[ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555  (อ่าน 118942 ครั้ง)

ออฟไลน์ Alone Alone

  • ขอตายในอ้อมกอดฮยอกแจ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
อ่านแล้วชอบคิดถึงก่งก๋งคงฉ่วย อิอิ

ออฟไลน์ l2ozen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 65
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ยิ่งอ่านยิ่งเชียร์ให้กดทารกเล่น

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
10 : ทิฐิของจอมกษัตริย์

          รสชาติของการจมน้ำทะเลอัสธาราธเคยทดลองแล้ว แต่กับคลื่นแรงขนาดนี้เขาเพิ่งเคยเผชิญเป็นครั้งแรก เกลียวคลื่นยักษ์พัดม้วนทุกอย่างเข้าไปในตัวของมัน ราวกับจะบดขยี้ อย่าว่าแต่หยัดยืนอยู่กับที่ ตอนนี้ร่างกายใหญ่โตหมุนวนอยู่ในห้วงน้ำอย่างไร้ทิศทาง ถูกเกลียวคลื่นหฤโหดกระแทกซัดจนวิงเวียนไปหมด น้ำทะเลเค็มเฝื่อนทะลักเข้าปากเข้าจมูก ในความพร่าเลือนของฟองอากาศสีขาว นัยน์ตาสีเขียวมรกตพลันปรากฏขึ้น อัสธาราธเหมือนได้ยินเสียงตัวเองพึมพำ

          “พระองค์มาแล้ว...”

          “ดื่มโลหิตเราเสีย” น้ำเสียงราวปรายฟองดังสะท้อนก้อง ร่างสีดำเลื่อมน้ำเงินขนาดโตจนไม่อาจจินตนาการพาดเข้ามา อัสธาราธอ้าปากขย้ำลงไปบนเกล็ดขนาดใหญ่นั้นเต็มแรง เลือดสีน้ำเงินพราวกระจายฟุ้งไปทั่วผืนน้ำที่ม้วนวนเกิดเป็นวงประหลาด คล้ายร่างมโหฬารนั้นสะดุ้งด้วยความเจ็บปวด กระนั้นมังกรไฟหนุ่มซึ่งอยู่ในห้วงภาวะคับขันมิได้นำพา สัญชาตญาณแห่งการรักษาชีวิตเหนี่ยวนำให้บดซี่ฟันลงไปลึกขึ้น ดื่มกินโลหิตจากร่างใหญ่โตนั้นอย่างบ้าคลั่ง จวบจนหายใจในน้ำได้คล่อง จึงค่อยดึงสติกลับมาได้

          “เด็กน้อยเจ้าคิดจะกินเรา?”

          น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยคล้ายติดตลก ร่างมโหฬารพลันเลอะเลือนกลายเป็นเกลียวคลื่นสีน้ำเงิน ก่อนจะกลับมารวมกันอีกครั้ง รอยยิ้มพริ้มพรายปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม

          “แลดูเด็กน้อยเจ้าดูตัวใหญ่ขึ้นมากว่าครั้งนั้นเล็กน้อย”

          อัสธาราธรู้สึกตกประหม่าทันที โดยปกติหากคืนร่างมังกรแล้วย่อมไม่อยากกลับไปสู่ร่างกลางง่ายๆ แต่ตอนนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด รู้สึกหากต้องเผชิญหน้ากับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำ สู้ลงไปเผชิญกันในร่างกลางจะดีกว่า อย่างน้อยส่วนสูงยังเหนือกว่ากันบ้างเล็กน้อย เกล็ดสีแดงค่อยๆ เคลื่อนสลับตำแหน่ง ไม่นานร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าองค์กษัตริย์ ทันใดนั้นผู้มีเรือนผมสีแดงก็เอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง

          “บาดแผลนั่น...?”

          แม้ถูกเรือนผมสีน้ำเงินบดบัง แต่บาดแผลฉกรรจ์บนเนินไหล่ขาวก็มิอาจถูกปิดได้หมด กษัตริย์แห่งสายน้ำหัวร่อเบาๆ

          “บาดแผลเล็กน้อย เจ้าอย่าได้กังวล”

          แม้จะกล่าววาจาเช่นนั้น แต่ขนาดบาดแผลไม่เล็กน้อยดั่งคำพูดเลย อัสธาราธเหม่อมองอย่างรู้สึกผิด ท้ายที่สุดองค์กษัตริย์จึงดึงคอเสื้อขึ้นปิดมันเสีย ก่อนจะกล่าวสืบต่อ

          “เราไม่คาดเลยว่าผืนดินจะแปรเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้”

          เจ้าชายแห่งคอนเชียร์เพิ่งรู้สึกตัวว่าสายน้ำรอบตัวหยุดลงแล้ว ยามนี้ทั้งเขาและองค์กษัตริย์ลอยอยู่เหนือผืนดินเน่าเฟะ โดยมีห้วงน้ำกว้างช่วยพยุง

          “พระองค์บันดาลให้น้ำท่วม?”

          อัสธาราธถามขึ้นอย่างตื่นตระหนก เมื่อเห็นองค์กษัตริย์พยักพระพักตร์ก็พลันตระหนักถึงอำนาจยิ่งใหญ่ของพระองค์ขึ้นมาได้ หากต้องถูกน้ำท่วมเช่นนี้ ดินแดนแห่งคอนเชียร์คงไม่เหลือซากแน่ๆ เจ้าชายหนุ่มรู้สึกการเสียสละของตนคุ้มค่าที่สุดแล้ว มองเห็นจ้าวแห่งสายน้ำแย้มยิ้ม

          “เจ้าว่าเราโหดร้ายหรือไม่?”

          อัสธาราธเหลียวมองไปรอบกาย พลทหารแห่งบาดาลในรูปร่างต่างๆ ทะยานผ่านผืนน้ำเข้ากลุ้มรุมศัตรูที่อยู่ในสภาพมิอาจต่อต้านอะไรได้อีก สีเลือดสาดกระจายไปทั่วคุ้งน้ำ พาให้รู้สึกสยดสยอง เพราะตนเองก็เคยเผชิญสภาพเช่นนี้มาก่อน พอเห็นอีกฝ่ายมิตอบคำถาม องค์กษัตริย์จึงทรงทอดถอนใจจนเป็นฟองพราว

          “เราทราบ ความจริงเราเป็นผู้โหดร้าย”

          “หามิได้!”

          อัสธาราธรีบกล่าว ก่อนจะพูดต่อเร็วปรื๋อ

          “ข้าพเจ้ายอมรับ เคยพบพานเรื่องน่ากลัวในสายน้ำของพระองค์ ยอมรับว่าภาพตรงหน้าสยดสยอง แต่นี่เป็นการทำศึก ผู้ใดเลยจะหลีกเลี่ยงความโหดร้ายได้ ในฐานะที่พระองค์เป็นกษัตริย์ ข้าพเจ้าทราบว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องสมควรเป็นที่สุดแล้ว”

            “แต่เราทำเด็กเจ้าเกือบตาย ใช่หรือไม่?”

          คนถูกถามสั่นศีรษะ

          “ข้าพเจ้ายังไม่ตาย ท่านอย่าได้รู้สึกผิดกับเรื่องนี้”

          “อืม...” จ้าวแห่งสายน้ำพึมพำในลำคอ ก่อนจะแหงนพระพักตร์ขึ้น กล่าวถ้อยคำ

          “คล้ายยังเหลือตัวเสนียดใหญ่รอดอยู่อีกตัวหนึ่ง”

          พูดจบพลันทะยานร่างขึ้นไปอย่างรวดเร็ว มังกรหนุ่มว่ายตามขึ้นไปทันที
 

          รุซซาร์คลอยตัวอยู่เหนือฝืนน้ำด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น น้ำจากมหาสมุทรไหลท่วมสูงมิดยอดไม้ อำนาจใดเลยจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แม้รอดจากสายน้ำ แต่มองไปทิศใดก็พบเห็นแต่ห้วงนทีกว้าง ขณะพยายามหาหนทางหนี เกลียวน้ำสายหนึ่งก็พุ่งทะยานขึ้นมา

          ละอองน้ำต้องแสงแดดเป็นประกายพราวระยับ กระนั้นเรือนผมสีน้ำเงินและดวงหน้าผุดผาดที่ปรากฏขึ้นหลังม่านละอองน้ำนั้น ยิ่งดูระยิบระยับยิ่งกว่า จอมเวทย์พลันชะงักสายตา ด้วยมิคาดในโลกจะมีสิ่งสวยงามถึงเพียงนี้ ใช้ชีวิตมายาวนานหลายร้อยปี ยังไม่เคยพบเห็นสิ่งใดงดงามเช่นนี้มาก่อน ร่างกายนั้นมิได้ตกแต่งอัญมณีใดเป็นพิเศษ มิได้สวมใส่เครื่องประดับหรือเสื้อผ้าสวยหรูใด แต่กลับดูงามสง่าจนมิอาจบรรยายได้

          ในความสวยงาม น้ำเสียงราวฟองคลื่นเอ่ยขึ้นช้าๆ ชัดๆ

          “ผู้ล่วงละเมิดดินแดนแห่งอิลห์ลาริน จักต้องได้รับโทษทัณฑ์”

         
          อัสธาราธว่ายขึ้นไปยังไม่ทันถึงผิวน้ำ ก็พบบางสิ่งบางอย่างร่วงหล่นลงมา เสื้อผ้าสีดำขลิบทองแบบนั้น ย่อมเป็นจอมเวทย์ผู้นั้นไม่ผิดแน่ แต่เหตุไฉนถึงได้ร่วงหล่นลงมาในน้ำด้วยสีหน้าหวาดกลัวเช่นนั้นเล่า ยังมิทันได้คิดหาคำตอบ มือเรียวก็ยื่นมาจับไหล่เขาเอาไว้

          “คิดจะติดตามเราขึ้นไปบนผิวน้ำ? หรือเด็กเจ้ายังดื่มเลือดมิพอ?”

          ใบหน้าสวยงามขององค์กษัตริย์พลันเปลี่ยนเป็นจริงจังจนคนถูกถามเกิดอาการหวั่นเกรง รีบสั่นศีรษะ

          “มิได้ ข้าพเจ้ามิปรารถนาทำร้ายพระองค์อีก”

          “เช่นนั้นอย่าได้ขึ้นไปเหนือผิวน้ำ เราคาดคงเหลือเลือดไม่มากพอให้เด็กเจ้าดื่มเล่น”

          เจ้าชายหนุ่มได้แต่พยักหน้า ยอมรับว่าเมื่อครู่หน้ามืดเพราะกลัวตายจริงๆ ไม่รู้ว่าดื่มกินไปเท่าไร แต่คงมากเสียจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยปากบอก คิดแล้วช่างน่าอับอายเป็นยิ่งนัก

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำพิศดูสีหน้ามังกรหนุ่มพลันหัวร่อเบาๆ

          “สีหน้าเด็กเจ้าไฉนทำเราขบขันอีกแล้ว อืม...เจ้าสร้างผลงานน่าประทับใจ ไว้กลับถึงอัลโดรธ์เมื่อไหร่ เราจะให้รางวัลเจ้าอย่างงาม”

            อัสธาราธเงยหน้ามององค์กษัตริย์ก่อนเอ่ยถามอย่างนึกขึ้นได้

          “จอมเวทย์นั่น!”

          ยังไม่ทันจะหันกลับไปมอง เงาร่างสีดำสนิทก็ว่ายเฉี่ยวศีรษะไป แค่แวบเดียวร่างกายของเจ้าชายหนุ่มพลันสั่นกระตุกอย่างไม่อาจควบคุม

          “ผู้พิทักษ์แห่งเรา เหมือนเจ้าเคยพบแล้ว..”

          น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ย อัสธาราธพยักหน้า เขาเคยพบผู้พิทักษ์ที่ว่า และแทบเอาชีวิตไม่รอด ไม่นึกเลยแค่ได้พบอีกเพียงเสี้ยววินาที อาการหวาดกลัวก็ผุดพุ่งออกมาเสียแล้ว องค์กษัตริย์ลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

          “เรารับรองจะไม่ให้เด็กเจ้าพบเจออีก”

          เจ้าชายหนุ่มพลันสั่นศีรษะ

          “มิได้ ข้าพเจ้าหวาดกลัวจริง แต่ข้าพเจ้ามิปรารถนาจะหวาดกลัวไปโดยตลอด ดังนั้น.....”

          มังกรแห่งคอนเชียร์พลันเบือนหน้าไปด้านหลังช้าๆ แทบจะหยุดหายใจ ผู้พิทักษ์แห่งอิลห์ลารินรูปร่างแปลกประหลาด จะเป็นปลาก็ไม่ใช่ จะเป็นคนก็ไม่เชิง คล้ายเป็นหลายสิ่งหลายอย่างปะปนกัน เกล็ดสีดำคล้ำออกเลื่อมพรายสีใดนั้นยากจะบอก แถมมิได้ปกคลุมไปตลอดตัว แต่ปกคลุมอยู่บางส่วน หูยาวเป็นครีบมีเดือยแหลมงอกยื่นสั้นบ้างยาวบ้างอย่างไร้รูปแบบ นัยน์ตาสามคู่ที่เรียงลำดับจากส่วนที่ดูจะเป็นใบหน้ายาวไปจนถึงบนศีรษะ สีเหลืองปูดโปน ฟันยาวยื่นสีขาวออกคล้ำ ร่างกายใหญ่โต สภาพน่าเกลียดน่ากลัวเกินจะบรรยาย

          ผู้พิทักษ์ที่ปรากฏตรงหน้า มิใช่มีเพียงหนึ่งตน แต่มีราวๆ ห้าตน ทั้งห้าตนกำลังว่ายล้อมจอมเวทย์ซึ่งพยายามจะดิ้นรนหนีห้วงความตายสุดชีวิต พวกมันไม่ได้เข้าโจมตีในทีเดียว ต่างตนต่างโฉบทึ้งส่วนต่างๆ จากร่างเล็กนั่นราวกับต้องการสร้างความทุกข์ทรมานให้เหยื่อ อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตากว้าง ยามนี้ไม่หลงเหลือความเคียดแค้นชิงชังต่อจอมเวทย์อีก ในหัวมีความคิดเพียงแต่ต่อสู้กับความหวาดกลัวที่ผุดพุ่งขึ้นในจิตใจ

          เหตุการณ์เช่นนี้เขาเองก็เคยเผชิญมาก่อน

         
          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำทอดพระเนตรดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบๆ ทรงทราบเป็นเวลานานแล้วว่าผู้พิทักษ์ของพระองค์มีนิสัยโหดร้าย และแม้แต่พระองค์เองยังมิอาจทนดูผู้พิทักษ์เหล่านี้จัดการกับเหยื่อ แต่อาคันตุกะซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกพวกบรรดานั้นทำร้าย กลับพยายามจะเผชิญหน้ากับสิ่งดังกล่าว

          เผชิญหน้ากับสิ่งที่ตนหวาดกลัว

          ฉับพลันภาพของใครคนหนึ่งพลันซ้อนขึ้นมาในห้วงความคิด ใครคนนั้นที่ประทับอยู่ในดวงใจของพระองค์มาเนิ่นนาน ความกล้าหาญที่มีช่างคล้ายคลึงกันเหลือเกิน

          องค์กษัตริย์พลันสืบเท้าไปตรงหน้าอย่างลืมตัว เอื้อมมือจะคว้าร่างตรงหน้าไว้ แต่ก็พลันระลึกรู้สึกตัว

          นี่มิใช่นางผู้นั้น....

            ความปวดแปลบแล่นสะท้านจากขั้วหัวใจไปตลอดเส้นประสาท ตั้งแต่ดำรงพระชนม์มายังไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน องค์กษัตริย์ถึงกับผงะร่าง คราแรกคิดว่าหัวใจของพระองค์อาจจะกระทบกระเทือนจากเหตุการณ์ครั้งอดีต แต่พอสำรวจร่างกายอีกที จึงพบว่าบาดแผลบริเวณเนินไหล่ขยายตัวลุกลามมากขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนแผ่พุ่งออกมาตามรอยพุพองบนบาดแผล ระลึกได้ทันทีว่าไม่เคยถูกสิ่งมีชีวิตที่อัดแน่นไปด้วยความร้อนแห่งเพลิงกาฬทำร้ายมาก่อน ความร้อนระอุทำร้ายพระวรกายจากภายใน คล้ายดั่งพิษร้ายที่เริ่มลามไปทั่ว เรเธียร์เงยหน้าขึ้นมองมังกรไฟหนุ่มตรงหน้า คาดไม่ถึงเลยว่านี่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต บาดแผลเช่นนี้ปล่อยให้ลุกลามย่อมไม่เป็นการดีแน่ แต่จะแก้ไขอย่างไรเล่า....

          ขณะที่กำลังตรึกถึงเรื่องบาดแผลอย่างจริงจัง อัสธาราธก็เบือนหน้ากลับมา องค์กษัตริย์พยายามปั้นสีหน้าให้เรียบเฉยที่สุด พลางเอ่ยปากถาม

          “หายหวาดกลัวแล้ว?”

          คนถูกถามไม่สั่นศีรษะ ทั้งไม่พยักหน้า ได้แต่ยืนกะพริบตา สักพักใหญ่จึงเอ่ยปาก

          “ท่านบาดเจ็บ?!”

---------------------------------------------------

            อัสธาราธพูดอะไรไม่ออกตลอดทาง ระหว่างพยายามต่อสู้กับความกลัวในจิตใจของตนเอง ก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปรของสายน้ำเบื้องหลัง คล้ายองค์กษัตริย์ที่มีท่าร่างมันคงในฝืนน้ำมาโดยตลอด ซวดเซไปเล็กน้อย สมองของมังกรหนุ่มพลันฉุกคิด เรื่องใดเล่าทำพระองค์ยังกายไว้ไม่อยู่ได้ ครั้นพอหันกลับไปจึงได้พบเห็นบาดแผลที่กำลังลุกลามกว้าง ผู้สร้างบาดแผลฉกรรจ์นั้นย่อมมิใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวเขาเอง ดูคล้ายแม้ร่างกายขององค์กษัตริย์จะสมานตัวเองได้รวดเร็ว แต่กับบาดแผลที่เกิดจากปากของมังกรไฟแล้ว การสมานนั้นคงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ กระนั้นองค์กษัตริย์เองยังยืนยันหนักแน่น ว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องน่ากังวล ทั้งยังฝืนพระวรกายคืนร่างเดิมเพื่อดำเนินกลับสู่อัลโดรธ์ ตลอดทางในห้วงน้ำลึกล้ำ เลือดสีน้ำเงินพรายไหลซึมออกจากปากแผลโดยตลอด

          ระหว่างที่นั่งอยู่บนหลังจ้าวแห่งสายน้ำ อัสธาราธลืมความหวาดกลัวในตัวของพระองค์จนหมดสิ้น เหลือเพียงความรู้สึกผิดจับขั้วหัวใจ มือกว้างแนบลงไปบนแผ่นเกล็ดหนา คล้ายต้องการถ่ายทอดความรู้สึกของตนให้พระองค์ได้รับรู้

          หากโอบกอดสรีระนี้แล้วพาดำเนินลงไปเองได้ ตัวเขาเองก็พร้อมที่จะทำ....

-----------------------------------

          องค์กษัตริย์ทรงพระประชวนทันทีที่เสด็จถึงอัลโดรธ์ หรือจะพูดให้ถูกคือเพิ่งได้พักการตรากตรำพระวรกายที่บาดเจ็บ บาดแผลนั้นฉกาจฉกรรจ์เพียงใดมิมีผู้ใดมีโอกาสพบเห็น นอกเสียจากแพทย์หลวงและผู้รับใช้ใกล้ชิดนามอูห์รูน ตอนแรกอัสธาราธยังมีความหวังว่าหลังจากผ่านการร่วมรบด้วยกัน ข้ารับใช้ผู้นี้จะรู้สึกดีกับเขาขึ้นมาบ้าง แต่พอเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ความไม่พอใจที่มีอยู่ก่อนหน้าคล้ายถูกถมเพิ่มเข้าไปอีก เจ้าชายหนุ่มไม่กล้าอยู่สู้หน้าผู้รับใช้ กระนั้นก็อยากจะฟังความคืบหน้าของพระอาการ วันหนึ่งจึงรวบรวมความกล้าไปถาม

          “องค์กษัตริย์ มีพระอาการเช่นไร?”

          อูห์รูนมีสีหน้าดั่งรูปปั้นเช่นเคย กระนั้นก็ยังเอ่ยปากตอบคำถาม

          “ไม่ดีเท่าไหร่”

          อัสธาราธสีหน้าสลดลงทันที ขณะที่คิดหาคำพูดต่อ เสียงของอูห์รูนก็ดังขึ้น

          “เราทราบ ท่านมิได้ตั้งใจจะทำร้ายพระองค์ พระองค์ไม่ถือโทษท่าน เราก็ไม่ถือโทษท่าน ทรงมีพระดำรัสมา ว่าหากท่านปรารถนาสิ่งใดให้จัดหาให้ท่าน แม้พระองค์จะไม่อาจเสด็จไปส่งท่านได้ในยามนี้ แต่จะเขียนพระราชสาส์นให้ท่านเป็นการส่วนพระองค์ และฝากมอบถึงองค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ด้วย”

          เจ้าชายหนุ่มนิ่งงันไปพักใหญ่ มองดูผู้รับใช้อยู่นาน ก่อนสั่นศีรษะ

          “ข้าพเจ้ามิต้องการจะไปในตอนนี้”

          สีหน้าของอูห์รูนปรากฎแววสนเท่ห์อย่างเห็นได้ชัด ไม่รอให้ทางนั้นเอ่ยปาก อัสธาราธรีบพูดต่อ

          “ให้ข้าพเจ้าเข้าไปดูอาการของพระองค์ได้หรือไม่?”

          “ทรงไม่ต้องการพบผู้ใด” ผู้รับใช้ตอบคำในทันที อัสธาราธมองหน้าเขาอีกพักหนึ่ง จึงเอ่ยสั้นๆ

          “ข้าพเจ้ามีความปรารถนาจะเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์”

------------------------------------------

          อูห์รูนนำอัสธาราธมาจนถึงหน้าห้องบรรทม หลังจากหยุดยืนอยู่พักหนึ่ง จึงเปิดประตูเข้าไปในห้อง โดยสั่งให้เจ้าชายหนุ่มยืนรอก่อน

          ยืนรออยู่พักหนึ่ง ผู้รับใช้จึงเปิดประตู

          “เข้ามา”

          อัสธาราธเพิ่งมีโอกาสได้เข้ามาเยือนห้องบรรทมขององค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเป็นครั้งแรก สิ่งที่สะดุดตาดุจะเป็นรูปสลักหญิงสาวที่อยู่ตรงผนังห้อง แต่เจ้าชายหนุ่มไม่มีแก่ใจจะชมความงามของรูปสลักมากนัก นัยน์ตาสีแดงเพลิงกวาดสำรวจไปรอบห้อง ก่อนจะพบแท่นบรรทมอยู่ถัดออกไป หน้าแท่นมีฟองอากาศสีขาวผุดพรายขึ้นราวกับม่านกั้น อัสธาราธก้าวเท้าไปช้าๆ นอกจากตัวเขาและอูห์รูนแล้ว ในห้องไม่มีผู้ใดอยู่อีก

          “มีเรื่องใด?” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้น แม้ไม่เห็นหน้า แต่น้ำเสียงนั้นไม่แจ่มใสเหมือนทุกที หัวใจของมังกรหนุ่มหวิววูบ

          “ข้าพเจ้าต้องการมาดูพระอาการของพระองค์”

          “เรามิเป็นอะไรมาก เด็กเจ้ามิต้องวิตก”

          “เช่นนั้นข้าพเจ้าขอพบพระพักตร์?”

          เสียงราวฟองคลื่นเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะตอบออกมา

          “เรื่องนั้นคล้ายไม่จำเป็นเท่าใดนัก”

          “เรเธียร์!” การเอ่ยชื่อเฉยๆ ยังความไม่พอใจให้แก่ผู้รับใช้เป็นอันมาก แต่ที่หนักข้อกว่านั้นคือพฤติกรรมของเจ้าชายหนุ่ม มิใช่เพียงแต่เรียกชื่อองค์กษัตริย์ห้วนๆ กระทั่งยังพยายามจะแหวกม่านฟองเข้าไปหาพระองค์ถึงแท่นบรรทมอีกด้วย พบเหตุเช่นนี้มีหรืออูห์รูนจะไม่โกรธจนเลือดขึ้นหน้า ผู้รับใช้ปราดเข้าไปหมายจะคว้าตัวเจ้าชายเอาไว้ด้วยอารมณ์โทสะ แต่ดูจะช้าไปเพียงครู่ เมื่อผู้มาจากเบื้องบนหายเข้าไปในม่านฟอง

          “องค์กษัตริย์!!”

          อูห์รูนได้แต่ส่งเสียงเรียกอย่างเป็นห่วง เขามิอาจฝ่าฝืนคำสั่งห้ามเข้าไปหลังม่านฟองนี้ได้ แต่ผู้นั้นได้บุกรุกเข้าไปแล้ว จะให้เขาทำอย่างไรดีเล่า ได้ยินเสียงของผู้เป็นที่เคารพตอบกลับ

          “เรา..ไม่เป็นไร”

          อัสธาราธยืนเผชิญหน้าอยู่กับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำที่ทอดพระกายอยู่บนแท่นบรรทม สีหน้าที่เคยแย้มยิ้มพริ้มพรายดูซูบซีดไปถนัด บาดแผลพุพองลุกลามมาจนแทบจะถึงใบหน้า ดูได้เพียงครู่เดียวก็ต้องหลับตาลงด้วยความสลด

          “ข้าพเจ้า.....”

          มังกรหนุ่มกล่าวได้แค่นั้นก็พลันคุกเข่าลง ซบใบหน้าลงกับขอบหินซึ่งเป็นแท่นบรรทมด้วยความรู้สึกปวดร้าวที่มิอาจอธิบายได้ ได้ยินเสียงตรัสอ่อนโยน

          “เราไม่ต้องการให้เจ้าเห็นเราในสภาพนี้เลย เด็กเอย”

          มือเรียวเลื่อนมาลูบศีรษะของผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่เบาๆ ก่อนจะเอ่ยปากต่อ

          “นี่ไม่ใช่ความผิดเจ้า เป็นเราที่ประเมินพลาดเอง อืม...ชีวิตหนึ่งย่อมต้องมีเรื่องพลาดพลั้งกันบ้าง”

          “แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่!” เจ้าชายหนุ่มโพล่ง เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ซูบซีดขององค์กษัตริย์ ผู้ถูกมองยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

          “เรื่องใหญ่ใดเล่า แม้เราสิ้นชีวิตไปยามนี้ รับรองได้ไม่มีผู้ใดถือโทษเจ้า และไม่มีผู้ใดเดือดร้อน แม้จะโศกเศร้าอยู่บ้าง แต่ก็เป็นธรรมดาของชีวิต อีกอย่าง เรามีชีวิตในร่างนี้มาเนิ่นนานแล้ว การตายสำหรับเราคล้ายการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เท่านั้นเอง”

            อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมองอย่างตระหนก

          “ความทรงจำของท่านเล่า? เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ท่านยังจดจำชุดเก่าได้อยู่หรือ? หากไม่มีความทรงจำ จะถือเป็นตัวท่านได้อีกหรือ หากพบกันในร่างใหม่ ท่านจะยังรู้จักข้าพเจ้าหรือ? ข้าพเจ้ายังมิอยากให้ท่านจากไป ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้ายังไม่ได้ตอบแทนสิ่งใดแก่ท่านเลย”

          มือเรียวยังคงลูบศีรษะที่มีเรือนผมสีแดงนั้นอย่างเอ็นดู พลางกล่าวตอบคำ

          “ถึงเรามิสิ้นในยามนี้ อีกไม่นานเราก็สิ้นอายุขัยอยู่ดี ถึงอย่างไรเจ้ามิอาจรั้งชีวิตเราเอาไว้ได้หรอก”

          “เช่นนั้น พระองค์อยู่ต่อไปอีกไม่ได้หรือ อยู่ต่อไปจนสิ้นอายุขัยของพระองค์ อย่าได้สิ้นเพราะตัวข้าพเจ้าเลย”

          “เรื่องนี้ไม่อาจแก้ไขได้แล้ว บาดแผลไม่อาจรักษา ความร้อนของเจ้าเป็นภัยกับร่างเราจนเกินไป นับเป็นความผิดพลาดของเราทั้งหมด”

          “ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าไม่มีทางรักษา” อัสธาราธกล่าวออกมา องค์กษัตริย์เพ่งนัยน์ตามองเขาอย่างงุนงง

          “เจ้ามีความรู้?”

          ผู้ถูกถามพลันสั่นศีรษะ กล่าวต่อ “ข้าพเจ้าไม่มีความรู้ด้านการรักษา เผ่าพันธุ์ของข้าพเจ้าไม่เคยนิยมการรักษา กระนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับวิชาแพทย์ของเผ่าพันธุ์ท่านกลับเป็นที่ร่ำลือในดินแดนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยากเรียนถามพระองค์สักเรื่องหนึ่ง ครั้งก่อนตอนพระองค์ช่วยข้าพเจ้าไว้ ทรงใช้วิธีใดเยียวยาบาดแผลข้าพเจ้าเล่า?”

          “เรื่องนั้น.....” น้ำเสียงราวฟองคลื่นเอ่ยค้างได้แค่นั้น ก่อนจะเบือนหน้าไปทิศอื่น

          “วิธีนั้นย่อมไม่อาจใช้กับเราได้”

          “เพราะเหตุใด?”

          “เนื่องเพราะมีเพียงเราเท่านั้นที่มีความสามารถเช่นนั้น ผู้อื่นไม่อาจทำได้”

          “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ” อัสธาราธตอบ มองดูองค์กษัตริย์อย่างงุนงง ผู้นอนอยู่บนเตียงดูมีสีหน้าอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด

          “เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจ ขอเพียงรับรู้ หากเราสิ้นมิใช่ความผิดของเจ้า”

          “ข้าพเจ้าต้องการรับรู้ ท่านรักษาข้าพเจ้าด้วยวิธีใด”

          “เจ้าจะรู้ไปเพื่อเหตุใด?”

          “เพราะข้าพเจ้าจะใช้วิธีนั้นรักษาให้ท่าน”

          “ไม่ได้!”

          เรเธียร์กล่าวเสียงหนักแน่น มังกรหนุ่มถามต่อ

          “ทำไมเล่า? บอกแก่ข้าพเจ้าเถิด มิเช่นนั้นข้าพเจ้าจำต้องเดาเอาเอง”

          “เจ้าไม่จำเป็นต้องเดา เราบอกไม่มีคือไม่มี ไม่ได้คือไม่ได้!”

          น้ำเสียงขององค์กษัตริย์ดูขุ่นเคืองขึ้นมาทันใด อัสธาราธมองดูร่างที่นอนอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถอดถอนใจ

          “ข้าพเจ้าเพิ่งทราบ คนสูงวัยเช่นท่านบางทีกลับถือทิฐิไม่เข้าท่า แม้ท่านตัดสินใจจะสิ้นไปแบบนี้แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป”

          “เจ้า!”

          องค์กษัตริย์ตวาดด้วยโทสะ ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง มังกรหนุ่มก็ทะลึ่งตัวเข้ามา แนบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของพระองค์ เรียวลิ้นร้อนฉ่าชำแรกเข้าไปอย่างไม่กลัวตาย เรเธียร์ตกตะลึงจนลืมขยับตัว นอนนิ่งให้อีกฝ่ายคว้านปลายลิ้นไปจนทั่วโพรงปาก อัสธาราธถอนริมฝีปากออกหลังจากนั้น ดึงอาภรณ์ที่ปกปิดเรือนร่างขององค์กษัตริย์ออก และแนบริมฝีปากลงไป

          ความเย็นซ่านผสมกับความอุ่นร้อนแผ่กระจายไปทั่วสรรพางกายอย่างรวดเร็ว อัสธาราธแนบจูบประโลมไปทั่วบาดแผล ได้สักครู่หนึ่งก็โน้มตัวลงจูบองค์กษัตริย์ใหม่ ครั้งนี้ผู้มีวัยสูงกว่ามีท่าทีฮึดฮัดขึ้นมานิดหน่อย แต่พอริมฝีปากแตะถูกบาดแผล เสียงถอนหายใจอย่างผ่อนคลายก็ตามมา

          บาดแผลฉกรรจ์สร้างความทุกข์ทรมานให้กับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำมานานหลายเวลาแล้ว พอได้ประสบกับความเย็นซ่านแบบแปลกๆ เช่นนี้ แม้ขุ่นเคืองอยู่ในพระทัย แต่ก็ยินยอมให้มังกรหนุ่มดำเนินการกระทำต่อ อัสธาราธแนบริมฝีปากสลับกันไปเช่นนี้เป็นระยะเวลาหนึ่ง จึงพบว่าบาดแผลค่อยๆ สมานตัวอย่างช้าๆ สีหน้าของมังกรหนุ่มดีขึ้นในบัดดล

          “ข้าพเจ้าคาดถูก น้ำลายท่านที่แท้มีฤทธิ์รักษาได้”

          มือเรียวรีบยื่นมาปิดปากนั้นไว้ ก่อนจะเอ่ยเสียงดุ

          “ผู้ใดใช้ให้เจ้าพูดเสียงดัง นี้เป็นเรื่องที่เราไม่ต้องการให้ผู้ใดรับรู้มาก่อน”

          “ทำไมเล่า?” เจ้าชายหนุ่มถาม หลังจากอีกฝ่ายยอมยกมือออกไปแล้ว องค์กษัตริย์เบือนหน้าไปทางอื่น

          “หากผู้อื่นรู้ มิถ่อมาให้เราเลียทั้งวันหรือ”

          “แต่ท่านเคยเลียข้าพเจ้า”

          มือเรียวยื่นมาปิดปากเขาเอาไว้อีกรอบ ครั้งนี้อัสธาราธดึงออก

          “ครั้งนั้นข้าพเจ้าเข้าใจ ท่านหมายจะรับประทานข้าพเจ้าเป็นอาหาร เพิ่งมานึกได้ว่าบาดแผลของข้าพเจ้าหายขาดหลังจากนั้นไม่นาน”

          “ตอนนั้นเราเพียงอยากทดลองชิมเลือดมังกรไฟดูหรอก”

          องค์กษัตริย์ตรัสเสียงค่อย ยังคงเบือนพระพักตร์ไปในทิศอื่น ได้ยินเสียงมังกรหนุ่มหัวร่อเบาๆ

          “ชิมแล้วเป็นอย่างไร ถูกปากท่านหรือไม่?”

          “หากถูกปาก ไหนเลยเราจะปล่อยเจ้าไว้”

          “เช่นนั้นเป็นโชคดีที่เลือดข้าพเจ้าไม่อร่อย”

          อัสธาราธกล่าว และยิ้มกว้าง

          “บาดแผลท่านรักษาได้ ข้าพเจ้าจะรักษาให้ท่าน”

          เรเธียร์ยังไม่ทันกล่าววาจาใด ริมฝีปากร้อนฉ่าก็แนบมาอีกคราหนึ่ง

--------------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ misso

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
ดันบวกจิ้ม อะฮึ้บ~

อยากบอกว่าชอบเรเธียร์มากๆเลย รักคน(มังกร)แก่ :o8:

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ ชะรอยน้อย

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 973
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-0

ออฟไลน์ reborn23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
วิธีรักษา  o13
ขออีกได้ไหม

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1

ออฟไลน์ พิรุณสีเงิน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
วิธีรักษามัน  :o8: :o8: :o8:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






yunjaeonly

  • บุคคลทั่วไป
ค้างอย่างแรง  ไงต่อดีน้ออออออออออออออ :z1: :z1: :z1:


 :pig4:

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
เลียกันเพลินไปเลย 555

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
11 : ในห้วงจิตถวิลหา

          อัสธาราธได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเป็นการส่วนตัวหลังม่านน้ำอีกหลายวัน อาการดีวันดีคืนหลังจากนั้นทำให้ผู้รับใช้นามอูห์รูนมีความสงสัยอยู่ในจิตใจเป็นยิ่งนัก พอเอ่ยปากถามกับองค์กษัตริย์เองก็ถูกปฏิเสธกลับมา คล้ายกับวีธีรักษานั้นเป็นความลับยิ่งนัก โดยปกติอูห์รูนเป็นคนเชื่อฟังคำกล่าวขององค์กษัตริย์เสมอมา แต่ด้วยไม่เคยได้ยินว่ามังกรไฟมีความสามารถในการรักษา แม้ถูกองค์กษัตริย์บอกกล่าวแล้วก็ยังไม่อาจทิ้งข้อสงสัยนั้นลงไปได้ วันหนึ่งขณะกำลังจะออกไปค้นหาตัวยามาทำโอสถบำรุงให้องค์กษัตริย์บังเอิญสวนกับเจ้าชายแห่งคอนเชียร์

          “ท่าน....”

          “เรามีนามอูห์รูน เรียกเราอูห์รูน”

          อูห์รูนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย อัสธาราธมิทราบสมควรทำหน้าเยี่ยงไรเมื่อพบกับผู้รับใช้ตนนี้ จึงพยายามแค่นรอยยิ้มตอบกลับไป

          “อนุญาตให้ข้าพเจ้าเรียกชื่อตรง?”

          “มีเหตุใดแปลก? นอกจากองค์กษัตริย์ ด้วยฐานะเช่นท่านสามารถเรียกชื่อผู้อื่นตรงๆ ได้”

          “อ้อ...” เจ้าชายแห่งคอนเชียร์พยักหน้า พลางรู้สึกคล้ายถูกสั่งสอนทางอ้อม แม้รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ยังตระหนักรู้ว่าอยู่ในเขตอำนาจผู้ใด หากก่อเรื่องทะเลาะวิวาทขึ้นมายามนี้ย่อมไม่เป็นผลดีแน่แท้ จึงฝืนกล่าวสืบต่อ

          “ท่านกำลังจะไปที่ใด?”

          “ออกไปหาตัวยามาปรุงโอสถให้กับองค์กษัตริย์” อูห์รูนตอบ อัสธาราธทำท่าจะอ้าปากต่อ แต่ถูกอีกฝ่ายชิงถามขึ้นก่อน

          “วันนี้ท่านไม่ไปเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์?”

          “มิต้อง” อัสธาราธกล่าว ยังไม่ทันจะพูดต่อ อูห์รูนก็กล่าวขึ้นอีก

          “เช่นนั้นท่านสะดวกไปเก็บตัวยากับเรา?”

          เจ้าชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ ตั้งแต่พบเห็นหน้ากัน ข้ารับใช้ผู้นี้คล้ายไม่ชมชอบขี้หน้าตนมาแต่ต้น ยิ่งเป็นสาเหตุให้องค์กษัตริย์ได้รับบาดเจ็บบางตาย ยิ่งถูกสายตาสีฟ้าเทามองอย่างจงเกลียดจงชัง ที่จริงอัสธาราธตั้งใจจะช่วยเหลือเรื่องหาตัวยาจริง แต่ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะออกปากชวนก่อน อึ้งอยู่เป็นนานจึงพยักหน้าออกไปได้

          นัยน์ตาสีฟ้าเทาเหลือบมองมาอีกพักหนึ่ง จึงพยักหน้าตอบ

          “ตามเรามา”

----------------------------------

          สถานที่เก็บตัวยาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากพระราชวังยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลารินมากนัก เป็นหน้าผาลึกหน้าผาหนึ่ง เป็นหนที่สองที่อัสธาราธได้นั่งบนร่างมังกรของอูห์รูน

          “ที่นี่เรียกว่าอะไร?” เจ้าชายหนุ่มถามหลังจากผู้รับใช้แห่งอิลห์ลารินปล่อยเขาลงสู่ยอดผาและคืนสู่ร่างกลาง

          “หุบผาเสียงสะท้อน” ข้ารับใช้ตอบสั้นๆ แต่ทำให้ผู้ถามคิ้วขมวด

          “เรียกชื่อเช่นนี้ ใช่มีที่มา?”

          “ย่อมมีที่มา” อูห์รูนกล่าวพลางพลิ้วกายลงไปในปากเหว ทำให้อัสธาราธต้องกระโดดตามลงไปด้วย

          หุบผาลึกแม้ลึกพอสมควร แต่พอกระโดดลงมาแล้วร่างกายกลับมิได้ร่วงละลิ่วเหมือนยามอยู่บนบก คล้ายค่อยๆ ลอยลงมามากกว่า ริมขอบผามีพรรณไม้ใต้น้ำสีสันแปลกตามากมาย อัสธาราธชมดูจนตะลึงลาน ระหว่างนั้นคล้ายได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง

          “นี่นี่มีผู้อื่นอาศัยอยู่?” เจ้าชายหนุ่มเอ่ยปากถามอีกครา อูห์รูนสั่นศีรษะ

          “ที่นี่มิมีผู้ใดอาศัยอยู่”

          อัสธาราธรู้สึกงงงันวูบ “ได้ยินเสียงพูดคุยอยู่ชัดๆ ใยบอกมิมีผู้ใดอยู่อาศัย”

          “ออ...” อูห์รูนส่งเสียงในลำคอ พลางกล่าวสืบต่อ “รบกวนเจ้าชายเงี่ยหูสดับฟังให้ชัดๆ คงจะจำได้ว่าเป็นเสียงผู้ใด”

          อัสธาราธอดขมวดคิ้วออกมาไม่ได้ กระนั้นก็ยังสู้อุตส่าห์ทำตามคำแนะนำ เสียงกระซิบกระซาบคล้ายดังขึ้นมาบ้างนิดหน่อย

          “วันนี้ท่านมิต้องไปเฝ้าองค์กษัตริย์?” “มิต้อง” “เช่นนั้นท่านสะดวกไปเก็บตัวยากับเรา?”

          ถ้อยคำคล้ายเคยได้ยิน น้ำเสียงก็คุ้นหู นัยน์ตาสีแดงเบิ่งโพลง

          “ข้าพเจ้าได้ยินถ้อยคำที่พวกเราสนทนากันเมื่อครู่!”

          อูห์รูนพยักหน้าและกล่าวสืบต่อ “หุบผานี้สะท้อนเสียงที่อยู่ในภวังค์ความคิด มิมีผู้ใดทนอยู่กับเสียงของความของตนได้ เราจึงบอกท่าน ที่นี่มิมีผู้ใดอาศัยอยู่”

          “อา...ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว” เจ้าชายแห่งคอนเชียร์กล่าวพลางพยักหน้า หันไปมองหน้าข้ารับใช้ พลางนึกสงสัยว่าอูห์รูนได้ยินเสียงใดบ้างรึเปล่า

          “ท่านมาที่นี่บ่อยหรือไม่?”

          “ย่อมไม่บ่อย เรามิชอบได้ยินเสียงสนทนา”

          “ออ” อัสธาราธพยักหน้าอีกครา อูห์รูนเหลือบมองเจ้าชายแห่งคอนเชียร์แวบหนึ่ง และเอ่ยขึ้น

          “เราอยากถามท่านเรื่องหนึ่ง?”

          “?”

          “ท่านใช้วิธีใดรักษาองค์กษัตริย์?”

          “อ้อ...” อัสธาราธร้อง ก่อนจะกล่าวต่อ “เรื่องนี้พระองค์สั่งห้ามมิให้ข้าพเจ้าบอกผู้ใด?”

          อูห์รูนพยักหน้า ในเมื่อองค์กษัตริย์แสดงพระประสงค์จะปกปิดเช่นนี้ ก็ไม่ควรหาเรื่องสอบถามเพื่อรบกวนพระราชหฤทัย แต่กระนั้นยังคงมีข้อสงสัย

          “เราสังเกตเห็นพระโอษฐ์ดูบวมแดงผิดปกติ นี่ใช่ผลสืบเนื่องจากการรักษา?”

                อัสธาราธพลันรู้สึกร้อนวูบไปทั้งใบหน้า ตะกุกตะกักถามออกมา

          “พระโอษฐ์ดูบวมขึ้นจริงๆ ?”

          “ย่อมจริง ไม่เช่นนั้นเราคงไม่เอ่ยถามท่าน” อูห์รูนกล่าวและเบือนหน้ากลับมามองผู้พูด ใบหน้าที่ยามปกติไม่ค่อยแสดงอารมณ์ใดกลับปรากฏแววแตกตื่น

          “ท่านเป็นอะไรแล้ว ไฉนใบหน้ากลายเป็นสีแดงเยี่ยงนั้น?”

          “!”

          เสียงพูดของอูห์รูนได้ยินชัดก็จริง แต่เสียงกระซิบในห้วงคำนึงคล้ายดูจะดังกว่า

          “ริมฝีปากขององค์กษัตริย์นุ่มนวลชวนให้อยากสัมผัสซ้ำเป็นยิ่งนัก”

            “ผิวกายก็ละเอียดละมุนลิ้น หากได้สัมผัสยิ่งกว่านี้....”

            “หากได้ยลพระสิริโฉมใกล้ชิดมากกว่าที่เป็นอยู่”

            “หาก...”

          อัสธาราธพลันยกมือขึ้นตบบ้องหูตัวเองฉาดใหญ่ จนรู้สึกหูอื้อตาลาย ได้ยินเสียงอูห์รูนอุท่านซ้ำ
“เจ้าชาย!!!”

                อัสธาราธหันกลับไปมอง พลางฝืนยิ้ม

          “ท่านมิต้องตกใจ ข้าพเจ้ากำลังรักษาโรคของตนเองอยู่”

          “โรค?” อูห์รูนทวนคำด้วยสีหน้าสนเท่ห์ “เมื่อครู่ท่านไม่สบาย?”

          เจ้าชายแห่งคอนเชียร์รีบพยักหน้า และกล่าวสืบต่อ “นี่เป็นโรคเฉพาะของชาวคอนเชียร์ ท่านมิต้องตกใจหากพบเห็นข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้อีก โรคนี้ไม่ร้ายแรง ย่อมสามารถหายได้เองในระยะเวลาหนึ่ง”

          อูห์รูนพยักหน้าหงึกหงัก แม้ไม่เคยพบเห็น ผู้ใดรักษาโรคด้วยการตบบ้องหู แต่สีหน้าของเจ้าชายก็กลายเป็นปกติอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น คงต้องจดจำไว้ว่าพวกมังกรไฟมีวิธีรักษาโรคประหลาดแบบประหลาดๆ
 

          อัสธาราธนึกสาปแช่งตัวเอง ใยต้องคิดลามกแบบนั้นกับองค์กษัตริย์ด้วย นี่มิใช่เรื่องสมควรแม้จะจินตนาการด้วยซ้ำ พอได้ยินเสียงแช่งด่าตัวเองดังเตือนสติอยู่ในหัว จึงพอจะมีสติกลับมาสนใจเหตุการณ์ตรงหน้าต่อ

          “ท่านต้องการหาตัวยาใด”?

          มองเห็นข้ารับใช้เอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้ทะเลสีสันคล้ายรุ้งเลื่อมพรายมียอดเป็นพุ่มกลม ยามถูกเด็ดเห็นละอองคล้ายเกสรกระจายวาบเป็นสีสันสดใสกระจายแล้วเลือนหายไป

          “ท่านต้องการต้นพวกนี้” อัสธาราธถามอีกครา คนถูกถามพยักหน้า

          “ต้องการอีกสองต้น ท่านช่วยเรามองหา หากพบอย่าได้ทดลองเด็ดเอง เกสรนี้มีพิษอยู่”

          เจ้าชายแห่งคอนเชียร์พยักหน้า และถามต่อ “นี่เรียกว่าต้นอะไร?”

          “ผู้พยุงจิต” อูห์รูนตอบ คนฟังอดไม่ได้ต้องขมวดคิ้วกับชื่อเรียก คล้ายข้ารับใช้ยังพอมีแก่ใจอธิบายต่อ

          “องค์กษัตริย์แม้ทรงพระสิริโฉมงดงาม ไร้ร่องรอยความแก่ชรา แต่พระวรกายนี้ดำรงมานานนัก ยิ่งถูกอาการบาดเจ็บสาหัสรุมเร้าย่อมมิอาจรองรับดวงจิตแกร่งกล้านั้นได้อย่างเต็มที่อย่างที่ผ่านมา เรามีความเป็นห่วงจึงจำต้องจัดโอสถไปถวาย”       

          “ออ” เจ้าชายหนุ่มพยักหน้าอีกครา คล้ายเคยได้ยินองค์กษัตริย์ตรัสถึงเรื่องนี้เช่นกัน ที่ว่าดวงจิตดวงเดิมจะจุติเพื่อกลับมาหยั่งลงยังร่างใหม่เพื่อสืบทอดราชบัลลังก์ต่อ

          “หากร่างกายมิอาจรองรับดวงจิตนั้นได้ จะเกิดสภาพเช่นไรเล่า”

          “ดวงจิตย่อมละทิ้งร่างเดิม เพื่อเปลี่ยนไปสู่ร่างใหม่ที่แข็งแกร่งพอจะทนทานอำนาจจิตนั้นได้”

          อัสธาราธพลันรู้สึกสะท้านไปทั่วทั้งร่าง นั่นมิใช่หมายถึงการสิ้นสูญขององค์กษัตริย์หรอกหรือ? แม้ทราบว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนร่างใหม่ แต่ความทรงจำในร่างนี้ย่อมต้องเลอะเลือนไปยามดวงจิตเคลื่อนออก มังกรหนุ่มรีบสอดส่ายสายตามองหาตัวยาที่ว่าทันที

          ระหว่างนั้นคล้ายได้ยินเสียงตนเองกล่าวถ้อยคำ
“ความทรงจำของท่านเล่า? เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ท่านยังจดจำชุดเก่าได้อยู่หรือ? หากไม่มีความทรงจำ จะถือเป็นตัวท่านได้อีกหรือ หากพบกันในร่างใหม่ ท่านจะยังรู้จักข้าพเจ้าหรือ? ข้าพเจ้ายังมิอยากให้ท่านจากไป ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้ายังไม่ได้ตอบแทนสิ่งใดแก่ท่านเลย”

                หนำซ้ำยังคล้ายเห็นพระพักตร์องค์กษัตริย์ลอยเลื่อนมาในห้วงความคิด

          อัสธาราธเบือนสายตาไปมอง ประสบกับวัตถุรูปร่างประหลาด ทรงกลมเป็นพุ่มหนาสีเลื่อมพราย ทรงกลมนั้นอยู่ใกล้จนแทบจะทิ่มเข้าไปในลูกนัยน์ตา ยามประสบพบ พุ่มกลมพลันกระเพื่อมเหมือนกำลังเต้นระบำ ละอองเกสรกระจายวาบเข้าสู่ใบหน้า ได้ยินเหมือนเสียงอูห์รูนอุทาน

          “แย่แล้ว!”

--------------------------------------------

          วินาทีนั้นอัสธาราธคล้ายรู้สึกเหมือนถูกคลื่นใหญ่ถ่าโถม เพียงแต่ไม่คล้ายคลื่นน้ำ คล้ายคลื่นควันสีเลื่อมพราย ดำบ้าง ขาวบ้าง มีสีสันบางสลับกันไป ประสาทการรับรู้ทั้งห้าเหมือนถูกจับหมุนควงสว่าน ไม่สามารถแยกแยะทิศทาง รับรู้เสียง รสชาติ หรือความรู้สึกใดเพื่อให้คำจำกัดความได้ ระหว่างที่กำลังงุนงงแตกตื่น ก็พลันพบว่าตนเองถูกซัดกระเด็นเข้ามาในไอม่านควันบางอย่าง สีสันแปลกตา หมุนคว้างลอยอยู่โดยรอบ

          เจ้าชายแห่งคอนเชียร์มองไม่เห็นตัวเอง คล้ายรับรู้ทุกอย่างโดนสภาพจิต ไม่รู้สึกร้อนหนาว ไม่รู้สึกว่าตนเองเคลื่อนที่ แต่กลับรู้สึกเหมือนกลุ่มควันรอบๆ เคลื่อนผ่านไป

          กลุ่มควันพร่าเลือน บางคราสีออกคล้ำ บางคราใสคล้ายแผ่นแก้ว รวมตัวบ้าง แผ่กระจายบ้าง ไหลผ่านการรับรู้ไป ในความเคลื่อนไหวอันน่าประหลาด เหมือนเห็นเงาร่างหนึ่งสะท้อนอยู่ไกลๆ

          รูปลักษณ์คล้ายสตรีชาวมนุษย์นางหนึ่ง

          รูปลักษณ์นั้นดูชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ยามเคลื่อนเข้ามาใกล้ เป็นสตรีชาวมนุษย์ที่สวมชุดคล้ายนักรบยืนอยู่บนหน้าผาหินริมทะเล มองเห็นเกลียวคลื่นสีขาวซัดต้องโขดหินฟุ้งกระจาย ในมือของนางถือดาบที่เปรอะไปด้วยสีแดงของหยาดโลหิต

          สตรีนางนั้นกวัดแกว่งดาบในมืออย่างห้าวหาญ แต่กระนั้นยังมิอาจต้านทานห่าธนูที่ถูกยิงออกมาจากอีกฝั่งหนึ่ง ลูกธนูนับไม่ถ้วนทะลวงร่างของนางจนเสียหลักพลัดตกหน้าผา เลือดสีแดงฉานฟุ้งกระจายไปทั่วผืนน้ำ ร่างบอบบางจมดิ่งลงเรื่อยๆ กลิ่นโลหิตดึงดูดเหล่าสัตว์ร้ายในทะเลให้กลุ้มรุมเข้ามา กระนั้น แม้บาดเจ็บสาหัส สตรีนางนี้ยังกัดฟันเงื้อดาบในมือ ฟันเข้าใส่สัตว์ร้ายพวกนั้นอย่างอาจหาญ

          อัสธาราธพลันรู้สึกสะท้อนในจิต สตรีนางนี้ช่างกล้าหาญอย่างยิ่ง ซ้ำยังเผชิญเหตุการณ์คล้ายกับที่ตนเคยผ่านมา

          ครั้งหนึ่งเขาก็เคยบาดเจ็บและหล่นสู่ห้วงน้ำแบบนี้เช่นกัน

          สตรีนางนั้นแม้ต่อสู้อย่างอาจหาญ แต่ก็มิอาจต้านทานพิษบาดแผล รวมถึงกระแสน้ำ และความดุร้ายของสัตว์ทะเลประดานั้นได้ ไม่นานร่างก็เริ่มเคลื่อนไหวช้าลง และถูกกัดทึ้ง

          รสชาติความทรมานและสิ้นหวังเป็นอย่างไรนั้น อัสธาราธรับรู้เต็มอก

                เจ้าชายหนุ่มพลันรู้สึกไม่อยากทนดูต่อไปอีก แต่คล้ายภาพที่เห็นนั้นสือผ่านจิต ต่อให้ไม่อยากชมดูอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ระหว่างมองภาพร่างบอบบางถูกฉีกทึ้งท่ามกลางไอเลือดกระจายเต็มท้องน้ำ สีเขียวมรกตแวววาวพลันปรากฏขึ้นมาม่านหมอกพร่าเลือน

          อัสธาราธสะท้านในจิตอีกครา สีเขียวนี้ ครั้งหนึ่งเขาก็เคยพบเห็น ย่อมมิใช่สิ่งอื่นใด นอกจากนัยน์ตายิ่งใหญ่คู่นั้น

          นัยน์ตาคู่ใหญ่พลันหดหรี่ลงยามประสบพบร่างไร้วิญญาณนั้น เงามหึมาพลันพร่าเลือน หดเคลื่อนกลายเป็นร่างสูงโปร่งดำรงเกศาสีน้ำเงินพราย ร่างนั้นแม้สง่างาม แต่ราศีคล้ายยังไม่แจ่มชัดเท่าปัจจุบัน คาดว่าคงเป็นเหตุที่เกิดในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ร่างอ่อนช้อยยื่นวงแขนช้อนมนุษย์สตรีที่ร่างกายไม่ครบส่วนเอาไว้แนบอก นัยน์ตาสีเขียวโน้มลงมองด้วยความรู้สึกบางอย่าง

          อย่างไม่คาดคิด ร่างสวยงามพลันโน้มใบหน้าลงจูบหน้าผากสตรีผู้ไร้ชีวิตเบาๆ ร่างที่อาบเลือดพลันแยกหายกลายเป็นฟองคลื่นสีประหลาด ล้อมรอบผู้โอบกอดไว้ มองเห็นนัยน์ตาสีเขียวมรกตหรี่ลง ฟองคลื่นสีแปลกล้อมร่างนั้นเพียงชั่วครู่ ก่อนจะถูกกลืนหายเข้าไปในร่าง คล้ายเห็นร่างเพรียวทอดถอนใจ

          อัสธาราธพลันนึกขึ้นได้ สตรีนางนั้นตนเคยพบเห็นมาก่อน

          เป็นสตรีคนเดียวกับรูปสลักในห้องบรรทมขององค์กษัตริย์

          แทบจะพร้อมกับที่นึกได้ แรงกดดันมหาศาลก็กดดันเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ ภาพตรงหน้าพลันพร่าเลือนลง ได้ยินเสียงกล่าวอย่างคุกคาม

          “ผู้ใดเข้ามาในจิตของเรา?!”

          แรงกดดันมหาศาลจนอัสธาราธเกือบจะประคองสติไม่อยู่ หากจดจำน้ำเสียงนั้นไม่ได้ คงจิตกระเจิงไปแล้วแน่แท้ เจ้าชายหนุ่มพยายามสื่อสารกลับไป

          “เป็นข้าพเจ้าเอง”

          “?”

          แรงกดดันมหาศาลยังคงมิคลายออก คล้ายต้องการบดขยี้ผู้บุกรุกให้สูญสิ้นไปในบัดดล อัสธาราธตะเกียกตะกายประคองจิตให้หลุดพ้นจากห้วงจิตรุนแรงนั่น และสื่อสารซ้ำๆ

          “นี่ข้าพเจ้าเอง เจ้าชายจากคอนเชียร์ พระองค์จำไม่ได้หรือ?”

          “??”

          ห้วงจิตคล้ายหยุดคุกคามชั่วครู่ น้ำเสียงเดิมถามต่อ “เจ้าชายแห่งคอนเชียร์?........ใยเจ้ามาอยู่ที่นี่ เราได้ยินว่าเจ้าไปกับอูห์รูน....หรืออูห์รูนพาเจ้าไปหุบผาเสียงสะท้อน...โอ.....เจ้าคงโดนเกสรดอกพยุงจิตมาแน่แท้.....โอ...เด็กเอยเด็ก......”

          ความรู้สึกกดดันพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาทันที อัสธาราธรู้สึกรอบตัวกลายเป็นสีเขียวอร่าม มองไปด้านหน้าเหมือนเห็นเงาร่างพร่าเลือน มือเรียวข้างหนึ่งยื่นมาสัมผัสกับศีรษะ

          “กลับร่างเจ้าเสีย”

--------------------------------------

                “เจ้าชาย!!!”

          อัสธาราธกะพริบตาปริบๆ สีหน้าวิตกจริตของอูห์รูนพลันปรากฏขึ้นในคลองจักษุ ต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่ง จึงจะรู้สติว่าตนเองอยู่ที่ใด

          “ข้าพเจ้าไม่เป็นไรแล้ว” อัสธาราธเอ่ยขึ้นทั้งๆ ที่ยังรู้สึกว่าหัวใจเต้นแทบกระดอนออกมา ขณะที่ยังนึกสงสัยอยู่ว่าที่รู้สึกเมื่อครู่คือสิ่งใดแน่ ผู้รับใช้แห่งสายน้ำก็เอ่ยปากต่อ

          “โชคดีอย่างยิ่ง เราคิดว่าท่านจะไม่กลับมาแล้ว ไม่นึกเลยว่าดอกพยุงจิตจะเคลื่อนมาหาท่านเอง ปกติมันมักไม่ค่อยย้ายที่ไปไหนมาไหนนัก”

          อัสธาราธได้ฟังต้องขมวดคิ้วขึ้น

          “ท่านว่าอย่างไร ดอกไม้เดินได้?”

          อูห์รูนพยักหน้า กล่าวสืบต่อ สีหน้ายังคงแตกตื่น ดูผิดหูผิดตายิ่งนัก

          “ดอกไม้ที่นี้บางอย่างเคลื่อนที่ได้ แต่โดยปกติมักไม่ค่อยเคลื่อนย้าย คล้ายท่านมีเคราะห์ แต่ก็ยังดูจะเคราะห์ดีอยู่บ้าง ปกติหากถูกเกสรพวกนี้ จิตจะถูกดึงออกจากร่าง พุ่งตรงไปยังที่ที่คำนึงถึงอยู่ คนส่วนใหญ่มักเคราะห์ไม่ดี ดวงจิตมักติดอยู่กับที่ที่นึกถึง จนไม่ยอมกลับเข้าร่าง นับว่ากรณีของท่านยังโชคดีอยู่ หากท่านเป็นอะไรไป เราคงไม่มีหน้าไปพบองค์กษัตริย์”

          อัสธาราธฟังพลางพยักหน้า เมื่อครู่ตนคงหลงเข้าไปในห้วงจิตขององค์กษัตริย์ ไม่รู้เคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้ายกันแน่ หากองค์กษัตริย์จำตนไม่ได้ มิใช่ถูกบีบจนจิตแตกไปแล้วหรือ? พอนึกถึงจุดนี้ ความกลัวพลันเข้าเกาะกุมจิตใจอีกครา

          กับความกดดันเมื่อครู่ ไม่ว่าอย่างไรคงไม่อาจหลีกพ้นคำว่าน่าหวาดกลัวได้เลย

          อูห์รูนมองหน้าเจ้าชายแห่งคอนเชียร์อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเรียบๆ

          “พวกเรากลับกันเถอะ”

-------------------------------------

          อัสธาราธไม่มีอารมณ์จะตามไปดูว่าอูห์รูนปรุงโอสถด้วยวิธีการใด เจ้าชายหนุ่มแยกตัวออกไปพักผ่อนยังที่พัก ความรู้สึกน่าประหวั่นเมื่อครู่ยังคงกินลึกอยู่ในจิตใจ แต่ที่แจ่มชัดกว่านั้น ภาพของอิสตรีที่ถูกจุมพิตยังวนเวียนอยู่ในห้วงความคิด

          เจ้าชายหนุ่มล้มตัวลงนอน รู้สึกสมองหมุนคว้างสับสนไปหมด ทั้งหวาดกลัวทั้งงุนงง และยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจได้ปะปนอยู่

          ขณะที่กำลังนอนขมวดคิ้วมุ่น ประตูห้องก็ถูกผลักออกอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาสีแดงลืมโพลงขึ้นทันที

          “อา...เจ้านอนหลับอยู่?” น้ำเสียงอ่อนโยนคราวฟองคลื่นเช่นนี้ย่อมมิใช่ใครอื่น องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแง้มประตูเข้ามา เมื่อพบเห็นมังกรหนุ่มผุดลุกขึ้นจึงยืนค้างอยู่ระหว่างประตูแบบนั้น คล้ายหวั่นว่าจะทำให้คนอยู่ในห้องตกใจ

          “ข้าพเจ้าเปล่า” คนถูกถามตอบพลางสั่นศีรษะ มองดูร่างที่ยืนค้างอยู่ระหว่างประตูอย่างงุนงง ด้วยนึกไม่ถึงว่าองค์กษัตริย์จะเสด็จมาเอง”

          “พระองค์หายดีแล้ว?”

          “อืม” เรเธียร์ส่งเสียง และเอ่ยถามแผ่วเบา “เราเข้าไปได้หรือไม่?”

          “ได้” อัสธาราธกล่าวและรู้สึกงุนงงมากกว่าเดิม “นี่เป็นวังท่านใยท่านจะเข้ามาไม่ได้”

          “เราเกรงเด็กน้อยเจ้าหวั่นกลัวเราจนสติแตกอีก เมื่อครู่เราคล้ายทำเจ้าหวาดกลัวมากจริงๆ”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินกล่าว ขณะสืบเท้าเข้ามาในห้อง เรือนผมสีน้ำเงินเลื่อมพรายสยายกระจายอยู่ในห้วงน้ำ อัสธาราธนิ้งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะ

          “ข้าพเจ้ายังมิขวัญอ่อนปานนั้น”

          “เราทราบ เจ้าย่อมไม่ขวัญอ่อน หากขวัญอ่อนคงไม่มาอยู่ที่นี่ เรายอมรับต้องการจะทำลายดวงจิตของเด็กเจ้าจริงๆ ได้โปรดให้อภัยความเลินเล่อของเราด้วย”

          อัสธาราธรีบตะลีตะลานลงจากเตียง ประคององค์กษัตริย์ที่ค้อมศีรษะลงหมายขอโทษเอาไว้

          “ท่านไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ ข้าพเจ้าผิดเองที่หลงเข้าไปในจิตของท่าน”

          นัยน์ตาสีเขียวมรกตช้อนขึ้นมอง ทำเอาคนถูกจ้องผงะไปหน่อยหนึ่ง

          “เราคาดไม่ถึงว่าเจ้าจะหลงเข้ามา... เราไปสอบถามอูห์รูนแล้ว นับว่าเจ้าเคราะห์ร้ายนักเรื่องดอกไม้นั่น ยังดีที่เรายั้งตัวเองไว้ทัน ไม่อย่างนั้นเราไม่รู้จะขึ้นไปกล่าววาจากับพี่ชายเจ้าว่าอย่างไร”

          “เรื่องนั้นช่างมันเถิด ข้าพเจ้าไม่เป็นอะไร ท่านมิต้องวิตกกังวลแล้ว”

          อัสธาราธกล่าว พยายามยิ้มออกมาให้ดีที่สุด แลเห็นบนใบหน้าองค์กษัตริย์มีรอยยิ้มปรากฏตอบ

          “เราเกรงเจ้าหวาดกลัวเรายิ่งกว่าเดิม”

          “ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้าไม่หวาดกลัวท่าน” อัสธาราธไม่พูดเปล่า ยังถือวิสาสะบังอาจดึงพระหัตขององค์กษัตริย์ขึ้นมาจับเอาไว้ด้วย ได้ยินเสียงกังวานหัวเราะร่วน

          “เด็กเจ้ามิต้องแสร้งทำขวัญกล้ากับเรามากมาย จับมือเรามิใช่เจ้าสั่นแทบตายแล้ว?”

          “!”

          อัสธาราธพูดต่อไม่ออก เนื่องเพราะมือตนสั่นอยู่จริงๆ องค์กษัตริย์เห็นดังนั้นพลันถอนหายใจ มองมาอย่างเอ็นดู

          “เราไม่เขย่าขวัญเจ้าแล้ว พักผ่อนเถิด วันพรุ่งเราจะจัดพิธีขอบคุณ”

          “พิธีขอบคุณ?” อัสธาราธทวนคำอย่างงุนงง องค์กษัตริย์กล่าวสืบต่อ

          “ราชอาณาจักรเราพ้นภัยได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจ้าช่วยเหลือ เรามาถึงก็ล้มป่วยไม่มีเวลาจัดงานใด ยามนี้หายดีแล้วสมควรกระทำให้สมแก่เกียรติของเจ้า จงพักผ่อนให้สบายเถิด เด็กน้อยของเรา ไม่นานเราจะนำเจ้าส่งคืนสู่บ้านที่จากมาแล้ว”

          อัสธาราธมองเห็นนัยน์ตาสีเขียวมรกตลอยเข้ามาใกล้ มองเห็นพระโอษฐ์แย้มยิ้มพริ้มพราย ผมสีน้ำเงินเลื่อมสยายอยู่ในผืนน้ำกว้าง สัมผัสของมือเรียวนุ่มลื่นยังคงค้างคาอยู่ในฝ่ามือ ทันใดนั้นสติก็พร่าเลือนลง

-----------------------------------------------------------

                ในห้วงฝันเลื่อนลอย อัสธาราธเห็นตนเองกำลังเอื้อมมือคว้าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มิใช่ดวงแก้ว มิใช่อัญมณีใด แต่เป็นเรือนผมสีน้ำเงินเลื่อมพราย ยามต้องฝ่ามือคล้ายกระจายตัวออก เจ้าของเรือนผมเบือนหน้ากลับมา เจ้าชายหนุ่มเอื้อมมือดึงใบหน้านั้นเข้ามา รอยยิ้มงดงามประดับอยู่บนริมฝีปาก ดั่งเป็นมนต์สะกด เจ้าชายหนุ่มโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ หมายจะสัมผัสริมฝีปากงดงามนั้น พลันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างสัมผัสริมฝีปาก เป็นมือเรียวนุ่มลื่นข้างหนึ่ง

          เจ้าชายหนุ่มช้อนนัยน์ตาขึ้นมองผู้อยู่ตรงหน้า คล้ายสอบถามเหตุผลเรื่องมือข้างนั้น นัยน์ตาสีมรกตหรี่ลง ริมฝีปากยังคงมีรอยยิ้ม กระนั้นมือเรียวยังมิเคลื่อนย้ายออก ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา

          “เด็กน้อยเจ้าพักผ่อนได้แล้ว”

          เหมือนฟังไม่เข้าใจ อัสธาราธดึงมือเรียวนั้นออก ดึงดันจะผนึกริมฝีปากลงไปให้จงได้ คล้ายร่างในฝันสะดุ้งเล็กน้อย ยามริมฝีปากถูกบดเบียด อัสธาราธหลับนัยน์ตาลง รับรู้รสชาติละมุนของเรียวลิ้นและริมฝีปากอ่อน

          เรื่องบังอาจเช่นนี้ หากไม่กระทำในฝันแล้วจะกระทำเมื่อไร…….

          เจ้าชายหนุ่มไม่ทราบเหตุใดจึงมีความคิดบังอาจถึงเพียงนี้ ทราบเพียงตอนนี้อยากแนบชิดองค์กษัตริย์ อยากสัมผัสริมฝีปากงามคู่นั้น อยากถูกริมฝีปากนั้นสัมผัส เฉกเช่นเดียวกับหญิงสาวที่ตนพบเห็นในห้วงคำนึงอันกดดัน

                อยากให้นัยน์ตาสีมรกตมองตนเช่นนั้นบ้าง

----------------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ ชะรอยน้อย

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 973
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-0
หญิงลึกลับนั้นเกี่ยวอะไรกับองค์อิลห์ลารินกันแน่นะ

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4
โถ T^Y ยังไม่ลืมรักเก่า

ออฟไลน์ phakajira

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
ฝัน...จริงดิ่...ละเมอมากกว่าม้าง 555

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
งืมม งั้นอัสธาราธคือผู้หญิงคนนั้นเหรอ งืมๆ งงแต๊ๆ 555

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
12 : ดั่งต้องมนต์

          เจ้าชายแห่งคอนเชียร์รู้สึกตัวตื่น โดยคล้ายยังมีเศษเสี้ยวความฝันตกค้างอยู่บนริมฝีปาก เมื่อเบือนหน้าไปก็พบข้ารับใช้ตนหนึ่งยืนรออยู่ เสียงนุ่มดั่งสายน้ำอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์บาดาลเอ่ยขึ้น

          “เรามาเชิญท่านไปร่วมพิธี”

--------------------------------------

          พิธีขอบคุณจัดขึ้นบนลานกว้างตรงระเบียงใหญ่ที่สุดในพระราชวังอัลโดรธ์ อัสธาราธเห็นมังกรน้ำระดับสูงหลายสิบตนในเครื่องทรงเต็มยศยืนเรียงรายเป็นแถวยาวขณะที่ตนเดินตรงไปในลาน บางคนเป็นเพื่อนร่วมเดินทางอยู่ในคณะที่ขึ้นไปบนชายฝั่งตะวันตก เมื่อพบเห็นก็แย้มยิ้มให้หน่อยหนึ่ง เจ้าชายหนุ่มแย้มยิ้มตอบ หลังเหตุการณ์ยังมิได้มีโอกาสสอบถามสารทุกข์สุกดิบพวกนี้เป็นเรื่องเป็นราวนัก แต่พอเห็นทุกตนยังอยู่กันครบก็ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย

          อูห์รูนยืนอยู่หน้าแท่นหินที่สลักอย่างวิจิตรแท่นหนึ่ง ใบหน้าไร้ความรู้สึกเช่นเคย กระนั้นเมื่อเห็นอัสธาราธเดินเข้ามาใกล้ยังค้อมตัวทำความเคารพให้ครั้งหนึ่ง เหนือออกไปบนแท่นหิน องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินในเครื่องทรงบอกยศกษัตริย์ ประทับยืนอยู่ และแย้มพระโอษฐ์ให้อย่างอ่อนโยน

          อัสธาราธชะงักฝีเท้าอย่างลืมตัว ด้วยไม่เคยเห็นองค์กษัตริย์แต่ตัวเต็มพระยศเช่นนี้มาก่อน อาภรณ์สีฟ้าอ่อนประดับอัญมณีสีน้ำเงินพรายต้องประกายแสงไฟสีน้ำเงินเป็นประกายแปลกตา สร้อยพระศอเส้นย่อมจำนวนหลายสิบเส้นที่ห้อยคล้องอยู่เป็นงานประณีตดูวิจิตร ยังมีเครื่องประดับอีกหลายสิบชิ้นส่องประกายอยู่บนตัวองค์กษัตริย์ แต่นั่นมิได้ดึงดูดสายตาไปกว่าพระสิริโฉมของพระองค์เลย คล้ายเครื่องประดับประดาสวยงามเหล่านั้นยิ่งขับให้องค์กษัตริย์ดูงดงามมากยิ่งขึ้นในห้วงน้ำกว้างและเงาเลื่อมพรายของดวงไฟสีน้ำเงินที่รายล้อมอยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบปิ่นน้อยสีเงินพราวประดับอยู่บนพระเกศา เจ้าชายหนุ่มพลันยกมือขึ้นทาบอกอย่างลืมตัว

          ปิ่นสีดำมะเมื่อมที่เคยประทานให้ยังถูกเก็บรักษาอยู่ในอกเสื้อนั้นเป็นอย่างดี

          “ในนามของเรา ผู้เป็นจ้าวแห่งอิลห์ลาริน”

          สุรเสียงก้องกังวานถูกเอื้อนเอ่ยออกมา ดึงสติของเจ้าชายหนุ่มออกจากภวังค์มาอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้า

          “เราใคร่ขอประกาศต่อหน้าสายน้ำแห่งมารดา ต่อหน้าท่านทั้งหลาย ว่าเจ้าชายอัสธาราธ ดูล ซาเกวนส์ พระเชษฐาแห่งองค์อัสราน ดูล ซาเกวนส์ กษัตริย์ผู้งดงามแห่งอาณาจักรอันอุดมด้วยเปลวแห่งเพลิง คอนเชียร์ ราชอาณาจักรแห่งไฟซึ่งเป็นมิตรแท้กับพวกเราเสมอมา ได้ทำการออกรบเพื่อนครอิลห์ลารินของเราอย่างกล้าหาญ ช่วยเหลือพี่น้องของเรา และยังช่วยขจัดต้นตอแห่งเพสภัยที่คุกคามอาณาจักรให้สูญสิ้น ความกล้าหาญและการเสียสละนี้สมควรอย่างยิ่งที่จะถูกสดุดีต่อหน้าสายธารแห่งมารดา สมควรอย่างยิ่งที่จะถูกร่ำลือให้ทั่วท้องน้ำกว้างแห่งอิลห์ลาริน มาร่วมกับเราเถิด เชื้อสายแห่งชลที ร่วมกันขับขานบทเพลงสดุดีให้เลื่องระบือไปจนถึงโลกเบื้องบน”

          อัสธาราธพลันรู้สึกขนทั้งร่างลุกเกรียวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ขณะที่เสียงขับขานทำนองเพลงอันเป็นภาษาโบราณเฉพาะของเผ่าพันธุ์แห่งบาดาลเริ่มต้นขึ้น ท่วงทำนองทุ้มต่ำสะท้อนก้องอยู่ในผืนน้ำกว้าง

          “แด่เจ้าชายเยาว์วัยผู้ทรงไว้ด้วยความกล้า
ดั้นด้นฝ่าสายน้ำใสไร้สิ่งนำพา เสด็จมายังห้วงแห่งวังวน
เพียงหนึ่งตนลำพังไร้คู่คิด พาชีวิตเข้าเสี่ยงความดับสูญ
ถึงกระนั้นก็มิทรงอาดูร เพราะเทิดทูลคำสัตย์ ยิ่งสิ่งใด
ก้าวลงยังสายน้ำ ไร้ทางกลับ ดำริรับผิดชอบตามเงื่อนไข
ความกล้าหาญมีอยู่เต็มดวงฤทัย แม้สิ้นไร้ผู้ใดในวังวน

          ช่วยรบทัพจับศึกบนฝืนบก มิสะทกวกเกรงเพสภัยผลาญ
เพื่อปกป้องเหล่าเราชาวบาดาล ด้วยเพลิงกาฬแห่งดินแดนที่แสนไกล
แม้นมิได้มีเชื้อสายอันใกล้ชิด แต่เป็นมิตรร่วมรบแสนดีได้
ความกล้าหาญประจักษ์ตาเหล่าพลไกร หาผู้ใดมาเทียบไม่มีเลย

          สมควรยิ่งควรถวายความเคารพ กล่าวบรรจบสดุดีให้ลือเลื่อง
ให้ประชากล่าวขานอยู่เนืองเนือง อย่างเช่นเรื่องในกาลแต่ก่อนมา

          ให้เป็นที่สดุดีจนสุดหล้า ใต้แผ่นน้ำผืนฟ้าร่วมขับขาน
บทกวีแด่ผู้หาญรอนราน อริราชภัยพาลแห่งปวงเรา

          แด่เจ้าชายอัสธาราธผู้ยิ่งยศ ผู้ยอมลดตัวเองมาช่วยผลาญ
ปวงศัตรูผู้บุกรุกให้แหลกลาญ ด้วยความหาญกล้าแกล้วไม่เกรงกลัว

          สดุดีแด่ความกล้าในครานี้ ให้เป็นที่ขับขานนานเนื่องทั่ว
ตลอดทั่วผืนน้ำพรายทุกตัว ระรัวร้องก้องกังวานขับขานไป

          แด่เจ้าชายอัสธาราธ ดูล ซาเกวนส์ แห่งคอนเชียร์”

         
อัสธาราธก้มหน้าลงกลางวงล้อมแห่งมังกรวารีเหล่านั้น ด้วยความรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก แม้นึกแย้งว่าตนมิได้ทำการใดยิ่งใหญ่สมควรแก่การสดุดีเช่นนี้ แต่พอได้ยินได้เห็นการขับขานบทเพลงที่จริงจังตั้งใจ และซาบซึ้งไปกับเนื้อหา ก็อดจะรู้สึกเต็มตื้อขึ้นมาไม่ได้

          มิทราบบทเพลงนั้นถูกขับนานก้องอยู่ในสายน้ำเนิ่นนานเพียงใด รู้เพียงว่าเมื่อรู้สึกตัวอีกที องค์กษัตริย์ก็เสด็จมาอยู่ตรงหน้า ยื่นพระหัตข้างหนึ่งออกมาแตะไหล่เบาๆ

          “เรารู้สึกขอบใจเจ้าเป็นอย่างมาก เจ้าชายอัสธาราธแห่งคอนเชียร์”

          อัสธาราธอันจนถ้อยคำจะกล่าวตอบ ด้วยความตื้นตันเต็มแน่นอยู่ในอก ได้แต่ค้อมศีรษะในเชิงตอบรับ องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแย้มพระโอษฐ์กว้าง พลางกล่าวสืบต่อ

          “ในนามของเรา กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน ไม่ว่าเจ้าปรารถนาสิ่งใดในอาณาจักรแห่งนี้ เราพร้อมส่งมอบให้เจ้า เพื่อเป็นของขวัญตอบแทนการช่วยเหลือนี้”

          อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมององค์กษัตริย์ พิศมองดวงหน้างดงามราวความฝัน เรือนผมสีน้ำเงินพรายยังคงพลิ้วไหวเป็นระรอกล้อมรอบ นัยน์ตาสีมรกตมองมาอย่างอาดูร ริมฝีปากของมังกรหนุ่มขยับเขยื้อนช้าๆ

          “ข้าพเจ้าต้องการ......”

          ความคิดที่แล่นแวบเข้ามาในสมองหยุดยั้งริมฝีปากคู่นั้นไว้ อัสธาราธสำนึก ว่าสิ่งที่ตนเกือบจะเอ่ยปากขอออกไปนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ จึงพาลสั่นศีรษะออกมา ขัดกับถ้อยคำที่เริ่มไว้เมื่อครู่ สีหน้าขององค์กษัตริย์แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

          “เจ้าประสงค์สิ่งใดแน่?”

          “ข้าพเจ้ามิประสงค์สิ่งใด” เจ้าชายหนุ่มตอบ และฝืนยิ้ม

          “ข้าพเจ้ามาที่นี่เพียงเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณของพระองค์ ไหนเลยจะรับของตอบแทนได้ ขอเพียงข้าพเจ้ามีประโยชน์ นั่นนับเป็นของตอบแทนแล้ว”

          “เจ้ากล่าวเช่นนี้คล้ายเรากลายเป็นผู้เอารัดเอาเปรียบ มิมีสิ่งใดที่เจ้าต้องการจากเราเลย?”

          อัสธาราธร่ำๆ จะพูดออกไปให้รู้แล้วรู้เรื่อง แต่ก็ยังพอระลึกสติได้ว่าเป็นสิ่งไม่สมควรแม้แต่จะคิด ดังนั้นจึงฝืนยิ้มกล่าวต่อ

          “ไม่มี”

          ความเงียบเข้าปกคลุมลานกว้างนั้นทันที แลเห็นพระพักตร์ขององค์กษัตริย์แปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด กล่าวทวนคำอีกรอบ

          “ไม่มี เจ้าไม่ต้องการสิ่งใดจริงๆ ?”

          คล้ายกับการที่อัสธาราธบอกว่าไม่ต้องการสิ่งใดดูเป็นเรื่องใหญ่โตเอาการ ขนาดสายตาทุกคู่จับจ้องมาด้วยความรู้สึกคาดไม่ถึง เจ้าชายหนุ่มตัดสินใจยืนยันคำตอบเดิม

          “ไม่มีจริงๆ”

          ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์ทอดถอนใจ พลางพึมพำ

          “แล้วกัน อาณาจักรเราใหญ่โตกว้างขวาง กลับไม่มีของที่เด็กเจ้าต้องการเลย นี่คล้ายเราไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่แล้ว”

          อัสธาราธเพิ่งระลึกได้ว่าการไม่ต้องการสิ่งใดเลยในเวลานี้คล้ายเป็นการหมิ่นเกียรติขององค์กษัตริย์อยู่ในที จึงรีบกล่าวตอบ

          “มิได้ ข้าพเจ้าเพียงยังนึกไม่ออก อืม....”

          เจ้าชายหนุ่มทดลองนึกทบทวน ยังมีสิ่งใดที่ตนอยากได้ในนครแห่งนี้ นึกไปนึกมาสายตาคล้ายวนเวียนมาจับจ้องดวงหน้าองค์กษัตริย์มิเว้นวาย รู้สึกตัวว่าหากยังยืนคิดเนิ่นนานต่อไปอีก อาจเผลอกล่าววาจาพล่อยๆ ออกมาก็ได้

          “อาณาจักรพระองค์ยิ่งใหญ่เกินจินตนาการ ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าต้องการสิ่งใด”

          “เจ้านึกไม่ออกจริงๆ?” องค์กษัตริย์กล่าวทวนและมีสีหน้าลำบากใจ ในที่สุดก็กล่าวออกมา

          “เอาเถิด เราให้เวลาเจ้านึกสักสองสามวัน เราหวังจะมีของที่เจ้าต้องการบ้าง”

          อัสธาราธฝืนยิ้ม

          “ข้าพเจ้าจะเอ่ยปากขอในสิ่งที่ไม่ทำให้ท่านลำบากใจ”

------------------------------------------------

          แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่พอกลับถึงที่พัก อัสธาราธยิ่งรู้สึกว่าตนเองนึกไม่ออก ยังต้องการสิ่งใดในอาณาจักรนี้อีก นอกจากนัยน์ตาสีมรกตคู่นั้น  เจ้าชายหนุ่มมิได้ปรารถนาจะควักดวงตาขององค์กษัตริย์ออก เพียงปรารถนาถูกดวงตานั้นจ้องมองอย่างที่ตนเคยเห็นในภาพภวังค์บ้าง

          แต่เรื่องแบบนั้นใช่ว่าจะขอได้

          เจ้าชายหนุ่มจึงจำต้องนั่งนึก ว่าจะขอสิ่งใดดี

          ดูคล้ายเรื่องง่ายๆ จะกลายเป็นเรื่องยากลำบากไปเสียแล้ว

------------------------------------------------

          “อูห์รูน เจ้าว่าเราน่ากลัวเกินไปหรือไม่?”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเอ่ยถามออกมา หลังเสด็จดำเนินมาจนถึงท้องพระโรง งานพิธีขอบคุณคล้ายจะจบลงด้วยดี ปัญหาคือเจ้าชายแห่งคอนเชียร์กลับไม่มีความประสงค์สิ่งใดเป็นพิเศษ

          ผู้รับใช้เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์องค์กษัตริย์ก่อนสั่นศรีษะ

          “ข้าพระองค์ไม่เห็นว่ามีที่ใดน่ากลัว”

          “เช่นนั้น ใยเด็กน้อยนั่นมิกล้าเอ่ยขอสิ่งใดกับเรา เจ้าว่า...นี้ผิดที่เราหรือไม่?”

          ดูท่าองค์กษัตริย์จะเป็นทุกข์เป็นร้อนกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง อูห์รูนกล่าวตอบ

          “ต้องไม่ผิดที่พระองค์แน่แท้ บางทีเจ้าชายอาจยังนึกสิ่งที่ต้องการไม่ออก ราชอาณาจักรพระองค์กว้างขวาง บางทีอาจมีสิ่งให้เลือกสรรมากเกินไป”

          “เราหวังจะเป็นอย่างที่เจ้าว่า หากเด็กน้อยนั่นเกิดไม่ต้องการสิ่งใดเลย มิใช่อาณาจักรเราไม่มีค่าหรือ?”

          คำกล่าวอย่างปริวิตกออกมาจากปากองค์กษัตริย์ องค์กษัตริย์ที่ครองราชย์มาเป็นพันปี มีความทรงจำยาวนาน กลับปริวิตกกับเรื่องเช่นนี้ หากเป็นผู้อื่นน่ากลัวหัวเราะออกมาแล้ว แต่อูห์รูนเข้าใจข้อกังวลนี้ขององค์กษัตริย์เป็นอย่างดี

          แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีผู้ใดปฏิเสธน้ำใจของราชาแห่งอิลห์ลารินมาก่อน แต่เจ้าชายพระองค์นี้กลับกระทำลงไปถึงสองหน หนแรกนั้นปัดปิ่นปักผมสูงค่าหล่นร่วงลงพื้น หนที่สองยังไม่ยินยอมรับของตอบแทนใด กระทำเช่นนี้มิใช่เจตนาให้องค์กษัตริย์รู้สึกตนเองด้อยค่าหรอกหรือ

          พอคิดดังนั้นความรู้สึกโกรธเกรี้ยวพลันประจุตัวขึ้นในหัวใจของผู้รับใช้ ถึงกับหลุดปากออกมา

          “ข้าพระองค์จะไปคาดคั้นจากปากเจ้าชาย หากมิประสงค์สิ่งใดจริงก็สมควรจะมาเอ่ยปากขอขมาต่อพระองค์ก่อนขึ้นไป”

          “แล้วกัน!” องค์กษัตริย์พลันอุทานออกมา กล่าวสืบต่อ “เราต้องการตอบแทนน้ำใจเขา ไฉนเจ้ากลับต้องการให้เขามาขอขมาเรา”

          “เนื่องเพราะเจ้าชายผู้นี้หมิ่นพระเกียรติของพระองค์มากเกินไป!” ผู้รับใช้ที่โดยปกติมิค่อยแสดงอารมณ์ออกมาบ่อยนักกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธขึง “ข้าพระองค์มิเคยพบเห็นผู้ใดกล้าปฏิเสธน้ำใจของพระองค์มาก่อน เรื่องนี้เจ้าชายทำเกินไปแล้ว”

          กล่าวเสร็จทำท่าจะผลุนผลันออกไปนอกท้องพระโรง องค์กษัตริย์รีบตรัสห้ามไว้

          “ช้าก่อนอูห์รูน เจ้าจะไปที่ใด?”

          “ย่อมไปเค้นปากเจ้าชาย ดูว่าประสงค์สิ่งใดแน่”

          “โอย แล้วกันแล้วกัน” องค์กษัตริย์พลันอุทานพลางเอามือแตะหน้าผาก “กลับมาก่อนอูห์รูนของเรา เราทราบแล้วว่าเจ้าไม่พอใจ แต่อย่าได้ทำเช่นนั้นเลย รังแต่จะทำให้เราถูกตราหน้าเป็นผู้วางอำนาจบาตรใหญ่เสียเปล่าๆ”

          อูห์รูนชะงักฝีเท้า นิ่งอยู่พักใหญ่จึงยอมเดินย้อนกลับมายืน ณ ตำแหน่งเดิม รอจนเห็นข้ารับใช้อารมณ์สงบลง องค์กษัตริย์จึงได้เอ่ยปากต่อ

          “หรือเจ้าชายน้อยจะเกรงใจเรา เลยมิกล้าเรียกร้องสิ่งใด?”

          “อาจเป็นไปได้” ผู้รับใช้กล่าว พยายามปลอบตัวเองให้อารมณ์เย็นลง

          “เช่นนั้น เราสมควรจะจัดหาของเอาไว้ให้? แต่เรามิประสงค์จะจัดสิ่งของที่ผู้อื่นไม่ต้องการ”

          “บางทีเจ้าชายอาจจะอายหากต้องเอ่ยปากขอต่อหน้าคนหมู่มาก”

“ฟังดูมีเหตุผล เช่นนั้นเราสมควรจะไปถามด้วยตนเอง?”

อูห์รูนพลันรู้สึกว่าองค์กษัตริย์พลันวิตกกังวลกับเจ้าชายจากต่างแดนผู้นี้มากจริงๆ อดไม่ได้ต้องเอ่ยคำพูดออกไป

          “มิต้องลดพระองค์ถึงเพียงนั้น ข้าพระองค์จะไปไถ่ถามให้”

          “อืม..” องค์กษัตริย์นิ่งนึกทบทวนอยู่พักหนึ่ง จึงกล่าวสืบต่อ

          “เราไปถามเองคล้ายจะดีกว่า ในเมื่อเราเอ่ยปากเป็นผู้ต้องการให้ เราก็สมควรจะได้ยินคำขอตัวตนเอง เรื่องนี้เจ้าคงเห็นว่าสมควร?”

                ถูกย้อนถามเช่นนี้อูห์รูนจำแต่ต้องพยักหน้า องค์กษัตริย์แย้มพระโอษฐ์อย่างพึงพอใจ

          “เช่นนั้นไปกันเถิด”

---------------------------------------------

                อัสธาราธคิดว่าต่อให้ตนนิ่งนึกอยู่ในห้องคนเดียวเป็นพันปีก็คงยังนึกสิ่งที่ประสงค์อื่นใดไม่ออก ดังนั้นเจ้าชายหนุ่มจึงคิดจะออกมาเดินเล่น เผื่อว่าจะพอนึกอะไรออกบ้าง ขณะที่ยังไม่ก้าวพ้นประตูออกมา  นัยน์ตาพลันเหลือบไปเห็นเรือนผมสีน้ำเงินพรายที่แผ่กระจายไปในห้วงน้ำ องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินกำลังดำเนินมาพร้อมกับข้ารับใช้

          มิทราบเป็นเพราะเหตุใด พอได้เห็นพระพักตร์องค์กษัตริย์ ขาของอัสธาราธพลันตรึงแน่นอยู่กับพื้นราวกับมีรากงอก เหม่อมองดวงหน้าในฝันนั้นอย่างเหม่อลอย แลเห็นริมฝีปากงามแย้มยิ้มอ่อนโยน

          “เด็กน้อยเจ้าจะไปที่ใด?”

                แต่เดิมอัสธาราธมักหงุดหงิดทุกครั้งหากมีผู้ใดเอ่ยเรียกตัวเขาเช่นนี้ แต่เมื่อคำนี้ออกมาจากพระโอษฐ์องค์กษัตริย์ กลับคล้ายรู้สึกพอใจที่ถูกเรียกเช่นนั้น เจ้าชายหนุ่มถึงกับยืนยิ้มโดยไม่ได้ตอบคำถาม คิ้วได้รูปขององค์กษัตริย์ขมวดเข้าหากัน

          “เจ้าชาย” น้ำเสียงของอูห์รูนปลุกอัสธาราธตื่นขึ้นจากภวังค์ ความร้อนแผ่วูบไปทั่วใบหน้า ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์ตรัสถาม

          “เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว?”

          อัสธาราธตอบคำถามไม่ออก เกิดมาเป็นร้อยปี ไม่เคยรู้สักขัดเขินเช่นนี้มาก่อน ยิ่งพอมาเป็นต่อหน้าองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งรู้สึกว่าน่าอับอายเป็นยิ่งนัก อูห์รูนมองใบหน้าที่กลายเป็นสีแดงจัดแล้วพลันอุทานขึ้น

          “เจ้าชาย โรคท่านกำเริบอีกแล้ว?”

          “โรค?” องค์กษัตริย์ตรัสทวนคำ มีสีหน้าแปลกพระทัย ผิวของอัสธาราธนั้นเป็นสีน้ำผึ้ง ยามเปลี่ยนเป็นสีแดง หากไม่ถึงกับแดงจัดย่อมมองไม่ค่อยออก ยามนี้มองเห็นได้ชัดเจน เจ้าชายหนุ่มรีบพยักหน้า

          “เป็นโรคส่วนตัวของข้าพเจ้า ไม่มีความร้ายแรงแต่อย่างใด”

          “ออ” ได้ยินเสียงขององค์กษัตริย์ดังขึ้นแผ่วเบา ริมฝีปากงามปรากฏรอยยิ้มลึกลับที่ผู้ใดก็เดาจุดประสงค์ไม่ออก น้ำเสียงกังวานเอ่ยขึ้น

          “โรคนี้ประหลาดนัก เราคล้ายต้องการชมดูอีก”

          อัสธาราธนิ่งอึ้ง ด้วยไม่คาดองค์กษัตริย์จะมาไม้นี้ ใบหน้างดงามปรากฏรอยยิ้มพริ้มพราย

          หรือพระองค์จะรู้ว่านี่เป็นอาการอะไร?

          ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยถาม องค์กษัตริย์พลันเสด็จดำเนินเข้าไปใกล้ ฉวยท่อนแขนของมังกรหนุ่มขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวร่อ

          “เอ้า เจ้ารีบตอบเราเร่งด่วน กำลังจะไปที่ใด ไม่เช่นนั้นเราจะทำให้เจ้าโรคกำเริบอีกมากๆ”

          อัสธาราธคิดว่าหากตนเป็นภูเขาไฟ ตอนนี้คงมีสภาพใกล้ปะทุอยู่รอมร่อ อูห์รูนมองใบหน้าเจ้าชายหนุ่มที่กลายเป็นสีแดงจัดจนหน้ากลัวอย่างตื่นตระหนก ด้วยหวาดหวั่นจะมีอันตราย แต่เมื่อเห็นองค์กษัตริย์ยังมีพระพักตร์สบายๆ ซ้ำยังคล้ายชอบอกชอบใจ จึงไม่กล้ากล่าวอันใดอีก

          “ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้า” อัสธาราธกล่าวตะกุกตะกักดูน่าสงสาร ใบหน้าแดงซ่าน เกิดมายังไม่เคยรู้สึกอะไรมากเช่นนี้มาก่อน ดั่งองค์กษัตริย์ต้องการกลั่นแกล้งอย่างจริงจัง ถึงขั้นยื่นพระพักตร์เข้ามาใกล้ กระทั่งพระเกศาสัมผัสกับดวงหน้ามังกรหนุ่ม

          “จะไปที่ใดเล่า?”

          อัสธาราธรู้สึก หากยังตอบไม่ได้ มีหวังได้โดนองค์กษัตริย์กลั่นแกล้งจนอกแตกตายแน่ๆ คิดดังนั้นจึงกลั้นใจกล่าวออกไป

          “ข้าพเจ้าจะออกไปเดินเล่น!”

          “ออ” องค์กษัตริย์พยักพระพักตร์ ถอยห่างออกไป และกล่าวสืบต่อ

          “ทิวทัศน์แห่งอิลห์ลารินล้วนงดงามแปลกใจ โอ... เราลืมเสียสนิท เคยบอกเด็กเจ้าไว้ว่าหากมีโอกาสจะพาเจ้าเยี่ยมชม เจ้ายังอยากชมอยู่หรือไม่?”

          สีหน้าคล้ายเพิ่งนึกได้ คราวนี้เจ้าชายหนุ่มรีบผงกศีรษะรับทันที องค์กษัตริย์แย้มยิ้ม หันไปกล่าววาจากับผู้รับใช้

          “อูห์รูน เรารบกวนเจ้าให้นั่งเฝ้าท้องพระโรงแทนเราสักวันหนึ่งจะได้หรือไม่?”

          อูห์รูนค้อมตัวรับคำสั่ง แต่ไม่วายเอ่ยปากถาม

          “พระองค์จะทรงให้ผู้ใดตามเสด็จอีกหรือไม่?”

          องค์กษัตริย์สั่นพระเศียร “เรื่องแค่นี้ใยต้องมีขบวนให้มากความ ให้ทุกตนทำหน้าที่ไปเถิด”

          อูห์รูนผงกศีรษะอีกครา และถอยเท้าก้าวออกไป แลเห็นองค์กษัตริย์หันมาแย้มยิ้ม

          “เด็กน้อยเจ้าอยากไปที่ใด?”

------------------------------------------------

          อัสธาราธนึกไม่ออกจริงๆ ว่าตนจะไปที่ใด เนื่องด้วยมิใช่คนในบาดาล และเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์กษัตริย์ มิทราบเป็นอย่างไร ไม่ว่าเรื่องใดพลันนึกไม่ออกไปเสียดื้อๆ เมื่อเห็นเจ้าชายนิ่งอึ้ง องค์กษัตริย์จึงกล่าวสืบต่อ

          “เมื่อวานเจ้าไปหุบผาเสียงกระซิบแล้ว อืม....จำได้เหมือนคราก่อนเจ้าจะสนใจอัลวาธา ภูเขาไฟในน่านน้ำเรา มาเถิด เราจะพาเจ้าไปเยี่ยมชม”

          ดังนั้นองค์กษัตริย์จึงพาเจ้าชายหนุ่มออกมายังนอกวัง เดินออกมาได้ครึ่งทางจึงนึกขึ้นได้

          “แล้วกัน เราลืมเสียสนิท เจ้าหวาดกลัวร่างจริงเราอย่างยิ่งยวด”

          อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตาสีแดงอย่างไม่เข้าใจ องค์กษัตริย์จึงกล่าวต่อ “อัลวาธาอยู่ห่างไกลพอสมควร เราสามารถพาเจ้าไปเที่ยวชมได้ แต่ต้องคืนร่างเดิมเสียก่อน ใยเราลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปสนิท”

          องค์กษัตริย์ตรัสคล้ายรำพึงรำพันกับตนเอง เจ้าชายหนุ่มแย้มยิ้ม

          “เรื่องนั้นอย่าได้วิตก ข้าพเจ้ามิได้หวาดกลัวท่านเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว”

                “เจ้าแน่ใจ?” องค์กษัตริย์ตรัสถามอีกครั้ง อัสธาราธพยักหน้า

          “ข้าพเจ้าแน่ใจ ท่านต้องการทดสอบดูหรือไม่?”

          “เจ้าจะทดสอบอย่างไร?”

          อัสธาราธมิกล่าววาจาตอบ เพียงช้อนนัยน์ตาสีแดงขึ้นมองพระพักตร์องค์กษัตริย์ เรเธียร์มองดวงตาสีแดงนั้นอยู่พักหนึ่ง จึงพอเข้าใจความหมาย

          “ออ... เด็กน้อยเจ้ามิหวาดกลัวนัยน์ตาเราแล้ว ดูน่ายินดี แต่เรารู้สึกเสียใจอยู่สักหน่อย”

          “?” เจ้าชายหนุ่มมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด องค์กษัตริย์มองดวงหน้านั้นอยู่สักครู่ และตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

          “เมื่อเจ้าไม่กลัวเราแล้ว ไหนเลยเราจะเล่นสนุกแกล้งหยอกให้เจ้าหน้าซีดได้อีก เห็นทีมีแต่แกล้งให้เจ้าหน้าแดงแล้ว”

          กล่าวจบพลันยิ้มอย่างมีเลสนัยน์ อัสธาราธรู้สึกครั้งนี้ตนหน้าแดงขึ้นมาจริงๆ

          “ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้าเพิ่งทราบ พระองค์มีนิสัยชอบแกล้งผู้เยาว์” ไม่คาดเลยจะมีวันที่ต้องกล่าววาจาตะกุกตะกักต่อหน้าผู้อื่น ได้ยินเสียงหัวร่อกังวาน

          “เจ้ายอมรับตัวเองเป็นผู้เยาว์แล้ว ฮา ฮา เราไม่นิยมแกล้งเด็กเปล่า ยังคล้ายเอ็นดูเด็กเจ้าอยู่หลายส่วน นี้ยังไม่ดี?”

          “ดี ดีอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าอยากดูภูเขาไฟแล้ว” อัสธาราธถึงกับต้องรีบกล่าวตัดบท แม้รู้ว่าจะเสียมารยาท ไม่เช่นนั้นมิทราบจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ใด ได้ยินองค์กษัตริย์ทรงพระสรวลอีกรอบ

          “เช่นนั้นเข้ามาใกล้ๆ”

          อัสธาราธเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย ทันใดนั้นวงแขนเรียวก็รั้งร่างเขาเข้าไปกอดไว้ เจ้าชายหนุ่มได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นอื้ออึง ขณะที่องค์กษัตริย์กล่าวสืบต่อ

          “กอดเราไว้ให้แน่น”

          วงแขนแกร่งรวบแน่นเข้ามาทันที ได้ยินเสียงหัวเราะต่ออีกหน่อย ร่างผอมเพรียวก็พลันกระจายแยกเป็นไอสีน้ำเงินพราย แผ่ขยายและรวมตัวกันด้วยลักษณะแปลกประหลาด  ชั่วอึดใจอัสธาราธก็พบตัวเองเกาะอยู่บนเกล็ดกว้างเกล็ดหนึ่ง พอเงยหน้าก็เห็นฝูงปลากำลังไหลผ่านตัวเองไปด้วยความเร็วที่น่าตระหนก อัสธาราธเกาะพื้นผิวเรียบนั้นไว้แน่นกว่าเดิม ด้วยกลัวจะพลัดหล่น ได้ยินเสียงราวพรายฟองดังแว่วมา

          “ไหวหรือไม่?”

          “ข้าพเจ้าไม่เป็นไร” เจ้าชายหนุ่มกล่าวตอบไป เนื่องเพราะความเร็วในการเคลื่อนที่ จึงไม่อาจมองเห็นภาพรอบกายได้ชัดเจนนัก อัสธาราธจึงทำได้เพียงนั่งมองเกล็ดสีน้ำเงินขนาดยักษ์ ไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่อึดใจ เขาถูกโอบกอดโดยเจ้าของเกล็ด หัวใจในตอนนั้นเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่รู้ว่าองค์กษัตริย์จะเป็นเช่นไรบ้าง บางทีอาจจะไม่รู้สึกอะไรเลย บางทีอาจจะเป็นตัวเขาเพียงผู้เดียวที่ว้าวุ่นหัวใจ

          เจ้าชายหนุ่มแนบใบหน้าลงไปบนแผ่นเกล็ด ด้วยหวังอยากได้ยินเสียงหัวใจดวงใหญ่กำลังเต้น อยากรู้ว่าราชันย์แห่งสายน้ำผู้นี้มีความหวั่นไหวบ้างหรือไหม ว้าวุ่นบ้างหรือไม่

          ตุบ...ตุบ.....

          ราวกับหัวใจนั้นอยู่ใต้แผ่นเกล็ดนี้เอง พอตั้งใจสัมผัสดีๆ ก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่สะท้อนมาได้ อัสธาราธรู้สึกสะท้านอยู่ลึกๆ เขาอาจจะอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจขององค์กษัตริย์ แต่ว่าในดวงใจของพระองค์เล่า เขาอยู่ ณ ตำแหน่งใด

          อัสธาราธขยับใบหน้า แนบจูบแผ่วเบาลงไปในแผ่นเกล็ดนั้น

          อย่างไม่รู้ตัว..เจ้าชายหนุ่มแห่งดินแดนเพลิงต้องมนต์เสน่ห์แห่งสายน้ำจนมิอาจถอนตัวขึ้นได้อีกแล้ว

----------------------------------------------------------------
(จบตอน)
 *ตอนนี้อายแท้ๆ^///^ แบบว่า ไม่ได้เขียนกลอนมานานมาก แต่ก็ยังกระแดะอยากจะใส่เข้าไป เขียนแล้ว...ไม่กล้าอ่าน กร๊าสส ไว้ถ้าหาที่มันเขียนได้ดีกว่านี้จะมาแก้ให้นะคะ หรือถ้าใครมีอะไรแนะนำใส่ไว้ให้ได้เลยเน้อ...
คิดว่านิยายแฟนตาซีน่าจะมีกลอนบ้าง แต่พอลงมือแต่งเอง มันจั๊กเดี่ยมยังไงก็ไม่รู้^^""

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
กลอนเพราะดีออกค่ะ เราชอบ อ่านแล้วขนลุกเลย 555

ขำอัสธาราธอะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
อัสธาราธ รู้ตัวแล้วอะ เรเธียร์อะชอบแกล้ง

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4
 ถถถถถถถถถถถถถ

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
โว้ว.....เย้...... จูบ ณ ตำแหน่งของหัวใจ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
13 : สิ่งที่ปรารถนา

          ด้วยลำตัวขนาดมหึมายากจะจินตนาการ อัสธาราธก็มาถึงบริเวณที่เรียกกันกว่าอัลธาวา เจ้าชายหนุ่มตัวแต่เหม่อลอยคิดถึงเรื่องในภวังค์จนลืมไปแล้วว่ามีจุดประสงค์อันใด กระทั่งองค์กษัตริย์หยุดกายลงแล้วก็ยังมินึกเอะใจ รอจนพระองค์คืนมาเป็นร่างกลางและฉวยมือเอาไว้นั่นแหละ จึงได้รู้สึกตัว

          “ที่นี่คืออัลธาวา” เรเธียร์กล่าวพลางชี้มือลงไปบนกองหินรูปร่างประหลาดที่โอบล้อมปากปล่องที่พ่นหินร้อนสีแดงออกมา เพียงแวบเดียวที่หินกระทบกับสายน้ำนอกปล่อง ก็พลันเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ และกลิ้งลงไปตามทางลาด นี่เองเป็นที่มาของกองหินรูปร่างประหลาด

          สายเลือดในกายของมังกรไฟหนุ่มระอุขึ้นทันที

          “นั่นเป็นหินร้อนจริงๆ ?”

          ยังไม่ทันที่เรเธียร์จะเอ่ยปากตอบ เจ้าชายก็พูดต่อ “ข้าพเจ้าอยากลงไปสำรวจ”

          เห็นสีหน้าตื่นเต้นดีใจแล้วก็หักใจทัดทานไม่ลง องค์กษัตริย์พยักพระพักตร์ ปล่อยมือที่จับเอาไว้ อัสธาราธแหวกสายน้ำลึกล้ำตรงไปยังปากปล่องที่พ่นหินหลอมเหลวสีแดงนั่นทันที ด้วยนึกสงสัยในใจอย่างยิ่งยวด หินในน้ำจะร้อนเช่นบนบกหรือไม่ จะสร้างเปลวเพลิงสีแดงในห้วงธาราลึกเช่นนี้ได้หรือไม่

          องค์กษัตริย์ขมวดคิ้วอย่างกังวลพระทัย เมื่อเห็นมังกรหนุ่มว่ายพุ่งลงไปในปล่องร้อนนั้น แม้ทราบว่าคงไม่เป็นอันตราย แต่เนื่องด้วยมีชีวิตสืบมาหลายพันปี ยังไม่เคยเห็นผู้ใดพุ่งลงปล่องหินร้อนของอัลธาวามาก่อน หุบเขาแห่งนี้ได้ชื่อว่าร้อนจัดที่สุดในอิลห์ลาริน ยากนักจะมาผู้ใดเข้ามาเยี่ยมกราย พอเห็นท่าทีชวนหวาดเสียวนั้นก็อดห่วงไม่ได้

          “อุบ!” เจ้าชายหนุ่มอุทาน ก่อนจะหัวเราะเสียงลั่น จนองค์กษัตริย์ต้องเอ่ยปากถาม

          “เจ้าเป็นอะไรแล้ว?”

          “ข้าพเจ้าร้อน” เจ้าชายหนุ่มกล่าว เขาเพิ่งโผล่ศีรษะออกมาจากบ่อหินร้อนนั่น ร่างกลางทนทานไอความร้อนได้มากกว่าร่างมังกร แต่อัสธาราธลืมเสียสนิท เสื้อผ้าไม่ทนความร้อนเช่นนั้น ยามที่อยู่ซาซากันก็มักจะโดนท่านพี่หญิงเอ็ดอยู่บ่อยๆ เรื่องทำเสื้อผ้าเสียหาย ขนาดเสื้อที่ทอจากใยหินทนไฟที่สุด เจ้าชายหนุ่มก็พาไปละเลงในปล่องร้อนมาเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น เสื้อผ้าของชาวบาดาลยิ่งไม่ต้องพูดถึง

          “หินร้อนในปล่องนี่ร้อนจริงๆ” เจ้าชายหนุ่มยังคงกล่าวด้วยสีหน้ารื่นเริง เนื่องจากไม่ได้สัมผัสไอร้อนมาหลายวัน การได้แช่หินร้อนในร่างกลางเช่นนี้จึงเป็นการผ่อนคลายอย่างยิ่งยวด เรเธียร์ที่มีความทรงจำยาวนานยังมิอาจเข้าใจความพึงพอใจนี้ จึงกล่าวออกไปอย่างเป็นกังวล

          “เจ้ารีบขึ้นมา เราไม่อยากเห็นเจ้าสุกอยู่ในนั้น”

          อัสธาราธหัวเราะร่าเริง “ข้าพเจ้าไม่กลายเป็นมังกรต้มหรอก อย่างดีก็คงเส้นผมไหม้บ้างเท่านั้น”

          “แล้วกัน! เช่นนั้นรีบขึ้นมาเถิด หากเจ้าหัวล้านเราคงขำไม่ออก”

          คนที่ขำกลับกลายเป็นผู้มีที่โอกาสจะหนังศีรษะไหม้ “พระองค์อย่าได้วิตก หากผมข้าพเจ้าจะไหม้ ก็คงไหม้แค่ปลายๆ เท่านั้น อืม...”

          พูดไม่ทันจบก็มุดหายลงไปในปล่องนั้นอีก ตั้งแต่ดำรงร่างนี้มา นี่เป็นครั้งแรกกระมังที่ราชันย์แห่งสายน้ำคิดว่าหัวใจจะหยุดเต้นเนื่องเพราะความตื่นตกใจ เจ้าชายนั่นทำราวกับปล่องร้อนนั้นเย็นจัด พวกมังกรไฟนี่ยากจะเข้าใจจริงๆ

          อัสธาราธดำหายลงไปในปล่องหินร้อนอยู่นานสองนานยังไม่มีท่าทีจะกลับขึ้นมา องค์กษัตริย์เริ่มรู้สึกปริวิตก หากเจ้าชายนั่นไม่กลับขึ้นมา จะทำเช่นไร จะให้ลงไปตามในปล่องร้อนนั่นคงเป็นไปไม่ได้ ครั้นจะให้ไปรายงานกับองค์กษัตริย์แห่งซาซากันก็ไม่รู้จะกล่าวเช่นไร จะให้บอกว่าเพราะพาน้องชายของพระองค์มาเที่ยวปล่องภูเขาไฟจึงเกิดเรื่องก็ดูจะน่าขายหน้า ขณะตรึกนึกหาคำแก้ตัว เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ก็โผล่ศีรษะขึ้นมาอีกครั้ง

          “โอ๊ยๆ ข้าพเจ้าจะไหม้แล้ว” น้ำเสียงร่าเริงไม่มีความทุกข์ร้อนเลยสักนิด แต่รูปประโยคทำเอาผู้ที่นึกปริวิตกอยู่แล้วยิ่งกังวลหนัก

          “อัสธาราธ เจ้ารีบขึ้นมา อย่าได้เล่นพิเรนทร์เช่นนี้อีก เราผู้เฒ่าจะหัวใจวายตายแล้ว”

          องค์กษัตริย์ตรัสด้วยความวิตกจริต หากร่างกายไม่พ่ายแพ้แก่ไอร้อนแห่งอัลธาวา พระองค์คงมุ่งเข้าไปฉุดตัวมังกรหนุ่มขึ้นมาด้วยพระองค์เองแล้ว

          อัสธาราธมิได้ตอบองค์กษัตริย์ในทันที ดูเหมือนกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ในปล่องร้อน สักพักก็ผลุบหายไปอีก เรเธียร์แทบจะลมจับไปจริงๆ

          อัสธาราธผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในปล่องร้อนหลายหน จนเรเธียร์ต้องสร้างบัลลังก์ชั่วคราวขึ้นมาเอนกายพลางพร่ำบอกตนเองว่านั่นคือสายพันธุ์แห่งไฟ พระแม่แห่งเพลิงต้องทรงปราณีอย่างมิต้องสงสัย
 

          “ขออภัยหากข้าพเจ้าทำให้พระองค์ทรงวิตก” น้ำเสียงของเจ้าชายหนุ่มดังขึ้น ขณะที่องค์กษัตริย์กำลังดำริในพระทัยว่าจะให้อูห์รูนปรุงยามาให้ทานเพิ่ม คล้ายเรื่องมุดเล่นในลาวาร้อนนี้จะสร้างความสะเทือนพระทัยเสียยิ่งกว่าเรื่องถูกกัดเสียอีก

          “เจ้าทำเราวิกต..!” เรเธียร์กล่าววาจาค้าง เมื่อเบนสายตามามองผู้พูด อัสธาราธยังไม่รู้สึกผิดปกติในกิริยานั้น ดูจะสนใจกับของที่อยู่ในมือมากกว่า

          “ข้าพเจ้าให้ท่าน” พูดพลางยื่นมืออกมา ในฝ่ามือมีวัตถุบางอย่างสีดำมีลายทองเลื้อยอยู่ ลักษณะคล้ายมังกรขดตัวเข้าหากัน

          “เจ้าทำเอง?” องค์กษัตริย์ตรัสถามอย่างแปลกพระทัย นี่เป็นรูปตราประจำพระองค์ไม่ผิดแน่ ไม่นึกว่าเจ้าชายแห่งคอนเชียร์จะทำของเช่นนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น หรือจะทำจากหินหลอมเหลวนั่น

          อัสธาราธพยักหน้า “ในหินร้อนมักมีแร่ทองคำละลายอยู่ เมื่อครู่ข้าพเจ้าพยายามหาหินร้อนที่พอเย็นแล้วจะมีลายสวยงาม ขออภัยที่ทำท่านตกใจ”

          เรเรียร์ผงกศีรษะ พิศดูวัตถุในมือ “กลับไปเราจะให้ช่างทำสายสร้อย จะได้ไว้ใส่ยามออกท้องพระโรง” องค์กษัตริย์กล่าว เจ้าชายหนุ่มยิ้มกว้างทันที เรเธียร์กวาดตามองผู้ยืนอยู่ตรงหน้าขึ้นๆ ลงๆ อีกหลายรอบ ก่อนจะแย้มยิ้มกล่าว

          “เราขอถอนคำพูดเรื่องเคยกล่าวหาว่าเจ้าเป็นทารก ทารกย่อมไม่มีสรีระอุจจาดตาเช่นนี้ เจ้าตั้งใจจะอวดความเติบโตกับเราหรือไร?”

          อัสธาราธขมวดคิ้วอย่างงุนงง ก่อนจะก้มลงมองร่างกายตนเอง ก่อนจะรู้สึกตัวว่ากำลังเปลือยกายล่อนจ้อนต่อหน้าองค์กษัตริย์ ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดแทบจะเป็นสีเดียวกับเส้นผมด้วยความอับอายในทันที ลืมไปเสียสนิทว่าเสื้อผ้านั้นไม่ทนความร้อน

          อารามความอับอาย เจ้าชายหนุ่มสั่งงอกผิวเกล็ดขึ้นมาปิดบังร่างเอาไว้ แต่คงจะอับอายมากจริงๆ ถึงกระทั่งงอกคลุมใบหน้าไปด้วย องค์กษัตริย์เช่นเช่นนั้นอดหัวร่อออกมาไม่ได้

          “ตอนนี้เจ้าดูคล้ายปูตัวหนึ่งแล้ว”

          อัสธารายอมกลายเป็นปูจริงๆ จะให้เสนอหน้าออกไปได้อย่างไร ในเมื่อกระทำเรื่องน่าอายอย่างนั้นออกไปแล้ว

          “นี่... โผล่หน้าออกมาเถิด เรารู้แล้วเจ้าอับอาย”

          “....................”

          เรเธียร์รู้สึกเหมือนคุยกับปะการัง เริ่มรู้สึกสำนึกผิดนิดหน่อยที่เย้ามังกรหนุ่มไปแรงขนาดนั้น วัยฉกรรจ์ย่อมต้องอับอายเป็นธรรมดา แต่จะให้ปลอบอย่างไรดีเล่า?

          “นี่...เด็กน้อย...อืม...หนุ่มน้อย ออกมาเถิด เจ้าอย่าได้แง่งอนเป็นอิสตรีเลย”

          อัสธาราธเกือบจะเถียงออกไป ติดที่เกล็ดงอกค้ำปากเอาไว้ ครั้นจะคลายออกก็ไม่กล้าสู้หน้า จึงยังคงเงียบอยู่

          เรเธียร์จ้องมองก้อนเกล็ดสีแดงตรงหน้าอย่างจนใจ ไม่นึกไม่ฝันจะต้องมาปลอบประโลมตัวประหลาดเช่นนี้ แต่คล้ายเหตุการณ์นี้ตนมีส่วนผิดอยู่นิดหน่อย จึงทดลองทอดน้ำเสียงอ่อนโยน

          “นี่...เจ้าชาย...ออกมาคุยกับเราเถิด ร่างกายเจ้ามิใช่ไม่ดีอะไร เราผู้เฒ่าออกจะปากไวไปหน่อย อืม...จริงๆ เราเห็นว่าเจ้าเป็นมังกรหนุ่มรูปงามตนหนึ่ง”

          คล้ายคำป้อยอจะใช้ได้ผล อัสธาราธพูดออกมาเป็นครั้งแรก

          “พระองค์พูดจริง?”

          องค์กษัตริย์ผงกพระพักตร์ กล่าวสืบต่อ “เราเป็นกษัตริย์ ย่อมกล่าววาจาสัตย์ เมื่อครู่เราพูดไปเพียงเพราะอยากจะเย้าเจ้าเล่น เด็กน้อยเจ้าอวดร่างใส่ ไม่กลัวเราผู้เฒ่าเก็บเอาไปน้อยใจหรือ?”

          “ท่านจะน้อยใจเรื่องใด?”

                “ร่ายกายวัยเยาว์ย่อมเป็นที่ปรารถนา เรานี้เข้าสู่วัยชราแล้ว ร่างกายคล้ายไม้ผุง่อนแง่นเต็มที จะทำอะไรก็ดูติดขัดไปเสียหมด เด็กเจ้าไม่เคยชราย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกเราแน่นอน”

          อัสธาราธสั่นศีรษะ “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจแน่นอน อืม.. ข้าพเจ้าไม่ได้ดูแย่?”

          แลดูคล้ายเจ้าชายหนุ่มยังคงเป็นกังวลกับประโยคเย้าเมื่อครู่ เรเธียร์ยิ้มอย่างเอ็นดู กล่าวเสียงกังวาน

          “ย่อมไม่ดูแย่ อาจจะน่าดูสักหน่อย เสียดาย เราไม่เคยนึกชอบดูรูปร่างบุรุษมาก่อน”

          “เช่นนั้นท่านชมชอบดูเรือนร่างอิสรตรี?”

                มีเรียวยกขึ้นเขกลงไปบนแผงเกล็ดตรงหน้าผากเบาๆ

          “ผู้ใดใช้เด็กเจ้ากล่าววาจาน่าละอายเช่นนั้น อืม..บริเวณนี้ไม่มีผู้ใด เราพอจะบอกกล่าวกับเจ้าได้ สรีระสตรีชาวบาดาลไม่เลวทีเดียว น่าเสียดายพวกนางมักไม่ค่อยปรากฏโฉมต่อหน้าเรา ดั่งเกรงกลัวว่าเราจะงามกว่า อืม...เรายังเห็นพวกนางงามกว่าเราหลายเท่านัก”

          อัสธาราธนึกสงสารนางมังกรพวกนั้นอยู่ในใจ หากต้องทาบรัศมีกับองค์กษัตริย์ผู้มีสิริโฉมงดงามเช่นนี้ ต่อให้พวกนางมีทรวดทรงงดงามอย่างใด คงไร้ความหมายเป็นแน่แท้ เนื่องด้วยองค์กษัตริย์นั้นมีความงามในแบบที่ไม่อาจจะหาสิ่งใดที่เปรียบเทียบความงามได้

          “แต่สตรีในฝันของท่านมิใช่ชาวบาดาล?” อัสธาราธเผลอหลุดปากพูดออกไป เพราะย้อนไปนึกถึงสรีระของสตรีในฝันนางนั้น นัยน์ตาสีมรกตชะงักกึกทันที

          “โอ...เจ้าเห็นนางแล้ว?”

          เจ้าชายหนุ่มพยักหน้า นัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด

          “นางเป็นสตรีที่เราคำนึงถึงมากที่สุด”

          “นางเป็นผู้ใด?”

          “เราไม่ทราบ”

          “?” อัสธาราธมององค์กษัตริย์อย่างงุนงง เรเธียร์จึงอธิบายความต่อ

          “นางเป็นสตรีชาวมนุษย์ ที่พลัดตกลงมาในห้วงน้ำแห่งเรา นางมีชื่อใด มีที่มาอย่างไร เราไม่ทราบ”

          “เช่นนั้น ใยท่านจึงคำนึงถึงนางมากเช่นนั้น?”

          “โอ....” องค์กษัตริย์มีสีพระพักตร์ปั้นยาก อ้ำอึ้งอยู่เป็นนานจึงกล่าววาจาออกมา

          “คล้ายเราหลงรักนาง เราเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับที่สุด เนื่องเพราะผู้ยิ่งใหญ่เช่นเรากลับหลงรักสตรีชาวมนุษย์ที่ยังไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด ผู้ใดรู้น่ากลัวหัวร่อไม่จบสิ้น”

          “แต่นางตายไปแล้ว?”

          เรเธียร์ผงกศีรษะ กล่าวสืบต่อ

          “เช่นนี้เราจึงยิ่งต้องปิดบัง คล้ายเราไร้โชคเรื่องความรัก เราพบสตรีนางหนึ่ง เราหลงรักนาง แต่กลับหลงรักนางยามที่นางสิ้นลมไปแล้ว โอ...เราเรเธียร์ หลงรักสตรีที่ตายไปแล้ว”

          ตอนท้ายคล้ายรำพึงรำพันกับตนเอง นัยน์ตาสีมรกตคล้ายจมสู่ห้วงภวังค์ยิ่งใหญ่ที่แสนแปลกประหลาดเกี่ยวกับสตรีนางนั้น อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์องค์กษัตริย์ มิทราบเพราะเหตุใด หัวใจคล้ายปวดจนมิอาจทนทาน เผลอหลุดคำพูดออกมา

          “หากข้าพเจ้าตาย ท่านจะรักข้าพเจ้าบ้างหรือไม่?”

          องค์กษัตริย์หลุดออกจากห้วงภวังค์ทันที “เจ้าว่าอย่างไร?”

          “...................” อัสธาราธนิ่งอึ้งไปหลายอึดใจ ทราบดีว่าได้กล่าวถ้อยคำไม่สมควรออกไปแล้ว กับเรื่องเช่นนี้จะให้องค์กษัตริย์รู้ได้อย่างไรเล่า คิดเช่นนั้นจึงอ้อมแอ้มตอบไป “ข้าพเจ้าเปล่า”

          “อืม...” องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินส่งเสียงลึกในลำคอ “ยังอยากไปเที่ยวที่ใดอีกหรือไม่?”

          อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเม้มริมฝีปากด้วยความขัดเขิน

          “แลดูข้าพเจ้ารบกวนท่านมากแล้ว พวกเรากลับกันดีกว่า”

          “โอ...เจ้าไม่อยากท่องเที่ยวแล้ว?”

          “ข้าพเจ้าอยาก แต่....”

          “เช่นนั้นก็ไปกับเรา หรือเจ้าไม่พอใจที่มีเราเป็นเพื่อนร่วมทาง?”

          “มิได้”

          “เช่นนั้นอย่าได้เกรงใจเรา เจ้าอยากเห็นที่ใดอีก?”

          อัสธาราธมองหน้าองค์กษัตริย์แล้วนึกไม่ออกว่าตนอยากชมสิ่งใด คล้ายมองเพียงพระพักตร์ของพระองค์ก็เพียงพอแล้ว องค์กษัตริย์เห็นเจ้าชายหนุ่มเงียบไปเช่นนั้นจึงกล่าววาจาสืบต่อ

          “อืม....เราลืมเลือน คล้ายเจ้าไม่รู้จักสถานที่ มาเถิด เราจะพาเจ้าไปดูสวนที่คลัสเตอร์”

          ตรัสพลางยื่นพระหัตออกมา อัสธาราธจึงต้องโดยสารไปกับร่างเดิมขององค์กษัตริย์อีกรอบ ระหว่างนั้นอดไมได้ที่จะถามคำถาม

          “ข้าพเจ้าใคร่บังอาจถามสักหนึ่งเรื่อง”

          “เรื่องใด?” น้ำเสียงพร่าในฟองพรายถามกลับมา อัสธาราธนิ่งเงียบไปอย่างลังเล ท้ายที่สุดก็ถามออกมา

          “เหตุใดท่านช่วยข้าพเจ้าเมื่อคราวนั้น”

          เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะลอยมาตามกระแสน้ำ

          “ช่วยชีวิตยังต้องมีเหตุผล? เอาเถิด เจ้าเห็นสตรีนางนั้นในความทรงจำของเราแล้วย่อมต้องนึกสงสัย เรายอมรับ เจ้ากับสตรีนางนั้นมีส่วนใกล้เคียงกันบางอย่าง”

          อัสธาราธรู้สึกหัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล หรือจะโกรธเรื่องที่ถูกเปรียบเทียบกับสตรี แต่ไม่คล้ายว่ามีความรู้สึกไม่พอใจเกิดขึ้นเลย

          “อืม..นี่เราไม่ได้ตั้งใจเปรียบเทียบเจ้ากับอิสตรี” องค์กษัตริย์กล่าวสืบต่อ “เราเพียงรู้สึก ทั้งเจ้าทั้งนางล้วนกล้าหาญนัก ผู้อื่นเมื่อร่วงหล่นลงสู่สายน้ำแห่งเราล้วนถูกความหวาดกลัวเล่นงานจนสิ้นท่า น้อยนักจะกระทำการกล้าหาญเช่นพวกเจ้า”

          “ข้าพเจ้า....” อัสธาราธรู้สึกเหมือนน้ำเสียงหลุดหายไปในลำคอ ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักจึงแค่นออกมาได้ “ข้าพเจ้าไม่ได้กล้าหาญแต่อย่างใด ตอนนั้นข้าพเจ้ากลัวแทบตาย”

          “เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก หากเจ้าไม่กลัวเลยสิแปลก ตอนเจ้าหนีหายไป เรายังนึกหวั่น ใช่เรากลายเป็นภาพอดีตเลวร้ายในใจเจ้าหรือไม่ โอ...เรารู้สึกดีที่ช่วยเจ้าเอาไว้ได้ แต่ก็หวั่นว่าเจ้าจะจดจำเราในแง่เลวร้าย”

          “ข้าพเจ้าฝันถึงท่านบ่อยครั้ง” เจ้าชายหนุ่มกล่าว พลางหวนนึกถึงยามที่ต้องสะดุ้งตื่นมาเพราะนัยน์ตาสีมรกตคู่นั้น ในเวลานั้นตนหวาดกลัวองค์กษัตริย์ผู้นี้จริงๆ

          “ฝันว่าอย่างไร?” น้ำเสียงนั้นดูสนใจใคร่รู้อย่างเห็นได้ชัด ดูจะอยากทราบความฝันของผู้อื่น

          “อืม....” อัสธาราธลำบากใจที่จะพูด “ข้าพเจ้าไม่ได้ฝันดี”

          “อืม...เราทราบ หากเจ้าฝันดี ไหนเลยจะหวาดกลัวเราถึงขนาดนี้”

          “แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าไม่กลัวท่านแล้ว” อัสธาราธตอบกลับทันที เหมือนได้ยินเสียงหัวร่ออีกครา

          “เราคล้ายต้องการให้เจ้ากลัวเราต่อไปสักหน่อย ได้เห็นเจ้าบัดเดียวหน้าซีด บัดเดี๋ยวหน้าแดง เรารู้สึกบันเทิงอยู่หลายส่วน”

          อัสธาราธขมวดคิ้วมุ่นทันที ไม่เข้าใจห้วงอามรณ์ขององค์กษัตริย์ชราเลยสักนิด

          “ท่านบอกกลัวข้าพเจ้าจดจำในแง่ร้าย แต่พอกล่าวอีกทีก็คล้ายพอใจที่ถูกข้าพเจ้าจดจำเช่นนั้น สรุปแล้วท่านมีนิสัยเช่นไรแน่?”

          ได้ยินเสียงหัวเราะดังชัดเจนเป็นเวลานาน คล้ายอัสธาราธกล่าววาจาอย่างไร องค์กษัตริย์ล้วนเห็นเป็นเรื่องขำขันทั้งสิ้น

          “ขออภัยกับความเสียมารยาทของเรา” ในที่สุดองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำจึงตรัสต่อ “เราอยู่มาเนิ่นนาน พอแก่ตัวลงคล้ายมีนิสัยชอบหยอกเย้าผู้อื่นเพิ่มขึ้นมาอีกสักหน่อย อืม...ตั้งแต่มีนิสัยนี้มา ยังหยอกผู้ใดไม่สนุกเท่าหยอกเจ้า”

          อัสธาราธย่นคิ้ว ไม่ทราบองค์กษัตริย์เคยนึกถึงจิตใจผู้ถูกพระองค์หยอกล้อบ้างหรือไม่

          “คล้ายเจ้าหยอกสนุกมาตั้งแต่ยังเล็กๆ”

          “?”

          “อืม...ยังไม่เคยเล่าให้เจ้าฟัง เราเองก็เพิ่งมานึกได้ เราเคยขึ้นไปงานครบรอบวันเกิดปีที่สิบของเจ้า อืม...ตอนนั้นเจ้ายังคงจำความไม่ได้กระมัง เรานึกออกเพราะเราไปงานฉลองวันเกิดของเชื้อพระวงศ์ซาเกวนส์แทบทุกตน เรายังจำพี่ชายเจ้าตอนเกิดใหม่ๆ ได้ น่าตาน่ารักน่าชังทีเดียว อืม.. ยังพี่สาวเจ้าอีก เติบโตขึ้นก็เป็นเจ้าหญิงโฉมงามแล้ว อืม....ไหนจะพ่อเจ้า...อาเจ้า....โอ...ปู่ของเจ้าเองก็ดูจะเย้าสนุกไม่แพ้กัน”

          “ท่านพูดถึงแต่ข้าพเจ้าเถิด” เจ้าชายอดไม่ได้ต้องกล่าวออกไป ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกไม่ตนเองเป็นเด็กทารก องค์กษัตริย์ก็ดูชราภาพยิ่ง ขืนฟังต่อคงได้กลั้นใจตายแน่ๆ ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นหลังจากนั้นเล็กน้อย

          “เรายิ่งชรายิ่งชอบพูดถึงอดีตไม่จบไม่สิ้นเสียแล้ว อา..เล่าถึงที่ใด อืม...วันเกิดเจ้า..วันเกิดเจ้า..ใช่แล้ว เจ้าเพิ่งอายุสิบปี ทารก...ทารกน้อยอัสธาราธ”

          คล้ายชอบอกชอบใจคำว่าทารกนั้นอย่างยิ่ง อัสธาราธเริ่มรู้สึก องค์กษัตริย์อาจมีนิสัยกวนประสาทผู้อื่นมาเนิ่นนานมากแล้ว อดไม่ได้ต้องกล่าวแทรกออกไป

          “ข้าพเจ้าตอนนั้นยังเด็ก เป็นทารกมีอันใดประหลาด?”

          “ไม่มีอันใดประหลาด เราเพียงรู้สึก เจ้าดูน่ารักน่าชังจริงๆ มังกรไฟสีแดงตัวน้อยๆ ที่ริอาจจะพ่นไฟใส่เรา พอเราเข้าใกล้ก็จะงับเราอีก แลดูเจ้าดุร้ายมาแต่ยังเล็กๆ”

          อัสธาราธนึกภาพตัวเองยามนั้นไม่ออก ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์กล่าวต่อ

          “ทั้งบิดามารดาเจ้าล้วนเป็นกังวล เจ้าได้สิบปีแต่ยังมิยอมแสดงร่างกลางออกมา แม้ทารกยังต้องรู้จักวิธีเปลี่ยนร่าง พี่ชายเจ้าเองพอย่างปีที่หกก็เปลี่ยนร่างได้แล้ว เห็นเจ้าสิบปีมิยอมกลายร่าง จึงกังวลว่าเจ้าจะใหญ่โตจนคับซาร์ซารกัน อืม....เมื่อครู่เหมือนเรากล่าวคำบรรยายผิดพลาดไปบ้าง เจ้าดูตัวน้อยสำหรับเราก็จริง แต่เมื่อเทียบกับห้องของเจ้าในซาร์ซากันแล้ว นับว่าสิบปีเจ้าก็โตแทบจะคับห้อง”

          “ข้าพเจ้าชอบอยู่ในร่างมังกรมาแต่ไหนแต่ไร” อัสธาราธว่า รู้สึกอับอายนิดหน่อยที่เพิ่งทราบว่าตัวเองก่อปัญหาให้พระราชบิดากับพระราชมารดาเช่นนั้น ได้ยินเสียงหัวร่ออีก

          “เราเห็นสองพระองค์วิตกเช่นนั้นก็อยากลองช่วยเหลือ จึงเนรมิตครอบน้ำมาล้อมตัวเจ้าไว้ คิดว่าหากบีบการเคลื่อนไหวของเจ้าให้จำกัดลง เจ้าน่าจะยอมเปลี่ยนมาเป็นร่างกลาง”

          “ที่แท้ท่านเป็นต้นเหตุ!” อัสธาราธโพล่งออกมา ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์กล่าวอย่างแปลกพระทัย “เจ้าจำได้?”

          “ข้าพเจ้าจำไม่ได้ทั้งหมด รู้แต่เวลานึกจะเปลี่ยนเป็นร่างกลางทีไร คล้ายมีผู้ใดคอยบีบข้าพเจ้าด้วยความเย็นเข้ากระดูกอยู่ ข้าพเจ้าจึงเกลียดการเปลี่ยนร่างเสมอมา”

          “โอ....” องค์กษัตริย์อุทานลากเสียง ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “นั่นไม่นับเป็นความผิด เราทำลงไปเพราะความหวังดีล้วนๆ”

          อัสธาราธรู้สึกอยากจะกัดองค์กษัตริย์สักคำ ยังมีผู้ใดกล้าหยอกล้อทารกด้วยวิธีทารุณเช่นนั้นนอกจากพระองค์อีกเล่า นึกๆ ดูแล้วน่าตกใจจริงๆ ที่จอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้เป็นต้นเหตุแห่งความทรงจำเลวร้ายทั้งหลายทั้งมวลของตน

          ดั่งกลัวถูกรื้อฟื้นความผิด องค์กษัตริย์มิกล่าววาจาใดต่ออีก เร่งรีบฝ่ากระแสน้ำลึกไปยังที่หมายทันที

--------------------------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
          “ที่นี่คือคลัสเตอร์” เรเธียร์ที่เปลี่ยนมาสู่ร่างกลางแล้วเอ่ยวาจาขึ้น พลางผายมือไปยังดงปะการังกว้างสุดลูกหูลูกตาเบื้องล่าง แต่คล้ายเจ้าชายแห่งคอนเชียร์จะสนใจอย่างอื่นมากกว่า นัยน์ตาสีแดงเพลิงเขม่นมองพระองค์อย่างเอาเรื่อง

          “เจ้าไยจ้องหน้าเราอย่างกับจะกลืนกินเช่นนั้น” องค์กษัตริย์เอ่ยถาม ด้วยสีหน้าที่รู้อยู่แล้วว่าถูกจ้องเพราะเรื่องอะไร อัสธาราธกล่าวเสียงหนัก “ข้าพเจ้าอยากจะกินท่านจริงๆ”

          เรเธียร์แสร้งทำหน้าวิตก ก่อนจะกล่าวออกมา “โอ...เรากลัวเป็นที่ลำบากปากทารกเจ้า คล้ายแค่ปลายหางของเราเจ้าคงใช้เวลาแทะหลายวัน”

          อัสธาราธถึงกับเม้มริมฝีปาก ขมวดคิ้วอย่างเถียงไม่ออก เห็นดังนั้นองค์กษัตริย์จึงพลันหัวร่อเบิกบาน

          “เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าริอาจคิดจะกินเราให้ยาก”

                กล่าวพลางถอยหลังไปหน่อยหนึ่ง ก่อนจะปล่อยตัวเองให้ร่วงละลิ่วลงสู่พื้นปะการังเบื้องล่าง

          “ขอต้อนรับสู่อุทยานที่สวยที่สุดในอิลห์ลาริน”

          น้ำเสียงกังวานอยู่ในห้วงน้ำพราวใส อัสธาราธเพิ่งสังเกตจริงๆ ว่าที่แห่งนี้มีแสงอาทิตย์ลอดผ่านจากเบื้องบน ยังไม่ทันได้หันไปสำรวจว่าอยู่ห่างจากผิวน้ำไปเท่าไร มือเรียวก็ยื่นมาดึงมือของเขาลงไป

          ปะการังหลากสีสันละลานตาอยู่เบื้องล่าง มีทั้งสีเหลือง แดง ส้ม ชมพู ยามกระทบกับแสงแดดที่ส่องผ่านผิวน้ำลงมาดูงดงามแปลกตา แต่ที่เหนืออื่นใดคือนัยน์ตาสีเขียวมรกตที่อยู่บนดวงหน้าผุดผาด เรือนผมสีน้ำเงินพรายพลิ้วสยายตัดกับสีสดใสของเหล่าปะการังเบื้องล่าง ความงดงามขององค์กษัตริย์คล้ายถูกสภาพแวดล้อมดังกล่าวขับให้ยิ่งงดงามมากเข้าไปอีก มองเห็นริมฝีปากได้รูปนั้นเผยออ้าขึ้น

          “เจ้าชอบหรือไม่?”

          อัสธาราธที่มองดูความงดงามตรงหน้าจนตะลึงลาน ตอบออกไปอย่างไร้สติ

          “ชอบ ข้าพเจ้าชอบมาก”

          องค์กษัตริย์แย้มยิ้มอย่างพออกพอใจ ก่อนจะชี้มือขึ้นไปด้านบน อัสธาราธหันตัวกลับไปตามนิ้วมือ มองเห็นแสงอาทิตย์สีทองต้องผิวน้ำใสด้านบน เป็นประกายวาววับ

          “เราชื่นชอบมานอนดูแสงอาทิตย์ที่นี่” องค์กษัตริย์กล่าว อัสธาราธมองเห็นฝูงปลาสีสันสวยงามว่ายผ่านหน้าตนไป ทั้งสีเหลือง สีขาว สีส้ม สีน้ำเงิน ดูลายตาไปหมด อดไม่ได้ต้องเอื้อมมือออกไปคว้า แต่พอยื่นมือออกไป ฝูงปลาก็แตกกระจาย ว่ายหนีไปหมด ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจ

          “เจ้าทำพวกนั้นตกใจ”

          อัสธาราธหันหน้ากลับมาอีกทีก็พบองค์กษัตริย์อยู่ท่ามกลางฝูงปลาหลากสีจำนวนมาก คล้ายที่แตกฮือเมื่อครู่หนีมารวมตัวกันอยู่ตรงนี้หมดสิ้น

          “ข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจ” มังกรหนุ่มแก้ตัว เมื่อครู่เพียงอยากจะจับเอาไว้เท่านั้น องค์กษัตริย์แย้มยิ้ม

          “อยู่ในน้ำเจ้าต้องรู้จักเบามือบ้าง” พูดพลางยกมือขึ้นค่อยๆ โอบรอบปลาน้อยตัวหนึ่ง คล้ายปลาสีแดงตัวนั้นพอใจจะถูกจับ ถึงกับแทบจะว่ายเข้ามาอยู่ในอุ้งมือขององค์กษัตริย์เองก็ไม่ปาน เรเธียร์โอบฝ่ามือเข้าหากันหลวมๆ ก่อนจะยื่นมาให้อัสธาราธ

          “ลองสัมผัสดู”

          เจ้าชายหนุ่มมองเห็นปลาสีแดงส้มลายพาดขาวตัวขนาดพอเต็มฝ่ามือกำลังจ้องหน้าตนอยู่ ครีบหางพลิ้วไปตามกระแสน้ำ มองอยู่สักพักก็เงยหน้าขึ้นมององค์กษัตริย์อย่างไม่แน่ใจ

          “ลองแตะดูเถิด ระวังให้เบาๆ มือก็พอ”

          อัสธาราธรู้สึกคำว่าเบามือเป็นอะไรที่กระทำยากลำบาก ใช้ชีวิตมาเป็นสองร้อยปี ไม่เคยแตะอะไรอย่างเบามือมาก่อน ขนาดเสาหินในวัง ยามรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา ก็บีบจนแหลกมาแล้ว แต่เมื่อองค์กษัตริย์อยากให้ลองแตะ ตนก็จะลองแตะดูสักหน่อย

          เจ้าชายหนุ่มยกมือขึ้น พยายามที่สุดที่จะแตะลงไปเพียงแผ่วเบา เจ้าปลาน้อยขยับหนีเล็กน้อย เมื่อถูกปลายนิ้วสัมผัสส่วนศีรษะ อัสธาราธรู้สึกเหมือนแตะเมือกลื่นๆ จึงลองลูบเบาๆ คล้ายปลาน้อยติดใจสัมผัส จากที่อยู่นิ่งๆ ก็เริ่มว่ายมาคลอเคลียตามมือแล้ว

          เรเธียร์หัวเราะร่วน เมื่อเห็นปลาตัวสีแดงส้ม ไถตัวไปกับเกล็ดสีแดงเพลิงบนร่างกายของอัสธาราธ

          “ท่าทางจะชอบเจ้าแล้ว”

          อัสธาราธทำหน้าแปลกๆ แต่ด้วยความเกรงใจจึงยืนนิ่งๆ ปลาน้อยว่ายถูไถไปเรื่อย คล้ายนึกอยากชิม จึงว่ายขึ้นไป ใช้ปากตอดบริเวณใบหูเรียวยาวของมังกรหนุ่ม องค์กษัตริย์พลันหัวเราะชอบใจ

          “ไหนลองเอาไปอีกหลายๆ ตัว”

          สิ้นคำพูด เหล่าปลาน้อยก็ว่ายเข้าหาเจ้าชายหนุ่มทันที จะว่าเป็นภาพสวยงามก็คงพอพูดได้ แต่หากจะพูดว่าดูระทึกขวัญก็คงไม่ผิดนัก เนื่องเพราะฝูงปลาเหล่านั้นมุ่งหน้าเข้ามากลุ้มรุมตนเองอย่างจริงจัง

          อัสธาราธยืนตัวแข็งทื่อ เหล่าปลาเล็กปลาน้อยว่ายวนไปมารอบกาย คล้ายต้องการอวดเรือนร่างแปลกตาและสีสันสดใส บางตัวว่ายมุดเล่นเข้าไปในผมสีแดงยาวสยาย บางตัวว่ายมาตอดตามใบหน้าและส่วนต่างๆ ให้รู้สึกจั๊กจี๋

          “ตอนนี้เจ้าดูคล้ายปะการังไม่น้อย” องค์กษัตริย์พลางยิ้มร่าเริง อัสธาราธทำได้เพียงแค่นยิ้มตอบ ไม่กล้าเปิดปากพูด ด้วยกลัวฝูงปลาจะพากันตกใจว่ายหายไปอีก เรเธียร์ยืนมองอยู่เป็นนาน นัยน์ตาสีมรกตดูจะสนุกสนานที่ได้เห็นมังกรจากต่างแดนยืนตัวเกร็งอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์ตัวน้อยของพระองค์

          “นี่ เจ้ายังขยับตัวอยู่ได้หรือไม่?”

          “?” อัสธาราธมีสีหน้างุนงง องค์กษัตริย์ตรัสต่อ “เราอยากพาเจ้าเดินชมรอบๆ หรือเจ้าจะให้เราอุ้มไป?”

          “ข้าพเจ้าขยับตัวได้?” ขณะอ้าปากพูด ปลาเจ้ากรรมตัวหนึ่งเกิดอุตริมุดเข้าไปในปาก เจ้าชายหนุ่มหุบปากไปแล้วยังต้องรีบพ่นปลาตัวน้อยนั้นออกมา พ่นออกมาตัวหนึ่งอีกตัวหนึ่งกำลังพยายามจะมุดเข้าไปในรูหู พอสลัดหัวไล่อีกตัวก็ว่ายรี่เตรียมจะมุดเข้าไปในรูจมูก อัสธาราธรู้สึกฝูงปลาพวกนี้จงใจหาเรื่องตนชัดๆ จึงสะบัดแขนขาไปมาพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด อาการเหล่านี้ทำเอาผู้ยืนดูถึงกับหัวร่องอหงาย

          “คล้ายพวกตัวเล็กตั้งใจจะอาศัยอยู่ในตัวเจ้าแล้วแน่แท้ ฮา ฮา”

          พูดไปหัวเราะไปอย่างเบิกบานเป็นยิ่งนัก ชวนให้เข้าใจว่าเป็นตัวการสั่งให้สัตว์น้อยพวกนี้กระทำการเช่นนี้รึเปล่า

          อัสธาราธพยายามสลัดฝูงปลาพวกนั้นออก แต่คล้ายเหล่าปลาน้อยติดใจร่างกายของตนอย่างจริงๆ จังๆ ถึงกับไม่ยอมถอยห่าง ไล่ไปแล้วก็ว่ายกลับมาใหม่ บางตัวก็เข้าไปหลบอยู่ในผม เจ้าชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่ปิดปากสนิท อย่างน้อยคงไม่มีปลาตัวใดว่ายเข้าไปในปากอีก

          เรเธียร์ดูสนุกสนานกับมหกรรมแปลกประหลาดนี้เป็นยิ่งนัก ยืนชมดูราวกับกำลังทอดพระเนตรมหรสพใหญ่ มองไปหัวเราะไป จนอัสธาราธต้องเอ่ยปาก

          “ท่านช่วยข้าพเจ้าบ้าง ข้าพเจ้าใกล้แย่!”

          พูดไม่ทันจบ ปลาตัวเขื่องสีเหลืองแถบดำพลันว่ายมาเอาปากตอดริมฝีปากของผู้พูด แถมไม่ได้มาตัวเดียว ขนกันมาสี่ห้าตัวราวกับจะปิดปากไม่ให้พูดต่อ

          องค์กษัตริย์หัวเราะจนตัวโยน แต่พอเห็นมังกรหนุ่มมีสีหน้าไม่พอใจจริงๆ จังๆ จึงดำเนินเข้ามาใกล้ พอเห็นองค์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลารินเสด็จมา ฝูงปลาเหล่านั้นก็รีบว่ายรี่เข้าไปทันที พออยู่ข้างตัวองค์กษัตริย์ก็ดูเรียบร้อยผิดกับตอนอยู่กับมังกรหนุ่มลิบลับ อัสธาราธรู้สึกเป็นการไม่ยุติธรรมจริงๆ อยากจะกลายร่างเป็นปลาตัวใหญ่ไปไล่ตอดไล่กัดองค์กษัตริย์บ้าง แต่ก็คงทำได้แค่คิด

          อัสธาราธพลันหงอยลงไปทันใด พอคิดว่าไม่มีอะไรพอจะทัดเทียมกับองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้เลย เช่นนี้มิถูกหยอกล้อไปตลอดหรือ? ความปรารถนาที่จะให้องค์กษัตริย์มองตนอย่างที่ได้เห็นในห้วงคำนึงนั้นคงเป็นแค่ความฝันเลื่อนลอยจริงๆ แต่ไฉนฝันเลื่อนลอยถึงได้วนเวียนก่อกวนจิตใจนัก

          “โอ....พอไม่มีผู้ใดตอดแล้วเด็กน้อยถึงกับซึมเลยหรือไร?” องค์กษัตริย์ตรัสถามพลางยิ้มยั่ว อัสธาราธรีบสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตายทันที

          “ข้าพเจ้าไม่ต้องการถูกตอดแล้ว”

          เรเธียร์หัวเราะร่าพลางกล่าวสืบต่อ

          “เช่นนั้นใยทำหน้าซึมเศร้าเช่นนั้นเล่า โอ..หรือเจ้าจะเคืองเรา เรามิได้สั่งปลาน้อยเหล่านี้รังแกเจ้าแต่อย่างใด ทุกตัวล้วนรู้สึกเจ้าน่ารักน่าอยู่ใกล้ทั้งนั้น”

          อัสธาราธไม่ขำด้วย แต่ก็ไม่ทำสีหน้าซึมเซาอีกแล้ว เจ้าชายหนุ่มเงยหน้ามองพระพักตร์องค์กษัตริย์ คล้ายยิ่งนานวันยิ่งทรงพระสิริโฉมงดงามยิ่งขึ้นอีก ประกายแดดต้องผิวกายผุดผาดกับเรือนผมสีเงินพรายที่สะท้อนเงาระยับอยู่ยิ่งขับเน้นความงามให้ผู้มองชมดูจนตาลาย คล้ายนัยน์ตาสีมรกตยังเพิ่มความลึกลับขึ้นอีกด้วย

          “มาเถิด เด็กน้อยของเรา เจ้าบอกอยากออกมาเดินเล่น สถานที่แห่งนี้เหมาะสมแก่การเดินเล่นอย่างยิ่ง เดินไปตรึกไปไม่เป็นปัญหา เรารับรองไม่ให้ปลาน้อยเหล่านี้รังแกเจ้าอีก”

          พอมานึกว่าเพิ่งถูกฝูงปลาตัวจ้อยพวกนี้กลุ้มรุมจนหมดท่า อัสธาราธก็พลันนึกอนาถตัวเองจนเกือบจะครางออกมา ไม่รู้จะสู้หน้าองค์กษัตริย์อย่างไรจึงจำต้องเฉกายเดินไปในดงปะการังและดอกไม้ทะเลหลากสี เนื่องเพราะองค์กษัตริย์มีความสามารถในการควบคุมกระแสน้ำ แต่ละก้าวที่ก้าวไปจึงไม่ทำอันตรายกับพืชและสัตว์ทะเลสีสันสวยงามพวกนั้นแม้แต่น้อย คล้ายก้าวเดินอยู่บนพื้นที่มองไม่เห็น

          อัสธาราธเดินก้าวไปในดงปะกะรังด้วยจิตใจว้าวุ่น พยายามบอกตนเองว่าจะขอสิ่งใดจากองค์กษัตริย์แน่ แต่ก็คล้ายความคิดวนเวียนอยู่ที่ดวงตาสีมรกตนั้นไม่จบไม่สิ้น แม้จะมองดูปะการังสีแดงสวยตรงหน้า ภาพดวงตาคู่นั้นก็ยังซ้อนทับเข้ามา อัสธาราธไม่รู้จะทำเช่นไรจึงหันไปมององค์กษัตริย์

          นัยน์ตาสีมรกตมองมายังตนอย่างไม่ต้องสงสัย องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำสืบเท้าสบายๆ ตามมาห่างๆ รอบตัวพระองค์ยังคงมีปลาหลากสีว่ายห้อมล้อมอยู่ และดูเป็นภาพสวยงามแปลกตา อัสธาราธอดยิ้มออกไปไม่ได้ สิ่งที่พบเห็นนี้จะขอได้หรือไม่ หากเอ่ยขอผู้งดงามที่สุดในห้วงน้ำแห่งนี้พระองค์จะประทานตัวเองให้เขารึเปล่า

          อัสธาราธอยากยกมือเขกศีรษะตัวเองให้แรงๆ สักทีหนึ่ง ยิ่งนานยิ่งฟุ้งซ่าน จึงเบือนหน้ากลับมาเสีย พอเบืยนหน้ากลับมาก็พบปลาทะเลสีดำสนิทว่ายตัดหน้าไปพอดี อัสธาราธเผลอเอามือทาบอก

          ปิ่นนั้นยังคงถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในร่องเกล็ดเป็นอย่างดี

          อัสธาราธยามนี้มิได้สวมใส่เสื้อผ้าอย่างปกติ แต่เป็นเกราะซึ่งสร้างมาจากผิวเกล็ดเพื่อหุ้มร่างเอาไว้ ตอนลงไปแช่ในบ่อลาวา นึกอยู่เช่นกันว่าปิ่นคงเสียหายหากถูกความร้อน จึงสร้างแผ่นเกล็ดออกมาหุ้มเอาไว้ แต่ดันลืมว่าเสื้อผ้าจะเสียหายไปเสียสนิท หากนึกได้คงไม่ต้องมีความทรงจำน่าอับอายนั้นแล้ว คิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกท้อแท้มากมายจริงๆ

          ใยตนถึงต้องเฝ้าฝันเพ้อเจ้อเช่นนี้ด้วย

          อัสธาราธเดินดุ่มด้วยจิตใจฟุ้งซ่านสุดบรรยาย ทัศนียภาพในสถานที่นี้สวยงามน่าชมดู แต่ความงามกลับไม่ซึมเข้าไปในหัวสมองเลยแม้แต่น้อย มีเพียงภาพองค์กษัตริย์อัดแน่นอยู่ในนั้น ยิ่งเดินนานไป ยิ่งหันไปเหลือบมองพระองค์บ่อยขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรู้สึกงามเหลือจะกล่าว แม้จะทรงมีนิสัยชอบกลั่นแกล้งไปบ้าง แต่ก็เป็นผู้ช่วยชีวิต ซ้ำยังช่วยเหลือต่างๆ นาๆ ยังเป็นผู้อ่อนโยนมากอีกด้วย

          แล้วจะให้เอ่ยขอสิ่งใดเล่า....

          อัสธาราธคิดว่าชาตินี้ทั้งชาติ หากได้เห็นดวงหน้าผุดผาดนั้นอยู่ คงนึกจะขอสิ่งใดไม่ออกเป็นแน่ ท้ายที่สุดจึงเอ่ยปากขอกลับที่พัก

-----------------------------------------------------

          “โอ...พระองค์เสด็จกลับมาแล้ว” อูห์รูนปราดเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอย่างที่ไม่ค่อยเห็นทำมากนัก แต่ทำหน้าแบบนั้นได้เพียงครู่เดียว ก็กลับไปมีสีหน้าจริงจังเช่นเดิมอีก

          “พระองค์เหน็ดเหนื่อยมากหรือไม่ ข้าพระองค์ปรุงโอสถเอาไว้หลายขนาน เชิญเสด็จไปประทับเอนกายบนพระแท่นให้หายเหนื่อยล้าก่อน ข้าพระองค์จะได้ปรนนิบัติรับใช้”

           บทสนทนายาวยืนของอูห์รูนทำให้องค์กษัตริย์อดไม่ได้ต้องแย้มพระโอษฐ์อย่างเอ็นดู

          “เราดูเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนั้น? เอาเถิด กินยาบ้างก็ดี เด็กน้อย เจ้าเหน็ดเหนื่อยหรือไม่?”

          ประโยคท้ายหันมาเอ่ยถามผู้ร่วมทาง อัสธาราธยืนเหม่อคล้ายไม่ได้ยิน จนองค์กษัตริย์ตรัสถาม

          “เจ้าเหนื่อย?”

          “ปะ..เปล่า” เจ้าชายหนุ่มกล่าวอย่างนึกขึ้นได้ และสั่นศีรษะ องค์กษัตรย์เขม่นมองอยู่พักหนึ่งจึงหันมากล่าวกับผู้รับใช้ต่อ

          “อืม...วันนี้มีเรื่องราวใดหรือไม่?”

          “ราชาของแคว้นทิลเมอเธียร์ส่งพลอยหยาดโลหิตมาเป็นเครื่องบรรณาการขอรับ”

          “ออ...อืม...จริงสิ” องค์กษัตริย์ตรัสอย่างนึกได้ ก่อนจะล้วงเอาของอย่างหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ

          “เจ้าจงสั่งช่างให้ใช้พลอยแดงนั่นทำสายสร้อยร้อยตรานี้ให้แก่เรา”

          อูห์รูนย่อกายรับของสิ่งนั้น พอเห็นก็อุทานอย่างแปลกใจ

          “นี่ใช่หินร้อนแห่งอัลธาวา? โอ...ผู้ใดสลักถวายแด่พระองค์ ช่างสวยงามแปลกตายิ่งนัก”

          องค์กษัตริย์แย้มยิ้ม “เป็นเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ทำให้เรา อืม..มิได้สลัก แต่ปั้นออกมา”

          “โอ...” อูห์รูนคราง กลอกนัยน์ตาสีฟ้าเทามองอัสธาราธขึ้นลงอยู่หลายรอบ จนคนมองรู้สึกแปลกๆ

          “เจ้าชายมีฝีมือทางช่างไม่เลว” อูห์รูนกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เดาไม่ออกว่าชมจากใจจริงหรือว่าประชดกันแน่ ก่อนจะหันไปพูดเรื่องอื่น

          “พระองค์จะเปลี่ยนเครื่องทรงหรือไม่?”

          เรเธียร์สั่นศีรษะ พลางหัวร่อเบาๆ

          “เราแนะนำ เจ้าควรถามเจ้าชายผู้นั้น อืม...เรารบกวนเจ้าเลยแล้วกัน ช่วยหาเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนให้เขาอีกสักชุดเถิด ชุดวันนี้เกิดปัญหาเล็กน้อย”

          อัสธาราธรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้าขึ้นมาอีก เมื่อเห็นสายตาขบขันขององค์กษัตริย์ที่มองมายังตน

          ยืนฟังองค์กษัตริย์สนทนากับผู้รับใช้อยู่อีกพักใหญ่ อัสธาราธจึงขอตัวกลับห้องพัก

----------------------------------------

          คืนนั้นเจ้าชายหนุ่มยังคงนึกสิ่งที่จะเอ่ยปากขอไม่ออก ไม่ว่าหลับตาลืมตาล้วนมีแต่ภาพขององค์กษัตริย์ปรากฏอยู่ จิตใจว้าวุ่นหาความสงบใดมิได้เลย แม้แต่หูก็คล้ายได้ยินเสียงเอ่ยลอยมาตามกระแสน้ำ คล้ายถูกองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งยงตามหลอกตามหลอนไม่สุดสิ้น

          หากแต่คราวนี้มิได้รู้สึกหวาดกลัวดั่งเมื่อก่อน เป็นความรู้สึกโหยหาต้องการอย่างยากจะเก็บงำเอาไว้ได้

          อยากโอบกอด อยากครอบครอง อยากสัมผัส

          อยากเป็นผู้อยู่ในดวงตาสีมรกตคู่นั้น

          อยากเป็นผู้ที่อยู่ในดวงหทัยลึกล้ำนั่น

          อัสธาราธได้แต่เม้มริมฝีปาก ด้วยตระหนักว่าบางทีตนอาจจะเสียสติไปเสียแล้ว

-------------------------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ Tageszeit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย อ่านแล้วคิดถึงคงฉ่วย

ออฟไลน์ phakajira

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
ดีมากๆ แต่งเก่งจัง-///-

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
ชอบจังค้าบ.... มาไวไม่ขาดตอน แล้วยังสนุกมากอีกต่างหาก... คุณผู้แต่ง...สุดยอดมาก!

Ai_Rong_Kun

  • บุคคลทั่วไป
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย อ่านแล้วคิดถึงคงฉ่วย

จริง เห็นด้วยเป็นที่สุด

Have_a_hope

  • บุคคลทั่วไป
สนุกมากกกกกก o13 o13

แทบรออ่านตอนต่อไปไม่ไหวแล้ว มาต่อเร็วๆนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด