คืนที่ดวงดาวลอยอยู่ในถ้วยกาแฟ
สองทุ่ม สิบสามนาที คุณครับ...
คุณรู้อะไรไหม...
...หลังคำพูดที่ผ่านทางยาวไกล มันทำผมใจสั่น
นั่งอยู่ติดริมหน้าต่าง
เหม่อมองออกไปตามแสงไฟที่ทอดยาวตรงรันเวย์
เสียงสัญญาณรัดเข็มขัดดังขึ้นเป็นคำเตือนให้ผู้โดยสารเตรียมตัวสำหรับการทะยานขึ้นฟ้า
ผมรู้สึกอยู่เสมอว่า บรรยากาศก่อนการบินมีอะไรแตกต่าง
มันเป็นความกังวลที่ก่อตัวเล็ก ๆ ในใจ
คล้าย ๆ กับกลัวการขึ้นบินจะผิดพลาด
หรือคิดแง่ร้ายทำนองว่า นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ร่างกายจะอยู่บนพื้นดินแบบปกติ
ผมมักสวดภาวนาเงียบ ๆ เพื่อหวังให้ลูกเรือทั้งหมดถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย
และได้กลับไปสูดอากาศอย่างสบายใจอีกครั้ง
ทว่าวันนี้...ผมไม่ได้ทำเช่นนั้น
แน่นอน ผมยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
แต่ลึก ๆ แล้วก็รู้ตัวดีว่าคงไม่สามารถทนบรรยากาศแห่งความอึมครึม
ที่จะเกิดขึ้นหากเหยียบย่างลงไปในสถานที่คุ้นเคย
ผมกลัวคำตอบของคำถามบางสิ่ง
และที่สำคัญยิ่ง ผมไม่กล้าพอจะกลับไปสบตากับใครบางคน
ใครบางคน ที่เคย.... ‘รัก’
.....
...
.
สองทุ่ม ยี่สิบห้านาทีปลดเข็มขัดออกบนความสูงที่เริ่มไต่ระดับเหนือพื้นดิน
จนเห็นไฟถนนเป็นเพียงจุดแต้มดวงเล็ก ๆ
ก่อนค่อย ๆ รางเลือนหายไปเมื่อผ่านกลุ่มเมฆก้อนใหญ่
เคยมีคนบอกว่า ยิ่งเราเข้าใกล้สิ่งใด เราจะยิ่งเห็นมันได้ชัดเจน
แต่อยู่บนนี้...ท้องฟ้าสีดำมืดสนิท ผมมองไม่เห็น พระจันทร์และดวงดาว
ตรงข้ามกับคุณที่อยู่ห่างไปหลายพันกิโลเมตร
กระนั้น ผมยังจดจำได้ถึงประกายในดวงตาคุณ
มันสุกสกาวสวยงาม ยามคุณหัวเราะและแย้มยิ้ม
คุณทำหน้าเหมือนเรื่องเหลือเชื่อที่คำพูดน้ำเน่าจะหลุดออกมาจากปากผม
เพราะสำหรับคนเพิ่งรู้จักกันโดยผ่านการแนะนำของเพื่อน
ประโยคนี้จึงกลายเป็นแค่มุกตลกของคนช่างม่อ
ดูท่าทางไม่น่าไว้วางใจ มิหนำซ้ำเรายังเป็นผู้ชายด้วยกัน
แต่คุณครับเมื่อมีความสุข
ผมสามารถก้าวข้ามกรอบของกฎเกณฑ์ได้ทุกสิ่ง
และผมจะเป็นแบบนี้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ใกล้คุณ
แก้มคุณแดงเรื่อ กระนั้นก็ยังคงเฉไฉ
แสร้งเงยหน้ามองท้องฟ้าพยากรณ์ว่า
“คืนนี้จะมีฝนดาวตกครับ”
“เมฆครึ้มออกอย่างนี้เนี่ยนะ”
คงเป็นทั้งน้ำเสียงและหน้าตาที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่เชื่อ
จนทำให้คุณถึงกับต้องรีบหันมายืนยัน
“ก็กรมอุตุบอกนี่ครับ”
“โห คุณ ผมพนันเลี้ยงข่าวมื้อหนึ่ง
ใคร ๆ ก็รู้อย่าไปเชื่อกรมอุตุไทย
ถ้าบอกวันไหนแดดออกเตรียมร่มได้เลย
แล้วถ้าบอกพรุ่งนี้ฝนตกนะ
ผมจะเอาผ้าออกมาซักตั้งแต่เช้า”
คุณหัวเราะเบา ๆ แล้วบอกว่าให้คอยดู
ผมเพิ่งมารู้ทีหลัง
ก็คุณนั้นแหละที่เป็นนักพยากรณ์อากาศทำงานให้กับกรมอุตุ
แต่การเลี้ยงข้าวสักมื้อแลกกับความสัมพันธ์ที่จะยังคงสืบสานต่อไปเรื่อย ๆ
ก็ถือเป็นการเสียพนันที่คุ้มค่าไม่น้อย
นับตั้งแต่วันนั้น เราต่างเรียนรู้เรื่องราวของกันและกัน
ทั้งมักจะแปลกใจในความลงตัวที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
สิ่งที่เราค้นหากลับเติมเต็มด้วยการก้าวเข้ามาของคนอีกคน
ทุก ๆ วันช่างแปลกใหม่และสวยงาม
หัวใจของผมเต้นแรงเมื่อสบสายตาของคุณ
ณ ห้วงเวลานั้น ผมรู้... คุณรู้...
...เราต่างตกลงไปในหลุมพรางที่ชื่อ ‘ความรัก’
...
..
.
สองทุ่ม สี่สิบห้านาที“รับกาแฟไหมค่ะ”
พนักงานสาวหน้าตายิ้มแย้มเอ่ยถาม หันไปพยักหน้า
ก่อนรับถ้วยร้อนกรุ่นกลิ่นอายเบา ๆ มาประคองไว้ในมือ
ผมชอบดื่มกาแฟดำแบบเอสเปรสโซ่
ความเข้มข้นของมันช่วยปลุกผมให้มีแรงก้าวเดินต่อ
ตรงข้ามกับคุณที่ชื่นชอบจับคู่กาแฟให้เข้ากับน้ำตาลหรือฟองนมละเอียดพรายในสไตล์คาปูชิโน่
ครั้งหนึ่ง ผมถึงกับเอ่ยปากแซวเมื่อเห็นคุณเติมน้ำตาลพูน ๆ ไปถึงหกช้อน
“ใส่ซะเยอะขนาดนั้น ไม่หวานแย่เหรอ”
“ก็เพราะอยากให้หวานไงครับ ถึงใส่น้ำตาล”
คุณตอบกลับแบบติดอารมณ์ขัน พลางใช้ช้อนคนของเหลวกระทบกับแก้วดังเบา ๆ
ผมเลิกคิ้ว ประท้วงความเห็นว่า
ถ้าอย่างนั้น ‘กาแฟ’ จะยังคงเป็น ‘กาแฟ’ อยู่ได้ยังไง
เพราะมันคงสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
โดยเฉพาะความขมที่เป็นเอกลักษณ์
ก็อาจโดนความหวานของน้ำตาลกลบรสจนกลายเป็นน้ำเชื่อม
คุณหันมายิ้ม ก้มลงสูดกลิ่นกาแฟในถ้วยใบโต จิบชิม ก่อนเงยหน้าขึ้นมาพูด
“ต่อให้ใส่น้ำตาลมากแค่ไหน กาแฟก็ไม่มีทางเป็นน้ำเชื่อมหรอกครับ
เพราะมีบางอย่างที่ยังคงตัวตนของมันอยู่
...ดูสิ ก็ความหอมและความขมนิด ๆ นี่ไงล่ะครับ
ที่จะยังทำให้ ‘กาแฟ’ ยังคงเป็น ‘กาแฟ’
เพียงแต่บางที...การเติมอะไรลงไปก็อาจทำให้เราได้รสอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น
คุณล่ะครับ...จะลองดูบ้างไหมครับ?”
...ผมสัมผัสได้ในวินาทีนั้น ความรักของเราก็คงเป็นเช่นเดียวกับรสชาติของกาแฟ
หลายครั้งที่เรารู้ถึงความแตกต่างของนิสัย
หากแต่เราก็พร้อมจะยอมรับมันด้วยหัวใจ
ผ่านความขมแบบรวดร้าวและผ่านความหวานชื่นแบบละมุนละไม
เราต่างปรับตัวเปลี่ยนส่วนผสมให้เข้ากันครั้งแล้วครั้งเล่า
โดยหวังไว้ว่าสักวันหนึ่ง เราจะได้รสชาติของกาแฟที่อร่อยกลมกล่อมที่สุด
ผมเอื้อมมือหยิบถ้วยกาแฟที่ค่อย ๆ อุ่นขึ้น
ก่อนจะชะงักเมื่อเหลือบเห็นซองเรียวยาววางไว้เคียงคู่กัน
ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมา ฉีกกระดาษ เทเม็ดน้ำตาลสีขาวใส่ลงไปในถ้วย
...รสขมของมันติดอยู่ปลายลิ้น กลิ่นหอมยังคงล่องลอยอยู่
แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือ...ความหวานละมุน...ในแบบที่หลงลืมไปนานแสนนาน
...
..
.
สามทุ่ม ยี่สิบสี่นาทีไล่เรียงอ่านตัวอักษรบนหนังสือพิมพ์คอลัมน์เศรษฐกิจ
เกือบหนึ่งปีแล้วที่ผมเริ่มวุ่นวายเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทซึ่งต้องบินข้ามไปมาระหว่างประเทศ
คำว่า ‘เวลาส่วนตัว’ ค่อย ๆ หดหายทุกครั้งยามที่ต้องทุ่มเทให้กับการทำงาน
รวมทั้งความรักที่มีก็เริ่มจะห่างไกลกันขึ้นเรื่อย ๆ
กระทั้งกลายเป็นรอยแตกเล็ก ๆ
ทว่าเราก็ยินยอมพร้อมใจมองข้าม
และช่วยกันปิดบังกลบเกลื่อนว่ายังคงไม่มีอะไร แต่...
“คิดถึง”
คำพูดสั้น ๆ ที่เล่นเอาน้ำตาหยด
คุณเอ่ยผ่านปลายสายโทรศัพท์
ผมนิ่งเงียบอย่างไม่รู้จะเริ่มต้นต่อประโยคอย่างไร
เพราะรู้ว่าแม้ปากจะพูด แต่ก็กลับไปยืนอยู่ต่อหน้าตอนนี้ไม่ได้
“อยู่ที่นู้นเห็นดาวรึเปล่าครับ?”
คุณถามผมเสียงเครือพร้อมสูดน้ำมูกเบา ๆ
ผมไม่ตอบ แต่เป็นฝ่ายเอ่ยถามกลับ
“แล้วอยู่กรุงเทพฯ จะเห็นดาวเหรอ?”
“เห็นครับ แต่ไม่ใช่ดาวบนฟ้านะครับ”
แล้วผมก็รู้ว่าคุณกำลังยืนอยู่ที่ระเบียงคอนโด
ก้มมองดูดาวบนท้องถนนที่เกิดจากแสงสีแดงของไฟท้ายรถยนต์ซึ่งติดกันเป็นแพ
คุณบอกว่ามันเห็นชัดกว่าดาวบนฟ้าที่มีเมฆปกคลุมจนบรรยากาศขมุกขมัว
ความเหงาโรยตัวแทรกผ่านคลื่นโทรศัพท์มาจนถึงผม
ท่ามกลางความเงียบ คุณเปิดเพลงให้ฟัง
เสียงเมโลดี้จากสายกีตาร์ดังหนักเบาเป็นจังหวะ
ได้ยินคุณร้องคลอตาม กระนั้นมันก็ขาดหายไปเป็นห้วง ๆ
พอจบ คุณก็ถามสั้น ๆ ว่า “เพราะมั้ย?”
...บอกตามตรง จะเพราะได้ยังไง ก็คนร้อง...ร้องไปทั้งน้ำตา
'เวลามองขึ้นไปบนฟ้า ฉันนั้นเห็นแต่ภาพเธอ
อยู่ไกลกันจนสุดสายตา รอคอยวันที่จะกลับมาหา
ถึงแม้มันจะแสนนาน แสนนานแค่ไหน อยากจะขอให้ได้พบ
แค่เพียงขอให้ได้พบ อยากจะรู้ว่าเธอเองเป็นเช่นไร
เธอจะคิดถึงฉันหรือเปล่า เธอจะเหงาบ้างหรือเปล่า
จะรู้สึกแตกต่างกับฉันบ้างไหม
เพราะว่าเราห่างไกลกันเหลือเกิน คิดถึงแต่เธอนั้น
เฝ้าแต่นับให้ถึงวันที่เรานั้นได้พบกัน
เราช่างห่าง ไกลกันเหลือเกิน
ฉันเองก็ไม่รู้ เมื่อไรจะได้พบเธอ'
ผมปิดหนังสือพิมพ์ไม่มีสมาธิตั้งใจจะอ่าน
...คนไกล...คุณรู้ไหม...ผมคิดถึงคุณ
...
..
.
สามทุ่ม ห้าสิบเจ็ดนาทีแสงไฟในเครื่องบินถูกรี่ให้มืดลง
พยายามข่มตาหลับ แต่ก็ไม่อาจทำได้
แม้จะบ่ายเบี่ยงโทษว่าเป็นความผิดของฤทธิ์กาแฟ
กระนั้นลึก ๆ แล้วก็รู้ดีว่าต้นเหตุสำคัญคือสิ่งใด
ภายในหัวยังคงนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านพ้น
...ตั้งแต่เมื่อไรนะ ที่เราเริ่มทะเลาะกัน
ความเหงาของเราเริ่มเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ
โดยมีเชื้อคือระยะห่างที่นับวันจะยิ่งพอกพูน
ผมได้แต่ทิ้งคุณไว้เพียงลำพัง
ส่วนคุณก็พร่ำบ่นถึงความอ้างว้าง
เราทะเลาะกันไกลเกินกว่าจะย้อนกลับมา
หลายครั้งที่คุณพยากรณ์ถึงความรักเช่นเดียวกับสภาพอากาศ
คุณบอกว่ามันเป็นวัฎจักรซ้ำ ๆ ทะเลาะกัน ง้อกัน คืนดีกัน เราเพียงแต่แสร้งว่ายังผ่านไปได้
แต่ผมรู้...ความรักของเราเหลือน้อยเต็มที
“ไม่มีเวลาให้กัน”
หนึ่งในสาเหตุหลักที่คุณเอ่ยออกมา
ผมเพียงแต่ถอนหายใจ ครุ่นคิดถึงวิธีการแก้
แต่ด้วยความที่เราไกลกันเกินไป
ช่องว่างที่เกิดจึงกว้างเกินกว่าจะผูกพัน
ความรู้สึกของเราค่อย ๆ ห่างเหิน
แม้ว่าผมพยายามเข้าใจ... คุณพยายามเข้าใจ...
...กระนั้นเราต่างรับรู้ เราไม่มีวันเข้าใจ ‘ความรัก’ ได้เลย
ผมเรียกหากาแฟอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับไม่ได้หยิบความหวานของน้ำตาลมาเติมใส่
น่าแปลก...แม้จะเป็นรสโปรด เพียงจิบแค่นิดเดียว แต่ก็ขมลึกไปถึงหัวใจดวงที่ร้าว
...
..
.
สี่ทุ่ม สามสิบเก้านาทีเดินกลับมานั่งหลังจากลุกไปเข้าห้องน้ำ
และถือโอกาสยืดเส้นยืดสายจากการอยู่กับที่ติดต่อกันเกือบสามชั่วโมง
เผลอมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
แม้จะรู้ว่าสิ่งที่เห็นจะมีเพียงปีกสีขาวของเครื่องบิน
และภาพสะท้อนสีซีดของชายผู้หนึ่งที่ถูกความรักเล่นงาน
“เกิดอะไรขึ้นกับเรา”
คุณทิ้งคำถามไว้พร้อมบรรยากาศแห่งความเงียบงัน
เรานิ่งมิใช่เพราะอับจนคำพูด แต่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการค้นหาคำตอบ
“ผมจะไปญี่ปุ่นสองอาทิตย์”
ประโยคสุดท้ายก่อนเดินจากมา
โดยหลบเลี่ยงสายตาอันเจ็บปวด
หวังว่าความห่างจะช่วยทำให้เรามีเวลาคิดทบทวนเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้
...หากแต่ผมกลับลืมไปว่า ‘เวลา’ และ ‘ความเหินห่าง’ เป็นสิ่งที่เราทั้งคู่ได้รับมากเกินพอแล้ว
ค่ำคืนที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าประเทศไทยสองชั่วโมง
อยู่ที่นี้...มองเห็นดาว แต่กลับรู้สึกว่ามันไม่สวยเท่าเก่า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแปลกถิ่น หรือเพราะไม่มีคนคอยดูเป็นเพื่อนอยู่ข้างกาย
ในความมืดและเงียบงัน ดาวดวงเล็กบนท้องฟ้า คล้ายยิ่งห่างไกล
คงเหมือนความสัมพันธ์ของคนเรา ล้วนมีระยะทาง มีระยะห่าง
และเปราะบาง...
“เกิดอะไรขึ้นกับเรา”
“ผมคิดว่าระหว่างเรา...”
...
..
.
ห้าทุ่มชั่วขณะก่อนขึ้นเครื่อง ย้อนกลับไปในคำพูดของคุณผ่านทางปลายสายโทรศัพท์นั้น
“เราเลิกกันเถอะ”
คุณครับ...
คุณรู้อะไรไหม...
หลังคำพูดที่ผ่านทางยาวไกล...มันทำผมใจสั่น
...
..
.
ห้าทุ่ม สิบสามนาทีเสียงสัญญาณให้คาดเข็มขัดดังขึ้น
บรรยากาศของความกังวลเวียนกลับมาอีกครั้ง
ในจุดที่อันตรายที่สุดสำหรับกัปตัน
นั้นคือการบังคับเครื่องบินลำใหญ่ให้ลงจอดอย่างปลอดภัยบนรันเวย์
ผมเหลือบตามองบนหน้าจอมอนิเตอร์
สังเกตเห็นตัวเลขบอกเวลาท้องถิ่น
ก่อนก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่เข็มสั้นชี้เลยไปสองเลข
ทันใดนั้นภาพรอยยิ้มของคุณก็ผุดแทรกขึ้นมา
ผมนึกถึงครั้งแรกที่เราเจอกันจนล่วงเลยผ่านมาสองปี
ระยะเวลาที่ซ่อนทับกันในช่วงการเดินทางข้ามประเทศ
เสมือนความทรงจำที่หล่นหายไปในเสียงหัวเราะและความสุข
ผมค่อย ๆ หมุนนาฬิกากลับไป...กลับไปในวันเวลาของเรา
...ครั้งนี้ ผมเริ่มสวดภาวนา
...
..
.
สองทุ่ม สามสิบนาทียืนบนพื้นอย่างมั่นคงอีกครั้ง
สูดหายใจ เงยหน้ามองท้องฟ้า
ผมหวังจะเห็นดาวสักดวง แต่ถึงมองจากตรงนี้ก็ยังคงเห็นไม่ชัด
สองขารีบก้าวเดินไปเรียกรถแท็กซี่
เอ่ยปากบอกจุดหมาย
หัวใจของผมเต้นแรงด้วยรู้ดีว่าจะมองเห็นดาวอันสุกสกาวและสวยงามที่สุดตรงที่ใด
...มันซ่อนอยู่ในประกายตาของใครคนหนึ่ง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
END
...‘น้ำเน่า และ อินดี้’ คำอธิบายสั้น ๆ ของเรื่องนี้ 
ไม่มีอะไรมากนอกจากไปขุดงานเขียนเก่า ๆ เจอเลยดัดแปลงนิดหน่อย
ตลกตัวเองเหมือนกันที่เคยเขียนทิ้งไว้
ตอนนั้นคงบ้ากวี จับคำสวย ๆ มาเรียงใส่กันเฉย ๆ
มันเป็นความเหงา อุ่น ๆ ไม่ได้ลองเขียนแนวนี้มานานแล้ว
วันนี้ฟุ้งซ่านติสต์แตก ขอปล่อยของหน่อย
คิดเห็นอย่างไรบอกกันได้นะจ๊ะ
รัก
BitterSweet