ทะลึ่ง : กามที่ 10
สุดท้ายแล้วผมก็ออกมาพบคุณศุภเชษฐ์โดยไม่ได้แจ้งคุณตรัสล่วงหน้าอีกตามเคย ความจริงมันควรพิจารณาให้เป็นความผิดตัวเองเสียมากกว่า ก็ใครล่ะที่ไม่ค่อยอยู่ห้อง กว่ามันจะกลับมาผมก็หลับฝันไปสวรรค์ชั้นฟ้าแล้ว
ผมเดินเตร็ดเตร่อยู่บริเวณล็อบบี้โรงแรมชื่อดังได้พักใหญ่ก็มีสายเข้าจากบุคคลที่นัดพบ ปลายสายบอกให้ผมเดินไปหาเขาที่จอดรถรออยู่ตรงหน้าห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้กัน ช่างเป็นมนุษย์ลึกลับที่ควรค่าแก่การคบหาจริง ๆ นัดที่หนึ่งแต่พาไปอีกที่หนึ่งตลอด
ระหว่างทางผมกับพี่เชษฐ์ก็คุยกันสัพเพเหระ ผมเล่าเรื่องการพรีเซ้นต์งานวิจัยไปพลาง เขาก็สาธยายความผันผวนในตลาดหุ้นให้ฟังเป็นวิทยาทานไปพลาง จนผมลืมถามถึงจุดหมายปลายทางไปเสียสนิท มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รถหรูมาจอดนิ่งที่หน้าโรงเรียนแห่งหนึ่ง
โรงเรียนอนุบาลชื่อดังที่มีเด็กนักเรียนตัวน้อยหน้าตาน่ารักยืนเรียงรายรอผู้ปกครองมารับกลับบ้าน และหนึ่งในนั้นเป็นเด็กผู้ชายตัวกลม ผิวขาวจัดจนแก้มป่องอมชมพูระเรื่อ น่าฟัดน่าหยิกเกินห้ามใจ ผมเห็นได้ในทันทีเพียงแค่กวาดตามองเพราะน้องสะดุดตากว่าเด็กคนอื่น
“ปะป๊า!” แล้วเด็กคนที่ผมนั่งมองพลางอมยิ้มเพราะความน่ารักน่าชังก็วิ่งถลาเข้ามาหารถ แต่โชคดีที่คุณครูคว้าแขนไว้ได้ทันท่วงที ส่วนผมรีบหันขวับมองคนขับเพื่อความแน่ใจ
“ลูกชายผมเอง เจ้าชีต้าห์”
“น่ารักจังเลย กี่ขวบครับ” ผมถามกลับอย่างตื่นเต้น
“สี่ขวบย่างห้าขวบแล้ว อยู่อนุบาลสอง ห้องคุณครูเปรมฤดี” พูดล้อเลียนเสียงเด็กพลางเดินลงจากรถไปรับลูกชาย ผมก็พลอยยิ้มขันไปกับเขาด้วย เห็นแล้วชักอยากมีเป็นของตัวเองสักคน แต่ติดที่ว่ายังหาแม่ของลูกไม่ได้เท่านั้น
ชีต้าห์มองหน้าผมเหลอหลาตอนเดินไปหาพร้อมคุณพ่อเขา แอบได้ยินน้องกระซิบถามว่าผมเป็นใคร คุณพ่อขายาวก็ตอบว่าเพื่อนก่อนจะบอกชื่อผมไป น้องก็ประนมมือป้อมไหว้แบบไม่ถนัดนักเพราะกระเป๋านักเรียนที่สะพายอยู่ข้างหลังรั้งไหล่
“สวัสดีฮะพี่เท็ต”
“สวัสดีครับผม น้องชีต้าห์ใช่ไหม” น้องพยักหน้า ด้วยความหมั่นเขี้ยวที่สั่งสมมาตั้งแต่เมื่อครู่ก็เลยส่งมือไปลูบแก้มน้องเบา ๆ อย่างเอ็นดู ในใจก็ได้แต่ร่ำร้องว่าเด็กอะไรไม่รู้น่าลักพาตัวกลับบ้านที่สุดเลย (โว้ย)
ปอร์เช่คันงามแล่นออกจากหน้าโรงเรียนได้ครู่ใหญ่ น้องต้าร์ที่อนุญาตให้ผมเรียกเขาแบบนั้นกำลังนั่งอยู่บนตักพร้อมกับจ้องหน้าผมไม่ลดละ มีขี้ตาหรือเปล่าหว่า แก้มเลอะเทอะอะไรไหม ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ก็เลยยกมือขึ้นปัดหน้าเสียหนหนึ่ง
“มีอะไรติดหน้าพี่หรือเปล่าครับ”
“ไม่มีฮะ”
“แล้วจ้องพี่ทำไมล่ะ ไม่เคยเห็นใครหล่อเท่าพี่ใช่หรือเปล่า” ผมพูดหยอก พี่เชษฐ์ที่ชะลอรถขณะติดไฟแดงก็หันมาขำรับมุข ก่อนที่คำตอบของน้องจะทำให้คุณพ่อเขาหัวเราะเสียงดังหนักกว่าเดิมหลายเท่า
“เคยสิ ปะป๊าหล่อกว่าตั้งเยอะ” หมดกันความมั่นใจที่สั่งสมมา ผมหัวเราะแล้วลูบหัวทุย ๆ ของเด็กช่างพูด มิน่าคุณพ่อเขาถึงหลงนักหนา ปากหวานแบบนี้เอง
“แล้วต้าร์มองหน้าพี่เขาทำไมครับ”
“ต้าร์แค่สงสัยว่าพี่เท็ตเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่งตัวเหมือนผู้ชาย เสียงก็เหมือนผู้ชาย แต่หน้าเหมือนผู้หญิง” นายทัศนัยขอลาตายด้วยประการฉะนี้ เกิดมาก็เพิ่งเคยมีเด็กมาทักว่าหน้าเหมือนผู้หญิงครั้งแรก พี่ออกจะแมนปานนี้ กล้ามเนื้อสมตัวตามมาตรฐานชายไทย หนวดเคราก็มีเหมือนบุรุษเพศทั่วไป ถึงจะรำไรแต่ก็พอมีอะนะ เพราะฉะนั้นอย่าเหยียดหยามพี่เยี่ยงนี้เลย
“แล้วทำไมต้าร์ไม่ถามพี่เท็ตเลยล่ะว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย มองนาน ๆ พี่เขาก็อึดอัดแย่”
“พี่เท็ตอึดอัดเหรอฮะ”
“ไม่อึดอัดครับ”
“คุณแม่เคยบอกว่าผู้หญิงที่พูดครับ ไม่ใช่คะ แสดงว่าเป็นทอม พี่เท็ตเป็นทอมเหรอ” คุณพระ ปีนี้มันมหาวิปโยคสำหรับผมมากไปไหม โดนทักว่าเป็นทอมรอบที่สองของชีวิต แล้วเผอิญว่าคนล่าสุดนี่ใสซื่อบริสุทธิ์ คิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง
หน้าผมมันยังไงนะ อยากได้กระจก
ผมทำท่าชะโงกไปมองกระจกส่องหลัง คนขับที่ลอบมองอยู่เงียบ ๆ ถึงกับหัวเราะจนตัวงอ คือตอนนี้ผมไม่มั่นหน้าอะไรทั้งนั้นครับพี่ ขอกระจกหน่อยก็ดี
“พี่เท็ตเป็นผู้ชายครับต้าร์ พูดแบบนี้พี่เขาเสียใจแย่” ไม่แค่เสียใจ แต่เสียหน้าโคตร ๆ ครับ
“ว้า”
“อะไรตัวแสบ เป็นเด็กเป็นเล็กหัดถอนหายใจนะเรา” คนพูดยื่นมือมาบีบจมูกลูกชายเบา ๆ
“ต้าร์นึกว่าพี่เท็ตเป็นผู้หญิงซะอีก อุตส่าห์แอบชอบ แต่ไม่เป็นไร ต้าร์จะรอนะฮะ พี่เท็ตเปลี่ยนใจอยากเป็นผู้หญิงเมื่อไหร่ต้าร์ค่อยจีบนะ” แก่แดด! ชีต้าร์ผู้น่ารักที่ผมประทับใจแรกพบคนนั้นไปไหนแล้ว เอาคืนมา!
“ป๊า...อย่าบอกคุณแม่นะว่าพาต้าร์มากินอันนี้”
“ทำไมล่ะ”
“เดี๋ยวคุณแม่ดุป๊าอีก ทำไมไม่เข้าใจนะว่าของพวกนี้อร่อยแค่ไหน ไม่ใช่อาหารขยะสักหน่อย” เจ้าเด็กสมบูรณ์กำลังเคี้ยวตุ้ยเฟรนช์ฟรายส์จนเต็มแก้ม ก้มก็กินเงยก็กินจนผมอดยิ้มเพราะความน่ารักไม่ได้ ถึงจะแก่แดดแค่ไหนก็ยังเด็กน้อยอยู่ดีแหละนะ
สรุปว่าร้านที่พี่เชษฐ์พาผมกับลูกชายมาเลี้ยงมื้อเย็นคือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีจุดเด่นเป็นโจ๊กเกอร์หัวแดงชุดเหลืองยืนรับแขกอยู่หน้าทางเข้าโดยที่เจ้าตัวเล็กเป็นคนเรียกร้อง ส่วนผมนั้นไม่มีปัญหากับอะไรที่ได้มาฟรี ๆ จากที่ควรเป็นฝ่ายเลี้ยงตอบแทนตามที่คุยกันไว้แต่พี่เขาบอกว่าผมยังเป็นนักศึกษารบกวนเงินพ่อแม่ไม่เห็นสมควรที่จะต้องเลี้ยงอาหารผู้ใหญ่วัยทำงานอย่างเขา ก็เลยพบกันครึ่งทางโดยให้พี่เขาเลี้ยงแต่ชีต้าร์เป็นคนเลือกร้าน ระหว่างที่พูดคุยกันก็นั่งละเลียดเบอร์เกอร์ชิ้นโตไปพร้อมกับมองเด็กที่ ‘กินดูน่าอร่อย’ แล้วรู้สึกอิ่มท้องอิ่มใจได้อย่างน่าประหลาด
“พี่เท็ตอยากทานเฟรนช์ฟรายส์เหรอฮะ อะ” มือป้อมยื่นเฟรนช์ฟรายส์สองชิ้นคู่ชุ่มซอสมะเชือเทศมาให้ แต่เพราะแขนไม่ยาวผมก็เลยต้องก้มหน้าลงไปงับเข้าปาก เจ้าต้าร์ก็ยิ้มแก้มปริ
“อร่อยกว่าที่เคยทานไหมฮะ”
“ทำไมล่ะ” ผมถามกลับ คิดในใจว่าเฟรนช์ฟรายส์ที่ไหนมันก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง แต่คำตอบที่ได้ทำให้ผมต้องหลุดขำเพราะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบไร้เดียงสา
“เพราะต้าร์เป็นคนป้อน”
“เดี๋ยวเถอะ ทะเล้นใหญ่แล้วเรา ไปจำมาจากไหนนัก ดูละครกับคุณแม่มากไปใช่ไหม เดี๋ยวป๊าจะสั่งห้าม”
“ไม่ได้นะ เดี๋ยวคุณแม่ไม่มีเพื่อนดู”
“อย่าถือสาเด็กเลยนะน้องเท็ต เจ้าต้าร์ก็พูดไปตามประสาเด็ก จำแบบอย่างมาจากหนังจากละคร”
“ไม่ถือหรอกครับ น่ารักดี อยู่ด้วยทั้งวันคงมีความสุข” ดูเหมือนว่าคำพูดผมจะไปสะกิดความคิดพิลึกของเจ้าหนูต้าร์ เห็นหน้ากลม ๆ หันขวับมาพร้อมแววตาเป็นประกาย ไม่ใช่ว่าจะพาผมกลับบ้านไปด้วยหรอกนะ
“ป๊า ต้าร์อยากอยู่กับพี่เท็ต”
“ไปกันใหญ่แล้ว พี่เขาแค่เปรียบเปรยว่าคนที่อยู่กับต้าร์ทั้งวันคงมีความสุขเท่านั้นเองลูก”
“ป๊ากับคุณแม่มีความสุขมาเยอะแล้ว ให้พี่เท็ตมีความสุขบ้าง” คำพูดแบบนี้ถ้าเป็นผู้ใหญ่วัยฉกรรจ์ก็คงไม่พ้นหลังมือหรือหมัดลุ่น ๆ แต่เพราะเป็นเจ้าชีต้าร์ หน้ายุ้ย ๆ แก้มอูม ๆ ของน้องทำให้ผมได้แต่นั่งหัวเราะขันอย่างเอ็นดูสุดใจ
“เอาสิ ไว้วันหน้าเราไปเที่ยวกันสองคนนะ พี่จะพาไป”
“พูดจริงนะ โกหกตกนรกลงกระทะทองแดง”
“จริง ๆ สัญญา”
ผ่านพ้นมาเดือนกว่า คำสัญญาของผมก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผลสักที
เช้านี้ตรัสตื่นสายที่สุดในรอบหลายสัปดาห์ ผมเดินตุปัดตุเป๋ออกมาจากห้องครัวพร้อมแก้วนมร้อนก่อนจะนั่งแหมะบนโซฟาหน้าทีวี จวนจะเที่ยงอยู่รอมร่อก็เลยไม่มีอะไรให้ดูนอกจากรายการข่าว รื้อค้นกองดีวีดีก็เห็นหนังแอ็คชั่นอยู่เรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้ดูสักที เพิ่งได้ฤกษ์ดีวันนี้เอง แต่ยังไม่ทันได้กดเล่นแผ่นก็ได้ยินเสียงประตูห้องนอนข้าง ๆ เปิดผ่างออกมาพร้อมไอ้หล่อที่หัวฟูนิดหน่อย สภาพดูไม่จืดเท่าไหร่แต่ก็ไม่ถึงกับโทรม ในพจนานุกรมของไอ้ตรัสไม่มีคำนั้นหรอก
“ไม่ไปบริษัทเหรอ”
“ไม่ต้องไปแล้ว หมดวาระการประชุม”
“จริงดิ ดีใจด้วย ถ้าอย่างนั้นมาดูหนังกับกูดีกว่า” ดีใจด้วยบ้าอะไร ไอ้คนที่ดีใจนั่งหน้าระรื่นอยู่ตรงนี้ต่างหาก หัวใจลิงโลดแบบฉุดไม่อยู่ ถึงจะแสร้งตีหน้านิ่งสนิทแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็เถอะ แต่หัวใจมันบังคับกันได้ที่ไหน ไม่ต้องอยู่คนเดียว พูดคนเดียว กินข้าวคนเดียวอีกแล้ว และอย่างน้อยตอนนี้ผมก็ไม่ต้องดูหนังคนเดียว
“เรื่องอะไร” ตรัสเดินมานั่งข้าง ๆ ก่อนจะถามเสียงอ่อน
“ระห่ำระฟ้าท้านรก เคยดูยัง”
“ยัง ใครเล่น”
“พระเอกอวตารไง เชย” มุมปากสีเข้มจุดรอยยิ้มบางก่อนจะเอียงตัวลงมานอนหนุนตักเนียน ๆ แบบไม่บอกกล่าว คุณชายเขาอยู่ในภาวะอารมณ์ไหนไม่อาจบอกได้ แต่ที่แน่ ๆ เส้นผมมันโชยกลิ่นคุ้นเคยฟุ้งติดปลายจมูกทีเดียว
“นั่งดูดี ๆ ดิวะ”
“ปวดหลัง นั่งประชุมทั้งวันติดกันเป็นอาทิตย์ ขอนอนหน่อยนะครับ” คำพูดน่ะไม่เท่าไหร่ แต่สายตาติดอ้อนนิด ๆ ของมันทำเอาผมหมดปัญญาจะปฏิเสธ เอ้า ตามสบายเลยครับพี่ ยังไงที่นี่ก็ตังค์มึง
มือตรัสลูบเพลิน ๆ ที่หน้าขาผ่านกางเกงผ้าตอนที่หนังกำลังถึงฉากตื่นเต้น น้องชายพระเอกกำลังคิดอยู่ว่าจะผ่านเข้าตึกอย่างไรโดยไม่ให้เซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อนร้องเตือน คนกำลังลุ้นตัวโก่ง โทรศัพท์เจ้ากรรมที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก็ดันแผดเสียงลั่นตอนที่ถังดับเพลิงถูกฉีดใส่เครื่องตรวจจับความร้อน ไอ้เท็ตที่กำลังอินก็สะดุ้งสุดตัวสิครับ
“สวัสดีครับพี่เชษฐ์” ไม่ต้องเดาเสียงคนโทรมาอีกต่อไปเพราะผมบันทึกเบอร์พี่เขาไว้ในโทรศัพท์แล้ว ก็เลยกรอกเสียงไปอย่างมาดมั่น แต่ที่ไหนได้ปลายสายที่ตอบรับกลับมาดันกลายเป็นเสียงเล็ก ๆ ของเด็กตัวกลมหน้าแป้นแทนซะนี่
(( พี่เท็ต ต้าร์คิดถึงพี่เท็ตจังเลย ))
“คิดถึงเหมือนกันครับ” ตรัสที่กำลังหยิบรีโมทมากดหยุดแผ่นถึงกับชะงัก มันพลิกตัวเข้าหาก่อนเงยหน้ามองอย่างสงสัย จะแปลกใจก็ไม่ผิดหรอกเพราะมันได้ยินแต่เสียงผมฝ่ายเดียว เสียงเจ้าเด็กแก่แดดที่ริจีบผม ตรัสมันไม่ได้ยิน
(( เมื่อไหร่จะมารับต้าร์ไปเที่ยวล่ะครับ ให้ต้าร์รอนานจังเลย ถามปะป๊า ปะป๊าก็บอกว่าพี่เท็ตงานยุ่ง จริงเหรอ ))
“จริงครับ ต้องทำรายงานส่งอาจารย์” เสียงเจื้อยแจ้วที่อ้อนเอา ๆ ไม่ได้ทำให้ผมรำคาญใจเท่าสายตาของไอ้คนที่นอนหนุนตักอยู่นี่หรอก มองตาขวางอย่างกับผมทำอะไรผิดนักหนา แต่ผมไม่ได้โกหกนะเรื่องรายงานที่บอกชีต้าร์ไป วันศุกร์นี้ผมต้องจัดทำรูปเล่มงานวิจัยให้เรียบร้อยพร้อมส่ง เพราะนำเสนองานวิจัยร้อยเปอร์เซ็นต์ไปแล้วเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน
(( แล้วเมื่อไหร่จะเสร็จล่ะ เมื่อไหร่จะพาต้าร์ไปเที่ยว ต้าร์คิดถึงพี่เท็ต ))
“อาทิตย์หน้าได้ไหม...ครับ” เสียงขาดช่วงเพราะมีมือร้อนมาแตะเข้าที่หลังเอวใต้เสื้อยืดตัวบาง ไม่แตะเปล่า แต่ตรัสมันลูบเบา ๆ ให้ผมขนลุกได้อีก
“ตรัส ทำอะไร” ผมกระซิบพร้อมยกมือปิดโทรศัพท์เพื่อป้องกันเสียงเล็ดลอด แต่มันไม่ตอบ ผมก็เลยละมือไปคว้าหมับที่ต้นแขนเพราะกลัวว่ามือมันจะลูบต่ำลงไปกว่าขอบกางเกงด้านหลัง
(( พี่เท็ต เงียบทำไมฮะ ได้ยินต้าร์ไหม ))
“ได้ยินครับ” แต่พี่รบกับปลาหมึกอยู่
(( เมื่อกี้ต้าร์ถามป๊าแล้ว อาทิตย์หน้าก็ได้ แต่ป๊าให้ถามพี่เท็ตว่าจะมาหาเองหรือให้ป๊าพาไป ))
“แล้วแต่สะดวกครับ แต่ว่า...โอ๊ยเชี่ย” ด้วยประสบการณ์ก็รู้แก่ใจว่ามันไม่หยุดแค่มือแน่ เสื้อยืดที่ถูกดึงขึ้นพร้อมกับจูบหนัก ๆ ที่หน้าท้องทำให้ผมเผลอสบถคำหยาบ แต่โชคดีที่หรี่เสียงตัวเองได้ทันไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะสู้หน้าพี่เชษฐ์ได้ยังไง ในโทษฐานสอนศัพท์ใหม่ให้ลูกชายเขา ศัพท์ฮาร์ดคอร์เสียด้วย
“ตรัส...อย่าเล่น”
“ไม่ได้เล่น ทำจริง” ชักคุยไม่รู้เรื่อง ชักจะเลยเถิดกันไปใหญ่ ก็ยอมรับว่าทำแบบนี้มันได้ใจไม่น้อย แต่ขอติหน่อยเหอะ ไรหนวดมึงระคายผิวกูมากว่ะตรัส
(( พี่เท็ตยุ่งอยู่เหรอ ต้าร์โทรไปหาใหม่ก็ได้นะ เดี๋ยวบอกป๊ากดให้ ))
“เอาไว้พี่โทรกลับไปเองก็ได้ครับ แล้วเราไปเที่ยวกันนะ...ชีต้าร์” เน้นพยางค์สุดท้ายเสียงหนักจนคนที่พรมจูบขึ้นมาถึงต้นคอชะงักไป แต่ก็เท่านั้น ผมวางโทรศัพท์ลงข้างตัวมันก็ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ฝ่ามือยังลูบแผ่วอยู่ข้างสะโพก
“ตรัส...กูจั๊กจี้ พอได้ยัง” กลางวันแสก ๆ ช่วยอายผีสางเทวดาบ้างนิดหนึ่งเถอะ กูกราบล่ะ
“ใคร ชีต้าร์”
“แฟนกู” สงสัยคำตอบไม่ถูกใจ ก็เลยโดนจูบไปเต็มรัก ซึ่งคราวนี้ไม่ใช่ที่ลำคอ หัวไหล่ หรือหน้าท้อง แต่เป็นแหล่งกำเนิดเสียงที่ตอบมันไปเมื่อครู่ แกว่งปากหาลิ้นแท้ ๆ เลยกู ซวยฉิบ
“บอกได้หรือยัง ใครคือชีต้าร์”
“ลูกพี่เชษฐ์” มันเลิกคิ้วสูงอีกทั้งยังทำท่าจะโน้มหน้าเข้ามาอีกหน ผมเลยรีบยกมือขึ้นปิดปากมันไว้
“สี่ขวบ ชีต้าร์เพิ่งอยู่อนุบาลสอง”
“โทรมาทำไม” มันพูดเสียงอู้อี้ก่อนจะดึงมือผมออก
“เคยเจอกันหนหนึ่งแล้วน้องเขาติดกูนิดหน่อย สัญญากันไว้ว่าจะพาไปเที่ยว แล้วกูก็กะว่าจะขอยืมรถมึง”
“พาไปไหน ใครไปบ้าง”
“แค่กูกับน้องต้าร์ แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะไปไหนดี น่าจะสวนสัตว์ไม่ก็สวนสนุกใกล้ ๆ นี่แหละ”
“ไปด้วย”
“อะไรนะ” ผมถามกลับหน้าตาเหลอหลา
“บอกว่าไปด้วย อาทิตย์หน้าว่าง จะพาไปเอง”
“หวงรถหรือไง” หึ อย่าให้กูหวงปากบ้างแล้วกัน
“เปล่า แค่อยากไปดูให้เห็นกับตาว่าสี่ขวบจริงหรือเปล่า” คราวนี้ท่านยิ้มครับ แล้วก็ถอยกลับไปนั่งปกติเหมือนมนุษย์มนา ไม่โอบแขนกักตัวผมไว้กับพนักพิงเหมือนอย่างเมื่อกี้ มันเปลี่ยนโหมดเร็วจี๋จนผมนึกสังหรณ์ใจ
“แน่ใจนะว่าแค่ไปดู” ไม่ใช่คิดจะเปิดศึกสร้างศัตรูกับเด็กแสบ
“ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยไปสวนสนุกเลย อยากรู้ว่าเป็นยังไง” อึ้งแดกสิครับ เห็นมันตอบพร้อมรอยยิ้มบางแถมยังทำตาวิบวับอย่างกับเด็กประถม ถ้าผมไม่ได้นั่งมองหน้ามันอยู่อย่างนี้คงคิดว่ามันโกหกแน่ คนบ้าอะไร โตจนป่านนี้แต่ไม่เคยไปเที่ยวสวนสนุก เมื่อนึก ๆ ไปแล้วก็คงไม่แปลกหรอก แค่คุณฉัตรพันธ์ท่านทำหน้าที่พ่อได้บกพร่องอีกหนึ่งเรื่องเท่านั้นเอง
“ก็ไปสิ หลายคนสนุกดี แต่มีข้อแม้ว่ามึงห้ามดุ พ่อน้องเขามีบุญคุณกับกู ถ้าพาไปเที่ยวหนเดียวได้น้ำตากลับมา กูโดนฆ่าแน่”
“ได้ครับ รับทราบ” รับปากเป็นมั่นเหมาะแล้วอย่าคืนคำก็แล้วกัน เพราะเห็นสายตามันแล้วผมไม่ค่อยวางใจสักเท่าไหร่เลย
อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้ามีเด็กชายวัยสี่ขวบ สโลแกนใหม่ของนายทัศนัย จากที่ตกลงกันดิบดีว่ามะรืนนี้จะไปรับน้องชีต้าร์ที่บ้าน คุณศุภเชษฐ์ก็ส่งเมลแผนที่มาให้พร้อมแนะนำเส้นทางที่ใกล้ที่สุดจากคอนโดตรัส แต่กลายเป็นว่าวันนี้พี่เขาโทรมาเสียงอ่อนและกำลังรบเร้าให้ผมเป็นพี่เลี้ยงลูกชายชั่วคราว
(( พี่ติดธุระด่วนจริง ๆ ต้องบินกะทันหัน แต่กล่อมเท่าไหร่เจ้าแสบก็ไม่ยอมท่าเดียว บอกจะไปเที่ยวกับพี่เท็ต ร้องไห้โยเยทั้งวัน ))
“ไปกี่วันนะครับพี่”
(( หนึ่งอาทิตย์ครับ ภรรยาพี่ก็มีประชุมเหมือนกัน ตอนแรกก็กะว่าจะขอยกเลิกนัดเพื่ออยู่ดูแลเจ้าต้าร์ แต่เขาก็ไม่ยอมฟังคำอธิบายอะไรเลย บอกว่างานนี้สำคัญมาก ถ้าไม่ได้ภรรยาพี่เป็นแม่งานเขาก็ไม่ยอม )) จากที่คุยกันเมื่อครู่ทำให้รู้ว่าภรรยาพี่เชษฐ์หรือคุณแม่ของชีต้าร์เป็นเจ้าของบริษัทรับจัดอีเว้นท์ใหญ่ทั่วราชอาณาจักร มีผลงานเป็นที่ถูกตาต้องใจของบริษัทต่างชาติ ส่วนพี่เชษฐ์ไปเป็นวิทยากรในงานสัมมนาของบริษัทอีกแห่ง เรียกได้ว่าบินครั้งนี้ โป้งเดียวได้นกสองตัว
“แค่อาทิตย์เดียวคงไม่มีปัญหาอะไร ให้น้องมาอยู่ด้วยกันก็ได้ น่าสนุกดีครับ”
(( จริงหรือ ไม่รบกวนแน่นะ ถ้าเท็ตไม่สะดวกเดี๋ยวพี่จ้างพี่เลี้ยงดูแลพิเศษก็ได้ แต่ช่วยเกลี้ยกล่อมให้น้องเลิกงอแงหน่อย รู้สึกช่วงนี้เจ้าแสบจะไม่ฟังใคร อ้อนให้โทรหาแต่พี่เท็ตอย่างเดียว ))
“ไม่รบกวนหรอกครับ ยินดีครับ”
แล้วพี่เขาก็ถามผมว่าพาน้องมาส่งเย็นนี้เลยสะดวกไหม เพราะต้องเช็คอินไฟลท์บินพรุ่งนี้ช่วงบ่าย กลัวว่าจะวุ่นวายกับการเตรียมข้าวของ ผมก็ยิ้มแป้นสิครับ กำลังเซ็งสุดขีดกับการอยู่แต่ห้องไปวัน ๆ ส่วนตรัสก็เอาแต่จ้องแฟ้มงานเก่าของบริษัทเพื่อศึกษาข้อมูลองค์กร มันคงพร้อมเต็มที่สำหรับตำแหน่งผู้บริหาร แต่ผมไม่พร้อมจะเป็นเพื่อนกับมันสักเท่าไหร่เลยตอนนี้ วันหนึ่ง ๆ คุยกันแทบนับคำได้ ได้ยินแต่หิวไหม ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว ก่อนจะหมดไปอีกหนึ่งวัน ไอ้ทัศนัยอยากจะบ้าตาย
ผมเดินออกมาจากห้องนอนหลังหลบไปคุยโทรศัพท์กับพี่เชษฐ์ได้พักใหญ่ ไอ้ตรัสที่กำลังนั่งอ่านแฟ้มงานที่ระเบียงอยู่นั้นก็หันมามองพร้อมคำถาม
“ใครโทรมา”
“พี่เชษฐ์”
“โทรมาบ่อย มีอะไรหรือเปล่า” ท่านซันโทรมาบ่อยกว่าไหม ทำไมมึงไม่ถามถึงบ้าง
“น้องต้าร์อะน่ารักนะ เป็นเด็กผู้ชายตัวกลม ๆ ขาว ๆ น่าเอ็นดู อยู่ด้วยแล้วหัวเราะตลอด” ผมตีเนียนเดินเข้าไปหาก่อนจะยืนพิงราวระเบียงมองหน้ามัน กอดอกก้มหน้าชั่งใจว่าจะพูดต่อดีหรือจะให้มันเซอร์ไพรส์ตอนน้องมาถึง แต่เห็นว่ามันกำลังอารมณ์ดีและบรรยากาศตรงนี้ก็เป็นใจ ผมเลยเลือกอย่างแรก “ช่างพูด หน้าตาน่ารัก ใครไม่หลงก็แย่ละ”
“แล้วยังไง”
“ก็...อยากพามาอยู่ด้วยว่ะ” มันมองหน้าผมนิ่งไม่ตอบความ “คือพี่เชษฐ์เขามีสัมมนา ส่วนภรรยาพี่เขาก็ติดประชุม แล้วทีนี้เจ้าต้าร์ก็รั้นว่าจะอยู่ไทยไม่ยอมตามไปด้วย เลยกะว่าจะพามาอยู่กับเราสักอาทิตย์...ได้ไหม”
“อาทิตย์เดียว” มันถามกลับพร้อมประกายวิบวับในแววตา
“อือ อาทิตย์เดียว...นะ”
“เอาสิ” หือ อะไรมันจะง่ายดายปานนั้น “แต่มีข้อแม้” นั่น กูว่าแล้ว
“อะไร”
“ไปฝึกงานที่บริษัทด้วยกัน อย่ารั้นจะไปบริษัทคุณพ่อเลย อย่าทำให้ท่านลำบากใจ” คุยกันไปหลายรอบแล้วเรื่องนี้ ผมอยากหาบริษัทฝึกงานด้วยความสามารถตัวเอง แต่วกไปวนมาก็วิ่งเข้าหาบริษัทพ่ออีกเหมือนเคย ตรัสก็รบเร้าให้ไปทำที่บริษัทมันเหลือเกิน ตอนนี้ผมก็เลยยังคิดไม่ตกเรื่องอนาคตของตัวเอง
ว่าแต่เมื่อกี้มันเรียกพ่อผมว่าอะไรนะ คุณพ่อหรือเปล่า▩▩▩