ทะลึ่ง : กามที่ 11
ถามว่าทำไมนายทัศนัยถึงต้องมานั่งรวบรวมหนังสือล่อแหลมใส่กล่องพลาสติกใบใหญ่อยู่อย่างนี้ด้วย
ข้อแรกคือในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ผมจะมีเพื่อนร่วมห้องเป็นเยาวชนวัยกำลังอยากรู้อยากเห็น และคงเป็นที่น่าสังเวชหากน้องค้นเจอหนังสือพวกนี้ที่กองรวมกันอยู่ใต้เตียง
สองผมขี้เกียจตอบคำถามต่าง ๆ นานาจากฝีปากช่างฉอเลาะ เพราะที่เห็นอยู่นี่ก็มีแต่คอลัมน์ส่อเรื่องใต้สะดือทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น...ใช้ปากวัดขนาด แตกตรงไหนเร้าใจที่สุด และอีกมากมายหลายกระบวนความ
สามผมไม่อยากโดนคุณศุภเชษฐ์เขม่นหากน้องไปเล่าให้คุณพ่อฟังว่าผมพาลูกเขาอ่านหนังสืออะไร รูปเล่มเป็นแบบไหน ใครขึ้นปก
และข้อสุดท้าย...ไอ้คุณตรัสสั่งห้ามเด็ดขาดที่จะให้ผมเก็บหนังสือพวกนี้ไว้ มันบอกไร้สาระไม่มีประโยชน์ ใช่สิ เพราะมันไม่มีส่วนได้เสียอะไรกับหนังสือหย่อนใจ มองแล้วไม่เห็นเงินเห็นทองเหมือนหนังสือแนะแนวธุรกิจ
โถ...ไอ้หน้าเลือด
ผมสะดุ้งนิดหน่อยตอนตรัสเปิดประตูเข้ามาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง มันเดินมายืนเต๊ะจุ๊ยกอดอกอยู่ข้างเตียงก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบ “ทำอะไรอยู่ ยังไม่เสร็จอีกหรือ”
“เก็บอยู่นี่ไง มึงจะรีบไปไหนล่ะ”
“เก็บอะไร เห็นนั่งเปิดดูอยู่ตั้งนานแล้ว”
“ขอดูส่งท้ายหน่อยไม่ได้ไง ไหน ๆ ก็จะเอาของสะสมกูไปทิ้งอยู่ละ”
“บอกว่าไม่ได้ทิ้ง แค่ย้ายไปไว้ห้องเก็บของ”
“แต่กูก็ไปรื้อมาดูไม่ได้”
“ทำไมต้องฝักใฝ่ขนาดนั้น”
“กูพอใจ มึงจะทำไม” ดึงดันรั้นเถียงไปข้าง ๆ คู ๆ ก็คนมันเสียดาย อุตส่าห์เก็บสะสมไว้เป็นกำลังใจในการศึกษาเล่าเรียน ทั้งรายปักษ์รายเดือน เล่มหนึ่งก็ตั้งหลายตังค์ มันคงไม่รู้ว่าทั้งกล่องนี้มูลค่ารวมกันนั้นขูดเลือดขูดเนื้อผมมากแค่ไหน แต่สุดท้ายผมก็ต้องจำใจวางหนังสือลงก่อนที่มันจะจ้องจนผมละอายแก่ใจไปมากกว่านี้ เพราะหน้าเมื่อกี้ที่เปิดค้างไว้มันตรงกับคอลัมน์ ‘เคล็ดไม่ลับทำอย่างไรให้อึด’ ซึ่งตรัสมันไม่ได้แค่จ้อง แต่มองไปอมยิ้มไป กลัวมันจะอุตริคิดว่าผมศึกษาทฤษฎีไว้ใช้ปฏิบัติซึ่งมันก็ไม่ผิดนัก แต่หามิได้นะขอรับ บทเรียนนี้กระผมเรียนรู้ไว้ใช้กับผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชายแต่อย่างใด
เพราะฉะนั้น...เลิกยิ้มได้แล้วครับหล่อ
หลังจากตรวจสอบรอบเตียงและในตู้เสื้อผ้าว่าไม่มีหนังสือผู้ใหญ่เล่มไหนหลงเหลืออยู่ให้เป็นที่สะดุดตาแก่เด็กน้อยอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว ผมก็ปิดกล่องก่อนจะช่วยตรัสยกเข้าห้องเก็บของ ห้องที่ว่าเป็นห้องเล็ก ๆ สำหรับเก็บอุปกรณ์แม่บ้านที่อยู่ติดกับห้องของผม ในนั้นมีชั้นวางสแตนเลสสูงสามชั้น กล่องหนังสือจึงถูกยกขึ้นวางไว้ชั้นบนสุดเพื่อให้พ้นมือเด็ก ไม่ใช่เด็กชายชีต้าร์ แต่หมายถึงเด็กชายทัศนัยคนนี้ต่างหาก
“ยกของแค่นี้ถึงกับเหงื่อตกเลยหรือ”
“โหตรัส ทำเป็นพูดดี มึงไม่ได้เป็นคนเก็บเข้ากล่องนี่”
“แล้วใครใช้ให้ซื้อเยอะแยะ”
“พูดมากว่ะ บ่นเป็นคนแก่ไปได้ เดี๋ยวต่อยเลย” ยกมือยกไม้กำหมัดเป็นนักเลงโตเข้าหน่อยคุณชายก็ยิ้มบาง ทำปากขมุบขมิบว่ากลัวจังเลยก่อนจะหันไปย้ายกล่องกระดาษที่วางระเกะระกะให้เข้าที่ แต่ไม่เข้าท่าแฮะ คุณผู้ชายต้องมาก้ม ๆ เงย ๆ ยกของมันไม่เข้ากัน ผมเลยเสนอตัวผลักไหล่มันออกแล้วยกเรียงแทน
“ขอบคุณครับ” มันพูดเบา ๆ ก่อนจะส่งมือมาเสยผมที่ปรกบังตาทัดหูให้ “แต่ทีหลังไม่ต้องนะ แขนเล็กแค่นี้เดี๋ยวหักขึ้นมาล่ะแย่เลย”
“บ้าหรือไง กูไม่ได้บอบบางขนาดนั้น เห็นแบบนี้ก็มีกล้ามนะ ดูซะ” เบ่งใส่อย่างมาดมั่น แต่ทว่าคุณชายกลับหัวเราะร่วน ใช่สิ ใครจะกล้ามใหญ่ไหล่ผ่ายเหมือนมึง ถึงแม้ช่วงนี้จะไม่ค่อยได้ไปฟิตเนสอย่างทุกที แต่ก็ไม่ได้ทำให้กล้ามเนื้อต้นแขนและหน้าท้องของมันหย่อนคล้อยด้อยความหล่อล่ำแต่อย่างใด
ด้วยความหมั่นไส้ก็เลยปั้นหน้าบึ้งเดินออกจากห้อง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นกรอบประตูคุณชายก็คว้าต้นแขนไว้เสียก่อน หันไปมองก็เห็นมันหยักยิ้มหล่อจู่โจมระยะประชิด ไอ้ผมที่เกราะกำบังไม่แข็งแรง สายตาก็เลยฝ้าฝางมองไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จนกระทั่ง...
เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้นก่อนที่ริมฝีปากมันจะโน้มมาถึง ลมหายใจอุ่นที่พ่นอย่างขัดใจตรงปลายจมูกทำให้ผมต้องเผยยิ้มกว้าง ก่อนล้วงหยิบก้างขวางคอออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกรอกเสียงลงไป
“ครับพี่เชษฐ์ ถึงแล้วเหรอครับ ได้ครับ เดี๋ยวผมลงไป”
พอวางสายผมก็โบกโทรศัพท์ไปมาใส่หน้าคนที่กำลังฉุน ตรัสมันทำหน้าตึงอย่างกับเด็กโดนแย่งของเล่น เห็นแล้วขี้เกียจชวนว่ามันจะลงไปรับน้องกับผมหรือเปล่า ดูท่าว่ายังไงมันก็คงปฏิเสธแน่ ลงไปคนเดียวก็ได้วะ
ชีต้าร์ผู้น่ารักที่ใส่เสื้อลายหมีมีฮู้ดเดินอาด ๆ ลงมาจากรถ ผมยื่นมือไปรับกระเป๋าใบโตมาจากคุณพ่อของเขาพร้อมรับฟังข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับกิจวัตรของลูกชาย จากที่กังวลว่าต้องพาไปส่งโรงเรียนทุกเช้าไหม ตรัสจะให้ยืมรถไปส่งหรือเปล่า ก็ตัดไปได้เลย ช่วงนี้ชีต้าร์ปิดเทอมระหว่างภาคเรียน โดยเดิมทีครอบครัวนี้เขามีแผนไปเที่ยวพักร้อนกัน แต่ว่ามาติดงานกะทันหันเสียก่อน เอาเป็นว่าชีต้าร์กินง่าย นอนง่าย ไม่ฉี่รดที่นอนแล้ว ผมก็หมดปัญหาคาใจ
เสียงใสของเด็กชายวัยสี่ขวบเล่าเรื่องสัพเพเหระให้ฟังตลอดเวลาที่ขึ้นลิฟต์มายังชั้นห้า ผมกดออดหน้าประตูพร้อม ๆ กับพยักหน้ารับรู้ว่าชีต้าร์มีของสะสมเกี่ยวกับเบ็นเท็นเยอะแค่ไหน ทั้งนาฬิกาแปลงร่าง กระเป๋า เสื้อยืด เข็มขัด รองเท้า และหมอนอิง ที่สำคัญมันอยู่ในกระเป๋าที่ผมถืออยู่นี่ด้วย น้องพูดเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุดจนกระทั่งเห็นใครอีกคนเดินมาเปิดประตูให้
“สวัสดีครับ ชีต้าร์ใช่ไหม” เจ้าของห้องย่อตัวลงนั่งคุยกับแขกวัยกระเตาะ เห็นน้องทำหน้าเหลอหลาก่อนจะกระตุกชายเสื้อผมเบา ๆ หลายหน
“ใครฮะ”
“พี่ตรัสครับ เพื่อนพี่เอง ไม่ต้องกลัวนะ”
“ไม่ได้กลัวฮะ แต่ต้าร์แค่สงสัย”
“สงสัย...สงสัยอะไรครับ”
“สงสัยว่าพี่เท็ตมีแฟนแล้วทำไมไม่บอกต้าร์” ผมมองตรัสที่เงยหน้าขึ้นมาสบตา เห็นมันยิ้มขันกับเด็กช่างถามด้วยความเอ็นดู คำถามของน้องมีคำตอบให้เลือกหลายอย่าง ผมขอเลือกที่มันไม่สร้างความร้าวฉานในความสัมพันธ์ที่คลุมเครืออย่างทุกวันนี้ก็แล้วกัน
“ใช่ที่ไหนล่ะ ต้าร์ดูดี ๆ สิ พี่ตรัสเป็นผู้ชายนะครับ จะเป็นแฟนพี่ได้ยังไง”
“ได้สิ พี่ตรัสอาจจะรอให้พี่เท็ตเป็นผู้หญิงก่อนเหมือนต้าร์ก็ได้” คราวนี้ผมได้ยินเสียงหัวเราะหล่อ ๆ ของตรัสเต็มสองรูหู มันหยัดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะถอยหลบให้ผมเดินเอากระเป๋าเข้าไปวางไว้ในห้อง ก็ไม่รู้จะอธิบายให้น้องฟังยังไงว่าเพศหญิงเพศชายมันไม่ใช่สวิตซ์เปิดปิดไฟ กลางวันเป็นชายกลางคืนเป็นหญิงอะไรเทือกนั้น ซึ่งมันก็อธิบายยากอยู่ เอาไว้น้องพร้อมที่จะเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตก็คงจะบอกน้องเอง
“เดี๋ยวชีต้าร์นอนห้องเดียวกับพี่เท็ตนะครับ พี่ตรัสนอนดิ้น เดี๋ยวโดนยักษ์ทับนะ”
“จริงเหรอฮะ” น้องหันไปมองคนโดนพาดพิง
“ไม่จริงครับ พี่เท็ตต่างหากที่นอนดิ้น” โดนผู้ใหญ่รวนใส่เจ้าชีต้าร์ถึงกับเกาหัวแกรก ผมกลั้วหัวเราะบอกกับน้องว่าล้อเล่นก่อนจะพากันรื้อข้าวของออกจากกระเป๋า
ระหว่างที่ผมแขวนเสื้อผ้าน้องเข้าตู้ ผู้ที่คลั่งไคล้เบ็นเท็นสุดขั้วโลกก็ใส่ชุดเก่งมาอวดอย่างเต็มภาคภูมิ ผมเห็นแล้วก็อดหอมแก้มขาวไม่ไหว เจ้าต้าร์ก็หัวเราะชอบใจใหญ่เลย หยิบโทรศัพท์มาให้น้องโพสต์ท่าถ่ายรูปจนหนำใจก่อนจะหันกลับไปเร่งมือกับเสื้อผ้าต่ออีกครู่ใหญ่ทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย รวมถึงตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลสองตัวที่น้องติดกอดจนต้องเอามานอนด้วยที่นี่ ก็ถูกวางไว้บนหัวเตียงด้วยฝีมือเจ้าตัว หลังจากนั้นชีต้าร์ก็หยิบหนังสือสามสี่เล่มที่วางอยู่ข้างกระเป๋ามายื่นให้ผมบนเตียงหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาเป็นเสื้อหมีมีฮู้ดเหมือนเดิมแล้ว
“นี่อะไรครับ”
“การบ้านปิดเทอมฮะ พี่เท็ตสอนต้าร์หน่อยนะ”
“ได้สิครับ แต่ว่าเราไปทำที่โต๊ะตรงโซฟาดีกว่าเนาะ กระเป๋าดินสออยู่ไหนนะ เมื่อกี้พี่เท็ตเห็นแวบ ๆ” ชีต้าร์รีบไปคว้ามาก่อนจะเดินนำหน้าผมออกจากห้อง
ท่านตรัสกำลังยึดครองพื้นที่ใช้สอยส่วนรวมอยู่พอดีตอนที่ผมกับต้าร์เดินออกมาเพื่อทำการบ้าน ในมือคุณชายมีแฟ้มงานบริษัทอีกตามเคย เหมือนอย่างที่คุ้นตาในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
“ขยับหน่อยครับลูกพี่ เจ้าสัวน้อยจะทำการบ้านตรงนี้” คนโดนไล่ที่หันมายิ้มให้ก่อนจะขยับไปอีกฝั่งหนึ่งของโซฟา ตรัสมันวางแฟ้มลงก่อนจะให้ความสนใจกับการบ้านที่ผมถือมากางลงบนโต๊ะ เป็นวิชาภาษาอังกฤษหนึ่งเล่ม ศิลปะหนึ่งเล่ม และภาษาไทยอีกหนึ่งเล่ม
ภาษาอังกฤษให้โยงเส้นตัวอักษรกับความหมาย อย่างเช่น ตัวเอโยงไปหามด หรือบีโยงไปหานก ส่วนศิลปะให้ระบายสีภาพสัตว์โดยบังคับใช้สีตามคำสั่ง ส่วนนี้ต้องมีผู้ปกครองอ่านวิธีทำให้ฟังจึงจะถูกต้อง ส่วนภาษาไทยง่าย ๆ เลยคือคัด ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก พร้อมตัวเลขไทยศูนย์ถึงเก้าตามรอยประ มีเวลาเหลือเฟือกว่าจะถึงมื้อเย็นผมจึงค่อย ๆ สอนน้องอย่างไม่รีบร้อน จนกระทั่งน้องบ่นหิวขณะที่ระบายสีดำบนลูกกะตากระต่ายตัวจิ๋วในวิชาศิลปะ
“น้องต้าร์อยากทานอะไรครับ” ตรัสที่ลงไปนั่งอยู่บนพื้นข้างเจ้าสัวน้อยถามเสียงอ่อนระหว่างที่ช่วยเลือกสีมาระบาย ส่วนผมที่สอนภาษาอังกฤษเสร็จแล้วก็เลยมานอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา ชีต้าร์หันขวับมาหาตอนที่ตรัสถามจบ
“พี่เท็ตอยากทานอะไรฮะ” ดีแฮะ ถามกันเป็นทอด ๆ ช่วยสมทบหันไปถามตรัสด้วยดีไหมว่าอยากทานอะไร จะได้ครบวงพอดี
“แล้วแต่น้องต้าร์เลยครับ น้องต้าร์เลือก แต่มีข้อแม้ว่าห้ามเป็นอาหารฟาสต์ฟู้ดนะ” เพราะเป็นคำสั่งตรงจากปากคุณพ่อเขาว่าห้ามตามใจบ่อย ตอนนี้น้องอยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนักตามคำแนะนำของคุณหมอนักโภชนาการ
“ทำไมล่ะ อร่อยออก”
“อร่อยแต่ทานบ่อย ๆ ไม่ดีนะครับ อาหารพวกนี้มีไขมันสูง ถ้าสะสมในร่างกายมาก ๆ อาจเป็นต้นเหตุของโรคร้าย ชีต้าร์ไม่กลัวหรือ” คราวนี้ท่านตรัสเป็นคนช่วยอธิบาย และดูท่าว่าการขู่ด้วยโรคภัยร้ายแรงจะทำให้น้องขยาดกลัวไม่น้อย เจ้าตัวเล็กถึงได้นิ่งไป
“ต้าร์ทานไปเยอะแล้วด้วยสิ ต้าร์จะเป็นโรคอะไรไหมพี่เท็ต พี่เท็ตต้องรอต้าร์โตแล้วหล่อเหมือนพี่ตรัสก่อนนะ อย่าเพิ่งมีแฟนไปก่อน” อะไรนะครับ วกมาเรื่องนี้ได้ยังไงหนู แล้วดูจริงจังกับการวางแผนอนาคตมากด้วย น่าหมั่นเขี้ยวจนอดส่งมือไปหยิกหยอกแก้มอิ่มเบา ๆ ไม่ได้
“พี่ตรัสไม่ทานฟาสต์ฟู้ดใช่ไหมฮะ ต้าร์ก็จะไม่ทานบ้าง จะได้หุ่นดี”
“พี่ออกกำลังกายด้วยครับ น้องต้าร์ออกกำลังกายบ้างไหม”
“ฮะ ที่โรงเรียนคุณครูให้วิ่งรอบสนามกับเต้นแอโรบิค แล้วเสาร์อาทิตย์ปะป๊าก็พาไปว่ายน้ำตลอด”
“ดีแล้วครับ ออกกำลังกายบ่อย ๆ ร่างกายจะได้แข็งแรง โรคภัยจะไม่เบียดเบียน เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะไม่ทานฟาสต์ฟู้ด ไปทานอาหารญี่ปุ่นกันดีไหม ทานปลาดีต่อสุขภาพ” ผมเสนอ แต่ก็ลืมไปว่าอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นปลาดิบ เด็กจะทานได้ไหมหว่า
“สุกี้ได้ไหมฮะ”
“สุกี้โอเคเลย ต้าร์ระบายสีเสร็จเมื่อไหร่ เราค่อยไปทานสุกี้กันนะ” ผมบอกไปอย่างนั้นชีต้าร์ก็ยู่หน้าอย่างขัดใจ รู้หรอกว่าจะเนียนให้พาไปทานเลย แต่เหลือระบายสีช่วงตัวกระต่ายอีกนิดหน่อยใช้เวลาครู่เดียวก็เสร็จแล้ว จะได้ไปทานข้าวเย็นอย่างสบายใจ กลับมาค่อยทำภาษาไทยกันต่อ
ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะวนหาที่จอดรถได้ ห้างสรรพสินค้าช่วงเย็นวันศุกร์ไม่ต่างอะไรกับความโกลาหลขนาดย่อม ทั้งผู้คนและรถราที่หนาตากว่าทุกวัน ทั้งด้านหน้าและด้านในแทบจะไม่มีที่ให้แทรกเดิน
เราสามคนยืนรอคิวไม่นานก็ถูกเรียกเข้าไปในร้าน ระหว่างนั้นตรัสมันกระซิบเบา ๆ ข้างหู “เหมือนพ่อแม่ลูกเลยนะ” ใครแม่ ไอ้เท็ตคนนี้เนี่ยนะแม่ กางเกงยีนส์เข่าขาดของกูไม่ช่วยให้ดูแมนขึ้นมาบ้างเลยใช่ไหม พูดเสร็จแล้วมันก็ขำ ก่อนผมจะหยุดความเส้นตื้นของมันด้วยหมัดหนัก ๆ ที่หัวไหล่จนคุณชายร้องโอยนั่นแหละ
ร้านสุกี้ชื่อดังที่มีหม้อสีแดงวางอยู่กลางโต๊ะ ผมสั่งชุดผักสุขภาพสำหรับชีต้าร์โดยเฉพาะ แต่สุดท้ายเจ้าตัวเล็กกลับตักแต่หมูกุ้งและลูกชิ้นลงจานตัวเองจนพูน ไหนว่าอยากหล่อเท่เหมือนพี่ตรัสไง เด็กหนอเด็ก
“ชีต้าร์ ผักพวกนี้ล่ะ”
“พี่เท็ตทานเยอะ ๆ นะฮะ พี่เท็ตผอมเกินไปนะ” ว่าแล้วก็ยื่นมือป้อมมาตักผักใส่จานผม เนียนได้อีก
“เมื่อตอนก่อนออกจากบ้าน ใครน้าบอกว่าอยากหุ่นดี” ชีต้าร์ที่นั่งอยู่ข้างผมก็หัวเราะคิกคักแต่ก็ไม่ใส่ใจ ลอยหน้าลอยตาตักลูกชิ้นเข้าปากคำใหญ่จนผมต้องปรามว่าระวังติดคอ ก่อนจะยื่นน้ำให้แล้วบอกน้องว่าเคี้ยวช้า ๆ
“เท็ต ให้ต้าร์ทำเองตัดสินใจเองบ้าง ถ้ามีลูกแล้วประคบประหงมแบบนี้ระวังจะเสียเด็ก” แล้วนี่ตรัสมันมาแนวไหนของชีวิต พูดซะทำให้เข้าใจผิดคิดว่ามันจะเป็นพ่อเด็กให้เลยเหอะ ไอ้เท็ตก็ขนลุกเกรียวสิครับ
“เดี๋ยวติดคอขึ้นมาทำไงล่ะ”
“บอกเฉย ๆ ไม่ต้องป้อนน้ำ ฝึกให้ต้าร์รู้จักคิดเอง”
“ใช่ครับ ต้าร์จะได้โตเป็นผู้ใหญ่แบบเท่ ๆ” ยังไม่จบเรื่องเท่ ชีต้าร์เคี้ยวช้า ๆ อย่างที่ผมบอกก่อนจะดื่มน้ำตามแล้วหันมาพูดเสียงใส ผมก็ลูบกระหม่อมเรียกขวัญให้เสียทีหนึ่ง
เราตกลงกันไว้ว่าจะไปสวนสนุกวันอาทิตย์ ซึ่งพรุ่งนี้ที่เป็นวันเสาร์เราก็ว่างทั้งวัน ดังนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีที่จะนั่งดูเบ็นเท็นเป็นเพื่อนชีต้าร์ แต่ว่าถ้าน้องเกิดเบื่อกลางคันล่ะแย่เลย ผมจึงเสนอให้ไปซื้อการ์ตูนพร้อมตุนขนมนมเนยที่ไขมันต่ำก่อนกลับบ้าน
▩▩▩