประการใด ทรงอยู่ในฉลองพระองค์สีขาว มีผ้าคาดสีดำอันบ่งบอกถึงยศตำแหน่งพาดอยู่บริเวณพระศอ เรือนผมสีแดงจนดำตรงยาว พลิ้วไหวไปตามแรงลมที่พัดอื้ออึงอยู่ด้านนอก พระกายสีขาวนวลผุดผ่องราวจันทร์ในคืนเพ็ญอ้อนแอ้นคล้ายอิสตรี ทรงแย้มพระโอษฐ์ทันทีที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก
          “องค์ราชันย์แห่งซาซาร์กัน ขอพระราชทายอภัยโทษแก่หม่อมฉันที่ปล่อยให้เจ้าคนไร้มารยาทนี่รบกวนเวลาพักผ่อนของพระองค์”
          หญิงสาวผมแดงกล่าวทันทีที่เห็นองค์กษัตริย์ หล่อนโน้มกายลงอย่างคารวะ และหันไปถลึงตาสีแดงดำใส่ผู้ที่ก่อเรื่องทั้งหมดขึ้น กษัตริย์อัสรานโบกพระหัตอย่างไม่ถือสา และทรงพระสรวล
          “อ่า ท่านพี่หญิง ท่านอย่าได้เกรงใจเช่นนั้นเลย จะอย่างไรเราล้วนแต่เป็นพี่น้องกันมาก่อน”
          “ถึงจะทรงตรัสเช่นนั้น แต่ว่า...”
          น้ำเสียงกังวานของหญิงสาวถูกเสียงคำรามของสัตว์ร้ายกลบเสียสิ้น
          “อรุณสวัสดิ์ ท่านพี่อัสราน”
          ซุ่มเสียงแตกพร่าถูกเปล่งออกมาจากปากกว้าง ผ่านฟันคมกริบสีงาช้างที่เรียกตัวกันแน่นภายในช่องปากที่มีเพลวเพลิงสีแดงพวยพุ่งออกมา กษัตริย์อัสรานแย้มพระโอษฐ์กล่าวตอบไป
          “อรุณสวัสดิ์อัสธาราธน้องข้า ไปเสียหลายวัน พอกลับมาก็ทำให้ท่านพี่หญิงขุ่นเคืองตั้งแต่ต้นวันเสียแล้ว”
          มังกรไฟสีแดงตัวมหึมาที่ขย้ำกรงเล็บหนาอยู่กับราวลูกกรงระเบียงของวังคำรามอย่างไม่พอใจเล็กน้อย เพลวไฟสีแดงเล็มเลียออกมาตามรูจมูกกว้าง กล่าวเสียงแหบห้าว
          “ท่านพี่หญิงอัสเธียร์จู้จี้จนเกินไปต่างหาก กับเสารั้วเสาวังแค่นี้ ใช้ทหารคนสองคนกับเวลาเพียงไม่ถึงค่อนวันก็ซ่อมเสร็จแล้ว ท่านจะขุ่นเคืองอันใดกัน”
          เจ้าหญิงอัสเธียร์อันเป็นราชนิกูลชั้นสูง และทรงเป็นพี่สาวของกษัตริย์อัสรานขมวดคิ้วของนางจนยุ่ง เขม่นมองมังกรสีแดงตัวนั้นราวกับจะใช้ดวงตาสีแดงของนางแผดเผาให้มอดไหม้ลงไปโดยพลัน กล่าวเสียงเครียด
          “อัสธาราธ เจ้าไฉนไม่เคยคิดรักษามารยาท ไม่มีผู้มีหัวคิดใดจะทะลึ่งพาร่างกายใหญ่โตเช่นนั้นเข้ามาเหยียบย่ำพระราชวังศักดิ์สิทธิ์นี่”
          “ร่างกายใหญ่โตมีอันใดไม่ดีเล่า?”
          อัสธาราธยังคงโต้เถียง อุ้งเท้าใหญ่ขยับอย่างหงุดหงิด ทำให้หินอันเป็นองประกอบของเสาศิลาแตกหักออกมาอีกหลายส่วน
          “ร่างนี้แท้จริงเป็นร่างเดิมของพวกเรา ไฉนเล่าข้าจึงใช้มันมาเหยียบที่นี่ไม่ได้”
          กษัตริย์อัสรานคิดว่าพระองค์ทรงเห็นไอควันร้อนพวยพุ่งออกมาจากใบหูของพระเชษฐภัคคินีของพระองค์ ดังนั้นจึงทรงตรัสถ้อยคำออกไปเพื่อยุติปัญหา
          “เอาเถิด อัสธาราธ เราทราบว่าเจ้ามิชอบใจการกลายร่างนัก แต่เสารั้วเสาวังก็มิได้ถูกสร้างมาให้เจ้าเหยียบย่ำเช่นกัน เจ้าไปเสียหลายวัน มิอยากหย่อนกายลงผ่อนคลายในสระน้ำอุ่นของเราหรือ?”
          อัสธาราธขยับศีรษะมหึมาอย่างเสียมิได้ ในเมื่ออัสรานพูดถึงสระน้ำอุ่นนั่น ก็คงเหมือนออกคำสั่งกลายๆ ให้เขาเปลี่ยนร่างที่ดำรงอยู่ ผู้ใดล้วนทราบ สระน้ำนั่นมีขนาดเพียงร่างกลางเท่านั้นที่ลงไปได้ และเขาเองก็ชื่นชอบการแช่น้ำในสระนั่นมากเสียด้วย
 
-------------------------------------------
          “น้ำอุ่นกำลังดีหรือไม่?”
          น้ำเสียงกังวานที่ทรงอำนาจแต่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาดังขึ้น อัสธาราธผงกศีรษะมองดูฟองน้ำเดือดปุดๆ ตรงหน้าอย่างพึงพอใจ สระน้ำร้อนบนคอนเชียร์นั่นมีมากมายหลายร้อยสระ สระใหญ่โตขนาดมังกรลงไปกลิ้งเกลือกได้ก็มีเป็นสิบ แต่ที่ร้อนจัดและเต็มไปด้วยไอควันของกำมะถันเข้มข้น คงมีแต่สระหินสีเหลืองอมฟ้า ที่ขนาดไม่กว้างไปกว่าปีกข้างหนึ่งของมังกรที่โตเต็มที่ที่นี่เพียงสระเดียวเท่านั้น สระน้ำร้อนที่อยู่ด้านหลังชิดกับห้องบรรทมขององค์ราชัยน์แห่งซาซาร์กัน สระที่มีเพียงผู้เดียวในอาณาจักรที่สามารถใช้ได้ แต่ถึงกระนั้นอัสธาราธก็ได้รับสิทธิพิเศษจากกษัตริย์ผู้เป็นพี่ชายให้สามารถเข้ามาแช่น้ำในนี้ได้ หากทำตัวอยู่ในโอวาท
          ขอบสระหินที่ถูกน้ำซึ่งเต็มไปด้วยซัดสาดอยู่ทุกวันกลายเป็นสีเหลืองอมฟ้าแบบเดียวกับสีของน้ำในสระ ควันสีเหลืองอ่อนกระจายตัวออกและม้วนเข้าหากันอย่างเชื่องช้า ยามที่ผิวน้ำถูกกระทบกระเทือนจนแหวกเป็นสาย ขาเรียวสวยได้รูปค่อยๆ หย่อนลงมา ผิวกายของอัสรานนั้นขาวเสียจนเกือบจะซีด ผิดกับผิวของน้องชายซึ่งออกเป็นสีทองเข้มราวกับสีของน้ำผึ้ง ราชันย์แห่งซาซาร์กันหย่อนกายอ้อนแอ้นของพระองค์ลงในสระ ร่างกลางของพระองค์นั้นมิได้กำยำล่ำสันแต่ประการใดเลย ออกจะแลดูอ่อนแออยู่ด้วยซ้ำ แตกต่างจากผู้เป็นน้องชายซึ่งร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแข็งแรง แต่อัสธาราธรู้ดีว่าร่างอ้อนแอ้นนี้มิได้อ่อนแออย่างภาพลักษณ์ที่ปรากฏออกมาเลย อัสรานเป็นมังกรไฟที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้ มังกรไฟสีดำขนาดมหึมาที่เพียงแค่ขยับปีกก็สามารถจะทำลายเมืองให้แหลกไปได้ครึ่งหนึ่ง เพราะอย่างนั้นอัสรานจึงแทบจะไม่คืนร่างเดิมเลย เขาดำรงอยู่ในร่างกลางเช่นนี้เสมอมา ร่างกลางที่สง่างามและน่าเคารพอย่างยิ่ง
          นัยน์ตาสีแดงก่ำจนกลายเป็นสีดำขององค์ราชันย์ทอดลงมองใบหน้าของน้องชาย ผมสีแดงจนดำของพระองค์ถูกรวบเอาไว้บนศีรษะเกล้าเป็นมวยหลวมๆ อัสรานไม่ต้องการคนในการช่วยสรงน้ำ พระองค์ต้องการคุยกับน้องชายคนนี้เป็นการส่วนตัว น้องชายผู้เป็นกำลังหลักในการปกป้องและแผ่ขยายอาณาจักรของพระองค์
          อัสธาราธมองดูเรือนผมสีแดงจนดำของผู้เป็นพี่ชายด้วยความรู้สึกเคารพ สีดำเป็นสีแห่งกษัตริย์ มังกรไฟที่แข็งแกร่งมากจริงๆ เท่านั้น จึงจะมีสีดำที่ว่านี้ พอคิดถึงตรงนี้ก็ทำให้มังกรหนุ่มอดทอดถอนใจออกมามิได้ จนผู้เป็นพี่ชายต้องเอ่ยทัก
          “เจ้ามีเรื่องทุกข์ใจใด?”
          “ข้า...”
          ผู้ถูกเอ่ยถามกล่าว และเงียบไปพักหนึ่ง นัยน์ตาสีแดงมองดูเรือนผมสีดำนั้นอย่างซึมเซา กษัตริย์แห่งซาซาร์กันแย้มพระโอษฐ์อย่างคาดเดาความคิดของผู้เป็นน้องชายออก
          “เจ้ากำลังนึกถึงสีผมของข้าอยู่หรือน้องชายข้า เจ้าเองก็มิใช่ผู้อ่อนแออันใดเลย จงอย่าเป็นกังวลถึงมันเถิด”
          “หากข้ามิได้อ่อนแอ ไฉนสีดำจึงมิปรากฏขึ้นมาบ้างเล่า”
          “บางคราสีดำที่ว่านี้อาจต้องใช้เวลาอยู่บ้าง”
          กษัตริย์แห่งซาซาร์กันตรัส ทรงมองดูเรือนผมสีแดงสยายของผู้เป็นน้องชาย อัสธาราธนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก พระองค์ซาบซึ้งถึงความแข็งแกร่งของน้องชายคนนี้ดี อัสธาราธนั้นแทบไม่มีที่ใดที่ด้อยไปกว่าพระองค์เลย แต่ไม่ทราบเพราะเหตุผลอันใด จึงมิยอมมีสีดำขึ้นปรากฏบนร่าง แม้กระทั่งอัสเธียร์ พี่สาวของพระองค์ ก็ยังมีเรือนผมและนัยน์ตาสีแดงดำ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งกษัตริย์และความแข็งแกร่ง
          “หรือบางทีข้าอาจจะมิได้มีเชื้อสายแห่งซาร์เกวนส์”
          อัสธาราธตั้งข้อสังเกต ถึงกับทำให้ผู้เป็นพี่ชายส่งเสียงดุออกมา
          “อย่าได้กล่าวถ้อยคำเหลวไหล ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาแต่ยังเล็ก เหตุไฉนเราจะไม่ใช่เชื้อสายกัน เจ้าเป็นวงศ์วานแห่งซาร์เกวนส์แท้ไม่ผิดแน่ เพียงแต่อาจจะยังต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย เพื่อให้สีแห่งราชันย์ปรากฏ”
          “ยังต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดเล่า”
          อัสธาราธเอ่ยถาม มองดูเรือนผมสีแดงเพลิงหยักสกของตัวเองที่แผ่สยายไปบนผิวน้ำสีเหลือฟ้า แลดูตัดกันอย่างประหลาด เขาไม่ใส่ใจที่จะรวบผมเอาไวด้านบนเหมือนผู้เป็นพี่ชาย แม้ว่าผมของเขาเองจะยาวอยู่มากเหมือนกัน อัสรานมองหน้าน้องชายอย่างครุ่นคิด
          “บางทีสาเหตุอาจจะมาจากการบาดเจ็บหนักในครั้งนั้นของเจ้า…”
          กล่าวถึงตรงนี้ อัสธาราธรีบยกมือขึ้นห้ามทันที
          “อย่าได้กล่าวถึงเรื่องนั้นอีก คงเป็นเพราะข้ายังอ่อนแออยู่ คงจำต้องเคี่ยวกรำตัวเองให้มากกว่านี้”
          อัสรานมองดูน้องชายและเงียบไปพักใหญ่ อัสธาราธไม่ชอบให้พูดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น ดูเหมือนน้องชายของเขาคนนี้จะยังฝังใจเรื่องที่พลาดพลั้งเสียท่าให้กับเหล่ามนุษย์อยู่ แผลในจิตใจนี้อาจจะเป็นสาเหตุของสีดำที่ไม่ยอมเกิดขึ้นสักทีก็ได้ บางทีอาจเพราะจิตใจของอัสธาราธยังไม่เข้มแข็งพอ ยังไม่แข็งแกร่งพอจะเผชิญหน้ากับความผิดพลาดในอดีตของตนได้ แต่ครั้นจะกล่าวออกไปตอนนี้ก็คงป่วยการ เรื่องเช่นนี้คงต้องรอให้เจ้าตัวเข้าใจเองนั่นแหละ กษัตริย์แห่งซาซาร์กันจึงได้แต่แย้มพระโอษฐ์อย่างเอ็นดูต่อผู้เป็นน้องชาย
          “เจ้าหายไปเสียหลายวัน เขตแดนทางด้านเหนือเป็นอย่างไรบ้าง?”
          “ถูกรุกล้ำเข้ามาพอสมควร”
          อัสธาราธเอ่ยตอบ และเร่งเสียงอย่างมีอารมณ์
          “พวกมนุษย์นั้นรุกรานรวดเร็วยิ่ง เพียงห่างสายตาไปสองสามเดือน ป่าแห่งอิลดูร์นถูกแผ้วถางไปหลายส่วน แม้จะไล่พวกมันออกไปหมดแล้ว แต่คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าพื้นที่นั้นจะกลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม”
          อัสรานพยักหน้า มังกรนั้นจำเป็นต้องมีแหล่งอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่บรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายแหล่ที่อยู่ห่างออกไปจากเกาะ อยู่ในแผ่นดินใหญ่ ดังนั้นจึงจำต้องสร้างอาณาเขตเพื่อให้มีอาหารพอจะเลี้ยงประชากรบนเกาะได้ ปัญหาใหญ่คือพวกมนุษย์นั้นขยายชุมชนของตัวเองโดยไม่สนใจสภาพแวดล้อมใดทั้งสิ้น พวกนั้นแผ้วถางป่า ขุดคูระบายน้ำ ดักจับสัตว์เล็กสัตว์น้อย หากปล่อยให้บุกรุกเข้ามามากๆ อาจเกิดปัญหาใหญ่ตามมาได้ ราชันย์แห่งซาซาร์กันไม่ต้องการทำสงครามใหญ่กับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ แต่เจ้าเล่ห์พวกนี้ ดังนั้นพระองค์จึงจำต้องตัดไฟแต่ต้นลม โดยการส่งกำลังออกไปดูแลพื้นที่ส่วนต่างๆ ไว้ ยามที่พบผู้บุกรุก จะได้ไล่ออกไปทันก่อนที่จะกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่
          “ข้าให้ริเรียรธ์กับทิลเธอร์อยู่เฝ้าที่นั่น คงจะกันการบุกรุกไปได้อีกพักใหญ่”
          ผู้เป็นน้องชายรายงานต่อ กษัตริย์อัสรานโคลงพระเศียรเป็นเชิงรับรู้ และเอ่ยปากชม
          “ขอบใจเจ้ามาก เรื่องคราวนี้คงสร้างความลำบากให้เจ้ามิใช่น้อย แม้ข้ามิอาจสร้างวังใหม่เพื่อให้ร่างมังกรของเจ้าเข้าออกอย่างสะดวกได้ ตอนนี้ข้าทำได้เพียงอนุญาตให้เจ้าใช้สระแห่งนี้ได้ตามพอใจ แล้วข้าจะหนทางอื่นตอบแทนความเหนื่อยยากของเจ้า”
          “ทรงอย่าได้กล่าวเช่นนั้น พี่ชายของเรา”
          อัสธาราธเอ่ยขึ้นทันที เขาโค้งศีรษะให้ผู้เป็นพี่ชายอย่างเคารพ
          “ท่านเป็นกษัตริย์แห่งคอนเชียร์ มีอันใดเล่าที่ข้าจะไม่กระทำให้ มีภาระใดเล่าที่ข้าลำบาก ข้าเต็มใจทำอย่างยิ่ง เพื่อองค์กษัตริย์แห่งข้า เพื่อท่านพี่ที่ข้าเคารพ แค่เพียงท่านอนุญาตให้ข้าใช้สระน้ำนี่ก็มากพอแล้ว ทรงอย่าได้คิดกระทั่งสร้างวังใหม่เพื่อรองรับอารมณ์บ้าๆ ของข้าเลย”
          กษัตริย์อัสรานทรงพระสรวลออกมา
          “หากเจ้าทราบว่ามันเป็นอารมณ์บ้าๆ ไฉนเจ้าจึงยังแสดงมันออกซ้ำๆ ซากๆ รู้หรือไม่ ท่านพี่หญิงอัสเธียร์บ่นเรื่องนี้กับข้าจนข้าเบื่อจะฟังเต็มที ข้าหวังให้เจ้าเพลาๆ การเป็นสาเหตุที่ทำให้นางบ่นบ้าง”
          “บางทีข้าชอบให้นางบ่นใส่ท่าน”
          อัสธาราธว่าและรีบพูดต่อเมื่อเห็นสายตาถือสาของพี่ชาย
          “ล้อเล่นหรอก ท่านพี่หญิงเข้มงวดจนข้ารำคาญ เอาเถิด คราวหลังข้าจะไม่เข้ามาที่นี่ด้วยร่างนั้นอีก”
          “หวังว่าเจ้าคงไม่ถึงกับประชดโดยไม่เข้ามาเลยหรอกนะ”
          อัสรานค่อนแคะ ผู้เป็นน้องชายยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างจนแต้ม
          “ข้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก ถ้าท่านเดือดร้อนเพราะถูกท่านพี่หญิงบ่นจริงๆ ข้าจักเข้ามาด้วยร่างกลางก็ได้”
          องค์กษัตริย์แย้มพระโอษฐ์อย่างพอใจ วักพระหัตลงในน้ำ ลูบไล้ลงบนเรือนร่างขาวเกลี้ยง ไอควันสีเหลืองอ่อนขยับตัวเต้นระริกไปพร้อมกับเงากระเพื่อมในผืนน้ำ
          “จริงสิ ระหว่างที่เจ้าไม่อยู่ ราชันย์แห่งอิลห์ลารินทรงขึ้นมาที่นี่”
          “ว่าอย่างไร! ราชันย์แห่งอิลห์ลารินน่ะรึ?”
          อัสธาราธซึ่งเพิ่งโผล่ศีรษะพ้นผิวน้ำเดือดเอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อหู
อิลห์ลาริน นั่นคือชื่อของอาณาจักรใต้ผิวน้ำที่ล้อมรอบคอนเชียร์อยู่ อาณาจักรใต้ผืนน้ำดำมืดลึกสุดลูกหูลูกตาที่ไม่มีมังกรไฟตัวใดอยากเฉียดเข้าไปใกล้ เนื่องเพราะในอาณาจักรใต้น้ำแห่งนี้ นอกเสียจากเหล่าสัตว์น้ำใหญ่น้อย และภูตพรายทั้งหลายแล้ว ยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์โบราณอันมีที่มาร่วมกันกับเขา เหล่ามังกรน้ำ
แม้จะอยู่ติดกัน และมีผู้ครองอาณาจักรที่สืบเชื้อสายมาจากวงศ์วานเดียวกัน แต่คอนเชียร์กับอิลห์ลารินแทบจะไม่ต้องเกี่ยวกันเลย มิมีมังกรไฟตัวใดอยากลงไปในน้ำเย็นชืดนั่น และคงไม่มีสัตว์น้ำหรือมังกรน้ำตนใดอยากสัมผัสผืนแผ่นดินที่อุดมไปด้วยหินหลอมเหลวและเปลวเพลิงเผาผลาญเช่นนี้หรอก แล้วเหตุใดราชัน์แห่งอิลห์รารินจึงขึ้นมาที่นี่เล่า?
“เจ้าฟังมิผิด ข้ากล่าวว่าราชันย์แห่งอิลห์ลารินมาเยือนที่นี่จริงๆ”
“เพราะเหตุใดเล่า?”
ผู้เป็นน้องชายเอ่ยถามออกไป จอมกษัตริย์วักน้ำเดือดระอุขึ้นมาลูบพระพักตร์อีกครั้งก่อนตอบคำถาม
“ทรงมีปัญหาเรื่องเขตแดนในทิศตะวันตก ทรงเกรงว่าพวกมนุษย์จะรุกล้ำเข้ามาจนถึงทะเล ดังนั้นจึงเสด็จขึ้นมาขอคำปรึกษา”
“เรื่องมีเท่านี้?”
อัสธาราธถามออกไปอย่างสงสัย และได้รับสายตาสงสัยตอบกลับมา
“มีเพียงเท่านี้ เจ้ายังติดใจเรื่องใด  อืม...กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเอ่ยถามถึงเจ้าด้วย เจ้าเคยพบพระองค์มาก่อนหรือ?”
คนถูกถามสั่นศีรษะทันที แต่ก็ถามออกมาอีก
“ทรงถามถึงข้าว่าอย่างไร?”
“ทรงถามคำถามธรรมดา ถามว่าเจ้าเป็นเช่นไร ข้าจึงได้ถามไปว่าทรงรู้จักกับเจ้าหรือ พระองค์ไม่ตอบ แต่กลับหัวเราะออกมาแทน เจ้าเคยไปทำอะไรในเขตแดนของพระองค์รึเปล่า”
ศีรษะของอัสธาราธสั่นจนน่ากลัวจะหลุดออกจากบ่า เขารีบเอ่ยย้ำ
“ข้าไม่เคยพบพระองค์มาก่อน จะทราบได้อย่างไร บางทีอาจเพราะข้าบินไปบินมาบ่อยกระมัง”
“อาจเป็นได้”
อัสรานตรัส ทรงเก็บคำพูดที่ว่า มังกรสีแดงคงเตะตาเอาไว้ในพระโอษฐ์ด้วยเกรงว่าผู้เป็นน้องชายอาจไม่พอใจนักหากได้ยินได้ฟัง
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าคงยังมิทราบ องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้นทรงพระสิริโฉมงดงามยิ่งนัก”
“ทรงเป็นสตรี?”
          อัสธาราธถามอย่างแปลกใจ และได้รับการปฏิเสธด้วยการสั่นศีรษะเป็นคำตอบ กษัตริย์แห่งซาซาร์กันเอ่ยต่อ
          “ทรงเป็นบุรุษ แต่ทรงเป็นบุรุษที่งดงามอย่างยิ่ง หากทรงเป็นสตรี น่ากลัวข้าจำต้องเชื้อเชิญพระองค์ให้ทรงประทับที่นี่ถาวร”
          “นี่ท่านเกิดไปชอบพอพวกมังกรตัวลื่นหรือ?”
            อัสธาราธโพล่งออกมา ผู้เป็นพี่ชายขมวดคิ้ว
          “ข้ามิได้ชอบพอมังกรตัวลื่น เจ้าไฉนเสียมารยาท ทรงเป็นถึงกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินควรเรียกให้สมพระเกียรติ ข้าแค่จะอธิบายกับเจ้าว่า พระสิริโฉมในร่างกลางนั้นงดงามนัก”
            “ผู้ใดจะงดงามน่าเคารพไปกว่าท่านอีกเล่า”
          อัสธาราธเอ่ย เขารู้สึกเช่นนั้นจากใจจริง อัสรานทรงพระสรวลอีก
          “เจ้าต้องเห็นเอง ทรงจะขึ้นมาอีกครั้งในคืนวันเพ็ญนี้ เจ้าเองก็ยังมิมีธุระอื่นไม่ใช่หรือ รั้งไว้อยู่เป็นเพื่อนข้า รอยลโฉมพระองค์หน่อยเถิด”
          แม้อยากเอ่ยปากปฏิเสธ แต่องค์ราชันย์แห่งซาซาร์กันถึงกับลงทุนขอร้องแบบนี้ ต่อให้อัสธาราธจิตใจแข็งเป็นหินเพชรก็คงยากจะปฏิเสธได้ ดังนั้นจึงได้แต่พยักหน้าออกไป
 
-------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2013 07:32:24 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
            ความเย็นชืดนั้นน่ากลัวราวกับผุดพุ่งออกมาจากขุมนรก สายน้ำเย็นยะเยียบไหลทะลักเข้าสู่ร่าง สร้างความเจ็บปวดทรมานที่อึดอัดเสียยิ่งกว่าอยู่ในปากปล่องภูเขาไฟที่กำลังเดือดทะลัก เย็นเยียบน่าหวาดหวั่น ไหลกรรโชกจนน่าตกใจ ราวกับอุ้งมือมัจจุราชที่ฉีกกระชากชีวิตออกอย่างไร้ซึ่งความปราณี
          นัยน์ตาสีมรกตคู่นั้น...
 
-------------------------------------------------
          อัสธาราธนอนพลิกตัวอยู่บนฟูกนอนนุ่มบนเตียงหินสลักขนาดใหญ่ที่เบื้องล่างต่อเชื่อมเข้ากับปากปล่องภูเขาไฟ ทำให้มันร้อนระอุอยู่ตลอดเวลา สะดวกสบายสำหรับมังกรไฟที่นิยมอุณหภูมิสูงมากๆ แม้จะไม่ชอบอยู่ในร่างกลางนัก แต่การแช่น้ำร้อนจัด และการนอนบนเตียงอย่างนี้กลับเป็นที่โปรดปรานของเขาไม่น้อยไปกว่าการรบพุ่งเลย มันสบายกว่านอนแช่เย็นอยู่บนพื้นหินเป็นไหนๆ แต่ไฉนคืนนี้เขาจึงนอนไม่หลับ หรือเป็นเพราะความฝันอันน่าสะพรึงกลัวนั่น
          ร่างกำยำที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อไถลตัวลงจากเตียงนอนอบอุ่น เคลื่อนกายไปยังหน้าต่างหิน เรือนผมสีแดงสะท้อนกับแสงจันทร์ตัดกับความมืดเบื้องนอก ใกล้ถึงคืนวันเพ็ญเข้าไปทุกที นัยน์ตาสีแดงราวเลือดของอัสธาราธมองต่ำลงไปยังเบื้องล่างอย่างไม่ตั้งใจ เลยออกไปจากเกาะภูเขาไฟแห่งนี้ ก็คือพื้นน้ำเย็นยะเยียบที่เรียกกันว่าอิลห์ลาริน
          อัสธาราธแน่ใจว่าพี่ชายของเขาคงต้องนึกสงสัยอยู่บ้าง ไฉนเจ้านครแห่งอิลห์ลารินจึงได้ถามถึงเขา หรือว่ามีผู้ใดไปรายงาน อา... เจ้าตัวนั้นอาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์ก็ได้ แค่ย้อนคิดกลับไปถึงช่วงเวลานั้นก็รู้สึกอับอายเต็มที ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็ไม่อาจลบเหตุการณ์น่าหวาดกลัวนั่นออกไปจากหัวสมอง
          นี่สินะ คือความอ่อนแอที่ว่า
          ถึงจะพยายามลืมเลือนยังไง แต่เหตุการณ์พวกนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในหัวสมอง บางครั้งบางคราวก็กลับมากำเริบจนแทบจะทำให้กลายเป็นโรคประสาทอ่อนๆ อัสธาราธเคลื่อนกายออกจากหน้าต่าง เดินไปยังโต๊ะหินข้างเตียงนอน รินเครื่องดื่มบางอย่างออกจากคนโทหิน ลงในแก้ว ไอร้อนสีขาวครีมพวยพุ่งขึ้นมาทันที เขายกเครื่องดื่มที่ร้อนจัดนั้นขึ้นซดจนหมดสิ้น ก่อนจะระบายลมหายใจยาว
          เขาควรจะต้องทำอย่างไรกับความหวาดกลัวนี้”
 
---------------------------------------
          อัสรานนั้นงดงามอย่างยิ่ง น่าเคารพอย่างยิ่ง แม้จะอยู่ในชุดเครื่องแต่งกายธรรมดาก็ตาม และเมื่อทรงแต่งพระองค์เต็มยศแล้ว ยิ่งงดงามดึงดูดสายตาเป็นยิ่งนัก เรือนผมแดงจนดำนั้นถูกประดับด้วยอัญมณีสีแดงเพลิงหุ้มด้วยทองคำอย่างวิจิตร ฉลองพระองค์ประดับประดาด้วยมณีนิลที่หุ้มเรือนทองคำอีกชั้นหนึ่ง สร้อยพระศอสีดำหลายเส้นสลักตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ ยามเมื่อสวมใส่แล้วยิ่งขับให้ดูมีสง่าราศีมากขึ้น
          วันนี้เป็นวันที่กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินจะทรงเสด็จขึ้นมาเพื่อขอคำปรึกษาอีกครา กษัตริย์แห่งคอนเชียร์จึงจำต้องต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ อัสธาราธมองดูผู้เป็นพี่ชายอย่างชื่นชม จะมีผู้ใดอีกเล่างดงามได้เยี่ยงนี้ แม้แต่อิสสตรีเองยังไม่อาจเทียบเทียมรัศมีความงามของอัสรานเลย เขาชักนึกสงสัยว่ากษัตริย์แห่งอิลห์ลารินที่อัสรานชมนักชมหนาว่าทรงพระสิริโฉมยิ่งนั้น อัสรานเองได้เปรียบเทียบกับตัวเองแล้วหรือยัง เจ้าชายหนุ่มแน่ใจว่าคงไม่มีผู้ใดงดงามได้เท่านี้อีกแล้ว เขาโค้งให้พี่ชายอย่างเคารพในตอนที่เสด็จผ่าน
          “ออกไปด้วยกันสิ อัสธาราธ ข้ามิได้ต้อนรับกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินบนซาซาร์กันนี่หรอกนะ”
          สีหน้าของอัสธาราธปรากฏความงุนงงขึ้นมาทันที
          “ไม่ได้ทรงจะขึ้นมาบนนี้หรอกรึ?”
          อัสรานสั่นพระพักตร์
          “กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินทรงไม่คุ้นชิ้นกับสภาพอากาศร้อน คราวที่แล้วทรงอดทนจนแทบล้มลง ข้าไม่อยากให้ทรงประชวรเพียงเพราะฝืนพระองค์เองเสด็จขึ้นมาถึงที่นี่”
          ผู้เป็นน้องชายพยักหน้าอย่างเข้าใจ และเดินตามออกไป
 
--------------------------------------------
            สถานที่พบปะนั้นเป็นป้อมปราการหินขนาดใหญ่ป้อมหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับชายฝั่งทะเลมากที่สุด สถานที่นั้นถูกตกแต่งอย่างวิจิตรสมกับฐานะของจอมกษัตริย์ทั้งสองแล้วก่อนที่อัสรานเสด็จจะไปถึง ราชันย์แห่งคอนเชียร์หยุดประทับอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า เมื่อทอดพระเนตรเห็นแสงไฟสีน้ำเงินริบหรี่ที่ใกล้เข้ามา
          ขบวนเสด็จของกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้นไม่ได้ใหญ่โตเลย เป็นขบวนเล็กๆ ที่มีพรายน้ำในชุดคล้ายกับกอสาหร่ายเดินนำหน้า ต่างถือโคมไฟที่ดูเหมือนจะทำขึ้นจากหินใต้ทะเลและปะการัง ภายในมีดวงไฟสีฟ้าซึ่งไม่เคยมีให้พบเห็นในคอนเชียร์ลุกโชนอยู่ ด้านหลังพวกพราย มีเหล่าผู้ติดตามที่ดูเหมือนจะเป็นเชื้อสายชั้นสูงเดินตามมาอีกสองสามคน ต่างถือโคมไฟสีฟ้าที่ประดับประดาอย่างวิจิตรกว่าพวกที่อยู่ด้านหน้า และที่ตามมานั้น
          อัสธาราธถึงกับอ้าปากค้าง เขาเข้าใจในทันทีว่าทำไมพี่ชายถึงได้ชมกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนัก
          เรือนร่างนั้นสูงโปร่ง อยู่ในชุดคล้ายกับผ้าคลุมสีดำออกน้ำเงิน นิ้วเรียวยาวได้รูปประคองโคมไฟที่ตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดารอยู่คล้ายกับจะมากำนัล ใบหน้าที่โผล่พ้นผ้าคลุมออกมานั้น แม้เพียงเสี้ยวหนึ่ง แต่กลับมีแรงดึงดูดอย่างประหลาด ริมฝีปากบางที่ดูจะแย้มยิ้มอยู่ในที พอต้องกับแสงไฟสีฟ้าที่ไล้ใบหน้าได้รูปนั้นแล้วยิ่งขับความงามลึกลับนั้นให้เด่นออกมาอีกราวกับว่าร่างกายนั้นเปล่งแสงได้ เรือนผมสีน้ำเงินยาวสยายทอดลงจนแทบระพื้น ปลายของมันเป็นลอนคล้ายเกลียวของฟองคลื่น เมื่อดำเนินเข้ามาใกล้พอ จึงทรงยกผ้าคลุมศีรษะขึ้น
          อัสธาราธแทบหยุดหายใจ วินาทีที่ใบหน้านั้นถูกเปิดออก เขารู้สึกเหมือนถูกจับแช่แข็ง วินาทีที่ได้เห็นนัยน์ตาคู่นั้น
          นัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่นั้น
 
----------------------------------------------
          เหล่าผู้ติดตามต่างโค้งลงเพื่อแสดงความเคารพให้กับกษัตริย์แห่งคอนเชียร์ที่ทรงประทับรออยู่ และขยับตัวเป็นแถวยาวเพื่อให้กษัตริย์ของตนเสด็จผ่านเข้ามาโดยง่าย ผู้นั่งบนบัลลังก์แห่งสายนทีกว้างย่อตัวลงอย่างเคารพ แย้มพระโอษฐ์กล่าววาจาด้วยน้ำเสียวราวแก้วผลึก
          “ขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้ทรงรอ หากมิทรงขุ่นเคืองพระทัยนัก เราอยากจะขอถวายดวงไฟแห่งอิลห์ลารินนี้ให้แก่ท่าน”
          มือเรียวที่โผล่พ้นผ้าคลุมบรรจงยื่นโคมไฟที่ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรนั้นให้กับกษัตริย์ของอีกฝ่าย อัสรานแย้มพระโอษฐ์ กล่าวอย่างยินดี
          “เรามิได้ขุ่นเคืองอันใดเลย ท่านผู้ทรงนั่ง ณ บัลลังก์แห่งสายน้ำ ของกำนัลนี่ทรงคุณค่ายิ่ง เราจักเก็บรักษามันไว้อย่างดี”
          ตรัสจบจึงรับโคมไฟจากมือเรียวนั้น รับสั่งให้ผู้ติดตามนำไปประดับภายในห้องทันที ก่อนจะหันมากล่าวว่าจาต่อ
          “ท่านลำบากมากหรือไหม? เราเกรงว่าท่านจักมิอาจทนทานไอร้อนของที่นี่ได้นาน”
          “หามิได้”
          ถ้อยคำราวแก้วผลึกนั้นดังขึ้นอีกครั้ง กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแย้มยิ้มอย่างจริงใจ
          “ทรงกรุณามากแล้วที่เสด็จมาให้พบถึงที่นี่ เรากลับเกรงว่าจะรบกวนท่านเกินไปด้วยซ้ำ”
          “อย่าได้ทรงเกรงใจให้มากความเลย ถึงอย่างไรท่านกับพระราชบิดาของเราก็เคยเป็นสหายกันมาก่อน”
          “อา...ทรงกล่าววาจาราวกับพระราชบิดาของท่านมิผิดเพี้ยน เรานี้คงชราภาพมากแล้วจริงๆ”
          “อย่าได้ตีความเช่นนั้นเลย”
          อัสรานรีบเอ่ย
          “เผ่าพันธุ์ของท่านถือว่าอายุยืนยิ่ง ทรงภูมิปัญญายิ่ง หากแม้นเคยรู้จักกับพระอัยกาของเราก็ไม่น่าแปลกใจเลย เชิญท่านเข้าไปประทับด้านในก่อนเถิด”
          กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแย้มพระโอษฐ์อีกครั้ง ก่อนจะเสด็จตามคำเชื้อเชิญเข้าไปยังพลับพลาที่จัดไว้ ขณะที่ทรงดำเนินนั้นพลันทอดพระเนตรไปเห็นผู้ติดตามคนหนึ่ง แลดูคุ้นตาเป็นยิ่งนัก ทรงตรัสออกมา
          “อ้อ..เจ้ามังกรไฟเมื่อตอนนั้น”
          นัยน์ตาสีเขียวมรกตที่มองมานั่นคล้ายดั่งพะเนินเหล็กใหญ่ที่ถ่วงให้อัสธาราธจมลึกลงไปในห้วงเหวแห่งความหวาดกลัว ร่างแกร่งเอ่ยเรียกออกไปอย่างไม่ทันคิด
          “เรเธียร์!”
 
----------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
งืมมม ทำไมคุ้นๆ แต่อาจจะเคยอ่านเรื่องสั้นมั้ง จำได้ว่าชอบเรื่องนั้นมากเลย

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
2 : เปลวเพลิงสีแดงแห่งคอนเชียร์

          สีเขียวมรกต ท่ามกลางสายน้ำมืดสนิท นัยน์ตาวาวโรจน์ที่มองมาอย่างไม่อาจคาดเดาได้ คมเขี้ยวยาวยื่นที่ง้างออกมา ความน่าพรั่นพรึงที่อยู่ภายใต้พื้นน้ำเย็นยะเยียบ

                นานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ ในวังวนแห่งความมืดนั่น ดวงตาสีมรกตคู่นั้น เยือกเย็น มืดทะมึน เคลื่อนคล้อยมาอย่างช้าๆ ท่ามกลางรสชาติเค็มเฝื่อนของน้ำทะเลที่เจือปนไปด้วยโลหิตสดๆ
 
------------------------------------

          “เรเธียร์!”

                ถ้อยคำที่เปล่งออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจนั้น ก่อให้เกิดความวุ่นวายตามมาชนิดที่คาดไม่ถึง ทันทีที่เสียงนั้นกระทบเข้ากับคลื่นอากาศ กระเทือนเข้าสู่โสตสัมผัสของทุกผู้คนบริเวณนั้น สีหน้าของผู้ติดตามแห่งท้องทะเลแปรเปลี่ยนไปทันที ผู้ร่วมขบวนเสด็จของกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินชักอาวุธขึ้นมาและวาดมันไปยังร่างของผู้เอ่ยถ้อยคำนั้นอย่างประสงค์ร้ายเต็มที่ กษัตริย์อัสรานทรงตกพระทัยเสียจนโพล่งออกมา

          “มีเรื่องอันใด!”

          “มันผู้นั้นกล้ากล่าวพระนามขององค์ราชันย์ออกมาโดยตรง ช่างไร้มารยาทสิ้น!!”

          หนึ่งในผู้ติดตามชั้นสูงเอ่ย ใบดาบคมเกลี้ยงรูปร่างราวเสี้ยวจันทร์สีเงินยวงพุ่งตรงไปยังผู้ที่เอ่ยถ้อยคำต้องห้ามนั้นออกมา อัสรานถึงกับงุนงงเป็นอย่างยิ่ง

          “มัน?”

          พระองค์ทวนคำและผินพระพักตร์กลับไปมอง ผู้ที่ถูกเล็งเข้าใส่คือน้องชายแท้ๆ ของพระองค์เอง นี่มันเรื่องอันใดกันเล่า

          “คนผู้นี้เป็นน้องชายของเรา เจ้าชายอัสธาราธแห่งคอนเชียร์ รัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งบัลลังก์เพลิงนี้ เหตุไฉนจึงจะกล่าววาจาเสียมารยาทเช่นนั้นได้”

          ถึงแม้จะเข้าใจว่าอัสธาราธมีนิสัยแปลกๆ อยู่บ้าง แต่เรื่องเสียมารยาทเช่นนี้คงไม่กระทำเด็ดขาด ยิ่งกว่านั้นอัสธาราธบอกเองว่ามิได้เคยพบกับกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเลย แล้วจักรู้ชื่อได้อย่างไร พระนามของกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้น แม้แต่พระองค์เองยังไม่เคยทราบมาก่อนเลยเช่นกัน

          “พวกเจ้าอย่าได้เสียมารยาท”

          น้ำเสียงราวแก้วผลึกกล่าวขึ้น ใบหน้าผุดผาดงดงามราวรูปสลักจากฝีมือเทพเจ้าโผล่พ้นขอบผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มนั้นออกมาจนสิ้น ขนคิ้วสีน้ำเงินเรียงได้รูปสวย นัยน์ตาเรียวยาวรับเข้ากับใบหน้าเรียวอันบ่งบอกถึงภูมิปัญญาอันสูงส่งและความสูงศักดิ์ของเชื้อสาย เหนือสิ่งอื่นใด นัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่นั้น นัยน์ตาที่ต่อให้หลับตาสักกี่ครั้ง พยายามลืมสักกี่ครั้งก็คงไม่มีวันลืมได้เด็ดขาด นัยน์ตาที่อยู่ใต้กระแสน้ำเย็นนั่น

          “เรเธียร์เป็นนามของเรา เราบอกนามนั้นแก่เขาเอง”

          พวกผู้ติดตามทั้งหมดงงงันวูบ แม้แต่อัสรานเองก็ยังรู้สึกงุนงงสงสัยหนักเข้าไปอีก ราชันย์แห่งคอนเชียร์หันไปหาผู้เป็นน้องชาย

          “เจ้ารู้จักกับพระองค์หรือ?”

          อัสธาราธยืนนิ่งอยู่อีกเนิ่นนาน จนทุกคนเข้าใจว่าคนผู้นี้หูหนวก ไม่ก็กลายเป็นใบ้ แต่ในที่สุดเจ้าชายหนุ่มก็สั่นศีรษะ

          “ข้ามิเคยพบพานพระองค์มาก่อน อาจจะทรงจำคนผิด”

          “จำคนผิด?”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินทวนคำ ความตรึงเครียดผุดขึ้นมาอีกครั้ง กษัตริย์อัสรานรู้สึกเหมือนมีหยาดเหงื่อซึมขึ้นมาบนใบหน้า ทรงหันไปมองน้องชายอย่างตำหนิ แล้วเสียงหัวเราะราวเสียงขยับของสายพิณก็ดังขึ้น

          “อา.. คงใช่ เราอาจจะจำคนผิด เจ้าชายอัสธาราธ ขออภัยที่คนของเราเสียมารยาทต่อท่าน เพื่อเป็นการขออภัย โปรดรับของสิ่งนี้เอาไว้”

          กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินสยายมวยผมที่กล้าไว้อย่างหลวมๆ ของพระองค์ออก ดึงเอาปิ่นปักผมสีดำสนิทที่ประดับอัญมณีสีน้ำเงินเข้มออกมา เสียงกระทบของโลหะสูงค่าดังกังวานไปทั่วบริเวณ โดยไม่มีผู้ใดกล้าคาดคิด ทรงเสด็จเข้าไปหาเจ้าชายแห่งคอนเชียร์และมอบปิ่นปักผมนั้นให้ด้วยพระองค์เอง

          “คำขอโทษจากเรา”

          อัสธาราธถอยหลังออกไปอย่างตระหนก เขารู้ว่าไม่บังควรเลยที่จะแสดงกิริยาเยี่ยงนี้ต่อหน้าพระพักตร์จอมกษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน แต่ทว่านัยน์ตาสีเขียวมรกตที่มองมานั้นได้ก่อกวนความรู้สึกหวาดหวั่นที่อยู่ลึกลงไปในจิตใจของเขา นัยน์ตาสีเขียวมรกตกับสายน้ำเย็นยะเยียบความน่าสะพรึงกลัวที่เขาไม่เคยลืม

          ริมฝีปากได้รูปบนใบหน้าที่ราวกับรูปสลักปรากฏรอยยิ้มอนาทร ทรงทอดตาดูเจ้าชายหนุ่มอย่างเอ็นดูยิ่ง ช่างเยาว์วัยจนน่าอิจฉานัก กับอารมณ์คนหนุ่มที่พลุ่งพล่าน คงยังมิอาจระงับจิตใจจากเรื่องในคราวนั้นได้แน่แท้

          ผ้าพลิ้วเนื้อลื่นไหลเลื่อนออกจากข้อมือของกษัตริย์แห่งสายน้ำ ในตอนที่พระองค์ทรงยื่นปิ่นปักผมให้เจ้าชายหนุ่ม ผิวขาวผุดผาดที่งดงามยิ่งกว่าแพรพรรณใดๆ ปรากฏให้ประจักแก่สายตาตัดกับสีดำสนิทของปิ่นปักผมนั้น

          “ได้โปรดรับไว้เถิด”

          ดูท่าอัสธาราธจะเกร็งจนไม่อาจรับมือกับกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินได้ อัสรานเกือบจะอ้าปากออกมาอยู่แล้วในตอนนั้น หากนิ้วเรียวยาวได้รูปของจอมกษัตริย์แห่งสายน้ำมิได้เลื่อนลงไปดึงมือของผู้เป็นน้องชายขึ้นมาและวางปิ่นปักผมนั้นลงไป

          สัมผัสของไอเย็นบนมือเรียวนุ่มนั้นยิ่งฉุดความพรั่นพรึงของอัสธาราธให้มีมากขึ้น ความรู้สึกของสายน้ำเย็นยะเยียบกับคมเขี้ยวแหลมคมที่ฝังลงมาบนผิวหนังผุดขึ้นราวลาวาที่ปะทุออกมาจากปล่อง อย่างไม่ทันได้ตั้งสติ เขาปัดมือเรียวนั้นออกอย่างตกใจ

          เสียงวัตถุสูงค่ากระทบเข้ากับพื้นหินเบื้องล่างดังเสียดเข้าไปในโสตประสาท ท่ามกลางความตกตะลึงของสายตาทุกคู่ที่จ้องมองมา อัสรานอ้าปากค้าง ไม่คาดคิดเลยว่าน้องชายของเขาจะกล้าแสดงกิริยาเช่นนี้ออกมา

          “ขออภัย!”

          น้ำเสียงที่ยังตกประหม่าแต่ก็พอจะประคองสติได้แล้วดังขึ้น พร้อมๆ กับร่างแข็งแรงของอัสธาราธที่คุกเข่าลงตรงหน้ากษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน เจ้าชายหนุ่มรู้สึกอับอายจนอยากจะตายไปให้พ้นๆ ในตอนนี้ เมื่อครู่นี้เขาได้แสดงความหวาดกลัวออกไปต่อหน้าสาธารณะชน และยังเสียมารยาทต่อแขกคนสำคัญของพี่ชายอีก แบบนี้จะมีน้ำหน้าอยู่ดูโลกต่อไปได้อย่างไร

          นิ้วมือของอัสธาราธเกร็งแน่น เขาสมควรจะควักหัวใจของตัวเองออกมาในตอนนี้ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้ทำลงไป ทันใดนั้นน้ำหนักกดมหาศาลก็กดลงบนไหล่ของเขา

          “ขออภัยแทนน้องชายของเราด้วย”

          กษัตริย์แห่งคอนเชียร์เอ่ย พลางบีบมือลงไปบนหัวไหล่ของผู้เป็นน้องชายอย่างเตือนสติ แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดอัสธาราธจึงแสดงกิริยาเช่นนั้นออกมา แต่เขาแน่ใจว่าน้องชายคนนี้คงคิดจะรับผิดชอบด้วยชีวิตเป็นแน่ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนาจะให้เกิดขึ้น กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแย้มยิ้มออกมา พลางถอนหายใจ

          “มิได้ ยังคงเป็นเราที่ต้องขออภัย เราคงทำการอันน่าตระหนกเกินไป ต้องขออภัยมากจริงๆ”

          ราชันย์แห่งสายน้ำเว้นจังหวะ ทอดนัยน์ตาสีเขียวมรกตลงมายังเจ้าชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

          “ได้โปรดรับคำขอโทษของเราไว้เถิด เจ้าชายอัสธาราธ เรามิได้มีเจตนาจะทำให้ท่านหวาดกลัวเลย”

          อัสธาราธมิได้เอ่ยปาก มิได้เงยหน้าขึ้นมอง เขาเอื้อมมือไปเก็บปิ่นปักผมนั้นด้วยความรู้สึกราวถูกทวีปทั้งทวีปทับอยู่ น้ำหนักของปิ่นนั้นไม่มาก แต่สำหรับเขาในตอนนี้ มันหนักยิ่งเสียกว่าทั่งเหล็กที่ซ้อนทับกันหลายสิบชั้นเสียอีก

          ความอัปยศในครานี้ อีกกี่ปีกี่ชาติจึงจะล้างหมดสิ้น

          “อัสธาราธเพิ่งกลับมาจากราชการชายแดน อาจจะยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง เป็นความผิดของเราเองที่ยังดันทุรังจะพามาด้วย เจ้าจงกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”

          อัสรานกล่าว ประโยคหลังหันไปพูดกับน้องชาย อัสธาราธพยักหน้า รู้ดีว่าพี่ชายกำลังหาช่องทางในการปลีกตัวออกไปให้เขาอยู่  เจ้าชายหนุ่มจึงผุดลุกขึ้น โค้งให้กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินอีกครั้ง ก่อนจะบ่ายหน้ากลับมายังที่พักด้วยความรู้สึกอัปยศเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

                ความอัปยศที่ตัวเขาเองเป็นคนก่อไว้ทั้งสิ้น

------------------------------------------------

                เยือกเย็นและเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง  สายนทีไพศาลที่ไหลกระแทกเข้ากับร่างกาย ปลายประสาททุกส่วนเต้นร้องไปกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น นัยน์ตาพร่ามัวดังถูกม่านหนาบดบัง ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถประจักษ์ถึงสิ่งนั้น

          นัยน์ตาสีมรกตและฟันเรียวแหลมที่เรียงกันอย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงนั่น
 
-------------------------------------------

          อัญมณีสีน้ำเงินสะท้อนประกายของแสงจันทร์ในคืนเพ็ญคล้ายประกายแห่งสายรุ้ง เจ้าชายแห่งคอนเชียร์มิอาจข่มตานอนลงไปได้ ความรู้สึกสับสนปนเปประดังประเดเข้ามาให้ห้วงความคิด ความรู้สึกของสัมผัสเย็นยะเยียบและนัยน์ตาสีเขียวมรกตที่ได้ยลเมื่อครู่ยังคงคั่งค้างอยู่ในความทรงจำ

          ก่อกวนความกลัวที่ฝังตัวลึกอยู่ภายในจิตใจของเขา
          นัยน์ตาสีแดงก่ำเหม่อมองปิ่นสีดำนั้นอย่างซึมเซา เจ้าของปิ่นนี้คงกำลังปรึกษางานราชการกับพี่ชายของเขาอยู่ เจ้าของปิ่นนี้ ราชาแห่งดินแดนใต้สมุทรอันเย็นเยียบนั่น ช่างน่าตระหนกนักที่ถึงกับทรงมอบปิ่นปักผมที่อยู่บนพระเศียรให้ด้วยตัวของพระองค์เอง ทรงต้องการขอโทษอย่างนั้นหรือ กับนัยน์ตาสีมรกตที่มองมานั่น ต้องทรงสมเพสเขาอยู่แน่ๆ จะทรงเล่าเรื่องนั้นให้ผู้เป็นพี่ชายของเขารับรู้ด้วยหรือเปล่า หากทรงเล่า จะทรงเล่าในรูปแบบใด

          อัสธาราธขยับร่างสูงใหญ่บนเตียงหินอย่างอึดอัด ช่างน่าอัปยศนัก นัยน์ตาสีเขียวอันน่าพรั่นพรึงคู่นั้น ไฉนจึงกลับกลายเป็นนัยน์ตาของกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินไปได้ มาถึงขั้นนี้เขาจะพูดอย่างไรกัน กับเรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้น กับสิ่งที่เขาเคยเผชิญ กับสิ่งที่เขาเคยได้ทำลงไป หากกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินทรงแสดงความขุ่นเคืองออกมาคงจะดีกว่านี้ แต่สิ่งที่พระองค์ทำคือการแสดงความเห็นใจอย่างถึงที่สุด สมเพสเวทนาเขาเป็นยิ่งนัก เขาที่เพียงแค่ได้พบเห็นนัยน์ตาคู่นั้นก็ถึงกับหวาดกลัวจนมิอาจเก็บอาการได้

          นี่หรือผู้เข้มแข็งแห่งคอนเชียร์

          เจ้าชายหนุ่มบีบมือเข้ากับขอบเตียงหิน เศษหินน้อยใหญ่ร่วงหล่นลงบนผ้าปูเตียงหนาด้วยแรงขย้ำ ผู้เข็มแข็งประเภทใดกันเล่าที่แสดงความหวาดกลัวออกไปอย่างน่าละอายเช่นนั้น ผู้เข้มแข็งใดเล่าที่กระทำการอันน่าละอายอย่างที่เขาเคยทำ จวบจนกระทั่งได้พบพาลแล้ว ก็ยังมิอาจยับยั้งความหวาดกลัวนั้นได้ มิอาจรักษาสติเอาไว้ได้เลย

          เช่นนี้ยังจักกล้าใช้คำว่าผู้เข้มแข็งอีกหรือ

          เศษหินร่วงหล่นลงพร้อมหยาดน้ำระอุอุ่นที่ไหลซึมออกมาจากร่องหางตา น้ำตาแห่งความอัปยศหลั่งออกมาจากดวงตาสีแดงเพลิงคู่นั้น ผ่านพ้นคืนนี้ เขาจะเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพี่ชายได้อย่างไร จะเงยหน้าขึ้นมองทุกคนได้อย่างไร ในเมื่อเขาได้แสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของตัวเองออกไปแล้ว ว่าเขานั้นขลาดเขลามากเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้านัยน์ตาสีมรกตนั่น

          ไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับว่าเป็นผู้เอ่ยพระนามออกไป

          เมื่อนึกถึงนัยน์ตาสีน้ำทะเลของผู้ติดตามจากห้วงนทีที่มองมายังเขาอย่างสมเพสนั่นแล้ว อัสธาราธอยากจะตายไปเสียให้พ้นๆ จากความอัปยศนี้ แต่เมื่อนึกถึงมือของผู้เป็นพี่ชายที่บีบลงมาแล้ว เขาก็รู้สึกตัวทันทีว่า นั่นมิใช่ทางออกที่เหมาะสม หากจะต้องตาย เขาควรจะตายอย่างมีประโยชน์กว่านั้น

          แต่การต้องทนอยู่กล้ำกลืนความอัปยศนี้แม้เพียงอีกนาทีเดียวก็ทรมานเต็มทน

          อัสธาราธพลันนึกถึงสงคราม หากมีสงครามใหญ่เกิดขึ้น หากเขาได้ตายในสงครามเพื่อองค์ราชา เพื่อคอนเชียร์แห่งนี้ เยี่ยงนั้นจึงสมประโยชน์ สมศักดิ์ศรี แต่สงครามใดเล่าจะอุบัติขึ้นในยามนี้

                พวกมนุษย์

          เมื่อนึกถึงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่แสนเจ้าเล่ห์นั่นแล้ว เจ้าชายหนุ่มพลันมิคิดอยากตายอีก หากต้องสิ้นด้วยน้ำมือของสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจพวกนั้น คงอัปยศพอๆ กับสิ่งที่เขาเผชิญอยู่นี่แหละ ช่างน่าหัวร่อ ในเมื่อครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยเกือบจะพลาดท่าให้พวกมันมาแล้วเช่นกัน  ถ้าหากมิได้พบพานกับนัยน์ตาสีมรกตนั่น

          นัยน์ตาที่สร้างความพรั่นพรึงเสียยิ่งกว่าสิ่งใดๆ
 
-------------------------------------------

          “อัสธาราธเล่า?”

          กษัตริย์แห่งคอนเชียร์เอ่ยขึ้น หลังจากเสร็จจากการหารือกับกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแล้ว ก็ตรงมายังซาซาร์กันในทันที ทรงมองผู้เป็นพี่สาวซึ่งรั้งเฝ้าอยู่ที่ปราสาทอย่างร้อนใจ

          “เข้านอนแล้ว เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

          อัสเธียร์เอ่ยถามอย่างแปลกใจ ก่อนหน้านี้นางรู้สึกแปลกใจอยู่ก่อนแล้วที่จู่ๆ อัสธาราธที่ตามขบวนเสด็จออกไปแต่ช่วงหัวค่ำ กลับมาก่อนเวลาด้วยสีหน้าชวนให้ไม่สบายใจเป็นยิ่งนัก ราวกับว่าเพิ่งพ่ายต่อสงครามมาอย่างไรอย่างนั้น นางมิกล้าเอ่ยถามสิ่งใด เนื่องจากน้องชายผู้นี้ยามมีสีหน้าแบบนี้ไม่พึงพอใจการต่อปากต่อคำกับผู้ใดทั้งสิ้น ทำได้เพียงเฝ้าวนเวียนอยู่หน้าห้อง เผื่ออาจมีเหตุไม่คาดฝันใดเกิดขึ้น

          นางรู้สึกไม่ไว้ใจกับนัยน์ตาสีแดงที่ดูสับสนคู่นั้น

          “อัสธาราธก่อเรื่องเล็กน้อย อืม..ข้าจึงให้เขากลับมาก่อน?”

                อัสรานเอ่ย นั่นทำให้ผู้เป็นพี่สาวโพล่งออกมา

          “อย่างไร? อัสธาราธก่อเรื่องต่อหน้าพระพักตร์องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินหรือ?”

          แม้นางจะเคยพร่ำบ่นเรื่องมารยาทกับอัสธาราธหลายต่อหลายครั้งจนน่าเอือมระอา แต่นางรู้ดีว่าน้องชายผู้นี้ไม่ใช่คนไม่รู้กาลเทศะ แค่เอาแต่ใจและหัวดื้อเท่านั้น มิคาดว่าจะกล้าเสียมารยาทต่อกษัตริย์ผู้ครอบครองสายน้ำกว้างนั้น

          อัสรานโคลงศีรษะ นั่งลงบนแท่นที่ประทับภายในห้องรับรองด้านหน้า และกล่าวสืบต่อ

          “ท่านพี่หญิงคงคิดเช่นเดียวกับข้า อัสธาราธไม่น่าเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินได้ แต่เขาทำลงไปเสียแล้ว ข้าเกรงว่าบางทีเขาอาจเคยพบกับพระองค์มาก่อน”

          “ได้อย่างไร?”

          อัสเธียร์กล่าวอย่างแปลกใจ แม้คอนเชียร์และอิลห์ลารินนั้นจะมีเขตแดนติดกัน แต่ไม่มีมังกรไฟตัวใดอยากเข้าไปเฉียดผิวน้ำเย็นยะเยียบนั่น เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้น้ำนั้น มิมีตนใดอยากเฉียดเข้ามาใกล้อาณาเขตอันเต็มไปด้วยไอพิษของเถ้าภูเขาไฟและธารลาวาเช่นนี้หรอก คิ้วของอัสรานขมวดเข้าหากัน

          “ข้ามิทราบ อัสธาราธนั้นเอ่ยพระนามขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินออกไปตรงๆ ราวกับเคยพบพานกันมาก่อน และองค์กษัตริย์ก็ทรงตรัสเองว่าเป็นผู้บอกนามนั้นแก่อัสธาราธเอง”

          “เช่นนั้นไฉนจึงเกิดเรื่องเล่า หากต่างฝ่ายต่างรู้จักกันย่อมน่ายินดีมิใช่หรือ?”

          “เนื่องเพราะอัสธาราธกลับปฏิเสธการรู้จักกับพระองค์ เขากล่าวว่าพระองค์ทรงจำคนผิด”

          “ใยจึงกล้ากล่าววาจากลับกลอกเช่นนั้น!”

          อัสเธียร์โพล่งออกมา นางมิคาดน้องชายของนางจะกล้ากล่าววาจากลับกลอกกับองค์กษัตริย์ของอีกอาณาจักรหนึ่งได้ โดยปกติเขามิใช่คนกลับกลอกเลย อัสรานถอนหายใจหนักหน่วง

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2012 12:51:20 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
         “เกรงว่าอัสธาราธจงใจบิดบังบางอย่างกับพวกเรา กับทุกคนด้วย เขามิกล้ายอมรับว่ารู้จักกับองค์กษัตริย์ จะด้วยเหตุผลได้มิทราบได้ แต่องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้นทรงพระเมตตามากถึงกระทั่งออกปากเอ่ยคำขอโทษจากพระโอษฐ์และถอดปิ่นปักผมกำนัลให้แก่อัสธาราธด้วยพระองค์เอง”

          “มีเรื่องเช่นนั้น!”

          อัสเธียร์กล่าวอย่างตกใจอีกรอบ การมอบเครื่องประดับบนศีรษะของกษัตริย์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ใคร่กระทำกันนัก ยกเว้นเสียแต่ว่าต้องการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด ไฉนกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินจึงประทานปิ่นปักผมบนศีรษะของพระองค์ให้แก่อัสธาราธซึ่งมิได้ทรงยศเทียบเท่ากษัตริย์เล่า แม้หากทรงอยากขอโทษจริงๆ ก็ไม่สมควรจะทำเยี่ยงนี้

          “องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้นทรงพระชนมายุยืนยิ่งท่านก็ทราบ ทรงดำรงอยู่มาก่อนที่พวกเราจะถือกำเนิดเสียอีก ทรงเป็นพระสหายแต่ครั้งพระอัยกา....”

          “เกรงว่าจะทรงดำรงอยู่มานานกว่านั้น แต่เหตุไฉนจึงกระทำการเช่นนี้เล่า นี่มิใช่การดูถูกอัสธาราธ แต่ด้วยฐานะของเขา พระองค์ไม่น่าจะถึงกับทรงประทานเครื่องประดับศีรษะให้เพียงเพื่อแทนคำขออภัย”

          อัสเธียร์เอ่ยต่อ ผู้เป็นน้องชายผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย ก่อนจะกล่าวขึ้น

          “แต่ที่ยิ่งกว่านั้น อัสธาราธกลับแสดงทีท่าหวาดกลัวพระองค์เป็นอย่างมาก ถึงกระทั่งปัดพระกรออกจนปิ่นนั้นร่วงลงสู่พื้นดิน”

          “พระแม่แห่งเพลิงทรงโปรด!!!”

          อัสเธียร์อุทานอย่างตระหนก หน้าของนางถอดสีอย่างเห็นได้ชัด นางมองดูราชันย์แห่งคอนเชียร์ผู้เป็นอนุชาด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

          “นั่นถือว่าเลวร้ายอย่างยิ่ง! หากเป็นผู้อื่น น่ากลัวถูกกุดหัวทิ้งไปแล้ว ไฉนอัสธาราธจึงกริ่งเกรงพระองค์จนกระทำเยี่ยงนั้น เขามิเคยแสดงท่าทีหวาดเกรงผู้ใดมาก่อน”

                “ข้ามิทราบ”

          อัสรานพูดพลางสั่นศีรษะ

          “เมื่อเกิดเหตุเช่นนั้น ข้าเกรงอัสธาราธจะคิดสั้น เขาตั้งสติได้หลังจากนั้นและเอ่ยปากขอพระราชทานอภัยโทษ องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินมิเพียงไม่ถือโทษเท่านั้น ยังทรงเอ่ยปากขอโทษซ้ำและกำชับให้รับปิ่นนั้นไป ทรงกล่าวทำนองว่าได้ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อัสธาราธหวาดกลัว”

          “องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินมีอันใดน่าหวาดกลัว ทรงงดงามน่ามองด้วยซ้ำ ทั้งยังรักษากิริยามารยาทงดงามยิ่ง ยามแย้มพระโอษฐ์นั้นหัวใจข้าถึงกับจะกระดอนออกมา”

          อัสเธียร์กล่าวจากความรู้สึกของนางจริงๆ มิว่าผู้ใดได้พบเห็นกษัตริย์ผู้ทรงสิริโฉมพระองค์นั้น ย่อมไม่มีทางคิดหวาดกลัวเป็นแน่ นอกเสียจากมันผู้นั้นสัญญาวิปลาส แต่อัสธาราธไม่ใช่คนสัญญาวิปลาส ถ้าเช่นนั้น เป็นเรื่องราวใดแน่ อัสรานแย้มพระโอษฐ์ออกมาบ้าง

          “คิดเช่นเดียวกัน องค์ราชันย์แห่งอิลห์ลารินนั้นงดงามยิ่ง ข้ายังหวังให้อัสธาราธได้ยลสิริโฉมของพระองค์สักครั้งจึงได้กล่าวรั้งตัวไว้ มิคาด นอกเสียจากจะมิได้เป็นดังหวังแล้ว เรื่องราวดูเหมือนจะลึกลับยิ่ง คล้ายดั่งทั้งสองเคยพบพานกันมาก่อน”

          “หากเคยพบกันจริง ไฉนอัสธาราธมิเคยบอกกล่าวเรื่องนี้เลยเล่า?”

          “บางทีอาจเพราะเขาต้องการปิดบังบางอย่าง”

          “บางอย่าง บางอย่างใด? การรู้จักกับกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินมีส่วนใดให้อับอายน่าปิดบัง หรืออัสธาราธเคยไปทำเรื่องน่าอับอายกับองค์กษัตริย์เข้า!?”

          เอ่ยถึงตรงนี้พระพี่นางถึงขั้นหน้าถอดสีอีกรอบ หากเป็นเช่นนั้นจริง นางย่อมต้องเดินเข้าไปลากศีรษะของอัสธาราธลงไปขอขมาต่อองค์กษัตริย์แห่งท้องน้ำนั้นให้จงได้ อัสรานสั่นศีรษะอย่างอับจนปัญญา

          “ข้ามิกล้าคาดเดา เพราะเหตุเช่นนั้น ข้าจึงให้อัสธาราธกลับมาก่อน และข้าเองก็ไม่กล้าเอ่ยถามเรื่องราวกับองค์กษัตริย์ เพราะทรงเอ่ยยอมรับวาจาของอัสธาราธว่าทรงจำคนผิด และไม่ทรงเอ่ยเรื่องนั้นออกมาอีกเลย บางทีเรื่องนี้อาจต้องไต่ถามจากปากของอัสธาราธเอง”

          “เช่นนั้นข้าจะไปปลุกเขา”

          อัสเธียร์เอ่ยพลันผุดลุกขึ้น อัสรานเอื้อมมือยุดนางเอาไว้

          “อย่าเพิ่งเลย ท่านพี่หญิง ให้อัสธาราธพักผ่อนไปก่อนเถิด ถึงเรียกมาถามตอนนี้ ก็คงหวังคำตอบมิได้ อัสธาราธมิเคยเอ่ยปากเล่าในสิ่งที่ไม่ต้องการเล่าเลย ท่านเองก็ทราบ น้องชายของเราคนนี้ดื้อดึงเพียงใด”

          พระเชษฐภัคคินียืนนิ่งอย่างชั่งใจครู่หนึ่ง จึงยอมนั่งลง กล่าววาจาออกมา

          “เช่นนั้นจะทำอย่างไร นี่คงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย จะอย่างไรเสียอีกฝ่ายเป็นถึงองค์ราชันย์แห่งท้องน้ำ หากทรงปิดบังความไม่พอใจไว้ คงไม่ดีกับทางเราเป็นแน่”

          “ข้าจะหาทางเกลี้ยกล่อมอัสธาราธเอง ท่านพี่หญิงไปพักผ่อนเถิด”

          “แล้วพระองค์เล่า?”

          อัสเธียร์เอ่ยอย่างอาดูร นางทราบ อนุชาผู้ยิ่งใหญ่ของนางองค์นี้มีเรื่องให้ขบคิดอีกเป็นแน่แท้ อาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมาปรึกษาของกษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน แต่ในเมื่ออัสรานมิได้เอ่ยปากออกมาก่อน นางก็มิต้องการละลาบละล้วง เนื่องเพราะเรื่องบริหารมิใช่กิจของอิสตรี

          อัสรานแย้มยิ้มให้กับพี่สาวแทนคำตอบ และโบกมือลานางที่เดินออกไปอย่างแช่มช้า พลางถอนหายใจยืดยาวหลังจากนั้น ข้อราชการที่กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินทรงยกขึ้นมาปรึกษานั้น ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยอีกเช่นกัน ดินแดนฝั่งตะวันตก ดินแดนที่เป็นผืนน้ำกว้างทอดตัวออกไปสุดลูกหูลูกตา ผืนน้ำแห่งอิลห์ลารินที่มิมีมังกรตัวใดบนคอนเชียร์เคยข้ามผ่าน บนแผ่นดินอีกฟากหนึ่งนั่น การคุกคามที่ไม่น่าไว้วางใจกำลังเกิดขึ้นอยู่ องค์กษัตริย์ทรงวิตกพระทัยว่าการรุกล้ำนั้นจะกร้ำกรายเข้ามาสู่อาณาเขตของพระองค์ในอีกไม่นาน ดังนั้นจึงเสด็จมาขอความช่วยเหลือ เพราะทหารของพระองค์นั้นไม่เก่งกาจในการสู้รบบนบก และพ่ายแพ้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว อัสรานเข้าใจถึงความยุ่งยากใจในเรื่องเขตแดนของผู้เป็นกษัตริย์เป็นอย่างดี แต่เขาจะทำอย่างไรเล่า ในเมื่อท้องน้ำนั้นไม่เคยมีผู้ใดบินผ่านได้มาก่อน มันกว้างและไร้ที่พักพิง ไม่มีมังกรตัวไหนสามารถบินดั้นด้นในระยะทางแสนไกลนั้นได้ แม้องค์กษัตริย์จะมีข้อเสนอ พระองค์จะหาแหล่งพักให้ แต่แหล่งพักนั้นจะเป็นอะไรไปได้เล่า นอกจากวังบาดลของพระองค์ ซึ่งคงไม่มีมีมังกรตัวใดในคอนเชียร์สามารถลงไปได้แน่ แม้ทราบกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินไม่กล่าววาจาโดยไม่เตรียมการเอาไว้ กระนั้นการลงไปในอิลห์ลารินนั้นไม่เคยมีผู้ใดบนคอนเชียร์กระทำมาก่อน และคงไม่มีผู้ใดต้องการจะทดสอบ เขาจำต้องปรึกษาข้อราชการนี้กับอัสธาราธ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึก แต่ก่อนอื่น คงต้องหาทางให้น้องชายผู้นี่เอ่ยสิ่งที่เป็นความลับนั้นออกมาเสียก่อน

          หวังว่าอัสธาราธคงจะมิดื้อด้านจนเกินไปนัก
 
----------------------------------------------

          สีแดง…

          สีแดงที่แดงฉานราวโลหิตสดๆ อา... สีแดงนั้นแดงฉานอยู่ในม่านหมอกของโลหิตไม่ผิดแน่ ช่างเป็นสีสันที่สวยงามยิ่ง แดงสด..ตัดกับสีดำมืดของท้องน้ำเย็นยะเยือก โลหิตสีแดงไหลทะลักออกมา พร่างพรายอยู่ในฟองอากาศขุ่น ตะเกียกตะกายอยู่ในสายน้ำ ดิ้นรนหนีจากความตายที่ไม่อาจต่อต้าน หวาดกลัวต่อวินาทีสุดท้ายของชีวิต

          ช่างเยาว์วัยยิ่งนัก
 
-------------------------------------------------

          “ท่านเคยพบเห็นสีแดงหรือไม่?”

          น้ำเสียงราวแก้วผลึกเอ่ยขึ้น ดังสะท้อนทั่วท้องน้ำภายในห้องโถงใหญ่ของพระราชวังใต้สมุทรอันลึกลับ ที่แทบจะถูกลืมเลือนชื่อเรียกขานเช่นเดียวกับนามของเจ้าของราชวังนั้น

          อัลโดรท์

          พระราชวังอัลโดรท์นั้นตั้งชื่อตามเงื้อมผาใต้ทะเลลึกอันเป็นที่ตั้งของมัน ราชวังหินแห่งนี้ถูกสลักเข้าไปในหุบผาลึกนั่น เป็นห้องต่างๆ มากมายหลายร้อยห้อง ล้วนเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาภูตพรายรับใช้ และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงแห่งอิลห์ลิเรีย ผู้ปกครองห้วงสายน้ำอันลี้ลับ

          เพราะเชื้อสายแห่งสายน้ำนั้นอายุยืนยาวอย่างยิ่ง กระทั่งกษัตริย์บางพระองค์ลืมพระนามไปก่อนจะเสด็จสวรรคตหลายร้อยปีด้วยซ้ำ พระนามที่นานวันไปยิ่งไม่มีผู้ใดเอ่ยเรียก เพียงเอ่ยเรียกชื่อดินแดนที่ปกครองแทน

          อิลห์ลาริน

          ในเมื่อไม่เห็นว่ามีผู้ใดอยู่ตรงนั้นอีก ผู้รับใช้ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ระดับสูงที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ทอจากเส้นใยของพืชทะเลจึงเบือนหน้าจากโคมไฟสีฟ้าที่ถือนำทางอยู่กลับมาตอบคำถามองค์กษัตริย์

          “พระองค์หมายถึงสีแดงใดหรือ? หากเป็นสีแดงของกุ้ง เม่น ปู ข้าพระองค์เคยเห็นมามาก สีแดงของปะการังและดอกไม้ทะเลนั้นก็หลายอยู่ หากแม้เป็นสีแดงโลหิตก็ยังเคยพอเห็น”

          “สีแดงของมังกรเพลิงเล่า?”

          ทรงตรัสเพิ่ม ผู้รับใช้แย้มยิ้ม

          “กำลังตรึกถึงสีแดงแห่งคอนเชียร์หรือ? ข้าพระองค์พบเห็นตั้งแต่คราวที่ตามเสด็จไปครั้งก่อน กษัตริย์แห่งคอนเชียร์นั้นทรงมีเรือนผมและนัยน์ตาสีแดงดำน่าเกรงขามยิ่ง ยิ่งวันนี้ ทรงพระองค์เต็มยศเสด็จลงมาต้อนรับยิ่งงดงามเกินจะบรรยาย”

                กล่าวด้วยนัยน์ตาแสดงถึงความชื่นชมจากใจจริงอย่างยิ่ง กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแย้มพระโอษฐ์บางๆ

          “แล้วสีแดงสดเล่า?”

          อีกฝ่ายขยับคิ้วอย่างงุนงง ก่อนจะเอ่ยตอบอีกครั้ง

          “แดงสด? ทรงหมายถึงเจ้าชายที่ไร้มารยาทผู้นั้น?”

          “ใยกล่าวว่าไร้มารยาทเล่า”

          องค์กษัตริย์กล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ผู้รับใช้เอ่ยตอบ

          “หากมิเอ่ยว่าไร้มารยาท สมควรเอ่ยคำใดเล่า.. ผู้ใดเลยกล้าปัดของจากพระหัตของพระองค์เช่นนั้น แม้พระองค์มิถือโทษโกรธเคือง แต่ข้าพระองค์กลับโกรธเคืองยิ่ง”

          “แล้วกัน ไฉนเจ้าพาลโกรธแทนเราเล่า”

          “เนื่องเพราะข้ามิเคยเห็นพระองค์ทรงถอดที่ประดับพระเศียรให้ผู้ใดมาก่อน นั่นมิใช่ปิ่นประดับที่พระองค์ทรงรักมากหรือ? ไฉนจึงกำนัลให้แก่คนไร้มารยาทนั่น”

          “นั่นเพราะเราอยากขอโทษเขา”

          องค์กษัตริย์เอ่ย ผู้รับใช้มีสีหน้างุนงง

          “ใยพระองค์จึงต้องกล่าวคำขอโทษเล่า เป็นฝ่ายนั้นเอ่ยนามของพระองค์ขึ้นมาลอยๆ ก่อน เอ่ยออกมาอย่างไร้มารยาทอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำ ยังไม่กล้ายอมรับ ช่างขลาดสิ้นดี”

          จอมราชันย์แห่งสายน้ำรีบโบกพระหัต

          “เราพอเข้าใจความไม่พอใจของเจ้าอยู่ แต่เรื่องที่เจ้าชายทรงแสดงกิริยาเช่นนั้นเป็นความผิดเราเช่นกัน เรามิคาด จะยังกลัวเราอยู่ถึงเพียงนั้น”

          “พระองค์ทรงเคยพบมังกรตนนั้นมาก่อน? ไฉนผู้นั้นถึงได้หวาดกลัวพระองค์นัก ข้าพระองค์ไม่เล็งเห็นว่ามีอันใดน่าหวาดกลัว”

          กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแย้มพระโอษฐ์บางๆ พลางถอนหายใจ

          “นั่นเพราะตอนพบกันครั้งแรก เราไม่ใคร่น่าดูเท่าไหร่นัก”

          “ออ..”

          ผู้รับใช้ครางพลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ

          “พระองค์พบเขาในตอนที่ทรงออกไปว่ายน้ำเล่น?”

          “มิตอบจึงประเสริฐ”

          องค์กษัตริย์ตรัสพลางโบกพระหัต ทรงดำเนินมาจนถึงหน้าประตูหินบานใหญ่บานหนึ่ง ผู้รับใช้โค้งให้พระองค์

          “กลับไปพักผ่อนเถิด วันนี้เรารบกวนเจ้าอย่างยิ่งแล้วอูห์รูน”

          “หามิได้ ข้าพระองค์ยินดีถวายการรับใช้เสมอ”

          อูห์รูนกล่าว พลางโค้งถวายความเคารพให้องค์กษัตริย์ของตนอีกรอบ ก่อนจะนำโคมสีฟ้าเดินออกไป กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินผลักประตูหินบานนั้น

          ห้องโถงหินขนาดใหญ่ปรากฏแก่สายตา มิได้ประดับประดาอย่างวิจิตรตระการตามากมายนัก มีเพียงหินปะการังและดอกไม้ทะเลขึ้นแซมอยู่เป็นส่วนๆ เปลวไฟสีฟ้าสว่างวาบขึ้นทันทีที่องค์กษัตริย์ก้าวเข้าไป ถัดจากแทนบรรทมหลังใหญ่ที่สลักเสลาจากหินผาอย่างวิจิตร บนผนังหินกลางห้องนั้น ปรากฏรูปสลักนูนต่ำขนาดใหญ่เท่าตัวมนุษย์ เป็นรูปสลักของหญิงสาวนางหนึ่ง ในชุดนักรบน่าเกรงขามยิ่ง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มบนริมฝีปากงาม ยามถูกแสงหักเหกับคลื่นน้ำทาบทาลงไป ก็ดูคล้ายดั่งมีชีวิต องค์กษัตริย์ยื่นพระหัตขึ้นสัมผัสริมรูปสลักนั้น รำพึงรำพันอยู่ในห้วงหฤทัย

          ใยบางเรื่องราวจึงละม้ายคล้ายกันยิ่งนัก
         
----------------------------------------------
(จบตอน)

ฮ่าๆ ลืมอัพ (แถมอัพก็อัพผิดตอนอีกต่างหาก) ถ้าไม่ลืมพรุ่งนี้จะมาอัพต่อนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2012 12:51:43 โดย juon »

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4
= ='' เหมือนเคยอ่านแล้วมันซ้ำ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
^เคยอัพไปแล้วบอร์ดมันล่มค่ะ

ออฟไลน์ misso

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
ตามมาให้กำลังใจ อัพตอนใหม่วันเกิดเราพอดี เห็นไม่ค่อยมีใครกลัวคุณจูเหงา ฮ่าๆ เรื่องนี้เคยตามไปอ่านในบล็อกคุณจูปีที่แล้ว แต่ไม่เคยเม้น :a5:

จำได้ว่าเคยอ่านเรื่องสั้นชื่อคล้ายๆกันแล้วชอบมากเลยตามไปอ่านเรื่องยาวในฐานะอยู่สปีชีส์เดียวกัน :o8:

เรื่องนี้สนุก ชอบ แต่ไม่ค่อยชอบตอนจบเท่าไร(มันแฮปปี้แหละแต่เราเรื่องมากเอง ฮ่าๆ) แต่ยังไงก็ชอบมากอยู่ดี โรแมนติก~

เห็นเปิดจองนกยูงแดงแล้ว เก็บเงินก่อนแล้วจะตามไปจองนะจ๊ะ :กอด1:




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
^ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนกันค่ะ (อันที่จริงไม่ค่อยเหงา แต่.. มันพานจะลืมเอาค่ะ ฮ่าๆ<<นี่แหละประเด็น)

---------------------------------
3 : อัสรานและอัสธาราธ

เย็นชืดอย่างยิ่ง เย็นชืดยิ่งกว่าสายน้ำใดๆ ร่างเย็นชืดที่ถูกย้อมทาด้วยสีแดงฉานปานชาดแต้ม สีแดงที่ไหลซึมออกมาจากร่างกายเย็นยะเยียบ แผ่กระจายอาบทาผิวกายขาวผ่องซีดเซียว บนใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก หยาดน้ำสีแดงสด ไหลรินย้อมริมฝีปากนั้นจนแดงฉาน
ประกายแดงฉานของโลหิต
 
-----------------------------------------------
 
         แดง...

          สีแดงที่ปรากฏอยู่แก่สายตาของอัสธาราธมิใช่สีของโลหิต แต่เป็นสีผมของเขาเอง เจ้าชายหนุ่มนอนจมร่างอยู่บนฟูกนุ่ม แทบมิได้หลับเลยตลอดทั้งคืน เขาเริ่มเข้าใจถึงสาเหตุของสีดำที่ไม่ยอมปรากฏแล้ว

          คงเพราะเขายังอ่อนแอเกินไปจริงๆ

          แต่ชายหนุ่มก็ยังมิอยากจะผุดลุกขึ้น แม้จะรู้เช่นนั้นแล้ว แต่ในเวลานี้เขายังไม่ทราบว่าควรจะปฏิบัติตัวเช่นไร มิทราบว่าองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินส่งกล่าวอะไรกับผู้เป็นพี่ชายของเขาบ้าง อัสธาราธยังไม่กล้าออกไปเผชิญหน้ากับกษัตริย์ของเขาในตอนนี้ เจ้าชายหนุ่มยอมรับ ตอนนี้เขากลายเป็นขลาดไปแล้วจริงๆ ขลาดกลัวการเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง ตั้งแต่ทำเรื่องอัปยศลงไปเมื่อคืนนั่น อา...ควรจะทำอย่างไรต่อไปดี การนอนแน่นิ่งอยู่บนฟูกทั้งวันย่อมไม่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นแน่  แต่ถึงอย่างนั้น..เขาควรจะทำอย่างไรล่ะ?

          “อัสธาราธ ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”

          เสียงกังวานที่ทรงไว้ซึ่งอำนาจและความเมตตาดังขึ้นด้านนอกกำแพงห้อง ผู้ถูกเรียกผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ ด้วยไม่คาด องค์กษัตริย์จะเสด็จมาหาเขาเองถึงห้อง เจ้าชายหนุ่มรีบกระโดดลงจากเตียง ออกไปเปิดประตูทันที

          “ท่านพี่อัสราน ใยมิใช้ให้ใครมาตามตัวข้า เสด็จมาให้เหนื่อยยากทำไมเล่า”

          “เหนื่อยยากอันใด ห้องพักเจ้าอยู่ห่างจากห้องนอนข้าไม่ไกลนัก ใยข้าจะออกมาหาเจ้ามิได้ นั่งก่อนสิ”

          กษัตริย์อัสรานหย่อนกายลงบนที่นั่งหินในห้อง และเชื้อเชิญน้องชายให้นั่งลงข้างๆ

          “ดีใจเหลือเกินที่เจ้ามิได้คิดสั้น”

          ทรงเอ่ยหลังจากอีกฝ่ายนั่งลงแล้ว อัสธาราธก้มหน้าอย่างละอาย กล่าววาจาไม่ออกแม้ครึ่งคำ องค์กษัตริย์ตรัสต่อ

          “พูดตามตรงไม่อ้อมค้อม ข้ามาเพื่อถามคำถามเจ้า อัสธาราธน้องข้า ใยเจ้าจึงปิดบังเราเรื่องขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน เจ้าเคยพบพระองค์มาก่อน?”

          อัสธาราธยังคงนิ่งเงียบ อัสรานรออยู่เนิ่นนานจึงกล่าวซ้ำ

          “เจ้าไม่ใช่กลายเป็นใบ้ไปแล้ว? ใยมิตอบคำถามข้าเล่า หรือจำต้องให้ข้าคุกเข่าอ้อนวอน”

          “หามิได้ พี่ชายของข้า!”

                อัสธาราธโพล่งขึ้นทันที ยิ่งรู้สึกผิดบาปหนักเข้าไปอีก

          “ข้าไม่ต้องการเช่นนั้น เพียง...”

          “เพียงอันใด?”

          “เพียงมิอาจตอบทำถามนั้น”

          “เพราะเหตุใดเล่า?”

          กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ถามอย่างแปลกพระทัย อัสธาราธมีสีหน้ายุ่งยากใจ ปกติแล้วอัสรานไม่เคยรุกเร้าให้เขาตอบคำถามที่ไม่อยากตอบมาก่อน แต่คราวนี้เห็นทีผู้เป็นพี่ชายคงจะตั้งใจไม่ปฏิบัติดังเช่นผ่านมา

          “ข้าทราบ เจ้าดื้อรั้นยิ่ง ต่อให้ข้าคุกเข่าลงอ้อนวอนเจ้า หากเจ้ามิอยากตอบ เจ้าก็คงมิตอบ แต่ได้โปรดเถิดน้องข้า ฝ่ายนั้นเป็นถึงกษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน หากเจ้ามีเรื่องใดควรบอกแก่ข้า หรือเจ้าชมชอบให้ข้าเป็นคนโง่งม”

          “มิใช่เลย องค์กษัตริย์”

          อัสธาราธรีบตอบคำ นัยน์ตาสีแดงมองดูผู้เป็นพี่ชายอย่างเจ็บปวด อัสรานเองก็หันกลับไปมองดูผู้เป็นน้องชายเช่นกัน นัยน์ตาสีแดงดำนั้นหรี่ลงอย่างอ่อนล้า

          “ไฉนเจ้าจึงถือทิฐินัก ไม่ว่าเจ้าจะกระทำเรื่องราวอัปยศใดไว้ เรายอมให้อภัยเจ้า ได้โปรดบอกกล่าวแก่เรา เจ้ากับองค์ราชันย์แห่งอิลห์ลารินพบกันได้อย่างไร ไฉนเจ้าจึงหวาดกลัวพระองค์เช่นนั้น”

          “พระองค์มิใช่เล่าให้ท่านฟังแล้ว?”

          เจ้าชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างแปลกใจ อัสรานสั่นศีรษะ

          “มิได้เอ่ยถึงเลย”

          “มิได้เอ่ยถึง? มิได้ทรงพูดถึงเรื่องนั้นเลย?”

          ผู้ถูกถามพยักหน้า พลางกล่าว

          “หรือเจ้าต้องการให้ข้าเอ่ยปากถามพระองค์เอง?”

          “มิได้!”

          อัสธาราธรีบปฏิเสธ เจ้าชายหนุ่มเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างชั่งใจ ก่อนเอ่ยวาจาต่อ

          “ท่านพี่อัสราน ท่านเคยคิดตัดพี่ตัดน้องกับข้าหรือไม่?”

           “ไฉนข้าจึงคิดตัดพี่ตัดน้องกับเจ้า?”

          อัสรานถามอย่างแปลกใจ พลันนึกขึ้นได้ หรืออัสธาราธจะก่อเรื่องร้ายแรงเอาไว้

          “บอกต่อข้าเถิด เจ้ากระทำเรื่องใดกันแน่ ข้าสัญญา มิตัดพี่ตัดน้องกับเจ้าเด็ดขาด”

          “หากเล่าจบแล้ว ท่านจะตัดพี่ตัดน้องกัน ข้าจักมิถือโทษท่านเลย เพียงเสียใจอยู่บ้าง ที่ไม่อาจกล้าหาญดั่งที่ท่านวาดหวังไว้”

          “เป็นเรื่องราวใด?”

          องค์กษัตริย์ถามอย่างรุ่มร้อนใจ เรื่องราวใดเล่าที่ทำให้ผู้แข็งกร้าวอย่างอัสธาราธขลาดกลัวถึงเพียงนี้ ทรงใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่ากษัตริย์แห่งอิลห์ลารินกระทำเรื่องใดกับน้องชายของพระองค์กันแน่

          “จะกล่าวไปก็น่าอัปยศยิ่ง ท่านยังจำคราที่ข้าพ่ายต่อมนุษย์ที่เขตแดนตะวันออกได้หรือไม่?”

          “ย่อมจำได้เสมอมา แม้เจ้าจะมิชอบให้พูดถึงนัก ข้ามิลืมเลือนได้หรอก ครานั้น เราคาดต้องเสียเจ้าไปแน่แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ ทั้งข้าทั้งท่านพี่หญิงทุกข์ใจเพียงใด”

                “ข้าทราบพวกท่านรักข้าอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าจึงรู้สึกอัปยศเสมอมา”

          “พ่ายแพ้มิใช่เรื่องน่าอัปยศ ไม่ว่าผู้ได้ล้วนพ่ายแพ้ได้ทั้งสิ้น ใยเจ้าจึงเก็บมาคิดให้มากความเล่า ข้ามิเคยตำหนิเจ้าเรื่องนั้นเลย”

          อัสรานกล่าว พลางมองน้องชายด้วยสายตาเอ็นดู อัสธาราธสั่นศีรษะ

          “สำหรับข้า ความพ่ายแพ้ต่อมนุษย์ถือเป็นความอัปยศยิ่ง แต่..ท่านพี่อัสราน หลังจากผ่านเรื่องอัปยศนั่นแล้ว ข้ากลับกระทำเรื่องราวแย่ยิ่งกว่า”

          “อย่างไร? ข้าคาดเจ้าต้องได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก หากต้องซ่อนตัวเพื่อรักษา ย่อมไม่นับเป็นความอัปยศ เพราะชีวิตนั้นมีค่ายิ่ง”

          “ท่านทราบ ข้าซ่อนตัวเพื่อรักษา? เช่นนั้นท่านทราบหรือไม่ ผู้ใดช่วยเหลือข้า?”

          “เป็นผู้ใด?”

          นัยน์ตาของอัสธาราธเบือนไปทางอื่น อย่างบังเอิญพลันเหลือบไปมองปิ่นปักผมสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะหิน ริมฝีปากได้รูปเม้มแน่น

          “เป็นองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน”

          “ออ....”

          อัสรานครางออกมา เขามองหน้าน้องชายอย่างสงสัย

          “เช่นนั้น เจ้าเคยพบกับพระองค์มาก่อนจริงๆ แต่หากพระองค์ช่วยเหลือเจ้า ไฉนเจ้าจึงได้หวาดกลัวพระองค์นัก หรือพระองค์ทรงทำอันตรายเจ้า?”

          อัสธาราธสั่นศีรษะ กล่าววาจาต่อ

          “มิใช่เลย เป็นความขลาดของข้าเองทั้งสิ้น บอกแก่ท่านด้วยความละอายยิ่ง ข้ามิได้กล้าหาญแต่อย่างใดเลย”

          “จงหยุดกล่าวถ้อยคำไร้สาระนั้น เล่ามา ไฉนเจ้าจึงได้หวาดกลัวองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนัก”

          ผู้เป็นพี่ชายตัดบท องค์ราชันย์ทราบดีว่าน้องชายของพระองค์กล้าหาญยิ่ง ทรงไม่อยากให้ความผิดพลาดครั้งเดียวกลายเป็นสนิมกัดกินความภาคภูมิใจนั้น

          “เพราะในยามนั้นข้ากำลังหวาดกลัวยิ่ง ข้าพลาดท่าพลัดตกลงในห้วงน้ำแห่งอิลห์ลาริน พร้อมเหล่าไพร่พล ห้วงน้ำนั้นหนาวเหน็บนัก ซ้ำยังเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายที่ไม่รู้จัก พวกมันรุมทึ้งซากศพพี่น้องร่วมรบของข้าอย่างบ้าคลั่ง ผิวหนังหนาแข็งที่น่าภูมิใจของเรานั้น ยามอยู่ใต้ผืนน้ำก็ไม่อาจทานคมฟันน่าสยดสยองนั่นได้เลย”

          เล่าถึงตรงนี้ น้ำเสียงของอัสธาราธสั่นสะท้านยิ่ง ภาพความทรงจำในเวลานั้นผุดพุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกของความทรงจำ  เจ้าชายหนุ่มฝืนใจเล่าต่อ

          “สายน้ำแห่งอิลห์ลารินนั้นไหลแรงยิ่ง ไหลลึกยิ่ง เย็นอย่างยิ่ง ข้ามิเคยสัมผัสรสชาติเค็มเฝื่อนนั่นมาก่อน รสชาติของน้ำเค็มที่เต็มไปด้วยคาวเลือด มันไหลทะลักเข้าปากและจมูกของข้าทำให้หายใจลำบากนัก  ไม่มีเปลวไฟที่น่าภูมิใจหลุดลอดออกมาอีก ข้าจมดิ่งลงลึกท่ามกลางฝูงสัตว์ร้ายนั้น ได้แต่เตะเปะปะออกไปอย่างไร้ท่า คมเขี้ยวโฉบลึกผ่านรอยแผลบนชั้นเกล็ด แม้จะฆ่ามันไปได้มาก แต่ข้ามิรู้สึกยินดีเลย กล่าวต่อท่านอีกครั้ง ยามนั้นข้าหวาดกลัวและสิ้นหวังอย่างที่สุด”

          “ในความมืดมิดไร้ก้นบึ้งนั่น น้ำทะเลเย็นยะเยียบอัดทะลักเข้าไปในปอด แทบหายใจไม่ออก ความตายน่ากลัวยิ่งนัก ข้ามองเห็นเงาเลือนรางอันเกิดจากโลหิตและเศษซากเนื้ออยู่เหนือขึ้นไป สัตว์ร้ายพวกนั้นยังคงวนเวียน แล้วข้าก็เห็น นัยน์ตาสีมรกตนั่น กับฟันซี่ยาว ใหญ่โตจนไม่อาจจะเชื่อได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น นัยน์ตานั่นมองตรงมายังข้า ในความหวาดกลัวนั่น ข้ามองเห็นคมเขี้ยวแวววาวงับลงมา ข้า...”

          กษัตริย์แห่งคอนเชียร์บีบมือลงบนหัวไหล่กว้างของผู้เป็นน้องชาย ทรงมิได้รู้สึกเสียพระทัยหรือหมดศรัทธาในตัวน้องชายของพระองค์เลย ตรงกันข้าม ทรงรู้สึกสะเทือนใจยิ่ง อัสธาราธที่ต่อสู้เพื่อพระองค์ จนตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพไร้ทางรอดนั่น ช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก ในสายน้ำแห่งอิลห์ลารินนั้นไม่เคยมีมังกรบนคอนเชียร์ตนใดรอดมาได้เลย

          สายน้ำที่ดับสิ้นทุกอนุภาพของแสนยาแห่งเปลวเพลิง

          “เช่นนั้น กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินทรงต้องการลิ้มรสเจ้า?”

          อัสรานเอ่ยออกมาหลังจากทั้งคู่เงียบไปพักใหญ่ อัสธาราธสั่นศีรษะ

          “มิได้ เพราะหลังจากนั้นข้าฟื้นคืนสติขึ้นมา ก็พบว่าอยู่บนที่ใดที่หนึ่งซึ่งมีพื้นดินชื้นแฉะและเต็มไปด้วยพรรณไม้สีเขียว”

          “คงเป็นเกาะใดเกาะหนึ่งในอิลห์ลารินแน่แท้”

          กล่าวถึงตรงนี้ กษัตริย์อัสรานถอนหายใจอย่างโล่งอก ทรงรู้สึกดีพระทัยที่กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินมิได้ทำร้ายน้องชายของพระองค์ มิเช่นนั้นทรงไม่ทราบจริงๆ ว่าหากพบกษัตริย์แห่งท้องน้ำนั่นอีกรอบ จะวางพระพักตร์เช่นใด ทรงมิยอมให้อภัยผู้ทำร้ายน้องชายของพระองค์เป็นอันขาด

          “ทรงแนะนำพระองค์กับเจ้าบนเกาะนั่น?”

          อัสธาราธพยักหน้า กล่าวอย่างขมขื่น

          “สารภาพต่อท่าน ข้าหวาดกลัวยิ่งนัก พระองค์ในร่างมังกรนั้นมีกายใหญ่โตนัก ทรงมิได้แนะนำตนเองว่าเป็นผู้ใด บอกแต่เพียงนามให้ข้าทราบ แต่ข้าหวาดกลัว หวาดกลัวจนลนลาน….”

          ผู้เล่าหยุดไปอีก คล้ายรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ นัยน์ตาสีเขียวมรกตนั่นยามนึกถึงทีไร ความหวาดกลัวที่ไม่อาจยับยั้งได้ก็แล่นตรงเข้าสู่ขั้วหัวใจทุกครั้ง

          อัสรานนั่งฟังอย่างระทึก ไม่คาดมาก่อน คนอย่างอัสธาราธจะแสดงหวาดกลัวได้ขนาดนี้เพียงนี้ น้องชายของเขาผู้นี้ไม่ใช่ผู้ขลาดมาก่อนเลย คงจะเพราะอายุยังเยาว์อย่างยิ่ง เด็กหนุ่มที่ยังเยาว์วัยกลับต้องมาเผชิญกับความตายในสถานที่ที่ไม่เคยรู้จัก หากจำมิผิดเมื่อคราวนั้นอัสธาราธเพิ่งอายุครบร้อยห้าสิบปี หากนับตามอายุเฉลี่ยแล้วก็เพิ่งโตเต็มที่ได้ไม่นาน ยังคงมีความคึกคะนองอยู่บ้างตามประสาคนหนุ่ม และแม้อายุเพียงร้อยห้าสิบปีก็กลับต้องมาเผชิญหน้ากับห้วงน้ำเย็นลึกแห่งอิลห์ลาริน ที่รอดมาได้นับว่าปาฏิหาริย์ยิ่งนัก ปาฏิหาริย์ที่ได้พบกับองค์ราชันย์แห่งอิลห์ลาริน ที่ทรงพระเมตตาช่วยเอาไว้

          “อย่างไรต่อเล่า?”

          ผู้เป็นพี่ชายกระตุ้นเตือนเมื่อเห็นน้องชายเงียบไปอีก แม้เวลาผ่านมากว่าหกสิบปีแล้ว แต่อัสธาราธคงไม่ลืมเลือนรายละเอียดในเหตุการณ์นั้นหรอก ผู้เป็นน้องชายทำหน้าปั้นยาก

          “ดังนั้นพระองค์จึงไม่มาปรากฏตัวอีก แต่จะเอาสัตว์ทะเลที่กินได้มาทิ้งไว้ให้ทุกเช้า จนข้าหายดี..... ข้า... ข้าออกมาจากที่นั่นโดยไม่ได้กล่าวขอบคุณหรือตอบแทนอะไรกับพระองค์เลย ข้า...ข้ากลัวจนไม่กล้าแม้จะอยู่เพื่อเจอหน้า”

          “เจ้าจากมาโดยมิบอกมิกล่าว มิกระทำการสิ่งใดตอบแทนเลย?”

          อัสรานกล่าวอย่างตกใจ ผู้เป็นน้องชายพยักหน้า

          “ข้าในยามนั้นขลาดกลัวยิ่ง เมื่อกลับมาก็รู้สึกละอายจนไม่กล้าเล่าให้ผู้ใด พอท่านบอกข้าว่ากษัตริย์แห่งอิลห์ลารินกล่าวถึงข้า ข้าตกใจ เข้าใจว่ามังกรตนนั้นคงไปเล่าเรื่องของข้าให้พระองค์ฟัง น่าอับอายอย่างยิ่ง ข้า..ข้ารู้สึกอัปยศนัก ยิ่งคาดมิถึง มังกรตนนั้นถึงกับเป็นองค์กษัตริย์เอง ข้า..ข้าไม่อาจะทนรับได้ ท่านพี่อัสราน ข้ามิได้เข้มแข็งแต่อย่างใดเลย ข้าขลาดกลัวยิ่งนัก”

          กษัตริย์อัสรานนิ่งเงียบไปนาน พระองค์ทรงพอเข้าใจความหวาดกลัวของอัสธาราธ แต่การหนีความจริงเช่นนี้มิใช่สิ่งสมควรนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังทรงเอ็นดูน้องชายผู้นี้อยู่มาก จึงตรัสขึ้น

          “อัสธาราธ ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่?”

          เจ้าชายหนุ่มถึงกับเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายอย่างงงงัน องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์แย้มพระโอษฐ์อย่างอ่อนโยนและกล่าวซ้ำ

          “ออกไปเดินเล่นกันหน่อยเถิด”
 
--------------------------------------------------

          บนคอนซาร์กนั้น ภูเขาไฟนับพันๆ ลูก ผลัดกันพ่นเถ้าถ่านและไอกำมะถันอันเป็นพิษร้ายแรงต่อสิ่งมีชีวิตแทบทุกชนิด ยกเว้นเหล่ามังกรไฟที่ดูจะชื่นชอบไอสารพิษนี้เป็นพิเศษ ยิ่งหากเมื่อไรที่มีการระเบิดอย่างรุนแรง เหล่ามังกรบินได้ทั้งหลายเหล่านี้ จะพากันไปบินไปรุมล้อมเพื่อสูดกลิ่นอายกำมะถันเข้มข้น และรับเอาไอร้อนจากหินหลอมเหลวพวกนั้น บางคราก็มีการละเล่นแปลกๆ เช่นการบินผ่านน้ำพุลาวา ไม่ก็การแข่งความอดบนบนปากปล่องภูเขาไฟที่กำลังพ่นหินหลอมเหลวเดือดปุดๆ

          ขณะนี้อัสธาราธกำลังบินผ่านภูเขาไฟซึ่งกำลังปะทุลูกหนึ่ง เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่ผู้เป็นพี่ชายขอให้เขาคืนร่างเดิมและอาศัยนั่งมาด้วย อัสรานให้เหตุผลว่าอยากออกมาชมทัศนียภาพของคอนซาร์กบ้าง

          ไอร้อนระอุพร้อมด้วยกลิ่นอายกำมะถันลอยมาปะทะใบหน้าที่เต็มไปด้วยเกล็ดหนาสีแดง ได้ยินเสียงผู้เป็นพี่ชายหัวเราะ

          “เป็นเช่นไร อัสธาราธ แบบนี้รู้สึกสบายดีกว่าอยู่ในปราสาทหรือไม่?”

          “พอสมควร”

          ผู้ถูกถามตอบด้วยเสียงแตกพร่า เพราะขากรรไกรที่ใหญ่และฟันซี่แหลมไม่ค่อยจะเหมาะแก่การออกเสียงพูดเท่าใดนัก อัสรานยกมือขึ้นลูบเกล็ดสีแดงเพลิงของผู้เป็นน้องชาย มันหนาและแข็งแรงขนาดทนความร้อนของหินหลอมเหลวได้ ฟันชนิดใดที่เจาะผิวหนังนี้เข้าได้เล่า หากมิใช่ฟันคมกริบของเผ่าพันธุ์เดียวกันได้

          ได้ยินว่าผู้คุ้มครองแห่งอิลห์ลารินดุร้ายยิ่งนัก คงใช่เจ้าพวกนั้นแน่ นึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกโชคดีเป็นยิ่งนักที่อัสธาราธสามารถรอดมาได้ แม้จะได้บาดแผลทางจิตใจมาบ้าง แต่อัสรานเชื่อว่าบาดแผลนั้นจะจางหายไปได้ไม่ยาก เนื่องเพราะอัสธาราธยังเยาว์นัก และมีจิตใจฮึกเหิมกล้าหาญอยู่แล้ว หากเขาเติมความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวที่ฝังอยู่ภายในจิตใจนั้นอีกสักหน่อย น้องชายผู้นี้จะต้องเติบใหญ่และกลายเป็นผู้เข้มแข็งอย่างแท้จริงได้แน่นอน

          “นี่น้องข้า เจ้าเดี๋ยวนี้มิใคร่ชื่นชอบเล่นละอองหินร้อนแล้วหรือไร ใยจึงได้บินห่างจากปากปล่องที่กำลังพ่นหินร้อนสีแดงเช่นนี้เล่า?”

          องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์กล่าว หลังทรงสังเกตว่าน้องชายของพระองค์ดูเหม่อลอย อัสธาราธโคลงศีรษะอย่างรู้สึกตัว

          “มิได้ ข้ายังชื่นชอบอยู่ เพียงแต่...”

          “เพียงแต่อันใด?”

          “เพียงแต่เล่นอยู่ตนเดียวนั้นไม่สนุกเท่าที่ควร”

          “ต้องการให้ข้าร่วมเล่นด้วยหรือไม่?”

          อัสรานกล่าว ยังคงดำรงอยู่ในร่างกลางอย่างปกติ สวมฉลองพระองค์สีแดงเข้มดั่งทรงตั้งใจจะพรางพระองค์เอาเข้ากับร่างกายใหญ่โตของน้องชาย อัสธาราธสั่นศีรษะใหญ่โตนั้น

          “อย่าเลยพี่ชายข้า หากท่านคืนร่างตอนนี้ ข้ามิถูกสลัดตกลงไปในปล่องร้อนนั่นล่ะหรือ ผู้ใดล้วนทราบ ร่างเดิมของท่านใหญ่โตอย่างยิ่ง”

          “คล้ายดั่งแต่ก่อนมิใหญ่โตถึงเพียงนี้”

          อัสรานเอ่ยและหัวร่อออกมา

          “อิจฉาองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินยิ่งนัก ทรงสามารถว่ายน้ำเล่นไปมาได้โดยร่างกายใหญ่โตเช่นนั้น”

          อัสธาราธฝืนยิ้มด้วยเขี้ยวคับปาก ไม่แน่ใจว่าผู้เป็นพี่ชายกล่าวออกมาโดยมิทั้งได้ยั้งคิดหรือจงใจกล่าวเรื่องกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินให้เขาฟังกันแน่ ทันใดนั้นเสียงทักทายแหบห้าวตามประสามังกรทีมีเขี้ยวเรียงโง้งเต็มปากก็ดังขึ้นด้านหลัง


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
          “อรุณสวัสดิ์เจ้าชายอัสธาราธ”

          ผู้เอ่ยทักเป็นมังกรตัวหนึ่งซึ่งเคยออกสนามรบกับเขามาก่อน อัสธาราธเอ่ยอย่างยินดี

          “สบายดีหรือ?”

          “มิเท่าใดนัก อากาศแถวปล่องที่ข้าอาศัยมิร้อนจัดเท่าที่ควร จึงปวดเมื่อยอยู่บ้าง ได้กลิ่นไอลาวาที่นี่ จึงแวะเข้ามา ท่านเล่า?”

          “ข้าแวะมาเที่ยวเล่น”

          อัสธาราธตอบออกไป อีกฝ่ายหัวร่อตามประสามังกร เปลวไฟสีแดงแลบออกมาตามร่องปากและรูจมูก

          “พระองค์ยังคงรักสนุกยิ่ง หากมิรังเกียจ ข้าอยากร่วมเล่นด้วย”

          “มีสองตนจะสนุกได้อย่างไร”

          อีกเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น มังกรสีน้ำตาลแดงตัวหนึ่งบินรี่เข้ามา ด้านหลังยังมีมาอีกสามสี่ตน ทั้งหมดเอ่ยทักทายอัสธาราธอย่างสนิทสนม

          “มิได้พบกันเสียนาน เจ้าชายอัสธาราธ ท่านยังคงได้กลิ่นกำมะถันรวดเร็วอยู่เสมอ”

          “ข้าบังเอิญผ่านมาหรอก”

          อัสธาราธตอบ เขาแค่บินมาตามสัญชาติญาณด้วยความคิดเหม่อเลยจนมาถึงที่นี่โดยบังเอิญแค่นั้นเอง ที่เหลือพากันหัวเราะ

          “อย่าได้พยายามถ่อมตัว ถึงท่านจะอ้างโน่นนี่ แต่พวกเรามิต่อให้ท่านหรอก”

          อัสธาราธแค่นหัวเราะ

          “อย่างไร? พวกเจ้าหกตนจะรุมข้าหรือ?”

          ทั้งหกผงกศีรษะใหญ่โตแทบจะพร้อมกัน

          “ดูยุติธรรมดียิ่ง ท่านเห็นด้วยหรือไม่? จากขนาดร่างกายแล้ว ท่านสมควรต่อให้พวกเราบ้าง”

          เหมือนได้ยินเสียงอัสรานหัวเราะอยู่ข้างหู อัสธาราธมองดูมังกรอีกหกตนที่เหลือ รวมกันแล้วทั้งหมดนี่ก็คงได้ราวๆ ครึ่งหนึ่งของน้ำหนักตัวเขาพอดี มังกรหนุ่มหัวร่อออกมาอีก

          “ตกลง หวังว่าคงไม่มีใครปลิวร่วงลงไปแบบคราวที่แล้วหรอกนะ หากจะโอดโอยเรื่องโดนลาวาลวกล่ะก็ ถอนตัวออกไปก่อนได้เลย”

          “แข่งขันกับท่าน ผู้ใดกล้าโอดครวญเล่า”

          อีกเสียงหนึ่งกล่าว มังกรสีน้ำตาลอีกสี่ห้าตนบินมาสมทบ

          “ฤกษ์ดีอย่างยิ่ง วันนี้ท่านอัสธาราธมิได้พกพาผู้ใดมาร่วมการแข่ง โอกาสนี้นับว่ามีไม่มาก พวกท่านเห็นเป็นประการใด?”

          “เหมาะสมแก่การละเล่นเป็นยิ่งนัก หากมีจำนวนเท่านี้ ย่อมใกล้เคียงท่านแล้ว”

          ได้ยินเสียงอัสรานหัวเราะและกระซิบเบาๆ

          “เจ้าดูเป็นที่นิยมยิ่ง”

          “แลดูข้าคล้ายถูกจ้องกลุ้มรุม”

          อัสธาราธเอ่ย พลังสะบัดปีกออกอย่างแรง

          “จงเข้ามาเถิด สหายเอ๋ย หากพวกท่านโดนลาวาลวกล่ะก็ อย่าเคืองข้าก็แล้วกัน”
 
--------------------------------------------------------

                “เหนื่อยมากหรือไม่?”

          อัสรานเอ่ยคล้ายห่วงใย แต่ในน้ำเสียงเจือปนด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน อัสธาราธสะบัดเศษหินร้อนออกจากลำคอ เขาซัดมังกรเจ็ดตัวร่วงลงไปในธารลาวา และเพิ่งถูกอีกห้าตัวที่เหลือรุมกระหน่ำซ้ำจนร่วงตามลงมาด้วย มังกรหนุ่มส่งเสียง

          “ท่านอยากทดลองมาเล่นเอง?”

          องค์กษัตริย์หัวเราะร่วน เหนือขึ้นไปได้ยินเสียงกล่าวเยอะเย้ย

          “ท่านเพลี่ยงพล้ำเพียงแค่นี้ใยกล่าววาจาเหลวไหลอยู่ผู้เดียว ขึ้นมาเถิด พวกเรายังสู้ได้อยู่”

          อัสธาราธเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

          “ว่าผู้ใดเหลวไหล อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าจักได้ลิ้มรสชาติความร้อนของหินเหลวนี่บ้าง”

          ปีกใหญ่กางออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างมหึมาที่พุ่งทะยานขึ้น

          นับว่าอัสธาราธมีทักษะการบินไม่เลวจริงๆ บางครั้งออกจะผาดโผนจนน่ากลัวอยู่ด้วยซ้ำ ที่พลาดเมื่อครู่คล้ายจงใจมากกว่า หากลงมือเต็มที่ เหล่ามังกรจิ๊บจ้อยพวกนี้คงมิอาจทนทานได้แล้ว มิน่าเล่าถึงได้รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ถึงอย่างนั้น ทั้งสองฝ่ายดูจะสนุกสนานดีกับการละเล่นนี้ เล่นกันจนเกล็ดแทบจะลุกไหม้ จึงได้แยกย้ายกันไป

          “ความจริงเราอยากเล่นด้วยยิ่งนัก แต่เกรงพวกนั้นจะพากันหนีจากไปเสียสิ้น ให้เหลือเพียงเรากับเจ้าสองคน”

          องค์กษัตริย์อัสรานเอ่ยขึ้นหลังจากที่น้องชายบินออกมาจากหุบร้อนนั่นแล้ว อัสธาราธหัวเราะร่วน

          “อย่างนั้นข้าคงถึงคราวต้องพ่ายแพ้ เพียงท่านสลัดปีก ข้าคงจมดิ่งลงไปในลาวาร้อนนั่นเป็นแน่แท้”

          “เจ้ามิเคยลองจะรู้ได้อย่างไร?”

                “ข้ามิอยากลอง ทั้งมิอยากรู้ ท่านอย่าได้พยายามทดลองกับข้าเลย”

          อัสธาราธกล่าวอย่างขอความเห็นใจ ผู้เป็นพี่ชายหัวเราะอีก

          “ถึงแม้ข้ามิได้เล่นเองแต่กลับมีปัญหาอยู่ประการหนึ่ง”

          “ปัญหาใด?”

          อัสธาราธเอ่ยถามอย่างสงสัย นึกหวั่นใจว่าองค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์จะกลายร่างออกมาเล่นด้วยจริงๆ ครั้งหนึ่งหลังขึ้นครองราชย์ อัสรานเคยคืนร่างเดิมในการปราบกบฏกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกไม่เห็นด้วยกับการขึ้นครองราชย์นี้ จำได้ว่าในครั้งนั้น เพียงแค่เงาปีกของพระองค์ก็ปกคลุมพื้นที่ในคอนซาร์กไปถึงหนึ่งในสี่แล้ว ด้วยความยิ่งใหญ่เพียงนั้น พวกกบฏจึงยอมศิโรราบแต่โดยดี อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นร่างมังกรของอัสรานมิได้ใหญ่โตถึงขั้นนี้ ยังเคยเล่นหินหลอมเหลวนั้นด้วยกันมาก่อน

          “ปัญหาอยู่ที่เสื้อผ้า”

          กษัตริย์แห่งคอนเชียร์เอ่ย พลางมองดูฉลองพระองค์ที่ขาดวิ่น แม้จะถูกถักทอขึ้นจากใยหินทนความร้อน แต่ในระดับหินหลอมเหลว แม้ผิวหนังร่างกลางของพระองค์จะไม่สะดุ้งสะเทือน แต่เสื้อผ้านั้นมิอาจทนได้ และอัสธาราธเองก็เล่นอย่างสนุกสนานไม่ยั้งสิ่งใด ดังนั้นฉลองพระองค์จึงเสียหายอย่างหนัก ผู้เป็นน้องชายกล่าวอย่างนึกขึ้นได้

          “ลืมไปเสียสนิท! เสื้อผ้าของท่านล้วนแต่ท่านพี่หญิงอัสเธียร์และบริวารเป็นผู้ถักทอให้ หากได้พบเห็นเป็นสภาพเช่นนี้ย่อมต้องเอ่ยถามถึงเหตุผล..”

          “และหากทราบว่าเรามาเล่นลาวากับเจ้า….”

          “ต้องโมโหจนควันออกหูแน่ๆ!!”

          สองพี่น้องเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ยามปกตินั้นอัสเธียร์เป็นเจ้าหญิงโฉมงามไม่น้อย แต่หากโกรธขึ้นมาแล้วล่ะก็ ดุร้ายหาอันใดเปรียบได้ อัสธาราธกล่าวด้วยน้ำเสียงปริวิตก

          “เอาอย่างไรดี ท่านพี่อัสราน?”

          “..................”

          อัสรานเงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

          “ข้านึกออก หากเราดวลกันจนเสื้อผ้าพินาศ ท่านพี่หญิงต้องมิว่ากระไรแน่!”

          “ว่าอย่างไร ดวล? ท่านคิดจะดวลกับข้า?”

          “ถูกต้องอย่างยิ่ง”

          อัสรานพยักหน้า และชี้ลงไปยังชะเงื้อมหินเบื้องล่าง

                “ลงที่ตรงนั้น เพราะกษัตริย์มิอาจตรัสโป้ปด เจ้าจงดวลกับเราเสียดีๆ”

                “ท่านเอาจริง?”

          อัสธาราธถามย้ำอย่างไม่อยากเชื่อนัก อัสรานตอบเสียงหนักแน่น

          “เอาจริง เจ้าเห็นข้ากล่าววาจาล้อเล่นหรือไร?”

          ผู้เป็นน้องชายมิถามอะไรอีก ร่อนลงบนลานกว้างบนชะเงื้อมหินนั่น เบื้องล่างเป็นธารหินหลอมเหลวร้อนฉ่า

          “สถานที่นี้เหมาะแก่การเป็นลานประลองยิ่ง เจ้าอยากดวลกับเราในร่างใด?”

          “ท่านต้องการร่างใด?”

          อัสธาราธถามย้อน ผู้เป็นพี่ชายยิ้มร่า พลางกระโดดลงมาจากลำตัวที่เต็มไปด้วยเกล็ด เสื้อผ้าขาดวิ่นค่อยๆ ถูกเกราะที่สร้างมาจากเกล็ดจากร่างมังกรดันจนฉีกขาด ร่างกลางนอกจากแบบปกติที่คล้ายมนุษย์แล้ว ยามสงครามหรือต้องทำศึกยังสามารถดึงเอาความแข็งแกร่งจากร่างมังกรมาใช้ในรูปแบบของชุดเกราะและอาวุธได้อีกด้วย ร่างกลางของมังกรแต่ละตนนั้นแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะถนัดด้านการใช้เวทย์มนต์เป็นหลัก และอัสรานนั้นก็ถนัดเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง

          “เรามิเกี่ยงขนาด”

          องค์ราชันย์แห่งคอนเชียร์กล่าว ร่างของพระองค์ตอนนี้หุ้มด้วยเกราะสีแดงดำอันเกิดจากการเรียงตัวกันอย่างหนาแน่นของเกล็ดแข็งเสียยิ่งกว่าเพชร ในมือของพระองค์ปรากฏหอกสีดำเล่มหนึ่ง ขนาดมันสูงกว่าพระองค์ไม่มาก เป็นหอกทรงเรียว ปลายหอกมีไอสีดำแดงพวยพุ่งออกมา

          อัสธาราธรู้ดีว่าหากดำรงอยู่ในร่างใหญ่โตนี้ย่อมไม่สามารถหลบหอกสีแดงดำนั่นได้พ้นแน่นอน มันเป็นอาวุธที่อัสรานไม่ค่อยนำมาใช้นัก โดยปกติพี่ชายของเขาไม่ค่อยออกรบ และแม้ต้องแสดงแสนยานุภาพ ก็มักจะเลือกใช้เวทย์มนต์มากกว่า ที่สร้างหอกขึ้นมานี้คงต้องการจะดวลอาวุธกับเขาเป็นแน่

          “ข้าชมชอบดูเจ้าในร่างออกรบนี้ยิ่ง”

          อัสรานเอ่ย เมื่อเห็นผู้เป็นน้องชายกลายร่าง ผมบนศีรษะของอัสธาราธนั้นแดงเพลิงสีสันแสบลูกนัยน์ตาเป็นอย่างยิ่ง แต่สีเกราะบนลำตัวของเขานั้นแดงยิ่งกว่า แดงฉานปานฉาบทาด้วยโลหิตมิปาน

          “บอกกล่าวแก่ท่าน ข้ามิชอบร่างนี้เท่าใดเลย”

          กล่าวจบง้างมือออก หอกสีแดงปานหินหลอมเหลวที่เพิ่งผุดขึ้นมาจากปากปล่องแห่งซาซาร์กันปรากฏขึ้น ขนาดของมันทั้งใหญ่และหนัก องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์แย้มพระโอษฐ์

          “เราทราบ เจ้าไม่ค่อยถนัดใช้หอก”

          อัสธาราธพยักหน้า พลางกล่าวตอบ

          “ท่านเองก็ไม่ค่อยถนัดการใช้อาวุธนักมิใช่หรือ?”

          อัสรานหัวร่อออกมา

          “รู้ได้อย่างไร เจ้าเคยเห็นเราใช้มันหรือ?”

          กล่าวจบวาดมือทั้งสองข้างขึ้น หอกยาวแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย รวมตัวกันเป็นหอกขนาดกลางด้ามสั้นๆ หลายสิบเล่มลอยอยู่รอบตัวของผู้ใช้ อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตาสีแดงเพลิงกว้าง

          “หากคิดเปลี่ยนอาวุธยังทันอยู่ เรามิต้องการเอาเปรียบเจ้านัก”

          “ดูท่าท่านมิหวังเพียงการดวลเพื่อเป็นคำแก้ตัวเสียแล้ว ข้าไหนเลยจะถอยได้ ในเมื่อข้าเลือกอาวุธไปแล้ว ข้าย่อมไม่ลังเลใดอีก เริ่มกันเถิด พี่ชายข้า”

          กษัตริย์อัสรานทรงพระสรวลอย่างพอพระทัย ขยับนิ้วมือเล็กน้อย หอกนับสิบที่มีไอควันสีแดงดำห่อหุ้มก็พุ่งเข้าใส่ผู้เป็นน้องชาย อัสธาราธมิได้เตรียมการหลบ เขายกหอกหนาหนักในมือขึ้น เงื้อและพุ่งสวนออกไป

          “ไม่เลว ไม่เลว”

          อัสรานพึมพำ พลางวาดมือที่เต็มไปด้วยไอควันสีแดงดำนั้นขึ้นอีก มิได้ทรงตั้งท่าหลบหอกใหญ่นั้นเช่นกัน บนฝ่ามือของพระองค์ปรากฏหอกสองเล่ม ยามเมื่อคลายฝ่ามือออก หอกสองเล่มแตกกระจายออกเป็นหอกยี่สิบเล่ม พุ่งเข้าสวนปลายหอกใหญ่นั้น

          อัสธาราธแลเห็น หอกชุดแรกพุ่งเฉียดเข้ามาในระยะประชิด หากหลบตอนนี้คงมิทัน เจ้าชายหนุ่มกางมือออก ม่านพลังสีแดงแผ่ขยายเต็มเบื้องหน้าเพื่อป้องกันหอกเวทย์ที่ซัดมานั้น มิคาด ยามเมื่อปลายหอกกระทบกับม่านพลังนั้นแล้ว พลันแตกออกเป็นลิ่มเล็กๆ พุ่งทะลวงม่านกั้นนั้นเข้าไปอีก อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตาสีแดงอย่างแปลกใจ

          “ของเล่นประหลาดยิ่งนัก”

          “หากเทียบกับเจ้าแล้ว ย่อมมิใช่ประหลาดเกินไป”

          อัสรานกล่าว คิ้วสีแดงดำขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อปลายหอกใหญ่แตกอ้าออกยามกระทบกับหอกที่ส่งออกไปต้อนรับ กลืนกินหอกเพลิงสีแดงดำของพระองค์ไปสิ้น และคล้ายดั่งใช้พลังจากหอกนั้นเพิ่มพูนพลังงานแก่ตนเอง ทรงขยับมือ ร่ายม่านพลังสีแดงดำคลุมพระองค์ไว้

          เสียงระเบิดดังสนั่น ดังลั่นไปทั่วท้องนภากว้างของคอนซาร์ก ไอเปลวเพลิงแห่งเวทย์มนต์แผ่กระจายพุ่งสูกขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ เพลงสีแดงดำแตกกระจายกลายเป็นเพลิงสีเหลืองทอง ทะลวงหมู่เมฆที่สะท้อนแสงสีอำพันของตะวันในยามใกล้อัสดง ก่อนจะถูกสายลมกลืนกินไปเสียสิ้น

          ณ เบื้องล่าง เสียงหัวร่อดังขึ้น

          “บันเทิงอย่างยิ่ง ท่าเมื่อครู่มีชื่อเรียกอย่างไร?”

          อัสรานเอ่ย ฉลองพระองค์สีแดงนั้นขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีแล้วจริงๆ แต่เกราะและส่วนอื่นๆ แลดูไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใด อัสธาราธขมวดคิ้วสีแดงยุ่ง ตามร่างกายมีรอยขีดข่วนหลายแห่ง ละอองเข็มเมื่อครู่สาดเข้าใส่เขาเต็มๆ ถึงอย่างนั้นก็ดูจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก

          “ยังมิได้เรียบเรียง ข้าเพิ่งคิดท่านั้นออกตอนที่ท่านพูดถึงเรื่องหอก”

          “ข้าประทับใจยิ่ง นานไปเจ้าเริ่มมีความสามารถในการใช้เวทย์มนต์ขึ้นมาบ้างแล้ว ข้าจะตั้งชื่อให้ เรียกท่าหอกเขมือบเป็นอย่างไร?”

          “ฟังดูไม่ค่อยเข้ารูหูนัก”

          อัสธาราธกล่าวพลางมุ่ยหน้า ผู้เป็นพี่ชายหัวเราะชอบใจ

          “หัวสมองข้าไม่ดีในการตั้งชื่อเสมอมา เอาเถิดน้องข้า เจ้าว่าหอกเวทย์ของข้าด้อยไปหรือไม่?”

          “หากด้อยไปแล้วร่องรอยบนตัวข้านี้เล่า?”

          อัสธาราธเอ่ยตอบ พลางปัดเศษเกราะบนลำตัวออก เกราะนี้ แม้ลาวาร้อนที่สุดยังมิอาจระคายผิว แต่กลับถูกฝนหอกเล็กๆ นั้นเสียดพุ่งจนกะเทาะแตกออก หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น น่ากลัวสิ้นชีพไปนานแล้ว

          “เวทย์มนต์ท่านยิ่งนานยิ่งร้ายกาจ ซ้ำยังเพิ่มลูกเล่นเข้าไปอีก ท่านคิดเอาไว้กระทำการใด?”

          “ย่อมเพื่อเอาไว้ประลองกับเจ้าโดยเฉพาะ ยังมีผู้ใดในคอนเชียร์นี้สามารถรองรับพลังของข้าได้อีกเล่า”

          “เช่นนั้นข้าคงต้องฝึกฝนให้มาก”

          อัสธาราธกล่าว ได้ยินพี่ชายหัวร่ออย่างพอใจ

          “เจ้ายังต้องฝึกฝนอีก เนื่องเราเองก็ยังจะฝึกฝนอีก เราแข็งแกร่งเจ้าย่อมแข็งแกร่ง เมื่อเจ้าแข็งแกร่งเราเองจะยิ่งแข็งแกร่ง เข้าใจหรือไม่ น้องชายข้า เจ้ามิใช่ผู้อ่อนแอใด เจ้าคือกำลังของเรา คือกำลังของคอนเชียร์นี้ จงอย่าได้ถือทิฐิอยู่กับความผิดพลาดครั้งอดีต”

          เจ้าชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพี่ชายทันที

          “ทราบหรือไม่ ใยเราชวนเจ้าออกมาเดินเล่น ใยเราจึงชวนเจ้าประลองกำลัง”

          ทรงเว้นจังหวะไประยะหนึ่งจึงกล่าวต่อ

          “นั่นเพราะข้าต้องการให้เจ้าทราบ เจ้าล้วนเป็นที่รักยิ่ง เจ้ามีคุณค่า และเจ้ามิได้อ่อนแอ ไม่มีผู้อ่อนแอได้ทนรับหอกเวทย์ของข้าได้โดยไม่ถอยแม้เพียงหนึ่งก้าว ใช่หอกเวทย์ข้าคุณภาพเลวยิ่ง? หรือเจ้าแน่ใจ ข้าย่อมมิทำอันตรายเจ้า หรือเจ้าเพียงคิด ต่อให้ต้องตายจักมิยอมหลบ บอกกล่าวมาตามความสัตย์!”

          “กล่าวตามตรง ข้ามิคิดอันใดอย่างท่านกล่าวเลย”

          อัสธาราธตอบออกมาในที่สุด ก่อนจะขยายความ

          “ข้าเพียงคิด ไม่อาจหลบพ้นก็ไม่ต้องหลบ ไม่ได้คิดถึงความตายไม่ได้คิดถึงเรื่องใดทั้งสิ้น หากบาดเจ็บแล้วจึงค่อยว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง ฟังดูคล้ายโง่เขลาหรือไม่?”

          องค์กษัตริย์โคลงพระเศียร

          “บางคราวโง่เขลากับกล้าหาญอยู่ใกล้กัน ความโง่เขลาบางคราวทำให้ผู้คนห้าวหาญ ความห้าวหาญบางคราวก่อกวนให้ผู้คนโง่เขลา ผู้กล้าหาญบางคราวหลงตัวเองยิ่ง ทระนงตนยิ่ง โง่งมในความแข็งแกร่งของตนอย่างยิ่ง ครั้นเผชิญความจริงพบว่าตนมิได้เข้มแข็งอย่างที่คิด หากนึกหลีกหนีคิดท้อแท้ใยไม่ใช่อ่อนแอและโง่เขลาเล่า ตรงข้าม หากสำเหนียกถึงความอ่อนแอ ยอมรับในความโง่เขลา เผชิญหน้ากับตนได้นั้นไซร้จึงเรียกกล้าหาญยิ่ง แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ผู้กล้าหาญเผชิญกับตัวเองเท่านั้นจึงเรียกว่าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง”

          ผู้ฟังยืนตะลึงงันไปแล้ว เนิ่นนานร่างที่มีผมแดงเพลิงนั้นจึงได้กล่าววาจาออกมา

          “ท่านกล่าวได้ถูกต้อง.. ข้า...”

          อัสธาราธเงียบไปอีก คล้ายมีความในใจอัดอั้นจนกล่าวออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ อัสรานยิ้มให้น้องชายอย่างเอ็นดู พลางกล่าว

          “มิต้องเอ่ยถ้อยคำใด ขอเพียงเจ้าเข้าใจ ข้าถือเป็นประโยชน์ยิ่งแล้ว”

          เจ้าชายหนุ่มมิได้ปริปากอะไรอีก เพียงแต่พยักหน้าอยู่เงียบๆ

---------------------------------------

(จบตอน)

ออฟไลน์ Alone Alone

  • ขอตายในอ้อมกอดฮยอกแจ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
แอร๊ยยยย เพิ่งเห็นเรื่องใหม่ ฮี่ๆ

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
อะฮ้า แล้วจะได้เจอกันแบบไหนอีกนะ น่าลุ้น

ออฟไลน์ ชะรอยน้อย

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 973
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-0
มาตามอ่านค่ะ

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
แม๊ มังกรเค้าถกกัน ลึกซึ้งยิ่งนัก นับถือๆ 555

ออฟไลน์ Firebird

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เค้าเคยอ่านเรื่องสั้นนะ แต่ใช่เรื่องเดียวกันป่าวอ่า
เค้าอยากบอกว่าาาา เค้าอยากให้อัธราราสเป็นเคะมากกว่า
มาดให้อ่ะ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
เค้าเคยอ่านเรื่องสั้นนะ แต่ใช่เรื่องเดียวกันป่าวอ่า
เค้าอยากบอกว่าาาา เค้าอยากให้อัธราราสเป็นเคะมากกว่า
มาดให้อ่ะ

คนละเรื่องกันค่ะ แค่สายพันธุ์กับชื่อตัวละครใกล้เคียงกันเฉยๆ ค่ะ^^

ออฟไลน์ mana_ai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
รออ่านต่อเพราะสนุกอย่างยิ่ง  o13

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
-*- เวรจริงๆ โครมรีเซ็ตตัวเอง ที่โพสไว้หายสิ้น....

---------------------------------
4 : นิทานของชายผู้ดำเนินใต้สายน้ำ

                ร้อนรน ดิ้นทุราย ในสายน้ำดำมืดดั่งอุ้งหัตมัจจุราช แสงเรืองชนิดขึ้นปรากฏขึ้น แวววาว เรืองรอง เขียวมรกต  นัยน์ตาดวงโตจนไม่อาจจินตนาการได้ ในห้วงน้ำล้ำลึก ความหวาดกลัวเกาะกุมในหัวใจ ดวงตาสีเขียว กับรสชาติน้ำทะเลเค็มข้น ดันแทรกทะลวงเข้าไปในปอดและบาดแผล เจ็บปวด ทุรนทุราย

          ทรมานและหวาดหวั่น...กับความตายที่ไม่เคยรู้จัก
 
-------------------------------------------

          “นั่งกับเราเงียบๆ เช่นนี้ เจ้าเคยเบื่อบ้างรึไม่?”

          น้ำเสียงก้องกังวานเอ่ยขึ้น ในท้องพระโรงแห่งท้องน้ำของอันโดรท์ ที่ว่างเปล่าไร้เงาสิ่งมีชีวิตใด มีเพียงดวงไฟสีฟ้าแห่งอิลห์ลาริน และข้ารับใช้ใกล้ชิดที่มีนาม อูห์รูน

                อูห์รูนนั้นมีศักดิ์เป็นพระนัดดาของกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินองค์ก่อน แต่โดยพื้นฐานปกติของอิลห์ลาริน การสืบราชสมบัตินั้นมิได้สืบทอดจากกษัตริย์ถึงลูกหลาน เพราะชนชาวบาดาลมีความเชื่อว่า ดวงวิญญาณของกษัตริย์องค์ก่อนจะจุติลงในครรภ์ของพระมารดาแห่งสายชลที่อยู่ลึกลงไปในห้วงเหวดำมืดที่มีชื่อเรียกขานว่าหุบเหวแห่งนิรันดร์ ดังนั้น แม้จะมีศักดิ์เป็นพระนัดดาของกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินองค์ก่อน แต่อูห์รูนมิได้มีสิทธิ์ในการนั่งบัลลังก์แห่งสายน้ำนี้แต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นมังกรหนุ่มก็มิได้นำพา นั่นเพราะนัยน์ตาสีเขียวมรกตนั่นคือสัญลักษณ์อันชอบธรรมอย่างยิ่งในการขึ้นครองบัลลังก์ บรรดาเชื้อสายของกษัตริย์องค์ก่อนมีหน้าที่คอยรับใช้กษัตริย์องค์ใหม่ตราบชีวิจจะหาไม่ และตัวเขาเองก็รับช่วงนี้ต่อจากผู้เป็นบิดา

          มังกรหนุ่มผู้มีร่างกลางเป็นบุรุษผมยาวคลุมช่วงขาสั่นศีรษะน้อยๆ เรือนผมสีฟ้าเทาพลิ้วไหวไปกับสายน้ำเอื่อยเฉื่อยในห้องพระโรงแห่งอันโดรท์ นัยน์ตาสีฟ้าเทาขึ้นมองพระพักตร์ขององค์กษัตริย์ สำหรับอูห์รูนแล้ว กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินพระองค์นี้เป็นยิ่งกว่าเทพเจ้า นอกจากจะทรงพระสิริโฉมงดงามแล้ว ยังมีพระทัยเปี่ยมเมตตา มีพระจริยะวัตรงดงามหาใดเปรียบ ทรงมุ่งมั่นทุ่มเทกับงานบริหารราชการมาตลอดประชนม์ชีพ มิเคยมีวันใดเลยที่ทรงหยุดพักผ่อน หากมิออกตรวจไปตามท้องน้ำกว้าง ก็จักนั่งว่าราชการอยู่ที่ท้องพระโรงแห่งนี้ รอคอยผู้มีเหตุเดือดร้อน มาตรแม้นมิมีผู้ใดมาร้องเรียน ก็ยังทรงประทับรออยู่จนถึงเวลาบรรทม

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้น เมื่อถึงช่วงอายุหนึ่ง ก็ไม่ต้องการบรรดาเสนาอำมาตย์อีก เนื่องเพราะทรงมีพระชนม์ชีพยืนยาวอย่างยิ่ง ในเวลานั้นจักทรงรอบรู้ทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ รอบรู้มากกว่าผู้ใดในอาณาจักร ดังนั้นจึงไม่ค่อยต้องการรบกวนบุคคลอื่นให้มาทุกข์ร้อนแทนนัก อย่างไรก็ตามบางครั้งทรงต้องการผู้รับฟังที่ดีอยู่บ้าง และอูห์รูนนั้นปฏิบัติหน้าที่นี้อย่างดีเสมอมา

          “มิเคยเบื่อ แต่หากทรงพระเมตตา กล่าววาจาออกมาบ้าง ข้าพระองค์ผู้ฟังจะรู้สึกยินดียิ่ง อย่างน้อยยังพอมีประโยชน์อยู่”

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำแย้มพระโอษฐ์ มองดูพระนัดดาแห่งกษัตริย์องค์ก่อนด้วยความอาทรแม้มิอาจจดจำเรื่องราวในหนหลังได้เลย เชื่อกันว่าดวงวิญญาณของกษัตริย์นั้นจะกลับมาเกิดและขึ้นครองราชย์ใหม่เสมอ แต่จะหามีความทรงจำเกี่ยวเนื่องกันไม่ ถึงอย่างนั้น ก็ยังเอ็นดูข้ารับใช้ผู้นี้มากนัก ราวกับเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขมิปาน

          “วาจาเรากล่าวใยไม่น่าเบื่อยิ่ง เรารู้สึกอายุมากยิ่งกล่าววาจาน่าเบื่อ”

          “น่าเบื่ออันใด พระองค์ทรงดำรงอยู่มานานนม ย่อมต้องรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง หากเมตตากรุณาบอกเล่าข้าพระองค์ผู้มืดบอดให้ได้รับรู้เปิดหูเปิดตาบ้าง”

          “เจ้ายังอยากฟังนิทานจากเรา?”

          อูห์รูนผงกศีรษะ องค์กษัตริย์แย้มพระโอษฐ์อีกรอบ

          “เรามิใช่เคยเล่าออกไปมากมายแล้ว? เอาเถิด ครานี้มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เราตรึกอยู่”

          “เป็นเรื่องราวใด?”

          ข้ารับใช้หนุ่มเอ่ย คล้ายมิคาด องค์กษัตริย์กำลังตรึกถึงนิทานอันใดอยู่ ยามปกติพระองค์ล้วนมีต้องตรองสิ่งใดนานนัก นี่อาจจะเป็นนิทานมีความหมาย

          “เรื่องราวเกี่ยวกับชาวมนุษย์ผู้หนึ่งซึ่งเคยมาเหยียบย่างในเวิ้งน้ำกว้างแห่งอิลห์ลาริน”

          “อ้อ..”

          อูห์รูนส่งเสียงออกมา และกล่าวบ้าง

          “ท่านคล้ายชมชอบเล่าเรื่องชาวมนุษย์ยิ่ง แต่เรื่องนี้แม้ข้าพระองค์เคยได้ยิน ก็เลือนรางเต็มที คล้ายดั่งเชื่อถือมิได้”

          “นั่นเพราะเรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว”

          องค์กษัตริย์ทรงตรัส และยิ้มให้ข้ารับใช้อย่างเอ็นดู

          “เรื่องเกิดในสมัยรัชกษัตริย์โบราณ แต่หากคล้ายยังเป็นสัญญาหลงเหลือตกทอดมาถึงเราอยู่บ้าง”

          “ทรงระลึกถึงเรื่องเมื่อยามก่อนได้หรือ?”

          ผู้เป็นใหญ่แห่งสายน้ำสั่นศีรษะ เรือนผมสีน้ำเงินสลวยราวเกลียวคลื่นพลิ้วไหวน้อยๆ อัญมณีประดับศีรษะส่องประกายยามต้องสะท้อนกับดวงไฟสีฟ้าคราม

          “เรามิอาจจดจำเรื่องราวในหนหลังได้ชัดเจนนัก แต่คล้ายพอมีเชื้ออยู่บ้าง จึงมิใคร่แน่ใจ เรื่องราวอาจจะมิถูกต้องเท่าใด”

          “อย่าได้ทรงวิตก ยามนี้ข้าพระองค์ต้องการรับฟังอย่างยิ่ง เรื่องราวว่าอย่างไร?”

          “เรื่องราวนั้นมีอยู่”

          กษัตริย์แห่งท้องน้ำเอ่ย พระเนตรสีเขียวมรกตเหม่อมองออกไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จัก คล้ายมองย้อนไปยังอดีตชาติของพระองค์อยู่มิปาน ทรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบายิ่ง

          “ครั้งอดีต กษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงออกเที่ยวเล่นไปตามผืนน้ำแห่งอิลห์ลาริน ในครานั้นยังทรงพระเยาว์ยิ่ง จึงแหวกว่ายไปติดแหของชาวประมงมนุษย์ผู้หนึ่ง”

          “มีเรื่องน่าอายเช่นนั้น!?”

          อูห์รูนอุทานขึ้น พลันรีบกล่าวอย่างรู้สึกผิด

          “ขอพระราชทานอภัย ข้าพระองค์ได้กล่าววาจามิสมควรยิ่ง”

          องค์กษัตริย์ทรงโบกมืออย่างไม่ถือสา พลางแย้มยิ้ม

          “เจ้ากล่าวมิผิด เรายังคิดน่าอายอย่างยิ่ง ตัวเราในอดีตเคยกระทำเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นเราจึงกล่าว เรื่องราวอาจมิใคร่ถูกต้องนัก”

          “ทรงเล่าต่อเถิด ข้าพระองค์จักมิกล่าวสอดแทรกอีก”

          “มีเจ้าสอดแทรกบ้างเรากลับรู้สึกสนุก เห็นแย้งอย่างไรจงรีบกล่าว หากเจ้าขืนเงียบให้มากนักเราอาจไม่เล่าต่อ”

          “อย่างนั้นทรงกล่าวต่อเถิด ข้าพระองค์จะสอดแทรกเมื่อเห็นสมควร”

          กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแย้มพระโอษฐ์อย่างพอพระทัย ทรงชมชอบให้มีผู้คนกล่าวถ้อยคำด้วยยิ่งนัก นั่นเพราะน้อยผู้เหลือเกินที่จะสนทนากับพระองค์ ส่วนใหญ่จะนิ่งฟังทั้งสิ้น นั่นเพราะทุกผู้ล้วนนึกไม่ออก ควรสรรค์หาวาจาใดมากล่าวต่อองค์กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่และทรงประชนม์ยืนยาวพระองค์นี้ได้

          “เล่าถึงที่ใด..อืม... ทรงติดแหของชาวประมงมนุษย์ หากเจ้ายังรู้สึกน่าอาย พระองค์ยิ่งรู้สึกน่าอายกว่านัก ดังนั้นจึงหมายปลิดชีพมนุษย์นั้นเสีย แต่แหอวนนั้นสำหรับพระองค์เป็นของประหลาดยิ่ง แม้ดิ้นรนหมายเข้าถึงมนุษย์ผู้นั้นเพียงใด ยิ่งบาดเข้าไปในพระสรีระ เราได้กล่าว ยามนั้นทรงพระเยาว์ยิ่งนัก พระวรกายมิได้ทนทานอย่างที่ควรจะเป็น”

          “พระองค์มิมีผู้รับใช้ติดตามไป?”

          อูห์รูนแทรกขึ้นอย่างสงสัย องค์กษัตริย์แย้มพระโอษฐ์

          “คาดว่าองค์กษัตริย์ทรงซุกซนอยู่มาก จึงหนีจากผู้รับใช้ไปเที่ยวเล่นพระองค์เดียว”

          “อย่างนั้นต้องโทษผู้รับใช้เลินเล่อแล้ว”

          มังกรหนุ่มกล่าว กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินทรงพระสรวล

          “เจ้าท่าทางจริงจังกับเรื่องนี้ยิ่ง ความซุกซนล้วนห้ามกันมิได้ เราจะเล่าต่อ ยามนั้นองค์กษัตริย์ดิ้นรนจนติดอยู่ในร่างแหมิอาจไปไหนได้อีก ทั้งเจ็บปวดทั้งตกใจ ด้วยมิเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน ชาวประมงมนุษย์ผู้นั้นคล้ายรู้สึก สิ่งมาติดแหไฉนดิ้นรนและมีเรี่ยวแรงมหาศาล จึงเพียรพยายามลากแหขึ้นมาบนเรือ เมื่อพบเห็นสัตว์ทะเลรูปร่างประหลาดอยู่ด้านในจึงตกใจเป็นอันมาก”

          อูห์รูนคล้ายถูกสะกดไปแล้ว นิ่งฟังเรื่องราวอย่างใจจดจ่อ นัยน์ตาสีฟ้าเทามองมาอย่างใคร่รู้ยิ่งนัก องค์กษัตริย์คล้ายทรงอยากแกล้ง มิเอ่ยปากอยู่เป็นนาน จนอีกฝ่ายอดรนทนไม่ได้

          “แล้วอย่างไรต่อเล่า?”

          “เราพลันนึกไม่ออก”

          “แล้วกัน!”

          มังกรหนุ่มโพล่ง สีหน้าผิดหวังเป็นยิ่งนัก เสียงหัวร่อกังวานดังตามขึ้นมา

          “ล้อเล่นหรอก เราเพียงอยากเห็น เจ้าสนใจฟังเพียงใด ใช่อยากติดตามต่อหรือไม่”

          “ข้าพระองค์สนใจอย่างยิ่ง โปรดเล่าต่อเถิด”

          อูห์รูนอ้อนวอน องค์กษัตริย์บางคราวขี้เล่นยิ่งนัก ถึงกับชมชอบปั่นหัวผู้อื่นเล่นเพื่อนความสำราญส่วนพระองค์

          “เล่าถึงที่ใด อืม...ชาวประมงทรงพบองค์กษัตริย์ติดอยู่ในแห ยามนั้นยังอยู่ในร่างมังกร คาดว่ารูปลักษณ์คงประหลาดตาสำหรับมนุษย์ยิ่ง ทรงอับอายแทบตายที่ติดอยู่เยี่ยงนั้น ดำริอยู่ในพระทัย หากมิอาจสังหารมนุษย์ผู้นี้จักกลั้นใจตายเสียเอง ยามนั้นมนุษย์ผู้นั้นถือมีดด้ามใหญ่เข้ามาใกล้ ทรงนึกว่าจักถูกสังหารแน่แล้ว จึงได้ดิ้นรนสุดชีวิต ทันใดนั้นได้ยินเสียงกล่าวอย่างอ่อนโยน”

          “อย่าได้ตระหนก เราอยากช่วยเจ้า”

          “น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนเปี่ยมเมตตายิ่ง มาตรแม้นเป็นถ้อยคำจากปากมนุษย์ย่อมยากเชื่อถือ แต่ยามนั้นพระองค์ลืมพระเนตรขึ้นอย่างแปลกใจ คมมีดใหญ่ถูกกดลงมาอย่างเบามือ ตัดเอาแหอวนที่พันตัวพระองค์ออกหมดสิ้น”

          “องค์ยุวกษัตริย์ยามนั้นยังตกพระทัยอยู่ ครั้นหลุดจากแหอวนก็ดิ้นรนอย่างเสียพระทัย จนครีบหางฟาดเอามือของชาวประมงหนุ่มเป็นแผลใหญ่ มิคาดนอกจากมิได้สังหารองค์กษัตริย์ในร่างมังกรแล้ว ยังไม่เคืองเรื่องบาดแผลด้วย ชาวประมงหนุ่มรีบถลันไปหาองค์กษัตริย์ ถอดเสื้อผ้าออกเพื่อหยุดโลหิตที่ไหลจากบาดแผลบนร่างมังกรนั้นไว้”

          “ใยถึงใจดีขนาดนั้น บาดแผลบนข้อมือเขาเล่า มิได้สาหัส?”

          อูห์รูนกล่าว รู้สึกแปลกใจอยู่มาก ไม่คาด ยังมีมนุษย์ที่มีจิตใจดีงาม กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเอ่ยตอบ

          “ย่อมสาหัส หางมังกรนั้นมีพิษ แต่ถึงอย่างนั้น กลับห่วงใยสัตว์ทะเลประหลาดในสายตาของตนยิ่ง พยายามหยุดเลือดให้องค์กษัตริย์ก่อน จึงได้หยุดเลือดให้ตัวเอง ถือเป็นโชคดี เพราะพิษนั้นไหลออกจากบาดแผลไปมากแล้ว ดังนั้นจึงมิเป็นอันตรายต่อร่างกายมากนัก”

          “ถือเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่ง”

          ผู้รับใช้หนุ่มกล่าว องค์กษัตริย์พยักพระพักตร์

          “นั่นเพราะมีน้ำใจห่วงใยองค์กษัตริย์ก่อน จึงพ้นอันตรายจากพิษไป องค์กษัตริย์ยามนั้นแม้มิหวาดกลัวอย่างเริ่มแรก แต่ก็ไม่ไว้พระทัยในชาวมนุษย์ เมื่อขยับได้จึงรีบหลีกเร้นลงทะเลไปทันที กระนั้นด้วยบาดแผลฉกรรจ์จึงมิอาจว่ายไปได้ไกลนัก”

          “ผู้รับใช้เล่า มัวกระทำเรื่องราวใดอยู่?”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินทรงพระสรวลขึ้น

          “แลดูเจ้าข้องใจเรื่องนี้ยิ่ง เราจักกล่าวถึงตอนหลัง ชาวประมงนั้นมิรู้สมควรทำเช่นใด จึงล่องเรือจากไป มิคาดวันรุ่งขึ้นยังกลับมาอีก กลับมาพร้อมปลาทะเลจำนวนหนึ่ง”

          “ชาวประมงหนุ่มตะโกนเรียกองค์กษัตริย์ เรียกด้วยถ้อยคำน่าขบขันยิ่ง เอ่ยเรียก เจ้าปลาประหลาด เรานี้นำสัตว์ทะเลมาให้เจ้า หากยังวนเวียนอยู่ จงมารับไปเถิด”

          “องค์กษัตริย์ทอดร่างอยู่ใต้ผืนน้ำ ได้ยินหมดทุกสิ่ง มิทราบสมควรทำเช่นใด ทั้งรู้สึกอับอาย แต่ก็รู้สึกแปลกใจยิ่ง ใยมนุษย์ผู้นี้จึงห่วงใยตนนัก ถึงกระนั้นก็มิได้ปรากฏพระองค์ขึ้นมา ชาวประมงเรียกอยู่พักใหญ่ จึงตัดสินใจเทปลาทะเลที่หามาได้ลงตรงนั้น”

          “เราคิด เจ้าอาจหวาดกลัวเรา เราจะทิ้งปลาไว้ที่นี่ เพื่อให้เจ้าทานได้ง่าย”

          “แม้มิใคร่เข้าใจนัก แต่องค์กษัตริย์ก็ได้รับประทานปลาดังกล่าว เนื่องจากบาดเจ็บจนมิอาจออกไปไล่ล่าสังหารเองได้ วันรุ่งขึ้นชาวประมงกลับมาอีก เมื่อไม่เห็นซากปลาจึงเข้าใจได้เองว่าสัตว์น้ำประหลาดยังคงอยู่แถวนั้น จึงได้เทปลาเอาไว้อีก”

          “ชาวมนุษย์ผู้นี้เมตตาอย่างยิ่ง ไม่คล้ายชาวมนุษย์ทั่วไป”

          อูห์รูนรำพึงรำพันขึ้นเบาๆ องษ์กษัตริย์แย้มยิ้มตอบ

          “บางคราว พวกเราอาจมองสายพันธุ์อื่นเลวร้ายกว่าที่ควรจะเป็น องค์กษัตริย์ทรงรับความหวังดีจากชาวมนุษย์นั้นด้วยความตื้นตันพระทัยอย่างยิ่ง ทรงแข็งใจไม่ปรากฏพระองค์หลายวันจนกระทั่งวันหนึ่ง”

          “ชาวประมงนั้นมาอีก ยังคงเอ่ยเรียกเช่นทุกวัน แต่คราวนี้น้ำเสียงดูเศร้าสร้อยนัก”

          “เจ้าปลาประหลาดเอย เราทราบ เจ้าคล้ายใกล้หายดีแล้ว เรายินดียิ่ง แต่เรายังมีข่าวร้ายข่าวหนึ่ง เราคล้ายมิอาจหาปลาจำนวนเท่าเดิมมาให้เจ้าได้อีก เราหวัง เจ้าจะหายดีก่อนต้องทนหิวโหย”

          “องค์กษัตริย์ได้ฟังดังนั้นรู้สึกสงสัยในพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ใยหาสัตว์น้ำได้น้อยลงเล่า หรือเพราะต้องเอาไปดำรงเลี้ยงชีพ ตรึกอยู่พักใหญ่จึงได้ปรากฏพระองค์ออกมา”

          “ชาวประมงหนุ่มตื่นตะลึงยิ่ง มิคาดปลาประหลาดที่พบหลายวันก่อน ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน กลับใหญ่โตขึ้นมากจนคล้ายเป็นคนละตัวแล้ว แต่ยังจดจำบาดแผลและดวงตาสีมรกตนั้นได้อยู่ จึงเอ่ยปากไป”

            “เป็นอย่างไรเล่า หายดีแล้ว? เจ้าช่างโตไวอย่างยิ่ง”

                “น้ำเสียงแสดงความยินดีอย่างไม่อำพราง องค์กษัตริย์ทอดพระเนตรดูชาวประมงอยู่ครู่หนึ่ง เป็นคราแรกที่พระองค์ได้ทอดพระเนตรดูผู้สร้างบาดแผลและดูแลพระองค์อย่างชัดตา ชาวประมงนี้มิใช่ตัวใหญ่โตใดเลย เรือประมงนั้นก็มิได้ใหญ่โต ทรงระลึกได้ว่าครั้งนั้นพระวรกายยังเล็กอยู่มากจริงๆ จึงได้เกิดเรื่องน่าอับอายนั้น ทรงอยากจะเอ่ยปากขอบคุณชาวประมงหนุ่ม จึงได้ย่อกายลงใกล้ๆ คลื่นน้ำจากการเคลื่อนไหว กระแทกลำเรือเบาๆ ชาวประมงเซถลาพยายามคว้ากราบเรือเพื่อพยุงตัว ยามนั้นจึงได้เห็น มือข้างหนึ่งของชาวประมงกุดด้วนเสมอข้อไปเสียแล้ว”

          “เป็นมือข้างที่ถูกคมหางบาดเอา?”

          อูห์รูนเอ่ย กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินพยักหน้า

          “แม้นมิได้ถูกพิษถึงตาย แต่บาดแผลนั้นฉกรรจ์ยิ่ง เพราะมัวแต่ห่วงอาการขององค์กษัตริย์ พิษร้ายซึมซาบเข้าทำลายเนื้อเยื่อไปหลายส่วน ถึงกับมิอาจรักษามือข้างนั้นได้อีก จึงกุดด้วนอย่างที่เห็น องค์กษัตริย์เมื่อได้ทอดพระเนตรข้อมือของชาวประมง ทรงเข้าใจทุกอย่างทันที เนื่องเพราะขาดมือไปข้างหนึ่ง จึงมิอาจหาปลาได้เท่ายามปกติอีก ทรงถอดถอนใจ เอ่ยปากออกมาเป็นครั้งแรก”

            “นี่ล้วนเป็นความผิดเราทั้งสิ้น”

          ชาวประมงหนุ่มตะลึงลาน มิคาดจะได้ยินวาจาจากปากปลาประหลาด นิ่งอึ้งอยู่นานจึงได้กล่าววาจา

            “หรือท่านคือเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ ข้าพเจ้าบังอาจล่วงเกินไป จำต้องขออภัยอย่างยิ่ง”

          “มิต้องขออภัย เป็นเราที่ผิดเอง เจ้าช่วยเหลือเรา มือข้างนั้นเสียไปเพราะเราเป็นต้นเหตุใช่หรือไม่?”

          “มิคาดชาวประมงหนุ่มกลับสั่นศีรษะ เอ่ยวาจาอย่างฉะฉาน”

          “ล้วนไม่ใช่ต้นเหตุจากท่าน เป็นข้าพเจ้าประมาท หากจะโทษ ย่อมโทษตัวข้าพเจ้าเองที่บังเอิญไปล่วงเกินท่านเข้า”

          “องค์กษัตริย์ในยามนั้นรู้สึกประทับใจชาวประมงเป็นยิ่งนัก อยากจะตอบแทนน้ำใจและความเด็ดเดี่ยวนั้น แต่เนื่องจากทรงพระเยาว์อยู่ ยังมิทราบควรตอบแทนประการใด พลันเกิดความคิดพิสดารขึ้นมา”

          กล่าวถึงตรงนี้ ก็หยุดไปอีกเนิ่นนาน คล้ายต้องการก่อกวนผู้ฟังให้กระวนกระวายอีกคราแล้ว อูห์รูนจำต้องเอ่ยปากกระตุ้น

          “ข้าพระองค์รอฟังจนแทบหยุดหายใจแล้ว ทรงตั้งใจจะทรมานข้าพระองค์หรือไร?”

          กษัตริย์สูงวัยหัวเราะชอบใจ จึงได้เอ่ยปากเล่าต่อ

          “เนื่องจากทรงพระเยาว์ องค์กษัตริย์จึงโปรดปราณการเสวยเลือดยิ่งนัก ทรงรู้สึกดื่มง่าย คล่องคอ ดังนั้นจึงคิด ผู้อื่นคงชื่นชอบเช่นกัน จึงได้แปลงพระองค์มาอยู่ในร่างกลาง เยื้องกรายขึ้นบนเรือประมงที่ลอยลำอยู่ หยุดยืนตรงหน้าชาวประมงหนุ่ม ยกพระกรข้างหนึ่งขึ้น กรีดเล็บลงไปบนผิวหนัง จนพระโลหิตไหลออกมาเป็นทางยาว หยิบภาชนะที่อยู่ใกล้ๆ รองพระโลหิตเอาไว้ ก่อนจะยื่นส่งให้ชาวประมง”

            “เราให้เจ้า จงกินเสีย แทนคำขอโทษจากเรา”

          อูห์รูนที่ฟังอยู่ ตกตะลึกอีกครา ตะกุกตะกักพูด

          “ทรงมอบโลหิตเป็นของขวัญ ทรงคิดของขวัญได้พิสดารยิ่ง”

          กษัตริย์องค์ปัจจุบันแห่งอิลห์ลารินพยักหน้า

          “เราจึงกล่าว ทรงมีความคิดพิสดารนัก เจ้าทราบหรือไม่ โลหิตนั้นสีเยี่ยงไร?”

          ผู้ถูกถามสั่นศีรษะ

          “ข้าพระองค์เพียงทราบโลหิตสิ่งมีชีวิตบนบกนั้นเป็นสีแดงชาด โลหิตชาวเราเป็นสีน้ำเงิน แต่ยังมิเคยเห็นโลหิตขององค์กษัตริย์ จึงมิทราบเป็นสีใด”

          “ย่อมเป็นสีน้ำเงิน เพียงแต่น้ำเงินเข้มอย่างยิ่ง คล้ายสีน้ำหมึก”

          “อ้อ...เป็นเช่นนั้น”

          ผู้รับใช้พยักหน้าอย่างเข้าใจ องค์กษัตริย์กล่าวต่อ

          “ชาวประมงยามนั้นคล้ายรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ ด้วยคาดไม่ถึง ปลาประหลาดที่พบนั้นพลันพูดได้ ยังกลายร่างได้ หนำซ้ำยังเสนอเลือดสีประหลาดให้ลองดื่มกิน แต่ไม่กล้าขัด เนื่องเพราะเข้าใจ องค์กษัตริย์นั้นเป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเล จึงขืนใจดื่มลงไปจนหมดสิ้น”

          อูห์รูนนิ่งฟัง ลุ้นอยู่ลึกๆ ว่าองค์กษัตริย์ของเขาคงไม่นึกพิสดารหยุดเล่าเสียกลางคัน ราวกับเดาความคิดได้ ทรงตรัสต่อ

          “มิคาด ทันทีที่ดื่มจนหมด ร่างกายพลันไร้เรี่ยวแรงขึ้นอย่างฉับพลัน มิอาจพยุงกายได้อีก เนื่องจากอยู่ใกล้กราบเรือมากเกินไป ดังนั้นชาวประมงหนุ่มจึงร่วงหล่นลงในน้ำ”

          “องค์กษัตริย์ตกพระทัยยิ่ง กระโดดตามชาวประมงลงไป รู้สึกเกรงจะเป็นต้นเหตุให้ชาวประมงนั้นเสียชีวิต เมื่อลงไปใต้น้ำ ทรงเห็นชาวประมงมองพระองค์อย่างตื่นเต้น

            “ข้าพเจ้าหายใจใต้ผิวน้ำได้!”

          “มนุษย์นั้นกล่าวอย่างยินดี มองมายังองค์กษัตริย์อย่างสนเท่ห์”

          “ท่านใช้เล่ห์กลใดให้ข้าพเจ้าหายใจในสายน้ำได้ หรือต้องการให้ข้าพเจ้าตามลงไปเบื้องล่าง?”


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
          “องค์กษัตริย์ยามนั้นตกตะลึงบ้างเหมือนกัน ด้วยนึกไม่ถึงชาวมนุษย์จะหายใจในน้ำได้ ทรงลำดับเรื่องราวและคาดเดาว่า คงมาจากโลหิตของพระองค์แน่แท้ จึงทรงนำพาชาวประมงลงมาถึงอันโดรท์แห่งนี้ ถึงทรงทราบ ผู้รับใช้คนเดิมนั้นสิ้นอายุขัยลงระหว่างที่พระองค์เสด็จหนีออกไป เพิ่งมีการแต่งตั้งผู้รับใช้คนใหม่”

          “อ้อ..เรื่องเป็นเช่นนี้”

          อูห์รูนกล่าวขึ้น องค์กษัตริย์แย้มยิ้ม

          “คงพอให้อภัยได้? ดังนั้นจึงทรงเล่าให้ผู้รับใช้คนใหม่และเหล่าอำมาตย์ทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ฟังเรื่องราวจบ ทุกผู้ล้วนกล่าววาจาสรรเสริญชาวประมงมนุษย์นั้น อำมาตย์ผู้หนึ่งเสนอว่าควรมอบอัญมณีและสิ่งของสูงค่าให้ เนื่องเพราะในสังคมเบื้องบน ของมีค่าสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินตราเพื่อให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่มิคาดชาวประมงหนุ่มนั้นปฏิเสธที่จะรับพระราชทานสิ่งของมีค่าดังกล่าว เพียงต้องอยากชมความงามใต้ทะเลสักครั้ง”

          “ดังนั้นองค์กษัตริย์จึงพามนุษย์ผู้นั้นออกชมความงามของอิลห์ลารินด้วยพระองค์เอง ในวันสุดท้ายทรงเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยตั้งแต่คราแรกที่พบ ทรงอยากทราบสาเหตุที่ทำให้ชาวประมงหนุ่มช่วยเหลือพระองค์........”

          “เล่าเถิด ข้าพระองค์ตั้งใจฟังอย่างยิ่ง”

          อูห์รูนเอ่ย เมื่อเริ่มเห็นว่าองค์กษัตริย์เงียบไป คาดว่าคงมิใช่ทรงเหนื่อย แต่คงอยากแกล้งอีกเป็นแน่แท้ น้ำเสียงกังวานลอบหัวร่อเล็กน้อย และเอ่ยสืบต่อ

          “เหตุผลนั้นง่ายดายยิ่ง ชาวประมงเพียงรู้สึก ปลาประหลาดตัวนี้ดูเยาว์วัยนัก พลันนึกถึงลูกน้อยที่คอยอยู่กับภรรยาที่บ้าน ใยมิคล้าย ต่างยังเยาว์วัยไร้ประสีประสา ดังนั้นจึงช่วยเหลือ มิโกรธเคืองแม้ถูกทำร้าย เพียงเพราะตระหนัก ทารกย่อมหวาดกลัว ย่อมไร้เดียงสา ย่อมต้องการความช่วยเหลือ องค์กษัตริย์ทรงตื้นตันอย่างยิ่ง ถอดสร้อยพระศอประทานให้กับชาวประมง ก่อนนำขึ้นไปส่งบนบก กำชับบริวารทั้งหลายให้อำนวยความสะดวกกับชาวประมงผู้นี้ มิให้สัตว์ร้ายหรือผู้พิทักษ์ตนใดเข้าใกล้หรือทำร้ายเชื้อสายชาวประมงหนุ่ม ซ้ำยังกล่าวให้ไล่ต้อนฝูงปลาที่มีมากในอาณาเขตของพระองค์ให้ชาวประมงหนุ่มยามต้องการ ชาวประมงหนุ่มซาบซึ้งยิ่งนัก กล่าววาจาขอบคุณอยู่หลายครา จึงกลับขึ้นบกไป เนิ่นนานหลายปี มีพรายผู้หนึ่ง นำพาขวดแก้วใส่กระดาษน้อยใบหนึ่งมาถวาย ภายในถ่วงด้วยหินหนัก ย่อมมิอยากให้ลอย มุ่งหมายให้จมลงถึงก้นทะเลเป็นแน่ องค์กษัตริย์ทรงเปิดจดหมายในขวดแก้วนั้น จดหมายเก่า ยามถูกน้ำทะเลก็เลอะเลือน ถึงอย่างนั้นยังพอจับใจความได้ว่าเป็นจดหมายจากชาวประมงหนุ่มในตอนนั้น”

            “ข้าพเจ้าเคยคิดอยากนำจดหมายฉบับนี้มามอบให้พระองค์ แต่หลังจากวันนั้นข้าพเจ้ากลับมิอาจหายใจใต้ผิวน้ำได้อีก คาดว่าเวทย์มนต์นั้นคงเสื่อมสิ้นแล้ว ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้เพียรเขียนจดหมายฉบับนี้ ใส่โหลแก้ว ถ่วงน้ำหนักไว้ หวังมีผู้ใดนำพาไปสู่พระองค์ได้ในวันหนึ่ง ข้าพเจ้าต้องการแจ้งให้พระองค์ทราบ ยามนี้ข้าพเจ้ามีความสุขอย่างยิ่งด้วยความกรุณาของพระองค์ บุตรชายของข้าพเจ้าใกล้แต่งงานในไม่กี่วันนี้ ข้าพเจ้ามีความสุขยิ่งนัก จึงใคร่ขอขอบคุณพระองค์อย่างสูงสุด และเหนืออื่นใด สร้อยพระศอนี้ข้าพเจ้าขอถวายคืนให้กับพระองค์ มิใช่รังเกียจ แต่ข้าพเจ้าและครอบครัวได้ปรึกษากันแล้ว เล็งเห็นตรงกันว่าของสูงค่านี้เหมาะแก่การกลับไปอยู่กับพระองค์เป็นที่สุด ย่อมไม่มีผู้ใดสวมใส่สร้อยเส้นนี้ได้งดงามเช่นพระองค์อีก  ถึงกระนั้นเพื่อแทนความระลึกถึง ข้าพเจ้าและบุตรได้พยายามตกแต่งตัวสร้อยเพิ่มขึ้นบ้าง หวังพระองค์จะโทรงโปรดกับการต่อเติมนี้ หากมิสมควรอย่างใดข้าพเจ้าขออภัยอย่างยิ่ง เพียงอยากถวายความรำลึกถึงเท่านั้น
ด้วยความเคารพและเทิดทูลอย่างสูงสุด”

 
                “จบเพียงแค่นี้?”

          อูร์รูนเอ่ยขึ้นหลังองค์กษัตริย์เงียบไปพักใหญ่ ทรงผงกพระเศียร

          “เล่าได้สมจริงสมจังหรือไม่?”

          “สมจริงสมจังยิ่งนัก ทรงละลึกได้มากมายชัดเจนถึงเพียงนี้”

          คราวนี้องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินสั่นศีรษะ

          “มิใครละเอียดนัก ถึงกระนั้น เราพาลใส่สีตีไข่เพื่อให้เจ้าฟังดูสนุก สนุกสมใจรือไม่??”

          ผู้รับใช้หนุ่มคล้ายมีสีหน้าปวดหัวอยู่บ้าง เดามิใคร่ออกนัก ทรงต้องการสร้างความบันเทิงส่วนพระองค์หรือทรงมีเรื่องอีกอีก จึงกล่าวออกไป

          “ดูท่าพระองค์ตรึกเรื่องนี้เป็นเวลานาน? ทรงมีเวลาต่อเติมเนื้อหา ข้าพระองค์ใคร่ขอบังอาจ นี่มิใช่เพียงเพื่อเล่าสู่กันฟังแค่สนุกปาก?”

          ทรงพยักพระพักตร์อีกครา

          “ย่อมมิใช่เพื่อเรื่องสนุกประการเดียว สร้อยเส้นนั้นคล้ายยังเก็บไว้อยู่”

                “เรื่องราวนี้จริง?”

          อูห์รูนโพล่งขึ้น องค์กษัตริย์ขยับพระองค์ หยิบสร้อยสวมพระศอเส้นหนึ่งขึ้นมา

          “เป็นจริงแน่แท้ แม้เราใส่รายละเอียดบ้างก็เพื่อความสนุกสนาน มิใช่คลาดเคลื่อนเรื่องราว สร้อยที่ว่าคงเป็นเส้นนี้ เคยสงสัยอยู่เนิ่นนานยิ่ง ใยลักษณะตัวเรือนของสร้อยพิสดาร มิคล้ายฝีมือช่างในอิลห์ลาริน…..”

          สร้อยพระศอที่ว่าเป็นหินสีฟ้าอ่อน หุ้มด้วยตัวเรือนทองคำที่เป็นวงซ้อนทับกัน อูห์รูนเหม่อมองอยู่พักใหญ่จึงกล่าว

          “ลวดลายนี้คล้ายสิ่งที่ชาวมนุษย์เรียกกันว่าดอกไม้?”

          “คาดว่าเช่นนั้น เราจำได้สมัยหนึ่ง เคยมีผู้คนนิยมโปรยดอกไม้ลงในอิลห์ลาริน”

          อูห์รูนพยักหน้า กล่าวต่อ

          “ทรงตรึกเรื่องนี้หลายวันแล้ว? ถึงกระทั่งนำสร้อยพระศอนั้นมาแสดงแก่ข้าพระองค์ ดำริจะกระทำเรื่องราวใดหรือ?”

          กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินถอนถอนพระทัย พลางกล่าว

          “เรากำลังคิด โลหิตเราจะนำพาเอามังกรจากคอนเชียร์ลงมาที่นี่ได้หรือไม่”

          “ทรงคิดจะนำพามังกรไฟเหล่านั้นลงมาที่นี่?!”

          ผู้รับใช้หนุ่มโพล่งขึ้นมาอย่างตระหนก องค์กษัตริย์กล่าวต่อ

          “เราทราบ จากคอนเชียร์ไปยังเขตแดนตะวันตกของอิลห์ลารินนั้น ไม่มีเกาะใหญ่พอให้มังกรไฟเหล่านั้นสามารถพักพิงได้เลยแม้แต่เกาะเดียว และไม่มีมังกรในคอนเชียร์ตัวใดสามารถบินดั้นด้นเป็นระยะทางไกลขนาดนั้นได้ เราแม้อยากเอ่ยปากขอความช่วยเหลือกับองค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ก็มิอาจกล่าวได้เต็มปาก เนื่องเพราะเราเองมิแน่ใจ จะนำพามังกรแห่งคอนเชียร์ลงมาพักที่นี่ก่อนได้อย่างไร และเท่าที่เราทราบ นักรบแห่งคอนเชียร์ทุกตนหวาดกลัวสายน้ำแห่งอิลห์ลารินของเราสิ้น”

          “นั่นเพราะสายน้ำแห่งพระองค์ล้วนดับสิ้นทุกอานุภาพแห่งเปลวเพลิง ไม่มีนักรบหาญกล้าผู้ใดปรารถนาการสิ้นสูญเช่นนี้”

          อูห์รูนเอ่ยต่อ องค์กษัตริย์โคลงพระเศียร

          “กล่าวถูกต้องยิ่ง นักรบแห่งคอนเชียร์มิใช่ขลาด แต่หากสูญเสียเปลวไฟที่ภาคภูมิแล้วไซร้ มิใช่เป็นเรื่องอัปยศยิ่ง เราครั้งหนึ่งเคยคิดหากใช้ร่างของเราแทนเกาะให้พวกเขาพักจะได้หรือไม่..”

          “ย่อมไม่ได้เด็ดขาด!”

          ผู้รับใช้หนุ่มโพล่งขึ้นมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

          “แม้มิเคยสัมผัสโดยตรง แต่ทุกคนล้วนทราบ มังกรแห่งคอนเชียร์นั้นร่างกายร้อนผ่าวยิ่งกว่าหินภูเขาไฟใด ได้ยินว่าพวกเขาอาบลาวาเดือดแทนน้ำ กับพวกตัวร้อนเป็นไฟเช่นนั้น หากให้ขึ้นไปอยู่บนสรีระของพระองค์ แม้จะทรงแข็งแกร่งหาผู้ใดเปรียบ แต่อานุภาพความร้อนนั้นเป็นพิษกับผิวหนังเปียกลื่น ข้าพระองค์ยังจำได้ คราตามเสด็จไปครั้งก่อน ที่คอนเชียร์นั้นร้อนแทบตาย หากพวกเหล่านั้นอยู่บนหลังพระองค์มิใช่ต้องทรงรับความทุกข์ทรมานอย่างยิ่งหรือ? ถ้าทรงต้องการกระทำเช่นนั้น สมควรใช้ข้าพระองค์แทนจึงประเสริฐ”

          “หากใช้เจ้าคาดว่าเราคงเสียเจ้าไปเป็นแน่แท้ หากเรายากทนทาน เจ้าไหนเลยทนทานได้”

          ทรงตรัสตอบ ทำเอาอูห์รูนนิ่งไปพักหนึ่ง

          “เอาเถิด วิธีนั้นดูลำบากเกินไป หนำซ้ำต่อให้อยู่บนหลังเรา ก็ใช่สะดวกดาย มีบ้างต้องขยับ อาจพลาดพลั้งตกหล่นลงในผืนน้ำ นักรบแห่งไฟตนใดจะกล้าเสี่ยงเล่า เจ้าเองก็ทราบ พวกเขาสิ้นสูญภายใต้สายน้ำแห่งอิลห์ลารินนี้มากมายเหลือเกิน”

          “ข้าพระองค์ทราบ มังกรแห่งคอนเชียร์มิอาจว่ายแหวกสายน้ำในอิลห์ลาริน มิอาจหลงเหลือเปลวไฟที่ภาคภูมิภายใต้ผืนน้ำนี้ หากร่วงลงมา ย่อมสูญสิ้นชีวิตเป็นแน่แท้ ได้ยินว่าเลือดมังกรแห่งคอนเชียร์ร้อนอย่างยิ่ง หากกลืนกินคงแทบลุกไหม้อยู่ในตัว ถึงอย่างนั้นมีบางจำพวกชมชอบลิ้มรสมังกรแห่งคอนเชียร์นัก”

          “เราคล้ายเคยทดลองมาบ้าง”

          อูห์รูนหันมามองอย่างตกใจ องค์กษัตริย์ทรงพระสรวลอย่างอารมณ์ดี

          “เพียงนิดหน่อย เราทราบ ผู้พิทักษ์ของเราดุร้าย ชมชอบสรรค์หาของพิสดารรับประทานเป็นนิจ แต่ไฉนเลยมิอาจดุร้ายเช่นนั้นได้บนบก เอาเถิด ยังพอมีเวลาคิดเรื่องนี้อยู่ คืนเพ็ญหน้าเราจะขึ้นไปบนคอนเชียร์อีกรอบ แม้จะทำให้องค์อัสรานไม่สบายพระทัย แต่เรามิอาจปล่อยให้อาณาจักรถูกรุกรานมากกว่านี้”

          อูห์รูนพยักหน้า เข้าใจเป็นอย่างดีว่าองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินลำบากพระทัยเพียงใด หากทรงลสะพระองค์เพื่อปกป้องดินแดนได้ คงทำไปแล้ว ผู้รับใช้หนุ่มเพียงหวัง จอมกษัตริย์องค์นี้จะคิดหนทางที่ไม่เสี่ยงพระองค์จนเกินไปนัก

                กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินมองเห็นใบหน้าผู้รับใช้หมองลง คาดเดาได้ว่าคงมาจากเรื่องที่พระองค์กล่าวเป็นแน่แท้ จึงเอ่ยวาจาขึ้นอีก

          “อย่าได้ทำหน้าไม่รับแขกเช่นนั้น เราเห็นแล้วรู้สึกไม่แปลกใจเลย ไฉนเจ้ายังหาคู่ครองไม่ได้เสียที”

          “ข้าพระองค์ทำสีหน้าใด?”

          อูห์รูนกล่าวอย่างงงงัน พลันนึกได้ จึงกล่าวตอบ

          “ที่ยังมิตกแต่งเป็นเรื่องเป็นราวเพราะต้องการรับใช้พระองค์อย่างเต็มที่หรอก เรื่องอิสตรีนั้นยังไม่ค่อยจำเป็นนัก”

          องค์กษัตริย์พลันหัวร่ออย่างเอ็นดู กล่าวต่ออีก

          “เรากลับคิดตรงข้าม หากเจ้ามิรีบตกแต่งภรรยา ระวังคล้ายเป็นดั่งเรื่องเล่า องค์กษัตริย์ผลัดเปลี่ยนผู้รับใช้ผลัดเปลี่ยนตามมิทัน ไม่กลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยหรือ?”

          อูห์รูนมีสีหน้าราวกับจะเป็นลมมิปาน รีบกล่าววาจา

          “ใยทรงตรัสเป็นลางเช่นนั้น พระองค์ยังทรงครองราชย์อีกนานยิ่ง ข้าพระองค์ย่อมตกแต่งภรรยาเองวันใดวันหนึ่ง ยังมิต้องเร่งร้อน”

          “ตามใจเจ้าเถิด เราเพียงต้องการกระตุ้นให้เจ้ากระชุ่มกระชวยบ้าง มิใช่มาจมปลักอยู่กับคนแก่เช่นเรา”

          “ได้รับใช้พระองค์เป็นเรื่องราวที่ข้าพระองค์มีความสุขที่จะกระทำยิ่ง ขออย่าได้กล่าววาจามิเป็นมงคลอีก”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินผงกพระเศียรอีกรอบ ขณะทำท่าจะตรัสสิ่งใดเพิ่มอีกเสียงแหวกของสายน้ำที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน เร่งร้อน อ่อนล้า ดังก็ดังวูบขึ้นในท้องพระโรงใหญ่ ผู้รับใช้หนุ่มขยับตัว มีบางผู้กำลังจะมายังท้องพระโรงแห่งนี้แล้วแน่แท้  เป็นผู้ใด?

          สายธาราปั่นป่วนเป็นระลอกน้อย เงือกหนุ่มตัวหนึ่งว่ายลอดผ่านซุ้มประตูหินทรงแปลกตาเข้ามายังส่วนลานหน้าของท้องพระโรง ท่าทางเหน็ดเหนื่อยเมื่ยยล้ายิ่ง ยังมิทันได้เงยหน้าก็เร่งกล่าววาจาอย่างร้อนรน

          “ถวายพระพรพระผู้เป็นใหญ่แห่งอิลห์ลาริน ข้าพระองค์มาจากชายแดนฝั่งตะวันตก ยามนี้...!”

          ยังกล่าววาจามิจบก็ระลึกขึ้นได้ จึงเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อประสบพบพระพักตร์องค์กษัตริย์ถึงกับกล่าววาจาใดมิออกอีก ตะลึงลานด้วยไม่คาดยังมีผู้ใดงดงามเพียงนี้ อูห์รูนคล้ายชินชากับเรื่องราวทำนองนี้ยิ่งนัก ไม่ว่าผู้ใดที่พบพระพักตร์องค์กษัตริย์เป็นครั้งแรก ย่อมตะลึงลานเช่นนี้ทุกครั้ง บางผู้ถึงกับลืมเลือนเรื่องราวที่จะทำมาทูลจนหมดสิ้น

          “มีเรื่องราวใดต้องการกราบทูลเล่า?”

          น้ำเสียงของอูห์รูนนั้นแม้มิได้กังวาน แต่หนักแน่นขึงขังยิ่งนัก ดึงสติเงือกหนุ่มกลับมายังปัจจุบัน จึงละล่ำละลักเอ่ยขึ้น

          “ทูลพระองค์ ชายแดนฝั่งตะวันตกที่ผู้นำเราชาวเงือกปกครองอยู่นั้น ไม่กี่วันมานี้พบเรื่องไม่ชอบมาพากลยิ่ง คล้ายมีผู้ใดเอาบางสิ่งมาอย่างมาเทลงบนผิวน้ำ แทบจะบดบังแสงตะวันจนมืดมิด พวกข้าพเจ้ามิอาจระบุ สิ่งที่เทลงมานั้นเป็นสิ่งใด คาดอาจเกี่ยวกับผู้บุกรุกที่อยู่บนบก จึงได้ส่งข้าพระองค์มานำเรียนให้ทรงทราบ”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้นพยักพระพักตร์อย่างตระหนักในเรื่องราว ดูวิตกพระทัยอย่างเห็นได้ชัด

          “เราขอบใจเจ้ายิ่งนักที่ดั้นด้นมารายงานต่อเราถึงอัลโดรท์แห่งนี้ นำเรื่องไปกล่าวกับผู้นำเจ้า ว่าเรากำลังพยายามเจรจาขอยืมกำลังจากองค์กษัตริย์จากโลกด้านบน อย่าได้วิตก หากไม่สำเร็จเราจักนำทัพไปด้วยตนเอง มิยอมให้เพศภัยนี้ก่อกวนพวกเจ้าให้ได้รับความเดือดร้อนมากกว่าที่ควรจะเป็นโดยเด็ดขาด เจ้าเดินทางมาไกลท่าทางเหน็ดเหนื่อยยิ่ง หากไม่เสียเวลานักเชิญพักที่นี่ก่อน เราจักให้คนเตรียมห้องไว้ให้ หากเร่งรีบขอให้เราได้เลี้ยงอาหารเจ้าสักมื้อหนึ่ง เพื่อตอบแทนที่อุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางมา”

          เงือกหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองด้วยความปลื้มปิติ แม้เดินทางมาเหนื่อยแทบตาย แต่ตอนนี้กลับรู้สึกหายเหนื่อยสิ้น น้ำเสียงนั้นกังวานราวเครื่องแก้วอย่างดี ใสสะท้อนอยู่ในพื้นน้ำกว้าง พระพักตร์งดงามหาใดเปรียบ ดวงตาสีมรกตอันเป็นสัญลักษณ์เฉพาะแห่งองค์กษัตริย์นั้นมองลงมาอย่างเปี่ยมด้วยพระเมตตา ยิ่งชมดูยิ่งรู้สึกตื้นตันเกินบรรยาย ก้มลงถวายความเคารพ

          “ทรงพระกรุณายิ่ง ข้าพระองค์ใคร่ขอเพียงลิ้มรสอาหาร มิบังอาจรบกวนถึงกระทั่งพักแรม”

          “ตามใจเจ้าเถิด หากเปลี่ยนใจจงบอกกล่าวคนของเรา จักได้จัดเตรียมที่พักไว้ให้ ขอจงเดินทางโดยสวัสดิภาพ ฝากความห่วงใยถึงผู้นำแห่งเจ้าด้วย”

          เงือกหนุ่มกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนถวายพระพรและว่ายออกจากท้องพระโรงไป อูห์รูนตามออกไปเพื่อสั่งการเรื่องอาหาร เมื่อกลับมายังท้องพระโรงแห่งอัลโดรท์อีกครั้ง พบว่าองค์กษัตริย์กำลังยืนครุ่นคิดอยู่หน้าช่องหน้าต่างซึ่งเบื้องนอกเป็นห้วงน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตา ดั่งคล้ายจมอยู่ในห้วงความคิดลึกซึ้งยิ่งนัก ผ่านไปเนิ่นนานจึงเพิ่งระลึกได้ว่าผู้รับใช้มายืนอยู่ข้างกายแล้ว ทรงหันมาและแย้มพระโอษฐ์บางๆ

          “มายืนอยู่นานแล้วหรือ? ไม่ทราบเงือกตนนั้นพอใจอาหารที่นี่หรือไม่?”

          “พอใจยิ่ง เอ่ยชมมิขาดปากเลยทีเดียว ยังฝากขอบคุณซ้ำมาอีก”

          อูห์รูนกล่าว องค์กษัตริย์พยักพระพักตร์ พลางทอดถอนใจ

          “ดูท่าเราจักต้องขึ้นไปยังคอนเชียร์ก่อนเวลาที่กำหนดเสียแล้ว”

 
---------------------------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
แอบฮามังกรน้ำอะ คุยกันฮาดี

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
เรื่องเล่าของเรเธียร์สนุกดีอะ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
5 : ผู้เสียสละ

          แผ่กระจายอยู่ในผืนน้ำสีคราม สีแดงเจิดจ้าที่แผ่กระจายออกจากร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลสาหัส สีแดงสดถูกอณูน้ำสีครามม้วนกลืนเจือจาง กลับยิ่งดูแดงสดใส คล้ายสีของท้องนภายามรุ่งอรุณมิปาน
 
------------------------------------------------

          ท้องนภาในยามพลบค่ำเมื่อมองจากซาซาร์กันนั้น แดงโรจน์ราวผืนฟ้าถูกอาบทาด้วยเปลวเพลิง สายลมจากทะเลไกลเบื้องนอกพัดวูบ หอบเอาทั้งไอน้ำและความร้อนจากภูเขาไฟที่คุกรุ่นอยู่มิเคยหยุดหย่อยในคอนซาร์กเข้ามาในตัวราชวัง กระทบต้องเข้ากับผิวกายขาวของบุรุษผู้มีเรือนผมสีแดงซึ่งยืนอยู่ตรงกรอบหน้าต่างหินบานแคบ ดวงตาสีแดงดำบนใบหน้าได้รูปหลุบต่ำลงมองไปยังพื้นผิวเบื้องล่างพลางถอดถอนใจ

          “มีเหตุไม่สบายพระทัยหรือ?”

          เสียงไพเราะราวระฆังแก้วของหญิงสาวเอ่ยขึ้น ผู้ถูกทักเบือนหน้าจากกรอบหน้าต่าง ก่อนจะฝืนยิ้ม

          “กล่าวไม่ผิด ท่านพี่หญิงอัสเธียร์ ข้ากำลังมีเรื่องไม่สบายใจเรื่องหนึ่ง”

          “ใช่เรื่องของอัสธาราธหรือไม่?”

          อัสรานพยักหน้า ขยับออกจากกรอบหน้าต่าง เชื้อเชิญให้ผู้เป็นพี่สาวนั่งลงบนแท่นหินใหญ่ที่ตั้งอยู่ภายในห้อง

          “วิตกเรื่องใดเล่า ทรงบอกเองมิใช่หรือ อัสธาราธนั้นเข้มแข็งยิ่ง ย่อมต้องกลับมาเผชิญหน้าความเป็นจริงได้ในเร็ววัน ยังตรัสเพิ่มเติมว่าคล้ายองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเองก็มิได้ถือโทษโกรธเคืองแต่อย่างใด”

          อัสเธียร์เอ่ยอย่างสงสัย นางนึกมิออก ยังมีเรื่องอันใดเกี่ยวกับตัวอัสธาราธให้กังวลอีก นอกเหนือจากเรื่องมารยาทที่สมควรถูกขัดเกลาใหม่เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีเรื่องอื่นใดที่ทำให้องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ทอดถอนใจเช่นนี้ นอกจากเรื่องน้องชายของพระองค์

          “เรามิได้กังวลเรื่องเหล่านั้น”

          องค์กษัตริย์ตอบ พลางทอดถอนใจอีก คล้ายมีเรื่องกังวลหนักหนายิ่ง อดมิได้ต้องไต่ถามไปอีกครา

          “เช่นนั้นกังวลเรื่องใดกันเล่า?”

          อัสรานมีสีหน้ายุ่งยาก เนิ่นนานจึงเอ่ยวาจา

          “คล้ายเป็นเรื่องมิเป็นเรื่อง แต่กลับรบกวนจิตใจข้านัก”

          “บอกกล่าวแก่เราพี่สาวท่านได้หรือไม่?”

          “เรื่องนี้เห็นสมควรต้องปรึกษาท่านดีที่สุด”

          อัสรานเอ่ย และยิ้มออกมา

          “วันสองวันนี้ข้าฝันมิใคร่ดีนัก สะดุ้งตื่นอยู่บ่อยครั้ง ในความฝันนั้นข้ามองเห็นอัสธาราธเดินตามกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินลงไปในอาณาจักรของพระองค์”

          “ท่านคล้ายฝังใจกับเรื่องราวของอัสธาราธนัก คล้ายดั่งเกรงองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำจะช่วงชิงชีวิตน้องชายเราไป มิใช่เป็นผู้ช่วยชีวิตอัสธาราธไว้ก่อนหรอกหรือ?”

          องค์กษัตริย์ฝืนยิ้มอีกครา

          “หากมิใช่เพราะพระองค์ น่ากลัวเราคงไม่มีโอกาสได้สนทนากับอัสธาราธอีก แต่เรากลับเกรงว่าหากอัสธาราธได้พบพระองค์อีกหน จะไม่หวนกลับมาอีกตลอดกาล”

          “ใยรู้สึกเช่นนั้นเล่า?”

          อัสเธียร์ถามอย่างแปลกใจ ผู้ถูกถามนิ่งไปอีกครั้ง ครู่ใหญ่จึงเอ่ยปากต่อ

          “เนื่องจากเห็นเป็นเรื่องราวของพี่น้อง ข้าขอรบกวนท่านฟังข้อราชการสักอย่างหนึ่ง ทราบหรือไม่ องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินประสงค์สิ่งใดในการมาเยือนยังคอนเชียร์แห่งนี้?”

          เจ้าหญิงแห่งคอนเชียร์สั่นศีรษะ

          “ข้ามิอาจเอื้อมคิดแทนพระองค์ ทรงประสงค์สิ่งใดเล่า?”

                “ทรงอยากขอยืมไพร่พลไปช่วยยังแนวชายแดนตะวันตก”

          “แนวชายแดนตะวันตก?!”

          อัสเธียร์ทวนคำ และกล่าวต่อทันที

          “นั่นมิใช่หมายถึงท้องน้ำอันไพศาล ไร้ซึ่งเกาะแก่งใดให้พักพิง? แม้นมีเรื่องจำเป็นต้องขอยืมกำลัง แต่จะนำพาไปยังที่นั่นได้อย่างไรเล่า?”

          อัสรานพยักหน้า และกล่าวตอบ

          “ยังมิได้ระบุแน่ชัด กล่าวเพียงจะทรงไปคิดหาวิธีที่ดีที่สุด ให้ไพร่พลของเรามิต้องสัมผัสธารน้ำเย็นยะเยือกแห่งอิลห์ลาริน มิต้องสูญสิ้นอนุภาพแห่งไฟก่อนถึงชายแดนตะวันตก”

          “เช่นนั้นไม่เห็นมีสิ่งใดต้องกังวล ทรงคงอยู่มาเนิ่นนานยิ่ง ย่อมต้องมีวิธีจัดการปัญหาดังกล่าว”

          “ข้าทราบว่าทรงประปรีชาญาณหาผู้ใดเปรียบได้ แต่ข้ากลับหวั่นใจอย่างยิ่ง หวั่นใจว่าอัสธาราธจะเป็นผู้อาสาติดตามพระองค์ไป”

          “สำหรับเรานั่นนับเป็นเรื่องน่ายินดี”

          อัสเธียร์เอ่ย ผู้เป็นน้องชายหันมามองอย่างสงสัย นางกล่าวต่อ

          “ท่านมิใช่บอกเอง อัสธาราธยังมิได้ตอบแทนความช่วยเหลือขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเลย หนีมาทั้งๆ อย่างนั้น ทำให้รู้สึกอับอายและสมเพสตัวเองยิ่ง นี่ใยมิใช่โอกาสดีที่อัสธาราธจะได้ชำระล้างความอัปยศดังกล่าว หากอาสาติดตามองค์กษัตริย์แห่งท้องน้ำไปจริง เราผู้พี่สาวมิเสียใจได้เกิดร่วมสายเลือดกัน”

          “มิกลัวอัสธาราธไปแล้วไม่ได้กลับมาหรือ?”

          นางพลันผงกศีรษะ

          “ข้าอย่างไรล้วนรักพวกเจ้าผู้เกิดร่วมสายเลือด ย่อมมิต้องการให้เสี่ยงชีวิต แต่เชื้อกษัตริย์ย่อมต้องรักษาศักดิ์ศรีและคุณธรรมยิ่งอื่นใด แม้หากติดตามองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินไปแล้วมิอาจกลับมาพบเจอเราได้อีก แม้รู้สึกเศร้าใจ แต่เรามิเสียใจเลย”

          “อา....”

          อัสรานครางออกมา เหม่อมองผู้เป็นพี่สาวเนิ่นนานจึงกล่าว

          “ท่านพี่หญิงเข้มแข็งเป็นยิ่งนัก ในฐานะราชาข้ารู้สึกละอายความคิดนี้ของตัวเองเหลือเกิน เช่นนั้น ข้าจะให้อัสธาราธมาลาท่านก่อน”

          “?”

          นัยน์ตาสีแดงดำของอัสเธียร์ตวัดขึ้นมององค์กษัตริย์ผู้เป็นน้องชายอย่างงงงัน อัสรานจึงได้กล่าวต่อ

          “คาดว่าองค์ราชันย์แห่งอิลห์ลารินจะเสด็จมาในอีกไม่นานแล้ว”
 
----------------------------------------------------

          “ท่านพี่อัสราน ไฉนเรียกประชุมไพร่พลเวลาดึกเยี่ยงนี้?”

          อัสธาราธกล่าวอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มผู้มีผิวสีน้ำผึ้งและเรือนผมสีแดงเพิ่งก้าวลงมาจากปีกด้านซ้ายของซาซาร์กัน อันเป็นที่พำนักของเจ้าหญิงแห่งคอนเชียร์

          “เจ้าไปพบท่านพี่หญิงอัสเธียร์มาแล้วหรือยัง?”

          ผู้ถูกถามกลับถามกลับโดยมิได้ตอบคำถามก่อน แม้ยังงงงัน แต่ผู้เป็นน้องชายก็พยักหน้า

          “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึ?”

          อัสธาราธอ้าปากถามอีก เมื่อเห็นผู้เป็นพี่ชายทำท่าจะหันหน้าเดินออกไป อัสรานหันกลับมามองหน้าน้องชายอยู่พักใหญ่

          อัสธาราธนั้นเกิดห่างจากเขาเป็นร้อยปี ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกผูกพันรักใคร่น้องชายผู้มีเรือนผมสีแดงเพลิงผู้นี้นัก คราแรกตั้งใจปรึกษาเรื่องราวขององค์กษัตริย์กับอัสธาราธ แต่เมื่อได้ฟังถึงความสัมพันพิสดารหนหลัง จึงพลันเปลี่ยนความคิด อัสธาราธนั้นคอยอยู่เคียงข้าง เป็นกำลังให้เขาเสมอ ยามมีเรื่องร้อนใจใดก็ได้น้องชายผู้นี้อาสาขจัดให้ อา... เกล็ดสีแดงเพลิง นัยน์ตาสีเพลิงนี้ เขาเกือบไม่ได้เห็นมันแล้วเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน หากว่าหลังจากนี้.....

          “เจ้าเป็นน้องชายที่ข้ารักยิ่ง”

          อัสรานเอ่ย พลันรีบกล่าวต่อ

          “รีบไปกันเถิด คาดว่าองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินจะมาถึงในไม่ช้านี้แล้ว”

          อัสธาราธขมวดคิ้วอย่างงุนงง รีบก้าวเท้าตามผู้เป็นพี่ชายออกไป พลางเอ่ยถาม

          “องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน? ไม่ใช่ว่าจะทรงขึ้นมาคืนเพ็ญหน้าหรือ?”

                “คาดว่าอาจมีเหตุเดือดร้อนด่วน เจ้าไม่เห็นสายธารแห่งอิลห์ลารินที่ขุ้นข้นขึ้นหรือ?”

          อัสธาราธพยักหน้า ถามสวนไป

          “นั่นคือขบวนเสด็จ?”

          “มิผิด องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินมีพระวรกายในร่างมังกรใหญ่โตอย่างยิ่ง ยิ่งเพิ่มผู้ติดตามยิ่งก่อกวนให้สายธารขุ่นข้น”

          “ข้าเข้าใจแล้ว แต่เหตุไฉนจึงต้องประชุมขุนทหารด้วยเล่า”

          อัสรานมองหน้าน้องชายอีกพักหนึ่ง จึงกล่าวตัดบท

          “ตามเรามาเถิด เดี๋ยวเจ้าจักรู้เองว่าเพราะเหตุใด”
 
-----------------------------------

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้นดูจะรู้สึกแปลกพระทัยเป็นอย่างยิ่งที่เมื่อขึ้นมาถึงฝั่งแล้ว พบขบวนขององค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์รอต้อนรับอยู่พร้อมด้วยขุนทหาร ถึงกับเอ่ยวาจาออกมา

          “ท่านทราบว่าเราจะมาล่วงหน้า?”

          อัสรานสั่นศีรษะ แย้มพระโอษฐ์ตอบ

          “เรามิทราบมาก่อนจริงๆ ยังคาดว่าจะพบท่านวันเพ็ญเดือนหน้า แต่เราเห็นกระแสธารแห่งอิลห์ลารินขุ่นข้นยิ่ง ฉุกคิดได้ว่าท่านอาจมีธุระด่วน”

          กษัตริย์แห่งสายน้ำพยักพระพักตร์พลางทอดถอนใจออกมา

          “เราคล้ายรบกวนท่านมากแล้ว ถึงกับต้องให้ระดมไพร่พลมาในเวลาดึกเช่นนี้”

          “ทราบว่าท่านจะต้องมีเหตุเดือดร้อนยิ่ง และคงเตรียมการเรื่องนั้นเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”

          “เรื่องนั้น...”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินกล่าวค้างไปชั่วครู่ คล้ายเกิดลังเล

          “วิธีนั้นเราได้มาแล้ว หวั่นเกรงแต่จะไม่มีผู้ใดกล้าเสี่ยง”

          การสนทนานั้นดูเร่งร้อนจริงจังจนกระทั้งสองกษัตริย์มิได้นำพาสถานที่พบปะ กระทั่งยืนเสวนากัน ณ ที่นั่น เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าชายแห่งคอนเชียร์รู้สึกแปลกใจอยู่มาก แม้นยังหวาดเกรงอยู่ในใจเมื่อพบพระพักตร์องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน แต่ในเมื่อไม่มีพลทหารคนใดปริปากบอกเรื่องราว และตัวอัสรานเองก็ไม่ได้อธิบายอย่างไรเลย จึงได้เอ่ยถามออกไป

          “ข้าพเจ้าใคร่ขอบังอาจกล่าววาจาแทรก มิทราบนี่เป็นเรื่องอย่างไร?”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเบือนพระพักตร์มาและแย้มยิ้มอย่างใจดี พระเนตรสีมรกตทอดมองเจ้าชายอย่างเอ็นดู พลันกล่าวขึ้น

          “คล้ายดั่งท่านมิได้หวั่นเกรงเราดั่งคราก่อนอีกแล้ว เราเคยปรึกษาเรื่องราวนี้กับพระเชษฐาของท่านเมื่อคราวก่อน แต่มิใคร่ได้สรุปรายละเอียดนัก ครั้งนี้เราจักกล่าวโดยย่อ”

          ทรงเว้นระยะไปครู่หนึ่ง กวาดสายตามองขุนทหารแห่งคอนเชียร์ ซึ่งมีทั้งที่เป็นเชื้อพระวงศ์ระดับสูง และที่เป็นทหารหน่วยหนุนซึ่งบางส่วนยังคงร่างเดิมอยู่ พลางกล่าว

          “เรามีเรื่องเดือดร้อนที่ชายแดนตะวันตก จึงใคร่ขอยืมกำลังพวกท่านไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งพวกท่านล้วนทราบดี ดินแดนตะวันตกของเรานั้น ไร้ซึ่งเกาะแก่งใด วิธีที่จะนำพาพวกท่านไปนั้น พวกท่านจักต้องลงสู่สายธาราแห่งอิลห์ลารินอย่างเลี่ยงไม่ได้”

          แม้จะเป็นขุนทหารที่ผ่านสงครามมาหลายหน แต่เมื่อได้ยินว่าจะต้องลงไปในผืนน้ำเย็นเบื้องล่าง ก็อดมองหน้ากันมิได้  ผู้กล้าหาญย่อมไม่กริ่งเกรงสิ่งใด ไม่กลัวแม้ความตาย แต่กลับกลัวสิ่งหนึ่ง กลัวสูญสิ้นฝีมืออันภาคภูมิใจไปก่อนการสู้รบ  สายธารแห่งอิลห์ลารินนั้นดับสิ้นทุกสิ่งแห่งเปลวเพลิง ไม่มีมังกรแห่งคอนเชียร์ตนใดรอดมาได้จากสารธารเย็นยะเยือกนั่น ไม่มีมังกรตนใดเฉียดใกล้ผืนน้ำกว้างนั่น เพราะหากสูญสิ้นฝีมือแล้วไซร้ ย่อมยิ่งกว่าตายทั้งเป็น

          “กล่าวกับท่านตามตรง วิธีของเรานั้นเสี่ยงอย่างยิ่ง ด้วยเราเองไม่แน่ใจว่าหากกระทำแล้ว จะส่งผลอย่างไรต่อมังกรไฟแห่งคอนเชียร์บ้าง”

          “จะทรงใช้วิธีใดเล่า?”

          อัสรานเอ่ยอย่างใคร่รู้ เพราะยังนึกไม่ออก วิธีใดสามารถนำคนของพระองค์ลงไปในสายน้ำเย็นนั้นได้ องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเอ่ยขึ้น

          “โลหิตแห่งเรานั้นมีคุณสมบัติชั่วคราว ทำให้ผู้อาศัยอยู่บนบกแปรสภาพระบบหายใจไปเป็นแบบชาวบาดาลได้หากดื่มกินลงไป แต่ผลข้างเคียงนั้นเรามิอาจระบุ…. เนื่องเพราะพวกท่านมีสภาพร่างกายแตกต่างกับเราอย่างสิ้นเชิง เราเกรงว่าอาจมีผลข้างเคียงถึงชีวิต”

                ผู้อยู่ที่นั่นสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที แม้แต่องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์เองก็ยังอึ้งไปครู่หนึ่ง ดังนั้นฝ่ายเดิมจึงยังเอ่ยปากต่อ

          “เรามิต้องการให้ท่านลำบากใจกับเรื่องนี้ เพราะมีความเสี่ยงอย่างยิ่ง หากท่านปฏิเสธคำขอของเรา เราก็มิเคืองอันใดท่านเลย”

          “เราความจริงอยากช่วยเหลือท่านมาก”

          องค์อัสรานกล่าว สีหน้ายุ่งยากใจ

          “แต่มิทราบจักมีผู้ใดกล้าเสี่ยงเช่นนั้น”

          “ข้าพเจ้าอาสาเอง”

                ผู้เอ่ยปากมิใช่ใครอื่น เป็นผู้ที่คาดไว้ตั้งแต่แรก อัสธาราธก้าวขึ้นมาจากแถวทางด้านหลังของผู้เป็นพี่ชาย เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน นัยน์ตาสีมรกตดวงนั้น ปลุกเร้าความกลัวในตัวของเขาอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าชายหนุ่มก็ยังยืนหยัด

          หากหวาดกลัวกับเรื่องเท่านี้ เมื่อใดเล่าจักลบความอัปยศที่เกิดขึ้นได้

          “นี่มากเกินไปแล้ว”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินตรัสออกมาทันที ก่อนจะกล่าววาจาอย่างจริงจัง

          “เรามิได้หวังนำพาเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ไปเสี่ยงชีวิต นี่คล้ายเกินความรับผิดชอบของเรา ย่อมมิอาจนำพาท่านไปได้”

          อัสธาราธกล่าวสวนทันที

          “ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวในนามเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ แต่กล่าวในนามมังกรตนหนึ่ง ท่านเคยมีบุญคุณช่วยเหลือข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้ายังมิเคยได้ตอบแทนบุญคุณนั้น ซ้ำยังกระทำการล่วงเกินท่านไว้ในคราวก่อน ด้วยเหตุนี้ สมควรอย่างยิ่งที่ท่านจะนำพาข้าพเจ้าไป”

          องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์นิ่งไปพักหนึ่ง รอบข้างพลอยเงียบไปด้วย ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องแบบนี้ เนื่องจากอัสธาราธไม่เคยประกาศ และหลังจากเล่าให้ผู้เป็นพี่ชายฟังแล้ว อัสรานเองก็ไม่ได้บอกต่อผู้ใดอีกนอกจากพี่สาว ดังนั้นทุกคนในที่นั่นจึงรู้สึกงุนงงสงสัย

          “ในเมื่อกล่าวเช่นนั้น เราคงมิอาจขัดท่านได้”

          ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลารินเอ่ยขึ้นในที่สุด เมื่อกล่าวออกมาเช่นนั้น ก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรอีก อัสรานแม้ห่วงน้องชายเป็นอันมาก แต่เข้าใจด้วยเหตุผล จึงได้เอ่ยถามออกไป

          “เจ้ายังต้องการให้ผู้ใดติดตามไปอีกหรือไม่?”

          กล่าววาจานี้กับน้องชายโดยตรง อัสธาราธสั่นศีรษะ ก่อนหันไปมองพระพักตร์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินอีกรอบ

          “ทรงต้องการกำลังทหารเท่าไรเล่า ครึ่งกองพันได้หรือไม่?”

          องค์กษัตริย์แย้มยิ้มออกมา

          “ครึ่งกองพันเกรงว่าเลือดเรานั้นคงมิพอจะหลั่งออกมาได้ คงสักร้อยตนพอเถิด”

                อัสธาราธระบายลมหายใจออกมา

 

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
         “แม้ท่านอาจมิใคร่เชื่อถือข้าพเจ้าเท่าไรนัก แต่ข้าพเจ้ากล่าวคำสัตย์ ตัวข้าพเจ้านี้เทียบเท่าทหารครึ่งกองพัน”

          วาจาเหมือนยกตนสูงส่ง แต่นี่เป็นความจริงที่ทุกคนในคอนเชียร์ยอมรับ กำลังของอัสธาราธเทียบเท่ากองพันมังกรชั้นสูงหนึ่งก่องพันจริง มิเช่นนั้นไหนเลยองค์กษัตริย์อัสรานจะไว้วางใจให้ดูแลแนวชายแดนที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกบุกรุก ถึงอย่างนั้นในสายตาชาวบาดาลเล่า คำพูดนี้จะเชื่อถือได้หรือ ในเมื่อทรงเป็นผู้ช่วยเหลืออัสธาราธจากห้วงวิกฤต ย่อมต้องรู้สึกว่าเจ้าชายผู้นี้ไม่เข้มแข็งเท่าใดนัก

          “เราเชื่อถือท่านจากใจจริง”

          กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินกล่าว คล้ายสร้างความแปลกใจแก่ผู้ฟังอยู่บ้าง จึงได้เอ่ยเฉลย

          “เจ้าเคยผจญกับผู้พิทักษ์แห่งเรามาแล้ว และต่อสู้อย่างกล้าหาญ เราไหนเลยจักมิยอมเชื่อ ต่อให้กล่าวเทียบเท่าหนึ่งกองพัน ก็ไม่รู้สึกน่าเกลียดเลย”

          คราวนี้อัสธาราธเกิดอาการตกประหม่าเสียเอง คาดไม่ถึงองค์กษัตริย์จะตรัสเยินยอออกมาเช่นนี้ ถึงกับคุกเข่าลง เอ่ยวาจา

          “ทรงอย่าได้ยกข้าพเจ้าสูงเช่นนั้น ข้าพเจ้าบังเกิดความละอายยิ่ง เพียงหวังว่าจักสามารถช่วยท่านได้โดยมิต้องรบกวนผู้อื่น ข้าพเจ้าเพียงหวังจะรับผิดชอบเรื่องแต่เพียงผู้เดียว”

          “เราชื่นชมท่านมีความรับผิดชอบ ลุกขึ้นเถิด”

          กล่าวจบหันมาตรัสกับองค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์

          “เราคล้ายต้องขออภัยท่านอย่างยิ่งที่ไม่ได้เรียนให้ทราบเรื่องการพบกับระหว่างเรากับน้องชายท่านก่อนหน้าเลย”

          “มิได้ นี่ล้วนความผิดพลาดของอัสธาราธทั้งสิ้น”

          อัสรานกล่าว มองดูน้องชายด้วยความรู้สึกสับสนปนเป

          “เรายินดีให้อัสธาราธติดตามท่านไปยังใต้ผืนน้ำแห่งอิลห์ลาริน มิว่าเขาจะเป็นหรือตาย เราจะไม่เคืองท่านเลย เนื่องเพราะ ชีวิตของอัสธาราธถูกท่านช่วยเหลือไว้”

          “ทรงเข้มแข็งยิ่ง”

          กษัตริย์แห่งสายน้ำกล่าวพลางย่อกายถวายความเคารพ

          “เรารบกวนท่านอย่างยิ่งแล้ว ดังที่ได้กล่าว เรามิอาจประกัน หากดื่มโลหิตเราไปแล้วจะเกิดเหตุประการใดขึ้น หากน้องชายท่านสิ้นชีวิต เราจักจัดขบวนให้สมเกียรติ”

          อัสรานฝืนยิ้ม มองดูน้องชายด้วยสายตาเศร้าสร้อย

          “เราหวัง จักไม่เป็นเช่นนั้น เราอยากให้น้องชายเราแทนบุญคุณท่านก่อน ได้ลบความอับอายในหนหลัง เช่นนั้นคาดว่าหากตายไปคงไม่มีสิ่งใดติดค้าง ใช่หรือไม่?”

          “ข้ากลับมาแน่นอน”

          อัสธาราธเอ่ยกับพี่ชายเสียงหนักแน่น กระตุ้นให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นรู้สึกสะทกสะท้อนขึ้นมา ใยนี่มิใช่การหลอกตัวเองเล่า เลือดของมังกรน้ำนั้นผู้ใดเคยทดลองดื่ม มิใช่เย็นยะเยียบอย่างยิ่งหรือ หากกินเข้าไปมิต้องถูกดับไฟภายในจนหมดสิ้นหรือ แม้ลงไปได้ แล้วจะอย่างไรเล่า พลังอำนาจที่มีอยู่จะรักษาไว้ได้หรือ กับความสูญสิ้นทุกอย่างเช่นนั้น ผู้กล้าหาญใดจะทนได้เล่า  หากมิตายเสียก่อนย่อมคล้ายตายทั้งเป็นอยู่ดี ดังนี้ท่ามกลางความปวดร้าว หลายผู้นึกขอบคุณเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ อย่างก็ยอมเสียสละตนเองเพียงผู้เดียว ลงไปในน้ำเย็นลึกนั่น รักษาไมตรีน้ำมิตรระหว่างสองอาณาจักร และชีวิตของไพร่พลเอาไว้ ทุกคนทราบ แม้กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินจะนอบน้อม มารยาทงดงามยิ่ง ไม่เคยแสดงความอาฆาต แต่หากทรงพิโรธ คอนเชียร์ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวไฉนเลยจะต้านทานพระองค์ได้  นี่นับเป็นการสละที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของเชื้อพระวงศ์แห่งคอนเชียร์  โดยมิทันได้ตกลงกัน เสียงเอ่ยสรรเสริญก็ดังขึ้น

          “ขอเชื้อสายแห่งซาร์เกวนส์ทรงพระยศเลอเลิศสืบต่อไปด้วยเถิด ท่านผู้น้องชายทำคุณแก่แผ่นดินคอนเชียร์นี้ยิ่งแล้ว”

          อัสรานรู้สึกตีบตันในลำคอ คล้ายอยากกล่าวสิ่งใดมิอาจกล่าวได้โดยง่ายดายแล้ว กษัตริย์แห่งสายน้ำจึงเอ่ยขึ้น

          “เราจักลงไปรอริมหาด หากท่านพร้อม โปรดไปพบเราที่นั่น”

          ตรัสจบเสด็จออกพร้อมเหล่าบริวาร คล้อยหลังไปได้พักใหญ่ องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์จึงระบายลมหายใจออกอย่างหนักหน่วง

          “มิน่าเล่า ท่านจึงใช้ให้ข้าไปพบท่านพี่หญิงก่อน คาดไว้แล้วหรือว่าข้าจะกระทำการเช่นนี้”

          อัสธาราธเอ่ยขึ้น ผู้เป็นพี่ชายพยักหน้า

          “เราทราบนิสัยเจ้าดียิ่ง  อัสธาราธเอย เราเกรงสูญเสียเจ้ายิ่งกว่าผู้ใด แต่นี่คือประสงค์ของเจ้า และเราไม่ปรารถนาทำลายความกล้าหาญนี้”

          ทรงหยิบเครื่องประดับศีรษะคล้ายแป้นหนีบผมเรือนทองตกแต่งอย่างวิจิตรที่ประดับพลอยสีแดงสดขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ประคองให้แก่น้องชาย

          “เจ้ามิเคยชื่นชอบประดับสิ่งใดไว้บนศีรษะ แต่ครั้งนี้เราขอร้องเจ้าแล้ว จงประดับสิ่งนี้ไว้ให้ติดตัวอย่าได้ห่าง เพื่อเป็นตัวแทนเรา”

          อัสธาราธรับเครื่องประดับนั้นจากมือพี่ชาย ฝืนยิ้ม

          “ท่านใยคล้ายแน่ใจ ข้าจะไม่หวนกลับมาอีก เอาเถิดข้าจะติดเอาไว้”

          พลางเหน็บเครื่องประกับนั้นเข้ากับเรือนผมสีแดงเพลิง กษัตริย์อัสรานยืนนิ่งอยู่พักใหญ่ จึงกล่าวคำพูดออกมา

          “อัสธาราธน้องเรา เราภูมิใจในตัวเจ้า ภูมิใจเสมอมา ไม่ว่าเมื่อไหร่อย่างไร เจ้าคือน้องชายของเรา น้องชายที่เรารักยิ่ง แม้จากไปในครานี้ทำเราโศกเศร้าอยู่บ้าง แต่เรามิเสียใจ ไม่เสียดายที่ได้เกิดร่วมสายเลือดกับเจ้า”

          ก้อนแข็งประหลาดบีบขึ้นมาตีบตันลำคอของอัสธาราธบ้างแล้ว ตลอดมาเขารังเกียจการล่ำลาเช่นนี้เป็นที่สุด เนื่องเพราะแลดูคล้ายลางร้าย แลดูคล้ายลาแล้วย่อมไม่อาจหวนคืนมา จึงเงยหน้ามองผู้เป็นพี่ชายและกล่าววาจา

          “กล่าววาจาเช่นนี้ข้ามิชื่นชอบเลย ควรกล่าวสั้นๆ พบกันคราหน้า ข้าจะขอไปแช่น้ำในอ่างท่านให้สำราญสักหลายวัน”

          แม้จะอยู่ในอารมณ์โศกเศร้า แต่องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ก็อดแย้มพระโอษฐ์ออกมาไม่ได้ ยกพระหัตขึ้นลูบศีรษะผู้เป็นน้องชายอย่างเอ็นดู

          “กลับมาเถิด เราจะยกให้เจ้าใช้ตามพอใจเลย”
 
-------------------------------------

          ขบวนเสด็จของกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้น แม้ในที่มืดครึ้มอย่างชายหาดอันเป็นส่วนเชื่อมต่อ ห่างไกลแสงสว่างจากก้อนลาวาสีแดง และไร้แสงจันทร์ในคืนเดือนมืด แต่กระนั้นก็หามิยาก เนื่องเพราะดวงไฟสีน้ำเงินที่ลุกโชนอยู่ภายในโคมไฟวิจิตรที่เหล่าผู้ตามขบวนเสด็จนำติดตัวมาด้วย อัสธาราธก้าวเท้าย้ำลงบนทรายละเอียด ตรงไปยังชายหาดอันเต็มไปด้วยเปลวไฟสีน้ำเงินนั้น ก่อนหันมองแสงเพลงของภูเขาไฟที่ปะทุอยู่เบื้องหลัง นี่อาจะเป็นภาพของคอนเชียร์ภาพสุดท้ายที่เขาจะได้เห็น  ยืนจารึกภาพนั้นอยู่ในความทรงจำครู่หนึ่งจึงได้เดินต่อ ในที่สุดก็พบขบวนเสด็จกับลังรออยู่ริมน้ำ

          “ขอบใจเจ้าอย่างยิ่ง”

          น้ำเสียงกังวานอย่างแก้วผลึกเอ่ย องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินประทับอยู่ใจกลางขบวน ผุดลุกขึ้นเมื่อเห็นมังกรหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาโดยไม่มีผู้ติดตามอื่นอีก

          “ยังลำบากใจการพบปะเราอยู่หรือไม่?”

          นัยน์ตาสีเขียวมรกตจ้องมาอย่างไม่อำพราง อัสธาราธผงกศีรษะ

          “กล่าวด้วยความสัตย์ ข้าพเจ้าตอนนี้ยังหวั่นกลัวพระองค์อยู่ แม้ทราบไม่มีอันใดน่าหวั่นกลัว แต่ข้าพเจ้ายังคงสั่นยามได้พบพระองค์”

          องค์กษัตริย์ระบายลมหายใจออกมา นิ่งมองเจ้าชายหนุ่มเนิ่นนานยิ่ง กล่าววาจาด้วยน้ำเสียงเอ็นดูระคนสงสาร

          “เป็นเราผู้ใหญ่คล้ายรังแกเจ้าไว้มากอย่างยิ่ง ปิ่นปักผมนั้นเล่า เก็บไว้อยู่หรือไม่?”

          อัสธาราธหยิบห่อผ้าใยหินห่อหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แบะอ้าออก ปิ่นสีดำสนิทประดับอัญมณีสีน้ำเงินปรากฏสะท้อนแสงของแสงจากดวงโคมเป็นประกายสีแปลก

          “ถวายคืนแด่ท่าน เครื่องประดับนี้สูงค่ายิ่ง ข้าพเจ้ามิอาจรับไว้”

          “เจ้ามิพึงใจ? หรือปิ่นประดับนี้มิใคร่ถูกใจเจ้า?”

          อัสธาราธสั่นศีรษะ ทรงกล่าววาจาต่อ

          “เช่นนั้นเก็บไว้เถิด เรากำนัลให้แก่เจ้าแล้ว ย่อมไม่ต้องการรับคืน เว้นเสียแต่เจ้ารังเกียจมันยิ่ง”

          “ข้าพเจ้าไม่ได้รังเกียจ!”

                อัสธาราธเอ่ยค้าง เมื่อประสบสายตาสีมรกตที่มองมานั้นคล้ายถูกอำนาจประหลาด คุกคามจนต้องยินยอมเก็บปิ่นนั้นไว้ในอกเสื้อ

          “หากเจ้าสิ้นชีวิตลงคืนนี้ เราย่อมยังกำนัลปิ่นนั้นไว้บนร่างของเจ้า เพื่อเป็นตัวแทนเรา”

          ทรงเอ่ยพลางสรวลเบาๆ มิทราบขบขันเรื่องใดแน่ อัสธาราธขมวดคิ้ว

          “ข้าพเจ้าต้องมิตายง่ายๆ พระองค์เล่า เตรียมการไว้หรือยัง?”

                วาจาอาจหาญท้าทาย คาดมิถึงกล้ากล่าวต่อพระพักตร์องค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อันเป็นที่เคารพและทรงอำนาจยิ่ง กระนั่นคล้ายยิ่งทำให้ทรงพระสรวลมากกว่าเก่าอีก

          “เรารู้สึก เจ้าน่าเอ็นดูนัก น่าเสียดายหากต้องตายกับโลหิตเรา เอาเถิด เราลั่นวาจาจะไปแก้ไขปัญหาที่ชายแดนแล้ว เจ้าได้เสนอตนมาเพื่อการนี้ ย่อมมิสำนึกเสียใจทีหลัง?”

          “ข้าพเจ้ามิเสียใจ”

          นัยน์ตาสีเขียววาวโรจน์อย่างประหลาดท่ามกลางแสงไฟสีน้ำเงิน ทรงเอ่ยเรียกข้ารับใช้ผู้หนึ่งซึ่งก้าวออกมาพร้อมแก้วรูปร่างประหลาด คล้ายทำจากหินใต้น้ำสีดำสนิทเป็นทรงถ้วยขนาดเล็กก้านสูง ปลายกลับเป็นลายสลัก คาดว่ามิถูกสร้างมาเพื่อให้ถือได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผู้รับใช้คุกเข่าลงตรงหน้าองค์กษัตริย์ ทรงยกพระหัตซ้ายขึ้น เลิกอาภรณ์ที่หุ้มคลุมออก ผิวผุดผาดกระจ่างตายิ่งกว่าแสงใดปรากฏขึ้นบนท้องแขนนั้น ยื่นพระหัตอีกข้างหนึ่ง จิกเล็บลงไปบนเนื้อแขนผ่อง กรีดลงจนถึงข้อศอก โลหิตสีประหลาดไหลเนิบผ่านท้องแขน หยดลงในแก้วสีดำ สีของมันคล้ายสีน้ำเงินของผืนน้ำ คล้ายสีประกายของท้องฟ้า คล้ายสีเงินพราวของเมล็ดทราย ดูไม่ออกว่าเป็นสีใดแน่ อัสธาราธยืนดูจนตะลึงไปแล้ว คล้ายได้ยินองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเปรยด้วยความขบขัน

          “คล้ายเราบริโภควิปริต เลือดไฉนสีประหลาดเยี่ยงนี้”

          มิทราบจะมีผู้ใดกล้าหัวเราะกับมุขตลกนี้หรือไม่ มีเพียงผู้หนึ่งเอ่ยตอบ

          “พระองค์มิเคยหลั่งโลหิตมาก่อน อย่าได้เป็นกังวล โลหิตแห่งกษัตริย์ย่อมมีสีผิดแผกไปบ้าง”

          ผู้เอ่ยมิใช่ใครอื่น ย่อมเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดนามอูห์รูนที่หมอบรอรับคำสั่งอยู่ข้างๆ ทรงพระสรวลขึ้นอีก

          “จำได้คลับคลา ในกาลก่อนมิได้มีโลหิตสีนี้ เอาเถิด ร่ายกายต่างภายในย่อมต่างบ้าง อืม..แค่นี้คงเพียงพอ”

          กล่าวจบคล้ายโลหิตสีประหลาดนั้นหยุดไหลเองโดยฉับพลัน แผลอันเป็นรอยครูดสมานกันอย่างรวดเร็วยิ่ง เพียงไม่กี่ชั่วอึดใจ ผิวท้องแขนนั้นกลับไปเรียบเนียนคล้ายไม่เคยมีร่องรอยใดเลย ทรงตรัสขึ้น

          “ถึงคราวเจ้าแล้ว เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ ทดลองดูเถิดโลหิตเราถูกปากหรือไม่?”

          ผู้รับใช้ประคองแก้วประหลาดนั้นมาตรงหน้าเจ้าชายหนุ่ม อัสธาราธแม้รู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ปลุกปลอบใจ อย่างไรจักต้องผ่านด่านหน้านี้ไปให้ได้ รับแก้วนั้นมา มองดูของเหลวภายในอย่างพินิจ

          ของเหลวคล้ายมีชีวิต สีเลื่อมพรายที่สับสนปะปนกันไปหมด นึกเห็นด้วยกับคำตรัสขององค์กษัตริย์ แต่ท่าทางเขาเองจะกลายเป็นผู้บริโภควิปลาส ที่กำลังพยายามกล้ำกลืนฝืนกินของเหลวนี้ พลันนึก องค์กษัตริย์จะเคยบริโภคเลือดร้อนระอุของมังกรแห่งคอนเชียร์บ้างหรือไม่

          นัยน์ตาสีแดงเพลิงเหลือบมองผู้ยิ่งใหญ่ที่หยัดยืนอยู่เบื้องหน้า ประสานเข้ากับนัยน์ตาสีเขียวมรกตอย่างจัง แม้จะปลุกปลอบขวัญมาเท่าไหร่ ก็มิอาจลบเลือนภาพแห่งความหวาดกลัวที่ฝังใจนั้นได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการสบสายตาดังกล่าว เจ้าชายหนุ่มจึงยกแก้วนั้นขึ้น กลั้นใจดึ่มลงไปรวดเดียวหมดสิ้น

          ความรู้สึกเย็นวานจนทุกข์ทรมานแทบตายปรากฏขึ้นมาฉับพลันราวถูกแท่งน้ำแข็งใหญ่เสียดแทงเข้าไปในช่องท้อง อณูความเย็นแผ่ขยายไปทุกปลายประสาท เจ็บปวดทรมานยากจะบรรยาย ภาพเบื้องหน้าพลันพร่ามัว เลอะเลือนราวภาพสะท้อนในสายน้ำ ณ ที่นั่น นัยน์ตาสีเขียวมรกตสะท้อนประกายแสงประหลาดอยู่ภายในหมู่ภาพกันเลื่อนลอย
 
---------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4
=[]= กริ๊กก ! ตูมมมมมมมมมมมมมมมม

ออฟไลน์ pnatbutter

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เป็นเรื่องที่อ่านจบแล้วอยากให้มีตอนพิเศษอ่านต่อมากเลยฮ้าฟ

//เข้ามาให้กำลังใจในการโพสต์

ออฟไลน์ ชะรอยน้อย

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 973
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-0
ตกใจกับคำว่าจบตอน T T

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
งืมมม มังกรไฟจะเปนไงบ้างหว่า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด