ทะลึ่ง : กามที่ 12
สวนเสือศรีราชา
แผนการเที่ยวถูกเปลี่ยนกะทันหันเนื่องจากเมื่อวานนี้ตอนที่ดูเบ็นเท็นจบไปหลายแผ่น ชีต้าร์บอกว่าเบื่อแล้วอยากดูเรื่องอื่นบ้าง ระหว่างที่เปลี่ยนแผ่นดีวีดีหน้าจอก็ตัดกลับไปเป็นสัญญาณฟรีทีวี มีรายการหนึ่งไปถ่ายทำที่สวนเสือพอดี เจ้าหนูชีต้าร์ดูแล้วก็บอกว่าอยากไป ตอนแรกไม่เข้าใจเพราะเห็นว่าน้องอยากเที่ยวสวนสนุกมากกว่า มารู้เหตุผลทีหลังว่าอยากเจอเพื่อน
เพื่อนของชีต้าร์...ก็เสือชีต้าห์ไง
ท่านตรัสไม่ขัดศรัทธา เจ้าสัวน้อยขอมาคุณชายใหญ่ก็จัดให้ ออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า เตรียมข้าวของตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งผมไม่หลงกลเดินออกมาดื่มน้ำกลางดึกอีกแล้ว เดี๋ยวจะโดนกล่าวหาว่าให้ท่าเพราะตรัสมันคุ้มดีคุ้มร้าย อยู่ด้วยกันสองคนไม่เห็นจะมีท่าทีประหลาดอะไร แต่พอมีเจ้าตัวเล็กมาอยู่ด้วยกลับพลิกบทเป็นคนโรคจิตเฉยเลย
วันนี้ชีต้าร์ใส่เสื้อยืดลายเบ็นเท็นตัวเก่ง พร้อมหมวกสีเขียวและนาฬิกาเข้าชุดกัน ส่วนคุณตรัสก็เชิ้ตกับยีนส์ธรรมดา แต่ก็เรียกสายตาจากผู้หญิงจนเหลียวหลังได้เหมือนเคย
“พี่เท็ต ต้าร์อยากได้” ผมเดินกลับมาจากช่องซื้อตั๋วก็ได้ยินเสียงใสร้องอ้อนทันที บริเวณด้านหน้าจะมีซุ้มขายของที่ระลึกเรียงรายอยู่หลายร้าน สิ่งที่ชีต้าร์อยากได้ไม่ใช่อะไรแปลกใหม่พิสดาร แค่มันคือตุ๊กตาเสือขนาดเหมาะมือ
“ได้สิ เดี๋ยวพี่เท็ตซื้อให้นะครับ แต่เราไปเดินเที่ยวข้างในกันก่อนนะ ขากลับค่อยแวะซื้อดีกว่าไหม” น้องพยักหน้า หันมองท่านตรัสที่ยืนอยู่ไม่ไกล รายนั้นเขากำลังให้ความสนใจกับรูปปั้นเสือที่อยู่ตรงป้ายใหญ่สำหรับถ่ายรูป อย่าบอกนะว่านอกจากไม่เคยเที่ยวสวนสนุกแล้ว เสือก็ไม่เคยเห็น
ผมเดินเข้าไปใกล้ ได้ยินมันกระแอมเบา ๆ ก่อนจะถามเสียงแผ่วติดเขินนิดหน่อย “นี่มันเท่าตัวจริงไหม” นั่นไง ไอ้คุณตรัสไม่เคยเห็นเสือจริง ๆ ด้วย
“เสือมันก็มีหลายขนาดเหมือนคนนั่นแหละ มึงตัวใหญ่ กูตัวเล็กแบบนี้ไง” แล้วผมก็อยากตะครุบปากคืนคำเดี๋ยวนั้น ชีต้าร์ที่จับมือผมอยู่มุ่นคิ้วก่อนจะปล่อยมือแล้วเดินไปคว้ามือตรัสแทน
“พี่เท็ตพูดไม่เพราะ” ซวยแล้วไง ผมย่อตัวนั่งลงก่อนตบปากเบา ๆ ไปสองสามทีเป็นการลงโทษตัวเอง ชีต้าร์ยิ้มแทนการให้อภัยแต่ก็ยังไม่ยอมเดินกลับมาผมอยู่ดี
“พี่เท็ตจะพูดเพราะ ๆ นะครับ สัญญา ถ้าพี่เท็ตพูดไม่เพราะอีกจะให้คุณครูชีต้าร์ลงโทษเลยนะ” ยกนิ้วก้อยขึ้นตรงหน้า ตัวเล็กก็หัวเราะคิกคักก่อนจะยอมยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวกัน
“สัญญาแล้วนะฮะ”
“ครับ สัญญา ๆ”
แต่จนแล้วจนรอดน้องก็ยังไม่ยอมมาเดินกับผมอยู่ดี ตอนนี้เราอยู่ในส่วนแรกของกิจกรรมชมความน่ารักของแม่เสือเลี้ยงลูกหมู และการดูแลอนุบาลลูกเสือพร้อมถ่ายภาพจนหนำใจ ซึ่งตากล้องไม่ใช่ใครที่ไหน ผมเอง ชีต้าร์ดูจะชอบใจกับโซนนี้มาก ยืนดูอยู่นานจนผมต้องบอกมีอีกอย่างอื่นที่น่าสนใจอีกเยอะ น้องจึงยอมเดินต่อไป
เราเดินผ่านซุ้มถ่ายภาพกับลูกเสือและลูกจระเข้มาเพราะว่าชีต้าร์บอกว่าตัวใหญ่เกินไป ไม่กล้าถ่ายด้วย ตรัสเองก็ทำหน้าแปลก ๆ ผมก็เลยสรุปเอาเองว่าไอ้หล่อก็กลัวเหมือนกัน
ส่วนต่อมาเป็นอุทยานกลางแจ้งที่เห็นได้จากโบชัวร์ว่ามีสัตว์อะไรบ้าง ทั้งกวาง ลา อูฐ หนูยักษ์ ลิง กระต่าย แต่ไฮไลท์เห็นจะเป็นงูเหลือมตัวเบ้อเริ่มที่นักท่องเที่ยวกำลังยกขึ้นมาพาดไหล่เพื่อถ่ายรูป ผมแกล้งหันไปถามชีต้าร์ว่าสนใจหรือเปล่า เจ้าตัวเล็กก็ส่ายหน้ายิก แต่ดูน้องจะถูกอกถูกใจเจ้าอูฐเป็นพิเศษก็เลยซื้อถั่วฝักยาวมาหลายกำ ป้อนจนมันเดินหนีชีต้าร์ถึงพอใจ ก่อนจะเดินไปดูอย่างอื่นบ้าง
ก้าวเข้าอุโมงค์มาก็ถึงส่วนจัดแสดงนางพญาแมงป่อง ชีต้าร์บอกว่ากลัวก็เลยพากันเดินพ้นมาอย่างรวดเร็ว ผมเคยมาที่นี่กี่ครั้งก็ยังนับถือความกล้าของเธอเสมอ เป็นผู้หญิงแท้ ๆ แต่เอาแมงป่องมาเดินอยู่บนตัว ก็เข้าใจว่ามีเสื้อป้องกัน แต่มันก็น่าหวาดเสียวไม่ใช่น้อยเลย
หลังจากนั้นก็มีกิจกรรมขี่ช้าง ชมโชว์เสือ โชว์จระเข้ และโชว์หมู ชีต้าร์กระดี๊กระด๊าใหญ่ บอกว่าหมูฉลาดบวกลบเลขเป็นด้วย ซึ่งความจริงครูฝึกเขาสอนมันให้คาบตัวเลขอย่างไรเราก็ไม่รู้ แต่ผมไม่อยากเอาหลักความจริงมาขัดจินตนาการ ไหลตามน้ำไปว่ามันเก่ง
พอสนุกสนานกันเต็มที่ คราวนี้ก็หิวสิครับ ตรัสที่อุ้มชีต้าร์ตั้งแต่เดินออกมาจากอุโมงค์นางพญาแมงป่องเริ่มถามผมเสียงอ่อนว่าหิวหรือยัง ผมพยักหน้าแต่ก็ยังเก็บภาพประทับใจไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งชีต้าร์บ่นว่าอยากเข้าห้องน้ำ ผมก็เลยยื่นกล้องให้ตรัสแล้วรับน้องมาอุ้มเอง ก่อนจะพาเดินไปห้องน้ำ
เสียเวลากับห้องน้ำไปพักใหญ่ทีเดียวเพราะคนเยอะ วันหยุดอย่างนี้ย่อมมีนักท่องเที่ยวหนาตา กลับออกมาก็เห็นคุณชายที่ควรยืนอยู่คนเดียวมีผู้หญิงสองคนยืนขนาบข้าง มิหนำซ้ำยังยิ้มแย้มเป็นกันเองอย่างผิดวิสัย ดูท่าว่าจะไม่ใช่คนแปลกหน้าแน่ ๆ เจ้าหล่อนทั้งสองถึงได้หัวเราะหน้าระรื่นแบบนั้น หนึ่งในสองผมยอมรับเลยว่าสวยจับตา การแต่งตัวดูดีแม้จะมิดชิดไม่หวือหวา ผิดกับอีกคนที่ดูมั่นใจเกินพอดี กางเกงของคุณเธอนี่ไม่ต้องพูดถึง สั้นเต่อรัดติ้วเห็นทรวดทรงไปถึงไหน ๆ
พอผมเดินเข้าไปถึงระยะสายตาคุณชายก็หันมาแนะนำให้รู้จักกัน ทราบว่าเป็นพนักงานในบริษัทรามานุสรณ์จิวเวลรี่ คนหนึ่งเป็นพนักงานบัญชี ส่วนอีกคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ ถ้าให้คาดเดาจากการแต่งตัว ไม่ว่าใครก็คงคิดว่าคุณคนที่แต่งตัวจัดจ้านเป็นผู้ช่วยเลขานุการอย่างแน่นอน แต่เปล่าครับ อีกคนต่างหาก
“คุณเท็ตคือเพื่อนที่คุณตรัสจะพาไปทดลองงานที่บริษัทใช่ไหมคะ”
“ทราบหรือครับ” คุณว่าที่ประธานถามกลับ
“ทราบสิคะ ข่าววงในสื่อสารกันรวดเร็วทันใจกว่าซีเอ็นเอ็นเสียอีก” แล้วเธอก็หัวเราะ
คนถามคือพนักงานบัญชีที่มีชื่อว่าณรินทร์หรือคุณริน จากความน่าจะเป็นที่ว่าผู้ช่วยเลขานุการน่าจะทราบก่อนใคร แต่กลายเป็นว่าคุณเขาไม่พูดอะไร อาจเพราะพูดไม่เก่งหรือเอาแต่มองหน้าผมอย่างไรไม่ทราบถึงได้สงบปากสงบคำ ทั้งที่ผมชอบเวลาเธอพูดไปยิ้มไปมากกว่า เหมือนอย่างตอนที่เธอพูดว่ายินดีที่ได้รู้จักเมื่อครู่นี้ ดูมีเสน่ห์กว่าการยืนยิ้มนิ่ง ๆ เป็นไหน ๆ
“แล้วคุณนิสาทราบไหมครับ” ผมหยั่งเชิงถามบ้าง
“ทราบค่ะ รินเล่าให้ฟัง”
นิสาคือชื่อของเธอ เป็นผู้ช่วยเลขานุการของคุณปรมัตถ์ซึ่งทำหน้าที่บริหารงานแทนท่านประธานผู้ล่วงลับ ผมรู้ได้จากการลักจำบทสนทนาที่ผ่านหู ทำทีเป็นยืนมองชีต้าร์ดูดน้ำผลไม้จากแก้วใบโตที่ผมซื้อให้น้องหลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่เปล่าหรอก ผมกำลังหลบสองสายตาที่มองมาคนละแบบ
ตรัส...ที่มองอย่างจับผิด กับคุณสา...ที่ลอบมองอย่างมีนัยแอบแฝง
ใช่ว่าผมจะมองว่าไม่เหมาะสม เธอวางตัวดี ความมั่นใจที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเรียบร้อยทำให้ผมคิดว่าเธอน่าสนใจ ส่วนตรัสมันคิดอะไร ผมไม่รู้
ระหว่างทางกลับกรุงเทพฯ ชีต้าร์นั่งอยู่เบาะหลังเล่นกับตุ๊กตาเสือสองตัวจนผล็อยหลับไป ตอนอยู่ในร้านอาหารที่แวะไปฝากท้องก็ไม่ค่อยได้พูดอะไรกับตรัสนัก แค่ถามถึงเรื่องเอกสารฝึกงานนิดหน่อย มันบอกว่าติดต่อไว้แล้ว รอเขาส่งเอกสารกลับมาเท่านั้น
เย็นย่ำ คนขับถอดเรย์แบนกันแดดออกจากวงหน้าก่อนจะคลึงเบา ๆ ที่สันจมูกอย่างอ่อนล้า ผมที่นั่งหาววอด ๆ ก็หันไปถามด้วยความหวังดี “ขับให้ไหม”
“ง่วงขนาดนั้นจะขับถึงหรือเปล่า”
“ดูถูกว่ะ แค่หาว กูไม่ได้แอบงีบสักหน่อย”
“พูดไม่เพราะ” หลุดปากคำเดียว เสียวสันหลังไปสามสิบวิ หันมองน้องก็โล่งใจเพราะชีต้าร์ยังหลับสบายอยู่กับเจ้าเสือ ตัวหนึ่งเอามาหนุนหัวอีกตัวเอามากอด น่ารักจนอดเอี้ยวตัวส่งมือไปลูบแก้มอิ่มเบา ๆ ไม่ได้ หันกลับมานั่งพิงหลังกับเบาะ ชั่งใจอยู่สักพักก็เอ่ยปากเรียกชื่อมันเบา ๆ
“ตรัส...”
“ครับ”
“คุณรินน่ะ ไม่ใช่คนเดียวกับที่เคยเล่าให้ฟังใช่ไหม”
“เรื่องไหน”
“ก็พนักงานบัญชีที่ว่าเป็นผู้หญิงของ...คุณฉัตรพันธ์”
“ไม่ใช่ เรื่องมันเกิดมาหลายปีแล้ว คุณปู่ไล่ออกไปนานแล้ว” ก็รู้อยู่หรอก แค่อยากเบี่ยงประเด็นเป็นเรื่องอื่นก่อนเท่านั้น ผมขยับตัวหยุกหยิกจนตรัสเข้าใจผิดคิดว่าผมหนาวจึงปรับแอร์ให้ แต่ไม่ใช่ ผมกำลังนึกคำพูดอยู่ต่างหาก
“คุณสาเขาทำงานมานานหรือยัง”
“ทำไม”
“แค่สงสัย เห็นอายุยังน้อยอยู่เลย”
“สองปี เป็นผู้ช่วยคุณปรมัตถ์ที่เป็นเลขาฯ คนสนิทของคุณปู่อีกที” มันตอบเสียงเรียบ
“แล้ว...แต่งงานยัง” เพราะถามโดยที่มองหน้า ก็เลยเห็นว่ามันปรายตามามองผม รู้ไว้ไม่เสียหลายนี่หว่า ถามแค่นี้ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ผู้หญิงตรงสเปคก็ใช่ว่าจะมีมาบ่อย ๆ ถ้าเขาแต่งงานแล้วจะได้ปล่อยผ่านไป แต่ถ้าไม่...ค่อยว่ากันอีกที
“ยัง โสด”
“เหรอ”
“ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ เดี๋ยวไปอ่านแฟ้มประวัติที่ห้อง”
“อืม” ผมตอบรับสั้น ๆ แล้วคิดว่ามันจะจบแค่นี้ไหม...
มันไม่พูดไม่บอกอะไรอีก ไม่ถามต่อด้วยซ้ำว่าทำไมผมถึงสนใจคุณนิสานัก ถ้ามันถามผมก็จะอธิบายให้ฟัง ทั้งที่เป็นอย่างนั้น แต่มันดัน...เหยียบคันเร่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ
“ตรัส...ช้าหน่อย ชีต้าร์จะกลัวนะ” ผมแตะแผ่วที่ต้นแขน แต่มันไม่สนใจ อยากจะสบถเสียงดังแต่ก็กลัวน้องจะได้ยิน หันมองก็เห็นว่าเจ้าตัวเล็กยังหลับอยู่ และตรัสมันก็ยังดูมีความสุขกับการเร่งความเร็วต่อไป นั่งพิงหลังเกี่ยวพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียวไม่ยี่หระกับสิ่งรอบตัว
เหี้ย ใจเสียหนักเข้าผมก็กระทืบเท้าแล้วนั่งกอดอก รอดูว่าไอ้ตรัสจะหายบ้าเมื่อไหร่ แต่ไม่เลย มันยังเหยียบจนรถลอยละลิ่วเวลาตกหลุม โชคดีที่รถสายนี้ไม่เยอะ ไม่อย่างนั้นมันคงปาดซ้ายแซงขวาให้ผมได้เสียวไส้มากกว่านี้อีก เข้าใจว่ารถมึงแรง แต่โปรดพึงสังวรด้วยว่ากูยังไม่มีเมีย ช่วยเห็นใจกันหน่อยเหอะ
“พี่เท็ตฮะ ต้าร์ปวดฉี่” ...และเสียงสวรรค์นี้เองที่ทำให้ไอ้ตรัสชะลอความเร็วลง
ผมเดินออกมาจากห้องน้ำของปั๊มน้ำมันพร้อมชีต้าร์ เห็นไอ้ตีนผียืนพิงรถพร้อมกระป๋องกาแฟในมือ พอผมเปิดประตูกำลังจะก้าวขึ้นรถมันก็ยื่นกระป๋องน้ำอัดลมพร้อมขนมของชีต้าร์มาให้
“ขอโทษ” ไอ้หล่อง้อด้วยเป๊ปซี่ ผมจะหายโกรธดีไหม...
ตรัสไม่เคยผิดคำพูด มันยื่นแฟ้มประวัติของคุณนิสาให้ผมทันทีที่กลับถึงห้อง ผมก็รับมาแต่ไม่มีแก่ใจจะเปิดดูเท่าไหร่ ไม่อยากให้ผีเข้ามันอีก เอาไว้ฤกษ์ดีไม่มีผีไอ้ตรัสคอยรังควาน ผมค่อยแอบอ่านคนเดียวเงียบ ๆ แล้วกัน
ถึงจะอย่างนั้นมันก็ทำตัวประหลาดไปทั้งอาทิตย์ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาถามคำตอบคำตลอด ส่วนผมกับชีต้าร์ยังคงบันเทิงเริงใจกับการ์ตูนต่อไป เมื่อเช้าก็พากันออกไปเที่ยวห้างโดยที่ไอ้ตรัสมันอ้างว่าต้องเข้าบริษัทไปด้วยกันไม่ได้ แต่ผมก็ชิงเอารถมันมาขับ ส่วนว่าที่ท่านประธานเขามีราชรถมารับถึงที่ จนกระทั่งคุณศุภเชษฐ์โทรมาเมื่อกี้ และมีแววว่าความสุขของผมกำลังจะหมดลง
“กลับก่อนกำหนดหนึ่งวัน”
(( ครับ ชีต้าร์ไม่กวนใช่ไหม งอแงอะไรหรือเปล่า ))
“ไม่เลยครับ น้องน่ารักมาก ทำไมถึงกลับก่อนกำหนดล่ะครับ”
(( คุณแม่เขาคิดถึงลูกชายน่ะ บ่นว่าทนคิดถึงไม่ไหว อยากเห็นหน้าไว ๆ ก็เลยต้องรีบกลับ )) เข้าใจเลยครับเหตุผลนี้ คุณแม่ของชีต้าร์โทรมาคุยกับน้องเกือบทุกวัน เจ้าตัวเล็กก็อ้อนเอา ๆ บอกคิดถึงบ้างล่ะ อยากกอดบ้างล่ะ ปากหวานออกปานนี้แล้วใครจะทนได้
“จะมารับน้องตอนไหนนะครับ ผมจะได้เตรียมกระเป๋ารอ”
(( แลนดิ้งพรุ่งนี้เช้า แต่อาจจะไปรับได้ช่วงบ่าย ๆ ยังไงก็ขอบคุณมากเลยน้องเท็ต ไว้พี่จะเอาของฝากไปให้นะ ))
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่เชษฐ์ เกรงใจเปล่า ๆ ผมก็ได้น้องต้าร์เป็นเพื่อนแก้เหงาไปเกือบทั้งอาทิตย์เลย มารับกลับไปผมคงคิดถึงแย่”
(( ก็มาเที่ยวหาน้องสิ พูดอย่างกับห่างกันข้ามประเทศ ))
“จริงด้วยนะครับ” ผมหัวเราะ
หลังจากวางสายผมก็เดินไปหาชีต้าร์ที่กำลังนั่งระบายสีอยู่ที่ระเบียง น้องดีใจใหญ่ในตอนแรก แล้วก็เปลี่ยนมาทำหน้าเศร้าบอกคิดถึงพี่เท็ต การเป็นเด็กนี่ดีจริง ๆ รู้สึกอย่างไรอารมณ์ไหนไม่ต้องคาดเดา เพราะเขาจะแสดงออกมาทางสีหน้าและแววตาจนหมด ผิดกับผู้ใหญ่บางคนที่ตอนนี้จวนจะค่ำอยู่รอมร่อก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาเลย
เมื่อคืนผมอยู่กับชีต้าร์แค่สองคน...
ตรัสไม่กลับมา ผมไม่กล้าแม้แต่จะโทรไปถามว่ามันอยู่ที่ไหน นอนกับใครด้วยซ้ำ ทั้งที่มันไม่เคยเป็นแบบนี้ ปกติถ้ามีธุระจำเป็นต้องกลับดึกมันจะโทรมาบอกก่อนเสมอ แต่คราวนี้หายไปเลยทั้งคืน อยากจะโทรไปหาซันแต่ถ้ามันไม่อยู่ด้วยกันผมก็จะกลายเป็นคนสอดรู้อีก ตอนนี้ก็เลยทำได้แค่รอ
ระหว่างนี้ก็เก็บข้าวของชีต้าร์ใส่กระเป๋ารอคุณพ่อเขามารับ น้องก็พูดไปตามประสาเด็กว่าอยากให้พี่เท็ตไปรับกลับมานอนด้วยทุกเสาร์อาทิตย์ ผมก็บอกไปตามตรงอย่างมีเหตุผลว่ากำลังจะฝึกงาน ไม่มีเวลาเที่ยวเล่นเหมือนอย่างตอนนี้แล้ว น้องก็เข้าใจ พร้อมทั้งให้สัญญากันเสร็จสรรพว่าถ้ามีเวลาว่างจะไปหาน้องบ่อย ๆ
และขณะที่กำลังพาน้องเสือสองตัวจากศรีราชาลงไปนอนในกระเป๋าอยู่นั้น เสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้น แวบแรกผมนึกดีใจว่าเจ้าของห้องกลับมาแล้ว แต่ไม่ใช่แน่ ถ้าเป็นตรัสมันจะเปิดเข้ามาเลยไม่เคยกดออดสักที
“เท็ต ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่อาทิตย์ มีลูกโตขนาดนี้แล้วเหรอวะ” สัด อยากจะทักทายด้วยคำนี้จริง ๆ แต่ติดที่ว่าชีต้าร์ยืนอยู่ใกล้ น้องอาจได้ยินคำแสลงหู
แซนมันก้าวเข้ามาในห้องก่อนจะย่อตัวนั่งลงตรงหน้าน้องแล้วยื่นมือไปลูบแก้มอิ่มเบา ๆ รู้และเข้าใจอารมณ์มันเพราะผมเคยเป็นมาก่อน ชีต้าร์น่ารักขนาดนี้ ใครไม่หลงตั้งแต่แรกเห็นก็ให้รู้ไปสิ
“น่ารักจังเลยครับ ลูกใครวะเท็ต”
“ลูกพี่เชษฐ์”
“หา ชีต้าร์เหรอเนี่ย เคยเห็นตั้งแต่แบเบาะ ตอนนี้โตเป็นหนุ่มแล้วนี่นา” ชีต้าร์หัวเราะคิกคัก
“ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ คุณพ่อไปไหนครับ”
“พี่เชษฐ์มีสัมมนาที่ไปต่างประเทศ แม่ชีต้าร์ก็ไปด้วย แต่น้องไม่อยากไปก็เลยมาฝากไว้นี่”
“แล้วนี่ไอ้ตรัสไปไหนวะ ยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
“รู้ได้ไงว่ามันไม่อยู่”
“รู้สิ ก็มันฝากเอกสารฝึกงานไว้ที่กูตั้งแต่เมื่อคืน” ผมยกนิ้วจรดริมฝีปากพร้อมทำเสียงชู่ กูเต็มปากเชียวนะมึง
“เดี๋ยวค่อยคุยกัน พาชีต้าร์ไปอาบน้ำเก็บข้าวของก่อน” มันพยักหน้า
แขกที่ไม่ได้รับเชิญกำลังนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาตอนที่ผมอาบน้ำให้ชีต้าร์และจัดกระเป๋าน้องเสร็จแล้ว ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวเล็กยังอยู่ในห้องนอนและกำลังตั้งอกตั้งใจดูหนังสือนิทานที่ผมซื้อให้ตั้งแต่เมื่อวานตอนไปเที่ยวห้างกัน
“แซน...ตื่น” ผมเรียกไอ้คนที่นอนพักสายตาให้ลุกขึ้นมาคุยกัน มันขยับไปนั่งด้านหนึ่งของโซฟา ก่อนจะยื่นซองเอกสารให้มา ผมเปิดดูด้านในก็เห็นเอกสารพร้อมลายเซ็นอนุมัติยอมรับนักศึกษาฝึกงาน
“ไปเจอมันที่ไหน”
“ห้องซัน เมื่อคืนมันนอนกับซัน”
“อะไรของมันวะ ไม่เห็นโทรบอกกูสักคำ”
“ทะเลาะอะไรกัน เห็นคุณชายมันหน้าเครียด ๆ”
“เปล่าว่ะ ก็ปกติดี” มั้ง
“ใช่เหรอ ไม่ใช่ทะเลาะกันหรอกเหรอ” มันลากเสียงยานคาง กวนประสาทสุดฤทธิ์ “ถ้าอย่างนั้นมันคงมีอะไรต้องคุยกับซันหรือเปล่า ไม่เจอกันสักพักแล้วด้วย”
“ใช่ พักใหญ่ ๆ มึงเองก็ไม่โทรมาหากูเลย โทรไปก็ไม่เคยจะรับ ติดต่อไม่ได้บ้าง สายไม่ว่างบ้าง” ผมค่อนขอด
“ที่บ้านยุ่งนิดหน่อยว่ะ ช่วงนี้แม่เดินทางบ่อยเรื่องที่ดินนั่นแหละ แต่ท่านไม่ค่อยไว้ใจคนขับก็เลยใช้กูดะเลย”
“เหรอ แล้วเรื่องพี่เขยมึงนี่ยังไง”
“ใครเล่าให้ฟังอีกล่ะ เชี่ยซันล่ะสิ”
“เออ มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า”
“ไม่มี แต่ยังไงกูก็คงต้องไปฝึกงานที่สุราษฎร์ฯ โดนแม่บังคับ มึงจะเข้ามหา’ลัยไปยื่นเอกสารบ่ายนี้พร้อมกูเลยไหม ไหน ๆ ตรัสมันก็ฝากมาให้แล้ว” ฟังแล้วทะแม่งหู ดูมันจงใจเฉไฉเปลี่ยนเรื่องยังไงไม่รู้
“มันบอกไหมว่าวันนี้ไปไหน จะกลับคอนโดหรือเปล่า”
“ไม่รู้เหมือนกัน กูแค่บอกว่าวันนี้จะมาหามึง มันก็ฝากมาด้วยแค่นั้น ไม่โทรไปถามมันเองล่ะ หรือว่าทะเลาะกันจริง ๆ”
“ก็บอกว่าเปล่า แต่ตรัสมันทำตัวแปลก ๆ มาหลายวันแล้ว ไม่รู้เป็นห่าอะไร ถามอะไรไปก็ไม่ค่อยตอบ สงสัยจะวัยทอง”
“วัยทองแต่หล่อขนาดนั้น กูยอมฟ้าเหลืองว่ะ” ไม่ขัดศรัทธา สิ้นประโยคผมก็ตบหัวมันสังเวยวาจาไปเต็มแรงหนึ่งที เอาหน้ามืดไปก่อนแล้วกันมึง
“เจ็บ อย่าเล่นตัวนักสิวะเท็ต ตรัสมันรูปหล่อปู่รวยก็ง้อ ๆ มันหน่อย ทะเลาะอะไรกันก็ดีกันซะ ถ้ามันหันไปหาผู้หญิงคนอื่นแล้วน้ำตาเช็ดหัวเข่า จะหาว่าพี่แซนไม่เตือน”
“กูไม่เอาเพื่อนทำเมียว่ะแซน เพราะตอนนี้กูมีเป้าหมายใหม่” ผมขยับตัวอย่างตื่นเต้น แซนมันก็บ้าจี้ขยับตาม
“ใครวะ”
“ชื่อคุณนิสา ทำงานอยู่บริษัทไอ้ตรัส”
“เหี้ยอะไรนะ” ทั้งที่ผมกำลังจะเล่าความลับขั้นสุดยอดให้ฟังแต่แซนมันเสือกทำหน้าอย่างกับฟ้าถล่ม ไม่สอดรู้สอดเห็นเหมือนอย่างทุกทีแถมยังชักสีหน้าประหลาดสุดหูรูด
“สวย เรียบร้อย กูชอบ”
“ไอ้ตรัสรู้ไหม”
“น่าจะรู้ เจอกันอาทิตย์ก่อนตอนไปสวนเสือ”
“ทำไมชอบ เขาทอดสะพานให้หรือไง เพราะปกติมึงไม่เคยเข้าหาผู้หญิงก่อน ถึงจะชอบแอบมองทรงเขาก็เถอะ”
“ก็ไม่เชิงหรอก แต่ดูไปแล้วเขาก็คงสนใจกูอยู่เหมือนกัน อิจฉาล่ะสิ”
“อิจฉาห่าอะไร เตรียมตัวบรรลัยเถอะงานนี้ ตัวใครตัวมันแล้วกันนะเท็ต ถึงกูจะรักมึงมากแต่กูก็รักตัวเองเหมือนกัน” มันตบไหล่ผมแปะ ๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี อะไรคือบรรลัย ทำไมต้องบรรลัย แทนที่จะอวยพรให้เพื่อนได้ผู้หญิงดี ๆ มาเป็นแฟน แทนที่อวยชัยให้ได้กันเร็ว ๆ มันเสือกแช่ง
“มึงพูดอะไร กูขอภาษาคน”
“เดี๋ยวมึงก็เข้าใจเอง แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้กูไม่สงสัยแล้วว่าทำไมตรัสมันถึงไปนอนกับซัน แล้วนี่คุณศุภเชษฐ์จะมารับชีต้าร์ตอนไหน”
“บ่าย ๆ ถ้าน้องกลับแล้วค่อยไปมหา’ลัยกัน ชุดนักศึกษากูอยู่ไหนก็ไม่รู้”
“เตรียมชุดนอนด้วยก็ดี คืนนี้ไปนอนกับกูเลยก็ได้ ตรัสมันคงไม่อยากนอนที่นี่กับมึงสองคนแน่ เพราะชีต้าร์ก็ไม่อยู่แล้ว”
“ทำไมวะ”
“เถอะน่า เชื่อกู...”
“มึงยังไม่พร้อมจะรับรู้หรอกว่าที่จริง...ตรัสมันเป็นคนยังไง”▩▩▩