ทะลึ่ง : กามที่ 13
ผมกำลังหลงทาง...
แซนมันว่าอย่างนั้นหลังจากที่กลับออกมาจากมหาวิทยาลัยและกำลังมุ่งหน้าไปบ้านแสนสุข คุณน้าโฉมฉายรับทราบการเดินทางไปของแขกทางโทรศัพท์ ทั้งที่บอกไปแล้วว่าอย่าทำให้ยุ่งยากเพราะผมนอนตรงไหนกินอะไรก็ได้ แต่ไอ้แซนมันก็ไม่ฟัง
คำว่าหลงทางที่ว่า...ไม่ได้หมายถึงถนนสายใหญ่ที่กำลังมุ่งหน้าไป แต่เป็นการอุปมาอุปไมยถึงตัวผมเอง มันพูดจาสู่รู้บอกให้ผมลองทบทวนเรื่องตรัสอีกที มันบอกว่าผมไม่ผิดที่จะคิดเรื่องนี้ด้วยสมอง
แต่อยากให้ลองตรองดู...ด้วยหัวใจ
สงสัยมันจะดูลิเกมากไป ผมก็แค่มนุษย์ธรรมดาที่เสพติดคำว่าเรียบง่าย โตมาจากครอบครัวที่สุขสบายไม่มีเรื่องยุ่งยาก แล้วทำไมผมจะต้องใส่ใจกับเพื่อนคนหนึ่งที่เคยมีอะไรเกินเลย...แค่ครั้งสองครั้ง
ไม่เถียงว่ารู้สึกดี...มาก แต่ก็อย่างว่า ผู้ชายเหมือนกัน มันไม่ท้องผมไม่ท้องก็ไม่มีอะไรต้องติดใจ ตรัสจูบเก่ง อันนี้ก็ยอมรับกันตามตรง จูบของมันเหมือนมาร์ชเมลโลหอมหวานนุ่มลิ้น แต่ถ้าไม่กินก็ไม่ตาย
เรื่องของเรื่องคือ...ผมไม่ชอบเวลามันโกรธ ทะเลาะกับท่านแล้วรู้สึกคันยุบยิบในใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับยังไงชอบกล ตอนปีสองเคยจีบหญิงไม่ติดแล้วพาลไปลงกับมัน พอดีว่าน้องเขามีเจ้าชายในดวงใจแล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ไอ้คนที่นั่งกินข้าวอ่านหนังสือด้วยกันทุกวี่วัน แต่ท่านตรัสมันเมินทั้งที่ผมทุ่มเทแจกขนมจีบแทบตาย ก็เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่โต สุดท้ายได้ซันมาช่วยไกล่เกลี่ยผมก็เลยขอโทษมันไป หลังจากนั้นก็โล่งใจอย่างกับยกภูเขาออกจากอก
ว่าก็ว่าเถอะ ผมจับไต๋คุณชายได้อย่างหนึ่งนะ ถ้าเห็นแววว่าพายุจะตั้งเค้าก็แค่เอาปากไปประกบ แล้วเรื่องก็จะจบแบบง่าย ๆ ไม่ต้องมาง้องอนกันให้เสียเวลา จรรโลงใจกว่าการเห็นมันโกรธเป็นไหน ๆ
แต่เรื่องพวกนี้จะให้รู้ถึงหูไอ้แซนไม่ได้เด็ดขาด เพราะดูมันจะคาดหวังกับการจับคู่ผมกับตรัสเอามาก ๆ ทั้งที่เมื่อก่อนผมกับมันก็ล่มหัวจมท้ายหม้อน้องปีหนึ่งด้วยกันมานับไม่ถ้วน แต่พอมันเห็นว่าผมจีบใครไม่ติดสักทีก็เลยจับใส่ตะกร้าล้างน้ำแล้ววางบนพานถวายให้คุณชายเอาดื้อ ๆ
“ตรัสมันไม่มีแฟนเหรอวะแซน” ไอ้ตี๋สองที่กำลังหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าปั๊มถึงกับเสียจังหวะ เห็นว่าชวนคุยตอนนี้คงไม่ปลอดภัยก็เลยเงียบปากไปก่อน รอจนกระทั่งเด็กปั๊มเอาบิลมาส่งพร้อมเงินทอนแล้วไอ้แซนก็เคลื่อนรถมายังถนนสายหลักอีกครั้งนั่นแหละ ผมถึงย้ำถามอีกหน “อย่าบอกนะว่ามีแต่มันเก็บงุบงิบไว้คนเดียวไม่ยอมบอกเพื่อนบอกฝูง สังคายนากันยาวแน่ประเด็นนี้”
“เออ กูก็ว่ายาว”
“อะไรยาว”
“ประเด็นมึงไง ทำไมถึงเข้าใจอะไรยากนักวะเท็ต กูล่ะอยากเป็นบ้าแทนไอ้ตรัสวันละหลายสิบหน” มันปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะเอาหัวโขกพวงมาลัยไปหนึ่งที
“เอาอย่างนี้...กูขอถามอะไรมึงหน่อย” ไอ้แซนมันชะลอน้องโฟล์คสวาเกนคันงามก่อนจะจอดสนิทที่จุดพักรถ หันมาประจันหน้าแล้วพ่นลมหายใจรดกันเป็นการเกริ่นนำ มันกระแอมเบา ๆ ก่อนจะถามเสียงเรียบ “นอกจากจูบโชว์กูวันนั้นแล้วมึงทำอะไรกับมันไปบ้าง” สัดเอ๊ย ถามอะไรไม่ถาม ไม่คิดจะให้กูตั้งตัวบ้างเลยหรือไง ถ้ากูช็อกตายใครจะรับผิดชอบ
“จะรู้ไปทำไม”
“เอ้า มึงเองยังอยากรู้เลยว่าตรัสมันคบใครหรือเปล่า กูเองก็อยากรู้ว่าเพื่อนที่จูบกันโชว์กูมันเป็นอะไรกัน” ผมนิ่งไปพักใหญ่ ไม่รู้จะตอบมันว่าอะไรดี มีรถราแล่นผ่านไปหลายคันก็เฉไฉหันไปมองเสียอย่างนั้น จนไอ้แซนมันต้องปรบมือใส่หน้าก่อนถามย้ำมาอีกหน
“ว่าไง ตัวกูเองยังไม่เคยคิดจะจูบไอ้ตรัสโชว์มึงเลยนะ” แค่คิดก็ขนลุกแล้วไหม มึงกล้าลอยหน้าลอยตาพูดให้กูฟังได้ยังไง เพื่อนเวร
“ทำอะไร มึงจะให้กูทำอะไรมัน ตัวใหญ่ยักษ์ขนาดนั้น กูกดไม่ลงหรอก”
“แล้วในทางกลับกัน มันกดมึงแล้วใช่ไหม” โอ๊ย สัดแซน มึงจะต้อนกูทำหอกอะไร
“กูว่านี่มันชักไม่เกี่ยวกับเรื่องที่กูถามแล้วนะ”
“เกี่ยวยิ่งกว่าเกี่ยว คบกันมาจะสี่ปีอยู่แล้ว มันเคยสีผู้หญิงให้มึงเห็นสักคนไหม”
“เพราะกูไม่เคยเห็นถึงได้ถามมึงอยู่นี่ไง ลับหลังมันอาจคาสโนว่าตัวพ่อก็ได้ ใครจะรู้”
“มันไม่มี มึงรู้อยู่แก่ใจ” อย่าแซน...อย่ามาตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ
“กูไม่รู้ กลับจากมหา’ลัยกูไม่เคยไปซุ่มดูว่ามันไปไหนกับใครบ้าง ต่างคนต่างอยู่ตลอด จะมีก็แต่ช่วงนี้ที่ได้ไปอยู่กับมันนี่แหละ”
“ถ้าอย่างนั้นมึงช่วยบอกเหตุผลที่ย้ายไปอยู่กับมันให้กูฟังหน่อย”
“มันขอ”
“แล้วทำไมมึงถึงยอม”
“เพราะฟรี”
“โอ๊ย...เท็ต” ร้องอย่างกับเจ็บปวดนักหนาแต่ว่าผมยังไม่ได้แตะตัวมันแม้แต่ปลายเล็บ มันคงเบื่อบทสนทนาที่ไม่รู้จะคุยไปทำไม ก็เลยกระชากรถออกมาจากตรงนั้นโดยไม่พูดอะไรต่ออีกเลย
ผมก้าวเข้ามาในบ้านของครอบครัวภัทรกูลโดยมีลูกชายเดินนำหน้า ทักทายบุพการีเพื่อนก่อนจะก้าวขึ้นไปยังชั้นสองแล้วตรงดิ่งไปห้องนอนของมัน ไม่ว่าจะมาสักกี่หนก็รู้สึกว่าบ้านหลังนี้ใหญ่เกินไปสำหรับพ่อแม่ลูกแค่สี่คน แต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังดำเนินอยู่คงดูหลอกลวงชอบกลหากเจ้าของกิจการอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ยืนมองจากระเบียงห้องไอ้แซนลงไปด้านล่างก็เห็นคนสวนกำลังขะมักเขม้นจัดแต่งกิ่งไม้เลื้อย มองเพลิน ๆ จนไม่ทันสังเกตว่ามีคนอื่นเข้ามาอยู่ในห้องด้วย
“น้องเท็ต น้าเอาขนมมาให้รองท้องก่อนจ้ะ” ผมรีบก้าวขาฉับกลับเข้าห้องหลังจากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของน้าโฉมฉาย คุณแม่ของแฝดสอง ท่านเดินเข้ามาในชุดผ้ากันเปื้อนสีหวานพร้อมถาดคุกกี้ อีกทั้งยังมีน้ำส้มเหยือกใหญ่
“ขอบคุณครับน้าโฉม เท็ตกำลังหิวอยู่พอดีเลย”
“มาชิมให้น้าหน่อยสิจ๊ะ เจ้าแซนชอบติว่าหวานเกินไปทั้งที่น้าว่ากำลังดีแล้ว” ผมหยิบคุกกี้มะพร้าวจากจานมาชิมตามคำเชิญ รสละมุนที่ปลายลิ้นและกลิ่นหอมของมันทำให้ผมที่กำลังมึนตึงกับคำพูดของไอ้ตี๋ตอนที่อยู่บนรถผ่อนคลายลงได้มาก
“พอดีแล้วครับ ไม่หวานเกินไปหรอก อร่อยมากเลย”
“อร่อยก็ทานเยอะ ๆ นะ ถ้าไม่พอมีอีกเยอะเลย น้าขอตัวก่อนนะจ๊ะ”
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
ทุกครั้งที่มาผมจะได้ลิ้มชิมรสขนมฝีมือคุณน้าโฉมฉายเสมอ ส่วนลูกชายเธอไม่ชอบของหวาน มักแต่สุราเมรัยก็เลยตินั่นตินี่ว่าหวานไปหมด แต่ซดเหล้าขม ๆ ไม่เห็นจะบ่นสักแอะ ระหว่างนั้นคนถูกนินทาในใจก็ก้าวออกมาจากห้องน้ำพอดี เปลี่ยนจากชุดนักศึกษาเป็นชุดลำลองสบาย ๆ พอผมเห็นแบบนั้นก็นึกอยากเปลี่ยนบ้างเลยเดินไปค้นกระเป๋า
“เรื่องที่คุยกันบนรถยังไม่จบนะ” ไอ้แซนพูดพร้อมกับนั่งลงบนเตียง ผมเดินเลี่ยงไปหยิบผ้าขนหนูในตู้เสื้อผ้ามันก่อนจะเค้นเสียงตอบ “จบเหอะ”
“ทำไมมึงไม่ลองถามตรัสมันดูล่ะว่ามันมีแฟนไหม คบกับใครอยู่หรือเปล่า อาจจะได้คำตอบเด็ด ๆ จนมึงนึกไม่ถึง”
“ตอนนี้กูไม่อยากรู้ละ อยากอาบน้ำมากกว่า”
“มึงนี่มัน...อย่าลืมโทรไปบอกตรัสมันด้วยว่าจะนอนกับกู”
“กูแปะโน้ตทิ้งไว้ที่หน้าห้องมันแล้วไง ไม่อยากโทร กลัวมันไม่ว่าง” แล้วก็นึกข้ออ้างอย่างอื่นไม่ออก ก็เลยผลุบเข้าห้องน้ำไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ผมอาบน้ำไม่นานเพราะไม่อยากโอ้เอ้เสียเวลา ด้วยความหิวก็เลยรีบแต่งตัวเร็ว ๆ แล้วก้าวออกมาจากห้องน้ำ เห็นไอ้แซนกำลังนั่งคุยโทรศัพท์และดูมันลุกลี้ลุกลนจนผิดสังเกตตอนผมเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะได้ยินมันขอวางสายแล้วเงยหน้ามามองผม
“คุยกับใครวะ”
“ซันโทรมา”
“มันว่าไงบ้าง ตรัสอยู่ด้วยหรือเปล่า”
“ไม่อยู่ว่ะ ไปบริษัทตั้งแต่เช้าแล้ว ซันมันแค่โทรมาบอกว่าจะกลับมานอนที่นี่” ผมพยักหน้ารับรู้แต่คิดในใจว่าไม่ใช่แน่ เรื่องแค่นั้นจะแอบกระซิบกันเหมือนกลัวว่าผมจะได้ยินทำไม ถ้ารู้ว่าซันจะกลับมานอนบ้านมันคงตะโกนให้ผมได้ยินตั้งแต่อยู่ในห้องน้ำแล้วเถอะ แต่ไม่มีแรงจะซักไซ้ เพราะตอนนี้ท้องผมมันร้องประท้วงขึ้นมาอีกหนแล้ว
“หิวยัง เมื่อกี้แม่ให้เด็กมาตามลงไปกินข้าว บอกว่าจัดโต๊ะเสร็จแล้ว”
“นั่นน่ะ เรื่องใหญ่เลยเห็นไหม กูบอกแล้วว่าไม่ต้องบอกล่วงหน้า น้าโฉมเลยต้องวุ่นวาย”
“วุ่นที่ไหน ดีซะอีก มึงมาทีไรกูได้กินแต่อาหารดี ๆ ตลอด” มันทำหน้ากรุ้มกริ่ม ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้เถอะว่าที่แท้เป็นแผนของมัน
ระหว่างที่ผมกำลังสวาปามอาหารสารพัดอย่างอยู่ที่ห้องโถงพร้อมไอ้แซนและน้าโฉม ไม่ครบองค์ประชุมเพราะคุณพ่อของแซนต้องไปบริษัทกะทันหันยังไม่ทันได้ร่วมโต๊ะอาหาร มีผู้ชายสองคนก้าวเข้ามาในบ้านอย่างเงียบเชียบไม่เอิกเกริก แต่ก็ทำให้ทุกคนวางช้อนของตัวเองได้โดยปริยาย
“อ้าวคุณพี มาได้ยังไงคะเนี่ย ไม่โทรมาบอกน้าก่อน จะได้รอทานอาหารพร้อมกัน นั่งก่อนสิคะ” คุณโฉมฉายรับไหว้แขกที่มาใหม่ บอกแม่บ้านที่ยืนอยู่ไม่ไกลให้นำจานมาเพิ่ม ก่อนจะหันไปเบ้หน้าใส่ผู้ชายอีกคนที่เดินเข้ามาจรดปลายจมูกกับผิวแก้มที่แลดูเรียบตึงกว่าอายุจริง
“คิดถึงจังครับแม่” คนเป็นแม่ตีเบา ๆ ไปที่ต้นแขนแข็งแรง
“คิดถึงอะไรกัน ไม่เห็นซันมาหาแม่บ้างเลย ดูอย่างเจ้าแซนสิ มาวันเว้นวันเลยด้วยซ้ำ” น้าโฉมค่อนไปอย่างนั้นก่อนจะหันมาหาอีกคนที่จงใจนั่งลงข้างไอ้แซน ผมที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามก็เลยเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าไอ้ตี๋สองมันชักสีหน้าเบื่อหน่ายขนาดไหน จำใจหันไปไหว้พี่เขากระดกกระเดิดยังไงชอบกล
“แล้วนี่มากับน้องซันได้ยังไงคะคุณพี”
“พอดีขับรถสวนกันที่หน้าหมู่บ้านครับ ซันก็เลยชวนมา”
“แล้วไม่พาน้องมาด้วยหรือคะ น้าไม่เจอน้องนานแล้วเหมือนกันนะ บอกให้เจ้าแซนพาไปก็อิดออดเดี๋ยวปวดหัวเดี๋ยวปวดหลังอะไรนักไม่รู้ ทั้งที่น้าก็ดูออกว่าเจ้าแซนน่ะชอบน้องพิชญ์”
“แม่...” คนที่โดนพาดพิงอิดออดประท้วง ผมไม่เห็นว่ามันจะขวยเขินหน้าแดงอย่างที่ควรจะเป็น ยังนั่งทำหน้าซังกะตายอยู่เหมือนเดิม เห็นทีข้อมูลเรื่องนี้ของน้าโฉมจะผิดพลาด
พิชญ์ของน้าโฉมคงหมายถึงรพีพิชญ์ที่ซันแซนเรียกติดปากว่ารพี จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้พบประสบพักตร์เจ้าหล่อนเลย อยากจะเห็นว่าหน้าตาสะสวยคู่ควรกับคุณศาสตราวุธแค่ไหน จะหน้าตาดีสูสีกับพี่ชายที่นั่งหล่ออยู่ตรงนี้หรือเปล่า
“ก็ว่าจะพามาด้วยกันครับแต่วันนี้พิชญ์ติดเรียน สัปดาห์หน้าก็สอบกลางภาคแล้วด้วย ช่วงนี้ก็เลยไม่มีเวลาเถลไถล”
“ถ้าอย่างนั้นสอบเสร็จแล้วพาน้องมาเที่ยวหาน้าบ้างนะคะ น้องคุยสนุก ปกติก็ได้น้องพิชญ์นี่แหละเป็นเพื่อนคุย ช่วงนี้ที่บ้านเงียบเหงาไปเยอะเลย”
“ได้สิครับ เอาไว้ยายพิญช์สอบเสร็จเมื่อไหร่ผมจะพามาหาคุณน้าทันที” คุณน้าคนสวยได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มกว้าง
“มัวแต่คุยเพลิน ทานข้าวกันดีกว่าจ้ะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดหมด”
ผมมีโอกาสถามไถ่หลังจากนั้นว่าจำกันได้ไหม ที่โผล่ไปกินฟรีนอนฟรีที่รีสอร์ทเมื่อเดือนก่อน คุณเขาก็บอกว่าจำได้ดี มีกันอยู่ไม่กี่คนจำหน้าได้แม่นแถมยังจำชื่อได้อีก ผมก็เลยหมดเรื่องที่จะชวนคุยไปโดยปริยาย
และหลังจากนั้นผมก็ไม่รู้จะกลั้นยิ้มยังไงไหว ไอ้หน้าบูด ๆ เป็นตูดลิงบาบูนของไอ้แซนมันตลกยิ่งกว่ามิสเตอร์บีนเสียอีก เห็นคุณพีระมิดตักแครอทจากชามต้มจืดให้ ไอ้แซนก็เขี่ยไว้ข้างจานแบบไม่ใส่ใจจะตักเข้าปาก แต่ยังมีแก่ใจยื่นมือไปตักพริกขี้หนูที่ลอยอยู่ในชามต้มยำปลามาใส่จานอีกฝ่ายกลับคืนไป จนกระทั่งซันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เห็นว่าผมไม่ไหวแน่ ก็เลยส่งข้อศอกกระทุ้งมาเบา ๆ ปรามไว้
ช่วยไม่ได้นี่หว่า ผมไม่เคยเห็นไอ้แซนโหมดนี้ ดูพ่อแง่แม่งอนยังไงชอบกล ถ้าไม่ติดที่ว่าจะเป็นพี่เขยน้องเขยกันอยู่รอมร่อ ผมจะขอจับคู่ให้ซะเลยเหอะ
เมื่อมื้ออาหารสุดสำราญสิ้นสุดลง ผมเดินกลับขึ้นมายังห้องนอนไอ้แซนเพื่อจัดการกับสัมภาระที่เพิ่งขนมา จะให้อยู่กี่วันมันก็ไม่บอก ผมเลยยัด ๆ มาเท่าที่กระเป๋าใบเล็กจะเอื้ออำนวย แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นตอนที่ผมกำลังยัดกระเป๋าเปล่าเก็บเข้าตู้พอดี
“สวัสดีครับผม”
(( พี่เท็ตฮะ คิดถึงจังเลย )) ปากหวานแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากน้องชีต้าร์ผู้น่ารัก
“คิดถึงกันแล้วเหรอครับ ปะป๊าเพิ่งมารับไปเมื่อบ่ายเองนะ”
(( คิดถึงแล้ว คิดถึงมากด้วย ))
“พูดแบบนี้คุณแม่น้อยใจแย่เลย ไม่เจอหน้าลูกชายตั้งหลายวัน พอเจอกันลูกชายกลับคิดถึงคนอื่น”
(( ก็นึกว่าปะป๊าจะไปรับพรุ่งนี้นี่นา ต้าร์ยังไม่ได้สารภาพรักกับพี่เท็ตเลย )) เอาแล้วไง โดนเจ้าเด็กแก่แดดพูดหยอดใส่อีกแล้ว
“สารภาพรักอะไรกันฮึ ตัวแสบ”
(( ก็สารภาพรักแบบหนังญี่ปุ่นไง ต้าร์ชอบดูมาก ๆ พระเอกบอกนางเอกว่าแอบชอบมานานแล้วนะ หลังจากนั้นก็จูจุ๊บกัน แล้วหนังก็จบแบบมีความสุข )) ผมควรเตือนภรรยาของพี่เชษฐ์หน่อยไหมว่าให้คัดกรองเนื้อหาของหนังที่จะเอามาเปิดให้ชีต้าร์ดู ไม่อย่างนั้นมีหวังได้เห็นลูกชายไปไล่จูบเพื่อนที่โรงเรียนแน่ แถมน้องยังไม่แคร์ด้วยว่าเพศไหนเป็นเพศไหน
ซวยไปนะครับคุณศุภเชษฐ์
ระหว่างนั้นสัญญาณเตือนว่ามีสายซ้อนก็ดังขึ้น มองดูก็เห็นชื่อคุ้นตาโชว์หราอยู่บนหน้าจอ ตะล่อมบอกชีต้าร์ว่าจะโทรกลับเพราะมีธุระด่วน เด็กว่าง่ายก็ใจดีวางสายให้ทันที
“ว่าไง” ผมกรอกเสียงไปแบบไม่คิดอะไรนานนัก
(( อยู่ไหน ))
“ก็แปะโน้ตบอกไว้แล้วไงว่ามาบ้านแซน”
(( อืม )) อืม...อืมแล้วก็เงียบ อะไรของมันจะพูดอะไรก็ไม่พูด ที่บ้านไม่ใช่เจ้าของสัญญาณมือถือ ทุกนาทีมีค่าแล้วก็ใช่ว่าถูก ๆ จะมาอืมคำเดียวสั้น ๆ กูก็อ่านใจมึงไม่ออกหรอกนะครับ
“โทรมามีอะไรตรัส”
(( เริ่มงานจันทร์นี้เลยไหม ))
“งาน...ฝึกงานที่บริษัทน่ะเหรอ”
(( อืม ))
“ทำไมเร็วนัก ตามปฏิทินนักศึกษาให้เริ่มต้นเดือนหน้าไม่ใช่เหรอ”
(( ก็ใช่ แต่ช่วงนี้ก็ว่างไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ))
“แต่เอกสารที่ส่งคณะไป กรอกเวลาตามตารางฝึกงานนะ”
(( ไม่เป็นไร ถือว่าทำความคุ้นเคยกับออฟฟิศก่อนฝึกงานจริงก็ได้ หรือถ้าลำบากใจค่อยไปต้นเดือนทีเดียว )) น้ำเสียงมันกึ่งบังคับกึ่งขอร้องยังไงบอกไม่ถูก แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้เจอคุณนิสาเร็วขึ้นอีกหน่อย
“ก็ได้ จันทร์นี้ก็ได้”
(( แล้วจะกลับมา...เมื่อไหร่ )) วันนี้ก็วันเสาร์เข้าไปแล้ว ให้เริ่มงานวันจันทร์มีสองทางเลือกคือกลับทันทีหรือกลับพรุ่งนี้ ไอ้คนที่เพิ่งหายเหนื่อยจากการจัดเสื้อผ้าเข้าตู้มาหยก ๆ จะให้มาหอบลงกระเป๋าใหม่อีกรอบ เห็นทีจะไม่ไหว
“พรุ่งนี้ได้ไหม”
(( ครับ )) มันตอบรับแล้วก็เงียบไปอีก จากปกติที่พูดน้อยถึงน้อยที่สุดอยู่แล้ว ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นใบ้ไปอย่างไม่มีข้อกังขา
“แค่นี้ใช่ไหม”
(( อืม ))
“ถ้าอย่างนั้นกูวางนะ”
(( อย่าเพิ่ง ))
“มีอะไรก็ว่ามาสิ” เงียบฉี่ ตกอยู่ในภาวะเงียบงันโดยที่โทรศัพท์ยังแนบหูอยู่พักใหญ่ แล้วจู่ ๆ คุณชายก็วางสายไปพร้อมวลีสั้น ๆ อย่าง...ไม่มีอะไร
มีแน่ อาการแบบนี้มันต้องมีแน่ ๆ แต่ผมไม่อยากเซ้าซี้โทรกลับไปให้วุ่นวาย และพอดีกับที่ไอ้ตี๋สองเดินกลับเข้ามาในห้อง ผมก็เลยถือโอกาสปัดเรื่องรบกวนจิตใจไปให้พ้นทาง แล้วสวมหน้ากากสอดรู้เรื่องของไอ้แซนทันที
“คุณพีล่ะ”
“กลับไปแล้ว”
“ทำไมกลับเร็ว”
“กูไล่” นั่น...ไอ้แซนมันโชว์บทแสนงอนให้ผมดูเป็นขวัญตาอีกแล้ว
“มีอะไรกัน มึงไปโกรธเคืองเขาเรื่องอะไร เล่าให้ฟังหน่อยดิ”
“มึงไม่รู้แหละดีแล้วเท็ต มันซับซ้อน วุ่นวายจนกูเองยังปวดกะบาล” ดูท่าว่ามันคงจะไม่อยากเล่าให้ฟังจริง ๆ ผมก็ไม่ย้ำถามให้น่ารำคาญ เป็นเพื่อนกัน ถ้าวันไหนมันอยากเล่าผมก็คงได้รู้เองโดยไม่ต้องคะยั้นคะยอ
มองไปนอกระเบียงเห็นท้องฟ้ามืดสนิทไปแล้วก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเกมแก้เซ็ง ไม่ลืมหันบอกกับคนที่กำลังหยิบหมอนและผ้าห่มมาเพิ่มด้วยกลัวว่ามันจะน้อยใจ
“เดี๋ยวกูจะเริ่มฝึกงานที่บริษัทไอ้ตรัสวันจันทร์นี้นะ”
“ทำไมวะ อาจารย์ให้เลื่อนเหรอ”
“เปล่าหรอก ตรัสมันโทรมาถาม กูก็ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ ไปแก้เซ็งที่บริษัทหน่อยก็ดี”
“แก้เซ็งหรือสีหญิง”
“รู้ทันตลอดว่ะ” ผมหัวเราะ ไอ้แซนเอาหมอนมาวางข้าง ๆ แล้วส่ายหน้าเอือมระอา ก่อนที่มือหนึ่งจะส่งมาลูบเบา ๆ ที่กลางหน้าผาก ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเสียงพูด
“เมื่อไหร่จะรู้ตัวสักที...ว่าไม่ได้มีแค่มึงที่เป็นเจ้าของหัวใจตัวเอง”
ให้ฟ้าผ่าสิเอ้า โดนไอ้แซนจีบเข้าให้แล้วไง▩▩▩