ทะลึ่ง : กามที่ 16
ผมเดินลากเท้าเข้ามาในห้องนอนเพราะอาการปวดหนึบที่ขมับยังไม่ทุเลาลงแต่อย่างใด ได้คนขับรถของบริษัทมาส่งที่คอนโดเพราะคุณชายมีงานช่วงบ่ายรออยู่ ตัดสินใจล้างหน้าล้างตาด้วยหวังว่าจะทำให้สมองปลอดโปร่ง ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงแต่อาการปวดหัวก็ยังไม่หายเป็นปลิดทิ้ง ผมเลยยึดพื้นที่เตียงห้องตรัสนอนพักสักหน่อยแล้วค่อยหามื้อเที่ยงทานก็แล้วกัน
เจ็บใจ...ยอมให้มันจูบอีกแล้วทั้งที่อะไร ๆ ก็ยังไม่คลี่คลาย สร้อยข้อมือพยานรักเส้นนั้นยังติดตาผมอยู่เลย ตรัสไม่เคยซื้อเครื่องประดับให้ใคร ไม่ว่าหญิงหรือชาย มันก็เลยเป็นหนามตำใจตอกย้ำว่ากับคุณนิสา...ตรัสมันคิดจริงจังด้วยหรืออย่างไร
ไม่รู้ว่าโดนนางเอกละครเรื่องไหนปล่อยของใส่ ถึงต้องมานอนช้ำใจอย่างกับโดนฟันแล้วทิ้งแบบนี้ ไม่ว่าจะข่มตายังไงก็นอนไม่หลับ ทั้งที่ง่วงจนปวดระบมไปทั้งเบ้าตา คว้าหมอนที่คุณชายใช้หนุนมากอดแทนคนแล้วค่อยยังชั่ว กลิ่นแชมพูที่ผมคลั่งไคล้ทำให้ผ่อนคลายได้อย่างน่าประหลาดใจ จนในที่สุดก็ละทิ้งสติสัมปชัญญะ จมจ่อมไปกับนิทรารมณ์
ผมมั่นใจมากว่าเตียงนี้ไม่มีเหลือบยุงลิ้นไรกวนใจแน่ แต่ทำไมสิ่งรบกวนการนอนของผมถึงเป็นแมลงตัวใหญ่ที่มีมือไม้ป่ายแปะไปทั่วตัว แถมยังย้ำจูบแผ่วไปทั่วใบหน้า ทั้งผิวแก้ม เปลือกตา ปลายจมูก และปลายคาง
โดนท่านตรัสลักหลับเข้าให้แล้วไง
“อย่า...” ผมพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่ไม่แน่ใจว่าจะห้ามปรามได้ แต่ตรัสมันก็เห็นใจ คงเพราะเห็นว่าผมไม่สบายถึงได้หยุดริมฝีปากแค่นั้น และ...หันมาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้แทน
ผมเบิกตาโพลงจ้องเขม่งไปที่คุณชาย กินยาผิดมาหรือไงถึงได้หน้ามึนบ้ากามกลางวันแสก ๆ แบบนี้ ทั้งที่เมื่อเช้ายังทำให้ผมกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เลยแท้ ๆ แน่จริงก็อย่ามายิ้มโปรยยิ้มทรงเสน่ห์ตัดกำลังกันแบบนี้สิวะ อยากจะบอกมันด้วยว่าอย่าหยิบเสื้อตัวนี้มาใส่อีก ตรัสกับเชิ้ตสีดำ..มันทำให้นึกถึงอบายมุขที่รู้อยู่แก่ใจว่าผิด แต่ก็น่าหลงใหลจนห้ามใจไว้ไม่ได้ยังไงชอบกล มีผู้หญิงที่หมายตาอยู่แล้วแท้ ๆ แต่มาทำรุ่มร่าม ปล่อยให้มันทำตามอำเภอใจปลดกระดุมไปได้ไม่กี่เม็ด ผมก็ผลักมันนอนลงแล้วยกตัวทาบทับกับแผ่นอกให้ตายใจ ก่อนจะใช้มือหยิกเต็มแรงที่หน้าท้องจนคุณชายร้องเสียงหลง
“โอ๊ย...”
“เจ็บเหรอ”
“เจ็บ...”
“แล้วมายุ่งด้วยทำไม ไม่ไปอยู่กับคุณสาล่ะ” ถ้าสะบัดหางเสียงอีกหน่อยนะ ใช่เลย ตุ๊ดฉิบหายว่ะเท็ต แต่ก็ยั้งปากไว้ไม่ทัน พูดออกไปแล้วค่อยมาคิดได้ เห็นคุณชายมันพรายยิ้มก่อนจะผงกหัวมาลักจูบที่หน้าผาก
“หึงหรือ”
อ่า...ก็รู้อยู่แก่ใจ ไม่รู้จะปฏิเสธทำไมให้เสียเวล่ำเวลา ผมเฉไฉมองนาฬิกาหัวเตียงไม่ตอบคำ เห็นว่าบ่ายสามโมงกว่าแล้ว ไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงรู้สึกหิว และดูเหมือนว่าอาการปวดหัวจะมลายหายไปอย่างกับก่อนหน้านี้ไม่มีจังหวะอาร์แอนด์บีหนัก ๆ ที่ขมับและหว่างคิ้วแต่อย่างใด
ได้ยาดีตอนตื่นเสียกระมังอีหรอบนี้
“หายปวดหัวหรือยัง”
“หายแล้ว”
“หิวไหม”
“หิว”
“ไปอาบน้ำสิ เดี๋ยวพาไป” ผมหยัดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างว่าง่ายก่อนจะปลดกระดุมเสื้อต่อจากที่ตรัสมันทำค้างไว้ เดินไปขโมยผ้าขนหนูแต่นึกขึ้นได้ว่าคุณชายก็ต้องอาบเหมือนกัน แต่ตัวมันยังหอมฟุ้งก็เลยไม่แน่ใจ ขอหันไปถามสักหน่อย
“อาบน้ำไหม”
“ชวนกันแบบนี้เลย” ผมเลิกคิ้วสูง จากที่คิดจะเดินไปส่งผ้าขนหนูให้กับมือเป็นอันต้องล้มเลิกไป ก่อนจะปาผ้าทั้งผืนใส่หน้ามันแทน
พูดมาได้...ให้ตายกูก็ไม่มีทางอาบน้ำพร้อมมึงหรอก
“รีบอาบ หิวมาก” คุณชายนั่งเสยผมปอย ๆ คอยแต่จะห่วงภาพลักษณ์จนน่าหมั่นไส้ ไม่รู้ว่าเอามากินได้ไหม ไอ้ความหล่อนั่นน่ะ แต่ที่แน่ ๆ ผมแพ้ทางเสื้อมัน รีบเดินกลับห้องก่อนจะเสียรู้ดีกว่า เพราะมันเริ่มแจกจ่ายรอยยิ้มละลายจริตสาวอีกแล้ว
“จะพาไปไหน” ผมหันมองหน้าคนขับเพราะไม่ค่อยแน่ใจว่าเคยมาแถวนี้ ปกติตรัสจะพาไปฝากท้องร้านอาหารที่ไม่ห่างจากคอนโดนัก เพราะผมเป็นคนกำชับเองว่าขอของง่าย ๆ ราคาไม่แพงแต่อร่อย ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ตามคำขอสักที
“ร้านอาหาร หิวไม่ใช่หรือ”
“ก็หิว แล้วจะไปไกลทำไม (วะ)”
“นัดกับใครคนหนึ่งไว้ ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ” หมายความว่าไง ผมมุ่นหน้าให้รู้โต้ง ๆ ไปเลยว่ากูไม่เข้าใจที่มึงพูด ไอ้หล่อมันก็หันมามองขณะที่ชะลอรถจอดติดไฟแดง
“ถ้าปวดหัวขึ้นมาอีกก็บอก จะได้พากลับ แล้วไปหาอะไรทานใกล้ ๆ คอนโด โอเคไหมครับ” ไม่โอเค เพราะยังไม่บอกเลยว่าจะพาไปที่ไหน นัดกับใครไว้ ผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือที่อาจเป็นไปได้ก็คุณนิสา ถ้าอย่างนั้นผมขอลาตรงนี้เลยได้ไหม
“คุณนิสาเหรอ”
“ก็ไม่เชิง”
“ไม่ไปได้หรือเปล่า” ใจผมยังไม่พร้อมเท่าไหร่ ทั้งที่อยากรู้แทบตายว่าเรื่องราวระหว่างตรัสกับคุณคนนั้นไปถึงไหนกันแล้ว ผมยังไม่กล้าเปิดปากถาม แล้วนับประสาอะไรกับการที่ต้องไปนั่งปั้นหน้ามองดูเขาห่วงใยกันเหมือนเมื่อวาน จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนฝืนใจตัวเองอย่างที่ผ่านมา บอกตามตรงว่าฆ่ากันเลยง่ายกว่าจริง ๆ
“ไม่ได้ ต้องวันนี้” ตรัสตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งบังคับ ผมตัดพ้อทางสายตา ก่อนจะก้มหน้าผ่อนลมหายใจ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปผมต้องแย่แน่เลย มันอยากจะจูบก็จูบ อยากจะกอดก็กอด แต่วันไหนครึ้มใจอยากพาไปหาผู้หญิงของมันก็ทำได้ โดยที่ผมไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ใด ๆ
นั่งร้องไห้กลางไฟแดง แม่ง...ความแมนที่สั่งสมมายี่สิบกว่าปี ไม่มีเหลือ!
“แล้วกัน...” ตรัสส่งมือมาแตะที่ข้อศอก แต่ผมชักแขนหลบ ไหน ๆ ก็จะเทกระจาดละทิ้งความแมนแล้ว ก็เอาให้แต๋วสุดฤทธิ์ไปเลยทัศนัย
“หุบปาก”
“ร้องไห้ทำไม แค่จะพาไปทานข้าว”
“กูไม่อยากกินแล้ว”
“บอกกันดี ๆ ก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องงอแงเลย” ไหงไอ้คุณตรัสมันถึงดูมีความสุขกับน้ำตาของผมขนาดนั้น อยากจะหันไปชกหน้ามันแต่กลัวแก้มช้ำก็เลยทำได้แค่กำมือแน่นนั่งนิ่งอยู่อย่างนี้
สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ หยิบทิชชูมาเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วนั่งทำใจอยู่พักใหญ่ ก่อนจะก้าวตามคุณชายไปยังห้องอาหารกลางแจ้งที่อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมชื่อดัง
เรามาถึงก่อนบุคคลที่นัดพบ ผมทิ้งตัวนั่งลงอย่างไร้อารมณ์เพราะความรู้สึกหิวปลิวหายไปตั้งแต่รู้ว่าจะต้องเจอใครที่โต๊ะอาหาร เสมองวิวเบื้องล่างที่เป็นแม่น้ำเจ้าพระยายามเย็น สวยจับจิตแท้ ๆ แต่ยังไม่ช่วยทุเลาอาการอึดอัดในใจให้เบาบางลงได้เลย มีลูกค้าทั้งไทยและเทศเดินกันขวักไขว่ เพราะเป็นห้องอาหารกึ่งค็อกเทลเลาจน์เคล้าดนตรีแจ๊ส ส่วนใหญ่จะเดินรับลมชมวิวพร้อมแก้วเครื่องดื่มในมือ ผมที่ยังต้องรอผู้ร่วมโต๊ะอาหารจึงยังไม่สั่งอะไร มีแค่ตะกร้าขนมปังกับเบียร์เยอรมันที่วางอยู่ตรงหน้าเท่านั้น
ไม่นานเกินรอ ขณะที่ผมกำลังหลบตาคนที่นั่งตรงกันข้าม เพราะท่านเอาแต่จ้องมาจนผมไม่เป็นอันทำอะไร ตาบวมหรือก็ไม่ใช่ ผมเช็คจนมั่นใจแล้วก่อนลงมาจากรถ แล้วคนที่ทำให้ผมต้องนั่งหลุกหลิกอยู่ไม่สุขก็ลุกขึ้นพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม ผมหันไปมองก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่คุ้นเคยอย่างดีในชุดชีฟองสีขาวสะอาดตา...ควงคู่มากับผู้ชายวัยกลางคน
“รอนานไหมครับคุณตรัส”
“ไม่เลยครับคุณปรมัตถ์ เชิญนั่งครับ” ผมที่ลุกขึ้นตามตรัส ก็นั่งลงด้วยเหมือนกัน หันไปมองหน้าคุณที่ชื่อปรมัตถ์แล้วก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดเพราะหลงคิดว่าจะสูงอายุกว่านี้เสียอีก ได้ยินว่าเป็นเลขาฯ คนสนิทของคุณปู่ก็นึกว่าจะมีอายุไล่เลี่ยกัน แต่ไหงยังหล่อเหลาเอาการอยู่เลย
ผมสั่งสลัดผักฝรั่งเศสหน้ากุ้งอลาสก้ากับคารามารีมานั่งจิ้มเล่น นึกสงสัยอยู่ว่าทำไมคุณปรมัตถ์กับคุณนิสาถึงมาด้วยกันได้ แล้วก็คิดเองเออเองว่าเขาเป็นลูกน้องเจ้านาย ติดรถมาด้วยกันก็ไม่เห็นแปลกอะไร
แต่ที่สงสัยมากกว่าคือ...พากูมาด้วยทำไมวะตรัส
“คุณทัศนัยทำอยู่แผนกจัดซื้อของคุณสามารถใช่ไหมครับ”
“ครับ เพิ่งเริ่มงานได้ไม่กี่วัน” ผมตอบ
“ไม่ต้องหักโหมหรอกนะครับ เพราะมีงานที่เหนื่อยมากกว่ารออยู่” คุณปรมัตถ์พูดก่อนจะหันไปหัวเราะกับตรัส พูดอะไรที่เข้าใจกันสองคนจนผมต้องเลิกคิ้วสงสัย แล้วหันไปมองหน้าคุณนิสาที่นั่งอยู่ข้างกัน เห็นเธอยิ้มขวยเขินก่อนจะอ้อมแอ้มบอกเสียงแผ่ว
“สาจะขอลาสักระยะ...ไปคลอดน้องค่ะ”
“ครับ?” มีเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ ๆ แปะอยู่ที่หน้าผาก
ลาคลอดคืออะไร...แล้วใครคือพ่อของเด็ก
ผมค้นเจอคำว่ามารยาทในสมองที่กำลังว่างเปล่าร่วมแสดงความยินดีกับเขาไป มองหน้าคุณตรัสแล้วมันก็ตีเนียนคลี่ยิ้มสวยมาให้โดยไม่บอกกล่าวอะไรเพิ่มเติม ฟังคุณว่าที่ประธานกับคุณเลขานุการคุยกันเพลิน ๆ อีกพักใหญ่ก็แยกย้ายกันกลับ ไม่ลืมหันไปอวยพรให้น้องสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและหน้าตาดีเหมือนคุณแม่ เพราะรู้ได้จากตอนที่คุยกันว่าอัลตร้าซาวด์แล้วคุณนิสากำลังจะได้ลูกชาย
แล้วก็ถึงเวลาเคลียร์ปัญหาชีวิต ตรัสมันเคาะนิ้วกับพวงมาลัยตามจังหวะเพลงบรรเลงของเคนนี่จี ทำเป็นมองไม่เห็นสายตาอาฆาตจากผมที่จ้องมันตั้งแต่ก้าวขึ้นรถ จนต้องส่งกำปั้นทุบไปเต็มแรงที่หัวไหล่ “เชี่ยตรัส”
“อะไร...เจ็บนะเนี่ย” ยังมีหน้ามาบ่น เห็นมันลูบแขนปอย ๆ แล้วอยากจะส่งหมัดไปซ้ำที่เดิมมาก
“มึงหลอกกู”
“หลอกอะไร” มันถามกลับกลั้วหัวเราะ
“ไหนบอกคุณสาโสดไง ยังไม่แต่งงาน”
“ก็ยังไม่ได้แต่ง กำลังจะแต่ง”
“ก็เขาท้องอยู่นั่นน่ะ แล้วมีการบอกว่าโสด”
“คุณปรมัตถ์ให้ปิดเป็นความลับ เพราะเขากลัวคุณสาจะอายที่อายุห่างกันตั้งหลายรอบ” โห บอกกูก็ได้ว่ะ กูไม่ใช่คนปากเปราะ ปล่อยให้กูหน้าด้านหลงตัวเอง ตู่ว่าเขาชอบอยู่ตั้งนานสองนาน น่าอายฉิบหายเหอะ
“แล้วนี่ก็แสดงว่ามึงเป็นชู้กับเมียเขาใช่ไหม”
“อะไรนะ”
“ก็มึงคุยอะไรกับเขาล่ะเมื่อวาน หน้าแดงแจ๋ขนาดนั้น”
“ดูไม่รู้หรอกหรือว่าคุณนิสาเป็นคนขี้อาย เขาเขินกับทุกคนนั่นแหละ ยิ่งถ้าแตะเนื้อต้องตัวด้วยแล้ว กับเด็กสิบขวบเธอยังเขินเลย” อันนี้ก็รู้อยู่หรอก แต่ไม่คิดว่าจะเว่อร์ขนาดที่ตรัสมันพูด เพราะเมื่อกี้ที่โต๊ะอาหารคุณนิสาคุยกับผมไปก็หน้าแดงไป คงเพราะโต๊ะมันไม่ค่อยใหญ่ เก้าอี้จึงอยู่ใกล้กันเกินไป ถึงจะกระซิบเสียงเบาแค่ไหนก็ยังได้ยินชัดเจน
“แล้วสร้อยข้อมือนั่นล่ะ”
“สร้อย...เห็นด้วยหรือ”
“เห็น คุณสาบอกเมื่อเช้าว่าตรัสให้มา” แล้วคนฟังก็ยิ้มกว้าง...อย่างคนที่เข้าใจอะไรมากขึ้น
เออ กูร้องไห้เพราะสร้อยเส้นนั้นนั่นแหละ มึงจะทำไม
“แค่ของขวัญแต่งงานครับ ไม่มีความหมายอะไรลึกซึ้ง”
“อ๋อเหรอ”
“ตอนนี้เขาเริ่มแจกการ์ดแล้วด้วยนะ กำหนดการเดือนหน้า ไปด้วยกันไหมล่ะ” ผมพยักหน้าอย่างหมดอาลัย มีอย่างที่ไหน แค่ของขวัญแต่งงานชาวบ้านถึงกับเก็บมาคิดมากจนเสียน้ำตา บ้าบอสิ้นดี
“แล้วอีกอย่างนะเท็ต บอกให้เลิกพูดมึงกู”
“เออ ๆ รู้แล้วน่า”
“นี่...แล้วที่สวนเสือเขาจ้องฉันทำไม” ผมเริ่มสาดคำถามใส่คุณชายอีกครั้งหลังจากรถเคลื่อนตัวพ้นด่านทางด่วน ตรัสก็หันมาตอบพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ยังไม่จางไป
“เคยได้ยินความเชื่อนี้ไหมเท็ต ที่บอกว่าอยากให้ลูกหน้าตาแบบไหน ก็ให้มองหน้าคนนั้นบ่อย ๆ นี่เขาขอรูปไปด้วยนะ บอกว่าจะเอาไปแปะไว้ในห้องนอน”
“ว่าไงนะ”
“เขาบอกเท็ตน่ารัก อยากได้ลูกชายหน้าตาแบบนี้น่ะ” อ่า...ดีใจดีไหมหว่า ผมออกจะหล่อเร้าปานนี้แต่ดันมีคนชมว่าน่ารัก
ผมเงียบไป...ใบ้กินชั่วขณะ ถ้าตีปีกบินได้ผมคงทำไปแล้ว ลมพอง ๆ ที่อัดแน่นอยู่ในอกมันทำให้ผมต้องหันหนีคนขับแล้วนั่งลอบยิ้มอยู่คนเดียวอย่างกับคนเสียจริต ไม่แคร์สายตารถราที่ขับสวนมาเลยสักนิด โล่งใจจนอยากจะป่าวประกาศให้โลกรู้ทั้งที่เมื่อเช้าเพิ่งฟูมฟายเพราะผู้ชายคนเดียวกัน เข้าขั้นบ้าแล้วมั้งทัศนัย
“หมดคำถามหรือยัง” และในที่สุดตรัสก็เป็นคนทำลายความเงียบลง ผมพยักหน้าตอบไป ก็ไม่รู้จะถามอะไรต่อ ทุกอย่างที่เพิ่งได้ยินเป็นเหตุเป็นผลในตัวของมันเอง ไม่อยากขุดคุ้ยอะไรให้มากความ รู้แค่ว่าตรัสไม่ได้คิดอะไรกับคุณนิสาก็ดีใจจนไม่รู้จะหุบยิ้มยังไงแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอถามบ้าง...” ผมหันเข้าหาแล้วจ้องหน้ารอฟัง เห็นตรัสเอื้อมมือหรี่เสียงเพลงลงจนเงียบไป ก่อนจะลูบท้ายทอยตัวเองอย่างชั่งใจโดยที่สายตายังจดจ้องถนนเบื้องหน้า
แล้วมันก็ไม่พูดอะไรสักที ไม่รู้จะลีลาทำไมว่ะ ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าหล่อแต่ไม่ต้องท่ามากก็ได้ ใจมันเต้น ไอ้คนที่รอฟังก็ขยับตัวลุ้นคำถามตามไปด้วย จนในที่สุดคุณท่านก็กระแอมไอแล้วพูดออกมาไม่เต็มเสียงนัก
“เมื่อไหร่จะเลิกสนใจคนอื่นสักที...มีฉันอยู่แล้วทั้งคน”
เอ...แล้วคนถามมันมีสิทธิ์อะไรหว่า ผมก้มหน้ากลั้นยิ้มก่อนจะถูกจมูกตัวเองไปมาไม่ตอบคำ
รถหรูยังเคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ เป็นเวลานานกว่าผมจะเงยหน้ามองคนถาม เห็นไอ้หล่อนั่งอมยิ้มแล้วปรายตามองมา ผมก็กะพริบตาถี่ ๆ หลายหน จ้องจนมั่นใจว่า...คุณชายตรัสมันหน้าแดง ก่อนจะหันหนีมา
พับผ่าสิ อกจะระเบิดตายให้ได้ใช่ไหมวันนี้
“ร้อนว่ะ” ผมหน้ามึนเปลี่ยนเรื่อง แถมุขสดแล้วปลดประดุมคอเสื้อประกอบคำ ปรับแอร์เข้าหาแล้วพิงหลังกับพนักเบาะ คุณชายมันก็เลียนแบบพิงตามบ้าง หลังจากที่ฝืนนั่งหลังตรงมาตลอดทาง
“เท็ต...”
“คุณครับตั้งใจขับหน่อย แบบนี้มันอันตราย”
“ทัศนัย...”
“อะไรเล่า!”
“ตอบมาสิ อย่าเฉไฉ”
“จะให้ตอบอะไร จะไปรู้ได้ไงว่าเมื่อไหร่ ในเมื่อตอนนี้ก็ยังโสด ไม่มีพันธะอะไร”
“จริงหรือ”
“ก็จริงสิวะ” และถ้าอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของกันมากขนาดนั้น “ไหนลองบอกมาหน่อยตรัส...”
“...เราเป็นอะไรกัน ทำไมฉันถึงมองคนอื่นไม่ได้” พอได้ยินแบบนั้นท่านเทพบุตรก็ซ่อนดวงตาที่ฉายแววผิดหวังหลังแพขนตาหนา รู้สึกได้ว่ารถเสียจังหวะไปนิดหน่อยแต่ก็กลับมาเป็นปกติพร้อมเสียงถอนหายใจ
เริ่มรู้แกวคนปากหนักแล้วว่าถ้าโดนกดดันมากเข้าคุณเขาจะตีหน้าขรึมประหนึ่งองค์ลง ผมลอบมองเป็นพัก ๆ อย่างใคร่รู้ว่าคุณผู้ชายจะคลายปากพูดออกมาเมื่อไหร่ แต่สรุปว่ารอไม่ไหว คงต้องใช้อะไรมาช่วยง้างสักหน่อย
“คิดอะไรอยู่” ผมถาม
“หืม”
“ถามว่าคิดอะไรอยู่ ทำไมไม่ตอบที่ถามไปเมื่อกี้”
“กำลังคิดว่า...เมื่อไหร่จะถึงห้องสักที” จบกัน...
หลังจากที่รู้ตัวแล้วว่าพาชะตากรรมตัวเองดิ่งลงเหว ผมก็หวังจะกู้ชีพด้วยการบ่นทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องว่าคนอดข้าวมาทั้งวัน จะพาไปกินทั้งทีทำไมเลือกอาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่มีอยู่กระหย่อมเดียวกลางจาน แล้วมันจะไปอิ่มอะไร
ก็ได้แค่คิดแหละครับ ยังก้าวไม่ถึงโซฟาเลยด้วยซ้ำตอนที่โดนรั้งเอวเข้าไปหา ใบหน้าคมเข้มที่พักหลังได้แต่มองไกล ๆ โน้มเข้ามาใกล้จนหายใจสะดุด...ก่อนจะหยุดอยู่แค่นั้น เผอิญว่าผมไม่เผลอไผลไปกับริมฝีปากสีสดล่อใจที่รอให้ผมแตะจูบก่อน เรื่องอะไรล่ะ ผมไม่ได้แพ้ทางมันขนาดนั้น ย้ายมาอยู่ด้วยกันพักใหญ่แล้วคล้ายว่ามีภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติ จึงยืนมองตาไม่มีลดละ แม้จะไม่โผเข้าหาแต่ก็ไม่ผละออกจากกัน
“เตียงหรือโซฟา” อ่า...ทางเลือกกูน้อยจัง
“อดอยากมาจากไหน ไม่มีใครให้ทำแก้ขัดหรือไง” ผมค่อนขอด ถึงจะไม่ยอมจูบก่อนแต่ก็ไม่วายส่งมือไม้ไปสอดรับวงหน้าคุณชาย ปลายนิ้วยังไล้แผ่วที่ปลายคางปรกไรหนวดเพลินมือ และผมคงหลงกลบดจูบไปแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงตอบขัดขึ้นเสียก่อน
“ทำไม่ได้...”
“ทำไม”
“เดี๋ยวมีคนร้องไห้โยเย” คำก็งงแง สองคำก็โยเย แค่ร้องไห้ให้เห็นหนสองหน ผมก็กลายเป็นเด็กในสายตาของท่านตรัสโดยสมบูรณ์
“ถ้าชอบก็เอาเลย ไม่ห้าม”
“ไม่ห้าม แต่หวงใช่ไหม” อะไร...ไอ้รอยยิ้มหลงตัวเองแบบไม่หมกเม็ดนั่น เห็นแล้วหมั่นไส้จนอดฝังเขี้ยวไปที่ปลายคางไม่ได้ ตรัสก็เสแสร้งร้องโอดโอยทั้งที่ไม่น่าจะรู้สึกรู้สาอะไร ผมไม่ตอบคำแต่ย้ายมือลงไปปลดกระดุมเสื้อให้แทน
“เลือกก่อนสิ” ไอ้หล่อเน้นย้ำพร้อมกับกำมือผมไว้ แต่พอดีว่าผมมีคำตอบในใจอยู่แล้ว
ตรัสพรมจูบที่หน้าผากและหว่างคิ้วเรื่อยมาจนถึงปลายคาง เว้นว่างริมฝีปากเอาไว้อย่างขัดอารมณ์ ผมจมดิ่งไปกับความหลงใหลจนลืมไปว่ายังไม่ได้ตอบคำถาม ใครจะกลั้นใจตอบไหว...ในเมื่อโดนตรัสมันยั่วแบบจงใจขนาดนี้ อยากจะกระทืบเท้าเต้นเร่า ๆ แล้วปล้ำจูบมันซะ แต่ผมคงจะรู้สึกเสียหน้าไปทั้งชีวิต คิดจะเดินหนีก็คงเป็นการหักหาญน้ำใจตัวเองเกินไป ผมเลยกระซิบเสียงแผ่วให้พอได้ยิน
“อ่างน้ำได้ไหม” รู้สึกได้ว่าตรัสรีบละริมฝีปากจากหางคิ้ว เห็นมันทำหน้าตกใจแล้วผมก็หัวเราะไปยกใหญ่ ใครจะบ้าคิดพิเรนทร์ขนาดนั้นวะ
“จะอาบน้ำเหอะ คิดอะไรไอ้โรคจิต” ได้ยินผมตอบแล้วตรัสก็ยิ้มส่ายหน้า “ว่าจะหาอะไรกินอีกรอบ พาไปกินอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะอิ่มเลย”
“แล้วไม่บอกตั้งแต่อยู่ในรถ จะได้พาไปที่อื่น”
“จะเอาเวลาที่ไหนบอกอะตรัส ก็ใครไม่รู้ที่เอาแต่พึมพำว่าเมื่อไหร่จะถึงห้องสักทีว้า...บ้ากามฉิบเป๋ง” ก็รู้ตัวว่าพูดจาน่าหมั่นไส้ เลยเสียแก้มไปสองทีติด ๆ กินแก้มกูไปเลยก็ได้ตรัส ถ้าจะหอมแรงขนาดนี้
“หิวมากไหม เดี๋ยวพาไปทานก่อนแล้วค่อยกลับมาอาบน้ำ”
“ไม่อะ นมสักแก้วก็พอ แต่ตอนนี้ปล่อยก่อนได้ไหม...”
“...ใจมันเต้นแรงจนเข่าอ่อนไปหมดแล้ว”▩▩▩