คำเตือน : ไม่ถึงสิบแปดผ่านเลยจ้า เราเตือนคุณแล้ว...♪
ทะลึ่ง : กามที่ 8
ผมโดนคุณตรัส รัตนภูมิเศรษฐหมางเมินโดยสิ้นเชิง แค่แกล้งให้เข้าใจผิดคิดว่าผมจะจูบมัน แต่สุดท้ายผมหันหนีไปจิบเบียร์ชมจันทร์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณท่านก็เดินล้วงกระเป๋ากลับบังกะโลแบบไม่บอกลา ก็ว่าจะไม่หันไปมองแล้วเถอะแต่ฝืนใจตัวเองไม่ไหว และความรู้สึกที่ได้หลังจากสบตากับคนที่มองกลับมาเหมือนกันคือ...เจ็บเหี้ย ๆ
ผมยืนแกว่งกระป๋องเบียร์ที่ยังเหลือเกินครึ่งไปมาอย่างไม่มีแก่ใจจะมองอะไรรอบตัว ก่อนจะรู้สึกถึงมืออุ่นที่หัวไหล่ คาดหวังว่าเป็นมือคุณชายแต่เมื่อหันไปกลับเห็นว่าเป็นซันยืนยิ้ม
“ยืนทำอะไรคนเดียว”
“ดูจันทร์”
“ใช่หรือ เห็นจ้องแต่กระป๋องเบียร์”
“มาจับผิดกันทำไมอะครับ อ้นไปไหนล่ะ” ผมหันซ้ายหันขวาก็ไม่เห็นว่าคนหน้าสวยจะเดินตามมาจากทิศไหนสักทิศ ก่อนจะได้คำตอบว่าเข้าห้องน้ำหลังจากพากันไปดูพลุที่จุดขึ้นฟ้าอย่างต่อเนื่องอีกฝั่งหนึ่งของชายหาด
“ขากลับจากลานพลุเดินผ่านบังกะโลด้วยนะ เจอตรัสพอดี”
“อืม เพิ่งแยกกันเมื่อกี้”
“มีผู้หญิงตามไปด้วย” หือ...
“ใคร”
“ไม่รู้เหมือนกัน เห็นไกล ๆ แต่ก็มองออกว่าสวยมาก ได้ยินเสียงแว่ว ๆ น่าจะคนสเปน”
“เหรอ ก็เรื่องของมันสิ”
เรื่องของมัน...เรื่องของมัน แล้วนี่กูเดินกลับบังกะโลทำไม อาจเพราะทำใจไม่ได้กับคำว่าสาวสเปน เผอิญว่านั่นสเปคผม ตาคมผมสีเข้มแต่ผิวขาว มองมานานแต่ก็ไม่เคยได้มาเป็นของตัวเองสักคน แล้วทำไมตรัสมันคว้ามาง่าย ๆ ยังไงก็ขอเห็นกับตาตัวเองสักหน่อยเถอะ
ผมยืนพิงราวระเบียงหน้าบังกะโลพร้อมซดเบียร์ย้อมใจอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจเดินไปเคาะประตูด้วยกระป๋องเบียร์เบา ๆ ก็ด้วยมารยาท ถึงจะเป็นที่พักของผมเหมือนกันก็เถอะ เกิดเปิดพรวดพราดเข้าไปเจออะไรตำตาแล้วมันจะแย่ แต่ที่แย่ยิ่งกว่าคือปากผมชา หาลิ้นตัวเองไม่เจอตอนที่คนในห้องเปิดประตูให้ในสภาพผ้าขนหนูพันเอว ไร้เสื้อผ้าอาภรณ์อย่างคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เห็นผมเผ้าชื้นเปียกและได้กลิ่นสบู่อ่อน ๆ จนต้องยืนสงบปากอย่างไม่รู้จะพูดอะไร โยนกระป๋องเปล่าใส่ถังขยะก่อนจะก้าวเข้ามาข้างในเพราะคุณชายเขาหลีกทางให้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นวี่แววของสาวสักเชื้อชาติ ผมมุ่นคิ้วสงสัยก่อนเดินไปที่ระเบียงหลังห้องก็เห็นแต่วิวทะเล ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตสักสายพันธุ์
“ผู้หญิงอยู่ไหน” พอเดินกลับเข้าห้องก็เอ่ยปากถามทันที ตรัสที่กำลังเช็ดผมก็หันมาจ้องหน้า มันคงงงว่าผมรู้ได้ยังไงในเมื่อเดินกลับมาคนเดียว หารู้ไม่ว่าพยานปากเอกคือซี้มึง
“ผู้หญิงสเปนที่ซันเห็น” หึ อย่าคิดนะว่าหลบทัน มันไม่ตอบแต่กลับหยักยิ้มมุมปากแล้วซ่อนไว้หลังผ้าขนหนูผืนเล็กที่เคลื่อนมาเช็ดหน้าปิดบัง แต่อะไรก็ช่างเถอะ ผมต้องการแค่คำตอบแต่ดูท่าว่ามันจะไม่ให้ความร่วมมือ ตีมึนแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ผมก็เลยต้องก้าวไปยืนประจันหน้าถามย้ำอีกหน
“กูถามว่าผู้หญิงอยู่ไหน”
“ใต้เตียง” สัด โดนไอ้ตรัสย้อนเข้าให้แล้วไง
“กูจริงจัง” มันยังทำหูทวนลมเดินไปรื้อกระเป๋าหยิบเสื้อยืดขึ้นมา ก่อนจะหันหนีเพื่อบดบังรอยยิ้มยียวนและแววตาขี้เล่นที่ไม่มีโอกาสได้เห็นบ่อยนัก แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้คำตอบผมก็จะถามมันอยู่อย่างนี้ ดูซิว่าใครจะชนะ
“ตรัส” ผมกระชากเสื้อที่อยู่ในมือมันมาซ่อนไว้ข้างหลังแล้วจ้องหน้ารอคำตอบ แต่ก็ใช่ว่าจะง่ายดายขนาดนั้นเพราะพี่ท่านเล่นแบมือขอคืนดื้อ ๆ แล้วคำตอบกูเล่า
“ตอบกูมาก่อน”
“กลับไปแล้ว”
“ไปไหน”
“ไม่รู้ เขาแค่ขอเข้าห้องน้ำ” เอ่อ...อะไรนะ ต่อล้อต่อเถียงมาตั้งนานเพื่อบทสรุปแบบนี้น่ะหรือ ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย รู้ทันทีว่าตรัสมันจงใจแกล้งรวน ผมก็ได้แต่ยืนนิ่งยอมให้มันเดินอ้อมมาหยิบเสื้อคืนไป แต่รู้อะไรไหม มันระมัดระวังมากอย่างกับกลัวว่าการสัมผัสตัวผมแล้วจะติดเชื้อโรคร้ายแรง จากที่กำลังจะอารมณ์ดีมีอันต้องฉุนเฉียวเพราะท่าทีของมัน
มึงกำลังทำให้กูหงุดหงิดมากเลยว่ะตรัส โมโหจนขาดสติพอที่จะพูดอะไรก็ได้เพื่อความสะใจของตัวเอง ปากกูที่บอกว่ารังเกียจยังไม่เคยแสดงออกชัดเจนสักที แล้วมึงมีสิทธิ์อะไร...
“พนันกันไหมตรัส...” ช่วยไม่ได้ มึงเป็นฝ่ายทำให้กูเฟล ยึดติดกับลมปากที่พ่นออกไปเพราะโทสะหาความจริงไม่ได้ แล้วทำไมจะต้องจริงจัง ดังนั้นก็ช่วยรับผิดชอบการกระทำของตัวเองด้วยแล้วกัน “ถ้าแตะตัวกูเมื่อไหร่ มึงต้องชดใช้”
ไม่ใช่เพราะความมึนเมาแน่ ผมมีสติครบถ้วนดี จะมีก็แค่ความกล้าที่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น กล้าที่จะดึงเสื้อมันออกมาจากมือ กล้าที่ผลักจนหลังมันชิดผนัง กล้าที่จะปลดเปลื้องอาภรณ์ชิ้นเดียวของมัน และกล้าที่จะทำมากกว่านั้นจนตัวผมเองยังคิดไม่ถึง
“แลกกับอะไรดี...เลกซัสได้ไหม หรือซื้อคันใหม่ให้กูก็โอเค” กำหนดรถหรูเป็นเดิมพัน ก่อนจะหันเข้าหาสิ่งที่อยู่ต่ำกว่าสายตา ย่อตัวลงพร้อมกับเงยหน้ามองคนที่ผมมั่นใจว่ามันต้องยอมแพ้ตั้งแต่ต้น
แต่ผมคิดผิดถนัด ตรัสกัดฟันกับริมฝีปากล่างก่อนจะกุมขมับซ่อนแววตาระยับที่ปิดไว้ไม่มิดตอนที่ผมแตะปลายลิ้นกับความอุ่นร้อน มันทำให้ผมก็รู้สึกถึงชัยชนะรำไรที่ทำให้อีกฝ่ายกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คุณชายกลั้นเสียงในลำคอแต่ลมหายใจมันฝืนกันไม่ได้ ขาดห้วงกระเส่าเร้ารับปฏิกิริยาตอบสนองที่ชัดเจนอยู่กับปลายลิ้น ผมยกยิ้มมุมปากอย่างย่ามใจ
“ไหนว่า...รังเกียจ” ไม่ใช่การตัดพ้อในน้ำเสียงแต่เปี่ยมด้วยแรงอารมณ์ ผมไม่ตอบแต่ส่งฟันซี่คมลากผ่านความยาวที่แข็งขืนจนคนที่ยืนอยู่หมดความอดทนจนต้องครางเสียงต่ำในลำคอ
“รังเกียจ...รังเกียจมาก” เวลาล่วงเลยไปหลายนาทีกว่าจะตอบคำ แต่การกระทำนั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ปลายลิ้นร้อนยังสนองตอบรับกับสิ่งที่ร้อนยิ่งกว่า แกล้งเม้มปากอย่างแรงหลายครั้งจนมือข้างหนึ่งเคลื่อนมาใกล้คล้ายจะจับต้องใบหน้าด้านข้างอยู่รอมร่อ แต่คนเป็นรองกลับถอดใจกำมือแน่นค้างไว้อย่างนั้น
“หวงรถขนาดนั้นเลย...” ผมยิ้มหยอก เงยสบตากับคนที่มีเหงื่อพรายผุดตามเครื่องหน้าหล่อเหลา เอาสิ ทนได้ทนไป ทนไม่ไหวเมื่อไหร่ก็เตรียมเซ็นโอนกรรมสิทธิ์ได้เลย “ขี้ขลาด...”
และกว่าจะรู้ตัวว่าคำพูดท้าทายของผมได้จี้ใจดำคนฟังอย่างร้ายกาจ ร่างของผมก็ลอยหวือจนแผ่นหลังสัมผัสกับพื้นเตียงนุ่มด้วยฝ่ามือร้อนรุ่มที่คล้ายว่าสามารถละลายทุกสิ่งอย่างที่จับต้อง เสื้อผ้าของผมอันตรธานหายไปแต่ไม่มีเวลาจะใส่ใจนัก ความรู้สึกนึกคิดจดจ่อกับความร้อนจากปากอิ่มที่ละเลียดไปตามสันจมูกก่อนจะหยุดที่ริมฝีปาก ผมส่งปลายลิ้นแตะแผ่วอย่างเชื้อเชิญ คุณชายจุดยิ้มพรายอย่างกับมีอะไรน่าขำขัน และกว่าจะรู้ตัวก็ถูกปลายนิ้วเรียวไล้มุมปากเช็ดสิ่งแปลกปลอม ก่อนผมจะรู้สึกได้ถึงเลือดที่สูบฉีดไปทั่วใบหน้า บ้าฉิบ...
น้ำของตรัส “สองคัน...” ผมเสนอข้อต่อรองใหม่ที่เพิ่งคิดขึ้นได้เมื่อสถานการณ์พาให้เป็นฝ่ายเสียเปรียบ สะบัดหน้าไล่ความรู้สึกร้อนเร้าจนคอแห้งผากเพราะกายเนื้อที่ขยับรุนแรงเบื้องล่างทำให้ทุกอย่างพร่าเรือนจนเหมือนเป็นความฝัน แต่พนันได้เลยว่าใบหน้าหล่อเหลาที่คลอเคลียอยู่ข้างหูคือของจริงเสียยิ่งกว่าจริง
“แถมเงินให้ด้วย” มันกระซิบตอบทั้งที่หอบหนักยิ่งทำให้สติผมกระเจิดกระเจิง แต่เพราะคำตอบไม่ถูกใจจึงขบฟันที่สันกรามเบา ๆ แต่ก็โดนเอาคืนด้วยการฉกจูบซึ่งหน้า หาลิ้นตัวเองไม่เจอพักใหญ่
“ยังคิดว่าขี้ขลาดอยู่ไหม”
“เดี๋ยว...ช้าหน่อย...ไม่ไหว” ผมตอบไม่ตรงคำถาม จะเอาสมองส่วนไหนไปคิดตามได้ทัน สำนึกขึ้นมาว่าไม่น่าปากดีแต่คิดได้ตอนนี้คงสายไปแล้ว
จังหวะรักหนักหน่วงที่ทำให้ผมแทบคลั่งยังดำเนินต่อไปไม่รู้จบ กำแน่นที่กล้ามเนื้อต้นแขนอย่างสุดทน คนอะไรมุ่นคิ้วกัดฟันยังดูดีเอามาก ๆ เผลอไผลส่งนิ้วไปแตะที่ริมฝีปากเพราะเห็นกัดแน่นจนกลัวว่าจะเจ็บ แต่คงไม่เท่าไหร่ ตรัสหยอกขบปลายนิ้วเบา ๆ ทำเอาความรู้สึกแล่นริ้วไปถึงกลางใจ
แล้วหลังจากนั้น...
ผมก็ส่งเสียงครางหงิง ๆ เป็นลูกหมาเพราะความอับอายที่แทรกซึมแทนความลุ่มหลงเมื่อครู่ นอนนิ่งเอาหมอนปิดหน้าและมีผ้าห่มผืนบางคลุมส่วนล่างเอาไว้ ตรัสมันหัวเราะไปพร้อมกับมือที่หยิบทิชชูมาเช็ดวนอยู่ตรงหน้าท้องผม ถามว่าที่เช็ดอยู่นี่ของใคร ก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง ผมไม่ผิด
“หุบปากไปเลยตรัส” ฟังมันหัวเราะนานเข้าก็ชักหงุดหงิด ฟาดงวงฟาดงาเรื่อยเปื่อย หยิบหมอนออกจากหน้าแล้วปาไปที่หัวไหล่ไอ้คนที่ดูอารมณ์ดีขึ้นมาผิดหูผิดตา ถ้าไม่ติดที่เซอร์วิสดีได้วางมวยกันแน่งานนี้
“พาล เมื่อกี้ยังทำตัวน่ารักอยู่เลยแท้ ๆ” นั่นน่ะ ลามกหน้าระรื่นเลยนะมึง
“อย่าลืมที่ตกลงกันไว้แล้วกัน”
“ฉันรับปากแล้วหรือ”
“อะไร นี่มึงจะเบี้ยวกูเหรอ รู้แบบนี้แอบถ่ายวิดีโอไว้เป็นหลักฐานก็ดี” ฮึ หรือไม่ดี ดูจากสีหน้าไอ้บ้านี่แล้วคำพูดของผมคงถูกอกถูกใจไม่น้อยทีเดียว
“เข้าท่า เอาไว้ครั้งหน้านะ” มันยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาส่งให้ ผมลุกขึ้นนั่งเสยผมอย่างหมดอาลัยตายอยาก พลาดมากนะคืนนี้ มองไปตรงไหนก็เห็นแต่รอยจ้ำแดงเต็มไปหมด แต่ก็ซาบซึ้งน้ำใจที่มันเลือกฝากไว้ในร่มผ้า ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนเหมือนกัน
“ไปอาบน้ำสิ ตัวเหนียวหมดแล้ว” มันคงไม่ได้หมายถึงเหงื่อไคลที่ได้มาจากกิจวัตรประจำวัน เพราะมันยกยิ้มมุมปากก่อนไล้สายตาไปตามเนื้อตัวจนผมต้องยกนิ้วขึ้นชี้หน้า ก่อนจะปล่อยหมัดลุ่น ๆ ไปที่สีข้างจนไอ้หล่อร้องโอย
ก้าวออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่ามีดวงไฟริบหรี่ที่พนังห้องเปิดอยู่ดวงเดียว มองที่เตียงก็เห็นแขนขาวโผล่พ้นเสื้อกล้ามสีดำนอนตะแคงหันหลังให้ สงสัยคุณเขาจะง่วงผมก็เลยอาศัยแสงไฟที่สว่างน้อยนั่นค้นกระเป๋าเจอเสื้อใครกางเกงใครไม่รู้ก็หยิบมาใส่แก้ขัด แต่ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลานอนของผม ก็เลยเดินออกไปที่ระเบียงรับลมคนเดียวเงียบ ๆ
ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเปลชายหาดที่บังกะโลจัดเตรียมไว้ให้ สูดลมหายใจลึก ๆ รับความสุขที่กำลังล้นปรี่ขึ้นมาเต็มอก ถึงแม้ความสัมพันธ์นี้จะเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม แต่มันก็เป็นข้อสงสัยที่ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ ผมพอจะรู้ลางเลาถึงเหตุและผลที่เป็นไป ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมรู้สึกดีเอามาก ๆ เวลาได้อยู่กับตรัส เวลาได้เห็นหน้ามัน เวลาได้คุยกับมัน เวลาได้ยินเสียงมัน...
“ยังไม่ง่วงหรือ” ใช่ เสียงทุ้ม ๆ แบบนี้แหละ ผมหลับตารับสัมผัสอุ่น ๆ ที่ขมับก่อนจะเห็นเจ้าของริมฝีปากย่อตัวนั่งลงข้าง ๆ ผมเลิกคิ้วสงสัย
“นึกว่าหลับแล้ว”
“หลับแล้ว แต่แซนมาเคาะประตู” ซวยละ ลืมสนิทเลยว่าคืนนี้นอนรวม หันซ้ายขวาหน้าเลิกลั่กจนไอ้หล่อยิ้มขัน แต่ขอโทษเถอะ แววตามันไม่ได้ยิ้มตามเลยสักนิด
“กลับออกไปแล้ว แค่แวะมาบอกว่าจะไม่กลับมานอนห้อง” อีหรอบนี้โดนสาวหิ้วชัวร์ และดูท่าว่าคงไม่พ้นคนที่ผมเห็นที่บาร์นั่นแน่ ๆ นึกห่วงมันอยู่เหมือนกันแต่แซนไม่ใช่คนมักง่าย สุดท้ายก็เลยหันมาสนใจคนที่อยู่ตรงหน้าแทน
“แล้วซันกับอ้นล่ะ”
“สงสัยจะรอดูพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมนักท่องเที่ยวคนอื่น” นึกแล้วก็เสียดาย ผมเองก็อยากดูเหมือนกัน แต่คงต้องตัดใจ “เข้าห้องเถอะ น้ำค้างลงเยอะแล้ว เดี๋ยวไม่สบาย” ผมแกล้งแบมือเหมือนเวลารองน้ำฝน ทำหน้าเหลอหลาว่าไหนวะน้ำค้าง ตรัสหัวเราะชอบใจก่อนพยักหน้าชวนกลับเข้าข้างในอีกรอบ ผมก็ยอมลุกตามไปแต่โดยดี
ตอนที่เดินผ่านกระจกหน้าห้องน้ำผมก็มุ่นคิ้วเพราะไซส์เสื้อที่ตัวเองหยิบมาใส่ มันพอดีจนคิดว่าหยิบถูกตัวเลยเถอะ แต่ลายไม่คุ้นตาก็เลยหันไปถามคุณท่านว่าเสื้อยืดตัวนี้ของใคร
“ของอ้น อ้นชอบใส่เสื้อยืดนอน” ข้อมูลใหม่เลยครับ ปกติคุณเปมทัตเขาจะสวมเชิ้ตเป็นเอกลักษณ์ เวลานอนก็คิดว่าจะใส่ชุดนอนคุณชายจำพวกผ้าฝ้ายอะไรประมาณนั้น นึกแปลกใจจนเผลอจ้องตัวเองในกระจกนานไปหน่อย คนที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงก็เลยส่งเสียงแซว
“หล่อแล้วครับ มานอนเถอะ” ตบเตียงแปะ ๆ แต่ผมไม่ค่อยไว้ใจรอยยิ้มกริ่มบนหน้ามันเลยให้ตาย ก็เลยเลือกที่จะชี้ไปยังเตียงที่อยู่ใกล้กัน “กูนอนเตียงนี้ดีกว่า แอร์ตกเย็นดี ไม่ต้องนอนเบียดกันด้วย จะได้ไม่อึดอัด”
เสนอออกไปด้วยความหวังดีแท้ ๆ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกได้ว่าถูกปองร้ายจากสายตาคมกริบ ตอนเดินไปปิดไฟมันก็ไม่ขัดผมสักคำ ไม่ได้บอกให้ไปนอนด้วยกันหรือเป็นฝ่ายเดินมานอนกับผม มันยังเอกเขนกอยู่ที่เตียงเดิมแต่สายตากลับรุกล้ำมาแทนร่างกายเป็นที่เรียบร้อย
ผมขยับตัวพลิกซ้ายพลิกขวาเพราะนอนไม่หลับ ส่วนตรัสยังนอนพิงหลังกับพนักเตียงแล้วจ้องมาที่ผม ผิดไหมถ้าจะขอจำกัดความว่าผมกำลังโดนข่มขืนทางสายตาจากคนที่ผมคิดว่ามันหล่อเกินไปในความมืด มันกอดอกหรี่ตามองมาไม่ลดละจนผมอึดอัดเกินทน ตัดสินใจลุกขึ้นเดินกลับไปเตียงเดิมอย่างไม่มีทางเลือก แสงจันทร์ที่เล็ดลอดเข้ามาทำให้ผมเห็นว่าไอ้หล่อยกยิ้มร้าย ผมไม่ใส่ใจ...หันไปคว้าท้ายทอยมันมากดจูบแรง ๆ แก้เผ็ด
“นอน!” ออกคำสั่งชิดริมฝีปากก่อนจะทิ้งตัวลงนอน หล่อมันก็ไหลตัวตามมา ทีแบบนี้ละว่าง่ายเชียวนะมึง
ตีห้าจวนจะหกโมง ผมกำลังยืนแกว่งกระป๋องเบียร์อยู่ตรงระเบียงหลังห้องโดยมีตรัสยืนเขม่นมองอยู่ข้าง ๆ ไม่รู้จะเรื่องมากทำไม ผมมาพักผ่อน ไม่ว่าเช้ามืดหรือพลบค่ำมันก็หย่อนใจได้ทั้งนั้น จะดื่มตอนไหนก็ไม่ผิด เนื่องด้วยโดนไอ้ตรัสปลุกตอนรุ่งสาง เห็นแสงอาทิตย์รำไรแต่ยังไม่โผล่ขึ้นมาที่ขอบฟ้า อ้างมันไปว่าไม่มีปัญญาลืมตาตื่นก็เลยเดินไปควานหาเบียร์มาแก้ขัดแทนกาแฟ ดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเช้าได้พักใหญ่ก็รู้สึกหนาวจับใจจนต้องเบียดกายเข้าหาคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ แต่ดูท่าว่ามันจะอาการหนักกว่า ยืนเฟี้ยวใส่เสื้อกล้ามตัวเดียวเท้าแขนกับราวระเบียง แอบเห็นว่าขนลุกเป็นพัก ๆ ก็อยากจะไล่ให้มันไปเปลี่ยนเสื้อก่อนจะเป็นปอดบวมตาย แต่สายตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็นรอยแดง ๆ คล้ายผดร้อนใต้แขนเสื้อ
“เป็นอะไรวะตรัส”
“โดนแมวต่อยเมื่อคืน” ไม่ใช่ละ ไอ้ที่โดนผมต่อยมันเป็นรอยช้ำนิด ๆ ที่เอว ไอ้นี่ก็ผิวบอบบางเกินเหตุ แตะนิดแตะหน่อยต้องทิ้งรอยไว้เป็นหลักฐานด้วย ไว้คราวหน้าพ่อจะดูดให้เป็นรอยทั้งตัวเลย
อ่า...คราวหน้าอะไรวะ
“กูหมายถึงตรงนี้” ผมวนนิ้วตรงที่มันเป็นตุ่มแดงหลายจุด คุ้นว่าคล้ายโรคอะไรสักอย่างที่ไม่ค่อยน่าพิสมัย แต่ตรัสมันดันหัวเราะตอบกลับมาเสียอย่างนั้น
“ไม่เคยโดนยุงกัดหรือ” แล้วมันก็จับแขนผมไปพลิกซ้ายพลิกขวาหาข้อพิสูจน์แต่ก็ไม่เจอ จะมีได้ไง ผมไม่เคยนั่งตากยุงที่ไหน เวลานอนก็คลุมผ้าห่มถึงต้นคอ มีก็แต่มันที่ใส่เสื้อกล้ามล่อยุง “คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดีจริง ๆ” ไม่พูดเปล่า เนียนแตะจมูกไปตามท้องแขนจนผมต้องผลักหน้ามันออก
“กูนึกว่าเป็น...” มันหันขวับมาจ้องหน้า ทั้งที่คนอุตส่าห์เป็นห่วงแต่มันดันก้มหน้ากลั้นหัวเราะ ผมก็เกาหัวแก้เก้อสิครับ ทำไมวะ ข้อสันนิษฐานของกูมันน่าขำมากนักหรือไง
“นี่เป็นห่วงหรือว่าแช่ง”
“จะไปรู้เหรอ นึกว่ามึงสำส่อน”
“ช่วงหลังมานี่ก็มีอยู่คนเดียว ถ้าฉันเป็นจริง ๆ เท็ตก็คง...ติดไปแล้วแหละ” สัดเอ๊ย ไม่น่าขุดหลุมฝังตัวเองเลย มันพูดหน้าไม่อายถามยื่นปากมาใกล้ ส่อว่าให้จูบมันตอบชัด ๆ ผมส่งเสียลอดฟันอย่างขัดใจ ไอ้คำว่าช่วงหลังนี่มันอะไรยังไงวะ แสดงว่าก่อนหน้านี้ก็มีไม่น้อยใช่ไหม แต่สุดท้ายก็จูบตอบมันไป ไม่ใช่อะไร มุมเงยของไอ้หล่อมันเร้าใจพอ ๆ กับเสียงครางของมันนั่นแหละ
มัวโอ้เอ้อยู่ที่ระเบียงหลังห้องนานไปหน่อย รอดวงอาทิตย์ขึ้นจนพ้นขอบฟ้าก่อนจะเดินกลับเข้าห้องมาล้างหน้าแปรงฟัน ได้ยินไอ้หล่อมันบ่นเป็นหมีกินผึ้งว่ากลิ่นเบียร์ติดปาก แล้วใครใช้ให้มึงมาจูบกู จูบได้จูบเอา ยืนดูตะวันสักพักก็หันมาจูบ ถอนปากได้ชั่วครู่เงยหน้ารับลมทะเลได้ไม่เท่าไหร่ก็หันมาจูบใหม่ ถ้ากูเรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายแล้วอย่ามาโวยแล้วกัน
ผมแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จแล้วตอนที่ตรัสก้าวออกมาจากห้องน้ำ เห็นคุณท่านยิ้มแย้มเริงร่าประหนึ่งว่าทำกำไรให้บริษัทคุณปู่สักสองร้อยล้าน ติดจะหมั่นไส้ไม่น้อยก็เลยเดินหนีไปกดโทรศัพท์เล่น ความจริงก็คือเห็นท่านตรัสเปลือยอกแล้วใจไม่ดี ไม่มีสมาธิในการใช้ชีวิต ขอหลบลี้ไปทำใจสักพัก
“หิวหรือยัง” นั่นปะไร มาอีกแล้วไงคำถามนี้
“ยังไม่หิว บอกแล้วว่าไม่ชอบมื้อเช้า”
“เมื่อวานยังทานเลย”
“เพราะเมื่อวานรู้ว่าต้องเจอมึงที่ห้องอาหารก็เลย...” ก็เลย...พลาด! กูพลาดแล้ว!
“ว่าอะไรนะ” หล่อมันสวมกางเกงยีนส์เสร็จแล้วตอนเดินเข้ามาหาก่อนจะจ้องหน้าจับผิดสุดฤทธิ์ ก็ได้ครับพี่ ความจริงผมไม่ได้โกรธอะไรพี่หรอกครับ ก็แค่โมโหตัวเองที่งี่เง่า ระหว่างนั้นก็รอแล้วรอเล่าว่าเมื่อไหร่จะได้โอกาสง้อสักที
จะให้กูพูดแบบนี้น่ะหรือ ฝันไปเถอะ!
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“พูดใหม่”
“เซ้าซี้” ผมลุกขึ้นผลักหัวไหล่ที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อของมันไปจนเซแท่ด เดินเลี่ยงไปกลางห้องตรัสมันก็เดินตามมาทั้งยังเปลือยท่อนบน คนยิ่งมีภูมิต้านทานต่ำแต่ก็ชอบทำให้ใจแกว่งเรื่อยเลยว่ะ
“แล้วเรื่องรถว่ายังไง”
“มึงยังไม่จบนะ” กูอุตส่าห์ทำเป็นลืม ๆ ไปจะได้ไม่ต้องระลึกถึงเรื่องเมื่อคืน มึงก็ยังจะปากดีอีก
“ถามจริง”
“ถ้าให้กูก็เอา”
“กลับกรุงเทพฯ แล้วเดี๋ยวซื้อให้เลย”
“กษัตริย์ ตรัสแล้วไม่คืนคำ”
“ตรัสก็ไม่คืนคำครับ แถมคนขับให้ด้วย”
“พูดจริงใช่ไหม”
“ย้ายมาอยู่ด้วยกันก่อน” เอาแล้วไง มีข้อแลกเปลี่ยนซะด้วย แต่คิดไปแล้วผมก็มีแต่ได้กับได้ ไม่ต้องเสียค่าหอค่ารถแถมยังมีคนขับ ฟังดูสะดวกสบายไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน แต่ยังไงก็ต้องถามให้ถี่ถ้วน ตรัสมันหัวหมอเดี๋ยวเสียรู้เล่ห์เหลี่ยมมันล่ะแย่เลย
“มีอย่างอื่นอีกไหม นอกจากต้องย้ายไป”
“ก็...ไม่มี” กูว่ามีแน่ ดูจากรอยยิ้มมึงแล้วกูว่ามีแน่ ๆ
ผมได้ยินเสียงหาววอด ๆ จากใครสักคนหน้าบังกะโลก็เลยเดินออกมาดู เห็นแซนดี้ยืนตาโหลพิงราวระเบียงอยู่ก็มุ่นคิ้วสงสัย อะไรดลใจให้มันมายืนรอแทนที่จะเคาะประตูห้องแล้วขานเรียกอย่างทุกที
“มายืนทำอะไรอยู่นี่วะ”
“เห็นประตูยังล็อคอยู่ ไม่กล้าเคาะ” มันตอบหน้าซื่อตาใส ถ้ายิ้มกริ่มกวนประสาทอย่างทุกทีผมคงโวยกลับไปแล้ว แต่เห็นแบบนี้แล้วสงสาร ไม่รู้ว่ายืนรอมานานแค่ไหนแล้ว
“เข้าไปสิ เปิดให้แล้ว”
“สภาพห้องเรียบร้อยดีใช่ไหม” นั่น ไม่ทันขาดคำ อยากจะบริภาษสรรเสริญแต่เห็นตรัสเดินตามออกมาพอดีหลังจากนัดแนะว่าจะไปหาอะไรกินกัน แซนมันก้าวเร็ว ๆ เดินสวนเข้าห้องไปแต่ก็ไม่วายใช้หลังมือตีหยอกตรัสไม่แรงนัก
“ไปกันเลยไหม” หล่อมันหันมาถาม
“ไปสิ แซนเอาอะไรหรือเปล่า” ผมตะโกนถามเข้าไปตอนตรัสกำลังจะส่งมือมาโอบเอว มันรีบชักมือกลับทันที เข้าใจดีว่ากำลังคิดอะไรอยู่ คงกลัวว่าผมจะโกรธที่ทำอะไรประเจิดประเจ้อ แต่เมื่อเห็นแซนหันกลับมาผมก็สบโอกาสตอบความคิดอีกฝ่ายด้วยการโน้มคอลงมาเบา ๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับแรงสัมผัสที่ริมฝีปากอย่างสิ้นเชิง
จูบตรัสโชว์ไอ้แซน รู้สึกแมนขึ้นมาทันตา▩▩▩