[[ THE CAGE ]] . . กรงรัก . .
[6]
“พี่นท อาการดีขึ้นแล้วเหรอครับ?”
มนุเชษฐ์รีบผละจากเคาน์เตอร์เพื่อตรงไปยังร่างเพรียวที่เปิดประตูร้านเข้ามา ผิวกายขาวเนียนที่กระทบแสงตะวันที่ส่องลาดเรือนกายนั้นทำให้เด็กหนุ่มชะงักงันไปชั่วขณะ นึกแปลกใจผู้เป็นเจ้าของร้านที่ปกติก็ดูบอบบางอยู่แล้ว ในวันนี้ยิ่งดูน่าทะนุถนอมมากกว่าทุกวัน ทั้งๆที่บนใบหน้าก็ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มน่ารักเช่นเดิม เด็กหนุ่มไม่ทันรู้ตัวเลยว่าผิวหน้าของตนเองนั้นร้อนผะผ่าว และไม่ใช่ความร้อนจากเตาเสียด้วยสิ
“อืม ดีขึ้นแล้วล่ะ”
“ที่จริงถ้าวันนี้ไม่สบายก็ไม่ต้องมาก็ได้นี่ครับ ลุกมาแบบนี้เดี๋ยวอาการจะกำเริบรึเปล่า?”
มือใหญ่คว้าแขนเรียวเพื่อรั้งให้ร่างเล็กเข้ามาใกล้ ก่อนจะใช้หลังมือวัดอุณหภูมิให้กับนิชาอย่างคล่องแคล่ว เนื่องจากในครอบครัวของเขามีน้องสาวและมารดาที่สุขภาพไม่แข็งแรงนัก เขาจึงคุ้นเคยกับการดูแลคนอื่นและรู้สึกดีในยามที่ได้เห็นคนที่เขาดูแลมีความสุข
“ไม่มีไข้ แต่ว่ากันไว้ก่อนดีกว่า ขนมยังเต็มตู้ เพราะงั้นพี่นทไปนั่งอยู่ตรงนั้นละกันครับ วันนี้อย่าทำงานเลยนะ”
นิชายิ้มให้กับท่าทีห่วงใยของเด็กหนุ่มที่สูงเกินวัยไปหน่อยที่เอ่ยเจ้ากี้เจ้าการไม่ยอมหยุดตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาในร้าน ดีนะที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในร้านพอดี ไม่อย่างนั้นลูกค้าคงตกอกตกใจหรือคิดกันไปไกลว่าเขาเป็นโรคร้ายเพิ่งออกจากห้องผ่าตัดเพราะอาการห่วงอย่างออกนอกหน้าของเด็กตรงหน้า
แต่ก็เป็นความห่วงใยอย่างบริสุทธิ์ใจ ทำให้เขายิ้มและหัวเราะออกมาได้เองโดยไม่ทันรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
“เว่อร์จริงเรา พี่ไม่เป็นอะไรมากแล้ว วันนี้อยากทำคัพเค้กไปฝากที่บ้านนายด้วย ปล่อยพี่ได้แล้ว”
“พี่นทดื้อจังเลยครับ ถ้าไม่สบายอีกจะทำยังไง?”
“ก็แค่กินยา แป๊บเดียวก็หาย พี่แข็งแรงนะจะบอกให้”
“ตัวกะเปี๊ยกเดียวยังกล้าพูดอีกนะ”
“เดี๋ยวเหอะ ตัวเล็กแต่ก็ถีบนายได้ละกัน อยากลองไหม?”
มนุเชษฐ์หัวเราะแล้วรีบละจากร่างเล็กที่ยกเท้าขึ้นมาจริงๆ เดินกลับไปหลบหลังเคาน์เตอร์เช่นเดิม เขาไม่กลัวลูกเตะของนิชาหรอก แต่ก็หวั่นอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ดูจากสัณฐานแล้วคงไม่ทำให้เขาบาดเจ็บ แต่ก็คงจะเจ็บไม่หยอก ที่แน่ๆเขายังไม่คิดจะลองดีกับร่างงามเจ้าของร้านในตอนนี้หรอก
เสียงบีบแตรจากรถยนต์คันหรูที่จอดอยู่ด้านนอก พร้อมกับสีหน้าแจ่มใสที่เผือดลงไปทันตาราวกับทำอะไรผิดไป และใบหน้าสวยที่สะบัดหันไปทางประตูอย่างตกใจ ราวกับหวาดกลัวว่าใครบางคนในรถคันนั้นจะโกรธ ทุกปฏิกิริยาทำให้มนุเชษฐ์เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ใครกันที่ทำให้นิชาที่อ่อนโยนและเยือกเย็นแปรเปลี่ยนไปได้เช่นนั้น
แล้วเขาก็สงสัยได้อีกไม่นาน เมื่อบุคคลในรถก้าวลงมาพร้อมกับเดินเข้ามาในร้าน นิชารีบเร่งเดินไปหาเพื่อเปิดประตูให้ก่อนที่มือหนานั้นจะยกขึ้นแตะที่จับประตูเสียด้วยซ้ำไป
นิชานึกแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ยักรีบไปทั้งๆที่มีธุระ ส่วนตัวเขาเองนั้นก็ไม่อาจทิ้งร้านไปได้ลง สุดท้ายเตชินท์จึงขับรถมาส่งเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน และสัญญาว่าเย็นนี้จะมารับไปเที่ยวด้วยกัน
“พี่ชิน มีอะไรรึเปล่าครับ? พี่รีบไปประชุมไม่ใช่เหรอ?”
“อืม ก็รีบอยู่เหมือนกัน”
“อ้าว แล้วทำไม...?”
“เงียบ”
เสียงทุ้มที่เอ่ยสั้นๆ ห้วนๆ ทำให้เรียวปากคู่สวยปิดสนิทในฉับพลันราวกับมีใครมากดสวิตช์ เขาหันหน้าตามร่างสูงสง่าที่เดินตรงไปทางเคาน์เตอร์ที่มีมนุเชษฐ์ยืนชงกาแฟอยู่อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ดวงตาคมจับจ้องร่างสูงในชุดยูนิฟอร์มสีช็อกโกแลตอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ร่างของผู้เด็กกว่าจะละมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ตรงหน้า เพื่อเงยหน้าแล้วหันไปทางร่างที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเคาน์เตอร์ นัยน์ตาทอประกายมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้สบเข้ากับดวงตาคมกริบที่ฉายแววยะโสอย่างผู้เหนือกว่าอย่างไม่เกรงกลัว
“รับกาแฟไหมครับ? ชุดสูทแบบนั้นในวันที่อากาศแบบนี้ท่าทางจะร้อน... ผมชงเอสเพรสโซ่เย็นให้ละกันนะครับ”
“ขอเข้มๆล่ะ”
“ได้ครับ ชอบหวานไหมครับ?”
“อันนี้มันก็อยู่ที่คนชงน่ะนะ ดูเอาจากลูกค้าละกันว่าน่าจะชอบหวานหรือเปล่า”
มนุเชษฐ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจที่ถูกท้าทายด้วยเรื่องแบบนี้ ในใจนึกอยากตอกกลับว่าถ้าอยากจะท้าทายกันช่วยหาประเด็นที่มีสาระมากกว่านี้หน่อยจะได้ไหม ทว่าก็หันไปชงกาแฟให้ด้านหลังเครื่องบดกาแฟแต่โดยดี มือหนาแต่เรียวยาวนั้นเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ทำให้เห็นได้ชัดว่าทำงานนี้มานานพอตัว ระหว่างนั้นเองที่เตชินท์ได้หันไปมองรอบๆร้านกาแฟเล็กๆที่เขาไม่ได้แวะเวียนมาหลายเดือนแล้ว
บรรยากาศอบอุ่นแบบสุชุมด้วยการตกแต่งแบบวินเทจโดยยึดโทนสีฟ้าเป็นหลัก และกลิ่นหอมปนขมของเอสเพรสโซ่ลอยอบอวลไปพร้อมกับกลิ่นหวานๆของขนมยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ทว่ากลับมีอีกร่างหนึ่งที่ขัดหูขัดตาเขาเสียเหลือเกินยืนอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ที่เคยเป็นตำแหน่งของลูกแมวน้อยของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
“นายทำงานมากี่เดือนแล้วล่ะ?”
“ก็ไม่ได้นับหรอกครับ คงตั้งแต่คุณไม่ได้แวะมาน่ะ”
“อ้อ งั้นนายก็ไม่รู้สิว่าฉันเป็นใคร”
“พอจะเดาได้หรอกครับ แต่ผมไม่ได้สนใจ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร แต่โดยตำแหน่งแล้วพี่นทคือเจ้าของร้าน ไม่ใช่คุณ”
“อย่ายุ่งกับ ‘ของ’ ของคนอื่นดีกว่า เจ้าหนู”
มนุเชษฐ์ระบายรอยยิ้มอย่างสบายอารมณ์ พร้อมกับยื่นแก้วกาแฟเย็นจัดให้กับร่างตรงหน้า “ผมไม่ชอบยุ่งกับของของใครอยู่แล้วครับ แต่กับคนที่ผมรู้สึกดี ผมก็จะคุยกับคนคนนั้น เพราะสำหรับผมแล้ว คนเราไม่ใช่ ‘สิ่งของ’ ของใคร ที่จะ
คนบ้าที่ไหนมาเหมาเอาว่าเป็น ‘เจ้าของ’”
“อวดดีเหลือเกินนะ พนักงานร้านนี้ ไม่รู้ว่าผ่านการสัมภาษณ์งานมาด้วยวิธีไหน”
“กับคนปกติ ผมก็พูดจาแบบคนปกติด้วยนะครับ แต่กับคนบางคน ก็อาจจะไม่สามารถรักษามารยาทที่ดีไว้ได้ จะว่าไปคุณเองก็ไม่ใช่ลูกค้านี่เนอะ เพราะงั้นก็ไม่ผิดกฎอะไรของร้านนี่ครับ”
“ปากดีให้ตลอดเถอะ...”
“ถ้าเผื่อคุณจะไม่รู้
คนปากดี คือคนที่เถียงในสิ่งที่ทำไม่ได้... แต่ผม ไม่ได้
ดีแต่ปาก เหมือนใครบางคนหรอกนะครับ”
“นายมีอะไรดีรึไง?”
“อย่างน้อย ผมก็รักษาคำพูด ผมมีสัจจะ และไม่โกหกใคร ผมสามารถทำให้คนอื่นมีความสุขได้ด้วยตัวผมเอง โดยไม่ต้องพึ่งอำนาจบารมีอะไรที่ทำให้ลืมตัวไปว่าตัวเองก็เป็นคนธรรมดาๆเหมือนกัน”
เขาไม่ได้ตั้งใจจะแขวะใคร แต่สิ่งที่เขาพูดมานั้นเขาพูดจากใจจริง เนื่องจากมนุเชษฐ์เป็นเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างขาดรายได้ มารดาก็ป่วย น้องสาวก็ยังเล็ก เขาเองนั้นนอกจากจะต้องทำงานจุนเจือครอบครัวแล้ว ยังต้องส่งน้องและตัวเองเรียนมาหลายปี จึงได้เรียนรู้ที่จะยิ้มและให้กำลังใจครอบครัว แม้ในวันนั้นจะไม่มีหนทางหาอาหารได้ครบทุกมื้อก็ตาม
“แต่กับคนบางคน... อาจไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูดหรอกมั้งครับ”
ดวงตาคมฉายแววขุ่นเคืองเมื่อนึกไปถึงคำสัญญามากมายที่เขามักใช้กับใครต่อใครเพื่อให้ปัญหาน่ารำคาญทั้งหมดผ่านพ้นไป ทว่าร่างตรงหน้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร หรือว่านิชาเล่าให้ฟังเรื่องที่เขามักผิดสัญญา
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สำหรับเขา การผิดคำสัญญาไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร แต่เหตุใดเมื่อได้ฟังคำพูดของร่างตรงหน้าแล้ว ใจของเขากลับรู้สึกร้อนผ่าว นึกอยากจะโต้กลับแต่ก็ไม่รู้จะเถียงว่าอย่างไร
“ปากเก่งนะเจ้าหนู พูดแบบนี้กับคนอื่นระวังจะตายไม่รู้ตัวเข้าสักวัน”
“พี่ชิน!”นิชาที่นิ่งอยู่นานอดรนทนไม่ไหวเมื่อเจอกับประโยคทีเล่นทีจริงของร่างสูงที่เขารู้ดีว่ามักไม่ได้ทำแค่ขู่ เขาประสานสายตาเข้ากับแววตาเยือกเย็นที่ปรายมองมาอย่างไม่ยอมหลบสายตา
ไม่พอใจที่คนของเขาปกป้องคนอื่นต่อหน้าเขา ---
เป็นครั้งที่สองใบหน้าดูดีหันไปทางร่างสูงด้านหลังเคาน์เตอร์พลางสบสายตากันอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้
“ฉันจะยอมยกโทษให้ครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น จำไว้ว่าครั้งนี้นายโชคดีที่มีนทช่วยเอาไว้ ครั้งต่อไป ไม่ว่านายจะมีนทคุ้มหัวอยู่หรือไม่...
ฉันไม่เอาไว้แน่”
เตชินท์หันหลังกลับ ขายาวนั้นก้าวออกจากร้านไปโดยไม่ได้หันหลังกลับมามอง เขาเข้าไปในรถ แล้วออกรถพุ่งไปตามถนนเกษตร์-นวมินทร์อย่างรวดเร็ว ในใจคุกรุ่นไปด้วยอารมณ์โกรธ เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าจะหงุดหงิดอะไรนักหนา อาจเป็นเพราะทำอะไรเด็กนั่นไม่ได้เพราะมีนิชายืนอยู่ตรงนั้น หากเป็นเวลางานของเขาแล้ว เด็กปากดีขนาดนั้นไม่มีทางยืนยิ้มอยู่ในสภาพครบ 32 ได้แบบนั้นหรอก
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้สายตาคมละจากถนนไปทางเบาะข้างคนขับ เขาเหยียบเบรกเมื่อรถติดไฟแดงพร้อมเข้าเกียร์ว่าง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดขึ้นมามองที่ผู้โทรเข้า
'น้องเล็ก'ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาวพร้อมกับโยนโทรศัพท์สีดำนั้นลงกับเบาะรถยนต์อีกครั้ง นึกรำคาญใจที่เด็กผู้หญิงคนนี้โทรมาได้ทุกวี่ทุกวัน ขนาดเขาไม่รับก็ยังทู่ซี้โทรมา เห็นว่าชื่นชมชื่อเสียงของเขานักหนา แล้วเจ้าหล่อนไม่รู้รึไงว่าคนอย่างเขาไม่เคยนอนกับคู่นอนคนไหนซ้ำเป็นครั้งที่สอง
สายตาคมปรายมองสัญญาณไฟที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวได้โดยง่ายอย่างหงุดหงิดใจ มือใหญ่คว้าเอาเอสเพรสโซ่เย็นที่หยิบติดมือมาจากร้านมาดูดไปซะอึกใหญ่ ก่อนจะแทบพ่นออกมาเมื่อรับรู้รสชาติความหวานจัดเสียจนแทบทำให้ลิ้นของเขาชาวาบ
“ปั๊ดโธ่! ไอ้เด็กบ้านั่น...!”
“นายนี่นะ ทำไมจู่ๆก็หงุดหงิดขึ้นมาแบบนั้น”
ทันทีที่รถยนต์คันงามเคลื่อนตัวออกไป ร่างงามก็หันมาเล่นงานพนักงานในร้านบ้าง ดวงตาคู่โตทอดมองร่างสูงที่ทรุดกายนั่งลงหลังเคาน์เตอร์อย่างหงอยๆด้วยท่าทีสำนึกผิด
“อย่ามาทำหงิม ฉันไม่หลงกลนายหรอกน่า”
“รู้ทัน...”
“เชษฐ์!”
“โห่ อะไรล่ะพี่นท ผมก็เป็นของผมแบบนี้แต่ไหนแต่ไร พี่ก็รู้ผมว่าผมก็กวนไปตามประสา”
“ปกตินายกวนเล่นๆ แต่นี่นายทำอย่างกับไปโกรธแค้นอะไรพี่เขาแน่ะ รู้รึเปล่าว่านั่นใคร?”
“ไม่รู้หรอก พ่อของพี่นท ไม่ก็พี่ชายล่ะมั้ง เห็นดุซะขนาดนั้น แถมหวงพี่น่าดู”
“เขาเป็นคนลงทุนทำร้านให้พี่ เพราะงั้นก็เหมือนเป็นเจ้าของร้านจริงๆคนหนึ่งนะ”
“อ้าวเหรอครับ แย่จัง ผมทำมารยาทแย่ใส่เจ้าของร้านไปซะแล้ว แล้วนี่ผมจะโดนไล่ออกไหมอ่ะ?”
นิชากลอกสายตาไปมาอย่างนึกระอากับท่าทางที่เสมือนว่ากลัวของอีกฝ่าย “นี่ อย่าไปทำตัวแบบนี้บ่อยๆเข้ารู้ไหม เกิดเจอคนจริงขึ้นมาอาจเจ็บตัวได้นะ”
“พี่ก็รู้ผมไม่ชอบหาเรื่องใครหรอกครับ”
“แต่พี่ว่าวันนี้นายปากหาเรื่องอยู่นะ”
“พี่นทก็เข้าข้างแต่พี่คนนั้น”
“พี่พูดตามความจริงที่พี่เห็น”
“ไม่จริงหรอก พี่ก็เห็นว่าพี่คนนั้นจู่ๆก็เข้ามาในร้าน มองหน้าผมซะอย่างกับว่าผมเคยไปอึไว้บนหลังคาบ้านเขาเมื่อขาติที่แล้วอย่างนั้นแหละ เป็นใครก็หงุดหงิดนะพี่”
“มันก็จริง แต่ว่านายก็ไม่ควรไปต่อล้อต่อเถียงและพูดจากวนใส่พี่เขาแบบนั้น ยังไงเขาก็แก่กว่าเราเยอะนะ”
“อืม ดูหน้าก็พอจะรู้อยู่หรอกครับ... เอาว่าถ้าทำให้พี่ไม่สบายใจ คราวหน้าพี่เขามาที่ร้านผมจะขอโทษละกันครับ”
นิชาระบายลมหายใจอย่างโล่งอก “แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน เย็นนี้พี่เขาก็มาแล้ว อย่าลืมขอโทษล่ะ”
มนุเชษฐ์ชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าหมอนั่นจะแวะมาที่ร้านรวดเร็วเสียขนาดนี้ เห็นปกติไม่เคยมา เขาก็เคยเห็นหน้าแต่ในรูปเท่านั้นแหละ รูปถ่ายที่นิชาเป็นคนแปะผนังเอาไว้ ในตำแหน่งที่เจ้าตัวสามารถมองเห็นได้ทุกวันตลอดจนเวลา ภาพที่ทั้งสองคนกำลังยิ้มและมองตรงมาที่ภาพ รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัว เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากหัวใจ
เขาพอจะเดาได้ว่าระหว่างทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันมากกว่าคนรู้จักหรือเพื่อนอย่างแน่นอน เขาไม่ใช่คนฉลาด แต่ก็ไม่ได้โง่ดักดานจนดูไม่ออก แม้ว่าในความเป็นจริงนั้น บรรยากาศจะแตกต่างจากที่เขาคาดคิดเอาไว้แบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ตาม ทว่าดวงตาคู่โตสวยที่มีแววเศร้าคู่นี้ ก็ยังคงทอประกายอย่างชัดเจนว่า ---
รัก ผู้ชายคนนั้น
หงุดหงิดใจ ยิ่งได้เห็นท่าทางที่ร่างสูงในชุดสูทสีดำกระทำต่อเจ้าของร้านของเขา หัวใจก็ยิ่งเต้นตุบด้วยความขัดเคือง นิชาเป็นคนใจดี ต่อให้อายุมากกว่าเขา และเรียนสูงกว่าเขามากมาย แต่ก็ไม่เคยดูถูกคนอย่างเขา และหยิบยื่นน้ำใจมากมายที่หาได้ยากในสังคมสมัยนี้ให้แก่เขาอย่างจริงใจ
เพียงแค่ช่วงเวลาห้าเดือนที่ได้รู้จักกัน เขาเองก็เพิ่งรู้สึกตัวไม่นาน ว่าหัวใจหลงรักตัวตนของร่างตรงหน้านี้ไปเสียแล้ว
“พี่นท...”
“หืม? ว่าไงเหรอ?”
ใครจะอยากไปขอโทษผู้ชายคนนั้น ผู้ชายแบบนั้นที่ทำให้คนดีที่น่ารักอย่างนิชาต้องเสียน้ำตา คิดว่าเขาไม่เคยรับรู้อย่างนั้นหรือ แม้แต่คราวที่แล้วที่อีกฝ่ายโทรมาระหว่างงาน ร่างเล็กก็ต้องแอบร้องไห้อยู่ภายในห้องพัก และออกมาด้วยท่าทีร่าเริงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่ดวงตาแดงช้ำอย่างผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่อง ในเมื่อ --- เขาเองก็อยู่ด้านหลังของ
ประตูบานนั้นเสียงสะอื้นที่ดังแว่วออกมาเพียงแผ่วเบา ราวกับเข็มนับพันเล่มที่ทิ่มแทงหัวใจ
อยากจะตรงเข้าไปคว้าร่างเพรียวบางนั้นมากอดเอาไว้อย่างอ่อนโยน
อยากจะปลอบประโลมร่างที่สั่นเทา อยากจะทะนุถนอมและดูแล ไม่ให้ใครมาทำให้เสียน้ำตา
อยากจะรักษารอยยิ้มสดใสนั้นเอาไว้บนใบหน้างดงามตลอดไป
แต่เมื่อสบสายตาของร่างเพรียวแล้ว เขาก็ถอนหายใจแล้วพยักหน้าอย่างจำยอม ในเมื่อนิชาต้องการให้เป็นแบบนั้น เขาก็จะทำแบบนั้นตามใจเจ้าของร้าน
“ผมไม่เคยเถียงชนะพี่นทเลยจริงๆ”
“เพราะพี่ไม่ได้เถียง แต่พี่พูดความจริงยังไงล่ะ”
นิชาเอ่ยยิ้มๆ พร้อมกับมุ่งหน้าไปยังห้องพักพนักงานเพื่อเปลี่ยนชุดเตรียมทำงาน เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ลูกค้าขาประจำทยอยมากันพอดี โดยมีสายตายิ้มๆที่มองตามอย่างห่วงใยไปจนสุดทาง
Talk: ^^
วันนี้มาต่อเร็วค่ะ แปลกใจกันบ้างมั้ยเอ่ย (หัวเราะ)
เรื่องของเรื่อง ฝนตกทั้งวัน ธุระที่ว่าจะต้องไปทำก็เลยเลื่อนไปโดยปริยาย
วันนี้ก็เลยมีเวลา นั่งกลั่นกรองพล็อตที่วนเวียนอยู่ในหัวมาตลอดอาทิตย์ออกมาเป็นตัวหนังสือเสียที โล่งจริงๆค่ะ
ตอนต่อไป เร็วๆนี้ คงจะเป็นตอนพิเศษคั่นอารมณ์หน่อย
แต่จะเป็นตอนพิเศษของใคร เอ... น่าจะเดากันถูกนะคะ ^^
เอาเป็นว่า ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจเหมือนเคยนะคะ ดูแลสุขภาพกันด้วยน้า ม๊วฟ
