ทะลึ่ง : กามที่ 15
ผมกลับมานั่งสงบสติอารมณ์ที่โต๊ะทำงานได้พักใหญ่ คุณสามารถที่ออกไปธุระข้างนอกก็กลับมา ผมแจ้งเขาว่ามีใบพีโอรออนุมัติวางอยู่ที่โต๊ะ คุณเขาก็ลัดคิวพิจารณาให้ครู่หนึ่งก่อนจะเซ็นยินยอมแล้วส่งคืนกลับมา เดินไปส่งแฟกซ์ใบสั่งซื้อให้ร้านอุปกรณ์ถ่ายภาพแล้วรอเวลาสักครู่ทางร้านก็โทรกลับมายืนยันสินค้าว่ามีอยู่ในสต๊อก สอบถามวิธีรับสินค้ากันเรียบร้อยแล้วจึงแจ้งคุณสามารถว่าให้พนักงานขนส่งไปรับสินค้าที่ร้านได้เลย คุณหัวหน้าแผนกเขาก็พยักหน้ารับทราบ
คุณสามารถเป็นผู้ชายวัยกลางคนที่ดูเงียบขรึมแต่ก็เป็นอันเองดี ในแผนกนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงแต่ผมก็จำชื่อไม่ค่อยได้นักหรอกเพราะเพิ่งมาวันแรก แต่ที่จำได้ขึ้นใจคือพี่หญิงที่นั่งโต๊ะข้างกัน เผอิญว่าวันนี้เธอมีงานด่วน ต้องไปประมูลราคาสินค้าข้างนอกตั้งแต่เช้า ก็เลยได้พูดคุยแนะนำงานกันแค่ครู่เดียว
ด้วยความที่ผมกำลังไม่สบายใจก็เลยเผลอถอนหายใจทำหน้าเซื่องอยู่ที่โต๊ะคนเดียว ไม่มองดูว่าชาวบ้านเขาทำอะไรกัน พอหันมองอีกทีก็มีแค่ผมกับคุณสามารถสองคนที่ยังไม่ออกไปพักกลางวัน
“ทัศนัย ไม่ไปทานข้าวหรือ”
“อ่า...กำลังจะไปครับ คุณสามารถล่ะครับ”
“ผมทานมาจากข้างนอกแล้ว ถ้าคุณไม่รีบไปจะหมดเวลาพักเอานะ”
“ครับ ๆ” ผมปิดแฟ้มประวัติองค์กรที่กำลังอ่านผ่าน ๆ อยู่ เพราะไม่รู้จะต้องจดจำตรงส่วนไหนบ้าง ระหว่างที่ลุกขึ้นยืนก็รู้สึกถึงแรงสั่นที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง ล้วงหยิบโทรศัพท์ก็เห็นว่าเป็นคุณว่าที่ประธานโทรมา
“ครับ”
(( พักเที่ยงแล้ว ทานอะไรหรือยัง ))
“ยัง”
(( ไปรอที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ก่อนนะ เดี๋ยวลงไปหา ))
ผมก็เออออรับคำสั่งไปด้วยน้ำเสียงเอือมระอา รู้สึกไม่อยากคุยกับมันยังไงไม่รู้ว่ะ รำคาญไอ้แรงเสียดจี๊ด ๆ ข้างในจนอยากจะนั่งทุบอกตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดไป ไม่อยากจะบอกว่าเหนื่อยล้าเหลือเกินทั้งที่ยังไม่ได้แตะงานใหญ่เป็นชิ้นเป็นอัน ปั่นป่วนจนต้องถอนหายใจออกมาอีกหน
ผมลงมายังชั้นหนึ่งบริเวณโต๊ะประชาสัมพันธ์ตามคำสั่งของเจ้านาย นั่งรอที่โซฟาหนังสีดำได้ไม่เท่าไหร่ร่างสูงในสูทปราด้าสีกรมท่าก็ก้าวออกมาจากลิฟต์...พร้อมข้างกายมีคุณผู้หญิงในชุดเดรสสีหวานตามติดมาด้วย
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยกินสเต็กร้านไหนที่รสชาติห่วยเท่านี้มาก่อน...
พูดกันตามตรงว่าไม่ใช่ความผิดของเชฟแต่อย่างใด ไม่ใช่เพราะบรรยากาศที่แสนสบาย ไม่มีเสียงจ้อกแจ้กจอแจ ไม่ใช่เพราะจัดแต่งจานอาหารเรียบหรูแต่ดูน่ารับประทาน ไม่ใช่เพราะอาหารมีปริมาณน้อยแต่แสนอร่อยทุกครั้งที่ปลายลิ้นสัมผัสรส แต่มันเป็นเพราะรอยยิ้มขวยเขินของผู้หญิงตรงหน้าเวลาที่ถูกไอ้หล่อรวยมันหยอดจีบ
น่าจะเตือนกันก่อนว่าจะพามาดูคู่รักข้าวใหม่ปลามัน เห็นหัวเราะรื่นยิ้มเอียงอายใส่กันไม่เว้นสักนาที จะมีก็แต่ไอ้เท็ตคนนี้ที่นั่งหน้ามึนอยู่เงียบ ๆ คนเดียวจนคล้ายว่าจะเป็นส่วนเกิน ให้กูย้ายไปนั่งโต๊ะข้าง ๆ ก็ได้นะ แค่บอกมาคำเดียว
ผมนั่งเขี่ยบรอกโคลีแบบไม่มีแก่ใจจะรับรส รู้แค่ว่าพอตักเข้าปากก็เคี้ยวกลืน ฝืนกินได้ไม่กี่คำก็วางช้อนก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม คุณชายที่กำลังสรวลกับเรื่องขำขันจากมหาเศรษฐีรัสเซียที่เจอกันเมื่อเช้า เป็นเรื่องตลกที่รู้กันเฉพาะคนที่เข้าประชุม ส่วนผมก็คนนอกแบบไม่ต้องจำกัดความ
“อิ่มแล้วหรือ” ก็ยังดีที่มีแก่ใจหันมาถามไถ่ ผมไม่พูดแต่พยักหน้าตอบคำ ก่อนหันไปยิ้มกว้างกับคนที่ส่งทิชชูมาให้ คุณนิสาเธอยังน่ารักเหมือนเดิม มีออร่าความน่าคบฟุ้งกระจายอยู่รอบตัว ไม่มีมารยาที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเธอจ้องจะจับเพื่อนผม เธอไม่มีจริตจะก้านจนเกินพอดี จะมีก็แต่เสียงหัวเราะตามเรื่องเล่าที่ควรจะขำขันเท่านั้น
แต่เป็นไอ้คุณตรัสเองต่างหากที่เป็นฝ่ายเข้าหา ผู้ชายที่พูดน้อยที่สุดในโลกเท่าที่ผมเคยรู้จักมาทั้งชีวิต มีหรือที่มันจะชวนผู้หญิงพูดคุยเป็นจริงเป็นจัง กับผมเองยังแล้วแต่อารมณ์มันเลยว่าจะพูดมากหรือพูดน้อย หนักหน่อยก็ไม่พูดเลยเหมือนอย่างตอนที่กลับมาจากสวนเสือ
“ขอบคุณครับ”
“คุณเท็ตทานน้อยจังค่ะ น่าอิจฉาจังเลยนะ ผอมแบบนี้”
“คุณสาก็ใช่ว่าอ้วนเสียที่ไหนล่ะครับ”
“ถ้าทานเยอะน้ำหนักก็จะขึ้นทันทีเลยค่ะ อยากทานน้อยอย่างนี้บ้าง ว่างทีไรหาของกินตลอด” ผมหัวเราะขันตามคำเล่า แต่ก็ตลกได้ไม่สุดเพราะสะดุดเข้ากับสายตาของคนที่นั่งข้างคุณสา
ตรัสมันวางช้อนของตัวเองลงบ้าง ก่อนจะหยิบทิชชูแล้วถือวิสาสะซับมุมปากให้คนหน้าสวย คุณสาพูดขอบคุณแบบตะกุกตะกักหน้าแดงแจ๋เพราะไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะหยิบทิชชูมาเช็ดเอง ทั้งที่ริมฝีปากเธอก็ยังสวยด้วยลิปกลอสสีอ่อน ไม่มีอะไรเลอะเทอะเลยสักนิด
แต่ก็พอจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรเมื่อหันไปมองหน้าไอ้คนไร้มารยาทที่บังอาจขัดบทสนทนาของคนอื่น มันยกยิ้มพอใจที่ทำให้ผมหยุดพูดคุยกับคุณนิสาได้สำเร็จ นี่มันจะประกาศสงครามกับผมโจ่งแจ้งเกินไปไหม ไม่พูดอะไรแต่การแสดงออกชัดเจนสุด ๆ ถอดใจจะเป็นคู่แข่งว่ะ เพราะผมสู้อะไรมันไม่ได้สักอย่าง...
ผมทิ้งตัวนอนแผ่ลงบนเตียงเมื่อกลับมาถึงห้องด้วยความเหน็ดเหนื่อยสุดขีด ไม่มีแรงจะเดินไปอาบน้ำด้วยซ้ำ ก็ใช่ว่าถูกใช้ไปเป็นกรรมกรแบกหามเสียที่ไหน แค่ช่วงบ่ายต้องออกไปรับสินค้ากับคุณสามารถที่ร้านอุปกรณ์สำนักงานใกล้บริษัท หลังจากนั้นก็นั่งว่างจนเลิกงาน แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกอ่อนล้าคือสภาวะจิตใจที่มองอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด นั่งรถกลับมากับคุณชาย แค่มันอมยิ้มตอนเปิดเพลงฟังอย่างสบายอารมณ์ก็อยากจะส่งหมัดลุ่น ๆ ไปที่สีข้างอย่างหมั่นไส้
มันช่วยใส่ใจความรู้สึกของผมบ้างจะได้ไหม มันไม่รู้จริง ๆ หรือไงว่าผมกำลังสนใจคุณนิสา แล้วสิ่งที่มันทำทั้งต่อหน้าและลับหลับมันเป็นการข้ามหัวเพื่อนคนนี้เกินไปหรือเปล่า โธ่เว้ย...อึดอัดจนอยากจะระเบิดตัวเองตายให้รู้แล้วรู้รอดไป
“อยู่ที่คอนโดใช่ไหม เดี๋ยวกูไปหา”
ผมโทรบอกแซนทันทีที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองธรรมดา และถ้าตรัสมันถามว่าผมจะไปไหนกับไอ้ตี๋ก็จะบอกตามตรงว่าเอาไฟล์รูปถ่ายของน้องชีต้าร์ไปอัด ไปเที่ยวด้วยกันตั้งนานแล้วแต่ยังไม่ได้ฤกษ์อัดภาพให้น้องเป็นระลึกสักที ไหน ๆ ก็นึกขึ้นได้แล้วก็เลย...ผิด ใช่เสียที่ไหน ผมไม่ได้ละเมอขนาดนั้น
ในวันที่ภาวะจิตใจไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แล้วทำไมผมจะต้องนึกครึ้มใจเอารูปไปอัดวันนี้ด้วย ก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น ข้ออ้างที่ทำให้ผมไม่ต้องอยู่กับมันคืนนี้ แซนมันตอบตกลงทั้งที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าทำไมจู่ ๆ คนที่มีที่ซุกหัวนอนอยู่แล้วถึงต้องหอบผ้าหอบผ่อนไปรบกวนมัน
ไม่ได้ใช้บริการรถไฟฟ้ามหานครนานแล้วเหมือนกัน ช่วงเย็นอย่างนี้ผู้คนพลุกพล่านไม่ต่างอะไรกับบีทีเอส ผมเดินออกมาจากสถานีโดยมีเป้พาดหลัง หันมองซ้ายขวาก็เห็นไอ้แซนกับแว่นสีชากำลังยืนพิงกำแพงอยู่ไม่ไกล
“ทะเลาะกับตรัส” มันทักอย่างรู้ทันแต่ผมส่ายหน้า ก็ไม่เชิงว่าทะเลาะกัน ผมแค่เคืองที่มันจีบหญิงตัดหน้า
ใช่แล้วล่ะ...ผมโกรธมันเรื่องนั้นแน่ ๆ
ระหว่างทางที่เดินมาคอนโดก็โดนแซนมันบ่นเอาว่าทำไมไม่ให้ขับรถไปรับจะได้ไม่ลำบาก ผมก็เถียงว่ามันนั่นแหละที่จะลำบาก อากาศร้อน รถก็ติดเพราะเป็นช่วงเวลาเลิกงาน กว่าจะมาถึงคอนโดมันคงค่ำก่อนพอดี
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็ต้องแปลกใจ เพราะแทนที่จะมีแต่ความว่างเปล่ากลับพบสองซี้ที่นั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา
“อ้าว ซันกับอ้นก็อยู่เหรอ”
“ไหนบอกหน่อยสิว่าทำไมนายทัศนัยที่ควรนอนตีพุงสบายใจอยู่ที่คอนโดคุณชายตรัสถึงได้ระเห็จมายืนอยู่นี่”
“เพราะเบื่อไงซัน อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เข้าใจไหม” ผมวางกระเป๋าที่โต๊ะก่อนจะเดินไปสมทบนั่งที่โซฟากับเขาด้วย มองหน้าอ้นแล้วซุกพิงเข้ากับไหล่ เห็นคนหน้าสวยไม่ว่าอะไรก็เลยวาดแขนโอบไปรอบตัว
“คิดถึงจังเลย”
“ขออนุญาตฉันหรือยัง”
“ทำไมต้องขอ อ้นเป็นของเท็ตตั้งนานแล้วเนาะ” อ้นพยักหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะส่งมือไปผลักหัวไอ้คนที่แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของด้วยคำพูดเมื่อกี้ ซันแกล้งเบ้หน้าจะร้องไห้เหมือนเด็กจนผมอดหัวเราะเสียงดังไม่ได้
“สมน้ำหน้า แล้วนี่อ้นหายไปไหนมา ไม่เห็นโทรติดต่อมาบ้างเลย”
“อยู่บ้าน บินไปต่างประเทศกับพ่อบ้างแต่ก็ไม่บ่อย เท็ตล่ะเริ่มฝึกงานวันนี้แล้วไม่ใช่หรือ ซันบอก”
“อือ วันนี้วันแรก”
“เป็นยังไงบ้าง”
“พี่ที่ออฟฟิศก็น่ารักดี แต่น่าเบื่อตรงที่โดนไอ้ตรัสแย่งสาวอีกแล้ว”
“อะไรนะ” มีแค่อ้นคนเดียวที่ถามกลับอย่างประหลาดใจ ส่วนแซนมันรู้เรื่องแล้วเพราะผมเกริ่นให้ฟังทางโทรศัพท์ ส่วนท่านซันนั่งเฉยเมย ไม่หือไม่อือ
“เป็นผู้ช่วยเลขานุการชื่อคุณนิสา น่ารักดี เคยเจอกันหนหนึ่งก่อนหน้านี้แล้ว ตรัสมันรู้ว่าชอบแต่ก็ยังไปจีบตัดหน้าเหมือนอย่างตอนน้องฟอง จำได้ไหมซัน เด็กนิเทศปีหนึ่งที่ฉันเคยจีบ”
“จำได้”
“นั่นแหละ มันน่าแปลกตรงที่แรก ๆ น้องเขาก็เหมือนจะเล่นด้วย แต่ตอนหลังไหงมาบอกชอบไอ้ตรัสเฉยเลย คุณนิสาก็เหมือนกัน”
“ยังไง” อ้นถามกลับ
“ก็ตอนเจอกันครั้งแรกยังมอง ๆ กันอยู่ แต่พอเข้าบริษัทไปเจออีกที แค่โดนตรัสจับไม้จับมือก็หน้าแดงแจ๋ไปทั้งวัน”
“ตรัสน่ะนะ จับมือผู้หญิง” ซันถามกลับเหมือนไม่เชื่อหู ชอบทำให้กูดูเป็นเด็กเลี้ยงแกะเรื่อยเลยว่ะ
“ก็ไม่เชิงว่าจับหรอก แค่แตะโดนกันตอนส่งแฟ้มให้”
“ก็พูดให้กระจ่างหน่อยสิครับ ชอบทำให้ตกใจ”
“ทำไม พูดอย่างกับว่าไอ้ตรัสไม่มีทางแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงอย่างนั้นแหละ”
“ก็ใช่น่ะสิ” ไอ้แซนพูดแทรกพร้อมเดินมานั่งที่โซฟาอีกตัว ก่อนจะยื่นแก้วน้ำในมือส่งมาให้
“ทำไม”
“เพราะมันมีเท็ตอยู่แล้วทั้งคน”
“แซน...กวนตีนว่ะ”
“อ้าว พูดความจริงก็โดนด่าด้วยเว้ย ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ”
“ตรัสมันเคยโดนผู้หญิงของคุณฉัตรพันธ์ทำยุ่มย่ามด้วยตั้งแต่เด็ก ดังนั้นการสัมผัสตัวผู้หญิงถ้าเลี่ยงได้มันจะเลี่ยง แต่ไม่ถึงขั้นรังเกียจหรอกนะ แค่ลำบากใจ” ซันอธิบายเสียงเรียบ ผมมุ่นคิ้วกับข้อมูลใหม่แต่ก็ไม่เอะใจอะไร คนเรามันเปลี่ยนกันได้ ถึงจะเคยต่อต้านเพศแม่แค่ไหนแต่ยังไงผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ เพราะฉะนั้นข้อหาที่ตรัสมันแย่งผู้หญิงของผมก็ยังไม่ถูกยกคำร้องเสียทีเดียว ท่านศิรานุวัฒน์อย่ามาเปลี่ยนประเด็นเสียให้ยากเลย
“คิดพิเรนทร์อะไรอีกล่ะเท็ต” เปล่าครับ ไม่ใช่แซนหรือซันที่เป็นคนถาม ผมหันขวับมองหน้าคุณเปมทัตอย่างตกตะลึงสุดขีด อะไรวะ ไม่เจอกันแค่ไม่กี่เดือนนิสัยช่างจับผิดของไอ้แซนถ่ายทอดไปอยู่กับอ้นได้ยังไง ไอ้แฝดสองมันคอยแต่จะรุมให้ผมสมรสสมรักกับท่านตรัส ปกติก็ได้อ้นนี่แหละเป็นไม้กันหมาให้ แล้วไปเสียรู้ตี๋หนึ่งอีท่าไหนถึงได้พลอยเป็นไปกับเขาด้วยแบบนี้
“ว่าไงเท็ต คิดอะไรอยู่” อ้นคงเห็นว่าผมเงียบไปนานก็เลยถามย้ำ แต่เผอิญว่าผมไม่ได้คิดอุตริอะไรอย่างที่เขากล่าวหา ก็แค่ตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมาในใจคนเดียว หันมองหน้าตี๋หนึ่งที่นั่งกลั้นยิ้มแล้วก็นึกหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด
“กำลังคิดว่า...เมื่อไหร่อ้นจะรับรักซันสักที” จบบทสนทนาแต่เพียงเท่านี้ เพราะไม่มีใครพูดอะไรต่ออีกเลย
วันรุ่งขึ้นผมไปบริษัทด้วยเชิ้ตขาวและกางเกงแคชชวลสีเทาเข้มธรรมดา เพราะเจ้านายเขาบอกแล้วว่าให้ใส่สูททางการเฉพาะวันที่มีแขกสำคัญ รบเร้าให้ซันไปส่งเพราะแซนมีธุระต้องเข้ามหาวิทยาลัย อุตส่าห์ออกมาแต่เช้าแล้วแท้ ๆ แต่ก็ไม่วายเจอรถติดหนัก ทั้งที่อีกไม่กี่ช่วงตึกก็จะถึงบริษัทอยู่รอมร่อ ผมมองนาฬิกาแล้วตัดสินใจหันไปบอกพลขับว่าจะลงตรงนี้ เพราะขืนยังรอไฟเขียวคงได้ไปสายทั้งที่เพิ่งเริ่มทำงานได้สองวัน แต่ซันก็ห้ามไว้ บอกอากาศมันร้อนใส่เชิ้ตหนาเดี๋ยวจะไม่สบายเอา แต่ผมก็รั้นไปข้าง ๆ คู ๆ ว่าถ้าไม่ไหวเดี๋ยวจะถอดเสื้อเดิน
แล้วมันคุ้มกันไหมที่ต้องมานั่งมึนหัวอยู่ที่โต๊ะทำงานอย่างนี้ ขมับทั้งสองข้างแข่งกันเต้นตุบตับคงเป็นผลพวงมาจากอากาศร้อนจัดเมื่อเช้าและอาการนอนไม่หลับเมื่อคืน ก็จะข่มตานอนได้อย่างไรในเมื่อผมโทรไปหาคุณชายแล้วมันไม่รับสาย เมื่อวานเย็นก่อนออกมาจากคอนโดก็หันบอกมัน คุณท่านก็ไม่ขวางผมสักคำ ไม่ถามด้วยซ้ำว่าจะไปห้องแซนทำไม มันยังดูสบาย ๆ ไม่ทุกข์ร้อน จิตสำนึกฝ่ายต่ำก็โอนเอนไปหาคุณนิสา ก็ใช่ว่าคุณเขาดูเป็นผู้หญิงหิ้วง่ายหรืออะไร แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงปัดความคิดเลวทรามแบบนี้ออกไปไม่ได้สักที
“ทัศนัยไหวไหม สีหน้าไม่ค่อยดี” คุณสามารถที่เดินผ่านมาทักขึ้นเมื่อเห็นผมนั่งกุมขมับอย่างไม่มีแก่ใจจะพิมพ์ใบสั่งซื้อตามที่ได้รับมอบหมายมา แถมช่วงบ่ายยังต้องออกไปรับสินค้าพร้อมคุณสามารถเหมือนอย่างเมื่อวาน ผมฝืนยิ้มด้วยความเกรงใจ
“ปวดศีรษะนิดหน่อยครับ”
“อย่าฝืนดีกว่า ผมมียาพาราฯ ทานแล้วไปนอนพักที่ห้องรับรองนะ”
“ขอบคุณครับ”
ผมรับยามาจากคุณสามารถแต่ไม่คิดว่ามันจะช่วยบรรเทาอะไรได้สักเท่าไหร่นัก เมื่อก้าวเข้ามาให้ห้องรับรองหรือห้องชงชากาแฟ ด้านหนึ่งเป็นโซฟาและตู้หนังสือนิตยสารสำหรับหย่อนใจ มองไปเห็นคุณผู้ช่วยเลขาฯ คนสวยกำลังกดน้ำร้อนใส่ถ้วยกาแฟอยู่พอดี ผมยิ้มให้เธอเป็นการทักทายก่อนจะหยิบน้ำเปล่าอุณหภูมิห้องมาขวดหนึ่งเพื่อทานยา
“คุณเท็ตไม่สบายเหรอคะ”
“อ่า...ครับ ปวดศีรษะนิดหน่อย”
“หน้าซีดมากเลย พักผ่อนน้อยใช่ไหมคะ” ผมพยักหน้าตอบไปหลังจากกลืนยาขมลงคอ
นอกจากความสวยแล้วเธอยังมีน้ำใจกว้างขวาง วางถ้วยกาแฟของเจ้านายลงก่อนจะเดินไปค้นชั้นเก็บของเพื่อหยิบผ้าห่มมาให้ แสนดีจนผมคนนี้ต้องรู้สึกผิดอย่างที่สุดเมื่อเห็นสร้อยข้อมือสีหวานแปลกตา ระยิบระยับประเมินค่าไม่ได้ เมื่อถามว่าซื้อมาจากที่ไหน เธอก็ตอบด้วยความเขินอาย
“คุณตรัสให้มาค่ะ” น่ารังเกียจอะไรแบบนี้วะเท็ต แค่ฟังเขาพูดในสิ่งที่ไม่ต้องการได้ยินถึงกับรับไม่ได้จนต้องชักสีหน้าใส่เขาไปโดยไม่รู้ตัว น่ารังเกียจที่รู้สึกอิจฉาทั้งที่ควรจะบ้าคลั่งเกรี้ยวกราดใส่คนที่เป็นเจ้าของ แต่ไม่รู้ทำไมความรู้สึกมันถึงได้กลับตาลปัตรไปแบบนี้
ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ผมจะอึดอัดใจเพราะมีใครมายุ่มย่ามตรัส อาจเพราะมันไม่เคยเล่นหูเล่นตา ไม่เคยมีทีท่าว่าจะคล้อยตามใคร ไม่ว่าผู้หญิงหน้าไหนผมก็ยิ้มรับทั้งนั้น ก็ถือว่าเพื่อนกัน ถ้าเพื่อนเลือกแล้วผมก็ไม่ขัด อย่างไอ้แซนเองก็มีแฟนมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ทิ้งเขาบ้างโดนเขาทิ้งบ้าง แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะยุ่งแม้ว่าจะอีรุงตุงนังแค่ไหน แต่ทำไมพอเป็นเรื่องของตรัสแล้วผมถึงอยู่เฉยไม่ได้
ความจริงก็คือ...ผมถามไปอย่างนั้นเอง
ความจริงก็คือ...ผมรู้ดีว่าทำไม
ผมเอนตัวลงนอนบนโซฟาหนังอ่อนนุ่ม ปลดกระดุมคอเสื้อแล้วผ่อนลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เหนื่อยกับการบังคับความรู้สึกตัวเอง เหนื่อยที่ต้องเถียงกับตัวเอง เหนื่อยที่ไม่ยอมรับตัวเอง เหนื่อย...ว่ะ
แล้วจะพอได้หรือยัง...
แม้จะครึ่งหลับครึ่งตื่นแต่ผมก็ได้ยินว่ามีใครอีกคนก้าวเข้ามาในห้อง แรงยวบข้างตัวทำให้รู้ว่าใครคนนั้นทิ้งน้ำหนักนั่งลง กลิ่นน้ำหอมคุ้นเคยทำให้ผมไม่ต้องลืมตามอง แค่ลองบังคับใจตัวเองไม่ให้เต้นแรงก็ยากเกินพอแล้ว ผมพลิกตัวเข้าหาโดยที่ยังไม่ลืมตาขึ้น รู้สึกได้ถึงมืออุ่น ๆ ที่ส่งมาสัมผัสอย่างอ่อนโยนข้างแก้ม ก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบแผ่ว ๆ ข้างหู
“เป็นอะไรครับ”
“ปวดหัว” ผมทาบทับมืออุ่นแล้วกุมไว้หลวม ๆ อย่างกับกลัวว่ามันจะปล่อยไป ทุกอย่างแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นหลายนาทีจนทนไม่ไหวก็เลยเปิดเปลือกตาขึ้นเพื่อพบกับสิ่งที่ทำให้ใจเต้นระส่ำหนักยิ่งกว่าเดิม เทพบุตรที่ใส่แค่เชิ้ตดำพับแขน กับริมฝีปากที่โหยหา และใบหน้าที่ห่างกันแค่คืบ
จูบแรกในรอบหลายหลายสัปดาห์...ไม่นำพาให้ถอนปากออกเลยจริง ๆ
“เท็ต” ผมลืมตามองริมฝีปากที่เพิ่งละจากกัน ลืมตัวแตะแผ่วไปอีกหนจนตรัสต้องเม้มปากหลบ ผมมุ่นคิ้วอย่างขัดใจ “ถ้าไม่หยุดร้องไห้ ฉันจะข่มขืนนายตรงนี้นะ” อ่า...จริงด้วยว่ะ ถ้าตรัสไม่บอกก็คงไม่รู้ว่ารอยชื้นที่หางตา
มันคือหลักฐานของความเสียใจ▩▩▩