[ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555  (อ่าน 118873 ครั้ง)

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ฮ้า กังวลแทนอัสธาราธ เลยอะ จะทำงัยล่ะ

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4
ฮ้ากกกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
14 : ความคลุ้มคลั่ง

                ดวงไฟสีน้ำเงินพรายทอประกายประหลาดภายใต้ห้วงน้ำลึกในอัลโดรธ์ อูห์รูนค้อมกายให้องค์กษัตริย์ของตนอย่างเคารพรัก ก่อนจะถอยร่างและเดินกลับออกไปตามทางเดินยาว รอจนผู้รับใช้เดินลับเหลี่ยมทาง องค์กษัตริย์จึงค่อยเปิดประตูห้องบรรทมออก สิ่งแรกที่ปรากฏคือรูปสลักหินของสตรีที่พระองค์ไม่เคยทราบนาม

          เรเธียร์ก้าวเท้าผ่านทรณีประตูเข้าไป ยกมือขึ้นและนิ้วมือที่สลักจากหินนั้นด้วยอารมณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ องค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลารินหลงรักหญิงสาวชาวมนุษย์นางหนึ่ง และหลงรักนางเมื่อนางได้ตายจากไปแล้ว

          ริมฝีปากของเรเธียร์ปรากฏรอยยิ้มเศร้าๆ

          ไยความรักจึงได้เล่นตลกกับพระองค์เยี่ยงนี้

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำมิเคยเปิดเผยเรื่องราวของนางในฝันนี้ให้ผู้ใดรู้มาก่อน มิใช่เพียงเพราะทรงอับอายในความรักที่แปลกประหลาดพิสดาร แต่เพราะดวงหทัยปวดแปลบอยู่ทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องของนาง ยามยกมือขึ้นแตะรูปสลัก คลายเหมือนมีเข็มนับล้านเล่มทิ่มแทงผ่านนิ้วมือเข้าไปในหัวใจ แม้พระองค์อาศัยอยู่ภายใต้สายน้ำเย็นยะเยียบมาโดยตลอดพระชนม์ชีพ แต่สัมผัสของแท่งหินไร้ชีวิตนั้นเย็นยะเยือกยิ่งกว่าสายน้ำเป็นไหนๆ

          สัมผัสแห่งชีวิตที่พระองค์ปรารถนาไม่มีวันได้มาโดยเด็ดขาด

          เรเธียร์พิศดูรูปสลักนางมนุษย์ ไม่ว่าส่วนใดก็ไม่อาจเทียบความงามของสตรีชาวบาดาลได้ แต่พระองค์ก็ยังหลงรักนางจนมิอาจโงหัว และมิอาจบอกเล่ากับผู้ใด ยกเว้นเสียแต่...มังกรจากโลกเบื้องบนตนนั้น

          ไม่ทราบเป็นโชคร้ายหรือโชคดีของอัสธาราธ ที่หลงเข้ามาในดวงจิตของพระองค์ ตลอดเวลาสามพันปี มีหลายร้อยชีวิตที่พลัดหลงเข้ามาในห้วงจิตไพศาล บางผู้ต้องการเข้ามาล้วงความลับในความทรงจำนับชาติไม่ถ้วนของพระองค์ บางผู้พลัดหลงเข้ามาโดยบังเอิญ แต่ไม่ว่าผู้ใด พระองค์ไม่เคยปล่อยให้เล็ดลอดกลับออกไปได้ ในห้วงจิตลึกล้ำเช่นนี้ ควรหรือจะปล่อยให้มีผู้บุกรุก กระนั้นพระองค์กลับปล่อยมังกรตนนั้นไป

          ไม่ทราบอัสธาราธรู้โทษของตนหรือไม่ การบุกรุกเข้ามาในห้วงจิตขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้น แม้ปั่นศีรษะของราชวงศ์ซาร์เกวนส์ทั้งราชวงศ์ พ่วงด้วยคอนเชียร์ทั้งเกาะ ก็ยังมิอาจชดใช้ความบังอาจนั้น

          แต่เรเธียร์ไม่หวังเห็นศีรษะของผู้ใดหลุดออกจากบ่า ยังไม่ต้องการทำลายเกาะน้อยๆ ในห้วงน้ำกว้างของพระองค์ อันเป็นที่อยู่อาศัยของสายพันธุ์ที่แตกแขนงออกไป ยิ่งไม่ต้องการเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของมังกรหนุ่มตนนั้น

          มิทราบเพราะเหตุใด พอสบนัยน์ตาสีแดงเพลิงนั้นแล้ว หัวใจพาลอ่อนยวบยาบอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าเรื่องใดก็ดูจะน่ารักน่าเอ็นดูไปเสียสิ้น

          หรือว่านี่จะเป็นอาการแปรปรวนในช่วงสุดท้ายของอายุขัย

          เรเธียร์วางมือลงบนแผ่นหินสลัก ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มพริ้มพราย เพียงแค่นึกถึงสีหน้าของมังกรหนุ่มตนนั้น หัวใจของพระองค์ก็อุ่นวาบเหมือนมีดวงไฟเล็กๆ ผุดขึ้น ความเจ็บปวดราวถูกเข็มทิ่มแทงยามสัมผัสกับแผ่นหินก็พลันมลายหายไปสิ้น หากรั้งตัวอัสธาราธเอาไว้ได้จวบจนพระองค์สิ้นอายุขัย วาระสุดท้ายคงไม่ชืดชาเกินไปนัก

          คอนเชียร์ก็แค่เกาะเล็กๆ หากพระองค์ประสงค์จะได้ตัวเจ้าชาย ผู้ใดจะกล้าขัดเล่า

----------------------------------------------

          อัสธาราธลุกพรวดพราดขึ้นจากที่นอน เนื่องจากห้วงน้ำที่ปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่งจนกระแทกกำแพงศิลาดังสะท้อนไปทั่วทั้งพระราชวัง คราแรกอัสธาราธคิดว่าตนคิดมากจนวิกลจริต แต่พอเปิดประตูออกมาก็พบเห็นมังกรน้ำหลายตน กำลังจับกลุ่มพูดคุยกันด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

          “เกิดอะไรขึ้น?!” เจ้าชายแห่งคอนเชียร์เอ่ยถามมังกรเหล่านั้น แต่พอพวกเหล่านั้นหันมาเห็นตน ก็พลันหน้าถอดสีเข้าไปอีก กระซิบกระซาบกันและพากันถอยห่าง อัสธาราธถึงกับยืนงุนงง

          “มีอะไรเกิดขึ้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงสะเทือน หรือพวกท่านไม่ได้ยิน?”

          มังกรเหล่านั้นหันไปมองหน้ากัน สีหน้าซีดเผือดกว่าเดิม หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้น

          “เจ้าชาย ท่านไม่ได้ยินหรือ ชื่อของท่าน”

          อัสธาราธมีสีหน้างุนงงกว่าเดิม ครั้นจะเดินเข้าไปถามตอน มังกรพวกนั้นก็รีบเดินหนีไปจนหมดสิ้น ราวกับหากเข้าใกล้เขาแล้วจะถูกลงโทษอย่างไรอย่างนั้น ขณะที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เสียงของอูห์รูนก็ดังขึ้น

          “เจ้าชาย!”

                สีหน้าของอูห์รูนปรากฎแววตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด แต่อัสธาราธกลับยิ้มออกมา

          “ท่านมาพอดี ข้าพเจ้ากำลังอยากทราบ นี่เกิดอะไรขึ้น?”

          “ท่านไม่ได้ยิน?” อูห์รูนถามกลับ สีหน้าตื่นตระหนกกว่าเดิม อัสธาราธพยักหน้า ด้วยสีหน้างุนงงไม่แพ้กัน

          “ข้าพเจ้าได้ยิน เสียงน้ำกระแทกหินเหมือนจะทลายให้แตกออก”

          “โอ...” ผู้รับใช้คราง และรีบกล่าวสืบต่อ “ท่านรีบติดตามเรามา แต่อย่าได้เกินใกล้เราเด็ดขาด”

          คิ้วของอัสธาราธขมวดเข้าหากันทันที เปิดประตูออกมาก็โดนมังกรพวกนั้นทำเหมือนรังเกียจ พอเจออูห์รูน เจ้าตัวก็ดูจะทำท่ารังเกียจอีก ทั้งๆ ที่ตนเองก็ดูแล้วว่าใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยมิดชิด หน้าตาก็ไม่น่าผิดไปจากวันก่อนๆ ทำไมทุกคนถึงได้ดูรังเกียจรังงอนเช่นนี้

 
          “เกิดอะไรขึ้นกันแน่!” อัสธาราธพยายามจะตะโกนถามอูห์รูนที่เดินราวกับจะวิ่งอยู่ด้านหน้า เนื่องจากกระแสน้ำปั่นป่วนอย่างหนัก การเดินตามอูห์รูนจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก อัสธาราธเดินไปพลางเซไปพลาง ชนเข้ากับผนังหินรอบแล้วรอบเล่า จนนึกสงสัยว่ากระแสน้ำบ้าคลั่งนี้จงใจจะเล่นงานตนเองเพียงคนเดียวหรือเปล่า?
เพราะไม่มีใครอธิบายอะไรให้เขาฟังเลย อัสธาราธที่วิ่งเซไปเซมาและพยายามตะโกนถามจึงเริ่มรู้สึกหงุดหงิด

“ข้าพเจ้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น!!!”

เกลียวน้ำตรงหน้าคล้ายตอบสนองกับเสียงตะโกน ม้วนตัวกราดเกรี้ยวซัดเข้าใส่ร่างของเขาทันที ความเจ็บปวดชนิดที่พูดไม่ออกแล่นเข้าสู่ร่างกายของมังกรหนุ่ม อูห์รูนหันหลังกลับมา มองเห็นนัยน์ตาสีฟ้าเทาเบิ่งกว้างอย่างตระหนก
อัสธาราธถูกคลื่นน้ำกระแทกจนเซถลาไปด้านหลังเหมือนถูกดูด ทั้งเจ็บปวดทั้งงุนงงและแตกตื่นกับเรื่องที่เกิดขึ้น ขณะที่ยังสับสนกับทิศทางที่กำลังกระเด็นไป ผ้าสีฟ้าเทาผืนหนึ่งก็พุ่งปราดเข้ามา มังกรหนุ่มยุดเอาไว้ตามสัญชาตญาณทันที แรงดึงมหาศาลกระชากเขาออกจากห้วงน้ำวนนั้น

“ท่านอย่าได้ตะโกนถามอะไรอีก รีบไปให้พ้นจากตัววังโดยเร็วเถิด”

          อูห์รูนกล่าว ผ้าสีฟ้าเทาเมื่อครู่มาจากเขานี่เอง แม้สงสัยหัวแทบแตก แต่เห็นสีหน้าจริงจังและการที่เจ้าตัวกระโดดถอยห่างออกไปทันทีที่เห็นตัวเขา อัสธาราธเริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับตัวเองจริงๆ เจ้าชายหนุ่มตัดสินใจปิดปากเงียบและวิ่งตามผู้รับใช้ไป เนื่องเพราะห้วงน้ำบ้าคลั่งเมื่อครู่น่าหวั่นกลัวยิ่งนัก
 

          กระแสน้ำในพระราชวังยังคงปั่นป่วนบ้าคลั่ง เสาหินน้อยใหญ่สั่นสะเทือนราวกับพร้อมจะถล่มได้ทุกเมื่อ อูห์รูนวิ่งไปได้สักพัก ก็หันหน้ากลับมา กล่าวอย่างร้อนรน

          “ท่านรีบวิ่งตรงไป ด้านหน้ามีประตูทางออก ท่านรีบตรงออกไป ไปที่หุบเหวเสียงสะท้อน!!”

                ยังไม่ทันจะพูดจบ เกลียวน้ำที่ม้วนวนอย่างบ้าคลั่งก็พุ่งเข้าซัดใส่ผู้รับใช้ อูห์รูนกระเด็นไปกระแทกกับเสาหินที่อยู่ไม่ห่างไปนัก กระนั้นยังคงตะโกนสั่ง

          “รีบไป รีบไป!!!!”

          อัสธาราธมองหน้าผู้รับใช้แห่งสายน้ำเลิกลั่ก พอเห็นอีกฝ่ายตะโกนด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราดครั้งแล้วครั้งเล่า จึงจำใจต้องวิ่งต่อไป โดยที่ยังไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
 

                อูห์รูนยันกายอย่างยากลำบากหลังจากอัสธาราธออกไปแล้ว นัยน์ตาสีฟ้าเทาหรี่เพ่งมองไปยังห้วงน้ำบ้าคลั่งเบื้องหน้า เงาสีเขียวดำค่อยๆ เคลื่อนคล้อยมาราวกับปิศาจร้าย ลูกกลมสีมรกตสองลูกที่มีจุดดำเล็กๆ อยู่ตรงกลางเต้นระริกอยู่ท่ามกลางหมู่เกลียวคลื่นสีสันน่าสยดสยอง อูห์รูนกลืนน้ำลาย

          “องค์กษัตริย์ ทรงควบคุมพระสติก่อนเถิด”

          ห้วงน้ำหมุนวนซัดกระแทกเขาอย่างไม่ปราณี ร่างเพรียวบางเซไปกระแทกกับเสาหินอีกรอบ ก่อนจะก้มลงหมอบกราบแทบพื้น

          “นี่ข้าพระองค์เอง ทรงจำไมได้หรือ?”

          คลื่นน้ำรุนแรงซัดกระแทกมาอีกรอบ หากบนบกมีสิ่งที่เรียกว่าน้ำตา ตอนนี้สิ่งนั้นคงไหลอาบแก้มผู้รับใช้ อูห์รูนยันกายลุกขึ้นอย่างน่าสงสาร ละล่ำละลักกล่าว

          “พระองค์เป็นอะไรไปแล้ว…..”

                ลูกกลมสีมรกตยังคงเต้นระริกอย่างน่าหวาดหวั่นภายใต้เกลียวคลื่นรูปร่างประหลาด ห้วงน้ำหมุนวนบ้าคลั่ง ซัดกระแทกเสาหิน ผนังและเพดานซ้ำแล้วซ้ำเล่า สะท้อนกันเป็นชื่อชื่อหนึ่ง

          อัสธาราธ

----------------------------------------------

          อัสธาราธเคยไปที่หุบเหวเสียงสะท้อนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และได้รับประสบการณ์ที่ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไร แต่กระนั้นความทรงจำของเขาก็ยังดีเยี่ยม เจ้าชายหนุ่มใช้เวลาพักใหญ่ จึงว่ายมาถึงหุบเหวที่ว่า ยิ่งออกห่างจากพระราชวัง ความบ้าคลั่งของเกลียวคลื่นก็ดูจะลดน้อยลงตามลำดับ เจ้าชายหนุ่มยืนลังเลอยู่พักหนึ่งตรงปากเหว ก่อนจะกระโดดลงไป

                เสียงสะท้อนที่เขาได้ยินตอนอยู่ภายในวังดังเข้ามาในโสตประสาท ทั้งเสียงตะโกนถาม และเสียงตอบของผู้รับใช้แห่งสายน้ำ และยังมีเสียงอีกเสียงหนึ่ง ที่อัสธาราธแน่ใจว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน

          อัสธาราธ

          เสียงนั้นเรียกชื่อเขาซ้ำๆ น้ำเสียงแตกพร่าแต่ดูคุ้นเคยอย่างประหลาด อัสธาราธนึกทบทวนความทรงจำขณะที่เสียงนั้นดังซ้อนๆ อยู่ในหัว ตอนที่เขาโผล่หน้าออกมาจากห้องนอน จนกระทั่งวิ่งหนีออกมา มีผู้หนึ่งที่ควรจะปรากฏตัวมากที่สุด และมักจะปรากฏตัวอยู่เคียงข้างเขาเสมอตั้งแต่ลงมาในห้วงน้ำแห่งนี้

          เรเธียร์

          มังกรหนุ่มรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว น้ำเสียงนั้นแม้แตกพร่าแต่เป็นเสียงขององค์กษัตริย์ไม่ผิดแน่ ไฉนตอนที่ยังอยู่ในวังเขาจึงไม่ได้ยินเล่า เสียงนั้นเอ่ยเรียกชื่อเขาซ้ำๆ ราวกับต้องการให้กลับไปอยู่ใกล้ๆ อัสธาราธรู้สึกร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก นี่จะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วิปลาสที่เขาเพิ่งเผชิญมาหรือไม่ คลื่นน้ำเหล่านั้นบ้าคลั่งเกินกว่าจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดอะไรขึ้นกันแน่

          เกิดอะไรขึ้นกับเรเธียร์

          อัสธาราธลอยลิ่วลงสู่ก้นเหว ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่าง

----------------------------------------------------------

          อูห์รูนตะเกียกตะกายหนีจากห้วงน้ำบ้าคลั่งที่ถ่าโถมเข้าใส่ เขาเคยอ่านบันทึกเกี่ยวกับอาการวิปลาสของกษัตริย์บางพระองค์ในช่วงบั้นปลายของอายุขัย เมื่อร่างกายไม่แข็งแกร่งพอจะรองรับดวงจิตที่ยังไม่ถึงกาลแตกดับ พลังงานจิตมหาศาลจะล้นทะลักออกมาและสร้างภัยพิบัติไปทั่วท้องน้ำแห่งอิลห์ลาริน

          แต่ว่ากษัตริย์พระองค์นี้ไม่มีแนวโน้มจะวิปลาสมาก่อน แม้ร่างกายจะเข้าสู่วัยชรามากแล้วก็ตาม อาการบาดเจ็บอย่างน่ากลัวก่อนหน้านี้ก็รักษาจนหายแล้ว ไฉนจู่ๆ จึงเกิดอาการคลั่งขึ้นมาได้เล่า หนำซ้ำยังมีเป้าหมายไปที่เจ้าชายจากต่างแดนนั้นอีกด้วย

          อูห์รูนไม่กล้าเสี่ยงให้เจ้าชายแห่งคอนเชียร์เผชิญหน้ากับภัยคุกคามอันนี้ ไม่ว่าภายหลังองค์กษัตริย์จะคืนสติหรือไม่ก็ตาม หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นระหว่างนั้น ต่อให้มีพระสติคืนมา ก็คงยากจะสะสางปัญหา และต่อให้มีกษัตริย์องค์ใหม่ ก็อาจจะเป็นชนวนบาดหมางกับดินแดนเบื้องบนได้ ดังนั้นอูห์รูนจึงจำต้องพาเจ้าชายหนีไปให้ไกลที่สุด หากไปถึงหุบเหวเสียงสะท้อน ดวงจิตขององค์กษัตริย์คงไม่ติดตามไป ตอนนี้เขาคงต้องหาวิธีทำให้พลังงานจิตที่บ้าคลั่งนี้สงบลงก่อน

          ปัญหาคือ ตอนนี้แค่ตะเกียกตะกายเอาตัวรอด ก็แทบจะแย่แล้ว

          อูห์รูนถูกซัดไปชนเสาหินซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนรู้สึกเหมือนกระดูกตัวทั้งตัวแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าองค์กษัตริย์ผู้อ่อนโยนยามคลุ้มคลั่งจะดุร้ายถึงเพียงนี้ ร่างเพรียวบางส่งเสียงอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ดูจะไม่เป็นผล เกลียวคลื่นสีสันน่าสะอิดสะเอียนแผ่ไปทั่วบริเวณ ความกดดันชนิดที่แทบจะทำให้ผู้สัมผัสโดนเสียสติอัดแน่นไปทั่วทุกอณูของผืนน้ำ อูห์รูนคิดว่าตนคงจะตายก่อนที่องค์กษัตริย์จะคืนสติเป็นแน่แท้ ส่งเสียงร่ำรองออกไปอย่างสิ้นหวัง

          “พระองค์ได้โปรดหยุดเถิด ได้โปรดหยุดเถิด”

          ดวงกลมสีมรกตเต้นระริก ก่อนที่เกลียวคลื่นบ้าคลั่งจะไหลกระแทกเข้าสู่ร่างผู้รับใช้อีกครั้ง

-------------------------------------------------

          อัสธาราธรู้สึกคลื่นไส้ ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในทิศทางไหน ตั้งตัวขนานกับพื้น หรือกำลังกลับหัวกันแน่ ที่รู้อยู่อย่างหนึ่งคือเขาเพิ่งสัมผัสเกสรของผู้พยุงจิต และคงหลุดเข้ามาในจิตของผู้เป็นใหญ่แห่งสายน้ำแล้ว แต่ครั้งนี้ ห้วงจิตดังกล่าวดูจะซับซ้อนสับสนยิ่งกว่าที่เขาเคยพบ

          คราก่อน อัสธาราธเข้ามาและพบเห็นเรื่องราวของอิสตรีนางนั้น แต่ครั้งนี้ เขาพบกับกระแสจิตที่หมุนวนคลุ้มคลั่ง กระแทกกระทั้นเข้าใส่ราวกับคลื่นน้ำที่เขาเพิ่งหนีออกมาไม่ปาน อัสธาราธไม่สามารถจับใจความของกระแสจิตนั้นได้ ยิ่งไม่อาจกระทำใดๆ ได้ นอกจากถูกพัดหมุนวนไปจนเวียนหัว ความสะอิดสะเอียนน่าคลื่นไส้ทับถมเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า มังกรหนุ่มรู้สึกเหมือนจิตจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาตะเกียกตะกายอยู่ในห้วงจิตสับสน และพยายามจะตะโกนเรียก

          “เรเธียร์!”

                ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด คล้ายห้วงจิตนั้นพะว้าพะวงอยู่กับบางสิ่งบางอย่างภายนอก อัสธาราธลองตะโกนอีกหลายครั้ง ก่อนจะถูกเหวี่ยงจนพูดไม่ออก อณูจิตไหลทะลักเข้าแทรกแซงจิตของเขาเหมือนจะเข้ายึดครอง อัสธาราธดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง ตะโกนเรียกชื่อเรเธียร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่สติถูกยึดครองอย่างรวดเร็ว

 
          มืดสนิท......................

          เหมือนหล่นลงไปในเหวที่ไม่มีก้น อัสธาราลอยละลิ่วอยู่ในความมืดที่ว่างเปล่า ไม่มีความกดดันหรือความสับสน มีเพียงความว่างเปล่าที่อ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าลอยผ่านความมืดนั้นนานเท่าใด รู้อีกทีรอบตัวก็เปลี่ยนเป็นสีขาว กระนั้นก็ยังมองไม่เห็นสิ่งใด ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ ไม่มีก้นบึ้ง เพียงแต่ร่วงหล่นลงไปเรื่อยๆ

          ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นเงาร่างร่างหนึ่ง เรือนผมสีน้ำเงินพรายนั้นไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นผู้ใด อัสธาราธอ้าปากเรียกชื่อออกไป

          “เรเธียร์!”

          ร่างเพรียวคล้ายไม่ได้ยิน ออกเดินไปโดยไม่หันหลังกลับ อัสธาราธวิ่งตามไป และรู้สึกเหมือนพื้นเบื้องหน้าสูงขึ้น ผู้ที่เดินอยู่เบื้องหน้าคล้ายถูกพื้นยกสูงขึ้นจนกลายเป็นแนวตั้งฉาก อัสธาราธยืนอึ้ง เขาหันหน้าไปมองด้านหลังและพบว่าเรเธียร์กำลังเดินออกไปในลักษณะกลับหัว

          แต่ไม่ใช่เรเธียร์ที่กลับหัว

          ยังไม่ทันที่อัสธาราธจะตั้งสติได้ ร่างของเขาก็ร่วงละลิ่วขึ้นสู่พื้นเบื้องบน กระแทกกับผนังขรุขระที่มองไม่เห็น และร่วงลงมากองกับพื้นเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ถูกกัดและเหวี่ยงขึ้นไปบนอากาศ ก่อนจะร่วงลงมากระแทกพื้น

          มังกรหนุ่มรู้สึกคล้ายกระดูกกระเดี้ยวจะหลุดออกมานอกตัว ตะเกียกตะกายยันตัวลุกขึ้น และพบร่างคุ้นตากำลังยืนหันหลังให้ จึงตะโกนเรียกชื่อไปอีกครั้ง

          “เรเธียร์”

          เจ้าของชื่อเบือนหน้ากลับมาในที่สุด แต่แทนที่จะเป็นดวงหน้าสวยงามที่คุ้นเคย กลับกลายเป็นฟันสีขาวยื่นยาวออกมาและโพรงปากลึกที่มีลิ้นสีแดงยาวแลบเลียออกมา พร้อมกับนัยน์ตาสีมรกตที่ลุกโพลงอย่างน่าสะพรึงกลัว

          อัสธาราธเคยเห็นภาพนี้มาแล้ว ภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็นในตอนที่คิดว่าตัวเองกำลังจะตาย

          เงาเขี้ยววาววับที่งับเข้ามาดูเชื่องช้าอย่างน่าแปลก ช้าจนเจ้าชายหนุ่มมีเวลาจะตั้งสตินึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีนั้น เสี้ยววินาทีที่ทำให้เขาหวาดกลัวมาโดยตลอด เสียววินาทีชีวิตที่เขารู้สึกผิดอยู่เสมอ จังหวะที่ฟันยาวโง้งกำลังงับเข้ามา อัสธาราธเอื้อมมือขึ้นไป แตะผิวฟันนั้นเบาๆ

          “ขอบคุณท่านมาก”

          ถ้อยคำที่เขาควรจะเอ่ยออกมาเสียแต่ตอนนั้น เขี้ยวยาวโง้งงับลงมาอย่างไม่ชะงักลังเล ก่อนจะกลืนกินเข้าไปในโพรงมืดสนิท

          อัสธาราธกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในปล่องมืดๆ ก่อนจะหล่นลงในห้วงน้ำที่ขุ่นข้นไปด้วยสีแดงของเลือด ที่อยู่ตรงหน้าคือเรือนผมสีน้ำเงิน และริมฝีปากงามที่กำลังกัดกินร่างกายของมนุษย์อยู่

          เป็นร่างของสตรีนางนั้นเอง

          เจ้าชายหนุ่มตัดสินใจไม่เป็นผู้เฝ้าดูอีก เขาว่ายเข้าไปใกล้ แต่องค์กษัตริย์คล้ายไม่รู้สึกตัว ฉีกทึ้งร่างมนุษย์นั้นด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา อัสธาราธจึงดึงพระหัตออก นัยน์ตาสีเขียวมรกตจึงเบือนขึ้นมามอง ก่อนที่ริมฝีปากชุ่มโลหิตจะงับเข้าตรงลำคอ

          ความเจ็บปวดเสมือนจริงแล่นเข้าสู่ปลายเส้นประสาท อัสธาราธดึงรั้งตัวขององค์กษัตริย์ออก ก้อนเนื้อชุ่มโชกยังคาอยู่บนริมฝีปาก ท้องน้ำถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน ไม่มีร่างของสตรีนางนั้นอีกแล้ว มีเพียงตัวเขา

          เรเธียร์กลืนกินชิ้นเนื้อนั้นเข้าไป นัยน์ตาสีมรกตฉายแววประหลาด เรียวลิ้นเล็กเล็มเลียริมฝีปากบางอย่างปรารถนา อัสธาราธรั้งร่างนั้นเข้ามาหาตนอีกครา ความเจ็บแปลบจากการถูกกัดสมจริงจนแทบจะสิ้นสติ เจ้าชายหนุ่มอ้าปากออก และงับลงไปบนต้นคอของอีกฝ่ายบ้าง

          โลหิตสีน้ำเงินพรายเย็นเยือกแทรกเข้ามาตามโพรงปาก รสชาดของชิ้นเนื้อเย็นเฉียบอุ่นอ่อนดูน่าทดลอง อัสธาราธสะบัดศีรษะ ฉีกกระชากก้อนเนื้อนั้นออก เลือดสีน้ำเงินพรายพุ่งกระจายไปทั่วผืนน้ำ ปะปนอยู่กับสีแดงสดก่อนหน้า กลายเป็นสีสันแปลกประหลาด ได้ยินเสียงคำรามในลำคอ จากนั้นต่างฝ่ายต่างกัดกินอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง ความเจ็บปวดและรสชาดแปลกประหลาดแทบจะทำให้วิกลจริต

          สีน้ำเงินพรายซ้อนทับกับสีแดงเลือดจนกลายเป็นสีม่วงคล้ำเข้าครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณ นัยน์ตาของอัสธาราธค่อยๆ พร่ามัวลง ขณะที่ความเจ็บปวดยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ คำแล้วคำเล่า

          แล้วความมืดสนิทก็หวนคืนมาอีกครา.....

---------------------------------------------

                สัมผัสอ่อนโยนลูบลนบนศีรษะ อัสธาราธลืมตาขึ้นและสบกับนัยน์ตาสีเขียวมรกต ใบหน้าของเรเธียร์ไม่เปื้อนเลือดอีกแล้ว อาภรณ์สีขาวน้ำเงินพลิ้วไปตามกระแสน้ำอ่อนๆ เส้นผมสีน้ำเงินละเอียดไล้ลงบนใบหน้าจนรู้สึกจั๊กจี๋ น้ำเสียงราวฟองคลื่นดังขึ้นแผ่วๆ

          “เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?”

          อัสธาราธแย้มยิ้ม จับมือขององค์กษัตริย์ขึ้นมาจูบ และกล่าวตอบ “ข้าพเจ้าเป็นเด็กน้อยของท่าน”

          นัยน์ตาสีเขียวมรกตขยับอย่างงงงัน ก่อนจะหัวเราะออกมา “เราไม่เคยมีเด็กน้อยตัวร้อนเช่นเจ้า”

          “อดีตอาจไม่มี แต่ปัจจุบันมีแล้ว” อัสธาราธกล่าวตอบ เรเธียร์ก้มลงมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”

          อัสธาราธไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขาดึงมือองค์กษัตริย์เข้ามจูบอีกหน และอ้าปากดูดกลืนนิ้วมือเรียวเข้าไปในปาก คมเขี้ยวที่งับลงมาเบาๆ ทำให้สีหน้าของเรเธียร์แปรเปลี่ยนทันที

          “คิดจะกินเราอีก?”

          อัสธาราธคายนิ้วมือนั้นออก ขยับตัวลุกขึ้นนั่งเผชิญหน้ากับองค์กษัตริย์ ก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปาก

          “ข้าพเจ้าอยากกินท่านทั้งตัว อยากกินทั้งหมด”

          ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์หัวร่อ “เจ้ากินเราไปแล้วเมื่อครู่ จำไม่ได้หรือ?”

          อัสธาราธสั่นศีรษะ และยกมือรั้งใบหน้านั้นเข้ามาใกล้ ก่อนจะแนบริมฝีปากลงไป

          “ข้าพเจ้าอยากกินตัวจริงของท่าน อยากสัมผัสทุกส่วนของท่าน อยากได้ตัวท่าน”

          นัยน์ตาสีเขียวมรกตสั่นระริก ขณะนิ่งฟังเสียงกระซิบข้างหู

          “ข้าพเจ้าอยากได้หัวใจของท่าน ให้ข้าพเจ้าได้หรือไม่?”

          “.......”

          “ข้าพเจ้าบังอาจทูลขอท่านที่นี่ สิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่สุดในห้วงน้ำแห่งนี้คือตัวท่านและหัวใจของท่าน”

          นัยน์ตาสีเขียวมรกตสั่นไหว เช่นเดียวกับร่างเพรียวบางในอ้อมกอด เนิ่นนาน พระองค์จึงสามารถตรัสออกมาได้

          “เราให้เจ้า เด็กน้อยของเราเอย...”

---------------------------------------------------

          อัสธาราธลืมตาตื่นขึ้นมา และพบตัวเองค้างเติ่งอยู่บนชะง่อนหินชะง่อนหนึ่ง เจ้าชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ เสียงกระซิบแผ่วเบาเมื่อครู่ยังสะท้อนอยู่ในหู เขากลับมาที่หุบเหวเสียงสะท้อนแล้วไม่ผิดแน่ เจ้าชายหนุ่มดีดกาย ว่ายกลับขึ้นไปบนปากเหว

          ไม่รู้ว่าเหตุปั่นป่วนในวังจะเกี่ยวเนื่องกับองค์กษัตริย์หรือไม่ แต่ตอนนี้เขาอยากจะพบพระองค์เต็มทน แม้จะต้องเผชิญกับคลื่นน้ำบ้าคลั่งนั้นอีกครั้งก็ตาม

----------------------------------------------------

          อูห์รูนเกือบจะขาดใจตาย ในตอนที่กระแสน้ำคลายออก ผู้รับใช้แห่งสายน้ำร่วงหล่นลงสู่พื้นหินเบื้องล่าง ขณะที่กลุ่มคลื่นสีประหลาดค่อยๆ กระจายตัวออก ลูกกลมสีมรกตค่อยๆ ดับมอดลง ความบ้าคลั่งจางหายไปกับสายน้ำ หลงเหลือเพียงร่างเพรียวบางอ้อนแอ้นขององค์กษัตริย์ที่ตนคุ้นเคย ที่กำลังจะล้มฮวบลง แม้เจ็บปวดแทบสิ้นสติ แต่ทันทีที่เห็นองค์กษัตริย์กำลังจะล้มลงบนพื้น อูห์รูนก็ปราดเข้าไปอย่างไม่คำนึงถึงสังขาร ช้อนร่างขององค์กษัตริย์เอาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะล้มลงไปด้วยกัน

          แม้จะทรงร่างไม่อยู่แล้ว แต่ยามล้ม ผู้รับใช้ก็ยังอุตส่าห์ประคองเจ้านายของตนเอาไว้อย่างแข็งขัน นัยน์ตาสีมรกตหรี่ปรือขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นแตะร่างที่อยู่ตรงหน้า

          “อูห์รูน....”

          อูห์รูนแย้มแย้มอย่างดีใจที่สุดในชีวิต เขากอดองค์กษัตริย์ไว้แน่น แทบจะตะโกนออกมา

          “พระองค์ได้สติแล้ว”

------------------------------------------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
จะมีทำเป็นหนังสือออกมาไหมค่ะ ถ้ามีจะสั่งซื้อเล่มหนึ่งค่ะ ชอบมากจนไปตามหาอ่านที่เวปอื่นมา อ่านแล้วยิ่งหลงรักเรเธียร์มากเข้าไปอีก ยังไงแต่งบทพิเศษน่ารักๆ เยอะๆ นะคะ แพงไม่ว่าแต่ขอเล่มหนาๆ หน่อย ได้ไหมค่ะ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
จะมีทำเป็นหนังสือออกมาไหมค่ะ ถ้ามีจะสั่งซื้อเล่มหนึ่งค่ะ ชอบมากจนไปตามหาอ่านที่เวปอื่นมา อ่านแล้วยิ่งหลงรักเรเธียร์มากเข้าไปอีก ยังไงแต่งบทพิเศษน่ารักๆ เยอะๆ นะคะ แพงไม่ว่าแต่ขอเล่มหนาๆ หน่อย ได้ไหมค่ะ

รวมเล่มคิดว่าน่าจะมีค่ะ แต่จะหนาหรือบางยังบอกไม่ได้นะคะ (แต่ที่แน่ๆ น่าจะเล่มเดียวจบค่ะ)

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
เรเธียร์เปนไรหว่า

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4
น่าสั่งจริงๆ owo ชอบอ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
15 : หุบผาแห่งความฝัน

          หลังเหตุการณ์เขย่าขวัญที่เกิดขึ้นในพระราชวังแห่งอิลห์ลาริน เป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่องค์กษัตริย์ทรงบรรทมอยู่ในห้อง ไม่มีใครทราบสาเหตุแน่ชัดของอาการคลุ้มคลั่งในครั้งนี้ แต่สายตาทุกคู่ยามหันมองมายังมังกรหนุ่มจากโลกเบื้องบนล้วนแต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ราวกับว่าอัสธาราธเป็นต้นเหตุทำให้กษัตริย์ของพวกเขาเกิดอาการวิปลาส

           เจ้าชายหนุ่มก้าวเท้าไปตามทางเดินยาว ผ่านแนวเสาหินเรียงราย ตรงไปยังห้องบรรทมขององค์กษัตริย์ เขาพยายามจะเข้าพบเรเธียร์ตั้งแต่เมื่อสองวันที่แล้ว แต่ก็โดนอูห์รูนห้ามเอาไว้ ด้วยเกรงว่าอาจจะทำให้องค์กษัตริย์เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นอีก พอเห็นสภาพสะบักสะบอมของอูห์รูน อัสธาราธจึงจำต้องปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าว

          “เจ้าชาย” อูห์รูนเอ่ยทักเขาทันทีที่เห็น ข้ารับใช้แห่งสายน้ำเพิ่งเปิดประตูห้องบรรทมออกมา เจ้าชายหนุ่มเอ่ยถามออกไป

          “พระอาการเป็นอย่างไรบ้าง”

          “ไม่มีสิ่งใดน่าวิตก เพียงแต่ยังไม่ยอมลืมพระเนตรขึ้นเองเท่านั้น” อูห์รูนกล่าว และพยายามจะฝืนยิ้มอย่างที่ไม่ค่อยทำนัก “เราดีใจที่อย่างน้อยพระองค์มิได้วิปลาสไปเลย”

          อัสธาราธฝืนยิ้มตอบ ก่อนจะเอ่ยสืบต่อ “ให้ข้าพเจ้าเข้าเฝ้าได้หรือไม่?”

          ผู้รับใช้ยืนลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “เราจะพาท่านเข้าไป อย่าได้พูดหรือเอ่ยอะไรอย่างเด็ดขาด”

          อัสธาราธพยักหน้าหงึกหงัก และเดินตามอูห์รูนเข้าไป

          รูปสลักนางมนุษย์ยังคงตั้งอยู่ตรงประตูหน้าเช่นเดิม เยื้องออกไปบนแทนบรรทม ร่างเพรียวบางนอนราบอยู่ เรือนผมสีน้ำเงินพลิ้วสยายไปตามกระแสน้ำ อัสธาราธทำท่าจะเดินไปใกล้ แต่ก็ถูกฉุดเอาไว้

          “ให้ท่านดูเพียงเท่านี้”

          เจ้าชายหนุ่มมีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่พอมาประสบกับสายตาหวั่นวิตกของอูห์รูนแล้วก็จำต้องยอมรับในเหตุผล ไม่ว่าองค์กษัตริย์จะคลุ้มคลั่งด้วยเรื่องใด ย่อมมีเขาเป็นต้นเหตุในส่วนหนึ่งแน่ๆ อัสธาราธไม่แน่ใจเรื่องที่เขาพูดกับเรเธียร์ในห้วงจิต ไม่รู้ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว องค์กษัตริย์จะจดจำได้หรือเปล่า ถ้าหากจำได้ เขาควรจะทำตัวเช่นไร และหากจำไม่ได้ เขาควรจะทำอย่างไรต่อ

          เจ้าชายหนุ่มร้อนใจอยากพูดคุยกับองค์กษัตริย์ให้รู้เรื่องโดยไว แต่เมื่อองค์กษัตริย์ยังนิทราอยู่เช่นนี้ ก็จำต้องรอไปก่อน

-----------------------------------------------

                อูห์รูนออกไปส่งอัสธาราธจนถึงทางเดินยาว ก่อนจะกลับเข้ามาในห้องบรรทม เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ผู้รับใช้ต้องรีบยกมือปิดปากด้วยความปิติ เมื่อเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินชันตัวลุกขึ้นนั่งอยู่บนแทนบรรทม

          “พระองค์...พระองค์กลับมาแล้ว”

          นัยน์ตาสีมรกรเบือนกลับมา รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนริมฝีปากคู่งามนั้น “เราทำเจ้า ลำบากอีกแล้ว”

          อูห์รูนถลาเข้าไปเฝ้าแทบพระบาท ยกพระหัตขึ้นแตะเหนือศีรษะของตน กล่าวด้วยความตื้นตัน “หามิได้”

          กล่าวได้แค่นั้น ลำคอก็พลันตื้นเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เรเธียร์ลูบศีรษะผู้รับใช้อย่างเอ็นดู อูห์รูนเงยใบหน้าขึ้น ช้อนนัยน์ตาสีฟ้าเทามองดูองค์กษัตริย์

          “เจ้าชายแห่งคอนเชียร์เพิ่งมาเข้าเฝ้าพระองค์เมื่อครู่ จะให้ข้าพระองค์ไปตามกลับมาหรือไม่?”

          องค์กษัตริย์พลันสั่นศีรษะ “ยังไม่ต้อง เรายังไม่พร้อมจะพบหน้าผู้ใด”

          “เช่นนั้น อนุญาตให้ข้าพระองค์แจ้งข่าวออกไปได้หรือไม่ สองสามวันนี้ทุกผู้คนในอิลห์ลารินล้วนเป็นห่วงพระอาการของพระองค์จนไม่เป็นอันทำอะไรกันแล้ว”

          “โอ....” องค์กษัตริย์คราง และพยักหน้าในที่สุด “เช่นนั้นรีบแจ้งเถิด คล้ายเราสร้างความวุ่นวายมากมายจริงๆ”

          “อย่าได้ทรงกล่าวเช่นนั้นเลย มิมีผู้ใดตำหนิพระองค์หรอก” อูห์รูนว่า องค์กษัตริย์คลี่ยิ้มบางๆ

          “ยามมีเหตุร้าย ตามปกติวิสัยย่อมต้องหาคนผิดเพื่อกล่าวโทษ ไม่กล่าวโทษเราจะกล่าวโทษผู้ใด”

          “เรื่องนี้มีผู้อื่นโดนกล่าวโทษไปแล้ว” อูห์รูนตอบ องค์กษัตริย์มีสีหน้าสงสัย ผู้รับใช้จึงกล่าวสืบต่อ

          “เป็นเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ผู้นั้นเอง”

-----------------------------------------------

          อัสธาราธเดินวนเวียนอยู่ตรงระเบียงหน้าห้องพักด้วยอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่าน องค์กษัตริย์ยังมิฟื้นจากการหลับใหล หนำซ้ำเขายังถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ อีก ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น ยังไม่มีผู้ใดมาอธิบายความเป็นมาเป็นไปของเหตุการณ์ดังกล่าวให้ฟังเลย แล้วจะไม่ให้หงุดหงิดอย่างไรได้

          เจ้าชายหนุ่มค้ำมือลงกับราวระเบียงหิน อารามหงุดหงิดงุ่นง่านจึงเผลอบีบเสียจนแตก เศษหินร่วงกราวลงพื้น ขณะที่เสียงหนึ่งดังขึ้น

          “พละกำลังท่านไม่เลวทีเดียว”

          อัสธาราธเบือนหน้าไปมองอย่างแปลกใจ เป็นมังกรน้ำตนหนึ่งที่เคยร่วมทางกับเขาขึ้นไปบนดินแดนตะวันตก

          “ข้าพเจ้ามีนามคินอฟ” มังกรตนนั้นกล่าวแนะนำตน ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ ทางเดินระเบียงจึงดูแคบไปถนัด อัสธาราธพยักหน้า เงยมองคินอฟอย่างสงสัย

          “ท่านมาหาข้าพเจ้า?”

          คนถูกถามพยักหน้า และกล่าวสืบต่อ “ทุกคนในวังล้วนโทษว่าท่านเป็นต้นเหตุให้องค์กษัตริย์เสียพระสติ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องมาพบท่าน”

          “ว่าอย่างไร?” อัสธาราธถามกลับออกไปอย่างไม่เชื่อหู “ข้าพเจ้าเป็นต้นเหตุให้องค์กษัตริย์เสียสติ!?”

          คินอฟพยักหน้าอีกครั้ง และอธิบายเหตุผล “เนื่องเพราะองค์กษัตริย์เอ่ยเรียกชื่อท่านตลอดเวลา จึงพาลทำให้นึกไปว่า ท่านอาจจะไปทำอะไรล่วงเกินพระองค์เข้า”

          “ข้าพเจ้าไม่ได้ทำอะไร!” อัสธาราธตอบ นึกไม่ออกจริงๆ ว่าตนไปทำเรื่องบังอาจใดเข้าระหว่างนั้น ถ้าจะมี..ก็คงเป็นแค่ความคิด......

          “เราก็เชื่อว่าท่านคงไม่ทำเรื่องเช่นนั้น แลดูพระองค์จะโปรดปรานท่านมากเป็นพิเศษ” คินอฟกล่าวสืบต่อ อัสธาราธไม่รู้จะตอบอย่างไรจึงได้แต่ครางฮือ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าองค์กษัตริย์จะเรียกหาตนในเวลานั้น หรือว่าจะเป็นเสียงน้ำกระแทกหินนั่น....

          เช่นนั้น เสียงที่ได้ยินตอนที่ไปถึงหุบเหวเสียงสะท้อนก็เป็นเสียงเรียกของพระองค์จริงๆ...

          ทรงเรียกหาตนด้วยเหตุใดกันเล่า?

          คินอฟเห็นเจ้าชายจากโลกเบื้องบนนิ่งไปนาน จึงได้กล่าวขึ้นอีก “แต่ท่านวางใจเถิด เมื่อครู่เราได้ข่าวว่าองค์กษัตริย์ตื่นจากบรรทมแล้ว อีกไม่นานคงทรงจัดการเรื่องราวเหล่านี้ให้กับท่าน”

          นัยน์ตาสีแดงเพลิงของอัสธาราธเบิ่งกว้างทันที

-------------------------------------------------

          เหล่าทหารรักษาพระองค์ที่ล้วนเป็นมังกรน้ำระดับสูงกรูกันมาขวางทางเดินเอาไว้ทันทีที่เห็นเจ้าชายจากดินแดนเพลิงก้าวเท้าเข้ามาในเขตที่ประทับ อัสธาราธขมวดคิ้วมุ่น

          “ข้าพเจ้ามาเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์”

          “ทรงไม่โปรดให้ผู้ใดเข้าเฝ้าในตอนนี้” นายทหารผู้หนึ่งกล่าว เจ้าชายหนุ่มพูดต่อทันที “ข้าพเจ้าต้องการเข้าเฝ้าเพราะมีเรื่องด่วน ไปทูลถามพระองค์ก่อนแล้วค่อยมากล่าวกัน”

          นายทหารสั่นศีรษะ “ไม่อาจทำตามได้ องค์กษัตริย์มีบัญชา ไม่ให้ผู้ใดเข้าพบเลย”

          “อูห์รูนเล่า?” อัสธาราธถามต่อ รู้สึกรำคาญใจกับสายตาที่จ้องมองมายังตนจริงๆ

          “ท่านอูห์รูนไปเตรียมพระโอสถมาถวาย เชิญเจ้าชายกลับไปก่อนเถิด”

          อัสธาราธยืนลังเลอยู่พักหนึ่ง คราแรกคิดจะใช้กำลังบุกเข้าไป แต่พอมาคิดทบทวนดูแล้ว อาจจะทำให้เรื่องราวแย่ลงก็ได้ ท้ายที่สุด เจ้าชายหนุ่มจึงยอมล่าถอยออกไป และพาเอาอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจกลับไปด้วย

          เหตุใดองค์กษัตริย์จึงมิยอมให้ผู้ใดเข้าเฝ้า หรือจงใจจะสั่งห้ามไม่ให้ตนเข้าเฝ้า

          อัสธาราธคิดไปต่างๆ นาๆ ด้วยความว้าวุ่นใจ หรือองค์กษัตริย์จะไม่พอพระทัยตนจริงๆ หรือจะทรงเคืองเรื่องในจิต หรือว่าจริงๆ แล้วทรงขุ่นเคืองมานานแล้วแต่ไม่ได้ปริปากออกมา จนกลายเป็นเหตุให้ทรงวิปลาส ไม่ว่าจะคิดไปในแนวทางไหน ก็ล้วนไม่เป็นเรื่องดีทั้งนั้น

          เจ้าชายหนุ่มไม่ทราบจะทำเช่นไร เดินไปทางไหนก็มีแต่แววตาแสดงอาการตำหนิตนอย่างไม่ถามเหตุผล ครั้นจะไปหาอูห์รูน ก็ไม่อยากรบกวนเวลาปรุงยาให้องค์กษัตริย์ แถมไม่แน่ว่าอูห์รูนจะคุยด้วย คินอฟก็กลับไปเสียแล้ว อัสธาราธคิดพลางเดินพลาง ท้ายที่สุดก็ออกมาจากอัลโดรธ์อย่างไม่รู้ตัว

          ห้วงน้ำด้านนอกสงบนิ่งและแทบจะมืดสนิทเช่นเคย คงมีแต่แสงไฟสีน้ำเงินพราวที่ถูกจุดเป็นระยะๆ แสงไฟนี้เองที่นำทางเขาไปสู่หุบเหวเสียงสะท้อน และดูจะนำไปยังอีกหลายที่ อัสธาราธตัดสินใจเดินไปตามแนวแสงไฟสีน้ำเงินนั้น เดินไปได้สักพักใหญ่ เจ้าชายหนุ่มก็พบตัวเองอยู่ท่ามกลางชะง่อนผาสูงชันสีดำมะเมื่อม ที่มีทั้งปะการังและดอกไม้ทะเลขึ้นแออัดกันอยู่เต็มไปหมด แม้สีสันจะสดใสอย่างที่องค์กษัตริย์พาไปยล ณ เขตน้ำตื้น แต่ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจได้ไม่แพ้กัน

          ดอกไม้ทะเลสีขาวอมเขียว ที่มีประกายเรืองคล้ายสายรุ้งอยู่ที่ขอบขึ้นอยู่มากมายที่นั่น ยังมีปลาประหลาดที่เหมือนมีแสงไฟเรืองออกมาจากลำตัว บางตัวมีฟันยาวโง้ง บางตัวเรียวเล็กคล้ายเข็ม ทั้งหมดทั้งมวลนี้ดูคล้ายจะเปล่งแสงออกมาได้เองทั้งสิ้น

          อัสธาราธเดินลึกเข้าไปในทางเดินแคบ เหล่าปลาเรืองแสงพวกนั้นพอมองเห็นสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมก็ว่ายรี่เข้ามา คงหมายจะทดลองขย้ำกินดูกระมัง เจ้าชายหนุ่มไม่ใส่ใจ ลำพังฟันเล็กฟันน้อยพวกนี้ไม่ทำให้ระคายผิวด้วยซ้ำ ปลาเหล่านั้นว่ายมารุมได้พักหนึ่ง ก็ต้องถอยออกห่าง ด้วยทราบว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่กินได้ เจ้าชายหนุ่มแค่นหัวร่อกับตนเอง ตั้งแต่ดำดิ่งลงมาในห้วงน้ำแห่งอิลห์ลาริน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมองห้วงน้ำมืดสนิทด้านบน

          หากได้องค์กษัตริย์มาอยู่เคียงข้างก็คงดี

          คิดพลางทรุดตัวลงนั่งอย่างท้อแท้ หากจะมีเรื่องใดเป็นการบังอาจ ก็คงจะต้องเป็นเรื่องนี้ ความเพ้อฝันพิสดารที่ไม่ว่าผู้ใดก็คาดไม่ถึง แม้กล่าวออกไปแล้ว ก็ยังไม่แน่ว่าพระองค์จะเข้าใจจริงๆ และถึงเข้าใจ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปดั่งฝันได้เสียหน่อย

          อัสธาราธผู้แสนโง่เขลา....

          ในหุบเขามีเพียงดอกไม้ทะเลสีสันประหลาด และปลาที่เรืองแสงได้ อัสธาราธมองดูพวกมันอย่างซึมเซา มีตัวหนึ่งว่ายรี่เข้ามาใกล้ เจ้าชายหนุ่มจึงยื่นมือออกไป เจ้าปลาน้อยรูปร่างคล้ายก้อนหินกลมๆ อ้าปากที่มีฟันเรียงระเกะระกะงับนิ้วมือนั้นทันที แต่งับอย่างไรก็งับไม่เข้า เจ้าปลาน้อยคล้ายรู้สึกไม่เข้าใจ ยังเพียรพยายามจะงับซ้ำๆ จนอัสธาราธอดหัวเราะออกมาไม่ได้

          ช่างโง่เขลาจริงๆ

          มังกรหนุ่มโอบมือรอบปลาน้อยตัวนั้น ดึงเข้ามาใกล้ เจ้าปลาหน้าตาตลกใช้ลูกตากลมปูดของมันมองเขาอย่างสงสัย อัสธาราธถอนหายใจยาว

          ต่อให้เจ้าปลาตัวนี้ใหญ่โตขึ้นอีกสิบเท่า ก็ยังไม่แน่ว่าจะงับเข้าสักครึ่งกระผีก อัสธาราธมองดูปลาตัวน้อยเนิ่นนาน จึงพึมพำออกมา

          “คล้ายเราสองโง่เขลาไม่แพ้กัน”

          ปลาประหลาดดิ้นขลุกขลักอยู่ในมือเหมือนไม่ยอมรับคำกล่าวหา เจ้าชายหนุ่มอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “นี่คล้ายมีเราเพียงผู้เดียวที่ยอมรับตัวเองโง่เขลา?”

          “ผู้โง่เขลาที่ยอมรับตัวเองว่าทำเรื่องโง่เขลาแต่ยังฝืนทำต่อคล้ายมีอยู่ในโลกนี้ไม่มาก” น้ำเสียงหนึ่งเอ่ยแทรกเข้ามา อัสธาราธหันไปมองด้วยความแปลกใจ จังหวะเดียวกับที่ปลาน้อยในมือดิ้นหลุดออกไปพอดี เจ้าชายหนุ่มคลี่ยิ้มละไม

          “ข้าพเจ้าเพ้อถึงท่านอีกแล้ว”

          เรือนผมสีน้ำเงินพรายสยายอยู่ในสายน้ำเหมือนภาพหลอน ดวงหน้างามผุดผาดปรากฏขึ้นในห้วงน้ำดำสนิท อาภรณ์สีฟ้าขาวพลิ้วไหวไปตามจังหวะก้าวเดิน

          “ท่านไม่คิดจะยิ้มให้ข้าพเจ้าสักหน่อย” เจ้าชายหนุ่มกล่าวกับร่างที่เดินมานั้น ใบหน้าผุดผาดยังคงเรียบเฉย เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีมรกตที่คล้ายหลุดออกมาจากภาพวาด

          “เด็กน้อยเจ้ามีสิทธิ์มาสั่งเราตั้งแต่เมื่อไร?”

                น้ำเสียงปรามอย่างเห็นได้ชัด แต่อัสธาราธกลับหัวเราะขึ้น “โอ....ในฝันท่านกลับปั้นหน้าปั้นปึงใส่ข้าพเจ้า คล้ายข้าพเจ้านี้มีเวรมีกรรมจริงๆ”

          ร่างในฝันไม่ตอบ ยังคงมีสีหน้าปั้นปึงเช่นเดิม เจ้าชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง “ในความเป็นจริงท่านแย้มยิ้มให้ข้าพเจ้าบ่อยครั้ง ก่อกวนจนหัวใจข้าพเจ้าปั่นป่วน คราวนี้ท่านมาปั้นหน้าดุข้าพเจ้าในฝัน คล้ายข้าพเจ้าโดนท่านก่อกวนได้ตลอดจริงๆ”

          ใบหน้าเรียบเฉยผุดรอยยิ้มขึ้นมาทันที “เราผู้เฒ่าความจริงต้องการก่อกวนเจ้าอยู่ตลอดเวลา”

          อัสธาราธหัวเราะออกมา “ท่านเป็นผู้ใหญ่ร้ายกาจจริงๆ ไม่สงสารข้าพเจ้าบ้างหรือ?”

          “เรายังมองไม่เห็นว่าเจ้าน่าสงสารที่ใด” เสียงเดิมตอบ อัสธาราธถอนหายใจอีกครา

          “ผู้อื่นกล่าวหาว่าข้าพเจ้าเป็นต้นเหตุให้ท่านคลุ้มคลั่ง แต่ข้าพเจ้านึกแย้ง ท่านดูพยายามจะก่อกวนให้ข้าพเจ้าคลุ้มคลั่งเสียมากกว่า”

          “เจ้าเป็นเหตุทำให้เราคลุ้มคลั่งจริงๆ”

          นัยน์ตาสีแดงจ้องมาอย่างงงงัน ก่อนจะหัวเราะอีก “ท่านถึงกับตามมาโทษข้าพเจ้าในความฝัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าขอเดาเหตุผล ใช่ท่านคิดถึงข้าพเจ้าจนคลุ้มคลั่งหรือไม่?”

          อัสธาราธถามไปอย่างนึกสนุก นี่เป็นฝันของตน คำตอบคงระรื่นหูอยู่ แล้วก็เป็นดั่งนั้นจริงๆ

          “เดาไม่ผิด เราคิดถึงเจ้าจนคลั่งจริงๆ ดังนั้น สมควรแล้วที่เด็กน้อยเจ้าต้องรับผิดชอบ”

          เจ้าชายหนุ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ข้าพเจ้าอยากรับผิดชอบแทบตายแล้ว”

          “รับรองว่าเจ้าต้องรับผิดชอบแทบตาย” ร่างในฝันกล่าวพลางยิ้มกริ่ม “มาให้เรากินเสียดีๆ”

          ไม่พูดเปล่าทำท่าเดินเข้ามาหาอย่างน่ากลัว อัสธาราธหัวเราะจนตัวงอ “ท่านกินข้าพเจ้า แล้วจะเรียกว่าข้าพเจ้ารับผิดชอบได้อย่างไร ข้าพเจ้าต้องกินท่านถึงจะถูก”

          “มีปัญญา?”

          “ไม่ลองไม่มีผู้ใดรู้” เจ้าชายหนุ่มว่า และผุดลุกขึ้นประจันหน้ากับร่างเพรียวนั้นทันที รอยยิ้มพริ้มพรายปรากฏอยู่บนใบหน้าผุดผาด มือเรียวยกขึ้นวาดเบาๆ อัสธาราธก็ล้มลงดังตึง เนื่องเพราะสายน้ำที่ไหลอยู่จู่ๆ ก็พลันเชี่ยวกรากขึ้นมาจนทรงกายเอาไว้ไม่ได้

          “นี่ไม่ยุติธรรม!” เจ้าชายหนุ่มโวย พยายามจะตะกายลุกขึ้น แต่ถูกมือเรียวกดเอาไว้ ร่างผอมเพรียวทรุดตัวลงนั่งข้าง ไล้มือไปตามใบหน้าคมสัน

          “ไม่ยุติธรรมที่ใด?”

          “เนื่องเพราะอยู่ในน้ำ ท่านจึงได้เปรียบข้าพเจ้าทุกอย่าง”

          “ออ...เดี๋ยวนี้เด็กน้อยเจ้ามีนิสัยเกี่ยงงอนเช่นนี้แล้ว” ผู้มีวัยสูงกว่าว่า อัสธาราธดิ้นขลุกขลัก “เนื่องเพราะท่านตามมาหลอกหลอนข้าพเจ้าในความฝันบ่อยครั้ง มิหนำซ้ำ ยังได้เปรียบอยู่ทุกครั้งไป ไม่ให้ข้าพเจ้าเกี่ยงงอนได้อย่างไร”

          ร่างเพรียวพยักหน้า “ฟังแล้วรู้สึกสงสารเจ้าขึ้นมานิดหน่อย เช่นนั้น เราจะกินเจ้าเบาๆ เจ้าจะได้ไม่ทรมานมาก”

          อัสธาราธยังคงดิ้นรนอย่างไม่ยินยอม “ข้าพเจ้าไม่อยากถูกกิน”

          “ผู้แพ้ไม่มีสิทธิ์อุทร” เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินกล่าวพลางแย้มยิ้ม กดมือลงอีกหน่อยก็หยุดการดิ้นรนของร่างสูงใหญ่นั้นได้ง่ายๆ แม้อยู่ในฝัน พละกำลังของพระองค์ยังคงน่าตระหนกเช่นเดิม อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตาสีแดงเพลิงมองดูดวงหน้างดงามในฝันโน้มเข้ามา ริมฝีปากเย็นเยือกแนบลงไปบนต้นคอ ขย้ำลงไปเบาๆ ร่างสูงใหญ่เขม็งเกร็งขึ้นมาทันที

          “เจ้ากลัว?”

          อัสธาราธไม่ได้ตอบคำถาม ริมฝีปากเม้มจนแทบจะเป็นเส้นตรง พาลเบือนหน้าไปทางอื่นเสีย ได้ยินเสียงเดิมหัวเราะเบาๆ

          “เรารับรองจะทำให้เบามือที่สุด”

          ว่าแล้วก็จัดแจงรวบมือของร่างที่นอนอยู่ขึ้นไปไว้เหนือศีรษะ ก้มหน้าลงสำรวจร่างกายใหญ่โตที่ยังคงดิ้นรนขัดขืนอยู่เป็นระยะ ผิวกายตึงแน่นของวัยหนุ่มฉกรรจ์ รับรู้ทุกอณูสัมผัสเย็นเยียบของริมฝีปากนุ่ม อัสธาราธสูดหายใจลึกอีกหลายครั้ง ขณะที่เรียวลิ้นอ่อนนุ่มเล็มเลียไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

          เรเธียร์เลื่อนมือข้างหนึ่งลงต่ำ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของร่างที่นอนอยู่ออก เล็มเลียแผงอกและหน้าท้องตึงแน่น สร้างความรู้สึกปั่นป่วนให้มังกรหนุ่มอย่างยากจะทนทาน ร่างสูงใหญ่กระตุกเกร็งขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจพาลติดขัดอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเพียงแต่พรมจูบกับลูบมือไปมาเท่านั้น ลูบไล้ไปได้พักหนึ่ง ร่างในฝันก็ปล่อยมือออก ขยับกายขึ้นมานั่งคร่อมร่างสูงใหญ่เอาไว้ แนบฝ่ามือลงบนสันกรามคมสัน กลอกนัยน์ตาสีมรกตอย่างพินิจพิเคราะห์

          “จะเริ่มกินจากส่วนใดดี?”

          อัสธาราธคำรามในลำคออย่างอดทนที่สุด “ส่วนใดก็ได้ ท่านจะกินก็รีบกิน”

          ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจ “เราพาลไม่รีบดั่งเจ้าเรียกร้อง ยังอยากสำรวจเจ้าต่ออีกพักหนึ่ง”

          อัสธาราธมุ่นคิ้วพลางกัดฟันกรอด มองดูร่างในฝันที่กำลังหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ “ข้าพเจ้าแนะนำให้ท่านรีบๆ”

          “จะรีบไปใย เราอายุมากแล้วย่อมต้องเชื่องช้าบ้าง” เรเธียร์ว่า และก้มลงแลบลิ้นเสียใบหน้าด้านล่าง “เราจะกินเจ้าให้หมดตัว”

          ได้ยินเสียงครางต่ำๆ ขณะที่สองมือประโลมลูบไปตามเรือนร่างสูงใหญ่ จูบลูบไปได้อีกพักหนึ่ง ร่างเพรียวบางก็ยันตัวขึ้นมา

          “มีอันใดอีก?” อัสธาราธถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นองค์กษัตริย์นั่งนิ่ง

          “เราปวดเอวนิดหน่อย ต้องการพักสักครู่หนึ่ง”

          ร่างในฝันตอบ อัสธาราธเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ได้ยินเสียงถามอย่างพิศวง

          “ใยเจ้าทำสีหน้าเช่นนั้น?”

          ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบ ฝ่ามือใหญ่ก็ตะปบเข้าตรงเอวบาง เรี่ยวแรงมหาศาลถูกส่งเข้ามาตามฝ่ามือนั้น ร่างเพรียวไม่ทันได้ทำการตอบโต้ ก็ถูกกดลงไปบนพื้นแทนเสียแล้ว

          “เรื่องเปลืองแรงเช่นนี้ ให้คนหนุ่มอย่างข้าพเจ้าทำจึงจะถูก”

          อัสธาราธว่า มองเห็นนัยน์ตาสีมรกตเบิ่งค้างอย่างไม่เชื่อใจ “มีปัญญา?”

          มังกรหนุ่มไม่ตอบ กลับดึงอาภรณ์ขององค์กษัตริย์ออก แล้วนำไปพันธนาการแขนเพรียวบางทั้งสองข้าง

          “โอ....กระทำบังอาจเยี่ยงนี้ ไม่กลัวถูกเราลงโทษ?”

          อัสธาราธพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าพเจ้ากลัว กลัวอย่างยิ่ง ดังนั้น ก่อนถูกท่านลงโทษ ข้าพเจ้ายังขอบังอาจอีกหลายๆ เรื่อง”

          พูดไปพลางดึงอาภรณ์ขององค์กษัตริย์ออกพลาง สุดท้ายเรือนร่างเปลือยเปล่าขาวผุดผาดก็ปรากฏให้เห็นถนัดตา ช่างงดงามจนทำให้ผู้มองตะลึงลานไปพักใหญ่ๆ แม้เป็นความฝัน แต่อัสธาราธอดหัวใจเต้นแรงไม่ได้ เรือนร่างงดงามหมดจดนี้ หากได้สัมผัสจริงๆ หากได้เป็นผู้ครอบครอง.....

          ร่างเพรียวบางสะดุ้งเฮือก เมื่ออีกฝ่ายฝังหน้าลงบนต้นคอ อ้าปากขบกัดผิวอ่อนจนรู้สึกเจ็บ มือใหญ่ตะปบลูบไปตามแผงอก บั้นเอว ลามไปถึงหนั่นสะโพก ร่างเย็นจัดเมื่อสัมผัสกับฝ่ามืออุ่นร้อน ยิ่งกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ประหลาด

          “ดะ...เดี๋ยว!”

          เสียงห้ามปรามมิได้เข้าหูมังกรหนุ่มแม้แต่น้อย มือแกร่งรั้งร่างเพรียวบางขึ้นมา แนบจูบลงไปบนแผงอกเรียบ ไล้เลียปลายลิ้นไปตามเรือนร่างเย็นจัดอย่างกระหายหิว ขณะที่สองมือทั้งลูบทั้งคลำจนอีกฝ่ายส่งเสียงครางต่ำในลำคอ

          การรุกเร้าเป็นไปอย่างรุนแรงและดุดัน ท่ามกลางกระแสน้ำปั่นป่วน ฝ่ามือร้อนผ่าวโลมลูบไปตามจุดซ่อนเร้น ขยับเปิดช่องทางพร้อมกับดึงรั้งเรียวขาขาวให้แบะอ้าออก

          “ดะ...เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่ง!!”

          คำพูดตะกุกตะกักอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนหลุดจากริมฝีปากได้รูป อัสธาราธรั้งร่างเพรียวขึ้นมาไว้บนตัก ประกบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากคู่งามนั้น  ลิ้มรสความเย็นยะเยือกในโพรงปากนั้นอย่างกระหายหิว ลากมือลงไปขย้ำขยี้ตะโพกเนียนลื่น ร่างนั้นฝันสะดุ้งอีกหลายครั้ง สองแขนที่ถูกพันธนาการอยู่ดึงรั้งศีรษะของมังกรหนุ่มเข้าท่อย่างไม่ตั้งใจ จุมพิตยิ่งแนบสนิทขึ้นอีก ฝ่ามืออุ่นร้อนเลื่อนลงไปจับปั้นเอวผอมบางให้ยกสูงขึ้น ก่อนจะดุนดันลงไปบนส่วนร้อนผ่าวที่รอท่าอยู่

          เหมือนจะได้ยินเสียงร้องครางลึกลงไปในโพรงปากที่ถูกประกบจูบเอาไว้แนบแน่น ร่างในฝันสั่นกระตุกอย่างน่ากลัว มือบางที่ไม่ทราบหลุดจากพันธนาการเมื่อไร กำลังจิกกดลงไปบนแผ่นหลังของอีกฝ่าย ปลายเล็บแหลมกดทะลุผิวหนังจนรู้สึกเจ็บแปลบ เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันและกันอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่การสอดใส่ลึกขึ้นเรื่อยๆ

          การร่วมรักในฝันดูรุนแรงและสมจริงอย่างไม่น่าเชื่อ ความเจ็บปวด ความสุขสมแจ่มชัดอยู่ในทุกห้วงสัมผัส ยิ่งได้ยินเสียงอ้อนวอนให้ช้าลงเท่าไร การขยับยิ่งหนักหน่วงรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

          สายน้ำปั่นป่วนจนไม่อาจควบคุม อัสธาราธงับลงไปบนต้นคอขาวนั้นอย่างแรงระหว่างเติมเต็มความสุขระรอกแล้วละรอกเล่าให้กับร่างในความฝัน ฟองอากาศผุดพรายขึ้นมาจนมิอาจมองสิ่งใดได้ถนัด รู้สึกเพียงวงแขนเย็นยะเยือกที่โอบรัดแนบแน่น และริมฝีปากอ่อนบางที่แนบลงมาบนต้นคอครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับจะย้ำให้รู้สึกถึงไอเย็นที่มีอยู่ในร่าง

          สองร่างตอบสนองซึ่งกันและกันจนถึงจุดสูงสุดของความฝัน ท่ามกลางความสุขเลื่อนลอย อัสธาราธตระกองกอดร่างผอมบางเอาไว้ในอ้อมอก จูบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระซิบกระซาบเรียกชื่อนั้นแผ่วเบา

          “เรเธียร์”

-----------------------------------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ rinia

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
 :jul1:ความฝันหรือว่าความจริง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ชะรอยน้อย

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 973
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-0
ฝันจริงหรอ?? เพลาๆแรงหน่อยเถิด นายเอกเราอายุมากแล้ว  :z1:

ออฟไลน์ phakajira

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
ฝันซะเหมือนจริง -///-

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
สรุปแล้ว ความจริงหรือความฝันกันแน่เนี่ย

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
16 : ห้วงอารมณ์ภายใต้ธาราลึก


          อัสธาราธลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ก่อนพบบางสิ่งบางอย่างส่องแสงเรื่อเรืองอยู่ตรงหน้า เมื่อหรี่ตามองให้ชัด จึงพบว่าเป็นปลาประหลาดตัวนั้นเอง เจ้าชายหนุ่มยันกายผุดลุกขึ้นจากพื้นทราย เสื้อผ้าอาภรณ์ยังดูครบเป็นปกติทุกอย่าง ตลอดร่างไม่เหลือเค้าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย


          หรือว่าจะเป็นเพียงความฝันจริงๆ?
          อัสธาราธเหม่อมองไปรอบๆ ชะง่อนผาหินยังคงมีดอกไม้ทะเลสีประหลาดขึ้นอยู่โดยรอบ เหมือนตอนเดินเข้ามาไม่ผิดเพี้ยน เหล่าปลาน้อยปลาใหญ่ว่ายซอกซอนไปตามหลืบหินและแนวของปะการังสีซีดๆ เจ้าชายหนุ่มพลันนึกอับอายขึ้นมาทันที องค์กษัตริย์เพิ่งฟื้นจากบรรทมแท้ๆ แต่เขากลับเก็บเอามาฝันเป็นเรื่องเป็นราว หากผู้ใดรู้เข้ามีหวังได้อับขายขายหน้าไปทั้งวงศ์ตระกูลแน่ๆ

          ขณะที่กำลังนึกตำหนิความเพ้อเจ้อของตัวเอง ดวงไฟสีน้ำเงินพรายก็ปรากฏขึ้นให้เห็นไกลๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเรียก

          “เจ้าชายอัสธาราธ ท่านอยู่ที่นี่หรือไม่?”

-------------------------------------------------------

          “โอ.....เจ้าชายกลับมาแล้ว” อูห์รูนเอ่ยด้วยสีหน้ายินดี เมื่อเห็นเจ้าชายจากต่างแดนก้าวเข้ามาในพระราชวังกว้างใหญ่ อัสธาราธพยักหน้า ก่อนจะพูดตอบ

          “ได้ยินว่าองค์กษัตริย์ต้องการพบข้าพเจ้า”

          อูห์รูนผงกศีรษะทันที “ทรงเรียกหาท่านตั้งแต่เมื่อคืนวาน แต่มิทราบท่านออกไปที่ใดแน่ เราส่งคนออกไปตามหาค่อนรุ่ง จึงเพิ่งเจอ นี่ท่านไปหลบอยู่ที่ใด?”

          อัสธาราธอธิบายถึงสภาพของช่องระหว่างชะง่อนหินที่ตนเดินเข้าไป นัยน์ตาสีฟ้าเทาของอูห์รูนเบิ่งกว้าง

          “ท่านได้นอนหลับที่หุบผานั้นหรือไม่?”

          เจ้าชายหนุ่มพยักหน้า ผู้รับใช้กล่าวสืบต่อ “มิน่าเล่า ให้คนตามหาเท่าไรก็ไม่พบ ผู้ใดหลับใหลในหุบผานั้น จะถูกพรายบังตาไม่ให้ผู้อื่นหาพบ จนกว่าจะตื่นขึ้นมาเอง”

          อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตากว้าง “พราย? ที่นั่นมีภูติพราย?”

          อูห์รูนพยักหน้าอีก “เป็นพรายสายพันธุ์ที่เร้นลับอย่างยิ่ง แม้แต่เราเองก็ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน น่ากลัวมีแต่องค์กษัตริย์เท่านั้นที่รู้ แต่โดยปกติไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปนอนในหุบผานั้นหรอก เนื่องเพราะสภาพ...”

          “ข้าพเจ้าขออภัยที่ทำให้ลำบาก” อัสธาราธกล่าว และรู้สึกสงสัยเช่นกันว่าตนหลับลงไปได้อย่างไรในสภาพแวดลอมแปลกประหลาดเช่นนั้น

          “ไม่เป็นไรหรอก ดีแล้วที่ท่านตื่น ได้ยินว่าหากหลับลง ณ ที่นั่นได้ จะฝันดีจนไม่อยากตื่น”

          อัสธาราธยิ้มเจื่อน “โชคดีที่ข้าพเจ้าตื่น หุบผานั้นมีชื่อเรียกหรือไม่?”

          “มีอยู่“ อูห์รูนกล่าว “ที่นั่นเรียกหุบผาฝันสลาย”

----------------------------------------------

          อัสธาราธก้าวตามข้ารับใช้แห่งสายน้ำเพื่อไปยังท้องพระโรง ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

          คิดไปก็น่าอับอาย แม้รู้ว่าเป็นฝัน แต่ใจหนึ่งก็ยังหวังว่าอาจจะเป็นความจริงอยู่บ้าง เพราะสัมผัสนั้นแจ่มชัดในความทรงจำเสียเหลือเกิน แต่เมื่อได้ยินเรื่องราวหุบผาดังกล่าว ความหวังน้อยนิดก็พลันพังพินาศ ช่างสมชื่อหุบผาฝันสลายจริงๆ

          กระนั้นเจ้าชายหนุ่มยังพอจะหาเรื่องปลุกปลอบใจตัวเองได้ ในเมื่อเรื่องราวเมื่อคืนเป็นแค่ความฝัน เขาคงไม่มีปัญหาในการสู้พระพักตร์ขององค์กษัตริย์

          แต่อัสธาราธคิดผิดถนัด

 
          องค์กษัตริย์ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ ดวงหน้างามผุดผาดผิดหูผิดตากว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า คล้ายยังงดงามยิ่งกว่าในฝันหวานเมื่อคืน อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมองแล้วพาลเห็นซ้อนกับภาพฝันลามกให้หุบผานั้น เจ้าชายหนุ่มพลันต้องรีบก้มหน้าลงทันที

          “โอ....เด็กน้อยเจ้ายังโกรธเคืองเราอยู่? เราได้ชี้แจงเรื่องราวของเจ้าให้ผู้อื่นฟังแล้ว มิมีผู้ใดถือโทษโกรธเจ้าหรอก”

          น้ำเสียงกังวานเสนาะหู ซ้ำยังเป็นห่วงเป็นใยไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่องค์กษัตริย์ดีแสนดี ตนเองยังกล้าฝันพิเรนเช่นนั้นอีก อัสธาราธไม่รู้จะทำเช่นไรจึงได้แต่พยักหน้า ทั้งๆ ที่ยังก้มอยู่

          “เจ้าไม่อยากมองหน้าเราแล้ว?” น้ำเสียงเดิมถามอีก เจ้าชายหนุ่มสั่นศีรษะ แต่ก็ยังไม่เงยหน้าอยู่ดี

          ความเงียบเข้าปกคลุมห้วงน้ำในท้องพระโรงทันที ท้ายที่สุดอัสธาราธจึงต้องเอ่ยปากขึ้นก่อน

          “พระอาการปกติแล้ว?”

          “ย่อมเป็นปกติแล้ว เจ้าใยไม่เงยหน้าขึ้นมองเราเลย หรือยังหวาดกลัวเราอยู่”

          “มิได้” เจ้าชายหนุ่มตอบ แต่ยังไม่รู้ต้องทำตัวเช่นไร ดั่งความฝันบ้าบอนั้นยิ่งทำให้วางตนลำบากมากขึ้น

          “นี่....เงยหน้าขึ้นมองเราสักนิดเถิด เจ้าใยใจดำปล่อยให้เราผู้ใหญ่ขอร้องเจ้าอยู่ร่ำไป”

          อัสธาราธขบกรามแน่น รู้สึกราวกับความร้อนในกายจะระเบิดออก แข็งใจเงยหน้าขึ้นมององค์กษัตริย์อีกครา

          ยังคงงามผุดผาดไม่ผิดเพี้ยนไปเลย

          รอยยิ้มพริ้มพรายปรากฏขึ้นบนริมฝีปากงาม องค์กษัตริย์เสด็จลงจากราชบัลลังก์ ดำเนินเข้ามาใกล้ ก่อนจะพูดเรียบง่าย

          “ตามเรามา”

          อัสธาราธแม้ยังรู้สึกเขินอาย แต่ก็ไม่กล้าขัด จึงได้แต่ก้มหน้าเดินตามองค์กษัตริย์ไปเรื่อยๆ มองเห็นเพียงพื้นหินสีดำสนิท เดินมาได้สักพักหนึ่ง องค์กษัตริย์จึงหยุดฝีเท้าลง อัสธาราธเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่มีผู้ใดติดตามมาอีก มีเพียงตนกับองค์กษัตริย์เพียงสองเท่านั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าอยู่หน้าประตูห้องพักของตนเอง ผู้เป็นใหญ่แห่งสายน้ำยกมือขึ้นผลักบานประตูหินเข้าไป

          “ไม่เข้ามา?”

          น้ำเสียงเดิมเอ่ยถาม เมื่อเห็นอีกร่างยังคงยืนนิ่ง อัสธาราธรู้สึกงงงันไปหมด เอ่ยตะกุกตะกัก

          “นี่ห้องพักข้าพเจ้า...”

          “ถูกแล้ว มีอันใดประหลาด?”

          “ท่าน...ท่านใยพาข้าพเจ้ามาที่นี่”

          “เราคาดว่าเจ้าต้องการพักผ่อน อืม...เข้ามาเถิด ความจริงเรามีเรื่องจะคุยกับเจ้าเล็กน้อย”

          อัสธาราธยังคงไม่เข้าใจจุดประสงค์ขององค์กษัตริย์ แต่ก็ยอมก้าวเข้าไปในห้อง ประตูปิดลงทันที องค์กษัตริย์ทรุดตัวลงนั่งบนแท่นหินภายในห้อง ก่อนจะชี้มือไปยังแท่นที่ใช้นอน

          “นั่งลง เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

          เจ้าชายหนุ่มนั่งลงตามคำสั่ง ยังคงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์องค์กษัตริย์โดยตาง ได้แต่มองชายเสื้อที่ระพื้นอยู่

          “เจ้าทราบความผิดของตัวเองหรือไม่?”

          คราวนี้อัสธาราธจำต้องเงยหน้าขึ้นมาทันที นัยน์ตาสีแดงเพลิงจ้องมองใบหน้าองค์กษัตริย์อย่างตระหนก

          “ข้าพเจ้าทำผิด?”

          นึกไม่ถึง เมื่อครู่ยังปลอบประโลมเขาอยู่ดีๆ พอเข้ามาก็คาดโทษทันที อัสธาราธงุนงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
          “ขะ..ข้าพเจ้าผิดที่ใด?”

          “หลายที่อย่างยิ่ง” เรเธียร์กล่าวด้วยสีหน้าขึงขังราวกับภาพฝันเมื่อคืนไม่ผิดเพี้ยน แต่อัสธาราธมิกล้าจิตนาการตอนจบ เพราะนี่เป็นความจริง ไม่ใช่ความฝันเลื่อนลอย เจ้าชายหนุ่มได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ

          “ต้องการให้เราแจกแจงความผิดหรือไม่?”

          ร่างสูงใหญ่พยักหน้าน้อยๆ ใบหน้าคมสันซีดเผือด เมื่อเห็นนัยน์ตาสีมรกจ้องมาอย่างเอาเรื่องเอาราว

          “บอกกับเรา การที่เจ้าเข้ามาในจิตเรา เป็นความตั้งใจของเจ้า หรือผู้อื่นใช้มา?”

          อัสธาราธอึ้งไปพักหนึ่ง จึงพอจะนึกได้ว่าองค์กษัตริย์คงหมายถึงเรื่องตอนที่ตนหนีออกไปที่หุบเหวเสียงสะท้อน จึงพยักหน้า และตอบกลับ “เป็นความตั้งใจของข้าพเจ้าเอง”

          “รู้หรือไม่ว่านี่เป็นเรื่องบังอาจเพียงไร”

          สีหน้าของอัสธาราธซีดลงกว่าเดิม “ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อน”

          “เรื่องนี้ตัดหัวเจ้าสิบครั้งยังไม่สาสม” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดทำเอาเจ้าชายหนุ่มตัวแข็งทื่อ กระทั่งจะหายใจเข้ายังลำบาก น้ำเสียงเดิมเอ่ยต่อ “เรื่องที่เจ้าบังอาจขอร้องเราที่นั่น เจ้ายังกล้าพูดซ้ำอีกหรือไม่?”

          อัสธาราธรู้สึกเหมือนลำคอถูกแช่แข็ง ที่แท้องค์กษัตริย์พิโรธตนเรื่องนี้เอง ก็ดูจะสมควรแล้ว เจ้าชายหนุ่มอ้าปากค้าง เขาสมควรจะแก้คำพูดนั้นเสียใหม่

          “ข้าพเจ้า....” อัสธาราธเอ่ยค้างได้แค่นั้นก็พลันกัดฟันกรอด กับเรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้ เมื่อเขาตัดสินใจกล่าวออกไปแล้ว แม้จะเป็นในดวงจิต แต่องค์กษัตริย์ก็ทรงรับรู้แล้ว และเขาก็คิดไว้แล้วว่าอาจจะได้รับโทษทัณฑ์ตามมา หากมาแก้คำพูดเอาตอนนี้ ยิ่งมิดูน่าทุเรศเข้าไปใหญ่หรือ พอคิดได้ดังนั้นอัสธาราธจึงกลั้นใจพูดออกไป

          “ข้าพเจ้ายืนยัน ข้าพเจ้าอยากได้ตัวท่าน อยากได้หัวใจของท่าน ถ้าหากท่านจะประหารข้าพเจ้า ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้าไม่ขัดข้อง...”

          อัสธาราธกำมือแน่น กดลงไปบนหน้าขาชาด้าน “แต่ขอร้องท่านเพียงหนึ่งเรื่อง อย่าได้บอกสาเหตุแก่พี่ชายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่อยากทำให้ท่านพี่ผิดหวัง

          “มีเรื่องจะสั่งเสียแค่นี้?”

          เจ้าชายหนุ่มพยักหน้า ขบริมฝีปากจนแตก สกัดกั้นทำนบอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมา เขาไม่ได้กลัวตายเลยสักนิด เพียงแต่รู้สึกปวดแปลบในหัวใจจนแทบบ้า ใยความรักจึงได้เล่นตลกเยี่ยงนี้เล่า

          คำสารภาพที่ต้องแลกด้วยชีวิต....

          หากจะต้องดับสูญเพราะดวงหน้างดงามนั้น

          อัสธาราธพลันเงยหน้าขึ้นมองผู้ทรงอำนาจที่นั่งอยู่ตรงข้าม งดงามผุดผาด ทรงอำนาจราวกับภาพฝัน นัยน์ตาสีมรกตดวงนั้น เคยมองเห็นตนบ้างหรือไม่...เคยรู้สึกเช่นเดียวกันบ้างหรือไม่

          ความอ่อนโยนที่เคยมอบให้ จะสิ้นสุดเพียงเท่านี้หรือ?

          สิ้นสุดเพียงเพราะความโง่เขลาของเขาเองล่ะหรือ?

          อัสธาราธหยัดกายยืนขึ้นอย่างยากลำบาก แต่ละย่างก้าวที่ก้าวออกไปคล้ายถูกถ่วงด้วยพะเนินเหล็กหนักอึ้ง องค์กษัตริย์อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว แต่คล้ายช่างห่างไกลยิ่งนัก ใบหน้าเรียบเฉยนั้นช่างน่าเจ็บปวดสิ้นดี อัสธาราธก้าวไปได้สองก้าว ก็ทรุดตัวลงคุกเข้า กล่าวเสียงแหบแห้ง

          “ประหารข้าพเจ้าเลยเถิด”

          มองเห็นนัยน์ตาสีเขียวมรกตสั่นระริก ร่างผอมบางหยัดยืนขึ้น สืบเท้าเข้ามาใกล้ อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมองใบหน้านั้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหลับตาลง

          “เจ้า....ช่างโง่เขลานัก”

          ความรู้สึกเย็นยะเยือกประทับแนบลงบนริมฝีปาก เจ้าชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันที และพบร่างเพรียวทรุดนั่งลงตรงหน้า ปลายลิ้นเย็นเยียบกำลังเล็มเลียบาดแผลที่ริมฝีปาก อัสธาราธยกมือขึ้นดันร่างนั้นออกอย่างงุนงง

          “เรากล่าวตอบเจ้าในตอนนั้นว่าอย่างไร ลืมแล้วหรือ?” ริมฝีปากได้รูปกล่าว พลางผุดรอยยิ้มอ่อนโยน ผู้ฟังถึงกับอ้าปากค้าง

          “ไม่เคยมีผู้ใดบังอาจขอเช่นเจ้า เราจึงต้องการทราบว่าเจ้าไม่ได้พูดออกมาเพียงเพราะความคะนองในอารมณ์”

          ริมฝีปากของมังกรหนุ่มยังคงเผยออ้า แต่ไม่มีคำพูดใดผุดออกมา

          “โกรธเราหรือ?”

          ร่างเพรียวบางถามเสียงอ่อน อัสธาราธอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ ไม่ก็สลบไปให้รู้แล้วรู้รอด ที่องค์กษัตริย์ทำไปเมื่อครู่ เพียงแค่จะทดสอบเขาเท่านั้นหรอกหรือ

          เจ้าชายหนุ่มไม่รู้จะระบายความในใจเช่นไร จึงยื่นมือตะปบเอวบางเอาไว้ แค่นเสียงคำรามในลำคอ

          “ให้ข้าพเจ้ากัดท่านแรงๆ สักคำ!”

          โดนหยอกล้อจนหัวปั่นเช่นนี้ ไม่งับแรงๆ สักทีคงต้องอกแตกตายแน่ๆ องค์กษัตริย์ทำสีหน้าคล้ายหวาดกลัวคำพูดนี้ยิ่งนัก

          “โอ...ใยเด็กเจ้าเอะอะก็จะกัดเรา ที่กัดไปเมื่อคืนยังไม่เพียงพอ?”

          อัสธาราธถึงกับอึ้งไปทันที เพิ่งสังเกต ที่เนินพระศอมีรอยแดงช้ำโผล่พ้นปลายอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างอยู่ เจ้าชายหนุ่มถึงกับพูดไม่เป็นภาษา

          “ทะ..ท่าน.... ที่นั่น... เมื่อคืน..?”

          ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะในลำคอ “นี่...รอยกัดเจ้าเมื่อคืนเจ็บไม่เบา ยังพอช่วยทุเลาให้ได้หรือไม่?”

          อัสธาราธทำหน้าเลิกลั่ก ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ อาภรณ์เนื้อลื่นก็เลื่อนหลุดออกจากเนินพระศอ บาดแผลสีแดงช้ำน่ากลัวปรากฏขึ้นให้เห็นทันที เจ้าชายหนุ่มถึงกับหน้าซีด ตกใจในการกระทำของตน ที่น่าตกใจกว่านั้น ไม่อยากเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นราวกับความฝันนั่นเป็นเรื่องจริง

          อัสธาราธพิศมองบาดแผล และเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย พอสบกับนัยน์ตาสีมรกตนั้นก็พลันต้องรีบหลบ ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งๆ ที่ตนเป็นฝ่ายกระทำแท้ๆ แต่พอพบว่าทั้งหมดไม่ใช่ความฝันแล้ว ความขัดเขินกลับก่อตัวขึ้นในหัวจิตหัวใจอย่างเป็นทวีคูณ กระทั่งเงยหน้าขึ้นมองนัยน์ตาก็ยังมิกล้าอีก ด้วยไม่ทราบยามนี้องค์กษัตริย์จะมองตนในแง่ใดแน่

          “เด็กเจ้าเป็นไรแล้ว? จงใจปล่อยให้เราทรมานกับบาดแผลเช่นนี้?” องค์กษัตริย์ตรัสขึ้น ยังไม่ทันขาดคำ อีกฝ่ายรีบกล่าวตอบละล่ำละลัก “มิได้ ข้าพเจ้าจะรีบจัดการให้!”

          แม้พูดไปเช่นนั้น พอเอาเข้าจริงๆ เจ้าชายหนุ่มเกร็งไปหมด กระทั้งใบหน้าจะชนกันแล้ว ยังไม่กล้าประกบริมฝีปากลงไป

          “นี่เจ้าจะเอาหัวโขกเรา?” เรเธียร์กล่าว เมื่อหน้าผากของตนแตะกับหน้าผากอีกฝ่าย อัสธาราธไม่ตอบคำถาม ยังคงนิ่งงันอยู่อีกพักใหญ่ๆ จึงพอจะทำใจรวบรวมความกล้าแนบริมฝีปากลงไป

          ช่างน่าขันนัก ต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ คล้ายกับตนเป็นคนขลาดไปเสียทุกเรื่องจริงๆ

          ไอเย็นแผ่ซ่านเข้ามาในโพรงปากทันที น่าแปลก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เผ่าพันธุ์แห่งไฟเช่นเขา หวาดกลัวพลังไอเย็นนี้ยิ่งกว่าความตาย แต่ยามนี้...พอกลั้นใจแตะริมฝีปากลงไปแล้ว กลับไม่คิดอยากถอนออก อยากสัมผัสไอเย็นนั้นให้ลึกซึ้ง เนิ่นนานยิ่งขึ้นไปอีก

          สองแขนตวัดโอบร่างเย็นยะเยียบนั้นเข้าไว้ในอ้อมกอด ริมฝีปากแนบสนิทมากยิ่งขึ้น การเคลื่อนไหวภายในร้อนรนขึ้นทุกขณะ กระทั่งองค์กษัตริย์ต้องยกมือผลักร่างสูงใหญ่ออก

          “เรายังมิอยากได้แผลเพิ่ม”

          เจ้าชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปอีกชั่วขณะ ด้วยยังดื่มด่ำในรสชาติแปลกประหลาดนั้นไม่เต็มอิ่ม นิ่งไปพักใหญ่ จึงพอนึกถึงจุดประสงค์แรกได้

          องค์กษัตริย์มองดูเจ้าชายหนุ่มจากดินแดนเบื้องบนรักษาบาดแผลให้ตนด้วยแววตาอาทร

          อา....เจ้ามังกรน้อยตนนี้......

          มือเรียวยื่นมาสัมผัสเรือนผมสีแดงเพลิง ขยุ้มเบาๆ อย่างเอ็นดู ความอุ่นร้อนที่ถ่ายทอดผ่านปลายนิ้ว ยังความอิ่มใจแปลกประหลาดให้กับผู้ยิ่งใหญ่แห่งสายนที มีชีวิตยืนยาวมาเกือบสามพันปี เพิ่งรู้นี่เองว่าตนมีความพอใจกับเรื่องผิดธรรมชาติเช่นนี้ คงเพราะเด็กน้อยนี่ช่างน่าเอ็นดูนัก  เรเธียร์ลูบไล้เรือนผมนั้นอย่างเพลิดเพลิน กระทั้งสัมผัสกับเครื่องประดับผมที่ทำจากทองคำประดับด้วยอัญมณีสีแดง นัยน์ตาสีเขียวมรกตหรี่ลงเล็กน้อย ขยับปลายนิ้วแผ่วเบา เครื่องประดับผมนั้นก็ร่วงลงมาในมือ เครื่องประดับที่แม้กระทั่งเจ้าชายหนุ่มมุดเล่นอยู่ในลาวาร้อนเป็นนานยังไม่เลื่อนหลุด กลับถูกองค์กษัตริย์ปลดออกมาอย่างง่ายๆ

          นัยน์ตาสีมรกตพิศดูเครื่องประดับในมือ ดูท่าทางตัวเจ้าชายเองจะยังไม่รู้สึกว่าเครื่องประดับของตนถูกปลดออกไป ร่างสูงใหญ่ตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับบาดแผลที่ตนก่อเอาไว้อย่างมุ่งมั่นจริงจัง

          ประกายสีแดงสะท้อนอยู่ในดวงตาสีเขียวมรกต องค์กษัตริย์กำลังตรึกนึกถึงที่มาของเครื่องประดับนี้ คล้ายเคยพบเห็นที่ใดมาก่อน ตรึกอยู่เป็นพักใหญ่จึงพอจะจำความได้ คล้ายเป็นเครื่องประดับขององค์ราชันย์แห่งซาซาร์กันรุ่นก่อน โอ...นี่คงเป็นของที่ระลึกเตือนถึงนครบ้านเกิดที่องค์กษัตริย์แห่งซาซาร์กันองค์ปัจจุบันมอบมา

          นัยน์ตาสีมรกตหรี่ลงด้วยอารมณ์บางอย่าง สายน้ำรอบกายพลันเคลื่อนไหวรุนแรง จนเจ้าชายหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นมา

          อัสธาราธรู้สึกเหมือนเห็นนัยน์ตาสีมรกตนั้นลุกวาวขึ้นอย่างน่ากลัว สายน้ำปั่นป่วนจนน่ากลัว เหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนหวนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง

          “เรเธียร์!”

          เสียงเรียกชื่อดึงสติขององค์กษัตริย์กลับมายังร่างอีกครั้ง นัยน์ตาสีเขียวมรกตกะพริบถี่ ขณะที่สายน้ำรอบข้างเริ่มสงบลง ฟองอากาศสีขาวผุดพรายออกมายามเมื่อองค์กษัตริย์ทอดถอนใจ

          “พระองค์เป็นอะไรอีกแล้ว?” เจ้าชายหนุ่มเอ่ยถาม เมื่อเห็นสีพระพักตร์ดูหมองลงอย่างเห็นได้ชัด องค์กษัตริย์ทอดถอนใจซ้ำอีก ก่อนจะฝืนแย้มยิ้ม

          “ล้วนเป็นโรคทางใจของไม้ใกล้ฝั่งเช่นเรา”

          เจ้าชายหนุ่มหน้าแดงวาบ “กะ..เกี่ยวกับข้าพเจ้า?!”

          เห็นสีหน้าเช่นนั้น องค์กษัตริย์ก็อดหัวร่อออกมามิได้ ทรงยกพระหัตลูบศีรษะมังกรหนุ่มอย่างเอ็นดู “ถูกต้อง เกี่ยวกับเจ้าทั้งสิ้น ผู้ใดใช้ให้เจ้าน่ารักน่าเอ็นดูเยี่ยงนี้เล่า..”

          อัสธาราธทำหน้าไม่ถูก เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินผู้อื่นเอ่ยชมเช่นนี้ ร่างสูงใหญ่ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ได้ยินเสียงหัวร่อดังกังวาน

          “นี่... ออกไปเดินเล่นกับเราได้หรือไม่?” องค์กษัตริย์ตรัสต่อ เจ้าชายหนุ่มพยักหน้าทันที

-----------------------------------

          อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตาสีแดงเพลิงมองดูหุบเหวสีดำสนิทเบื้องหน้า แม้เคยพบเจอสถานที่น่าหวาดหวั่นมามาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ถึงกับต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง  เหวนี้ไม่คล้ายหุบเหวใดที่เคยเห็น ราวกับผืนดินตรงหน้าถูกตัดหายไปเลยมิปาน บริเวณปากเหวเรียบสนิท เป็นระนาบเสมอกันราวกับมิใช่ฝีมือของธรรมชาติ เจ้าชายหนุ่มมองอีกฝั่งของเหวไม่เห็น กระทั่งตอนที่ยังอยู่บนตัวองค์กษัตริย์ ก็ยังไม่สามารถมองเห็นอีกด้านของหุบเหวนี้ได้ คล้ายพื้นดินตัดเรียบตรงหน้า เป็นตัวแบ่งระหว่างโลกนี้กับอีกโลกหนึ่ง อัสธาราธรู้สึกสะท้านกายขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

          “ที่นี่ที่ใด?”

          “ที่นี่เรียกหุบเหวแห่งนิรันดร์ เราเกิดที่นี่” พระสุรเสียงกังวานเอ่ยตอบ ร่างงดงามก้าวมายืนเคียงข้าง เรือนผมสีน้ำเงินพลิ้วไปตามกระแสน้ำ อัสธาราธหันมองทันที

          “พระองค์เกิดที่นี่?”

          “เราเกิดจากก้นหุบเหวนี้” เรเธียร์กล่าว พลางก้าวเท้าสืบต่อ ทำให้เจ้าชายหนุ่มต้องก้าวตามไปด้วย สองร่างหยุดยืนอยู่ริมปากเหว อัสธาราธมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืดมิด

          “ก้นเหวนี้ลึกเพียงไร?”

          “เราไม่ทราบ” องค์กษัตริย์ตอบ และกล่าวต่อ “สิ่งที่อยู่ในความทรงจำยาวนานของเราคือดวงไฟสีน้ำเงินที่ห่อหุ้มเราขึ้นมา”

          เจ้าชายหนุ่มพยักหน้า “พระองค์ประสูติได้ประหลาดยิ่ง อืม...ข้าพเจ้าจำตอนเกิดไม่ได้ด้วยซ้ำ”

          องค์กษัตริย์พลันหัวเราะร่วน “แต่เรากลับพอจำได้ ตอนเกิดเจ้าดุร้ายทีเดียว”

          อัสธาราธน่าแดงอีก “ตอนนั้นข้าพเจ้ายังเป็นทารก.....”

          “ตอนนี้ก็ดูไม่ต่างเท่าไร..” องค์กษัตริย์ตอบ หันมองเจ้าชายหนุ่ม พลางแย้มยิ้มอีก

          “ไปที่อื่นกันเถิด ยังมีอีกหลายที่ที่เราอยากพาเจ้าไป”

---------------------------------

          องค์กษัตริย์มิได้คืนร่างเดิม แต่กลับดำเนินโดยใช้ร่างกลางไปตามกระแสน้ำที่ถูกสั่งให้เคลื่อนไปด้านหน้า โดยมีเจ้าชายหนุ่มดำเนินเคียงข้าง อัสธาราธรู้สึกหัวใจตนเองเต้นไม่เป็นจังหวะมาโดยตลอด ตั้งแต่ได้พบพระพักตร์องค์กษัตริย์ และตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น ดวงตาสีแดงเหลือบมองเสี้ยวหน้าของผู้ดำเนินข้าง ช่างงดงามราวภาพฝัน คล้ายดั่งงดงามขึ้นทุกชั่วขณะ

          นัยน์ตาสีเขียวมรกตทอดลงต่ำ ขนตางอนยาวบดบังแววตางดงามเอาไว้ เรือนผมสีน้ำเงินพรายที่พลิ้วไล้ไปตามใบหน้าหมดจด อา...ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตนได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งที่ผิดธรรมชาติกับเจ้าของเรือนร่างงดงามนี้แล้ว

          อัสธาราธไม่เคยคาดคิดมาก่อนจริงๆ ว่าตนจะเกิดอารมณ์เช่นนี้กับองค์กษัตริย์ และไม่เคยคาดเช่นกันว่าจะหลงรักบุรุษเพศ

          แต่องค์กษัตริย์นั้นงดงามทั้งร่างกายและจิตใจจนทำให้ความรู้สึกอ่อนไหวก่อตัวขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

          อัสธาราธเดินเข้าไปชิดร่างเพรียวบางนั้นอย่างลืมตัว ยกมือขึ้นสัมผัสเรือนผมสีน้ำเงินเรียบลื่น ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าพระหัตขององค์กษัตริย์มาจับไว้ นัยน์ตาสีมรกตผินกลับมามองทันที

          อา....นัยน์ตาที่ครั้งหนึ่งตนเคยหวาดกลัวแทบตาย

          อัสธาราธพิศมองดวงตานั้น ตลอดจนใบหน้างดงาม ลามลงไปถึงแผงไหล่บอบบาง ก่อนจะโน้มใบหน้าลง สัมผัสริมฝีปากของตนกับริมฝีปากเย็นยะเยือกนั้น

          สายน้ำหยุดเคลื่อนไหวในทันที

          ฝ่ามืออุ่นร้อนตะปบเอวบอบบาง รั้งเข้ามาแนบชิด ริมฝีปากสนิทแน่น เรียวลิ้นร้อนเคลื่อนไหวอย่างอุกอาจอยู่ภายในโพรงปากอ่อนบาง เมื่อถอนริมฝีปากออก ก็สบเข้ากับดวงตาสีมรกตที่มองตรงมาด้วยความรู้สึกบางอย่าง

          “......”

          ปลายนิ้วเรียวแตะเข้ากับริมฝีปากหนาที่ทำท่าจะเอื้อนเอ่ยวาจา นัยน์ตาสีมรกตหรี่ลงอย่างอ่อนโยนพร้อมกับรอยยิ้ม

          “ใยใจร้อนนัก รออีกสักประเดี๋ยวไม่ได้หรือ?”

          นัยน์ตาสีแดงเพลิงมองมาอย่างแปลกใจ “รอ...รออันใดเล่า?”

          องค์กษัตริย์ทอดพระเนตรเห็นดวงตานั้นเบิ่งมอง พลันรู้สึกว่าน่ารักจนลืมคำพูดไปชั่วขณะ ยามนั้นเองริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบเข้ามาอีกครา

          อัสธาราธมิทราบองค์กษัตริย์ตั้งใจพาตนไปที่ใดแน่ และถึงทราบก็นึกไม่ออกว่าสถานที่นั้นจะน่ามองกว่าผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดได้อย่างไร ยามนี้ฝ่ามือหนากว้างโลมลูบไปตามเรือนร่างเพรียวบางอย่างลืมตัวกลัวตาย ทุกสัมผัสเกี่ยวดึงสติให้ตกลงสู่ห้วงปรารถนาที่ลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ

          สายน้ำเริ่มปั่นป่วนแล้ว

          อาภรณ์เนื้อบางเลื่อนหลุดออก เผยให้เห็นเรือนร่างเปลือยที่ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นจักต้องตะลึงลานจนกระทำสิ่งใดไม่ถูก อัสธาราธแนบริมฝีปากไปตามเรือนร่างเรียบลื่น อ้อยอิ่งอยู่กับหลายส่วนด้วยอารมณ์ปรารถนาที่คุกรุ่นอยู่ภายใน

          มือเรียวสอดเข้ามาขยุ้มเรือนผมสีแดงนั้นอีกครั้ง เมื่อร่างตรงหน้าคุกเข่าลงต่ำ ปลายนิ้วเย็นซ่านขยับอย่างอ่อนไหวทุกครั้งเมื่อสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

          อัสธาราธยันตัวลุกขึ้น แนบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากอ่อนอีกครา มือเรียวเกี่ยวกระหวัดโอบไหล่กว้างเอาไว้ทันที

          สายน้ำสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่

          สัมผัสของสองร่างลึกซึ้งมากขึ้น ท่ามกลางสายธาราธที่บิดเกลียวอย่างว้าวุ่น การร่วมสังวาสอย่างผิดธรรมชาติระหว่างสองเผ่าพันธุ์ดำเนินไปอย่างเร่าร้อนรุนแรง เกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดหรือจินตนาการได้

          ราวกับทั้งสองกระหายซึ่งกันและกันมานานแสนนาน

-------------------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
อ่านะ ในที่สุด 555


แต่เหมือนยังมีปมบางอย่างค้างคาอยู่นะ งืมๆ

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
><!! ชอบเรเธียร์จังเลย

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ phakajira

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
แหน่ะ. หื่นจริงๆนะเจ้าชายน้อย555

ออฟไลน์ CMYK

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1

ออฟไลน์ warnana001

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เฮือก!!!
รอฉากต่อไปอย่างใจจดจ่อ :pighaun:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






Have_a_hope

  • บุคคลทั่วไป
 o13 o13 o13 o13

ชอบๆ เรื่องนี้มากๆ สนุกมากๆค่ะ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
17 : ไม่ต้องการคำอธิบาย

          แดงฉานปานโลหิต เพลิงกาฬที่พร้อมจะแผดเผาทุกอย่างให้มอดไหม้ ร้อนแรงยากแท้จะต้านทาน สัมผัสเพียงปลายนิ้ว ก็อาจลุกไหม้จนกลายเป็นจุลได้ กระนั้นใยเล่าถึงอยากไขว่คว้าเอาไว้นัก

          โอ....ความปรารถนาไม่เคยปราณีผู้ใดเลย....

--------------------------------------

          เรเธียร์ล้มป่วยลงอีกรอบ ครั้งนี้แม้อาการไม่หนักมาก แต่อัสธาราธกลับรู้สึกผิดอย่างเต็มที่ ทั้งเขินทั้งละอาย ที่วันนั้นตนไม่อาจยับยั้งชั่งใจ ฝืนร่างกายองค์กษัตริย์จนทรงประชวรอีก ดังนั้นเจ้าชายหนุ่มจึงอาสาแข็งขัน ไปช่วยข้ารับใช้หายาสมุนไพรมาปรุงยาบำรุงให้กับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำ

          ครั้งนี้อูห์รูนมิได้ไปที่หุบเหวเสียงสะท้อน แต่ไปเสาะหาตัวยาจากอีกที่หนึ่ง ซึ่งไกลกว่าเดิมพอสมควร

          “ที่นี่เรียกว่าอะไร?” เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ เมื่อลงจากหลังข้ารับใช้หนุ่ม อูห์รูนที่ดำรงร่างกลางดีแล้ว เดินช้าๆ เข้ามาหาและกล่าววาจาตอบ “ที่นี่เรียกที่ราบไถลลื่น”

          “ชื่อฟังดูแปลกหูจริงๆ” อัสธาราธกล่าวและก้าวเท้าออกไป ยังไม่ทันขาดคำ ก็รับรู้ได้ทันทีว่าใยสถานที่นี้จึงมีชื่อเรียกแปลกหูดังกล่าว เนื่องเพราะพื้นที่สีเขียวอมฟ้าตรงหน้า ลื่นจนร่างกายไถลไปได้จริงๆ

                เจ้าชายหนุ่มพยายามตั้งสติ แต่อาการลื่นไถลกะทันหันส่งผลให้แทบล้มหน้าคว่ำ ดีที่อูห์รูนคว้าตัวไว้ทันเสียก่อน

          “ที่นี่มีวิธีไปอยู่” ข้ารับใช้หนุ่มกล่าวเรียบๆ หลังจากคว้าคอเจ้าชายจากต่างแดนมายืนในเขตที่ไม่ลื่นได้แล้ว แม้อูห์รูนจะไม่แสดงสีหน้าใด แต่อัสธาราธรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันใด ด้วยเกรงว่าแทนที่ตนจะมาช่วย จะกลายเป็นมาทำให้ยุ่งเสียมากกว่า กระนั้นข้ารับใช้หนุ่มก็ยังมีน้ำใจ อธิบายวิธีการเดินในที่ราบแสนลื่นดังกล่าวนี้

          “ที่นี่มิอาจใช้ร่างกลางของพวกเราเดินได้ ยิ่งมิอาจใช้ร่างเดิมของเราว่ายเข้าไปได้ ท่านเห็นต้นพืชสีขาวอมฟ้าที่ขึ้นอยู่เป็นหย่อมๆ พวกนั้นหรือไม่?”

          พูดพลางชี้มือไปยังกอหย่อมของพืชที่แปลกตาเป็นอย่างยิ่งสำหรับชาวบกอย่างอัสธาราธ มันมีลักษณะคล้ายท่อเล็กๆ ยื่นลอยออกมาจากพื้นเป็นกระจุก พลิ้วไว้ไปตามสายน้ำที่กระเพื่อมไปมา

          “พืชตัวนี้เรียก ด้ายชีวิต แต่มิได้มีฤทธิ์อันตรายขนาดผู้พยุงจิต ท่านสามารถจับต้องได้โดยไม่ต้องเกรงเรื่องใด เพียงแต่จะไปเก็บพวกนั้นได้ จำต้องอาศัยความช่วยเหลือสักหน่อย”

          กล่าวจบก็พึมพำอะไรบางอย่างที่อัสธาราธฟังไม่เข้าใจ สักครู่ เงาดำเล็กๆ สองเงาก็ตรงเข้ามา เป็นปลารูปร่างประหลาดคล้ายถุงหนังเป่าลมสองตัวด้วยกัน ขนาดพอให้มังกรในร่างกลางสองตนขึ้นไปเกาะหลังได้

          “เหล่านี้เรียกปลาพองลม เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ปกติมันมีนิสัยเชื่องพอสมควร ท่านกล่าววาจาให้สุภาพ ขึ้นบนหลังมันแล้ว ก็บอกให้มันพาท่านไปยังจุดที่ต้องการ จากนั้นก็เด็ดพืชพวกนั้นขึ้นมาสักสองสามกำก็เพียงพอแล้ว”

          อัสธาราธพยักหน้า พลางรู้สึกว่าเรื่องราวในเมืองบาดาลนี้แลดูยุ่งยากวุ่นวายจริงๆ เจ้าชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองปลาหน้าตาประหลาดดังกล่าว พลางพยายามคลี่ยิ้มอ่อนโยน “เจ้าปลาน้อย เราขอขึ้นหลังเจ้า”

          ปลาประหลาดใช้ดวงตาแยกข้างกลมโตสีดำราวเม็ดนิลจ้องมองเขาอยู่พักหนึ่ง แลเห็นครีบน้อยๆ ที่ขัดกับขนาดลำตัวโบกไปมาเบาๆ เหมือนตื่นเต้น ทันใดนั้นเองปากเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าก็ขยับมาดูดใบหน้าของเจ้าชายหนุ่มโดยแรง จนร่างสูงใหญ่สะดุ้งเฮือก ได้ยินเสียงอูห์รูนกล่าวเนิบๆ “ท่าทางมันจะชอบท่านแล้ว”

          สีหน้าแบบนั้น ไม่ทราบกล่าวประชดหรือกล่าวเรื่องจริงกันแน่ หรือว่าตั้งใจให้ติดตลก? อย่างไรก็ดี อัสธาราธไม่ปรารถนาจะเป็นที่รักของปลาประหลาดเหล่านี้มากนัก เจ้าชายหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ อีกรอบ และพูดต่อ “ขอเราขึ้นหลังเจ้าเถิดนะ เจ้าปลาน้อย”

          เจ้าปลาพองลมใช้นัยน์ตาสีดำจ้องมองร่างตรงหน้า ก่อนจะจุ๊บเข้าอีกรอบ จากนั้นก็เหมือนถุงหนังที่ถูกปล่อยลมออก ตัวของมันฟีบลงจนแบนแทบติดพื้น อัสธาราธมองด้วยความตกตะลึง

          “ท่านขึ้นไปยืน อย่าลืมจับให้แน่นๆ” ได้ยินเสียงอูห์รูนกล่าวขึ้น อัสธาราธเดินไปบนตัวปลาตามคำบอก ทันใดนั้นถุงหนังฟีบๆ ก็พองขึ้นทันที ทำเอาเจ้าชายหนุ่มเกือบตั้งตัวไม่ทัน อัสธาราธเกาะอยู่บนหลังปลาตัวนั้นด้วยท่าทางที่คิดว่าชาตินี้จะไม่ยอมให้ใครเห็นอีกเด็ดขาด ดีที่อูห์รูนมิใช่องค์กษัตริย์ จึงไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมาก คล้ายมองไม่เห็นด้วยซ้ำ อัสธาราธตะเกียกตะกายถอนต้นไม้ออกมาได้ตามกำหนด ก่อนจะลงจากหลังปลาด้วยอาการอึ้งไม่หาย

          อูห์รูนเดินช้าๆ เข้ามาใกล้ รับพืชพวกนั้นไปจากมืออัสธาราธ ก่อนจะกล่าวขึ้นลอยๆ “น่าเสียดาย หากองค์กษัตริย์มาด้วย คงจะทรงสำราญพระทัยไม่น้อย”

          อัสธาราธหันไปมองทันที แต่อูห์รูนกำลังคืนร่างเดิมแล้ว

          “กลับกันเถิด วันนี้พอแค่นี้แหละ”

---------------------------------

          เรเธียร์นั่งอยู่ที่โต๊ะเสวยเรียบร้อยแล้ว ตอนที่พวกอัสธาราธกลับไปถึงพระราชวัง พอเห็นดวงหน้าขององค์กษัตริย์ เจ้าชายหนุ่มก็พลันรู้สึกขัดเขินขึ้นมาทันที ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยว่า เคยได้ใกล้ชิดดวงหน้านั้นมาแล้วถึงสองหน

          อารามความเขินอาย ทำให้เจ้าชายหนุ่มเดินก้มหน้างุดๆ ตามหลังอูห์รูนไปโดยไม่พูดไม่จา ปล่อยให้ข้ารับใช้หนุ่มเจรจาความเองเสร็จสรรพ

          “ข้าพระองค์ออกไปเก็บพระโอสถมาถวาย มิทราบพระองค์มีพระประสงค์จะเสวยสิ่งใดก่อนโอสถนี้หรือไม่?”

          นัยน์ตาสีมรกตเพ่งมองมา พลางแย้มยิ้ม “ลำบากเจ้าจริงๆ อูห์รูนของเราเอย อืม...รวมถึงเด็กน้อยด้านหลังนั้นด้วย ที่ราบลื่นไถล สนุกดีหรือไม่?”

          อัสธาราธได้แต่พยักหน้า ทั้งๆ ที่แทบจะแน่ใจว่า ที่ที่ไปไม่สนุกเลยสักนิด ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์หัวร่อเบาๆ “ไว้วันหลังเราจะพาเจ้าไปด้วยตนเอง คาดว่าคงบันเทิงอยู่ไม่น้อย”

          ผู้ได้ยินถึงกับปั้นสีหน้าไม่ถูก ไม่ทราบองค์กษัตริย์มองตนในรูปแบบใดแน่ ได้ยินน้ำเสียงราวฟองคลื่นเอ่ยสืบต่อ “อืม...เราไม่อยากทานสิ่งใดแล้ว เจ้าจะไปปรุงยา ก็ไปเถิด”

          อูห์รูนรับคำพลันถอยออกไป เหลือแต่อัสธาราธที่ยังยืนตัวแข็งทื่ออยู่ เจ้าชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นมององค์กษัตริย์แวบหนึ่ง พอเห็นดวงตาสีเขียวที่มองมาก็พลันรู้สึกหัวใจเต้นไม่เป็นระส่ำ

          “ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้าจะไปช่วยอูห์รูนปรุงยา” อัสธาราธกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน และรีบเดินออกไปราวกับกลัวถูกเรียก องค์กษัตริย์มิได้กล่าววาจาใด ได้แต่ทอดตามอง และยิ้มบางๆ

--------------------------------

          ถ้วยยาขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ถูกนำใส่ถาดรูปทรงแปลกๆ มาวางถวายต่อองค์กษัตริย์ที่ยังคงนั่งเอนกายอยู่บนโต๊ะเสวย จะว่าไปแล้ว อัสธาราธไปถึงห้องปรุงยา ก็แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย อย่าว่าแต่ช่วย ขนาดขั้นตอนการทำ ยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำ เจ้าชายหนุ่มไปถึงก็ถูกสั่งให้ยืนรออยู่ด้านนอก โชคดียาปรุงไม่นาน พอปรุงเสร็จ อูห์รูนก็ชวนเขากลับมายังห้องเสวยอีกครั้งหนึ่ง

          เรเธียร์เปิดฝาถ้วยยาออก ก่อนจะจรดมันเข้ากับริมฝีปาก ขณะกำลังทำเช่นนั้น สายตาสีมรกตก็เปรยไปเห็นเจ้าชายหนุ่มกำลังจ้องด้วยสีหน้าสนเท่ห์ใจอย่างที่สุด องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำยกถ้วยยาออกจากริมฝีปาก หันไปแย้มยิ้มให้กับเจ้าชายจากต่างแดน

          “สงสัยหรือ ว่าอยู่ในน้ำ เราดื่มยาเช่นไร?”

          อัสธาราธสะดุ้งเฮือก ก่อนจะพยักหน้าด้วยอาการขัดเขิน เขาสงสัยเช่นนั้นจริงๆ แต่ที่เหม่อมองจนถึงขั้นไร้มารยาทเช่นนี้ ก็เพราะดวงหน้าขององค์กษัตริย์ แม้ยามป่วยไข้ กลับยิ่งดูผุดผาดมากขึ้นไปอีก พอมองแล้วก็เผลอตัวมองจนลืมมารยาทไปเลย ผิดกับอูห์รูนที่ยังคงก้มหน้า รอถวายการรับใช้อย่างใจเย็น คาดว่าผู้รับใช้ตนนี้คงมีประสบการณ์รับมือกับความงามแบบนี้มาจนชินชาแล้วแน่ๆ

          องค์กษัตริย์ไม่ตอบความในทันที กลับยื่นถ้วยยาออกมาให้มังกรหนุ่ม และกล่าวต่อ “เชิญดูเอาเถิด”

          อัสธาราธก้มลงมองยาในถ้วย และเข้าใจทันที ในถ้วยไม่ใช่ของเหลว แต่เป็นก้อนกลมๆ เรียงอัดกันอยู่ ได้ยินเสียงเดิมกล่าวต่อ “ลองชิมดู เรารับรอง ไม่มีอันตรายถึงชีวิต”

          อูห์รูนที่ยืนนิ่งๆ มานาน เงยหน้าขึ้นและกล่าววาจาออกมาทันที “พระองค์...”

          องค์กษัตริย์หันกลับมา และทำท่านึกขึ้นได้ “จริงสิ เอาเช่นนี้ดีกว่า”

          อัสธาราธยังไม่ทันได้หยิบ ถ้วยยาก็ถูกดึงคืนไปด้วยแรงกำลังแห่งสายน้ำ เรเธียร์ขยับนิ้วมือเรียวยาวเล็กน้อย ลูกกลมๆ ในถ้วยก็ลอยออก และถูกฟองอากาศห่อหุ้มไว้เป็นรูปทรงถ้วย จากนั้น ถ้วยใส่ยาที่สร้างจากเวทย์มนต์ก็ลอยไปตรงหน้าเจ้าชายหนุ่ม และตรงหน้าผู้รับใช้

          “ยานี้เป็นยาบำรุงทั่วไป ไม่เป็นอันตรายแน่นอน ไหนๆ พวกเจ้ามีน้ำใจอุตส่าห์ไปเสาะหาตัวยามาให้เรา เราขอแบ่งความมีน้ำใจนี้กลับบ้าง”

          อัสธาราธพยักหน้าทันที แต่พอเงยขึ้นไปเห็นสีหน้าของอูห์รูน กลับรู้สึกประหลาดใจเป็นยิ่งนัก เนื่องเพราะข้ารับใช้ที่มักจะตีสีหน้าไร้อารมณ์อยู่เสมอ ยามนี้กลับมีสีหน้าราวกับหวั่นกลัวลูกกลมในถ้วยนั้นอย่างหนัก ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนปรุงเองแท้ๆ

          องค์กษัตริย์แย้มยิ้มที่ริมพระโอษฐ์ กล่าวต่ออย่างอารมณ์ดี “พวกใจจะใจร้ายไม่รับน้ำใจของเราหรือ?”

          ทั้งอัสธาราธทั้งอูห์รูนกะพริบตาปริบๆ พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ท้ายที่สุดก็จำใจต้องกลืนลูกกลมเหล่านั้นลงไป พอลูกกลมแตะปาก ก็เหมือนดิ้นพรวดเข้าไปทันที จากนั้นรสชาติแสนเลวร้ายที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดก็แพร่กระจายไปทั่วปาก ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์หัวเราะชอบใจ เมื่อเห็นผู้ทดลองทั้งสองหน้าแดงหน้าเขียวสลับกัน

          “ดูท่าเด็กน้อยสองตนไม่ชอบกินยา แล้วมาเคี่ยวเข็ญให้คนแก่อย่างเรากินยาอยู่ทุกวันได้อย่างไรเล่า” กล่าวจบพลันหัวเราะครื้นเครง ขณะที่อีกสองตนที่เหลือร่ำๆ จะร้องออกมาให้ได้

          “เห็นแก่พวกเจ้า ที่เหลือเราจะจัดการให้หมดแล้วกัน” องค์กษัตริย์กล่าว พลางยกถ้วยยาขึ้นจรดริมฝีปาก จนหมดถ้วยแล้วก็ยังไม่เห็นว่าจะหน้าแดงหน้าเขียว หน้าตาก็ยังเป็นแบบเดิมนั้นเอง คนข้างกายสองคนถามพร้อมกัน

          “พระองค์รู้สึกอย่างไรแน่?”

          ผู้ถูกถามกล่าวยิ้มๆ “ไม่รู้สึกอันใด รสชาติใดสำหรับเราไม่มีความหมาย..เพียงแต่ เราคาด รสชาตินี้ สำหรับพวกเจ้า หากได้ชิมคงมีสีหน้าชวนสนุกไม่น้อย”

          อัสธาราธรู้สึกอยากกัดเรเธียร์จริงๆ ขณะที่อูห์รูนมีสีหน้าราวกับจะร่ำไห้ ทั้งๆ ที่ยังหน้าแดงหน้าเขียวอยู่อย่างนั้น

-------------------------------------

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำหายจากประชวรในอีกวันถัดมา แต่อูห์รูนก็ยังขยันออกไปเก็บสมุนไพรมาปรุงยาให้อย่างไม่เข็ดไม่หลาบ อัสธาราธจึงมีหน้าที่คอยรับใช้องค์กษัตริย์ระหว่างนั้น ไม่ทราบตัวเองเปลี่ยนยศจากเจ้าชายแห่งคอนเชียร์มาเป็นข้ารับใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้เพียงพอเห็นดวงหน้าผุดผาดกับดวงตาสีมรกตนั้นแล้ว มือไม้มันอ่อนปวกเปียกไปหมด แถมหัวใจก็เต้นไม่เป็นจังหวะอีกด้วย

          วันนี้องค์กษัตริย์ออกว่าราชการอยู่เกือบครึ่งวัน อูห์รูนกลับมาระหว่างนั้น พอทรงเสวยพระโอสถเสร็จ ไม่ทราบสิ่งใดดลใจ อัสธาราธทูลถามออกไป

          “พระองค์อยากออกไปเดินเล่นบ้างหรือไม่?”

          องค์กษัตริย์เงยพระพักตรผุดผาดขึ้นมอง “เดินเล่น? โอ...เด็กน้อยเจ้าอยู่ในนี้ทั้งวันคงเบื่อแล้ว อยากไปที่ไหนเล่า?”

          อัสธาราธรีบปธิเสธออกไปทันที “มิได้หมายความเช่นนั้น ข้าพเจ้าเพียงแค่อยาก...” กล่าวได้แค่นั้นจำต้องรีบหุบปากกลืนวาจาลงไป เนื่องเพราะอูห์รูนยังคงยืนอยู่ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย อัสธาราธรู้สึกกระดากอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าเบื่อ เพียงแต่...อยากมีเวลาคุยเล่นได้ใกล้ชิดกับองค์กษัตริย์บ้างเท่านั้น

          เรเธียร์คล้ายเดาความในใจของมังกรหนุ่มอก จึงคลี่ยิ้มบางๆ “เรามีที่อยากไปอยู่ที่หนึ่ง อืม....อูห์รูน รบกวนฝากท้องพระโรงเอาไว้กับเจ้าสักครึ่งวันได้หรือไม่?”

          ผู้รับใช้ค้อมศีรษะ “เชิญตามพระประสงค์เถิด”

---------------------------------------

          ในที่สุด อัสธาราธก็ได้ออกมากับองค์กษัตริย์เพียงสองต่อสอง ยามนี้เจ้าชายหนุ่มนั่งอยู่บนแผ่นเกล็ดกว้างบนร่างซึ่งครั้งหนึ่งเคยหวาดกลัวแทบตาย คราวนี้พอได้สัมผัสอีก กลับอดไม่ได้ต้องจุมพิตลงไปทีหนึ่ง ได้ยินเสียงแทรกมาตามสายน้ำ

          “เจ้าจะแทะเราอีก?”

          อัสธาราธได้แต่หัวเราะเขินๆ และเฉไปพูดเรื่องอื่น “พระองค์จะเสด็จไปที่ใดเล่า?”

          “ยังไม่บอกก่อน แต่เราประกัน เด็กน้อยเจ้าต้องรู้สึกสนุกแน่ๆ”

                น้ำเสียงคล้ายแฝงเลศนัยบางอย่าง แต่อัสธาราธไม่ทันได้ฉุกคิด เพียงแต่รู้สึกว่า ได้อยู่แบบนี้ก็มีความสุขแล้ว

          “ข้าพเจ้าอยากอยู่ใกล้ๆ ท่าน”

          เหมือนได้ยินเสียงสะเทือนจากหัวใจมหึมาที่เต้นอยู่ใต้ผิวหนัง แต่เพียงชั่วเสี้ยวเดียวเท่านั้น แล้วเสียงหัวเราะเบาๆ ก็ลอยแทรกมา “จับไว้ให้แน่น พลัดตกลงไป เราไม่ตามงมเจ้าแน่”

          อัสธาราธทำตามอย่างเคร่งครัด  ไม่รู้ว่าไปไกลเท่าไร รู้ตัวอีกที ปลาสีสันประหลาดก็ว่ายอยู่รอบๆ ตัวเขาแล้ว เจ้าชายหนุ่มหันมองรอบๆ สีเขียว สีฟ้า เรื่อเรืองไปหมด แต่ทว่า รูปร่างของเจ้าพวกนี้ผิดกับปลาทั่วไปลิบลับ คล้ายได้ยินเสียงกระซิบลอยมาด้วย

          “องค์กษัตริย์เสด็จเองหรือ? บนนั้นผู้ใดกัน? มีผู้เคยได้หยั่งลงบนพระวรกายยิ่งใหญ่นี้ด้วยหรือ?”

          “โอ...นั่นมิใช่ชาวบาดาลแน่แท้ สีสันเช่นนั้น น้อยนักจะปรากฏในหมู่พวกเรา”

          “ใช่เจ้าชายที่ร่ำลือกันหรือไม่?”

          “เจ้าชายจากโลกเบื้องบนตนนั้นหรือ?”

          “ผู้กล้าหาญ”

          ไม่รู้ทำไม อัสธาราธเกิดอาการกระดากจนอยากเอามือปิดหู อดไม่ได้ต้องเอ่ยปากถามออกมา “เสียงพวกนี้ ท่านได้ยินหรือไม่ เป็นเสียงผู้ใด?”

          “เสียงภูติพราย” เรเธียร์ตอบ เจ้าชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก

          “เจ้าตัวสีๆ พวกนี้หรือ?” อัสธาราธถามออกไปอีก เขาเคยเห็นพรายน้ำมาบ้าง จากขบวนขององค์กษัตริย์ในครั้งก่อน แต่ที่เป็นแสงเรืองเช่นนี้ เพิ่งเคยพบเห็น จะว่าไปก็ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก คล้ายเป็นแค่แสงที่มีรูปร่าง แต่ไม่มีตัวตน

          “อืม...เหล่านี้เรียกพรายแสง” องค์กษัตริย์กล่าว และอธิบายสืบต่อ “ไม่ทราบเจ้ารู้หรือไม่ เรือของพวกมนุษย์หวาดกลัวพรายเหล่านี้พอๆ กับนางไซเรน ไม่สิ คล้ายท้องน้ำของเรามีแต่สิ่งน่าหวาดกลัวสำหรับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ พวกนั้น”

          “กระนั้นพวกมันก็ยังดั้นด้นเดินทางฝ่าสายน้ำของท่านมาโดยตลอดมิใช่หรือ?” อัสธาราธพูดสวนกลับ พอเป็นเรื่องของสิ่งมีชีวิตพวกนี้ ก็พาให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ

          “สำหรับเรา สิ่งมีชีวิตเล็กๆ พวกนั้นมีส่วนหน้าเอ็นดูอยู่หลายส่วน คงเพราะเรามีความทรงจำมายาวนานมากกระมัง”

          อัสธาราธพลันนึกถึงอิสตรีในฝันนางนั้นทันที “ที่ท่านพึงใจหญิงชาวมนุษย์ เพราะความทรงจำยาวนานด้วยหรือ?”

          คล้ายร่างใหญ่โตชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “เราพอใจนางเพียงเพราะเรารู้สึกว่าเราพอใจ...กับเรื่องเช่นนี้ ไม่ต้องหาเหตุผลมาอธิบายหรอก”

          อัสธาราธนิ่งงันไปบ้าง ไม่ทราบพรายแสงพวกนั้นหายไปเมื่อไร เหลือเพียงแต่ตนกับองค์กษัตริย์เท่านั้น

          จะว่าไปแล้ว การที่ตนรู้สึกพอใจองค์กษัตริย์ พอหาเหตุผลมารองรับได้บ้างรึเปล่า?

          เจ้าชายหนุ่มตรึกไป พลางรู้สึกหัวใจเต้นตุบๆ ไม่ทราบด้วยอารมณ์ใดแน่ ท้ายที่สุดยังคงเป็นอีกฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน “เด็กน้อยเจ้าอย่าได้พูดเรื่องเข้าใจยากในยามนี้เถิด เราพาเจ้ามาที่นี่ เนื่องเพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้หาดูยากอย่างยิ่ง กระทั่งราชาอย่างเรา น้อยครั้งนักจะได้แวะมายล”

          อัสธาราธรู้สติทันใด จึงรีบถามขึ้น “ท่านพาข้าพเจ้ามาดูสิ่งใด?”

          ยังกล่าวไม่ทันจบ ด้านหน้าก็พลันสว่างวาบ แสงเงาเลื่อมพรายสีฟ้า สีเขียว สีน้ำเงินกระจายเต็มท้องน้ำ ฉวัดเฉวียนไปมา บ้างเป็นวงโค้ง บ้างม้วนไปม้วนมาดูน่างุนงง ใบหูได้ยินเสียงโอ่ประโคมมโหรีในแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน อัสธาราธจ้องมองจาอ้าปากค้างไปครึ่งค่อนวัน ความตื่นตาตรงหน้าตรึงมังกรหนุ่มให้นั่งนิ่งโดยลืมไปเลยว่ากำลังอยู่ในสถานที่ใด

          “นี้คืองานเฉลิมฉลองของเหล่าพรายแสงที่จัดถวายแด่พระแม่แห่งวารี พันปีจึงจะมีสักหนหนึ่ง”

          เรเธียร์อธิบาย อัสธาราธเหม่อมองอย่างตะลึงลาน เสียงดนตรีที่ไม่รู้ที่มาที่ไปดังก้องอยู่ในโสตประสาท ประหนึ่งท่วงทำนองนั้นดังมาจากภายในตัวของเขาเอง ภาพแสงเงาตรงหน้าก็คล้ายเต้นระบำไปตามจังหวะเพลง ตัดกับผืนน้ำมืดสนิท

          กระนั้นหัวใจกับดูสงบอย่างประหลาด และถึงกับรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจอีกดวงที่อยู่ใต้ร่าง  อัสธาราธขบริมฝีปากอย่างลืมตัว ไม่รู้เพราะเหตุใด รู้สึกอยากให้องค์กษัตริย์ดำรงร่างกลางมาอยู่ข้างๆ หากได้สัมผัสพระหัตเย็นเยือกนั่น กลับให้รู้สึกจะร้อนขึ้นมาให้ได้ แต่องค์กษัตริย์ยังคงดำรงร่างเดิมไม่เปลี่ยนไปไหน เจ้าชายหนุ่มจึงทำได้เพียงลูบแผงเกล็ดมหึมาเบาๆ กระนั้นก็รู้สึกอิ่มเอิบในหัวใจมากแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใด ไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ

          เรื่องราวเช่นนี้ ไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้เลย

          เงาสีเลื่อมพรายยังคงกระจายตัดกับผืนน้ำสีดำสนิท ท่วงทำนองแห่งจิตใจยังคงดังกังวานอยู่ในโสตประสาท ไม่ทราบชมดูอยู่นานเท่าใด สัมผัสแผงเกล็ดลื่นๆ นั้นไปเพียงไหน แสงเงาพราวระยับของเหล่าพราย จางไปเมื่อไรก็ไม่ทราบ รู้สึกตัวอีกที ตรงหน้ากลับเป็นใบหน้างดงามคุ้นตา เรือนผมสีน้ำเงินพรายคล้ายมีละอองแสงเกาะอยู่ ริมฝีปากได้รูปแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน

          นี้คือภาพหลอนหรือสิ่งใดแน่ เจ้าชายหนุ่มไม่มีแก่ใจจะคิดทบทวนอีกแล้ว เขาหลงใหลมังกรตนนี้เสียเหลือเกิน หลงใหลมากกว่าที่ตนคาดเอาไว้ คล้ายดั่งต้องมนต์แห่งห้วงธาราลึกนี้จนไม่อาจถอนตัวออก

          อัสธาราธไม่คิดจะประคองสติของตัวเองอีกแล้ว ปล่อยให้ความงดงามอันน่าคลั่งไคล้ รั้งดึงสติสัมปชัญญะลงสู่ห้วงอารมณ์ปรารถนาที่บิดเบี้ยวและยากจะต้านทาน

          เนื่องเพราะไม่อาจหาคำใดมาอธิบายความรู้สึกนี้ได้ และคล้ายไม่ต้องการคำอธิบายอีกเช่นกัน

-------------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
น่ารักอีกแล้ว
เรเทียร์ช่างสรรหาที่เที่ยวเนาะ
สุดจะจินตนาการ ^^

ออฟไลน์ krit24

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
เพื่งได้อ่าน สนุกมากค่ะ
ถ้ารวมเล่ม ต้องขอจับจองไว้เล่มนึงจ้า

Ai_Rong_Kun

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
18 : เปลวไฟในสายน้ำ

          เรเธียร์เหม่อมองเรือนผมสีแดงเพลิงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ด้วยสายตายากที่ผู้ใดจะเข้าถึงได้

          โอ....เจ้ามังกรน้อยเอย.....

          มือเรียวลูบไล้เรือนผมนั้นอย่างแผ่วเบา วังน้ำที่สร้างขึ้นจากอำนาจเวทย์มนต์ยังคงไหลสลับซับซ้อนอยู่โดยรอบ ร่างเพรียวค่อยๆ สอดมือประคองร่างสูงใหญ่ให้ขยับเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด ด้วยอำนาจเวทย์มนต์ที่มี ต่อให้ขยับแรงกว่านี้ มังกรในอ้อมกอดก็ไม่มีทางตื่นขึ้นมาเด็ดขาด ห้วงจิตน่าจะยังคงล่องลอยอยู่ในความฝันแสนหวาน ที่มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่จะเข้าถึงได้

          แต่กับองค์กษัตริย์ ตลอดที่ทรงพระชนม์ชีพ ไม่เคยมีห้วงฝันแสนหวาน ฝันของพระองค์ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความจริงที่ครั้งหนึ่งได้ทรงลืมเลือนไปแล้ว ความทรงจำในครั้งหลังที่ทับซ้อนกันจนนับชาติไม่ถ้วน ดังนั้น พระองค์จึงไม่เคยมีฝัน

          มีเพียงความทรงจำอันยาวนานเท่านั้น

          นัยน์ตาสีมรกตคล้ายมีประกายอยู่ในตัวเอง สั่นระริก สะท้อนแสงแห่งสีเพลิงตรงหน้า ไร้ซึ่งแสงสีอื่น มีเพียงความมืดมิดล้อมรอบ ฟองอากาศผุดพรายจากการทอดถอนใจกระจายขึ้นระรอกแล้วระรอกเล่า มือเรียวยังคงลูบไล้เรือนผมสีแดงอย่างทะนุถนอม ราวกับเป็นของสำคัญมีค่าหาสิ่งใดเทียบได้

          โอ....เจ้าผู้โชคร้ายเอย.......

          ริมฝีปากได้รูปโน้มลงจุมพิตหน้าผาก ความอุ่นวาบแผ่ซ่านทันทีที่สัมผัส นัยน์ตาสีมรกตหลุบลงต่ำ คล้ายเจ็บปวดจากจุมพิตนั้นก็มิปาน กระนั้นสองมือยังคงตระกองกอดร่างสูงใหญ่เอาไว้แนบแน่น

          ตุบ..ตุบ...

          เสียงหัวใจของร่างที่แนบอยู่เต้นดังจนสัมผัสได้ถึงพลังแห่งชีวิต หัวใจที่ยังอายุน้อย มังกรที่ยังเยาว์วัย เพิ่งลืมตามาดูโลกได้เพียงไม่กี่ร้อยปี ภาพดวงตาสีแดงเพลิงที่มองมาด้วยอารมณ์ต่างๆ สะท้อนอยู่ในห้วงความคิด ทั้งโกรธ เกลียด ตื่นกลัว คาดหวัง อ่อนไหว

          โอ....ดวงตาที่น่าหลงใหล......

          นัยน์ตาสีมรกตสะท้อนเพียงประกายวูบวาบที่ไม่อาจระบุที่มาได้ เป็นเพียงเส้นแสงที่วิ่งสะท้อนไปมาอยู่ในดวงตาที่คล้ายแก้วกระจก องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำมิเคยรู้สึกรู้สาประการใดเกี่ยวกับความงดงามของตนเอง เนื่องเพราะความงดงามนี้ หาได้สะท้อนถึงความมีชีวิตไม่ ความงดงามของพระองค์นั้นคล้ายภาพฝัน เช่นเดียวกับดวงจิตที่อัดแน่นด้วยความทรงจำมหาศาลที่ยากจะหยั่งและดึงออกมาในคราวเดียวได้

          คล้ายดั่งร่ายกายนี้เป็นเพียงแค่ภาชนะบรรจุจิตมหาศาลเท่านั้นเอง

          ตุบ...................................ตุบ...........................................

          ห่างไกลดั่งมิได้ดังมาจากร่างกายที่ดำรงอยู่ หัวใจชราภาพนี้จะเต้นไปได้อีกนานเท่าไหร่กัน สัมผัสของร่างกายที่ลางเลือนลงเรื่อยๆ กระทั่งภาพต่างๆ บางคราก็มิอาจใช้ตามองได้อีกต่อไปแล้ว เรือนผมสีน้ำเงินพรายยังคงพลิ้วไหวอยู่ในห้วงกระแสน้ำ อณูแสงระยิบระยับเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้น

          โอ....ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว...ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว......

          เรียวแขนเพรียวตระกองกอดร่างสูงใหญ่แนบแน่นขึ้นอีก จุมพิตซ้ำอีกหลายครั้ง คล้ายดั่งหากพลาดไปจะไม่มีโอกาสได้ทำอีก

          ไม่มีความฝันสำหรับพระองค์อีกแล้ว มีเพียงความจริงที่จะประทับเข้าไปในความทรงจำ

------------------------------

          อัสธาราธรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ด้วยความรู้สึกคล้ายมีสัมผัสอ่อนโยนแตะตรงเปลือกตา นัยน์ตาสีแดงเพลิงหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะกะพริบปริบๆ ภาพดวงหน้าคล้ายความฝันปรากฏขึ้นในคลองจักษุ พอเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนนั้น ไม่รู้เพราะเหตุใด อดไม่ได้ต้องแนบริมฝีปากลงไป ดื่มด่ำกับความเย็นยะเยือกที่ชวนให้หลงใหลอยู่ครู่หนึ่ง จึงพอจะถอนออกมาได้

          “เรเธียร์” เสียงเอ่ยเรียกคล้ายคนตกอยู่ในห้วงฝัน ได้ยินเสียงอ่อนโยนตอบกลับ “อืม...เจ้าตื่นแล้ว?”

          อัสธาราธพยักหน้า แต่โดยใจจริงไม่อยากตื่นเลย ร่างสูงใหญ่ยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ จุมพิตริมฝีปากนั้นอีกรอบ ตระกองกอดร่างเพรียวเอาไว้ในอ้อมอก กระซิบเรียกชื่อแผ่วเบา

          “เรเธียร์”

          นัยน์ตาสีมรกตสั่นไหว คล้ายพึงพอใจคำเรียกนี้ยิ่งนัก สัมผัสของมือเรียวเย็นยะเยือกแตะลงตรงใบหน้า ริมฝีปากได้รูปขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้ แนบลงอย่างแผ่วเบา

          อ่อนหวาน นุ่มนวล

          ดั่งตกอยู่ในห้วงฝัน อัสธาราธสัมผัสริมฝีปากนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตระกองกอดร่างเพรียวแนบอก มองดูดวงตาสีมรกตซึ่งครั้งหนึ่งเคยหวาดกลัวแทบตายอย่างหลงใหล

          อยากจะจมอยู่กับภาพฝันแสนหวานนี้ไปตลอดกาล

-------------------------------------

          “อัสธาราธ”

          เจ้าชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง และพบว่าตนเองกำลังนอนหนุนตักใครคนหนึ่งอยู่ ใบหน้าอ่อนโยนทอดยิ้มลงมา พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะอย่างเอ็นดู

                “ตื่นได้แล้วเถิด เด็กน้อยเจ้าจะนอนขี้เซาไปถึงไหนเล่า”

          อัสธาราธกะพริบดวงตาสีแดงเพลิงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบ “ข้าพเจ้าไม่อยากตื่นเลย”

          กล่าวจบก็ฉวยข้อมือบางขึ้นมา จุมพิตลงไปครั้งหนึ่ง และกล่าวต่อ “ข้าพเจ้าอยากฝันแบบนี้ไปเรื่อยๆ”

          ดวงหน้างดงามคลี่ยิ้มอ่อนโยนกว่าเก่า ถอนหายใจน้อยๆ และก้มลงจุมพิตหน้าผากของมังกรหนุ่ม

          “เมื่อฝันแล้วย่อมต้องมีวันตื่น ลุกขึ้นเถิดเด็กน้อยของเรา มิเช่นนั้นเราจะกล่าวหาว่าเจ้าเป็นพวกสันหลังยาวแล้ว”

          อัสธาราธหัวเราะเขินๆ และยอมลุกขึ้นในที่สุด กระนั้นยังอดไม่ได้จะหันมาจุมพิตริมฝีปากในฝันนั้นอีกครา

          “ที่นี่ที่ใดเล่า?” เจ้าชายหนุ่มเพิ่งมาได้สติถาม หลังจากถูกผลักออกเบาๆ ผู้ถูกถามตอบยิ้มๆ “ห้องของเจ้า ลืมแล้วหรือไร?”

          เจ้าชายหนุ่มหันมองไปรอบๆ อีกครั้ง และพอจะนึกขึ้นได้ว่า เป็นห้องพักของตนในวังขององค์กษัตริย์จริงๆ พลันให้รู้สึกกระดากอย่างบอกไม่ถูก เพราะเกือบจะจำไม่ได้เลยว่ากลับมาได้อย่างไร จำได้แต่ดวงหน้าขององค์กษัตริย์ที่ตนพยายามจะคลอเคลียเท่านั้น น่าละอายจริงๆ

          “ครั้งหลัง...ให้ข้าพเจ้าไปส่งท่านที่ห้องบ้าง” อัสธาราธกล่าวด้วยความรู้สึกอับอายอย่างที่สุดที่ต้องให้องค์กษัตริย์พากลับห้องพัก ผู้ได้ฟังผินดวงหน้าผุดผาดมามองและยิ้ม “เจ้ามิหึงนางแล้ว?”

          “นาง?” อัสธาราธนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ถึงพอนึกออกได้ “อ้อ...นาง...อืม...ข้าพเจ้า...”

          ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวร่อเบาๆ ก่อนที่มือเรียวจะยกมาลูบศีรษะ “เด็กน้อยเอย...เจ้าช่างเยาว์วัยอยู่จริงๆ”

          คำกล่าวทำเอาเจ้าชายหนุ่มอับอายจนหน้าแดง “ข้าพเจ้าไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ไม่หึงนางหรอก”

          “เจ้ากล่าวตามความสัตย์จริง?” อีกฝ่ายย้อนถาม อัสธาราธอับจนคำพูดไปทันที ได้แต่ขบริมฝีปากอยู่อย่างนั้น องค์กษัตริย์หัวเราะอีกคราหนึ่ง

          “อย่าได้คิดมากเลย นี่เป็นเรื่องธรรมดาตามวัย มิใช่เรื่องน่าอายอย่างไรหรอก”

          เจ้าชายหนุ่มยังก้มหน้างุดอยู่อีกพักใหญ่ ถึงพอจะฝืนความอับอาย ผงกศีรษะได้ มือเรียวยื่นมาตรงหน้า และกล่าวสืบต่อ “ไปกันเถิด ป่านนี้อูห์รูนคงรอแย่แล้ว”

----------------------------------------------

                องค์กษัตริย์ออกว่าราชการดั่งเช่นทุกวัน หากแต่วันนี้เจ้าชายหนุ่มขอปลีกตัวออกมา เนื่องเพราะอูห์รูนเลิกอาชีพการเก็บสมุนไพรกลับมารับใช้องค์กษัตริย์แล้ว และอีกประการ อัสธาราธกลัวตนเองเผลอเพ้อถึงองค์กษัตริย์ออกไปต่อหน้าธารกำนัลทั้งหลายที่แวะเวียนมาเฝ้า ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า คล้ายองค์กษัตริย์นับวันยิ่งงดงามจนยากจะกล่าว

          ดั่งความงามนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจมีในโลกนี้ได้อีกแล้ว

          สัมผัสอ่อนโยนยังตราตรึงอยู่ในความรู้สึก เพียงนึกถึงก็พาลจะพาให้เพ้อคลั่งแล้ว เวลาอยู่กับองค์กษัตริย์ คล้ายดั่งความฝันกับความจริงซ้อนทับกันจนแยกจะยากว่าสิ่งใดเป็นสิ่งใดแน่ รู้เพียงแต่นั่นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากเหลือเกิน           

          เจ้าชายหนุ่มหน้าแดงวาบ นี่ขนาดตื่นขึ้นมาแล้วยังคงอดไม่ได้จะระลึกวนเวียนอยู่ถึงแต่สัมผัสยามนั้น หากปล่อยไปคงกลายเป็นบ้าสักวันแน่ ขณะนึกหงุดหงิดใจกับความเพ้อเจ้อของตนเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

          “เจ้าชายอัสธาราธ”

          พอหันกลับไปก็พบว่าเป็นมังกรตนหนึ่งที่เคยออกเดินทางไปบนดินแดนตกวันตกด้วยกันนั่นเอง

          “มีอันใด?”

          “พวกเราจัดงานประลองเล็กๆ ขึ้นเป็นการภายใน หากเจ้าชายมิรังเกียจ....”

          แต่เดิมการออกแรงเป็นเรื่องชื่นชอบของอัสธาราธอยู่แล้ว เจ้าชายหนุ่มตอบตกลงไปทันที

          “เราไม่รังเกียจเลยสักนิด”

-----------------------------------------------

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเอนกายลงบนพระราชบัลลังก์หลังจากพวกที่ขอเข้าเฝ้ากลับไปแล้ว อูห์รูนยังคงอยู่รับใช้ข้างกายมิห่างเช่นเคย

          “ผู้อื่นคล้ายกระตือรือร้นมาดูวาระสุดท้ายของเราจริงๆ” องค์กษัตริย์ตรัสขึ้นลอยๆ พลางคลี่ยิ้มบางเบา ข้ารับใช้รีบกล่าวสวนขึ้น

          “พระองค์อย่าได้กล่าววาจาเช่นนั้น ผู้มาเข้าเฝ้าล้วนอยากยลพระสิริโฉมเพียงสักครั้งหนึ่งหรอก”

          องค์กษัตริย์แย้มยิ้มอีกครา พลางยกมือขึ้นสางพระเกศา เงาพราวระยับกระเพื่อมไปในกระแสน้ำ ราวกับเส้นผมพวกนั้นเคลือบด้วยเกล็ดแสงสว่างวาว

          นัยน์ตาสีมรกตทอดมองผู้รับใช้ตรงหน้า น้ำเสียงนุ่มนวลราวฟองคลื่นดังขึ้นอีกครา

          “อูห์รูน ยื่นมือมาให้เรา”

          ข้ารับใช้ทำตามอย่างว่าง่าย องค์กษัตริย์ยื่นพระหัตมา และหย่อนเส้นพระเกศาสีน้ำเงินพราวลงไปในฝ่ามือนั้น ดวงตาของอูห์รูนเบิ่งโพลง

          “พระองค์.....”

          ดวงหน้างดงามผุดผาดแย้มยิ้มอีกครา “เจ้าคงเป็นข้ารับใช้คนสุดท้ายในรัชสมัยของเราแล้ว มิทราบจะชมชอบเก็บของพวกนี้หรือไม่ เราเพียงนึกออกลางๆ ว่าเคยมีหลายผู้ชมชอบเก็บเส้นผมไว้เป็นที่ระลึก”

          อูห์รูนรู้สึกมือตนเองสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ เส้นพระเกศาไม่มีน้ำหนักใดเลย แต่ในความรู้สึกคล้ายเป็นพะเนินเหล็กใหญ่ที่ต้องโอบอุ้มเอาไว้ให้มั่น ข้ารับใช้นิ่งเงียบไปนาน ดวงตาสีฟ้าเทาสั่นระริกคล้ายมีความอัดอั้นอย่างบอกไม่ถูก ท้ายที่สุดก็กล่าวเสียงเครือ

          “เป็นพระกรุณายิ่งแล้ว ข้าพระองค์จะเก็บรักษาตราบชีวิตจะหาไม่”

          กล่าวพลางประคองเส้นพระเกศานั้นเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง ล้วงมืออีกข้างหนึ่งหยิบตลับฝาหอยสลักอย่างวิจิตรขึ้นมาอันหนึ่ง ค่อยๆ หย่อนพระเกศาลงไป เงาพราวระยับยังคงสะท้อนอยู่กระทั่งปิดฝา เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบรอยยิ้มงดงามรออยู่แล้ว

          “เราโปรดเจ้ามาก ทราบหรือไม่?”

          อูห์รูนทรุดตัวลง แนบใบหน้าลงกับฝ่าพระบาท จุมพิตอย่างเคารพ “ข้าพระองค์ทราบ ข้าพระองค์ทราบเป็นอย่างดี”

          “เวลาเราเหลือน้อยเหลือเกินแล้ว” น้ำเสียงเดิมกล่าวต่อ ผู้รับใช้ซบหน้าลงกับฝ่าพระบาท “อย่าได้ตรัสเช่นนั้น พระองค์ยังมิได้เห็นบุตรข้าพเจ้าเลย พระองค์ต้องอยู่อวยพรให้บุตรข้าพเจ้าก่อน”

                “โอ....เจ้าคิดตบแต่งภรรยาแล้ว?” องค์กษัตริย์กล่าวพลางยกพระหัตลูบศีรษะข้ารับใช้อย่างเอ็นดู ผู้มีเรือนผมสีฟ้าเทาเงยหน้าขึ้นมา ทูลตอบตามตรง “ข้าพระองค์กำลังคิดเดี๋ยวนี้ หวังพระองค์จะอยู่ชมดูบุตรข้าพระองค์ก่อนเถิด”

          องค์กษัตริย์ทอดยิ้ม พลางถอนหายใจ “อูห์รูนของเราเอย....ในโลกนี้มีสองสิ่งที่แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่เช่นเราก็มิอาจห้ามหรือกำหนดได้ ไม่มีผู้ใดหามการเกิดกับการตายได้หรอก เราทราบวาระของเราดี แม้มิอยากกลับคืนเพียงไร สุดท้ายก็ต้องหวนกลับไปอยู่ดี แต่อย่ากังวลไปเลย รับรองว่ากษัตริย์รัชสมัยหน้า จะต้องดีใจหากได้เห็นบุตรของเจ้าแน่ๆ ครั้งหนึ่งเรายังเคยเย้าบิดาเจ้าให้รีบมีบุตรออกมา จะได้อยู่เป็นเพื่อนเล่นเรา แต่ดูบิดาเจ้าจะคิดช้าไปสักนิดหนึ่ง เจ้ายังถือว่าเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ”

          กล่าวพลางหัวร่ออย่างอารมณ์ดี อูห์รูนไม่กล่าวอะไร ซบหน้าลงกับพระบาทอีกครา องค์กษัตริย์ยื่นพระหัตลงลูบเรือนผมสีฟ้าเทานั้นอีกครา ความสงัดเข้าปกคลุมท้องพระโรง มีเพียงแรงกระเพื่อมของกระแสน้ำ และร่างกายเพรียวบางที่สั่นไหวเบาๆ

----------------------------------------------------

          การประลองของพวกมังกรน้ำไม่เลวเลย สังเวียนใต้น้ำก็ดูแปลกตา เวทย์มนต์พวกนั้นก็ดูตื่นตาตื่นใจ อัสธาราธพลันนึกถึงผู้เป็นพี่ชาย หากอัสรานมีโอกาสได้มายลแล้วล่ะก็.....

          อัสราน

          อัสธาราธยกมือขึ้นลูบศีรษะ และต้องสะดุ้งวาบเมื่อพบว่าเครื่องประดับที่ได้รับจากผู้เป็นพี่ชายมิได้ประดับอยู่เสียแล้ว ทั้งๆ ที่นั่นเป็นสิ่งที่อัสรานกำชับให้ประดับเอาไว้กับตัวแท้ๆ ขณะที่กำลังนึกย้อนว่าไปทำหล่นไว้ที่ใด น้ำเสียงนุ่มนวลก็ดังขึ้นด้านหลัง

          “มีเรื่องอันใดฤา?”

          เมื่อหันหน้ากลับไปก็พบดวงตาสีเขียวมรกตที่มองทอดมา พร้อมรอยยิ้มที่ชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล อัสธาราธพลันลืมเรื่องเครื่องประดับศีรษะไปเสียสนิท ในหัวสมองมีเพียงภาพรอยยิ้มขององค์กษัตริย์ เจ้าชายหนุ่มปล่อยให้ร่างเพรียวบางเดินเข้ามาใกล้ กระทั่งเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสของมือเรียวที่ยื่นมาลูบไล้เส้นผม

          “เรือนผมเจ้าสวยไม่เลว ปิ่นที่เรามอบให้เจ้าเมื่อคราวที่แล้ว เจ้าทิ้งแล้วหรือไม่?”

          อัสธาราธสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตายทันที ก่อนจะล้วงเอาปิ่นออกมาจากอก “ข้าพเจ้าเก็บรักษาอย่างดี มิบังอาจทิ้งไปหรอก”

          องค์กษัตริย์แย้มยิ้มอีกครา รับปิ่นมาจากมือของมังกรหนุ่ม ใช้มือสางเรือนผมสีแดงเพลิงเป็นมวยน้อยๆ และเสียบปิ่นสีดำสนิทนั้นลงไป

          “ปิ่นนี้เราชื่นชอบมากที่สุด เรามอบให้เจ้า เจ้าเข้าใจความหมายว่าอย่างไร?”

                อัสธาราธมิทราบตนเข้าใจหรือไม่ รู้เพียงมิอาจถอนสายตาออกจากองค์กษัตริย์ได้เลย กระทั่งมือก็ไม่รู้ว่ายื่นไปโอบเอวบางนั้นตั้งแต่เมื่อไร รู้อีกทีก็กำลังดื่มด่ำริมฝีปากงามนั้นแล้ว

          คล้ายดั่งถูกนัยน์ตาสีมรกตนั้นดึงดูดจนไม่อาจดำรงสติเอาไว้ได้เลย

-----------------------------------------------

          สายลมพัดผ่านขึ้นมายังบานหน้าต่างกว้างในพระราชวังซาร์ซากัน พาเอาไอน้ำเค็มลอยมากระทบพระพักตร์งดงามของกษัตริย์หนุ่มแห่งคอนเชียร์ ดวงตาสีแดงดำทอดมองลงไปยังพื้นน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตาเบื้องล่าง เรือนผมสีแดงเช่นเดียวกับสีของดวงตาพลิ้วไปตามกระแสลม

          “องค์กษัตริย์”

          อัสรานเบือนหน้ากลับมาตามเสียงเรียก และยิ้มอ่อนโยน “ยังไม่มีข่าวคราวใดจากสายน้ำมายังเราเลย ท่านพี่หญิงอัสเธียร์”

          อัสเธียร์ผงกศีรษะ พลางถอนใจ “ไม่รู้ว่าอัสธาราธจะเป็นอย่างไรบ้าง หรือบางทีองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำยังคงรณรงค์การศึกอยู่”

          “หลายวันก่อนเราเห็นกลุ่มควันอยู่ริมขอบฟ้าฝั่งตะวันตก มิแน่ว่านั่นอาจจะเป็นการยุทธ์ขององค์กษัตริย์ก็เป็นได้” อัสรานกล่าวเสริมต่อ เจ้าหญิงอัสเธียร์พยักหน้าอีกครา

          “เราหวังว่าอัสธาราธจะปลอดภัย โอ...นี่ก็กินเวลานานยิ่งแล้ว พระองค์สามารถสอบถามข่าวคราวจากนครบาดาลได้หรือไม่?”

          แม้เข้มแข็งและตัดสินใจเด็ดขาดเพียงไร แต่หากไม่ทราบข่าวเลยเช่นนี้ ความกังวลย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา อย่างไรเสียก็เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน อัสรานผงกศีรษะบ้าง

          “วิธีย่อมมีอยู่ เราตรึกเอาไว้หลายวันแล้ว แต่นึกเกรงว่าจะเป็นการรบกวนองค์กษัตริย์หากยังทรงติดการศึกอยู่”

          “โอ....เช่นนั้นยังต้องรออีกนานเท่าใด?”

          อัสรานนิ่งตรึกไปอีกพัก ก่อนจะระบายลมหายใจออกมา “เอาเถิด เราจะลองส่งสัญญาณเล็กๆ ลงไปสักครั้ง หากทรงเสด็จกลับมายังพระราชวังแล้ว คงจะทรงทราบอยู่”

          อัสเธียร์แย้มยิ้มด้วยความยินดี

---------------------------------------------------------------

          นัยน์ตาสีมรกตสะท้อนเงาสีแดงเพลิงระริกเลื่อนอยู่ในอณูคลื่น เรือนผมสีแดงจัดที่ไม่เคยมีปรากฏในอัลโดรธ์มาก่อน พลิ้วสยายอยู่ในกระแสน้ำ มือเรียวเคลื่อนเข้าสางเส้นผมนั้นอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากได้รูปจุมพิตหน้าผากอ่อนเยาว์ ขณะประคองร่างสูงใหญ่เอาไว้ในอ้อมกอด

          โอ....เด็กน้อยที่น่าสงสาร.......

          นิ้วมือเรียวยังคงสางเส้นผมนุ่ม ความอบอุ่นที่ไม่อาจพบเจอได้ทั่วไปในท้องน้ำกว้างแห่งอิลห์ลารินแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ดวงหน้างดงามโน้มลงจุมพิตหน้าผากของมังกรหนุ่มอีกครา

          ช่างเยาว์วัยเสียเหลือเกิน.....เด็กน้อยเอย......

          แม้อีกฝ่ายมิได้ลืมตา แต่ภาพของดวงตาสีแดงเพลิงยังคงชัดเจนอยู่ในความรู้สึก องค์กษัตริย์ก้มลงจุมพิตเปลือกตานั้นเบาๆ

          อยากเหลือเกิน อยากให้ดวงตาสีแดงเพลิงนี้จ้องมองพระองค์ตลอดไป

          ดวงตาสดชื่นแจ่มใส เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งชีวิต.....

          เป็นการง่ายเหลือเกิน หากจะสะกดมังกรตนนี้ให้จับจ้องมองเพียงแต่พระองค์ จะยากอันใดเล่า ด้วยอำนาจหาสิ่งใดมาประมาณได้นี้ หากประสงค์เสียอย่าง ล้วนไม่มีผู้ใดต้านทานได้แน่นอน

          ถึงกระนั้น.......

          ดวงตาสีแดงเพลิงยังคงปิดสนิท พระองค์ทราบดียิ่งกว่าใคร ว่ามิอาจล่อลวงดวงจิตของผู้อื่นไปได้ตลอด ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะต้องกล่อมเจ้าชายให้หลับใหลเช่นนี้เล่า

          ไม่มีความยิ่งใหญ่ใดคงอยู่ได้ตลอดกาล....

          เช่นเดียวกันกับความรู้สึก ที่สุดท้ายจะเป็นเพียงแค่ความทรงจำที่ถูกลืมเลือนไป

          แม้อย่างนั้น.......

          วงแขนเรียวตระกองกอดร่างสูงใหญ่แนบแน่นขึ้น จุมพิตลงไปบนหน้าผากและเปลือกตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

          แม้ทราบความเป็นจริงอยู่เต็มอก แต่กลับมิอาจตัดใจจากสีแดงเพลิงนี้ได้เลย

          โอ....หัวใจเอย..........

          มืองดงามยังคงสางเส้นผมสีแดงเพลิงนั้นอย่างทะนุถนอม หากจะรั้งตัวมังกรน้อยตนนี้ไว้ตราบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต จะเป็นความผิดมากหรือไม่

          หากจะทำตามใจตัวเองสักครั้ง......

-------------------------------------------------------

          อูห์รูนยืนรออยู่หน้าห้องพระบรรทมแล้ว ในตอนที่องค์กษัตริย์ก้าวออกมา ข้ารับใช้หนุ่มเอ่ยถามประโยคที่ทำให้ผู้ฟังต้องรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย

          “เจ้าชายอัสธาราธเล่า?”

          น้อยครั้งเหลือเกินที่อูห์รูนจะถามหาเจ้าชายจากเบื้องบนผู้นี้ องค์กษัตริย์ตรัสตอบไป

          “หลับอยู่  มีอันใด?”

          “ทูลเชิญพระองค์เสด็จไปทอดพระเนตรด้วยเถิด” ข้ารับใช้แห่งสายน้ำกล่าว ก่อนจะเดินนำหน้าไป องค์กษัตริย์จึงต้องดำเนินตามไปทั้งอย่างนั้น

          พอถึงเบื้องหน้าบานประตูกว้างหน้าพระราชวัง ดวงตาสีมรกตพลันเบิ่งโพลง สีแดงเพลิงที่ไม่อาจมีอยู่ในอิลห์ลารินกำลังเต้นระริกอยู่เบื้องหน้า เล็กจิ๋วราวกับจุดแสงเล็กๆ ที่พรายแสงโยนเล่นใส่กัน แต่นี่เป็นเปลวเพลิงของคอนเชียร์ไม่ผิดแน่

          องค์กษัตริย์ยื่นพระหัตออกไป สร้างวงเวทย์ขนาดย่อมครอบดวงไฟสั่นระริกนั้นเอาไว้ก่อนที่จะดับมอดลง

          “นี้เป็นสิ่งใดเล่า?” อูห์รูนอดถามด้วยความใคร่รู้ไม่ได้ เมื่อเห็นองค์กษัตริย์ผู้เป็นที่เคารพรักเงียบไปนาน เรเธียร์ยังคงนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเบือนหน้ามา แย้มยิ้มในความหมายอันยากจะมีผู้ใดเข้าใจได้
----------------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
เออ....ได้โปรดอย่าเบนไปที่โคมไฟ ประหนึ่งละครเลยครับ ผมติดใจฉากของทั้งสองคนไปซะแล้ว ... มันช่วยให้จินตนาการผมบรรเจิดมาก... ขออีก....เยอะๆ 555

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
อัสธาราธน่ารักอะ เรเธียร์ ไม่น่าเลยอะ แล้วอัสธาราธจะอยู่ยังงัยล่ะนั่น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-07-2012 14:51:03 โดย takara »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด