[[ THE CAGE ]] . . กรงรัก . .
[7]
“พี่เชษฐ์ วันนี้กลับดึกรึเปล่าจ๊ะ?”
“ไม่ดึกหรอก วันนี้พี่ไม่มีเรียน หมิวมีอะไรรึเปล่า?”
เจ้าของนามหันไปมองทางร่างแน่งน้อยของน้องสาววัยสิบสี่ปีที่เดินถือข้าวกล่องมาให้ถึงหน้าบ้าน แม้ในวันเสาร์เช่นนี้ เธอก็ยังตื่นมาแต่เช้าเพื่อทำอาหารกล่องให้เขาติดมือไปทานระหว่างวัน
“เปล่าหรอกจ้ะ หมิวเห็นพี่กลับบ้านดึกแล้วยังต้องทำการบ้านต่อ เลยอยากให้พักผ่อนบ้าง เดี๋ยวจะล้มป่วยเอา”
มนุเชษฐ์ยิ้มให้กับท่าทางห่วงใยอันแสนอ่อนโยนของน้องสาวแท้ๆ เอื้อมมือไปลูบศีรษะของร่างตรงหน้าเบาๆ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เด็กสาวคนนี้ก็ยังเป็นเสมือนเด็กเล็กๆในสายตาของเขาเสมอ อาจเพราะเขารับหน้าที่ดูแลมนสิชามาตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กเล็กๆก็เป็นได้ จึงได้รู้สึกว่าเธอเด็กกว่าเขามากนัก แม้ว่าจริงๆแล้วอายุก็ห่างกันไม่ได้มากมายขนาดนั้นก็ตาม
“ขอบใจนะ หมิวเองก็เหมือนกัน เหนื่อยหน่อยนะ”
เขาพูดแบบนั้นเพราะรู้ดีว่าน้องสาวที่น่ารักของเขาต้องรับหน้าที่ดูแลมารดาที่ป่วยหนัก ตลอดจนงานบ้านทั้งหมด โดยยังรักษาตำแหน่งการเรียนดีเด่นเอาไว้ได้อยู่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
บิดาของพวกเขาเสียชีวิตไปด้วยโรคหัวใจมาหลายปีแล้ว ตอนแรกมารดาที่เป็นครอบครัวคนสุดท้ายของพวกเขาก็ยังทำงานรับจ้างเย็บผ้าอยู่กับบ้าน แต่สุดท้ายก็ล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง เจ็บออดๆแอดๆมาตลอดเพราะไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากในตอนนั้นเขาเองก็เพิ่งจะอายุไม่ถึงสิบห้าปีดีนัก ต้องออกจากโรงเรียนมาทำงานพิเศษจุนเจือครอบครัว เรื่องใหญ่คือการหาค่ารักษาพยาบาลที่แพงลิบลิ่วมารักษามารดา
เรื่องนโยบายค่ารักษาช่วยเหลือคนจนของรัฐบาลไม่ช่วยอะไรเขามากนัก เพราะค่ายาเกี่ยวกับโรคมะเร็งจำเป็นต้องใช้ยาพิเศษมากมายที่มีราคาสูง ซ้ำยังมีการรักษาด้วยคีโม หากจ่ายค่ารักษาเพียงเท่านั้น ยาที่ได้ก็จะไม่ดีเพียงพอที่จะช่วยแม้แต่เพียงบรรเทาอาการเจ็บปวดเสียด้วยซ้ำไป ช่วงแรกเขาลำบากมากนัก เนื่องจากยังอายุไม่ครบเกณฑ์ เรียนก็ยังไม่จบม.3ดี จะให้หางานที่ได้ค่าจ้างดีๆนั้นยากเย็นยิ่ง เขากัดก้อนเกลือกินอย่างลำบาก จนบางวันคนข้างบ้านถึงกับต้องแบ่งอาหารมาจุนเจือด้วยความสงสาร แต่จะให้รับความใจดีจากคนรอบข้างตลอดไปย่อมเป็นไปไม่ได้ เขาจึงกัดฟันสู้ เพื่อมารดา และเพื่อและส่งเสียมนสิชาให้ได้เรียนสูงๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เรียนต่อก็ตาม
มนุเชษฐ์เดินไปตามถนนสีเทาที่ยังไม่ค่อยมีคนมากนักเนื่องจากเป็นเช้าวันเสาร์ เขาทอดสายตามองไปตามเส้นทางเก่าๆที่เขาเดินอยู่ทุกวัน พลางคิดย้อนไปถึงเมื่อหลายเดือนก่อนที่เขาเพิ่งอายุครบสิบเก้าปีได้ไม่นาน
ในตอนนั้นเขาเป็นลูกจ้างในไซต์ก่อสร้างแห่งหนึ่ง เป็นคฤหาสน์หรูหราในย่านเกษตร์-นวมินทร์ถูกสร้างมาหลายเดือนจนใกล้จะเสร็จ เขาทำงานอย่างแข็งขัน ทุกหยาดเหงื่อเสียไปเพื่อเร่งให้งานเดินเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียจากแสงแดดที่แผดเผา แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ เนื่องจากทุกวันนี้ที่มีกินมีใช้อยู่ก็เพราะได้รับค่าจ้าง เขาสำนึกบุญคุณจากผู้ว่าจ้างยิ่งนัก แม้ว่าค่าแรงจะไม่ได้มากมายอะไรก็ตาม แต่หากใช้อย่างประหยัด ก็สามารถเก็บหอมรอบริบได้มากโขอยู่ และถือเป็นโชคดีที่น้องสาวของเขาตั้งใจเรียนจนได้รับทุนการศึกษามาหลายปีแล้ว เขาจึงสามารถเรียนภาคพิเศษในยามค่ำคืนได้หลังจากเสร็จงาน
เขาจำได้ว่า เมื่อเลิกงานแล้ว เขาก็รีบร้อนเดินปนวิ่งออกมาจนถึงถนนใหญ่และเดินไปเรื่อยๆตามเส้นทางเท้า เพื่อจะรีบขึ้นรถสองแถวไปเรียน ทว่าการทำงานมาอย่างหนักจนอ่อนล้า และไม่ได้ทานอะไรเลยนอกจากอาหารเช้าซึ่งเป็นข้าวสวยกับปลาทูทอดที่เหลือจากคืนก่อน
รู้สึกตัวอีกที เขาก็ลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่ไม่รู้จัก บนเก้าอี้ไม้ที่ถูกนำมาวางต่อกันหลายตัวเพื่อวางร่างของเขาได้ รอบกายนั้นเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงกรุ๊กกริ๊กของเครื่องภาชนะอยู่ด้านหลังประตูบานที่ปิดสนิทอยู่ และเพียงไม่นาน ประตูบานนั้นก็เปิดออก พร้อมกับร่างของใครคนหนึ่งที่ถือถาดบรรจุอาหารเข้ามาในห้อง
“อ้าว ฟื้นแล้วเหรอ?”
เขาจำไม่ได้ว่าในตอนนั้นเขาตอบไปว่าอย่างไร แต่สิ่งที่เขาจำได้แม่นและคงไม่มีวันลืมเลือนได้ในชีวิตนี้ก็คือ เขาถูกทำให้ลมหายใจสะดุด เมื่อได้พบกับรอยยิ้มอ่อนโยนที่ปรากฏบนใบหน้าดูดีของคนที่เขาเพิ่งได้พบกันครั้งแรก
เป็นรอยยิ้มที่บางเบา และอ่อนหวาน ราวกับมีขนมสายไหมพองฟูอยู่ในหัวใจ“เห็นน้องผ่านหน้าร้านประจำเลย นี่โชคดีที่มาฟุบที่หน้าร้านพอดีพี่เลยเห็น... ไม่สิ จะเรียกว่าโชคดีก็กระไรอยู่เนอะ เอาว่า พี่ชื่อนิชา น้องชื่ออะไร?”
“ผม... ชื่อเชษฐ์ครับ”
--- นั่นเป็นวันแรกที่เขาได้พบกับนิชา
จริงอย่างที่นิชาว่า เขาเดินผ่านร้านนั้นอยู่ทุกวัน แต่ด้วยความเร่งร้อนจะรีบไปให้ทันเรียน จึงไม่เคยสังเกตมาก่อนว่านี่เป็นร้านกาแฟเล็กๆที่มีบรรยากาศอบอุ่น แต่หลังจากวันที่เขาหมดสติไปหน้าร้านเสียจนได้นิชาลากเขาไปพักนั้น เขาจึงเริ่มให้ความสนใจกับร้านกาแฟเล็กๆนี้มากขึ้น
เขาจะแอบชะลอฝีเท้าเมื่อใกล้ถึงร้าน และเหลือบสายตามองเข้าไปในร้าน รู้สึกสบายใจเมื่อได้เห็นร่างบอบบางเดินไปเดินมาอยู่หลังเคาน์เตอร์ และนานๆครั้งที่นิชาจะหันมาเห็นเขาพอดีแล้วยิ้มให้ นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกอยากจะมีโอกาสได้เข้าไปพูดคุยกับนิชา แต่เรียวขากลับเร่งฝีเท้าให้วิ่งผ่านไปอย่างว่องไวเพื่อซ่อนความร้อนผ่าวบนใบหน้า
หลายครั้งที่เขาผ่านร้านนี้ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ไม่มีเรียน แล้วนิชาที่รอเวลาอยู่แล้วมาเรียกเอาไว้ให้แวะไปชิมขนมเมนูใหม่ที่หัดทำ เขาจึงได้มีโอกาสเล่าเรื่องของตนเองให้ร่างบางฟังเมื่อถูกตั้งคำถาม รู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อได้เล่าเรื่องเหล่านี้ให้ใครคนหนึ่งฟัง เหมือนได้วางความหนักอึ้งที่แบกมาตามลำพังตลอดลงไปเมื่อมีใครที่รับฟัง แถมนิชายังยกขนมมากมายให้เขาฟรีๆเพื่อนำไปให้ครอบครัวอีก
“เชษฐ์ต้องพักผ่อนบ้างนะ พักนี้ดูโทรมไปกว่าเดิมรู้ไหม”
“ผมรู้ครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง... พอดีพักนี้ทางเจ้านายเขาก็เร่งมาให้สร้างเสร็จเร็วกว่าเดิม ก็เลยทำกะดึกในวันหยุดด้วย”
“ทำแบบนี้ไม่ถูกนะ ยังไงเราก็ไม่ใช่เครื่องจักร จะทำงานทั้งวันทั้งคืนไม่ได้หรอกรู้ไหม ถ้าเชษฐ์ล้มไป ครอบครัวจะทำยังไง ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ”
เขาพยักหน้ารับคำ แต่จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อหากงานนี้สิ้นสุดลง เขาก็ต้องไปหางานใหม่ เนื่องจากเขาไม่ใช่ลูกจ้างประจำ จึงตั้งใจจะทำงานหนักในตอนนี้ หลายกะก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเก็บเงินเผื่อเอาไว้ในกรณีที่ยังไม่มีงานอื่นทำหลังจากนี้
“เชษฐ์ พี่ถามตรงๆนะ ตอนนี้ค่าจ้างที่เราได้ มากพอสำหรับดูแลครอบครัวของเชษฐ์รึเปล่า?”
เขาเงยหน้ามองใบหน้าสวยด้วยความตกใจ หวาดกลัวว่าจะพบกับสีหน้าแสดงความเห็นใจที่เขาไม่ต้องการ เขาเหนื่อยล้ากับความสงสารจากทุกคนรอบข้างมามากมาย แม้ว่าจะเป็นความหวังดี แต่เขาอยากจะยืนได้ด้วยตัวเอง อยากจะค้ำจุนครอบครัวให้ได้เพื่อไม่ให้คนอื่นต้องมาคอยเวทนาอยู่เหมือนทุกวันนี้
แต่บนใบหน้าดูดีนั้น มีเพียงความกังขาและมุ่งมั่นราวกับตั้งใจจะทำอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่การช่วยเหลือเพราะสงสารเขา เขาจึงสั่นศีรษะแทนคำตอบ
“ไม่พอหรอกครับ”
“พี่มองว่าเชษฐ์ทำงานหนักมาก เป็นเด็กขยัน แต่เพราะยังเด็กเลยถูกกดค่าแรง พี่ไม่ชอบอะไรที่ไม่ยุติธรรมแบบนี้”
มนุเชษฐ์พยักหน้าอย่างรับรู้ เขาเองก็ไม่ชอบใจนัก แต่ในเมื่อเขาเลือกไม่ได้ เพียงแค่ได้เงินมาแบบนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว จะมาเลือกว่าเงินน้อยเกินไป ไม่ได้หรอก เขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่เลือกงานได้ ได้งานอะไรมาก็ยอมทำทั้งนั้น
“เชษฐ์คิดยังไง ถ้าหากพี่อยากให้เชษฐ์มาทำงานที่นี่?”
เขาเบิกตากว้าง พลางเงยหน้ามองดวงตาคู่งามที่มองตรงมาอย่างตั้งใจ
“พี่นท... หมายความว่ายังไงครับ?”
รอยยิ้มงดงามที่ดึงดูดใจของเขาตั้งแต่แรกพบปรากฏบนใบหน้าหวานใสอีกครั้ง หัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำทำให้เขาแทบไม่ได้ยินเสียงตอบคำถามจากร่างตรงหน้า รู้ตัวแต่ว่าหลังจากนั้นเขาได้แต่พยักหน้าและเอ่ยขอบคุณไปอย่างละล่ำละลัก
นิชาไม่ได้หยิบยื่นข้อเสนอนี้มาให้เพียงเพราะความสงสาร แต่เป็นเพราะเห็นว่าเขาเป็นคนขยัน จึงอยากให้มาทำงานด้วยกัน ด้วยค่าจ้างจำนวนยุติธรรมที่ไม่ได้จ่ายเป็นรายวัน แต่ให้เป็นรายเดือน ว่ากันตรงๆก็คือเป็นพนักงานประจำนั่นแหละ แถมยังให้เงินเดือนเดือนแรกมาก่อนด้วย
น้ำตาอุ่นร้อนที่เอ่อขอบตาทำให้เขาต้องรีบก้มหน้าลง รู้สึกตื้อในอก เขาไม่ต้องการรับความสงสารจากใคร แม้ว่านิชาจะบอกว่าเกลียดความอยุติธรรม จึงได้ขอให้เขามาทำงานที่นี่ แต่เขาก็รู้ดีว่าเริ่มต้นแล้วก็ยังเป็นเพราะความเห็นใจอยู่ดี
ทว่าลึกลงไปในหัวใจ เขากลับรู้สึกขอบคุณชะตากรรมของตนเอง จะด้วยความสงสารหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้เขามีโอกาสได้พบกับนิชา
เขาอดทนจนกระทั่งทำงานโครงการนี้จนเสร็จ เนื่องจากเขาไม่ชอบการละทิ้งงานกลางคัน แม้ว่าจะมีคนงานจำนวนมากที่ทำงานนี้ร่วมไปกับเขา และสามารถหาคนใหม่มาแทนได้ไม่ยาก ทว่านี่เป็นอุดมการณ์ของเขาที่นิชาเองก็ออกปากชม
“พี่ชอบความคิดของเชษฐ์ ผู้ใหญ่บางคนยังคิดไม่ได้แบบนี้เลย ดีแต่รับเงิน แต่งานก็สักแต่ทำไปวันๆ”
“ผมคิดว่า คนเราถ้ารู้จักเห็นอกเห็นใจกัน ไม่เอาเปรียบกัน สังคมก็จะมีแต่ความสงบสุข”
“ใช่ พี่ดีใจที่รู้ว่ายังมีวัยรุ่นที่มีความคิดแบบนี้อยู่”
เขาอมยิ้ม นึกดีใจที่ได้รับคำชม และอีกใจก็นึกขำว่าอีกฝ่ายเองก็เพิ่งจะพ้นช่วงวัยรุ่นมาไม่กี่ปีเช่นเดียวกัน แต่พูดราวกับเป็นผู้ใหญ่วัยใกล้สามสิบอย่างนั้นแหละ
เขาเริ่มสังเกตว่าร่างเพรียวบางที่มีแต่รอยยิ้มน้อยๆนั้นมีความสุขุมนุ่มนวล ดูภายนอกเหมือนจะยอมคน แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย นิชาไม่เคยใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา แต่ใช่วาจาและสมองค้นหาทางออก หลายต่อหลายครั้งที่เขาได้พบกับแนวคิดดีๆหลังจากได้ปรึกษาปัญหากับอีกฝ่าย นิชาจึงเป็นคนที่เขาชื่นชมและนับถือในเวลาเดียวกัน ทั้งๆที่อายุมากกว่าเขาไม่มากมายอะไร แต่กลับมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่เสียจนบางทีเขายังตามไม่ทัน
“น้องเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“หมิวเหรอครับ? ตอนนี้ก็ใกล้สอบแล้ว ดูเครียดๆอยู่เพราะต้องรักษาทุนไว้ให้ได้”
“บอกน้องอย่ากังวลให้มาก... พี่คิดว่าน้องสาวของเชษฐ์เป็นเด็กดี พระต้องคุ้มครองให้สอบได้ดีแน่”
“ขอบคุณครับพี่นท”
หลายวันมานี้เขามีความสุขมากเหลือเกิน หลังจากช่วยน้องจัดการธุระที่บ้านเรียบร้อย เขาก็รีบก้าวเท้ายาวๆมายังร้านกาแฟเล็กๆที่เขาเพิ่งเริ่มงานได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ เขาได้พบกับร่างบอบบางในชุดยูนิฟอร์มสีน้ำตาลน่ารักหันมาทางเขาเพื่อเอ่ยทักทายอยู่ทุกวัน ได้ยิ้ม ได้หัวเราะไปกับลูกค้าอารมณ์ดี แต่ละวันช่างผ่านไปอย่างเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในแบบที่เขาไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่าจะได้รับในชีวิต
มนุเชษฐ์เดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี แม้ในยามที่ไม่มีลูกค้า เขาก็ทำงานอย่างแข็งขัน จนถึงเวลาปิดร้าน เขาเดินไปเก็บข้าวของมาล้าง และจัดร้านจนเรียบร้อย ก่อนจะเดินไปทางประตูห้องพักพนักงานที่นิชาหายเข้าไปนานสองนานก็ยังไม่ออกมา เขากำลังจะเคาะประตู แต่กลับได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆดังลอดออกมาจนทำให้ต้องเบิกตากว้างแล้วรีบถลาเข้าไป
“เฮ้ย! พี่นท เป็นอะไรไป?!”
ดวงตาแดงช้ำและคราบน้ำตาบนใบหน้างามทำให้เขาตกใจจนเผลอร้องออกไปลั่น แล้วจึงนึกก่นด่าตนเองอยู่ในใจที่ทำตัวเอิกเกริกไม่มีความสุขุมเอาเสียเลย นิชาเมินหน้าหนีเพื่อซ่อนรอยน้ำตาที่เห็นอยู่อย่างชัดแจ้ง เกิดความเงียบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ
ไม่ว่านิชาจะเต็มใจให้เขาอยู่เคียงข้างด้วยหรือไม่ แต่เขาก็ไม่มีวันที่จะปล่อยให้ร่างตรงหน้าร่ำไห้อยู่เพียงลำพังแบบนี้ต่อไปได้“พี่เป็นอะไรไปครับ? ใครทำอะไรพี่เหรอ?”
“เปล่าหรอก พี่ทำตัวเองน่ะ”
“อย่าโกหกผมสิครับ ใครที่ไหนจะทำให้ตัวเองเสียใจ ไม่มีหรอก...”
“มีสิ คนโง่ไง...”
หยดน้ำที่รินไหลออกมาอีกครั้งทำให้เขารู้สึกเจ็บจี๊ดในหัวใจ ใครกันหนอที่ทำให้คนเข้มแข็งอย่างนิชากลายเป็นคนที่เปราะบางและต่อว่าตนเองเช่นนี้
“พี่นท อย่าพูดแบบนั้น พี่ไม่ใช่คนโง่นะครับ”
“พี่มันโง่... เชษฐ์ ถ้าเชษฐ์ได้รู้เรื่องทั้งหมดเชษฐ์จะเข้าใจ”
“งั้นก็เล่ามาให้ผมฟังสิ แล้วผมจะได้บอกพี่ว่าผมคิดยังไง”
“พี่มันโง่ เข้าใจไหม! พี่มันคนโง่ที่ไปรักคนที่ไม่ควรรัก!”
“อย่าว่าตัวเองแบบนั้น! ใครก็มาว่าพี่นิชาของผมแบบนั้นไม่ได้! ต่อให้เป็นพี่เอง ผมก็ไม่ยอมหรอก!!”นิชานิ่งเงียบปนตกใจ เขาปาดน้ำตาร่อยๆ ก่อนจะระบายลมหายใจยาว
“เชษฐ์ เคยรู้สึกไหมว่าการรักใครสักคนมันเหนื่อยเหลือเกิน”
“... เหนื่อยยังไงเหรอครับ?”
“ไม่รู้สิ มัน... เหนื่อย เหนื่อยใจ... อยากเลิก แต่ก็ยังรัก... ห่างกันไม่ได้ ไม่เห็นมีใครเคยบอกเลยว่าความรักจะทำให้เหนื่อยใจได้ขนาดนี้”
“ผมไม่เคยมีความรักเลยไม่เข้าใจ แต่ผมคิดว่าการรักใครสักคนไม่จำเป็นต้องมีนิยามที่เหมือนกัน ขอแค่รักกันก็น่าจะเพียงพอแล้วนะครับ”
“แล้วถ้าคนคนนั้นไม่ได้...”
เขากัดฟันกลืนคำว่า ‘รัก’ ลงไป เขาไม่อาจแม้แต่จะคิดได้ว่า หากเตชินทร์ไม่ได้รักเขาจริง แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อไป เขาไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการถึงวันนั้น
“ถ้าเรากับคนคนนั้นรู้สึกไม่ตรงกันล่ะ?”
“... ถ้าถามผม ต่อให้ผมรักเขาข้างเดียว... แต่ถ้ารักแล้วมีความสุข อยากอยู่ใกล้ๆ ถึงจะเหนื่อย ถึงจะต้องเสียใจ รู้สึกว่าตัวเองโง่ แต่หากเขายังสามารถทำให้เรารู้สึกว่าโลกใบนี้หมุนต่อไปได้... ผมก็ยังเลือกที่จะรักคนคนนั้น”
เขายิ้มน้อยๆพลางวางมือลงบนมือเล็กที่กำทิชชู่เอาไว้จนแน่น
“พี่นท... มันไม่ผิดหรอกครับ ที่จะรักใครคนหนึ่ง แต่หากเราละทิ้งความรักของเราไปกลางคัน... นั่นล่ะครับที่ผิด เพราะมันทำให้เราเสียใจไปจนวันสุดท้ายของชีวิต”
“เชษฐ์...”
“อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะครับ ชีวิตเป็นของเรา เราไม่มีทางรู้หรอกว่าวันพรุ่งนี้จะดีหรือร้าย แต่ขอให้ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องมาเสียใจในวันข้างหน้า”
หลายวันผ่านไป นิชาดูอาการดีขึ้น เริ่มยิ้มแย้มมากขึ้น เขาค่อยโล่งอก แม้ในใจจะนึกเคือง ‘คนรัก’ ของนิชา ใครกันนะที่ทำให้ร่างเพรียวร้องไห้ได้หนักขนาดนี้ เขาเพิ่งได้รู้ว่านิชาย้ายไปอยู่บ้านเดียวกันกับคนคนนั้นที่คอนโดในเมือง เขื่อว่าต้องอายุมากกว่าเจ้าของร้านของเขาอย่างแน่นอน และคงจะมีฐานะดีไม่น้อยเสียด้วย
นึกหงุดหงิดระคนอิจฉาคนคนนั้น ที่สามารถทำให้นิชาร้องไห้เสียจนไม่เป็นผู้เป็นคนได้ในยามที่ทะเลาะกัน และทำให้นิชากลับมายิ้มได้อย่างสดใสในยามที่คืนดีกัน เขาเองก็อยากเป็นคนคนนั้นบ้าง และเขาจะไม่มีวันทำให้ร่างบางต้องเสียน้ำตาแม้เพียงหยดเดียวเลย
เขาคิดว่า สักวัน เขาจะเป็นที่พึ่งของนิชาบ้าง
จนกระทั่งวันหนึ่ง
เขายังจำได้ดี วันนั้นฝนตกหนักตั้งแต่เช้า จนกระทั่งสายก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุด แม้จะเลยเวลาเปิดร้านไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีลูกค้าอยู่ในร้าน
“มาช้านะ”
“ขอโทษครับพี่ วันนี้ แม่ผมอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
เสียงสั่นเครือทำให้นิชาหันไปมองทางร่างสูงที่เปียกโชก ใบหน้าคมคายที่ขาวจนปากซีดทำให้ร่างเล็กตกใจจนรีบคว้าผ้าขนหนูในห้องพักออกมาให้
“ทำไมเปียกแบบนี้ ไม่มีร่มเหรอ?”
“ผมรีบวิ่งมาครับ เพราะสายมากแล้ว”
“วันหลังถ้ามีธุระก็โทรมาบอกพี่ก็ได้นี่”
“ผมไม่อยากทิ้งงานครับ... เรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานเราต้องแยกกันให้ได้”
“แต่เรื่องแม่ไม่สบายมันไม่เกี่ยวกันนะ เชษฐ์ วันนี้กลับไปก่อนเถอะ ไปดูแม่”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องมีแต่ ยังไงวันนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าฝนจะซา ยังไงลูกค้าก็คงไม่มากนักหรอก กลับไปดูแลแม่ดีกว่า หมิวคงกังวลแย่แล้วป่านนี้”
“... ครับ”
เขายังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกจากร้าน เสียงโทรศัพท์ร้านก็ดังขึ้น นิชารับสาย ก่อนจะเบิกตากว้างแล้วรีบเรียกเขาไปรับ
“หมิว? มีอะไร?”
“พี่เชษฐ์ แม่อาการไม่ดีเลย... ทำยังไงดี... หมอบอกว่าต้องผ่าตัด... แต่อาจจะไม่รอด... พี่เชษฐ์ หมิว... กลัว”
เสียงใสที่สั่นระริกสะอื้นไห้อย่างหวาดหวั่น เขาพอจับใจความได้คร่าวๆว่า ระหว่างที่เขาเดินทางมายังร้าน มารดาของเขาอาการทรุดจนต้องเรียกรถพยาบาล หากไม่ผ่าตัดภายในเร็ววันนี้ ก็อาจไม่มีทางรอด
“รอพี่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปหา”
ลงท้ายแล้ว นิชาก็ปิดร้านแล้วตามเขามาด้วย จึงได้พบกับสายตาอิดโรยและท้อแท้ในแบบที่ไม่เคยพบมาก่อน หยดน้ำตาเอ่อคลออย่างยากจะระงับ เมื่อคิดว่าไม่มีเงินเพียงพอจะรักษาแม่แท้ๆของตนเองได้ และเสียงร้องไห้ของน้องสาวที่อยู่ในอ้อมกอด เขาไม่อยากให้ร่างบางต้องเห็นเขาในสภาพแบบนี้เลย
“เชษฐ์ แล้วอาการคุณน้าล่ะ?”
“อยู่ในห้องพักครับ...”
“อ้าว! แล้วทำไมไม่ได้ผ่าตัดล่ะ?! ไหนว่าจะรีบผ่าไม่ใช่เหรอ?!”
“พี่นท... ค่าใช้จ่ายมันสูงมาก...”
พูดได้ถึงตอนนี้ หยดน้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้มาตลอดก็หล่นแหมะลงบนกระหม่อมของน้องสาวที่ซุกหน้าอยู่กับแผ่นอกของเขา เขาเกลียดตัวเอง เกลียดที่เป็นถึงผู้นำครอบครัว แต่แค่ค่ารักษาพยาบาลให้แม่บังเกิดเกล้า เขายังไม่มีปัญญาจะหามาได้
“หมอบอกว่า... คงไม่พ้นคืนนี้ แต่ผมเองก็... ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว แบบนี้อาจจะดีแล้ว... อย่างน้อยแม่ก็ไปสบาย”
เพียะ!!เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าของเขาจนสะบัดหัน ทำเอาสติที่มึนงงราวกับอยู่ในห้วงฝันร้ายกระเจิงไกล
“พี่...?”
“พูดบ้าอะไรแบบนั้น! ทางออกมีอีกตั้งมากมาย! เชษฐ์เคยบอกพี่เองไม่ใช่เหรอว่า คนเรา วันหน้าจะดีหรือร้ายไม่มีทางรู้ แต่เราต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด! เพื่อให้เราไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง” ร่างเพรียวยืนขึ้นเต็มความสูง แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องหมอ เพื่อลากหมอออกมาประจันหน้ากับพวกเขา “แม่ของเด็กสองคนนี้อาการหนักแค่ไหน?”
“หนักมากครับ... ถ้าไม่ผ่าตัด...”
“งั้นถ้าผ่าตัด จะรอดใช่ไหม?”
“ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ แต่มีทางรอด”
ใบหน้างดงามที่แฝงแววเด็ดเดี่ยวในประกายตาหันมาทางเขา “เชษฐ์ จะยอมเสี่ยงไหม?”
“... ถ้ามีโอกาส ใครกันที่จะไม่อยากเสี่ยงครับ”
“ถ้าอย่างนั้น หมอครับ ผ่าเลย ค่ารักษาทั้งหมดผมจะรับผิดชอบเอง”
“พี่นท!”
“พี่ไม่ได้ทำเพราะสงสาร แต่พี่ทำ...
เพราะพี่ยังเป็น ‘คน’ อยู่เท่านั้น”
นิชาไม่ยอมพูดอะไรกับเขาอีก เพียงไม่นานการผ่าตัดก็เริ่มขึ้น และแน่นอน หลังจากนั้นมารดาของเขาก็ออกจากโรงพยาบาลได้ แม้ว่าจะอาการไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ดีขึ้นเป็นทวีคูณ จนสามารถทำงานบ้านได้ด้วยตนเอง
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ หากไม่ใช่เพราะนิชา ก็ไม่รู้จะขอบคุณใคร
“พี่ไม่ได้ให้เชษฐ์ฟรีๆ การที่เชษฐ์มาช่วยพี่ที่ร้านก็เป็นการใช้เงินอยู่นะ”
“แต่พี่นทก็ให้เงินเดือนผมตลอด”
“ใช่ แต่ค่าแรงของพี่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ก็ถือว่าเจ๊ากันไป เชษฐ์ก็ตั้งใจทำงานให้มากขึ้นละกัน พยายามเข้านะ คุณหัวหน้าครอบครัว”
นิชาหันมายิ้มให้กับเขา รอยยิ้มแบบเดิมที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่ในฝัน ก่อนจะผละไปทำขนมต่อ ทิ้งเขาเอาไว้อยู่หน้าเคาน์เตอร์ และคำสาบานที่ดังก้องอยู่ทั่วร่าง
วันหนึ่งเถอะ วันหนึ่ง เขาคนนี้ล่ะจะตอบแทนบุญคุณให้จงได้ และจะไม่ยอมทำให้นิชาต้องเสียใจ ไม่ว่านิชาจะรักเขาหรือไม่ เขาก็จะรักและปกป้องนิชา ตราบใดที่เขายังมีสองมือสองเท้า หากวันใดที่นิชาต้องเสียน้ำตาเพราะ ‘คนคนนั้น’ ที่เขาไม่สามารถเป็นได้
--- เขา จะเป็นคนคอยเช็ดน้ำตา และอยู่เคียงข้างนิชาจนกระทั่งรอยยิ้มนั้นกลับมาอีกครั้งเอง
Talk: ^ ^
หายไปซะนาน สวัสดีค่ะ
ตอนนี้เป็นตอนพิเศษเล็กๆ เบื้องหลังของเชษฐ์ ว่าหลายเดือนที่ผ่านมา ก่อนจะได้พบกับพี่ชินตัวจริง เชษฐ์กับนทผ่านอะไรด้วยกันมาบ้าง และทำไมเชษฐ์ถึงได้แขวะพี่ชินตั้งแต่แรกพบ
หวังว่าจะทำให้กระจ่างขึ้นบ้างนะคะ
ป.ล. เพิ่งสังเกตว่าตอนนี้มีพี่ชินโผล่ ตั้ง 1 ประโยคแน่ะ (หัวเราะ)
