[ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555  (อ่าน 118924 ครั้ง)

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
อ่านตอนนี้แอบเศร้าเบาเบา
จะละสังขารแต่ยังตัดรักไม่ได้ ทรมานดีแท้
เริ่มรู้สึกว่าเรเทียร์ช่างอาภัพรักเหลือเกิน

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
ง่า มันกำลังจะมาม่าแล้ว เศร้าจัง ฮือๆ

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ phakajira

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
แอบร้ายลึกนะ เรเธียร์

nemesis

  • บุคคลทั่วไป
พึ่งเข้ามาอ่านไงจะติดตามนะค้าบ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
19 : ลาจาก

          แดงฉานยิ่งสีชาดใด กระจายไปทั่วผืนน้ำ กลิ่นคาวฟุ้งตลบ กระตุกหัวใจให้เต้นดังตุบๆ คราแรกยังมิทันได้สัมผัสสิ่งใด ก็พาลจากไปเสียก่อน ครานี้แม้ได้สัมผัสแล้ว แต่กลับมิอาจรั้งเอาไว้ได้เลย

          โอ.....ชีวิตช่างว่างเปล่านัก

----------------------------------------------------

          ดวงหน้าของอิสตรีนางนั้นยังคงสงบนิ่งอยู่บนแผ่นหินสลักเช่นเดิม ดวงหน้านี้ สตรีนางนี้ ดวงหน้าและร่างกายที่เคยสัมผัส ดวงหน้าและร่างกายที่รังสรรค์ขึ้นมาด้วยมือคู่นี้ แม้มิใช่เรือนร่างของสตรีนางนั้น มิใช่ใบหน้าของสตรีนางนั้นจริงๆ แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันจนน่าเจ็บปวด

          ไร้ชีวิต

          นัยน์ตาสีเขียวมรกตเหม่อมองรูปสลักหินนั้นอย่างยากจะมีผู้ใดหยั่งถึงความนัย เนิ่นนานจึงค่อยๆ ยกพระหัตขึ้น บนฝ่าพระหัตมีดวงไฟสีแดงเล็กจิ๋วแห่งคอนเชียร์เต้นระริกอยู่ ทรงบรรจงวางดวงไฟที่ครอบด้วยเวทย์มนต์ลงบนมือของรูปสลักนั้น ทันทีที่ดวงไฟหยั่งลง รูปสลักทั้งรูปก็พลันพังทลาย

          ดวงตาสีเขียวมรกตยังคงทอดมองไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้า ผ่านบริเวณที่รูปสลักเคยตั้งอยู่ ไปยังสถานที่ที่ยากจะจินตนาการได้

--------------------------------------------------------

          สีมรกต

          ดวงตาสีมรกตซึ่งครั้งหนึ่งคล้ายทูตแห่งความตายที่คอยหลอกหลอนแม้แต่ในฝัน ดวงตาที่สร้างความหวาดหวั่นอยู่ในส่วนลึกของจิตใจมาเนิ่นนาน ดวงตาสีมรกต....

          ครั้งหนึ่งมิเคยต้องการเห็น ไม่เคยต้องการนึกถึง ไม่เคยต้องการคิดจะจดจำ ดวงเนตรที่คอยหลอกหลอนไม่มีวันสิ้นสุด โอ...ดวงเนตรแห่งสายน้ำเอย....

          ครั้งนี้กลับต้องการเอื้อมมือคว้าสีมรกตนั้น สิ่งที่เคยถอยหนีและหวาดกลัวมาโดยตลอด ครั้งนี้กลับต้องการเดินไปให้ถึง เดินไปเผชิญหน้า เข้าไปโอบกอดเอาไว้

          เอื้อมถึงแล้ว คว้ามาแล้ว แต่ใยจึงคล้ายไม่อาจโอบเอาไว้ได้เล่า

          ดั่งสีเขียวมรกตนั้นยิ่งใหญ่จนไม่อาจรั้งไว้ได้เลย

          กระนั้นก็ยังคงเอื้อมมือไขว่คว้า....คว้าเอาไว้ให้ได้นานที่สุด

-----------------------------------------------------------

          อัสธาราธลืมตาตื่นขึ้นมา ไม่มีตักนุ่มให้หนุนนอนอีกแล้ว เจ้าชายหนุ่มพบตัวเองอยู่บนแท่นหินในห้องพัก ไม่มีผู้ใดอีก คล้ายเพิ่งตื่นจากภวังค์ความฝันแสนหวานที่ผ่านมานานแสนนาน

          เจ้าชายหนุ่มหยั่งเท้าลงบนพื้นหิน รู้สึกเหมือนตนเองลืมเลือนเรื่องสำคัญบางอย่างไป แต่เป็นเรื่องอันใดกลับนึกไม่ออก ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออกเบาๆ เรือนผมสีฟ้าเทาปรากฏขึ้นตรงหน้า ผู้รับใช้คนสนิทที่สุดของจ้าวแห่งสายน้ำแง้มประตูเข้ามา ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ

          “องค์กษัตริย์ต้องการพบท่าน”

-------------------------------------------------------------

          อัสธาราธชะงักฝีเท้าอย่างแปลกใจ เมื่อพบว่าอูห์รูนมิได้นำพาตนไปยังท้องพระโรง แต่กลับพามายังหน้าห้องบรรทมขององค์กษัตริย์ ข้ารับใช้แห่งสายน้ำค้อมตัวให้เล็กน้อย ก่อนจะกล่าวสั้นๆ

          “เข้าไปเถิด ทรงรออยู่”

          อัสธาราธผลักบานประตูเข้าไปด้วยความรู้สึกเคอะเขิน จู่ๆ ต้องมาเปิดประตูห้องนอนผู้อื่นต่อหน้าผู้รับใช้ ก็ดูน่ากระดากจริงๆ แต่ด้วยสีหน้าเป็นจริงเป็นจังของอูห์รูน จึงพอจะทำให้คลายความกระดากลงไปได้หน่อยหนึ่งกระมัง

          พอผลักประตูเข้ามา สิ่งแรกที่อัสธาราธเห็นคือดวงไฟสีแดงเล็กจิ๋วที่ลอยค้างอยู่เบื้องหน้า เจ้าชายหนุ่มชะงักไปทันที

          ดวงไฟนี้.....

                “ท่านพี่อัสราน....” กล่าวพลางยื่นมือไปโอบดวงไฟนั้นมาอย่างทะนุถนอม ความอบอุ่นแผ่ที่ไม่ได้พบมานานแผ่ซ่านไปตามปลายนิ้ว เปลวไฟแห่งอัสราน จ้าวแห่งคอนเชียร์ พี่ชายที่เล่นกันมาตั้งแต่ยังแบเบาะ

          ความอบอุ่นนี้ จะลืมได้อย่างไรเล่า.....

          อัสธาราธกอดดวงไฟนั้นไว้แอบอก จวบจนกระทั่งดวงไฟสีแดงจิ๋วมอดสิ้น จึงค่อยเงยหน้าขึ้นมา และมองเห็นร่างเพรียวขององค์กษัตริย์ประทับนั่งอยู่บนแท่นบรรทม ดวงหน้างดงามแย้มยิ้มอย่างใจดีเช่นเคย เล่นเอาเจ้าชายหนุ่มรู้สึกขัดเขินอย่างบอกไม่ถูก

          “ข้าพเจ้า...”

          พอนึกว่าอยู่ต่อหน้าองค์กษัตริย์แล้ว ตนพลันลืมเลือนเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านเกิดแล้ว ก็แสนจะอับอายนัก เจ้าชายหนุ่มกลั้นใจพูดต่อ “ข้าพเจ้าทำท่านพี่เป็นห่วงแล้ว”

          องค์กษัตริย์ยังคงแย้มยิ้มอยู่อีกพักหนึ่ง จึงเอ่ยวาจา “เด็กน้อย มาหาเราสักครู่”

          อัสธาราธเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย พระพักตร์งดงามชวนหลงใหลเช่นเคย แต่คล้ายความรู้สึกเหมือนมีมนต์ประหลาดคลายไปแล้ว เจ้าชายหนุ่มคุกเข่าลงตรงหน้า มองดูมือเรียวยื่นเข้ามาหา และต้องเบิ่งตากว้าง เมื่อเห็นเครื่องประดับที่วางอยู่ในฝ่ามือ

          “คืนให้เจ้า” น้ำเสียงราวฟองคลื่นกล่าว ก่อนจะยื่นมือขึ้นไปบนศีรษะของมังกรหนุ่ม อัสธาราธรู้สึกถึงนิ้วเรียวยาวที่ค่อยๆ บรรจงกลัดเครื่องประดับนั้นลงบนเรือนผม และรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ถูกดึงออกไป พอเห็นปิ่นสีดำมะเมื่อมในมือขององค์กษัตริย์ เจ้าชายหนุ่มก็ยื่นมือไปคว้าไว้อย่างลืมตัว

          “ให้ข้าพเจ้า”

          มองเห็นดวงเนตรสีมรกตเบิ่งค้างครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มอีกครั้ง “ปิ่นนี้เรามอบให้เจ้าอยู่แล้ว”

          กระนั้นเจ้าชายหนุ่มก็มิได้ปล่อยมือในทันที ยังคงกุมเอาไว้เช่นนั้น ไอเย็นแผ่แทรกมาตามปลายนิ้ว ให้ความรู้สึกโหยหาอย่างประหลาด แม้เหมือนม่านมนต์สลายไปแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจหักใจได้อยู่ดี

          ริมฝีปากร้อนผ่าวโน้มแนบเข้ากับริมฝีปากเย็นยะเยือก ความเย็นซ่านกระจายไปทั่วโพรงปาก คล้ายร่างเพรียวบางชะงักหน่อยหนึ่ง ก่อนมือเรียวจะยกขึ้นผลักร่างสูงใหญ่ออกเบาๆ

          “เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้อีกแล้ว”

                ดวงตาสีแดงเพลิงมองมาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่ริมฝีปากจะแนบประกบเข้ามาอีกรอบ ตามด้วยร่างสูงใหญ่ที่ปีนขึ้นมาบนแท่นบรรทม

          ร่างเพรียวถูกกดแนบลงบนแท่น นัยน์ตาสีมรกตเบิ่งมองเหมือนแปลกใจ อัสธาราธจับจ้องเรือนร่างสวยสง่านั้น ความรู้สึกคล้ายม่านมนต์หายไปแล้วก็จริง แต่ตนกลับรู้สึกต่อองค์กษัตริย์รุนแรงมากเข้าไปอีก เนื่องเพราะที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

          ฝ่ามือร้อนผ่าวไล้ลงบนใบหน้าได้รูป ดวงเนตรสีมรกตซึ่งครั้งหนึ่งเคยหวาดกลัวนัก ตอนนี้กลับสามารถจับจ้องโดยไม่สั่นกลัวอีกแล้ว เจ้าชายหนุ่มบรรจงแนบริมฝีปากเข้ากับข้างแก้ม เรือนผมสีน้ำเงินพรายโลมไล้ปลายจมูกแผ่วเบา ความเย็นซ่านแผ่เข้าสู่ร่างกาย ริมฝีปากอุ่นจัดแนบเข้ากับริมฝีปากเย็นนั้นอีกครั้ง โลมไล้อย่างดึงดันอยู่พักหนึ่งจึงยอมปล่อย

          อาภรณ์พลิ้วไหวถูกเปลื้องออกหลังจากนั้น ร่างผอมเพรียวถูกจับขึ้นนั่งบนตัก ดวงตาสีมรกตทอดมองมาอย่างไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้ กระนั้นอัสธาราธยังคงประโลมจูบลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง เนื่องเพราะต้องการสัมผัสความจริงตรงหน้าให้ได้มากที่สุด

          เรือนผมสีน้ำเงินพรายสยายอยู่ในกระแสน้ำ แต่ไม่มีความปั่นป่วนในห้วงนทีอีกแล้ว มีเพียงร่างอ่อนไหวที่ถูกกระแทกกระทั้นอยู่ในอ้อมกอด ไม่มีซุ่มเสียงใด มีเพียงดวงตาสีมรกตที่มองมา และวงแขนเรียวที่โอบลงมา รัดลงแนบแน่น ริมฝีปากสองคู่บดเบียดกันจนแยกแยะไม่ออกว่าอุ่นหรือเย็นกันแน่ สองร่างแนบสนิทกันจนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่ง

          ห้วงรักที่กินเวลาในความรู้สึกราวชั่วกัปล์ชั่วกัลป์ เมื่อสิ้นสุดลงกลับคล้ายผ่านไปเพียงชั่วขณะจิตเท่านั้นเอง

          อัสธาราธไล้มือไปบนดวงหน้างดงามในอ้อมกอด และมองเห็นมือของตนสั่นเทาอย่างไม่ทราบสาเหตุ องค์กษัตริย์คล้ายงดงามยิ่งขึ้นไปอีก ริมฝีปากได้รูประบายรอยยิ้มที่พาให้หัวใจแทบระเบิดออก ไม่ทราบเพราะเหตุใด แต่เจ้าชายหนุ่มกลับไม่อยากจะผละออกไปเลย

          คล้ายหากคลายวงแขนแล้ว จะไม่ได้วันได้โอบกอดอีกตลอดกาล

          วงแขนแกร่งตระกองกอดร่างเพรียวเอาไว้แนบอก ดึงมือเรียวขึ้นมา จูบลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาสีเขียวมรกตทอดมองมา คล้ายดวงแก้วเจียระไน ยากจะหาผู้ใดหยั่งได้อีกแล้ว มือเรียวขยับออกจากริมฝีปากอุ่น ยกขึ้นแตะดวงหน้าคมคายนั้นเบาๆ

          “เด็กน้อยของเราเอย....ได้เวลากลับบ้านแล้ว”

---------------------------------------------------------------------

           อัสธาราธมิทราบ ยามตนลงมายังนครบาดาลกินเวลานานเท่าไร เนื่องเพราะยามนั้นตนหลับใหลเกือบตลอด กระทั่งตื่นบางครายังได้หนุนตักขององค์กษัตริย์ แต่ครั้งนี้ อัสธาราธมิได้หลับใหลอีกแล้ว ทั้งยังมิได้หนุนตักนุ่มนั้น เจ้าชายหนุ่มนั่งอยู่บนเกล็ดขนาดมหึมา

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเสด็จมาส่งเขาด้วยพระองค์เอง

          ไม่ทราบใช้เวลานานเท่าใด แต่ในความรู้สึกมังกรหนุ่มแล้ว คล้ายเพิ่งผ่านไปเพียงชั่วอึดใจเท่านั้นเอง อัสธาราธแนบมือลงไปบนเกล็ดสีน้ำเงินพรายนั้นแนบแน่น คล้ายดั่งต้องการซึมซับไอเย็นที่แสนจะไม่คุ้นชินนั้นไว้ให้ได้มากที่สุด

          ไม่มีคำพูดหรือเสียงหัวเราะใดอีกแล้ว ไม่ได้ยินกระทั่งเสียงหัวใจ

          ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างดับสิ้นไปหมดแล้ว

                ภูเขาไฟแห่งคอนเชียร์ปะทุลาวาสีแดงเพลิง พ่นเถ้าถ่านสีดำขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับจะต้อนรับการกลับมาของเจ้าชายหนุ่ม ไอร้อนที่คุ้นเคยพวยพุ่งมากระทบใบหน้า เรือนผมสีแดงเพลิงสัมผัสกับลมร้อนผ่าวเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ กระนั้นอัสธาราธกลับรู้สึกเหมือนเลือดในตัวเย็นหมดสิ้น แม้ขึ้นมาจากน้ำแล้ว แต่ยังมิอยากก้าวเท้าขึ้นบก เมื่อเหลียวมองกลับไปก็เห็นเจ้าของดวงหน้าในฝันก้าวเข้ามา

          “อีกสักครู่องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์คงเสด็จลงมา เรามาด้วยร่างจริงเช่นนี้คงทอดพระเนตรเห็นอยู่”

          อัสธาราธมองดูองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำ น่าแปลกนักที่ยังมิมีผู้ติดตามใดโผล่ร่างขึ้นมา แต่ถึงมี เจ้าชายหนุ่มก็ไม่คิดจะรักษาภาพพจน์ไว้อีกแล้ว มือใหญ่คว้ามือเรียวมากุมไว้

          “ข้าพเจ้าจะได้พบท่านอีกหรือไม่? มารับข้าพเจ้าลงไปหลังจากนี้ได้หรือไม่?”

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเพียงแย้มยิ้มแต่มิได้ตอบความ เจ้าชายหนุ่มกล่าวสืบต่อ

          “ข้าพเจ้าจะทูลขอท่านพี่ จะลงไปอยู่นครบาดาลกับท่าน”

          นิ้วมือเย็นยะเยือกแตะลงบนริมฝีปากอุ่นเบาๆ “เรื่องนั้นไม่จำเป็นแล้ว”

          อัสธาราธดึงมือนั้นมาจูบอย่างดึงดัน “มารับข้าพเจ้าเถิด อย่าทิ้งข้าพเจ้าเอาไว้ หากท่านไม่สัญญาข้าพเจ้าจะลงไปเอง”

          พูดพลางช้อนตาขึ้นมองสบกับดวงตาสีมรกตที่นิ่งสนิทราวกับแก้วเจียระไน องค์กษัตริย์ยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง คล้ายบางสิ่งบางอย่างที่หยุดไปแล้วกลับมาเต้นอีกครั้ง

          ตุบ.......

          คล้ายดังสะเทือนออกไปถึงด้านนอก และเงียบไปอีกครั้ง ดวงตาสีมรกตยังคงจ้องดวงหน้าคมคายนั้นอีกพักหนึ่ง เรือนผมสีแดงเพลิงสะท้อนอยู่บนแก้วตา ก่อนจะเอ่ยช้าๆ

          “เรา...สัญญา......”

          อัสธาราธขบริมฝีปากน้อยๆ แต่ก็อดจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้ ริมฝีปากอุ่นแนบจูบลงบนฝ่ามือเย็นยะเยือกอีกครั้ง

          “ข้าพเจ้ารักท่าน จะรักท่านเพียงผู้เดียว”

          มือเย็นยะเยือกขยับออก แตะหน้าผากมังกรหนุ่มเบาๆ “เด็กโง่เอย เจ้าช่างโง่เขลานัก ไปเถิด พี่ชายของเจ้ากำลังมาแล้ว ให้เราเหลือภาพพจน์ไว้กล่าวคำขอบคุณบ้าง”

          อัสธาราธหน้าแดงหน่อยๆ แต่ก็ยอมปล่อยมือ

                “ข้าพเจ้าจะมารอท่านที่ริมน้ำนี้ รอท่านมารับกลับลงไป”

          เรเธียร์ได้แต่ยืนนิ่ง นัยน์ตาสีมรกรสะท้อนเพียงเงาสีแดงเพลิงตรงหน้าเท่านั้น

----------------------------------------------------------

          “อัสธาราธ!” องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์รีบเร่งเสียจนไม่มีเวลาแต่งองค์ทรงเครื่อง ทรงดำเนินมาทั้งๆ ที่ยังสวมชุดลำลองอยู่ พอเห็นใบหน้าผู้เป็นน้องชายก็ตรงเข้าสวมกอดด้วยความคิดถึงทันที

          “คิดถึงเจ้ามากเหลือเกิน”

          อัสธาราธรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก เจ้าชายหนุ่มโอบมือกอดตอบพี่ชาย ไม่นึกเลยว่าจะทำให้เป็นห่วงมากขนาดนี้

          “โอ้...อัสธาราธ” เสียงของอัสเธียร์ดังแทรกเข้ามา พอเงยหน้าขึ้น อัสธาราธก็อดหัวเราะไม่ได้ “ท่านพี่หญิง ท่านลืมหวีผมอีกแล้ว”

          “เพราะเจ้าเป็นตัวการหรอก” อัสเธียร์ดุ และรีบใช้มือสางผมลวกๆ ก่อนจะยกมือเขกหัวน้องชายครั้งหนึ่ง อัสธาราธหัวเราะแหะๆ ขณะที่อัสรานยิ้มน้อยๆ ก่อนจะผละวงแขนออกอย่างนึกได้

          “เราดูจะเสียมารยาทต่อหน้าท่านแล้ว” กล่าวพลางหันไปค้อมกายให้กับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำที่ประทับอยู่กับข้าราชบริพารด้านหลัง องค์กษัตริย์เพียงยิ้มน้อยๆ

          “รบกวนพระองค์มากมายจริงๆ”

          อัสรานรีบกล่าวตอบ “หามิได้ ท่านนำน้องชายของเรามาส่งคืนโดยสวัสดิภาพเช่นนี้ เราต่างหากรบกวนท่าน”

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำยังคงแย้มยิ้ม “เราอยากกล่าวคำขอบคุณต่อท่านด้วยตนเอง องค์กษัตริย์หนุ่มแห่งคอนเชียร์ น้องชายท่านได้ช่วยเหลือราชอาณาจักรเราให้พ้นภัย เรามิทราบจะกำนัลสิ่งใดเป็นการตอบแทน มีเพียงของมีค่าเล็กๆ น้อยๆ จากวังของเรา หวังว่าคงพอชดเชยเรื่องความลำบากของพระองค์ได้บ้าง”

          สิ้นพระสุรเสียง เหล่าพรายรับใช้ต่างพากันขนเอาหีบที่ประดิษฐ์ขึ้นจากหินสลักมาจำนวนหนึ่ง ด้านในมีไข่มุกจำนวนมาก และยังมีพลอยสีน้ำเงินอีกจำนวนหนึ่ง อัสรานเห็นแล้วถึงกับผงะ

          “นี่...นี่...เป็นพระกรุณามากแล้ว เราน้อมรับของขวัญจากท่านด้วยความเกรงใจอย่างที่สุด ความจริงแล้วเรารู้สึกเป็นการค้ากำไรเกินควรจริงๆ”

          เรเธียร์ยังคงแย้มยิ้มต่อ “องค์กษัตริย์ช่างจำนรรจายิ่งนัก เราผู้เฒ่าดูจะทำตามใจตัวเองมากไปจริงๆ”

          “อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย พระองค์จะประทับที่นี่นานหรือไม่ ให้เราจัดการต้อนรับพระองค์สักหน่อย..?”

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำพลันสั่นศีรษะ “เราจำต้องปฏิเสธคำเชื้อเชิญนี้อย่างเสียดายที่สุด ร่างกายเรายามนี้มิทนทานต่อไอร้อนเท่าใด ขอลาตรงนี้เลยเถิด”

                “ให้ข้าพเจ้าไปส่ง!” อัสธาราธโพล่งออกมา องค์กษัตริย์แย้มยิ้มอีก

          “สายน้ำแห่งอิลห์ลารินใช่ว่าผู้ใดก็ลงไปได้ ขอบคุณเด็กน้อยเจ้าจากใจ เราขอลาก่อน”

          ตรัสจบก็ผินพระพักตร์ ดำเนินลงสู่สายน้ำกว้างแห่งอิลห์ลารินท่ามกลางหมู่ข้าราชบริพาร อัสธาราธมองดูเรือนร่างผอมเพรียวกลับลงสู่สายน้ำ ก่อนจะทำในสิ่งที่ทุกผู้ในบริเวณนั้นต้องอ้าปากค้าง

          “เรเธียร์!!” เจ้าชายหนุ่มร้องตะโกน พลางวิ่งไปสู่ผืนน้ำกว้างนั้นโดยไม่ทันมีผู้ใดต้าน ดวงหน้างดงามไม่หันมาอีกแล้ว เรือนผมสีน้ำเงินค่อยๆ จมหายลงไปในห้วงน้ำกว้าง

          “เรเธียร์!!!” อัสธาราธตะโกนพลางวิ่งย้ำลงไปในสายน้ำ ละอองน้ำกระเซ็นขึ้นเปื้อนใบหน้า กระนั้นเจ้าชายหนุ่มยังไม่ยอมหยุดฝีเท้า กระทั่งตนเองจมลงไปกว่าครึ่งแล้ว ก็ยังไม่หยุดยั้ง ยังคงตะโกนเรียกชื่อองค์กษัตริย์อย่างไม่อาจหักห้ามใจได้

          “เรเธียร์!!”

          อัสรานมองดูการกระทำของน้องชายอย่างตกตะลึง กว่าจะรู้สึกตัว อัสธาราธก็ถูกสายธารแห่งอิลห์ลารินดึงไปครึ่งตัวแล้ว องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ตะโกนเรียกน้องชาย

          “อัสธาราธ!!!”

          แต่อัสธาราธไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว ดวงตาสีแดงเพลิงมองไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า คล้ายยังเห็นดวงหน้างดงามนั้นอยู่ อยากได้ที่จะได้ชิดใกล้อีกสักครั้ง

          ไอร้อนชนิดที่ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องสะดุ้ง แม้แต่มังกรไฟที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่อาจต้าน พุ่งเข้าใส่ร่างที่จมอยู่ในน้ำ เจ้าชายหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกกระชากด้วยอุ้งมือร้อนระอุ ร่างสูงใหญ่พ้นจากผืนน้ำกว้าง หล่นกระแทกผืนทรายริมชายฝั่ง อัสรานวิ่งกระหืดกระหอบมาด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูกว่าโมโหหรืออะไรกันแน่ องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์กระชากเสียงถามน้องชาย

          “เจ้าเป็นบ้าอะไรแล้ว?!”

          อัสธาราธก้มหน้านิ่ง ขบริมฝีปากจนโลหิตสีแดงสดไหลซึมออกมา

          เรเธียร์……

-----------------------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ reborn23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
 :sad4:
การลาจาก มันเศร้า

ออฟไลน์ phakajira

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
ทิ้งกันเสียแล้ว :(

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
เศร้า....ฮึกๆ...ๆ....ๆ

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
เศร้าเลยตอนนี้
อ่า อย่างนี้เรียกว่าได้แล้วทิ้งใช่ม่ะเรเธียร์

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
เศร้าอะ จะได้เจอกันอีกมั้ย

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
20 : งดงามในความสิ้นสูญ

          “อัสธาราธ”
 
         เรือนผมสีน้ำเงินพรายโผล่พ้นจากผืนน้ำกว้าง ดวงหน้างดงามราวภาพฝันแย้มยิ้มให้เช่นที่ผ่านมา อัสธาราธก้าวเท้าลงไปในผืนน้ำ ละอองน้ำเย็นยะเยือกกระแทกเข้ากับร่าง ได้ยินเสียงตัวเองร้องตะโกนออกไป

          “ท่านมารับข้าพเจ้าแล้ว”

          ดวงหน้าในความฝันไม่ตอบกระไร เพียงแต่ยิ้มอยู่อย่างนั้น อัสธาราธลุยน้ำไปเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าจะจมลึกลงไปเท่าไร ก็เหมือนไม่ใกล้ร่างเพรียวในฝันนั้นเสียที คล้ายไม่อาจเอื้อมไปถึงได้อีกแล้ว ดวงตาสีมรกตยังคงจับจ้องมองมา แต่ไร้แววยิ่งนัก ราวกับแก้วสลักก็ไม่ปาน

          ราวกับว่าไม่มีชีวิตอีกต่อไปแล้ว

-------------------------------------------------

          นัยน์ตาสีแดงเพลิงปรือขึ้นมา ก่อนจะหลับลงทันทีเมื่อต้องกับแสงสว่าง อัสธาราธไม่ทราบว่าความฝันกับความจริง สิ่งใดเลวร้ายกว่ากัน ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เจ้าชายหนุ่มอาศัยอยู่บนบกมาโดยตลอด ไม่เคยพิสวาสผืนน้ำกว้างที่ล้อมรอบนครแห่งไฟที่ตนเองอยู่เลยสักครั้ง ซ้ำยังหวาดกลัวแทบตาย แต่ยามนี้ ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ลงไปในนครบาดาลนั้น ช่วงเวลาที่แสนน้อยนิดเหลือเกินเมื่อเทียบกับช่วงชีวิตที่ผ่านมา ช่วงเวลาแสนสั้นที่กลับทำให้เขาโหยหาไอเย็นแห่งผืนน้ำนั้นเสียจนคลั่ง

          เรเธียร์.....

          แม้ลืมตาตื่นอยู่บางคราวยังรู้สึกได้ถึงเรือนผมสีน้ำเงินพรายเรียบลื่นที่เคยเคล้าเคลียใบหน้า หัวใจปวดแปลบราวกับจะแตกออกมา เพียงแค่นึกถึงดวงหน้างดงามในความฝันนั้น สัมผัสลึกซึ้งที่มีให้กันและกันครั้งแล้วครั้งเล่า ความจริงที่คล้ายดั่งภาพมายา ตราตรึงลงไปในห้วงความทรงจำอย่างไม่อาจลบล้าง

          ช่วงเวลาแห่งความสุขแสนสั้น ที่พอผ่านพ้นไปกลับสร้างความทรมานอย่างแสนสาหัส

          มือได้รูปไล้ไปตามผ้าปูที่นอน อยากเหลือเกินที่จะได้ผู้นั้นมานอนแนบข้างบนแท่นนอนนี้ อยากตระกองกอดเรือนร่างอ่อนบางเอาไว้แนบอก สัมผัสไอเย็นยะเยือกนั้นทุกวันทุกคืน อยากได้ยินเสียงหัวเราะนั้นอีกสักครั้ง ได้เห็นดวงหน้าที่ยิ้มมาอย่างอ่อนโยนนั้นอีกครั้ง ได้มองดวงตาสีมรกตที่ครั้งหนึ่งเคยหวาดกลัวแทบตาย

          แต่สิ่งที่ได้มีเพียงภาพฝันซ้ำๆ ภาพฝันที่ไม่อาจจับต้องได้

          อัสธาราธล้วงเอาปิ่นสีดำมะเมื่อมออกมาจากอกเสื้อ เพียงแค่ได้เห็นหัวใจก็พลันปวดแปลบอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่เคยสังเกตด้วยซ้ำตอนที่องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำประดับปิ่นนี้ กระทั่งพระองค์ถอดออกและมอบให้ยังบังอาจปัดทิ้ง เจ้าชายหนุ่มมองดูปิ่นสีดำในมือ ยามต้องประกายแสงแดดกลายเป็นสีพราวระยับ หากได้ประดับปิ่นนี้ลงบนศีรษะของผู้เป็นเจ้าของ

          เพียงนึกถึงเรือนผมสีน้ำเงินพรายสะท้อนกับแสงอาทิตย์ ภาพรอยยิ้มจับตาก็ตามมา หัวใจพลันอุ่นซ่านขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็เพียงชั่วครู่ เมื่อระลึกขึ้นได้ว่าเป็นเพียงภาพจากจินตนาการเท่านั้น หัวใจดวงเดิมก็พลันหดวูบลง

          เรเธียร์.....

          อัสธาราธจุมพิตลงบนปิ่นสีดำนั้น ไอเย็นยะเยือกอย่างไร้ชีวิตกระทบกับริมฝีปาก ครั้งหนึ่งเขาเคยสงสัย ใยองค์กษัตริย์จึงลุ่มหลงอยู่กับรูปสลักนางสตรีที่ไร้ชีวิตนั้นเล่า รูปสลักคือรูปสลัก เย็นยืดไร้ชีวิต ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองใด ใยจึงต้องยึดติดกับสิ่งไร้ชีวิตเช่นนั้นนัก

          แต่ยามนี้อัสธาราธเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ปิ่นสีดำในมือไม่มีชีวิตเลยสักนิด ทั้งยังไม่มีรูปลักษณ์ส่วนใดคล้ายกับองค์กษัตริย์เลย กระนั้นตนยังสัมผัสซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพราะรู้สึกคล้ายเป็นตัวแทนขององค์กษัตริย์ คล้ายดั่งเป็นสิ่งที่ทำให้ระลึกถึงความทรงจำงดงาม อ่อนหวาน อ่อนโยน

          ความทรงจำที่กลายเป็นอดีต ความทรงจำของเหตุการณ์ที่สิ้นสุดไปแล้ว

          ความทรงจำที่เป็นดั่งความฝัน

          นัยน์ตาสีแดงเพลิงหลับลงอีกครา หากว่าเป็นได้เพียงความฝัน ก็อยากจะฝันให้ได้นานที่สุด

          เรเธียร์......

-------------------------------------------------------

          “อัสธาราธ”

          น้ำเสียงอ่อนโยน ห่วงใยยิ่งนัก แต่ไม่ใช่น้ำเสียงในภาพฝัน กระนั้นอัสธาราธก็ยังลืมตาตื่นขึ้นมา และพบดวงหน้าที่คุ้นเคยมาเนิ่นนาน

          “อัสธาราธ” อัสรานเรียกชื่อน้องชายที่เรียกหากันมาเนิ่นนานอีกครั้ง พลางมองดูดวงตาสีเพลิงที่คล้ายยังไม่รู้สึกตัวดีด้วยความเป็นห่วง สักพักจึงได้ยินเสียงตอบรับ

          “ท่านพี่อัสราน”

          อัสรานแย้มยิ้มด้วยความยินดี “อัสธาราธ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

          ผู้ถูกถามกะพริบตาอีกหลายครั้ง ก่อนจะสั่นศีรษะ อัสรานลากม้านั่งหินมา ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงน้องชาย กล่าวสืบต่อ

          “เช่นนั้น ลุกขึ้นมาเถิด ไปแช่น้ำกับเราสักพักหนึ่ง”

                อัสธาราธจ้องมองใบหน้าผู้เป็นพี่ชาย เงียบไปนาน จนอีกฝ่ายกล่าวขึ้นอีก

          “สระน้ำด้านหลังห้องเรา เจ้าไม่ชอบแล้วหรือ?”

          “มิได้” อัสธาราธตอบคำ พลางขบริมฝีปาก “ท่านพี่อัสราน ข้า.....”

          หัวใจพลันรู้สึกปวดแปลบอีกหน กี่วันมาแล้วที่รู้สึกเช่นนี้ อัสรานยกมือขึ้นลูบศีรษะน้องชาย

          “ไม่สมกับเป็นเจ้าเลย อัสธาราธที่เรารู้จักมิใช่มังกรน้อยเยาว์วัยที่เอาแต่นอนซมเช่นนี้ ฤาสายน้ำสร้างบาดแผลยากเยียวยาให้เจ้าอีกแล้ว”

          อัสธาราธกะพริบตาครั้งหนึ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะ ได้ยินเสียงผู้เป็นพี่ชายพูดขึ้นอีก

          “เช่นนั้นไปแช่น้ำร้อนกันเถิด”

-----------------------------------------------------

          บ่อน้ำร้อนด้านหลังห้องบรรทมของอัสรานร้อนระอุเช่นเดิม ไอสีเหลืองของกำมะถันยังลอยคลุ้ง กลิ่นอายที่แสนคุ้นเคย อัสธาราธหย่อนกายลงไปในบ่อน้ำร้อน แต่แม้อยู่ในสถานที่ร้อนจัดเช่นนี้ ร่ายกายกลับไม่กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเลย ซ้ำยังพาลให้นึกถึงตอนที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในบ่อหินร้อนในบาดาลเพื่อประดิษฐ์ของกำนัลให้องค์กษัตริย์

          ไม่รู้ว่าพระองค์จะยังทรงจดจำตราสัญลักษณ์อันนั้นได้อยู่หรือไม่....

 
          อัสรานหย่อนกายลงข้างน้องชาย ดวงตาสีแดงคล้ำจับจ้องใบหน้าที่ใกล้ชิดมาเนิ่นนานด้วยความเป็นห่วง อัสธาราธกลับมาได้หลายสัปดาห์แล้ว ท่ามกลางความดีใจของพี่น้องและบรรดาเหล่าทหาร แต่หลังจากนั้นก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ไม่ทราบไปเผชิญเรื่องราวใดในนครบาดาลมากันแน่ ยังตอนที่พยายามไล่ตามขบวนเสด็จขององค์กษัตริย์แห่งสายน้ำอีกเล่า

                หรือจะต้องเสน่ห์ลึกลับแห่งอิลห์ลารินเข้าแล้ว

          อัสรานพลันนึกถึงเหล่าผู้ตามเสด็จ แม้เป็นบุรุษเพศ ชาวบาดาลล้วนงดงามน่ามองอย่างยิ่ง หากเป็นอิสตรีแล้วยิ่งมิน่ามองเข้าไปอีกหรือ? อัสธาราธอาจจะหลงเสน่ห์นางมังกรน้ำตนใดตนหนึ่งในนครบาดาลนั่น พอต้องแยกจากมาจึงไม่เป็นอันกินอันนอนเป็นแน่แท้

          “อัสธาราธ” อัสรานเอ่ยเรียกน้องชายตนเอง ผู้ถูกเรียกหันหน้ามามอง อัสรานมองไปยังใบหน้าคุ้นเคยนั้น พลันรู้สึกสะท้อนใจอย่างบอกไม่ถูก

          อัสธาราธเคยร่าเริงมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ ยามนี้กลับดูซูบเซียวหม่นหมองลงจนน่าใจหาย คล้ายผู้ถูกพิษรักกัดกินหัวใจก็ไม่ปาน

          “เราใคร่อยากถามอะไรเจ้าสักเรื่องหนึ่ง” อัสรานกล่าวสืบต่อ ผู้เป็นน้องชายผงกศีรษะ

          “เจ้าไปติดใจชาวบาดาลเข้าหรือ?”

          ใบหน้าซูบเซียวของอัสธาราธพลันแดงวาบขึ้นมา “ข้า....”

          อัสรานแย้มยิ้มให้น้องชาย กล่าววาจาต่อ “นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอายใด เจ้าเป็นหนุ่มเต็มที่ ย่อมมีหัวใจรักเป็นธรรมดา เจ้าไปชอบพอนางใดในนครบาดาลเล่า เราพอจะทูลขอกับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำได้”

          ใบหน้าของอัสธาราธพลันซีดลงอีกครา ผู้เป็นพี่ชายรีบกล่าวต่อ “เจ้าอย่าได้วิตก แม้เป็นนางมังกรน้ำ เราก็ไม่รังเกียจ แม้นางไม่อาจขึ้นบกได้นาน เรารับรองจะสร้างบ่อน้ำเย็นไว้ให้นาง สร้างวังให้เจ้าได้อยู่ใกล้นาง บอกกับเราเถิด เจ้าติดใจนางใดเล่า เราจักเตรียมขบวนสู่ขอต่อองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำตามธรรมเนียมราชพิธีไม่ให้มีขาดตกบกพร่องเด็ดขาด”

          อัสธาราธถึงกับมีสีหน้าแตกตื่นขึ้นมาทันที รีบละล่ำละลักกล่าว “นั่นไม่ได้เด็ดขาด”

          “เพราะเหตุใดเล่า?” อัสรานกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ยศของเจ้ามิใช่น้อย ต่อให้เป็นนางมังกรเชื้อพระวงศ์ เรารับรองว่าองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำต้องไม่รังเกียจแน่ ยิ่งเจ้าทำความดีความชอบเอาไว้ถึงเพียงนี้ ไหนเลยมาอ้อมๆ แอ้มๆ อยู่เล่า บอกต่อเราเถิด เห็นเจ้าไม่เป็นอันกินอันนอน ทั้งเราทั้งพี่หญิง พลอยเป็นทุกข์ไปด้วย สตรีนางใดเล่าที่ทำให้น้องรักของเราเป็นไข้ใจเช่นนี้”

          อัสธาราธนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ พอมองเห็นสีหน้าเป็นทุกข์เป็นร้อนแทนของพี่ชายก็เกิดรู้สึกผิดขึ้นมาทันที นี่ตนเองมัวแต่ตีโพยตีพายเสียจนผู้อื่นพลอยวิตกกันไปหมด คล้ายได้ยินเสียงราวฟองคลื่นดังอยู่ในหัวราวกับเย้า

          เจ้าเด็กน้อยเอย เจ้าเด็กน้อยเอย....

          อัสธาราธพลันหน้าแดงขึ้นมาอีก มิทราบจิตหลอนหรืออย่างไรแน่ แต่สิ่งที่ตนกำลังกระทำอยู่ตอนนี้ก็คลายเด็กทารกจริงๆ อัสรานมองหน้าน้องชายของตนอย่างเป็นห่วง

          “อัสธาราธ ดูท่าเจ้าหลงรักนางมากมายจริงๆ เร่งบอกต่อเราเถิด เราจะรีบจัดขบวนไปสู่ขอให้ในเร็ววัน”

          อัสธาราธหัวเราะออกมาในที่สุด หากอัสรานรู้ว่านางนั้นเป็นผู้ใด น่ากลัวจะหันมาด่าเขาแทนเป็นแน่แท้ มังกรหนุ่มรีบพูดตอบทันที

          “ใจเย็นๆ เถิด พี่ชายข้า ข้าเพิ่งรู้ตัวว่าทำให้ท่านเป็นห่วงมากจริงๆ ต้องขออภัยด้วย”

          อัสรานผงกศีรษะ แต่ยังไม่วายพูดต่อ “เจ้ารู้ตัวถือว่าดีแล้ว เร่งบอกกับเรา นางมีนามใด เป็นบุตรผู้ใด อยู่ลึกมากหรือไม่ ยังมีพ่อมีแม่ มีผู้ใดดูแลอยู่หรือไม่ ชอบพออัญมณีใด เราจะหาไปสู่ขอให้เจ้า”

          เห็นสีหน้าจริงจังของผู้เป็นพี่ชายแล้ว อัสธาราธมิทราบสมควรจะหัวเราะหรือว่าอย่างไรดี มังกรหนุ่มรีบกล่าวขัดไว้

          “ข้ารู้สึกซาบซึ้งกับความหวังดีของท่านพี่มาก เพียงแต่ผู้นี้มิอาจสู่ขอได้”

          อัสรานมีสีหน้าตระหนกอย่างเห็นได้ชัด “โอ...หรือเจ้าไปชอบพอสตรีมีสามีแล้ว?!”

          อัสธาราธเกือบยกมือตบหน้าผากตนเอง รีบกล่าววาจาตอบพี่ชาย “ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าเพียงไปชอบ....” เจ้าชายหนุ่มเว้นระยะไปครู่หนึ่ง ด้วยกำลังนึกหาถ้อยคำหลีกเลี่ยงอยู่

          “ข้าบังเอิญไปหลงชอบรูปสลักสตรีนางหนึ่ง”

          “โอ...” อัสรานอุทานออกมา ใบหน้าถึงกับถอดสี “เป็นคราวเคราะห์อย่างยิ่งแล้ว ใยเจ้าจึงไปหลงรักรูปสลักได้เล่า”

          อัสธาราธหัวเราะขืนๆ นึกขออภัยต่อองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำอยู่เงียบๆ ที่นำเอาเรื่องของพระองค์มากล่าวเป็นวาจาแก้ตัวเช่นนี้

          “บังเอิญเป็นรูปสลักอิสตรีที่งดงามอย่างยิ่ง ข้าเห็นแล้วตกหลุมรักทันใด แต่น่าเสียดาย รูปสลักนั้นพินาศไปแล้ว”

          กล่าวถึงตอนนี้อัสธาราธพลันรู้สึกวาบขึ้นในหัว รูปสลักสตรีนางนั้น...ห้องบรรทมขององค์กษัตริย์ ครั้งสุดท้ายที่เข้าไป หามีรูปนางสตรีนั้นแล้ว...

          หรือว่าองค์กษัตริย์...............

          อัสรานมองดูน้องชายที่มีสีหน้าคล้ายกำลังนึกถึงเรื่องบางอย่างก็พาลให้ปวดใจอย่างบอกไม่ถูก

          “เรื่องเช่นนี้...เรา....เราพูดไม่ออกเลยจริงๆ” นึกไม่ถึงน้องชายของตนจะไปหลงรักกับรูปสลักจนไม่เป็นอันกินอันนอน หากรู้ไปถึงหูท่านพี่หญิง มีหวังได้ก่นด่าให้ลั่นวังแน่ๆ

          อัสธาราธได้ยินเสียงพี่ชายกล่าววาจาจึงพอรู้สึกตัวจากภวังค์ หันมากล่าววาจาตอบ “ท่านอย่าได้วิตกไปเลย ข้าเพียงเสียใจชั่วคราว อีกไม่นานคงทำใจได้”

          “เราหวังให้เป็นเช่นนั้นในเร็ววัน” อัสรานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สตรีมีชีวิตยังมีอีกมาก เจ้าไม่ควรจมจ่ออยู่กับรูปสลัก อาบน้ำแล้วไปกับเรา ท่านพี่หญิงตัดชุดใหม่ไว้ให้เจ้า สวมแล้วเราจะพาเจ้าไปชมดูนางมังกรในนครให้ถ้วนทั่ว ดูว่ามีนางใดพอจะถูกใจเจ้าบ้าง”

                อัสธาราธได้แต่ยิ้มขืนๆ ก่อนจะโดนอัสรานฉุดมือขึ้นจากบ่อน้ำ

-------------------------------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
          นางมังกรในซาร์ซากันมีให้ชมดูจนตาลาย แต่ละนางล้วนไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ บางนางแข็งแกร่งราวกับบุรุษ บางนางอ้อนแอ้นงดงามแต่ดุร้ายไม่เบา เรียกได้ว่าถ้าเป็นก่อนหน้านี้ อัสธาราธคงถูกใจเข้าหลายนาง แต่ยามนี้ ไม่ว่ามองนางใด ก็ให้เห็นเหมือนกันไปหมด แต่งองค์ทรงเครื่องมาขนาดไหน ก็ไม่ทำให้รู้สึกคึกคักขึ้นเลย

          อัสรานดูจะไม่ย้อมแพ้รูปสลักในฝันของน้องชายง่ายๆ เมื่อวันนี้อัสธาราธไม่พบสตรีถูกใจ วันรุ่งขึ้นพระองค์ก็เสด็จมาใหม่ ลากตัวน้องชายออกไปนอกวังอีกรอบ ถึงกับวางแผนจะพาออกไปยังอาณาจักรข้างเคียงดู เผื่อจะมีนางที่ถูกใจบ้าง ถึงตรงนี้อัสธาราธอดไม่ได้ต้องกล่าววาจาออกมาบ้าง

          “ท่านดูรีบร้อนหาเจ้าสาวให้ข้านัก แล้วตัวท่านเล่า มิตกแต่งราชินีเสียทีเล่า?”

          “ราชินีแห่งซาร์ซากันย่อมต้องเป็นสตรีดีเลิศ เรายังต้องการเวลาค้นหา เจ้าอย่าได้วิตกแทนเรา เรารับรอง ไม่หารูปสลักมาเป็นพี่สะใภ้ให้เจ้าแน่”

          อัสธาราธจำต้องหัวเราะขืนๆ ดูอัสรานจะฝังใจกับการหลงรักรูปสลักของเขาจริงๆ แต่ครั้นจะกล่าวความจริงออกไปก็เกรงเรื่องจะแย่ไปกว่านี้ ดังนั้นจึงก้มหน้าก้มตายอมรับการเป็นคนรักของรูปสลักต่อไป

          อัสรานวางแผนเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไปยลโฉมสตรีทางฝั่งตะวันออก แล้วก็พาเขาออกไปบินเล่นเสียค่อนวัน ทั้งผ่านปล่องร้อน บินลอดธารลาวาที่กำลังพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า พอถึงฝั่งตะวันออกจริงๆ เสื้อผ้าก็เละเทะไปหมดแล้ว
 

          “พรุ่งนี้เปลี่ยนเส้นทางกันเถิด” อัสรานกล่าวขณะลงจากหลังน้องชายตรงลานกว้างหน้าวัง อัสธาราธขย้ำฟันหัวเราะหึๆ เปลวไฟสีแดงพวยพุ่งออกมาตามร่องจมูก แต่ยังไม่ทันจะได้คืนร่างกลาง เสียงคุ้นเคยก็ดังให้ได้แสบแก้วหู

          “อัสธาราธ ไยเจ้าชอบใช้ร่างใหญ่โตนั่นมานี่นี่นัก รู้หรือไม่ว่าต้องใช้ผู้ใดมาซ่อมสิ่งที่เจ้าทำพังบ้าง”

          อัสเธียร์ก้าวออกมา หมายจะเอ็ดน้องชายคนเล็กให้มันปาก แต่พอเห็นใบหน้าน้องชายอีกคน หน้าก็พลันเปลี่ยนสีไปอีกรอบ

          “ข้าให้เขาเข้ามาเอง” อัสรานรีบกล่าว แต่สีหน้าของพี่สาวจ้องมาคล้ายกินเลือดกินเนื้อ

          “อัสราน เสื้อผ้านี้เราเย็บให้เจ้าอย่างดี ไฉนพังพินาศเช่นนี้ นี่พวกเจ้าไปมุดเล่นปล่องร้อนกันมาอีกแล้ว? โอ....พวกเจ้าอายุเท่าไหร่กันแล้ว ยังเล่นเป็นเด็กๆ กันอีก”

          อัสธาราธในร่างมังกรถึงกับเบือนหน้าหนี ขณะที่อัสรานยกมือขึ้นอุดหู หน้าของอัสเธียร์แทบจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ

          “เราจะฟาดพวกเจ้าให้ตาย”

          กล่าวจบก็กลายร่างเป็นมังกรไฟสีแดงดำขนาดมหึมา อัสรานวิ่งกลับไปหาน้องชาย ก่อนจะตะโกนสั่ง “อัสธาราธ รีบหนีเร็ว ท่านพี่หญิงจะตีเราแล้ว”

          กล่าวพลางกระโดดขึ้นไปบนหลังน้องชายอีกรอบ อัสธาราธขยับปีก ขณะที่เงาสีแดงดำโฉบเข้ามาใกล้ สองพี่น้องหัวเราะคิกคัก ขณะบินร่อนออกไป ได้ยินเสียงคำรามดังกึกก้องด้านหลัง

          “ไว้หาสตรีดุร้ายได้พอกับท่านพี่หญิงก่อน เราจะตกแต่งนางมาเป็นราชินีที่นี่”

--------------------------------------------------------------

          กว่าที่อัสเธียร์จะหายโกรธ สองพี่น้องก็สะบักสะบอมกว่าเดิม อัสธาราธชักเริ่มสงสัยว่าระหว่างอัสรานกับอัสเธียร์ใครเก่งกว่าใครกันแน่ หากเปลี่ยนผู้นำจากอัสรานเป็นอัสเธียร์ น่ากลัวพวกเขาจะต้องนั่งจับเจ่าเฝ้าวังเป็นนางสตรีแน่แท้

          อัสธาราธกลับมาถึงห้อง เหนื่อยจนไม่มีแก่ใจจะคิดอันใดให้มากอีก ล้มตัวลงนอนแล้วหลับไปทั้งอย่างนั้น

          ในฝันเลื่อนลอย ยังคล้ายเห็นดวงตาสีมรกตจางๆ

          เรเธียร์.....

----------------------------------------------------------------

          ยุทธการหาคู่ของอัสธาราธโดยอัสรานยังคงดำเนินไปอีกอาทิตย์กว่าๆ วันๆ เล่นเอาอัสธาราธเหนื่อยจนไม่มีแรงจะคิดมากอีกแล้ว พอกลับถึงห้องก็หลับเป็นตาย พอลืมตาขึ้นมาก็พบพี่ชายยืนรอท่าอยู่แล้ว มาถึงตรงนี้ก็ให้รู้สึกซาบซึ้งกับความพยายามของอัสรานจริงๆ

          แต่วันนี้อัสรานไม่ได้มารอเช่นทุกวัน ผู้รับใช้คนหนึ่งแวะมาแจ้งข่าวว่าองค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ติดภารกิจต้องรับพระราชอาคันตุกะจากต่างเมือง อัสธาราธจึงมีเวลาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง

          เจ้าชายหนุ่มตัดสินใจออกมาเดินเตร็ดเตร่ที่ด้านนอก ห้วงอารมณ์ถวิลหาอย่างไร้สติเช่นตอนที่กลับมาใหม่ๆ ดูจะจางไปแล้ว มีเพียงความคิดถึงที่ผุดมาจากภาพฝันในบางเวลาเท่านั้น

          อัสธาราธเดินเล่นมาเรื่อยๆ รู้ตัวอีกที ก็มาอยู่อยู่ตรงริมหาดแล้ว เสียงคลื่นซัดฝั่งดังแว่วมาให้ได้ยิน ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ แต่คล้ายคลื่นลมดูสงบอย่างน่าประหลาด

          อัสธาราธเลือกโขดหินขนาดเขื่องที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นเป็นที่นั่งหย่อนกายชั่วคราว น่าแปลกที่พอสัมผัสกับไอน้ำเค็มของอิลห์ลารินแล้วกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างประหลาด คล้ายได้สัมผัสกับร่างเย็นยะเยือกนั้นอีกครั้ง

          เจ้าชายหนุ่มเหม่อมองไปยังท้องน้ำกว้างเบื้องหน้า พลางนึกในใจว่าจะใช้คำพูดอย่างไรบอกกล่าวกับผู้เป็นพี่ชายหากตนต้องกลับไปยังนครบาดาลอีกรอบ ยังมีพี่หญิงอีกเล่า อัสธาราธรู้สึกว่าเขารักพี่น้องสองคนนี้มากจริงๆ หากต้องทำให้ทั้งสองมีสีหน้าทุกข์ใจเพราะเรื่องราวนี้อีกคงจะกลับไปยังนครบาดาลอย่างไม่สงบใจแน่ๆ

          เงาสีดำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นในท้องน้ำกว้าง อัสธาราธผุดลุกขึ้นทันที หัวใจเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ เงาสีดำนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ฝั่งเรื่อยๆ ก่อนที่ผู้หนึ่งจะปรากฏร่างขึ้นมาเหนือผิวน้ำ

          “เจ้าชายอัสธาราธ”

          เจ้าของเรือนผมสีฟ้าเทาเช่นเดียวกับสีของดวงตาเอ่ยเรียกและโค้งตัวให้ความเคารพคราหนึ่ง อัสธาราธกะพริบตาปริบๆ และพยายามยิ้มตอบออกไป “เป็นท่าน....มีเรื่องอันใดเล่า?”

          อูห์รูนมิตอบคำถาม เพียงล้วงเอาบางสิ่งบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ ดูคล้ายจดหมายฉบับหนึ่ง จดหมายที่เขียนลงบนสิ่งที่ประดิษฐ์จากของในเมืองบาดาล พอถึงมือเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ก็พลันแห้งผากลงทันใด

          อัสธาราธมองหน้าอูห์รูน สีหน้าของผู้รับใช้ดูหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด พอให้จดหมายแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงโค้งให้อีกครั้งและหายกลับลงน้ำไป

          อัสธาราธเหม่อมองเงาสีดำขนาดใหญ่พาดหายลงไปในห้วงน้ำลึก รู้สึกจดหมายในมือหนักอึ้งราวกับมีพะเนินหินถ่วง สายลมแห่งอิลห์ลารินยังคงพัดพาคลื่นซัดกระทบกับโขดหิน ละอองน้ำกระเซ็นซ่านขึ้นมา กระทบกับซองจดหมาย จนหมึกที่จางไปแล้วกลับมาเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง

 
          ถึง...เจ้าชายอัสธาราธ
 
          ภาษาคอนเชียร์ที่เขียนด้วยลายมืองดงามเสียยิ่งกว่าที่ชาวคอนเชียร์เขียนเองเสียอีก อัสธาราธรู้สึกว่ามือของตนเองสั่นเทา ละอองน้ำยังคงกระเซ็นสาด ซองจดหมายค่อยๆ ถูกพลิกช้าๆ ด้านหลังมีตราประทับที่เขาจำได้ดี

          ตราประจำพระองค์ขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน

          เจ้าชายหนุ่มขบริมฝีปาก หลับตาลงชั่วครู่ คล้ายหวาดกลัวถ้อยความในจดหมายนี้เสียเหลือเกิน จดหมายจากบาดาล หากทิ้งเอาไว้ให้สัมผัสไอร้อนแห่งคอนเชียร์เพียงไม่นาน ก็จะสลายไปเอง ถ้อยความด้านในก็จะไม่มีใครรับรู้ไปตลอดกาล

          อัสธาราธพลิกซองจดหมายอีกรอบ ตัวอักษรที่เขียนด้วยหมึกของเมืองบาดาลยังคงเห็นเด่นชัด ลายมืองดงามทำให้นึกถึงความตั้งใจของผู้เขียน นึกถึงมือเรียวนั้นยามจรดปากกาลงบนกระดาษ ช่างงดงามเหลือเกิน

          เจ้าชายหนุ่มค่อยๆ แกะซองจดหมายด้วยมือสั่นเทา ด้านในมีกระดาษจดหมายที่พับเรียบร้อยอยู่สองสามแผ่น พอคลี่ออก ละอองไอน้ำก็สาดกระเซ็นเข้ามาราวกับต้องการเน้นย้ำเนื้อความในจดหมายให้เด่นชัดมากขึ้น
 

          เด็กน้อยที่รักของเราเอย......

          เราใช้เวลาคิดนานเหลือเกินในการเขียนจดหมายฉบับนี้ ประการหนึ่งเนื่องเพราะเราสูงวัยมากแล้ว ทำสิ่งเหล่านี้บางคราอาจเป็นการประจานตัวเองให้ได้อับอาย และอีกประการ ภาษาคอนเชียร์นั้น เราจำได้ไม่มากเท่าไรเลย อาจมีเขียนผิดบ้าง โปรดอภัยด้วย

          เราตรึกอยู่นาน สุดท้ายจึงได้เขียนจดหมายฉบับนี้ถึงเจ้า คงจะเป็นจดหมายฉบับแรกและฉบับเดียวที่เราจะเขียนในชาตินี้ อูห์รูนและผู้รับใช้คนอื่นดูจะวิ่งหาวัตถุดิบทำกระดาษให้วุ่นวายไปหมด ร่างกายเราแย่มากแล้ว จะให้ออกไปหาเองก็คงไม่ไหว ดูเราจะรบกวนผู้อื่นจนกระทั้งถึงช่วงเวลาสุดท้ายแห่งชีวิตจริงๆ

          เราเขียนจดหมายฉบับนี้ในห้องนอนของเราเอง บนแท่นนอนที่เคยมีเจ้าเคียงด้วย ยามนี้ห้องนอนของเราว่างเปล่ายิ่งนัก แม้กระทั้งรูปสลักสตรีมนุษย์ที่เราเคยพิศมองทุกเช้าเย็น ก็ได้พังทลายไปแล้ว ชีวิตของเราว่างเปล่าลงเรื่อยๆ

          กระนั้นเรายังคงคิดถึงยามได้ใกล้ชิดเจ้าเสมอๆ

          ยามจมลงสู่ห้วงนิทรา ความทรงจำครั้งได้อยู่ร่วมกับเจ้าผุดชัดขึ้นมาราวกับได้ย้อนเวลากลับไปมิปาน เรามีความสุขมากเหลือเกิน แต่เรามิอาจจมจ่ออยู่ในห้วงอดีตได้ตลอด เช่นเดียวกับที่เจ้าเองก็ไม่อาจฝันอยู่ได้ตลอด ความทรงจำนี้ สักวันหนึ่งเราคงลืมเลือนมันไป

          เรากลัวเหลือเกิน เราไม่อยากจะลืมเจ้าเลย....

         
          วันนี้ช่างในวังเอาสายสร้อยที่เราสั่งทำมาให้ ตราประจำตัวที่เจ้าทำให้เราจากหินภูเขาไฟตอนนั้น เราให้ช่างนำไปเข้ากับเม็ดพลอยสีแดงก่ำ พอเสร็จออกมาแล้วก็ดูสวยงามมากจริงๆ เรายังแอบหวังจะให้เจ้าได้เห็นสักครั้ง แต่คงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว ร่างกายเราย่ำแย่เต็มที เราทำได้เพียงสวมไว้ให้ได้นานที่สุด เผื่อจะคลายความคิดถึงเจ้าได้บ้าง

          พอสวมแล้ว พาลให้นึกถึงภาพเจ้าตอนมุดเล่นในปล่องร้อนนั่นเสียทุกที เรายังรู้สึกตกใจไม่หาย ชาวคอนเชียร์ช่างประหลาดแท้ พอนึกถึงเจ้าทีไร เรามักยิ้มขึ้นมาทุกที ท่าทางอูห์รูนคงเข้าใจว่าเราใกล้เสียสติเต็มทีแล้ว วาระสุดท้ายรุกคืบมาถึงเราเหมือนเงาดำที่เคลื่อนมาบดบังดวงจันทร์ ช้าๆ แต่ชัดเจนในความรู้สึกของเราเสียเหลือเกิน

 
          ยามนี้ เราแทบไม่รับรู้สิ่งภายนอกได้อีกแล้ว แม้กระทั่งดวงตาก็ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของอูห์รูนได้อีก ดังนั้น เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเขียนจดหมายอ่านออกหรือไม่ เราทำทุกอย่างโดยใช้ความทรงจำและกระแสจิตแทบทั้งหมด ร่างกายเราหมดความรู้สึกไปแล้ว กระทั่งปากกาที่ถืออยู่ยังต้องคอยให้อูห์รูนจับใส่มือเลย ความตายนอกจากน่ากลัวแล้วยังทำให้ผู้อื่นลำบากอีกด้วย

          ยังดีที่เราพอได้ยินเสียงบ้าง เลยยังพอกล่าววาจาได้อยู่ พอได้ยินแต่เสียงแล้ว ก็นึกถึงเจ้าขึ้นมาอีก หากมีเจ้าอยู่ เราคงพอจะหัวเราะได้มากกว่านี้

          ครั้งหนึ่งเราเคยคิดจะรั้งตัวเจ้าเอาไว้อยู่ข้างเราจนวาระสุดท้าย เนื่องเพราะเราพอใจเจ้ามากจริงๆ เราคงเป็นผู้ชราที่ขี้เหงาจนเห็นแก่ตัวไปแล้ว เราคิดกระทั่งจะรอให้ตัวเองดับสิ้นไปก่อน จึงค่อยส่งเจ้ากลับบ้าน แต่..โอ.....ไม่ใช่มีแต่เราผู้เดียวที่คิดถึงเจ้า ยังมีพี่ชายเจ้า พี่สาวเจ้า ชาวเมืองที่คอนเชียร์อีกเล่า เราเป็นเพียงผู้ที่เพิ่งเข้ามาเท่านั้น จะลุแก่อำนาจรั้งตัวเจ้าไว้ด้วยเหตุผลเห็นแก่ตัวเช่นนี้ดูจะไม่สมควรกับฐานะของเราเลย และเราพาลนึกถึงใบหน้าเจ้ายามได้เห็นวาระสุดท้ายของเรา โอ....หากเห็นเจ้าเศร้าในวาระสุดท้ายเช่นนั้น เราจะไปสงบได้อย่างไร
ดังนั้น เราจึงตัดสินใจส่งเจ้ากลับ เจ้าคงคิดถึงเราบ้าง แต่ในไม่ช้า ผู้ที่อยู่รอบๆ ตัวเจ้าจะทำให้เจ้าคลายความคิดถึงต่อเราไปได้เอง เนื่องเพราะเจ้ายังมีผู้อื่นให้ควรคิดถึงมากกว่าเรา

          แต่เราไม่อาจคิดถึงผู้ใดได้นอกจากเจ้าอีกแล้ว ยิ่งวาระสุดท้ายใกล้เข้ามาเท่าใด เรายิ่งคิดถึงเจ้ามากเป็นทวีคูณ คิดถึงจนทุรนทุรายไปหมด เราจึงตัดสินใจเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา เพื่อแบ่งเบาความคิดถึงนั้นลงบ้าง และให้อูห์รูนวุ่นวายมากกว่าที่เป็นอยู่ บอกกับเจ้า ทุกวันนี้เราได้แต่นั่งๆ นอนๆ แล้ว มีผู้คนมาเยี่ยมบ้าง แต่เราไม่ค่อยจะได้ยินหรือรับรู้เท่าไรแล้ว

          วาระสุดท้ายของเราคล้ายเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของผู้อื่น ได้ยินว่ายิ่งความตายใกล้เข้ามาเท่าไร ร่างกายของเราจะดูงดงามมากขึ้นเท่านั้น แต่สำหรับเราแล้ว รู้สึกเหมือนร่างกายค่อยๆ หายไปทีละส่วน ทุกวันนี้เราหาความสุขด้วยการจิตนาการถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตที่เราคงไม่มีโอกาสได้เห็น และเขียนจดหมายถึงเจ้า

          ดวงไฟสีน้ำเงินยามผุดขึ้นมาจากท้องน้ำแห่งอิลห์ลารินจะเป็นภาพอย่างไรกัน ตอนนี้ตาของเราก็มองไม่เห็นเสียแล้ว ยังไม่ทันถึงวาระสุดท้าย หลายส่วนก็ด่วนจากไปล่วงหน้า หูก็คล้ายจะเงียบลงทุกวัน ไม่รู้ว่าจะเขียนจดหมายถึงเจ้าได้อีกเท่าไร

 
          เราเขียนจดหมายถึงเจ้าทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะอ่านออกหรือไม่อีกแล้ว เราไม่กล้าใช้ให้อูห์รูนอ่านดู เพราะรู้สึกถ้อยความในจดหมายนี้ช่างน่าอายนัก เราผู้เป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่เขียนจดหมายพร่ำเพ้อถึงมังกรหนุ่มจากเมืองด้านบน มีชีวิตมาถึงตอนนี้เรายังพอเหลือยางอายอยู่บ้าง แต่ร่างกายเราในยามนี้แทบจะหมดความรู้สึกแล้ว เราไม่ได้ยินเสียงใดอีกแล้ว ยังรู้สึกอยู่แค่มือของอูห์รูนที่คอยประคองร่างของเราในบางครั้ง พอไม่ได้ยินเสียงคนอื่นแล้ว ในหัวของเราก็ได้ยินแต่เสียงของเจ้า ภาพที่เราเห็นก็มีแต่ภาพความทรงจำที่มีเจ้าอยู่

          เด็กน้อยที่น่ารักของเราเอย......

          มาถึงตอนนี้เรามีสิ่งหนึ่งที่จะต้องขอโทษเจ้า เราได้ทำสัญญาที่ไม่อาจเป็นจริงได้กับเจ้าไปเสียแล้ว เพราะทนเห็นสีหน้าจริงจังของเจ้าไม่ได้แท้ๆ เชียว เราจึงสัญญาเช่นนั้นลงไป ดูท่าเราจะใจอ่อนกับเจ้าจนถึงวาระสุดท้ายจริงๆ

          เราคงไม่อาจขึ้นไปรับเจ้าตามสัญญาได้

          เจ้าไม่ต้องรอเราอีกแล้ว มนต์สะกดทุกอย่างที่เราเคยใช้เล่นกับเจ้าเบื้องล่างนี้ เราคลายให้เจ้าจนสิ้นแล้ว อาจมีร่องรอยเหลืออยู่บ้าง แต่คงสลายไปในไม่ช้า เราคงไม่อาจได้เห็นดวงหน้าของเจ้าอีกแล้ว คงไม่อาจได้ยินเสียงเจ้าอีกแล้ว คงไม่อาจหัวเราะเยาะเจ้าได้อีกแล้ว

          แต่เราคงคิดถึงเจ้าจวบจนถึงลมหายใจสุดท้าย

          เราคงต้องจบจดหมายแล้ว เพราะเราแทบไม่รู้สึกว่าเขียนอยู่อีกแล้ว เรารู้ว่าจดหมายฉบับนี้คงทำให้เด็กน้อยเจ้าโศกเศร้าอยู่บ้าง แต่จงระลึกไว้เถิดว่านี่เป็นเพียงความทรงจำส่วนหนึ่งของเราที่อยากถ่ายทอดถึงเจ้าเท่านั้น ไม่มีค่าให้เสียใจนานเท่าไร แต่หากเจ้ามีจิตใจเอื้อต่อเราสักนิด จงระลึกถึงเราบ้างในวันข้างหน้า จดจำสิ่งดีๆ ที่เราเคยให้กับเจ้า ส่วนสิ่งร้ายๆ เอาเถิด...เจ้าจะจำเราก็ไม่ว่ากระไร ขอเพียงอย่าโศกเศร้าก็พอแล้ว

          เราอยากให้เจ้ายิ้มหลังอ่านจดหมายจบ ยิ้มให้กับเราที่จะกลับสู่จุดเริ่มต้น

          ขอให้พระแม่แห่งสายธารคุ้มครองเจ้าด้วย เด็กน้อยของเราเอย.......

 
          หูของอัสธาราธยังคงได้ยินเสียงคลื่นซัดสาดโขดหินได้อย่างชัดเจน ดวงตายังคงมองเห็นลายมือบนกระดาษจนถึงบรรทัดสุดท้าย นิ้วมือยังคงรู้สึกถึงตัวจดหมายที่ขยับตามแรงลมที่พัดมา

          แต่หัวใจคล้ายถูกแช่แข็งไปแล้ว

          กระทั่งจะกลืนน้ำลายยังรู้สึกเหมือนลำคอถูกบีบเอาไว้ เนิ่นนาน อัสธาราธจึงพอจะเงยหน้าขึ้นจากจดหมายฉบับนั้น ดวงตะวันคล้อยต่ำลงมากแล้ว กระทั่งคลื่นลมเองก็เหมือนจะสงบลงอย่างน่าประหลาด ละอองน้ำไม่กระเซ็นสาดเข้ามาอีกแล้ว เมื่อก้มลงอีกครั้ง เนื้อความในจดหมายก็เลือนไปเพราะความร้อนจนแทบสิ้นแล้ว และเมื่อลมทะเลพัดมาอีกวูบหนึ่ง จดหมายทั้งหมดก็พลันสลายกลายเป็นฝุ่นละอองไป

          ละอองสีขาวฟ้าพราวระยับปลิวไปในกระแสลม ต้องกับแสงแดดสีทองสุดท้ายของวัน กลายเป็นเกล็ดแสงสีรุ้งพราว

         
          อัสธาราธยังคงนั่งอยู่บนโขดหิน ปล่อยให้ละอองคลื่นกระเซ็นสาดร่างเป็นระยะ ดวงตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว รอบกายมืดสนิท ดวงหน้าคมคายเรียบเฉยราวกับรูปสลัก ดวงตาสีแดงเพลิงทอดมองไปยังท้องน้ำกว้างใหญ่เบื้องหน้า ภาพความทรงจำตั้งแต่ครั้งร่วงหล่นลงไปในท้องน้ำแห่งอิลห์ลารินครั้งแรกผุดขึ้นในห้วงความคิด

ทั้งความหวาดกลัว ความขลาด ความเขลา ความกล้าหาญ ความขัดเขิน ความรัก ความเสียใจ ถูกนัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่นั้นดึงให้แสดงออกมาจนหมดสิ้น อัสธาราธรู้สึกเหมือนตนเองผ่านห้วงฝันอันยาวนาน และลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกยากจะลืมเลือน

---------------------------------

ในความมืดแห่งอิลห์ลาริน ดวงจุดสีน้ำเงินเล็กๆ ค่อยๆ ผุดขึ้นสู่ผิวน้ำ หนึ่งดวง...สองดวง....สามดวง ทยอยผุดขึ้นมาทีละดวงสองดวงจนกลายเป็นจุดสีน้ำเงินสว่างสุดลูกหูลูกตา
งดงามสมฐานะและบารมีขององค์กษัตริย์จริงๆ

                “ทรงเสด็จกลับสู่ครรภ์แห่งพระมารดาเสียแล้ว...” อัสรานพึมพำเบาๆ ขณะมองดวงไฟสีน้ำเงินพราวลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ พระองค์เพิ่งเสร็จจากการว่าราชการ ร่างสูงสง่าเดินไปยังมุมห้องประทับ ประคองเอาโคมไฟวิจิตที่มีดวงไฟสีน้ำเงินเต้นระริกอยู่ภายใน เดินมายังบานหน้าต่าง อัสเธียร์ที่อยู่ในห้องด้วย เดินมายืนเคียงข้างอย่างเงียบๆ

          ไร้ซึ่งถ้อยคำใดอีก องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์เพียงเปิดโคมออก ดวงไฟสีน้ำเงินลอยออกจากตัวโคม ขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน สองพี่น้องแหงนมองตามขึ้นไป ก่อนจะโค้งตัวถวายความเคารพอย่างสูงสุดให้กับวาระสุดท้ายขององค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลาริน

         
          ดวงไฟสีน้ำเงินผุดขึ้นจากผิวน้ำและสูญสลายไปอย่างรวดเร็ว แต่ดวงหนึ่งสูญไป ดวงอื่นก็ผุดขึ้นมาแทนที่ จนคล้ายไม่มีวันจบสิ้น ดวงไฟมากมายลอยพ้นผิวน้ำขึ้นมานับจำนวนไม่ถ้วน งดงามราวภาพฝัน เงาประกายสีน้ำเงินยังคงสะท้อนอยู่ในดวงตาสีแดงเพลิง อัสธาราธผุดลุกขึ้นเงียบๆ

          ไม่เคยมีในบันทึกมาก่อน และต่อไปก็อาจจะไม่มีอีก ท่ามกลางดวงไฟสีน้ำเงินแห่งอิลห์ลาริน ดวงไฟสีแดงเพลิงขนาดใหญ่สว่างวาบขึ้นกลางท้องน้ำ ย้อมทาแสงสีน้ำเงินจนแดงฉานไปทั่ว เพียงชั่วอึดใจก็มลายหายไป คงเหลือไว้แต่ดวงไฟสีน้ำเงินพรายที่ยังผุดขึ้นมาเช่นเดิม

          อัสธาราธยืนอยู่บนโขดหิน ไม่ทราบเป็นคราบน้ำที่กระเซ็นขึ้นมาต้องใบหน้าหรืออะไรกันแน่ที่เปื้อนอยู่ กระนั้นบนใบหน้าได้รูปก็ปรากฏรอยยิ้มบางเบา

 
          ลาก่อน....ผู้ที่ข้าพเจ้าจะรักจนตราบสิ้นชีวิต........

------------------------------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
ง่า เศร้ายิ่งกว่าเดิม ฮือๆๆๆ

nemesis

  • บุคคลทั่วไป
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :a5: :a5: :a5: o22 o22

น้ำตาไหลตามเลย

+1 ให้เลยอินมาก

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
 :o12:เศร้า น้ำตาไหลพรากๆเลย
ไม่น่าแอบอ่านตอนทำงานเลย
หมดแรงทำงาน แถมตาบวมด้วย โฮวววว

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ phakajira

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0

Have_a_hope

  • บุคคลทั่วไป
 :sad4: :sad4:

เศร้าค่ะ เศร้า รอตอนต่อไป อาจมีอะไรพลิกผัก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3

ออฟไลน์ reborn23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
 :m15:
มันเศร้า น้ำตาแทบล่วง

ออฟไลน์ BBnuna

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 299
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
เศร้ามากๆ น้ำตาร่วงเลย ไม่รู้ว่าสงสารใครมากกว่ากันT^T

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ร้องไห้แทนอัสธาราธเลยอะ

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
21 : บทอวสาน

                อัสรานเหม่อมองออกไปยังลานระเบียงด้านหน้าห้องทรงงาน พลางยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นสภาพครบสมบูรณ์พร้อมของราวระเบียงที่เริ่มเก่าไปตามสภาพ หากเป็นเมื่อห้าสิบปีก่อน รับรองว่าพระองค์คงไม่มีวันได้เห็นราวระเบียงที่สมบูรณ์จนเก่าได้ขนาดนี้เป็นแน่แท้ เงาสีแดงขนาดมหึมาโฉบผ่านหลังคาพระราชวัง เงาสีดำหดเล็กลงทันทีที่มาถึงหน้าที่ประทับ พอองค์กษัตริย์ก้าวออกไป ผู้มีเรือนผมสีแดงเกือบดำสนิทก็ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว

          “ชายแดนทางเหนือเป็นอย่างไรบ้าง?”

          “เรียบร้อยดีทุกประการ ข้าจัดการวางแนวเขตและตกลงเป็นพันธมิตรกับชาวเมอร์กิเดียนที่อาศัยอยู่แถวนั้นแล้ว”

          องค์อัสรานแย้มยิ้มอย่างพอพระทัย ก้าวเท้าเข้ามา ยกมือตบบ่าร่างสูงใหญ่นั้นเบาๆ

          “ขอบใจเจ้าจริงๆ อัสธาราธน้องชายข้า”

          อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพี่ชาย และยิ้มบางๆ เรือนผมสีแดงดำไล้ไปตามใบหน้าได้รูป ร่างกายดูสูงใหญ่กว่าเมื่อก่อนมาก ดวงตาที่เคยเป็นสีแดงเพลิงก็ดูคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าก็ดูสงบเรียบร้อยขึ้น เรียกได้ว่าโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่แล้ว

          อัสรานยิ้มให้กับผู้เป็นน้องชาย “เจ้านับวันดูแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สักวันเราจะสละตำแหน่งให้เจ้านั่ง จะได้หนีออกไปเที่ยวเล่นบ้าง”

          อัสธาราธยิ้มจนเห็นฟันในปาก พลางกล่าว “ท่านไม่ต้องสละตำแหน่ง ก็บังคับข้าให้พาออกไปเที่ยวเล่นไม่เว้นวันอยู่แล้ว เอาอย่างนี้เถิด ให้ข้าหาเจ้าสาวให้ท่านสักคน ท่านจะได้ถูกนางขู่บังคับบ้าง”

          “อืม....เราถูกท่านพี่หญิงขู่คนเดียวก็เกินพอแล้ว” อัสรานตอบ พลางหัวเราะอีก “กลับมาคราวนี้ อยากแช่น้ำเล่นกับเราก่อนหรือจะไปนั่งเล่นริมหาดก่อนเล่า?”

          “ท่านก็ทราบ ข้าเลือกข้อแรกก่อนเสมอ”

-----------------------------------------------

          อัสรานมองดูแผ่นหลังของน้องชาย อัสธาราธดูโตขึ้นมากจริงๆ กระทั่งสีผมเองก็เปลี่ยนแล้ว ถึงอย่างนั้นกลับมีพฤติกรรมแปลกประหลาดที่ดูน่าเป็นห่วงหน่อยๆ หลังจากเรื่องเมื่อห้าสิบปีก่อน น้องชายผู้นี้ก็เริ่มไปนั่งเล่นที่ริมหาด แม้จะไม่ได้ไปทุกวัน แต่ไม่เคยมีมังกรในคอนเชียร์ตนใดพิศวาสชายหาดมาก่อน อัสธาราธมักใช้เวลาว่างไปกับการนั่งคนเดียวตรงโขดหินแถวนั้น ไม่รู้ว่ารอใครหรือคิดอะไรอยู่กันแน่ หรือยังอาวรณ์ถึงรูปสลักนั้นอยู่

          ถึงจะเป็นกังวลอยู่บ้าง แต่ดูอัสธาราธจะไม่ทำอะไรไปมากกว่านั้นอีก อัสรานเลยพยายามทำใจว่าน้องชายคงแค่มีงานอดิเรกที่แปลกออกไปเท่านั้น

          อัสธาราธแช่น้ำจนพอใจก็ขื้นจากสระ แต่งตัวและเดินออกไปนอกวัง ตรงไปยังชายหาดอย่างที่เคยทำประจำมาตลอดห้าสิบปี

          แรกๆ เดินมาเพราะยังอาวรณ์ในตัวขององค์กษัตริย์แห่งสายน้ำที่สิ้นไปแล้วอยู่ แต่หลังๆ มานี้ คล้ายเป็นความเคยชินเสียแล้ว พอได้เห็นห้วงน้ำแห่งอิลห์ลารินก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา แม้จะรู้ว่าไม่มีวันได้พบอีกแล้วก็ตาม

          อัสธาราธปีนขึ้นนั่งบนโขดหิน ปล่อยให้ละอองคลื่นกระเซ็นใส่ร่างกายอยู่พักหนึ่ง จึงหยิบเอาหินลาวาในอกเสื้ออกมา จะนั่งเฉยๆ ก็ใช่ที่ อัสธาราธจึงหางานอดิเรกเพิ่มเติมโดยการแกะหินเป็นรูปอาวุธต่างๆ เอาไว้ให้บรรดาลูกของเหล่าพลทหารเอาไปหัดเล่นกัน

          การได้อยู่ท่ามกลางเสียงคลื่นทำให้จิตใจสงบอย่างประหลาด อัสธาราธรู้สึกมีความสุขมากจริงๆ ยามถูกละอองคลื่นกระเซ็นใส่ตัว เจ้าชายปล่อยให้เรือนผมสีแดงก่ำถูกสายลมพัดสยาย ขณะลงมือแกะสลักหินภูเขาไฟอย่างตั้งใจ

          !!

          อัสธาราธเงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำอยู่ รู้สึกเหมือนมีเงาอะไรบางอย่างว่ายอยู่ในห้วงน้ำตรงหน้า แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดจากอิลห์ลารินมาปรากฏตัวที่นี่หลายสิบปีแล้ว นับตั้งแต่การมาของข้ารับใช้แห่งสายน้ำในครั้งนั้น อัสธาราธยิ้มให้กับตนเอง ผ่านมานานแล้ว แต่บางครา ภาพความทรงจำในคราวนั้นก็ยังตามมาให้คิดถึงอยู่

          เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ก้มลงเตรียมจะสลักหินต่อ แต่แล้วก็พบว่ามีเงาสีดำว่ายผ่านผืนน้ำตรงหน้าไปจริงๆ หัวใจที่เต้นอย่างสงบมาหลายปีดูจะเต้นแรงขึ้นมาทันที อัสธาราธผุดลุกขึ้น มองตรงไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า และแทบจะหยุดหายใจ เมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา

          นัยน์ตาสีเขียวมรกต

          อัสธาราธรู้สึกว่าตัวเองตาฝาด มันจะเป็นไปได้อย่างไร ดวงตาสีนั้น... ผู้ที่มีดวงตาสีนั้น สิ้นไปเมื่อนานมาแล้ว เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ชะโงกมองลงไปยังผืนน้ำเบื้องหน้าอีกรอบ ท้องน้ำถูกก่อนกวนจนขุ่นข้น แสดงให้เห็นว่ามีตัวอะไรว่ายอยู่จริงๆ กระนั้นกลับไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตลึกลับนั้นอีก ยืนอยู่เป็นนานยังไม่เห็นอะไร อัสธาราธจึงบอกตัวเองว่าคงจะตาฝาดไปจริงๆ

          ขณะที่กำลังจะกลับลงไปนั่ง เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา

          “เจ้าเป็นผู้ใด?”

          อัสธาราธถึงกับสะดุ้ง เนื่องเพราะเสียงนั้นดังมาจากทางด้านหลัง หากผู้นี้หมายปองชีวิต ตนคงตายไปแล้วแน่แท้ เจ้าชายหันหน้ากลับไป และต้องงุนงงอีกครั้งเมื่อเผชิญกับความว่างเปล่า

          “เราอยู่ตรงนี้” เสียงเดิมดังขึ้น เหมือนจะดังมาจากตรงหน้านี่เอง อัสธาราธมองซ้ายมองขวา จวบจนก้มลงนั่นแหละ ถึงได้เห็นร่างเจ้าของเสียง เจ้าชายแห่งคอนเชียร์อุทานออกมาอย่างลืมตัว

          “เรเธียร์!”

          เจ้าของร่างนั้นสูงแค่เลยหัวเข่าเขาเล็กน้อยเท่านั้นเอง เรือนผมเป็นสีฟ้าอ่อนแทบจะขาว นัยน์ตาสีมรกตมองขึ้นมาอย่างสงสัย

          “เรียกชื่อผู้ใด?”

          อัสธาราธนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งด้วยความสับสน พอตั้งสติได้จึงค่อยนั่งลงคุกเข่าให้เสมอกับร่างเล็กตรงหน้า กล่าวยิ้มๆ

          “ชื่อของผู้ที่เรารู้จักผู้หนึ่ง ท่านมีนามใดเล่า?”

          ดวงตาสีเขียววาวจ้องมองเขาอีกครั้ง ด้วยสายตาตำหนิ “เจ้ายังไม่ได้ตอบเราว่าชื่ออะไร แล้วจะให้เราตอบเจ้าได้อย่างไร”

          อัสธาราธยิ้มเขินๆ และพูดตอบไป “ข้าพเจ้ามีนามว่าอัสธาราธ”

          ดวงตาสีเขียวกะพริบปริบๆ “ชื่อฟังดูแปลกหูพิลึก เจ้าเป็นชาวบกที่นี่?”

          ผู้ถูกถามพยักหน้า ดวงหน้าน้อยๆ เอียงคอมองอย่างสนเท่ห์ “เท่าที่เราจำได้ ชาวบกล้วนไม่ถูกกับสายธารแห่งอิลห์ลาริน เจ้าเป็นพวกผิดปกติ?”

          อัสธาราธหัวเราะออกมา พอเห็นอีกฝ่ายนิ่วหน้า จึงรีบพูดต่อ “ข้าพเจ้าไม่ได้ผิดปกติ ข้าพเจ้าเพียงแต่มารอผู้หนึ่ง รอไปรอมาเลยกลายเป็นเคยชินไปเสียแล้ว”

          “เจ้ารอผู้ใด?”

          อัสธาราธนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ อีกครั้ง “ไม่แน่ว่าผู้ที่ข้าพเจ้ารอจะจำสัญญาที่ให้ไว้ได้อีกหรือเปล่า”

          ร่างเล็กนิ่วหน้าอีกครั้ง “ผู้ใดให้สัญญาไว้ย่อมต้องจำได้”

          อัสธาราธยิ้มกว้างออกมา “เช่นนั้น ท่านยังจำได้สัญญาได้”

          “จำไม่ได้แล้ว” ร่างเล็กตอบสวนกลับทันที ก่อนจะทำหน้ามุ่ย “เราเพิ่งลืมตาได้ไม่กี่ปี ผู้อื่นก็หวังให้เราจำนั่นจำนี่ได้เสียแล้ว ใยไม่หัดจดจำกันเองบ้าง เรายังเป็นทารกอยู่ จะไปจำหมดได้อย่างไรเล่า”

          อัสธาราธเผลอหัวเราะออกมาอีก อีกฝ่ายยิ่งหน้านิ่วกว่าเดิม “ชาวบกช่างไร้มารยาทนัก!”

          กล่าวพลางสะบัดหน้าทำท่าจะกระโดดลงจากโขดหิน เจ้าชายแห่งคอนเชียร์รีบยื่นมือไปรั้งตัวไว้

          “ขออภัย เผอิญผู้ที่ข้าพเจ้ารู้จักเคยกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นทารก พอได้ยินท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าพเจ้าเลยอดขำมิได้”

          “โอ...ผู้เห็นเจ้าเป็นทารกต้องตาบอดแน่แท้” ร่างเล็กค่อนแคะ พลางดึงมือที่รั้งไว้ออกจากตัว “มือเจ้าร้อนยิ่ง เอาออก เรารู้สึกไม่สบายเลย”

          อัสธาราธปล่อยมือออกทันที และเอ่ยถามบ้าง

          “ท่านเล่า มาทำอะไรที่นี่ ดินแดนแห่งนี้ไม่มีชาวบาดาลมาปรากฏหลายสิบปีแล้ว”

          ดวงตาสีเขียวมรกตกะพริบปริบๆ อีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยวาจาออกมา “ไม่รู้”

          “แล้วกัน...” อัสธาราธคราง ได้ยินเสียงเดิมรีบพูดต่อ “เราแค่หนีผู้รับใช้ออกมา ผู้รับใช้นั้นจู้จี้จุกจิกกับเรายิ่งนัก เล่นด้วยก็ไม่สนุก เราจึงว่ายหนีออกมา ว่ายมาจนมาเจอเจ้านี่แหละ”

          อัสธาราธพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ร่างเล็กถลึงตาใส่ทันที “บอกกับเจ้าก่อน เรามิใช่เด็กหลงทางเด็ดขาด ที่ว่ายมาถึงนี่เพราะรู้สึกเหมือนมีใครรออยู่หรอก...”

          รอยยิ้มบนใบหน้าอัสธาราธกว้างกว่าเดิม “จำได้หรือไม่ ผู้ใดรอท่านอยู่”

          “จำไมได้” เสียงเดิมตอบปัดๆ พลางเบือนหน้าไปทางอื่นเสีย อัสธาราธขยับตัวเข้าไปใกล้อีก “ท่านจำไม่ได้จริงๆ ?”

          ร่างเล็กหันมาถลึงตาใส่ “เจ้าจะเซ้าซี้ไปใย เราบอกจำไม่ได้ก็คือจำไม่ได้ เราไม่รู้ว่าคนที่เรามาหาคือเจ้าหรือไม่ จะให้เราตอบไปได้อย่างไร”

          “นึกไม่ออกสักนิดเลยฤา?”

          มือน้อยผลักร่างสูงใหญ่ที่เคลื่อนเข้ามาออกทันที “อย่าเข้าใกล้เรามาก”

          “ทำไมเล่า?”

          “เรากลัวหัวใจวายตาย”

          อัสธาราธมองหน้าฝ่ายนั้นอย่างงงๆ ร่างเล็กกล่าวต่อ “พอเจ้าเข้ามาใกล้ หัวใจเราก็เต้นแรงแปลกๆ เจ้าต้องนำโรคมาสู่เราแล้วแน่แท้”

          ดวงหน้าน้อยๆ เริ่มกลายเป็นสีแดงระเรื่อ อัสธาราธขยับเข้าไปใกล้อีก และถูกผลักออกมา “ออกไป เจ้าเอาโรคมาติดเราแล้ว เราร้อนไปทั้งตัวแล้ว”

          อัสธาราธอดไม่ได้ต้องหัวเราะขึ้นมาอีก ก่อนจะรีบพูดต่อ “ท่านใจเย็นๆ เถิด โรคเช่นนี้ข้าพเจ้าเคยเป็นอยู่ รักษาได้ไม่ยาก”

          “รักษาอย่างไร? ให้เจ้าไปให้พ้นเรา?”

          “หากข้าพเจ้าไปพ้นท่าน ระวังท่านจะเป็นโรคหนักกว่าเก่า”

          “หึ เจ้าไปให้พ้น เรามีแต่จะหายจากโรค”

          “งั้นข้าพเจ้าไปแล้ว” กล่าวพลางกระโดดลงจากโขดหินทันที ได้ยินเสียงเล็กร้องเรียก “เดี๋ยว!!”

          “มีอันใด?”

          ร่างเล็กยืนเม้มปากอยู่บนโขดหิน พวงแก้มอูมๆ เป็นสีแดงเรื่อดูน่ารัก ได้ยินเสียงเดิมพูดต่อ “บอกเรามาก่อน โรคนี้รักษาอย่างไร?”

          อัสธาราธยิ้มอีกรอบ “ท่านจะลงมาก่อนหรือไม่?” กล่าวพลางเดินไปยกมือขึ้นอ้าแขนรอรับ ร่างเล็กยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมให้อุ้มลงมา

          “บอกเจ้าไว้ก่อน ความจริงแล้วเราขึ้นไปเอง ย่อมต้องลงมาเองได้”

          “ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าเพียงอยากจะอุ้มท่านเท่านั้น”

          “หึ....”

          “อาการดีขึ้นบ้างหรือไม่?”

          “.......................”

          “ท่าน......”

          มือน้อยๆ ตวัดโอบรอบคอร่างสูงใหญ่ ดวงหน้าน้อยๆ ซุกลงตรงอกอุ่น ริมฝีปากส่งเสียงอ้อมแอ้ม “อุ้มเราอย่างนี้อีกสักพัก”

          อัสธาราธพยักหน้า พลางประคองร่างเล็กในอ้อมกอดให้กระชับขึ้น ได้ยินเสียงเหมือนอัญมณีกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง สร้อยพระศอสีแดงก่ำขยับโผล่พ้นอาภรณ์นิ่มออกมา

          “สร้อยนี่....”

          “เป็นสร้อยของเราเอง ไม่ได้ขโมยมา” ร่างเล็กรีบตอบ อัสธาราธพยักหน้าอีกครั้ง และพูดต่อ “ขอข้าพเจ้าชมดูได้หรือไม่?”

          “ย่อมได้ เราสวมมา ย่อมอยากให้ผู้อื่นเห็นอยู่แล้ว”

          อัสธาราธยิ้มให้กับคำตอบนั้น ร่างเล็กขยับมือลงไปหยิบสร้อยออกมา “เราตอนนี้ยังตัวเล็กอยู่ เลยต้องคล้องเอาไว้สองทบ แต่ไม่นานคงสวมได้อย่างสง่า”

          ดวงตราประจำพระองค์ขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินที่ทำมาจากหินลาวามีลายสีทองปรากฏขึ้นตรงหน้า อัสธาราธหยิบขึ้นมาชมดูพักหนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นถาม “เหตุใดท่านจึงเลือกใส่สร้อยเส้นนี้เล่า?”

          “ไม่รู้”

          อัสธาราธผงกศีรษะอีกหน กระนั้นก็ยังไม่วายโดนอีกฝ่ายต่อว่า “เจ้าจะถามอะไรเรานัก เจ้าน่าจะรู้แก่ใจ”

          “ข้าพเจ้าอยากฟังจากปากท่าน”

          “ไว้ให้เราจำได้ก่อนแล้วกัน”

          “ตอนนี้ท่านยังจำไม่ได้”

          “ยัง”

          “แล้ว......”

          ยังไม่ทันจะถามอะไรต่อ เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมา “องค์กษัตริย์ เจ้าชายอัสธาราธ”

          พอมองออกไปยังริมโขดหินติดผืนน้ำแห่งอิลห์ลาริน เรือนร่างผอมเพรียวและเรือนผมสีฟ้าเทาก็ปรากฏอยู่ อูห์รูนมองตรงมาอย่างแปลกใจ ก่อนจะเดินปราดเข้ามา

          “โอ.....ข้าพระองค์เป็นห่วงแทบตาย ที่แท้พระองค์มาหาเจ้าชายจริงๆ “

          ร่างเล็กถลึงตาใส่ข้ารับใช้ ก่อนกล่าวย้อน “เรามิได้มาหาเจ้าชาย เราหนีเจ้ามาเฉยๆ เราไม่เห็นเจ้าชายสักคน”

          อัสธาราธอดไม่ได้ต้องยิ้มอีก ขณะที่อูห์รูนมีสีหน้างุนงง “พระองค์ยังจำไม่ได้? เจ้าชายอัสธาราธอุ้มพระองค์อยู่ โอ...เช่นนั้นเชิญเสด็จกลับวังเถิด เหล่าข้าราชบริพารเป็นห่วงพระองค์อย่างยิ่งแล้ว”

          ร่างเล็กสั่นศีรษะทันที “เราไม่กลับลงไปหรอก พวกเจ้าทุกคนเล่นด้วยไม่สนุกสักนิด มีแต่คนแก่เต็มไปหมด ให้เรานั่งๆ นอนๆ นึกเรื่องเก่าๆ ไปวันๆ เราเป็นเพียงเด็กทารกคนหนึ่ง ควรต้องมีเพื่อนเล่นบ้าง” พูดพลางหันไปมองผู้ที่อุ้มอยู่ “เจ้าเป็นเพื่อนเล่นให้เราได้หรือไม่?”

                “ข้าพเจ้าไม่มีปัญหา” อัสธาราธตอบ ร่างเล็กหันไปค้อนใส่ผู้รับใช้ทีหนึ่ง อูห์รูนกล่าวออกมาอย่างเป็นห่วง

          “พระองค์ไม่อาจทนอยู่บนที่ร้อนๆ เช่นนี้ได้ เสด็จกลับลงไปกับข้าพระองค์เถิด”

          “ผู้ใดว่าเราทนไม่ได้” เสียงเดิมกล่าว พลางหันไปมองผู้ที่อุ้มอยู่อีกรอบ “ตัวเจ้าร้อนราวกับไฟ เรายังทนให้อุ้มได้เลย พาเราไปที่ที่เจ้าอยู่สิ”

          “เจ้าชายอัสธาราธ” อูห์รูนเรียกอย่างเป็นห่วง ผู้ถูกเรียกหันมายิ้มน้อยๆ “อืม...ที่อยู่ข้าพเจ้าร้อนอย่างยิ่ง ไม่เหมาะกับพระองค์แน่แท้ เอาเช่นนี้เถิด ข้าพเจ้าจะสร้างวังริมน้ำสักหลัง หากพระองค์ประสงค์จะมาหาข้าพเจ้าอีก จะได้มาพบกันที่นี่”

          “อืม...เราไม่มาหาเจ้าหรอก” ร่างเล็กกล่าว ก่อนจะพูดต่อ “เราจะอยู่กับเจ้าที่นี่เลย”

          อูห์รูนมีสีหน้าเลิ่กลั่กขึ้นมาทันที “ทำเช่นนั้นไม่ได้...”

          “ไยจะไม่ได้ หรือเจ้ากังวลว่าที่นี่ร้อนจัด อย่างนั้นเราจะเรียกน้ำมาดับให้สิ้น”

          “ทำเช่นนั้นยิ่งไม่ได้เด็ดขาด” อัสธาราธพูดขึ้นมาบ้าง นัยน์ตาสีมรกตช้อนมองมาอย่างไม่เข้าใจ “แล้วจะให้เราทำอย่างไร?”

          อัสธาราธหันไปมองหน้าอูห์รูน ข้ารับใช้แห่งสายน้ำกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างยอมจำนน “หากเป็นพระประสงค์ ข้าพระองค์ก็คงไม่อาจขัดได้ ข้าพระองค์จะอยู่รับใช้ที่นี่ด้วย”

          “อืม....งั้นเราจะใช้เจ้าทันที ลงไปบอกพวกข้างล่าง ให้ขนหินขึ้นมาสร้างวังที่นี่ให้แก่เรา บอกด้วยว่าเราได้ชื่อให้ตัวเองแล้ว”

          “โอ....พระองค์จะฉลองพระนามแล้ว?”

          ร่างเล็กพยักหน้า ก่อนจะกล่าวออกมา “เราจะใช้ชื่อว่าเรเธียร์”

--------------------------------------------------------------

          ดวงตะวันลับขอบฟ้าแล้ว อัสธาราธมองดูร่างเล็กที่หลับผล็อยอยู่ในอ้อมกอด ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก เรเธียร์ที่ไม่ใช่เรเธียร์ แต่ก็คือเรเธียร์ เรื่องแบบนี้ยังมีอยู่ในโลกอีกหรือ?

          อูห์รูนหน้าไม่ค่อยสู้ดีเพราะไอร้อน ยืนมองไพร่พลแห่งคอนเชียร์ที่กำลังสร้างประรำชั่วคราวเพื่อเป็นที่พักขององค์กษัตริย์แห่งสายน้ำอยู่

          พออัสรานรู้ว่าองค์ยุวกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินดำริจะอยู่บนคอนเชียร์ ก็เร่งเรียกรวมไพร่พล และมาควบคุมการก่อสร้างด้วยตนเอง

          “ลำบากพระองค์มากจริงๆ “ อูห์รูนกล่าวเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่ทราบ องค์อัสรานแย้มยิ้มอย่างใจดี “ไม่เป็นไรหรอก เป็นพระประสงค์ขององค์กษัตริย์ จะขัดได้อย่างไร”

          กล่าวพลางหันกลับไปมององค์กษัตริย์วัยเยาว์ในอ้อมกอดของน้องชาย

          “อัสธาราธ เราสร้างวังให้เจ้าแล้ว อย่าได้วิ่งหนีลงน้ำไปอีก”

          อัสธาราธพลันหน้าแดงวาบ เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพี่ชายทันที อัสรานแย้มยิ้มอีกครา ก่อนจะหันหน้าไปออกคำสั่งกับไพร่พลต่อ

----------------------------------------------------

                กว่าประรำชั่วคราวจะเสร็จ ก็เป็นเวลาดึกสงัดแล้ว อูห์รูนขอกลับลงไปอยู่ในน้ำ เพราะทนอากาศร้อนด้านบนไม่ไหว บอกว่าถ้ามีเรื่องอะไรให้ตะโกนเรียก ขณะที่องค์ยุวกษัตริย์ยังคงหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ ไม่มีทีท่าว่าทรมานเลยสักนิด

          คล้ายคุ้นชินกับไอร้อนไปแล้ว

          ดังนั้นยามนี้ในประรำชั่วคราวจึงมีเพียงอัสธาราธและองค์กษัตริย์ที่หลับอยู่เท่านั้น อัสธาราธอุ้มองค์กษัติรย์ไว้ในอ้อมกอด พลางนึกว่าจะให้พระองค์นอนที่ใดดี ในพระอู่ก็ออกจะเล็กเกินไป บนแท่นนอนก็ดูจะกว้างเกินไป ท้ายที่สุดจึงตกลงใจจะนอนเคียงกัน เผื่อว่าองค์กษัตริย์นอนดิ้นจะได้ไม่ตกจากแท่นลงไป

          ขณะเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน รู้สึกคล้ายมีสัมผัสเย็นยะเยือกแตะลงตรงใบหน้า น้ำเสียงแผ่วเบาแต่คุ้นเคยเอ่ยกระซิบที่ข้างหู

          “เรากลับมาหาเจ้าแล้ว เด็กน้อยของเราเอย...”

------------------------------------------------------------

 (อวสาน)
*******************************
*******************************
*******************************
*******************************
ในที่สุดก็มาถึงบทสุดท้ายจนได้สำหรับเรื่องนี้ เรียกได้ว่าแทบไม่มีออกทะเล เขียนได้ตามแผนที่วางไว้ทุกประการค่ะ (จริงๆ คือต้องพยายามออกทะเลในบางตอนด้วยซ้ำเพื่อไม่ให้เรื่องมันห้วนจนเกินไป<<เอ๊ะ แต่มันก็อยู่ในทะเลอยู่แล้วนี่ฝ่า)
 
ฉากที่วางแผนจะเขียนให้ยิ่งใหญ่สุดๆ ในเรื่องนี้คือฉากตายของเรเธียร์ค่ะ แต่พอเอาเข้าจริงก็เหมือนจะได้เขียนนิดเดียวเอง (แต่ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะเขียนให้ละเอียดกว่านี้ได้อย่างไร อัสธาราธเองก็ไม่ได้ลงไปอยู่เล่าเรื่องแล้ว)

เหมือนจะเป็นเรื่องยาวเรื่องแรกที่สโคปตัวละครได้เป๊ะสุดๆ และน้อยสุดๆ คือคู่หลักแค่คู่เดียว และมีประเด็นหลักประเด็นเดียว (เรื่องอื่นนี่คู่เพียบ ประเด็นรองก็อื้อ) จริงๆ คือเรื่องแนวแฟนตาซีเป็นอะไรที่ไม่ค่อยถนัดอยู่แล้ว กลัวว่าถ้ามีตัวละครเยอะไป แล้วประเด็นมากไป จะกลายเป็นไม่จบในที่สุด เรื่องนี้เลยเป๊ะทุกอย่าง แล้วก็เขียนจบอย่างชิลๆ ไม่เหนื่อยเหมือนเรื่องอื่นๆ

อัสธาราธกับเรเธียร์มีคนเชียร์ให้สลับฝ่ายกันมากมาย (หลายคนถึงกับกรีดร้อง บีบคอให้คนเขียนจับสลับฝ่ายให้จงได้) แต่เราอยากให้คู่นี้เป็นที่จดจำค่ะ ฮ่าๆ (ถูกโบก) นิสัยแบบอัสธาราธเป็นเคะมีเยอะแล้ว เราจะให้เป็นเมะล่ะ!! ส่วนเรเธียร์ เคะไปเถอะ เมะขนาดนี้... แต่สารภาพกันตามตรงคือ อิมเมจอัสธาราธตอนแรกๆ ไม่เด็กน้อยขนาดนี้นะคะ แต่พอจับมาประกบคู่กับเรเธียร์(ที่แก่หงืบมาก) เลยกลายเป็นเด็กไปโดยอัตโนมัติ เขียนไปเขียนมาก็น่ารักดี.. น่ารักน่าเลี้ยงดีมากค่ะ ฮ่าๆ

โดยส่วนตัวชอบคาแรคเตอร์เรเธียร์มากกว่า เพราะเขียนยากดี(อีกแล้ว) เรเธียร์เป็นคาแรคเตอร์ที่เรียกว่าต้องระดมจินตนาการมาเขียน ตั้งแต่รูปร่างหน้าตา ยันลักษณะนิสัย เขียนมาจนถึงบทสุดท้าย ก็ยังกลัวอยู่ว่ามันจะไปขัดหูขัดใจคนอ่านรึเปล่าน๊า เรเธียร์ที่ดูเป็นผู้ใหญ่มาโดยตลอด มากลายเป็นเด็กน้อยเอาแต่ใจแบบนี้ แต่แบบว่าตั้งใจจะให้อัสธาราธเอาคืนเรเธียร์มาแต่แรกแล้วค่ะ (เพราะโดนแกล้งเยอะมากมาย)

ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดนะคะ

Ju~oN 13/04/2554

**ทอล์กต่อ ฮ่าๆ เรื่องนี้จบตั้งกะเดือน4ปีที่แล้วหรือนี่!! (อ้าว จบก่อนคุณไพฯนิดเดียวเอง ฮ่าๆ) อันที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่เขียนไว้นานมากค่ะ มีความผิดพลาดบานเบอะ เพราะว่าใช้ศัพท์ยาก+เก่า เรื่องที่มีกำหนดรวมเล่ม (น่าจะ) หลังนกยูงแดงนะคะ น่าจะรวมพร้อมกับคุณพนิตค่ะ ไว้มีข่าวความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบอีกทีในกระทู้นี้นะคะ^^

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4
อัสธาราธ จะกินเด็กแล้วสิ 55555

nemesis

  • บุคคลทั่วไป
แอร๊ยยยยยยยยยมเขิลๆๆ

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ฮา อัสธาราส เลี้ยงเด็กอะ อิอิ

ออฟไลน์ $VAN$

  • Moderator
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-6
สนุกมากค่ะ ความรักและการต่อสู้ของเผ่าพันธุ์มังกร
เรื่องนี้ชอบเรเธียร์ที่สุด ทั้งสวยสง่า ยิ่งใหญ่ (ตอนร่างมังกรเหมือนจะมหึมา น่ากลัวอยู่) ฉลาด แต่ขี้เล่น น่ารักดี
อัสธาราธ มังกรสีแดงดูร้อนแรง เข้มแข็ง จริงจัง แต่ก็อ่อนไหวไม่น้อย ตอนแรกได้ภรรยาแก่ ตอนจบ(จะ)ได้ภรรยาเด็ก อิอิ
แล้วก็ปลื้มอัสรานอ่ะ รูปร่างบางๆ (น่าเคลิ้ม) เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่น พึ่งพาและปรึกษาได้ น่าจิ้นนะคนนี้ หุๆ
อูห์รูนก็มีบทบาทมากๆเลยนะ ทื่อๆ เถรตรง จงรักภักดีสุดๆ บางทีก็ตลกดี

 :pig4:
+vote+duck

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด