ทะลึ่ง : กามที่ 14
ผมเดินลูบหน้าผากปอย ๆ ออกมาจากห้องไอ้แซนเพราะโดนตี๋สองมันดีดผึงเข้าที่หว่างคิ้ว แค่แกล้งถามว่ามันไม่อยากแต่งงานกับน้องรพีพิชญ์แล้วเหรอ ถึงได้มาพูดจาเกี้ยวพาผม มันก็ชักสีหน้าแล้วฝากรอยรักมาที่หน้าผากทันที
ก้าวช้า ๆ มายังห้องข้างกัน เคาะเบา ๆ ที่ประตูอยู่สองสามครั้งคนข้างในก็เดินมาเปิดให้ เห็นตี๋หนึ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมายืนต้อนรับแบบหล่อสบาย ๆ ไม่หวือหวาอย่างคุณท่าน ถึงหน้าจะเหมือนกันกับไอ้คนห้องข้าง ๆ แต่ให้อารมณ์สุขุมกว่าเยอะ ห้องนี้ดูกว้างกว่าห้องของแซนนิดหน่อยเพราะเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นกว่า ไม่มีโต๊ะวางของระแกะระกะก็โล่งตาดี ถือวิสาสะทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงก่อนจะกระอ้อมกระแอ้มถามเสียงอ่อน
“ตรัสไปนอนด้วยเหรอเมื่อคืน”
“แซนบอกหรือ”
“อือ”
“นอน แต่ตอนตีสามมันก็กลับ” ผมขมวดคิ้วฉับ ก่อนจะขยับตัวเพราะสายตาจับผิดของคู่สนทนา
“กลับไปไหนอะ ไม่เห็นมันมาคอนโด”
“ไม่รู้สิ กลับบ้านใหญ่หรือเปล่า เท็ตไม่ถามตรัสมันเองล่ะ”
“อ้าว ก็นึกว่าซันรู้ เห็นตัวติดกันตลอด”
“ฉันหรือเท็ต ที่ตัวติดกันตลอด” พอเลยครับ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มแบบนั้น ผมทำเสียงรอดฟันอย่างขัดใจเพราะโต้ตอบไม่ได้ ก็ไม่รู้จะเถียงทำไมเพราะอยู่คอนโดเดียวกันมาเป็นเดือนแล้วจริง ๆ
ถึงจะอย่างนั้นผมก็ยังตามอารมณ์คุณท่านไม่ทันสักที มีอะไรก็ไม่ยอมพูดไม่ยอมบอก มีอย่างที่ไหนออกจากบ้านแล้วหายไปเฉย ๆ โทรมาบอกสักคำก็ไม่มี ที่ต้องมาตื้อถามซันอยู่แบบนี้ก็เพราะเป็นห่วงหรอก ช่วยสำนึกบุญคุณสักนิดเถอะ
“มันเครียดอะไรหรือเปล่า ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจามาเป็นอาทิตย์แล้ว”
“เครียดสิ เครียดมากด้วย”
“เรื่องที่บริษัทเหรอ เล่าให้ฟังหน่อยสิ” ซันเลิกคิ้วสูงก่อนจะเดินมานั่งข้างกัน
“ถ้าจะถามฉัน ถามตัวเองดีกว่าไหมเท็ต เป็นห่วงมันใช่ไหม”
“ก็ห่วงอะ เพื่อนกัน” ซันพยักหน้าเนิบ ๆ
“ห่วงเท่าฉัน เท่าแซน เท่าอ้นไหม”
“เท่าสิ เพื่อนกันนี่หว่า ถ้าไม่ห่วงเพื่อนแล้วจะให้ห่วงแมวที่ไหน” ผมส่งมือไปตบบ่ามันปุ ๆ ท่านซันก็ยิ้มก่อนจะตบคืนกลับมาไม่แรงนัก
“เหรอ แต่รู้อะไรไหม เท็ตไม่เคยถามถึงแซนตอนที่มันหายไปด้วยน้ำเสียงแบบเมื่อกี้เลยนะ” ก็ยังจำความรู้สึกได้ดี ตอนที่ไอ้แซนหายตัวไปติดต่อไม่ได้เกือบเดือน โทรไปหาซันแบบติดกังวลว่าไอ้ตี๋สองมันตายหรือยัง ฝังที่ไหนอะไรเทือกนั้น แล้วทำไมจะต้องทำน้ำเสียงอะไรด้วย เขาแยกแยะกันยังไงวะ
หรือบางที...ถ้าวิเคราะห์จากความน่าจะเป็น คงเพราะผมกับตรัสข้ามขั้นเร็วไปหน่อยจึงมีจุดเชื่อมโยงที่แน่นแฟ้นมากกว่าเพื่อนคนอื่น นึกย้อนถึงเรื่องที่คุยโทรศัพท์กับน้องต้าร์เมื่อกี้แล้วก็ยิ่งมั่นใจ ลำดับขั้นตอนสุดคลาสสิกของหนังโรแมนติก แอบรัก สารภาพรัก จูบกัน (หรืออาจจะมากกว่านั้น) แล้วหนังก็จบแบบแฮปปี้
ส่วนผมกับตรัสมันข้ามสเตปอย่างแรง เป็นเพื่อนกัน ทำรายงานด้วยกัน ทะเลาะกันบ้าง เฮฮาสังสรรค์กันบ้าง พอเมาแล้วดันมีอารมณ์ก็เลือกเอาคนที่นอนข้าง ๆ มาแก้ขัด แล้วมันทันมามีความรักกันตอนไหน อาจจะมีง้อจูบกันบ้างพอเป็นกระษัย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาคิดมากอะไรไม่ใช่เหรอวะ ซันเห็นผมนั่งเงียบพักใหญ่ก็เลยจับหัวผมโยกไปมา
“คิดเยอะ ๆ นะเท็ต ถ้ายังคิดไม่ตกก็คิดใหม่ ถามใจตัวเองบ่อย ๆ แล้วเท็ตจะรู้เอง”
เท็ตคิดแล้วนะซัน แล้วก็ได้คำตอบว่า...กูไม่ได้บ้า! ทำไมจะต้องมาพูดกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาทุกวันแบบนี้ด้วย!
ผมขนของกลับคอนโดตรัสในช่วงเย็นของวันถัดมาโดยมีไอ้แซนเป็นพลขับ ชวนมันขึ้นมาด้วยแต่ก็ถูกปฏิเสธเพราะตี๋สองมีหน้าที่รับส่งคุณหญิงโฉมฉายไปงานเลี้ยงตอนค่ำ ถ้ามัวโอ้เอ้อาจจะโดนบ่นจนหูชา มันเข็ดขยาดมาแล้วจากการรั้นเถียงที่จะไม่ไปฝึกงานที่สุราษฏร์ธานี แต่สุดท้ายก็ทนเสียงบ่นไม่ไหว ต้องจำใจไปแต่โดยดี
วันนี้ตรัสก็ไม่อยู่เหมือนอย่างเคย ห้องก็เลยเงียบเชียบขาดชีวิตชีวาเพราะไม่มีชีต้าร์อยู่ด้วยแล้ว ก้าวเข้าไปในห้องนอนก็ต้องแปลกใจกับสูทสากลจากห้องเสื้อแบรนด์ดังสี่ตัวที่แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้า หยิบเอามาลองสวมก็พอดีอย่างกับมีสายวัดมาพันรอบตัว
ตรัสรู้ไซส์ผมได้ไง...อันนี้ไม่สงสัยเพราะสัมผัสร่างกายไปแล้วทุกตารางนิ้ว แต่มันจำได้ยังไงนี่สิ นอกจากจะอัจฉริยะในทุก ๆ เรื่องที่คนอายุเท่ากันเทียบไม่ติดแล้ว จะเอาดีทางสรีรวิทยาด้วยหรืออย่างไร แต่ผมก็ไม่นึกเป็นบุญคุณอะไรหรอก เพราะยังไงซะก็ถือว่าเป็นค่าทำงานล่วงเวลาที่ผมต้องไปทำก่อนนักศึกษาคนอื่นตั้งสองอาทิตย์ มียูนิฟอร์มฟรีให้ใส่ก็ถือว่าเจ๊าไปละกัน
ใช้เวลาจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ไม่นานก็จัดการอาบน้ำอาบท่ารอคุณชายเพราะตอนนี้หิวมาก กินช้างได้ทั้งตัว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่ามันจะกลับมาสักที แอบเข้าห้องมันไปเอาแท็บเล็ตเครื่องบางมานั่งเล่นเกมที่โซฟา แต่เล่นไปได้ไม่เท่าไหร่
คิดถึงว่ะ...คำนี้ก็วนไปวนมาอยู่ในหัว
นั่งนิ่งอยู่พักใหญ่ก็ทนไม่ไหวต้องหยิบโทรศัพท์มากดโทรออกไปยังหมายเลขคุ้นเคย ระหว่างนั้นเสียงรอสายก็พ้องกับเสียงที่ดังขึ้นหน้าประตูพอดี ผมจึงวางโทรศัพท์ลงข้างตัว มองดูก็รู้เลยว่าคนที่ก้าวเข้ามากำลังเหนื่อยอย่างที่สุด จากที่คิดจะโวยวายว่าทำไมกลับช้าเป็นอันต้องกลืนคำผรุสวาทลงคอ ลุกจากโซฟาเดินเข้าไปหาหวังจะถามไถ่ แต่คุณชายมันดันเดินหนี
“เป็นอะไร”
“เหนื่อย”
“ทำไม งานยุ่งเหรอ”
“อืม” ผมเดินตามมันห่าง ๆ อย่างกับว่าง้อคุยนักหนา แต่มันน่าแปลกไหมล่ะ ทุกทีมันต้องถามผมแล้วว่ากลับมานานแล้วหรือ ทำอะไรอยู่ หรือคำถามประจำวันอย่างหิวไหม กินอะไรหรือยัง แต่นี่ไม่ได้ยินสักคำ
โลกาวินาศมาเยือนอีกแล้วครับท่าน
เนียนตามมันเข้ามาในห้องนอน นั่งแหมะลงบนเตียงแล้วจ้องทุกอิริยาบถของมันเพื่อให้ท่านรู้ตัวว่าผมแอบเคือง คุณชายก็ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ถอดนาฬิกาหน้าปัดล้อมเพชรระยิบระยับกระแทกตาก่อนจะปลดกระดุมแขนเสื้ออย่างใจเย็น ไม่ได้ จะมองอย่างเดียวไม่ได้แล้ว เพราะยังไงซะตอนนี้ผมก็...หิวมาก
ย่างสามขุมไปยืนต่อหน้าแล้วจ้องตามันหยั่งเชิงก่อนจะช่วยปลดกระดุมเสื้อให้ ก็มันถอดเองไม่ทันใจ กว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้ากว่าจะอาบน้ำเสร็จ ผมคงหิวจนลมจับไปก่อน
เนคไทที่ถูกปลดไว้หลวม ๆ ถูกถอดออก ก่อนจะจัดการกับกระดุมคอเสื้อเรียงกันลงมาจนถึงเม็ดสุดท้าย ก็กะว่าจะช่วยคลายหัวเข็มขัดให้ด้วยแต่ว่าคุณชายรีบคว้ามือผมไว้ แล้วก้มหน้าลงมาถามเสียงแผ่ว
“จะเอาอะไรอีก” มีความหมายแฝงอะไรในคำถามนี้หรือเปล่า รู้สึกว่าผมชาที่ปลายมือปลายเท้าเพราะน้ำเสียงของมัน เมื่อเงยหน้าก็พบกับแววตาที่พาหินหนัก ๆ มาถ่วงที่ลำคอ พูดไม่ออกบอกไม่ได้ว่าที่ทำไปเพราะคำว่าหิวและต้องการเรียกร้องความสนใจ ไม่ใช่พิศวาสเสน่หา..อย่างที่สถานการณ์มันพาไป
ยืนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้นหลายอึดใจ จนกระทั่ง...ท้องผมมันร้องบอกแทนคำพูด
“หิวหรือ”
“เออ”
“แล้วทำไมไม่รีบบอก”
“แล้วทำไมไม่ถาม มึงเป็นอะไรตรัส”
“พูดไม่เพราะ”
“แล้วไง ชีต้าร์ไม่อยู่แล้ว”
“พูดเหมือนตอนชีต้าร์อยู่สิ ไม่มีมึงกู มันไม่น่าฟัง” อะไรของมัน อยู่ดี ๆ ก็เนียนเปลี่ยนประเด็นไปเฉยเลย แถมยังริอาจเบ่งด้วยความเป็นเจ้านาย บังคับคำพูดผมตั้งแต่ยังไม่เริ่มงานเลยด้วยซ้ำ บ้าอำนาจเกินไปไหม
“ฟังมาได้ตั้งหลายปี จะมาหูบางอะไรตอนนี้วะ”
“วะโว้ยก็ไม่เอา” แล้วทีมึงกับซันเล่า ด่ากันปาวๆ อย่าคิดนะว่าไม่ได้ยิน
“จะคุมความประพฤติกันอีกนานไหม ตอนนี้หิวมาก ถ้าไม่รีบจะกินตรัสแทนละนะ” ความหมายของผมคือหิวจนกินช้างได้ทั้งตัว เปรียบเปรยว่ามันเป็นช้าง แต่คุณชายคงตีความหมายผิดไปถึงได้เม้มปากแล้วถอนหายใจ อะไรอีกล่ะทีนี้ ไม่อยากให้พูดหยาบก็ไม่พูดแล้ว ที่ตามใจก็เพราะหิวมากไง แล้วจะมาตีหน้าเศร้าให้ใจผมมันหวิวตามทำไมไม่รู้
“ถ้าไม่คิดอะไร ก็อย่าพูดจาให้ความหวังแบบนี้กับใครอีก...เข้าใจไหม” ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่รู้จะถามใคร เพราะมันเดินหนีเข้าห้องน้ำไปแล้ว ไปพร้อมกับรอยจูบอุ่น ๆ ที่หางคิ้ว ทำเอาความรู้สึกผิดถาโถมเต็มกำลังจนต้องเดินไปนั่งนิ่งที่ปลายเตียงอีกหน ที่อึ้งไปเพราะไม่เข้าใจคำว่าให้ความหวัง ความหวังบ้าบออะไร ผมทันไปให้มันเมื่อไหร่ แล้วทำไมผมต้องมานั่งรู้สึกแย่สุดชีวิตเพราะคำขอร้องประโยคเดียวนั่นด้วย เกลียดความรู้สึกแบบนี้ว่ะ ความรู้สึกเดียวกับเวลาที่โดนโกรธ ถ้าจะโทษก็คงเป็นความผิดผมเองที่เมื่อกี้รั้งตรัสมาจูบไม่ทัน แต่ก็ไม่มั่นใจนักหรอกว่ามันจะให้อภัยไหม ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าโดนโกรธเรื่องอะไร...อึดอัดจนอยากจะร้องไห้โวยวายเป็นเด็กสี่ขวบไปซะเลย
เมื่อคืนตรัสไม่ได้พาไปที่ไหนไกล แค่ร้านอาหารใกล้ ๆ คอนโดเพราะผมบอกว่าขออะไรก็ได้ง่าย ๆ เพราะหิวเกินทน แต่คุณท่านก็ยังมีแก่ใจพาไปร้านที่เห็นราคาแล้วไม่กล้าสั่งอาหารอยู่ดี
สำนักงานรามานุสรณ์จิวเวลรี่ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจที่มีตึกสูงตระหง่านระฟ้า มองจากด้านหน้าเด่นสะดุดตาด้วยอักษรภาษาอังกฤษ ‘อาร์แอนด์เจ’ สีทองวาววับตัดกับกระจกเงาสีดำที่สูงขึ้นไปหลายชั้นจนลับตา มองเข้ามาในตัวตึกการตกแต่งส่วนใหญ่เน้นไปที่สีทองและสีดำ ยิ่งกว่าคำว่าเรียบหรูตระการตา
ตอนนี้ผมกำลังกดดันสุดชีวิตกับการก้มไหว้พนักงานรุ่นพี่ในบริษัทโดยมีคุณณรินทร์ นักบัญชีสาวสวยที่ป๊อปปูล่าไม่หยอกเป็นสื่อกลางให้เนื่องด้วยว่าเคยเจอกันแล้ว คุณว่าที่ประธานก็เลยไหว้วานให้เป็นธุระเพราะมันกลัวผมเกร็ง ส่วนตัวเองมีประชุมด่วนกับซัพพลายเออร์ที่บินตรงมาจากรัสเซีย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเจ้าของเหมืองพลอยอะไรสักอย่าง
“นี่เป็นโต๊ะทำงานคุณเท็ตนะคะ มีอะไรขาดเหลือเรียกดิฉันได้เลย” อ่า...ผมเป็นเด็กฝึกงานนะครับ ไม่ใช่เจ้านายคนใหม่ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันขนาดนั้นก็ได้
เพราะเป็นแบบนี้กันทุกคนนี่แหละผมถึงได้เกร็งจนตัวแข็งเป็นหิน แทนที่จะเป็นกันเองกับเด็กฝึกงาน แต่ไหงจ้องจะนอบน้อมใส่ท่าเดียว ไอ้คนอายุอ่อนกว่าก็กลัวว่าจะบาป เห็นแต่ละคนรับไหว้แล้วผมอยากจะนั่งลงไปกราบแทบเท้าเสียให้ได้
“ไม่ต้องเรียกคุณหรอกครับ เรียกเท็ตเฉย ๆ ก็ได้”
“ได้หรือคะ กลัวคุณตรัสจะดุเอานะ”
“ไม่หรอกครับ ถ้าดุเดี๋ยวผมจัดการให้...นะครับพี่ริน” ถือวิสาสะเรียกชื่อเล่นพร้อมยิ้มแป้นใส่อย่างเอาใจ พี่เขาก็ยิ้มรับ จะว่าไป...เดินไปเดินมาตั้งหลายแผนก แต่ก็ยังไม่เห็นเป้าประสงค์ที่หมายตาสักที แล้วมีหรือที่ทัศนัยจะปิดปากเงียบ ‘ถ้าอยากรู้อะไรก็ถามพี่เขาได้เลยนะ’ ตรัสมันว่ามาอย่างนั้น ผมก็ดำเนินการตามคำแนะนำสิครับ
“แล้วคุณนิสาล่ะครับ ตั้งแต่เข้ามายังไม่พบเลย”
“อ๋อ สาเข้าประชุมพร้อมคุณตรัสค่ะ เป็นผู้ช่วยเลขานุการก็ต้องตามคุณปรมัตถ์ทุกฝีก้าวทีเดียว เพราะตอนนี้คุณปรมัตถ์เธอทำหน้าที่แทนท่านประธานคนเก่าทุกอย่างค่ะ ส่วนคุณตรัสก็ทำในส่วนที่พอจะทำได้ในตอนนี้”
“อ๋อครับ” เข้าใจครับ ถ้าตรัสประชุมเสร็จก็จะได้พบคุณสาด้วยนั่นเอง
โต๊ะทำงานของผมอยู่ในส่วนของแผนกจัดซื้อ หน้าที่ของผมเกี่ยวข้องกับงานเอกสาร เป็นญาติสนิทชิดเชื้อกับน้องแฟกซ์และน้องซีร็อกซ์ไปชั่วคราวก่อนที่จะมีงานใหญ่มามอบหมายให้ ตอนนี้ก็นั่งว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ มีแฟ้มประวัติองค์กรมาวางไว้ให้ก็ยังไม่ได้ฤกษ์เปิดอ่านสักทีเพราะมัวแต่เปิดคอมพิวเตอร์เช็คข่าวเช็คเมลจิปาถะ จนกระทั่งพี่รินเดินผ่านมาแล้วกระซิบเบา ๆ ว่า ‘คุณตรัสประชุมเสร็จแล้วนะ’ เท่านั้นแหละ จากที่นั่งง่วงก็ลุกพรวดขึ้นมาอย่างกับติดสปริง แต่ว่าโดนพี่เขาเบรกไว้เสียก่อน บอกว่าอย่าเพิ่งไปพบดีกว่า อาจมีการติดพันเรื่องงานเอกสาร ผมก็อืออารับคำก่อนจะนั่งลงที่เดิม
มีพนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์จะเดินทางไปสิงคโปร์เดือนหน้าจึงให้ฝ่ายจัดซื้อเทียบราคากล้องถ่ายภาพที่จะได้เป็นสวัสดิการจากบริษัท งานนี้ผมได้รับเป็นภารกิจแรกเลย ร้านอุปกรณ์ถ่ายภาพที่ติดต่อทำคอนแทคไว้มีอยู่หลายร้าน ผมกำลังตรวจสอบรุ่นและราคาที่ใกล้เคียงกับความต้องการของพนักงานที่ส่งใบพีอาร์มา หลังจากนั้นก็เปิดใบสั่งซื้อเพื่อรอคำอนุมัติจากหัวหน้าแผนก และระหว่างนั้นเองที่หน้าประตูกระจกใสปรากฏร่างของผู้หญิงสวยเฉียบที่ผมมองผ่านแล้วต้องหันขวับกลับมามองใหม่เพื่อความแน่ใจ
ไม่ใช่ใครอื่น...คุณนิสา ผู้ช่วยเลขานุการนั่นเอง
เธอเดินผ่านหน้าแผนกไปหลังจากผมวางใบพีโอให้คุณสามารถ หัวหน้าแผนกจัดซื้อ แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่ผมก็เลยถือโอกาสอู้งานด้วยการเดินตามร่างระหงนั่นไปห่าง ๆ อย่างไม่เป็นที่น่าสังเกต ระหว่างทางผมเดินผ่านแผนกบัญชีที่อยู่ในห้องมิดชิด พี่รินที่เปิดประตูออกมาสวนกันพอดีก็ทักขึ้น
“น้องเท็ต สาเพิ่งเดินผ่านไปเมื่อกี้เอง น่าจะเสร็จธุระแล้วล่ะ ไปหาคุณตรัสสิคะ”
“ครับ ผมก็เห็นอยู่เหมือนกัน”
“ว่าแต่ต้องการคำปรึกษาอะไรหรือเปล่า ถามพี่ก็ได้นะ ยังไงคุณตรัสเธอก็ฝากฝังพี่ไว้แล้ว ถ้าเทคแคร์ไม่ดีเดี๋ยวพี่จะโดนดุเอา” อะไรกันหว่า คำก็ดุสองคำก็ดุแบบนี้ สงสัยเบื้องลึกเบื้องหลังตรัสมันจะโหดไม่ใช่เล่น
“ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณสามารถให้คำแนะนำอย่างดีทีเดียว ตอนนี้ผมมีงานที่ได้รับมอบหมายเป็นของตัวเองแล้วด้วย ยังไงผมจะบอกตรัสให้นะครับว่าพี่รินดูแลดีมาก”
“อุ๊ย ขอบคุณมากค่ะ น้องเท็ตนี่น่ารักจริง ๆ เอาไว้พี่จะพาไปเลี้ยงขนมนะ” พี่ณรินทร์คนสวยทำหน้ากระจุ๊กกระจิ๊กอย่างกับได้เพื่อนสาวที่คุยกันถูกคอยังไงชอบกล แต่ช่างเถอะ ตอนนี้เป้าหมายผมสำคัญกว่า ว่าแต่เขาเดินไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้
นักศึกษาฝึกงานคนนี้กำลังโดดงานมาเดินลอยชายและกำลังทิ้งหลักฐานด้วยการถามพนักงานที่เดินผ่านมาว่าเห็นคุณนิสา ผู้ช่วยเลขานุการหรือเปล่า เขาก็บอกว่าเพิ่งเดินเข้าห้องคุณตรัสไปเมื่อครู่ ก็กะว่าจะมาทักทายไม่ใช่เดินหน้าจีบอะไร ผมเลยยืนชั่งใจอยู่ที่หน้าห้องทำงานของคุณชายอยู่พักใหญ่...ใหญ่มากจนอดคิดไม่ได้ว่ามีงานเร่งด่วนอะไรที่ต้องเร่งรัดเจ้านายแล้วอยู่ด้วยกันสองต่อสองนานขนาดนี้ ซึ่งผมก็มีข้ออ้างที่จะเปิดเข้าไปอย่างไร้มารยาทแล้วด้วยสิ
ผมเคาะประตูไม่กี่ครั้งเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยอย่างดีก็ขานรับ ก้าวเข้ามาก็สัมผัสกับความเย็นยะเยือกของเครื่องปรับอากาศที่กระทบใบหน้า แต่ติดที่ว่ามันยังเย็นไม่เท่า...มือผม คล้ายว่าปลายเท้าจะชาจนเกือบก้าวขาไม่ออกไปแล้วเหมือนกัน เพราะภาพที่เห็นคือคุณผู้ช่วยเลขานุการในเดรสสั้นสีโอรสหวานแหววกำลังเอื้อมมือรับแฟ้มเอกสารจากว่าที่ประธาน สายตาเจ้าชู้ที่ถูกส่งให้เจ้าของปลายนิ้วเรียวเมื่อสัมผัสต้องกันทำให้ผมต้องเพ่งมองให้แน่ใจ คุณผู้ช่วยเลขาฯ สะเทิ้นเขินอายจนหน้าแดงก่ำ ละล่ำละลักพูดว่าเอกสารเรียบร้อยดี ถึงจะดึงเข้าเรื่องงานได้อย่างแนบเนียนแต่อย่างไรก็เข้าข่ายชู้สาวในสายตาผม เข้าใจว่าออฟฟิศทั่วไทยเห็นได้ถมเถไปสำหรับเรื่องพรรค์นี้ แต่มันผิดมหันต์ตรงที่...
คนหนึ่งคือผู้ชายที่ผมเคยมีความสัมพันธ์ กับอีกฝ่ายคือผู้หญิงที่ผมกำลังสนใจ
“ถ้าหมดธุระแล้ว สาขอตัวนะคะคุณตรัส” คนเป็นนายพยักหน้า ผมมองตามร่างบางที่เดินสวนมาก็รับรู้ได้ว่าแววตาเธอเปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน มันไม่วิบวับอย่างเชื้อเชิญแต่กลับหลุกหลิกจนน่าสงสัย
“สวัสดีค่ะคุณเท็ต”
“สวัสดีครับ” แต่ผมก็ยังมีแก่ใจทักตอบไปตามมารยาท
“สาขอตัวก่อนนะคะ”
“ครับผม” ผมยิ้ม ก็ไม่เชิงว่ายิ้ม เรียกว่ากระตุกมุมปากเห็นจะถูกต้องมากกว่า แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือทำไมตรัสยังนั่งนิ่งแทนที่จะอธิบายอะไรให้มันกระจ่างชัด ไม่มีข้ออ้างไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ เล็ดลอดออกมาจากปาก มีอย่างที่ไหนแย่งผู้หญิงที่เพื่อนสนใจไปอย่างหน้าด้าน ๆ ทั้งที่ผมแสดงออกชัดเจนว่าชอบพอคุณนิสา แต่มันเลือกที่จะหักหลังอย่างไม่น่าให้อภัย
“มีอะไรหรือเปล่า งานมีปัญหาไหม”
“งานน่ะไม่มี...” แต่จะมีกับมึงเนี่ย
“เป็นอะไร โดนใครแกล้งหรือเปล่า” น้ำเสียงปกติ สีหน้าปกติ ทุกอย่างดูปกติจนผมอยากจะย้อนถามเหลือเกินว่าเมื่อกี้มันใช่อย่างที่ผมเข้าใจไหม เพียงแต่ผมใจไม่กล้าพอ กลัวคำตอบที่ได้รับจะทำให้ตั้งตัวไม่ติด ช็อกคาบริษัทแล้วมันจะอื้อฉาว
“ไม่มีใครแกล้งหรอก พี่รินใจดี คุณสามารถก็ช่วยให้คำแนะนำทุกอย่าง”
“แล้วมีข้อสงสัยอะไรไหม อยากถามอะไรเกี่ยวกับงานหรือเปล่า นั่งก่อนสิ” ผมส่ายหน้า เหมือนมันจะรู้เลยนะว่าผมกำลังข้องใจอย่างอื่นที่ไม่ใช่เรื่องงาน ถึงได้เน้นว่าอยากถามอะไร ‘เกี่ยวกับงาน’ หรือเปล่า
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ยุ่งอยู่ไหม ไม่กวนแล้วก็ได้”
“นิดหน่อยครับแต่คุยได้ มีอะไรก็ว่ามาสิ” จากตอนแรกที่คิดว่าจะมาตีเนียนคุยเรื่องเพชรพลอย เพราะเห็นจากภาพตัวอย่างอัญมณีที่เรียงรายตามโถงทางเดินทั่วตึกคล้ายแกลเลอรีหรูหรา ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าของจริงเป็นอย่างไร และอีกนัยหนึ่งคืออยากคุยกับคุณนิสา ก็ว่าจะมาเหนี่ยวไกแล้วได้นกหลาย ๆ ตัว แต่กลายเป็นว่าได้รับรู้เรื่องที่ไม่น่าพิสมัยพ่วงด้วยอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งอย่างหลังผมไม่ค่อยยินดีเลยให้ตาย
ความรู้สึกปวดหนึบที่อัดแน่นอยู่ในอกหาใช่ว่าแค้นเคืองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้ แต่มันกลับกลายเป็นความชิงชังที่หาสาเหตุไม่ได้ ถามตัวเองในใจหลายสิบหน ความจริงก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ผมกำลังโกรธคุณนิสา...ด้วยเหตุผลบ้าบออะไรก็ไม่รู้▩▩▩