คำเตือน : ถ้าหลงเข้ามาตอนกลางวัน ให้จิ้มเป็ดไว้แล้วค่อยมาอ่านตอนกลางคืนนะคะ ψ(`∇´)ψ
ทะลึ่ง : กามที่ 17
สรุปว่าผมได้ซีเรียลบาร์มาประทังชีวิตแก้ขัด ก่อนจะมานั่งที่โซฟาหน้าทีวีพร้อมเสียงเพลงที่เปิดคลอเบา ๆ อย่างง่วงงุน ที่นอนไปหลายชั่วโมงเมื่อบ่ายก็ไม่ได้ช่วยให้ผมกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาสักเท่าไหร่ แค่ทุเลาอาการปวดหัวเฉย ๆ ทั้งที่เมื่อกี้ก็อาบน้ำไปอีกรอบแล้วแท้ ๆ แต่ต้นเหตุที่ทำให้ผมเดินกลับเข้าห้องนอนไม่ได้สักที...คือหัวทุย ๆ ที่วางอยู่บนตักนี่ไง
“ตรัส...ง่วงยัง” ไอ้หล่อนอนตะแคงข้างหันหน้าออกไปทางทีวี ผมก็เลยไม่รู้ว่ามันมีสีหน้ายังไง ทำได้แค่นั่งลูบแก้มคุณชายไปพลาง ฟังเพลงไปพลางอย่างไม่รู้จะคุยอะไร
“ยัง”
“แต่ฉันง่วงแล้วว่ะ จะกลับห้องแล้วนะ”
“อย่าเพิ่ง” มันพูดพร้อมกับคว้ามือที่วางอยู่ข้างแก้มไปแตะจูบแผ่ว ไหน ๆ คุณชายเขาก็ไม่อนุญาตแล้ว ถ้าขืนยังนั่งปรือตาไม่พูดไม่จาอะไรคงได้หลับไปทั้งอย่างนี้แน่ ผมควรหาหัวข้อสนทนามาชวนคุยแก้ง่วง
“คุณสานี่ท้องเล็กนะ ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้”
“ท้องแรกก็แบบนี้แหละ ห้าเดือนแล้วด้วย”
“เห็นบอกว่าจะลาคลอด แล้วตำแหน่งผู้ช่วยเลขาฯ ใครจะมาแทน”
“เท็ตไง”
“หือ บ้าแล้ว ทำไม่ได้หรอก ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับบริษัทเลย หาคนอื่นแทนเถอะ”
“ไม่ต้องทำอะไร แค่อยู่ข้างฉันทุกวันก็พอ”
“อย่ามาน้ำเน่า”
“พูดความจริง” หน้าไม่อายว่ะ พูดจาแบบพระเอกลิเกชิดซ้ายแล้วยังมีหน้ามาย้ำคำยืนยัน ผมขยับตัวให้นั่งสบายขึ้น ตรัสก็ขยับตามแต่ยังไม่ยอมหันหน้ามาคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวสักที มีการถามว่าเมื่อยไหมแต่ผมก็ปฏิเสธไป หัวเรียวหน้าเล็กนิดเดียวจะไปหนักอะไร
“ตรัส...”
“ครับ”
“ที่ถามในรถ...ยังไม่ตอบเลยนะ”
“เรื่องไหน”
“เราเป็นอะไรกัน” แล้วคุณชายก็เงียบไป ผมไม่อยากฝืนใจ ถ้าเขาไม่อยากตอบผมก็จะไม่ย้ำถาม แต่ต้องการขยายความไม่ให้บรรยากาศมันอึมครึมก็พอ ”ก็ไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่หรอกนะ แค่อยากมั่นใจว่าตรัสไม่ได้จริงจัง” ด้วยความปากไว พูดไปอย่างนั้นทั้งที่ไม่ได้รู้สึกดีกับมันเลยสักนิดเดียว แย่ว่ะ
“อะไรนะ”
“จะจริงจังได้ยังไงใช่ไหม ในเมื่อหน้าที่การงานกำลังจะมั่นคง เป็นถึงประธานบริษัทและสักวันก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวที่อบอุ่น จะมาวุ่นวายกับเพื่อนอย่างฉันมันคงไม่ใช่เรื่อง” รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามือของตรัสที่สัมผัสกันอยู่แข็งเกร็ง ผมยังไหลตามน้ำพึมพำทำนายอนาคตของคุณชายต่อไปอีกไม่กี่คำก็ถูกขัดด้วยเสียงกระด้าง ที่รู้ได้จากประสบการณ์ว่ามันโกรธแน่
“ให้โอกาสอีกครั้ง พูดใหม่ทัศนัย”
“ทำไมล่ะ ผู้หญิงน่ะน่าทะนุถนอมออก อกเป็นอกเอวเป็นเอว ไม่มีกล้ามเนื้อขัดอารมณ์ น้ำเสียงก็ไพเราะหวานหู ไม่แหบห้าวแบบผู้ชาย น่าฟังกว่ากันเป็นไหน ๆ” ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพูดไปสองไพเบี้ยแต่ก็หยุดปากตัวเองไม่ได้แล้ว ยิ่งเห็นมันนิ่งเงียบก็ยิ่งอยากพูดอะไรก็ได้ให้มันสะทกสะท้านแล้วหันหน้ามาคุยกันตรง ๆ
“เลือกคนที่ฐานะทางบ้านคู่ควรด้วยรู้ไหม ถึงจะไม่สนใจคุณฉัตรพันธ์ แต่ก็ต้องเห็นแก่คุณปู่” ปากดีตลอดว่ะเท็ต เห็น ๆ อยู่ว่ามันยังเคี้ยวดอกพิกุลเป็นอาหารว่าง แต่ก็ยิ่งน่าแกล้ง กวนโมโหมันไปทั้งที่ไม่ได้คิดอะไรตามที่พูด ยังสนุกกับการโหมเชื้อไฟใส่กองเพลิงอย่างต่อเนื่อง
“แล้วอีกอย่าง...ผิวผู้หญิงก็นุ่มมือ ไม่ว่าตรงไหนก็หอมไปหมด เส้นผมก็สลวยน่าสัมผัส ที่สำคัญ...”
“ไม่เหมือนเท็ตสักคนหรอก” แล้วในที่สุดผู้ฟังที่ดีก็ค้นพบหลอดเสียงของตัวเอง ตรัสพลิกตัวนอนหงายก่อนจะรั้งท้ายทอยผมลงไปบดจูบแบบไม่ปรานีปราศรัย ปลายลิ้นชื้นที่สำรวจไปทั่วอย่างหยาบคายไม่ทำให้ผมโกรธเลยสักนิด เผลอจุดยิ้มร้ายอย่างสมใจด้วยซ้ำไป
แผนการบรรลุเป้าหมาย ถึงจะเสียเปรียบสักหน่อยแต่ก็ภาคภูมิใจมากครับงานนี้
“ยิ้มอะไร”
“แล้วตรัสโกรธอะไรล่ะ”
“โกรธคนสู่รู้ พูดจาไม่เข้าหู” พูดจบแล้วก็แตะจูบมาอีกหน
“ทำไม ไม่อยากแต่งงานมีลูกหรอกเหรอ”
“ไม่ครับ แค่เท็ตคนเดียวก็เลี้ยงไม่ไหวแล้ว” เอ่อ...หมายความว่าไงวะ
“ไม่รบกวนดีกว่านะ พ่อแม่ดูแลได้”
“แล้วถ้าท่านยกให้ฉันแล้วล่ะ” หล่อมันพล่ามอะไรไม่เห็นเข้าใจ ผมเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากซุกซนที่เริ่มไล้ไปยังใบหูและต้นคอ พอเห็นว่าผมไม่ยอมตามใจเจ้าของริมฝีปากจึงลุกขึ้นนั่งจ้องหน้ากันตรง ๆ ไม่หลบสายตา
“ถ้าลูกชายคนเดียวของบ้านเกียรติพัชรเมธีจะไม่มีวันได้แต่งงานกับผู้หญิงหน้าไหนทั้งนั้น ทัศนัยจะว่ายังไง”
“...ไม่ได้ เดี๋ยวพ่อแม่เสียใจ” ผมอ้าง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังอยากให้มันหันหน้ามาคุยกันอยู่เลยแท้ ๆ แต่พอได้อย่างใจแล้วกลับเป็นฝ่ายหันหนีเสียเอง การสบตาระยะประชิดทำให้รู้สึกว่าตัวเองตกเป็นเบี้ยล่างต้องคล้อยตามมันไปทุกอย่าง ทั้งที่น่าหงุดหงิด...แต่ทำไมผมถึงได้เขินสุดฤทธิ์ขนาดนี้ก็ไม่รู้
“ท่านไม่เสียใจหรอก เชื่อเถอะ”
“อะไรวะตรัส สรุปว่าเรากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่” ผมเฉไฉด้วยความไม่แน่ใจ ก่อนคำตอบของคุณชายจะทำให้ผมอึ้งไป โดยที่อดสงสัยไม่ได้เลยว่าผมยังนั่งนิ่งอยู่ได้ยังไงในเมื่อหัวใจมันลอยไปติดฝ้าเพดานแล้ว
“คุยเรื่องคำสัญญา...ว่าฉันจะรักเท็ตคนเดียว” อ่า...เสี่ยวซะไม่มี
แล้วหลังจากนั้นหูตาก็ฝ้าฟางไปหมด รู้ตัวเลือนรางว่าถูกจูบไปอีกหนก่อนได้ในยินเสียงทุ้มต่ำถามผะแผ่วข้างหู
“...ได้ไหม” แล้วผมจะเอาแรงที่ไหนไปปฏิเสธ
ถูกยกตัวเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไม่รู้เลย แล้วนับประสาอะไรกับเสื้อนอนที่ถูกปล่อยลงข้างเตียง ริมฝีปากอุ่นร้อนบดเบียดพร้อมปลายลิ้นชื้นจนต้องครางแผ่วในลำคออย่างสุดฝืน โครงหน้าหล่อเหลาที่พร่างพรายในความมืดเคลื่อนต่ำลง มั่นใจว่าที่หน้าอกคงมีแต่รอยจูบสารพัด แต่ผมไม่ทัดทานโต้ตอบใด ๆ ยังยอมนอนยิ่งเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่อย่างนี้ โดยไม่มีแก่ใจจะห้ามปรามอะไรทั้งนั้น
เสียงบอกรักเมื่อครู่มันดังเกินไป แว่วหวานย้ำชัดอยู่ในใจ...ซ้ำไปซ้ำมา
ตรัสรู้ดีว่าผมมีจุดอ่อนตรงไหนบ้าง ทั้งท้องแขน หน้าขาและหน้าท้อง ริมฝีปากอุ่นค่อย ๆ ละเลียดไปอย่างอ่อนโยนไม่เร่งรีบ แต่ก่อนที่อาภรณ์ชิ้นสุดท้ายจะถูกปลดเปลื้อง ผมรั้งมืออีกฝ่ายเอาไว้ไม่แรงนัก
“ตรัส...”
“ครับ”
“ปวดหัวอีกแล้ว” ผมกระซิบ อ้อนไปว่าอาการหนักหน่วงเมื่อเช้ามันกลับมาอีกระลอก แม้จะมีเพียงแสงไฟอันน้อยนิดแต่ก็เห็นได้ชัดว่าตรัสก้มหน้า เลา ๆ ว่าคุณชายเขามุ่นคิ้วแล้วส่ายศีรษะไปมาละทิ้งความรู้สึก ก่อนจะขยับตัวเอื้อมมือไปหยิบเสื้อของผม
แสนดีเกินไปไหมหว่า รู้สึกตัวลอยจนอยากถาโถมทับไว้ทั้งตัวแล้วบังคับจูบ ซึ่งผมก็ไม่อดใจไว้แค่ความคิด
ตรัสขืนตัวนิดหน่อยตอนที่โดนผมผลักให้นอนลง ก่อนจะส่งริมฝีปากไปตะโบมจูบอย่างที่ใจอยากทำ รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ฝืนใจหรือตอบรับอย่างจำทน ปลายลิ้นชื้นดูจะสนุกกับการไล่ต้อนคนข้างบนจนหายใจไม่ทัน ผมจึงถอนปากออกมา
“บอกให้หยุด...ก็หยุดได้ด้วยเหรอคนเรา” ผมเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงขำขันแต่คุณท่านคงจริงจังเกินไป ถึงได้ตอบกลับมาด้วยวาจาติดเลี่ยนจนผมต้องหลบตา แค่คิดยังเขินเลยว่ะ กล้าพูดออกมาได้ยังไง
“เท็ตขออะไรฉันทำให้ได้ทั้งนั้น แต่ฉันขอแค่อย่างเดียว...รักฉันบ้างก็พอ” ตรัส...มึงเป็นญาติกับสารทำละลายหรือเปล่า ทำไมมือไม้กูมันอ่อนยวบยาบอีกแล้ว พูดได้พูดไป อยากพูดอะไรก็เชิญ แต่คนฟังขอตั้งหน้าตั้งตาปลดกระดุมเสื้อให้คุณชายแทนแล้วกัน แต่มือมันสั่นทั้งที่อาการปวดหัวที่ว่านั่นก็แค่แกล้งเล่นเท่านั้นเอง
“ไหวไหม ถอดเองได้นะ”
“เงียบเถอะ”
“เท็ต...” ไม่ไหว มืออ่อนเกินไป บังคับให้ปลดกระดุมไม่ได้เลย ตัวต้นเหตุแย้มยิ้มพรายพร้อมทั้งส่งมือมาไล้อยู่ที่ข้างเอว ยิ่งไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรอยู่แล้วก็เลยกลายเป็นคนพิกลพิการ หมดศักยภาพการเป็นมนุษย์สามัญโดยสมบูรณ์
ตรัสช้อนปลายคางผมไปแตะจูบเบา ๆ ก่อนบรรจงจรดริมฝีปากเรื่อยมาถึงต้นคอ พอใจแล้วมือข้างหนึ่งจึงปลดเปลื้องเสื้อตัวเองให้หลุดพ้นไป ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพรมจูบแผ่วตามแนวสันกรามก่อนจะงับหยอกที่ใบหู ดูอีกฝ่ายจะพึงใจจนต้องส่งเสียงทุ้มต่ำในลำคอ
“จะทำอะไรก็รีบทำ...หลับก่อนไม่รู้นะ” กระซิบส่งสาสน์ท้าทายแล้วมีหรือคุณชายจะยอมทน รู้สึกตัวอีกทีแผ่นหลังก็ถูกห่อหุ้มด้วยพื้นเตียงอ่อนนุ่ม สุ้มเสียงก็กลืนหายไปเพราะถูกอีกฝ่ายขวางไว้ด้วยริมฝีปาก พูดมากปากจะมีสีตามที่โบราณว่าไว้จริง ๆ
ซอกคอและหลังใบหูที่โดนขบเม้มจนขนลุกไปหมดทำให้ผมไม่มีเรี่ยวแรงจะพูดอะไรอีก ทำได้แค่ขยุ้มเส้นผมลื่นมือที่เจ้าของกำลังพรมจูบแถวหน้าท้องจนต้องหายใจแรงขับไล่อารมณ์คุกรุ่นที่พุ่งสูงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
“อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับผู้หญิงคนไหนอีก...รู้ไหม” ไม่รู้จะตอบอย่างไรเพราะหูอื้อตาลายคล้ายคนละเมอ กดเกร็งปลายเท้าลงกับพื้นเตียงเพราะปลายลิ้นชื้นแรกสัมผัส ปัดเป่าความร้อนจนแทบละลายด้วยการหายใจแรงหลายครั้ง ความลุ่มหลงพลุ่งพล่านไปทั้งร่าง ก่อนจะถูกหยุดยั้งด้วยน้ำเสียงที่แว่วมาในความมืดมิด
“ใครจะหวานเหมือนเท็ต” พระเจ้าครับ เอาตรัสคนเดิมของผมคืนมา ไอ้ลามกคนนี้คือใคร
“หยุด...หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะตรัส” เค้นเสียงโต้ตอบด้วยสัมปชัญญะอันน้อยนิด คิดอยากกลั้นใจตายให้รู้แล้วรู้รอดไป จะพูดอะไรทำไมไม่นึกถึงหัวอกคนฟังบ้าง ต้องทนกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากเย็น เพราะคนที่ ‘เล่นลิ้น’ กำลังลอบหัวเราะเสียงทุ้มต่ำอย่างย่ามใจ
เงาสลัวของโครงหน้าหล่อเหลาที่ขยับขึ้นลงกระชั้นขึ้น ทำให้ผมต้องชันเข่าอย่างสุดฝืนแต่ถูกมือแข็งแรงบังคับให้เหยียดตรงลงอย่างเดิม ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นถี่เข้าขั้นอันตรายจนกลัวว่าจะวายในสักวินาที ทั้งที่มีมืออุ่นลูบอยู่ที่ช่วงเอวอย่างอ่อนโยน ขัดกับแรงปรารถนาเบื้องล่างที่ริมฝีปากชวนฝันของใครหลายคนกำลังปรนเปรอให้ เผลอส่งเสียงน่าอายออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อทนไม่ไหวแน่แล้วจึงก็ยกข้อมือขึ้นมากัดกลั้นเสียงไว้ แต่ทำอย่างนั้นได้ไม่นานก็ถูกมืออีกฝ่ายดึงออกไปพร้อม ๆ กับการกลั้นใจเฮือกสุดท้าย ก่อนปลดปล่อยพรั่งพรูลมหายใจพร้อมไอร้อนไม่ต่างจากเปลวไฟในความรู้สึก
เมื่อเรียกสติกลับมาได้แม้จะไม่เต็มร้อยนัก สิ่งแรกที่ทำคือฝืนหยัดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วง้างปากคุณชายด้วยปลายนิ้ว แม้จะเลอะเลือนเพราะแรงอารมณ์แต่ก็ไม่พร่าเบลอถึงขนาดไม่รู้ว่าตรัสไม่คลายริมฝีปากจนหยาดหยดสุดท้าย ไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกดีแต่มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาทำอย่างนี้ให้ใคร แต่รู้สึกว่าคุณชายจะไม่สะทกสะท้าน กลับดุนดันปลายลิ้นกับนิ้วมือจนความวาบหวิวแล่นพล่านในอกอีกหน
“สกปรก...” ผมผรุสวาทเสียงสั่น แต่คนถูกตำหนิกลับยกยิ้มก่อนส่งปลายลิ้นมาแตะริมฝีปากล่าง ผมไม่มีทางเลือก...รับสิ่งแปลกปลอมมากระหวัดพันเกี่ยวให้โพรงปาก เนิ่นนานกว่าจะถูกรั้งให้นอนลงอีกหน แต่คราวนี้ผมจนปัญญาจะเคลิ้มตาม ถอนริมฝีปากออกกะทันหันแล้วผลักมือขืนไหล่หนาไม่ให้โน้มลงมาใกล้กว่าเดิม
“ฉันง่วงแล้วตรัส...”
“ครับ” ตอบรับแล้วจูบต่อทำไม กลัวว่าจะไม่เข้าใจก็เลยเบี่ยงหน้าหนีแล้วย้ำชัดอีกที ก่อนจะโดนคุณชายตอกกลับมาจนหน้าชากึ่งละอาย “ลอยตัวแล้วจะทิ้งกันกลางคันได้ยังไงทัศนัย” ใครว่าจะทิ้ง ใช้ปากให้ก็ได้หรอก เพราะยังไงก็เป็นความผิดของมันเองทั้งนั้น ใครไม่เจอกับตัวไม่มีวันเข้าใจ
หากจะพูดว่า ‘ของมันเคย ๆ กันอยู่’ ในกรณีของผมไม่ได้เด็ดขาด เพราะด้วยหลายสาเหตุมันทำให้ตรัสดู ‘ฟู่ฟ่า’ เกินกว่ามาตรฐานชายไทยไปมากโข รังแต่จะทุรนทุรายเจียนตายเหมือนอย่างทุกทีสิไม่ว่า แล้วใครจะกล้าเสี่ยงชีวิตขนาดนั้น ผมควรตัดไฟแต่ต้นลม
“ง่วงจริง ๆ นะ”
“ไม่เป็นไรครับ หลับไปก่อนก็ได้” เอ่อ...นี่มันเข้าข่ายขืนใจยังไงชอบกลเถอะ ผมอ้าปากจะเถียงแต่ถ้อยคำก็ถูกริบไปพร้อมฝ่ามือใหญ่ที่ลูบไล้ทั่วแผ่นหลัง ชักพาอารมณ์หวามไหวให้เตลิดไปไกลจนยั้งใจไม่อยู่อีกหน
แพ้จูบของตรัสย่อยยับ...เสมอต้นเสมอปลายดีจริง ๆ
จิตใจที่เริ่มลอยละลิ่วไปไกลถูกเรียกกลับมาอีกครั้งเมื่อปลายนิ้วชุ่มของเหลวแตะเบา ๆ ที่จุดไวต่อสัมผัส แม้จะไม่แรงนักแต่ก็ทำให้สะดุ้งได้ไม่ยากเย็นอะไร อุณหภูมิที่ต่างกันทำให้เผลอกัดริมฝีปากอย่างห้ามไม่อยู่ ดูท่าว่าจะแกล้งหลับตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ได้แต่ส่งเสียงแว่วไปให้รู้ว่ายังทำใจไม่ได้เลย
“อย่าเพิ่งได้ไหม”
“เท็ต...อย่าทรมานกันแบบนี้” อ่า...โดนคุณชายอ้อนไม่เต็มเสียง แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะพลีกายให้
ปลายนิ้วที่จดจ่ออยู่รอมร่อยังลีลาให้รู้สึกกระสับกระส่ายไปอีกพักใหญ่ แล้วคนที่ทนไม่ไหวก็คือตัวผมเอง พลิกกายทาบทับช่วงเอวก่อนส่งปลายนิ้วเรียวของอีกฝ่ายชำแรกลึกอย่างไม่พิรี้พิไรจนกลั้นเสียงไว้ไม่อยู่
คำตำหนิที่แหบพร่าตัดพ้อว่าถ้าบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง ก่อนจะได้รับบทลงโทษเป็นจูบห่าม ๆ แต่กลับหวานลิ้น พร้อมปลายนิ้วเฉียบเย็นที่เริ่มเคลื่อนไหวไม่รุนแรงนัก ผมสะบัดหน้าไล่ความรู้สึกทรมานเพราะจังหวะเต้นตุบ ๆ ที่ตำแหน่งนิ้ว จำนวนลำเทียนที่น่าหลงใหลถูกเพิ่มเข้าไปช้า ๆ แต่คงยังไม่สาแก่ใจ เจ้าของถึงได้ร่ำไรไม่แทนที่ด้วยอย่างอื่นสักที
ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ผมเอี้ยวตัวเอื้อมมือไปสัมผัสสิ่งแข็งขืนด้านหลังก่อนจะยกตัวผลักข้อมือออก คะเนจากขนาดแล้วต้องหลับตาข่มใจก่อนกัดฟันบดเบียดครอบครองลงไป โดยไม่ใส่ใจว่าเสียงใครจะครางกระเส่าออกมาก่อนกัน
หนักหนากว่าที่คาดการณ์ไว้มากนัก ต้องผ่อนลมหายใจแรงโดยที่ขยับเขยื้อนไม่ได้เลยสักนิด ความรู้สึกเจ็บเสียดแล่นริ้วขึ้นมาถึงท้องน้อยจนต้องกำแน่นที่หัวไหล่หนา ตำแหน่งที่ชีพจรเต้นเป็นจังหวะเร่งรัดให้ทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่อีกฝ่ายจะหยอกเย้าปานเด่นที่หน้าอกอย่างประเล้าประโลม โดยไม่ทันตั้งตัว ถูกทำให้ตายใจก่อนจะได้ยินเสียงเกินกลั้นจากลำคอของตัวเองอีกหน...ตรัสขยับสะโพกช้า ๆ อย่างชะล่าใจ
กายเนื้ออุ่นตรงหน้าเริ่มพร่างพรายไปด้วยหยาดเหงื่อ อดรนทนไม่ไหวต้องส่งฟันซี่คมไปงับหยอกที่ต้นคอด้วยหวังว่าจะช่วยระบายความร้อนที่อัดแน่นอยู่ข้างในให้ระเหยระเหิดไปบ้าง ร่างทั้งร่างพาลอ่อนแรงจนถูกอีกฝ่ายประคับประคองให้นอนลงอย่างเดิม
ชัดเจนนักในความรู้สึก ถึงความอ่อนโยนที่มีให้ นี่ไม่ใช่จังหวะรักรุนแรงเหมือนอย่างที่ใครเขาทำกันเมื่อสัญชาตญาณดิบเข้าครอบงำ ตรัสยังคงเป็นตรัส ยังยั้งสติและทะนุถนอมผมด้วยฝ่ามืออุ่นที่ลูบไล้อยู่ข้างแก้ม ของเหลวที่กลิ้งผ่านลูกนัยน์ตานั้นไม่ได้แปลว่าผมเสียใจหรือได้รับความเจ็บปวดใด ๆ
แต่เป็นเพราะหัวใจที่พองโตจนแทบล้นทะลักออกมานอกอกตอนนี้ต่างหาก
“เจ็บหรือ” ตรัสหยุดทุกการกระทำ ผมส่ายหน้าพัลวันก่อนจะขยับเข้าหาบางสิ่งที่กำลังจะถอนตัวออกไป ละล่ำละลักว่าไม่ใช่แล้วโน้มใบหน้าคมคายลงมาแตะจูบเบา ๆ อย่างที่ใจต้องการ
จูบ...ที่นุ่มนวลน่าหลงใหล จูบ...ที่ใครหน้าไหนก็มาแทนไม่ได้
“รักฉันบ้างหรือยัง” อ่า...มาถามอะไรตอนนี้ เสียแรงที่เป็นนักศึกษาเรียนดี เรื่องแค่นี้ก็ต้องให้บอก ตรัสถามย้ำมาอีกหนแล้วคนที่กำลังเป็นรองจะทำอะไรได้ ก็ร้องไห้ตอบไปเท่านั้นเอง
“มองแค่ฉันคนเดียวได้ไหม” เงื่อนไขเยอะได้อีก ประจักษ์แล้วว่าถ้าตอบรับไปคงได้พ่อมาพร้อมสรรพ ผมส่ายหน้าสะบัดไอร้อน แต่คุณเขาคงเข้าใจผิดถึงได้เร่งจังหวะเร้าเบื้องล่างให้กระชั้นถี่อย่างจงใจ อย่างกับจะฆ่ากันให้ตายคาเตียงในคืนเดียว
เสียงประกอบที่น่าละอายยังบรรเลงไม่หยุด มิหนำซ้ำยังดังขึ้นเรื่อย ๆ จนผมต้องยกตัวขึ้นรั้งคออีกฝ่ายอย่างสุดฝืน จิตใจหลุดลอยไปไกลเกินกว่าจะกู่กลับมาพร้อมสายตาที่พร่าเลือน ลมหายใจถูกลิดรอนก่อนที่ความหอมหวนในรสเพศจะพวยพุ่งสูงเสียดฟ้า พาลพาให้กล้ามเนื้อทั่วร่างต่างขมวดเกร็ง
ตรัสทิ้งตัวนอนลงข้าง ๆ ก่อนพรมจูบไปตามลาดไหล่ทั้งที่ยังหายใจแรง เมื่อผมขยับปากหมายจะร้องอุทธรณ์อะไรคุณชายก็ห้ามไว้ด้วยริมฝีปากเจ้าเล่ห์ เคลิ้มไปกับปลายลิ้นอุ่นไม่นานก็ถอดใจถอนจูบ ก่อนจะทุบไปที่ต้นแขนแข็งแรงแบบไม่ยั้งมือ
“เอาออกไป” ผมผลักหน้าท้องอีกฝ่ายที่ยังแนบชิดกับแผ่นหลัง ได้ยินไอ้หล่อหัวเราะพึงใจแล้วต้องกัดฟันกรอด จะลามกไปไหนไม่รู้ ผมที่ยังตามเล่ห์เหลี่ยมไม่ทันก็ได้แต่อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี “เอาออกไปตรัส...อึดอัด”
“เมื่อกี้ไม่เห็นพูดแบบนี้ ใครนะที่บอกว่าง่วง” ปัดโธ่ ล้อกูทำไม แค่นี้ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว
คิดจะถอนตัวออกมาเองแต่เห็นทีจะไม่ไหว ถ้าไม่มีอาการปวดแปลบที่บั้นเอวก็อยากจะทำใจกล้าท้าทายดู แต่สุดท้ายคุณชายก็ยอมลงให้ ทำตามใจอย่างที่ผมต้องการ ความรู้สึกร้อนเร่ายังคุกรุ่นกับแรงเสียดสีครั้งสุดท้ายที่ทำให้ต้องมุ่นหน้าพร้อมสุ้มเสียงที่ระบายออกมาอย่างอัดอั้น ตรัสเองก็เหมือนกัน
ยุรยาตรออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กนุ่มนิ่มในมือแล้วก็ต้องมุ่นคิ้วเพราะอาการไม่สู้ดีนัก เห็นหลักฐานหลายอย่างให้พึงตระหนักทั้งทิชชูในถังขยะและผ้าปูเตียงคอตตอนซาตินสีดำสนิทที่มีร่องรอยปรากฏชัดเจน ไอ้หล่อในอาภรณ์ครบองค์ที่นอนพิงพนักเตียงจ้องมาไม่ละสายตา บังคับให้ผมต้องซ่อนหน้าหลังผ้าขนหนูทันที หลังจากนั้นก็ปิดไฟแล้วคลำทางด้วยสัมผัสพิเศษมาทิ้งตัวนอนลงบนเตียงได้สำเร็จ
“เป็นอะไร เขินทำไม” ตรัสถามพร้อมดึงเอาปราการชิ้นเดียวของผมออกไป หล่อ...กูขอมีช่วงหน้าบางเหมือนอย่างคนอื่นเขาบ้างได้ไหม ไม่ใช่อะไรก็เลยตามเลยไปซะหมดหรอก
“ไม่มีอะไรจะพูดหน่อยหรือ” ผมส่ายหน้า มือที่ยื่นไปขอคืนผ้าขนหนูถูกกอบกุมไว้ไร้อิสระ ก่อนที่ปลายจมูกโด่งจะโน้มลงมาคลอเคลียที่ข้างแก้ม เหมือนรู้โดยสัญชาตญาณว่าต้องหันหน้าเข้าหา แต่ก่อนที่ริมฝีปากจะสัมผัสกัน...ผมขยุ้มคอเสื้อตรัสเอาไว้
“หิวน้ำ” ผมกระซิบ ตรัสไม่รั้งรอเลยที่จะกระถดถอยตัวกลับแล้วทำเหมือนว่าจะเดินไปรินน้ำมาให้อย่างที่ผมแสร้งพูด ผมยื้อข้อมือไว้ไม่ส่งเสียงใด ๆ ก่อนจะได้ยินตรัสผ่อนลมหายใจยาว
“สนุกไหม แกล้งกันแบบนี้” อยากจะบอกว่าสนุกดีแต่จังหวะเต้นของหัวใจหยุดปากผมเอาไว้ ก่อนจะพูดตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ขอโทษ นอนเถอะ" อยากรู้...ว่ามันเคยแสนดีแบบนี้กับใครมาก่อนหรือเปล่า เคยพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจใครแบบนี้ไหม ก็ไม่รู้หรอกว่าผมมีสิทธิ์หึงหวงอะไร แค่คิดก็เจ็บไปทั้งอกจนต้องข่มตาลงเมื่ออีกคนขยับห่างออกไป
นอนไม่หลับ...ทั้งที่ง่วงแทบสิ้นสติ
ความกังวลใจสำแดงอาการรุนแรงถึงขั้นกระสับกระส่ายคล้ายคนจับไข้ นอนมองอกที่กระเพื่อมไหวหายใจสม่ำเสมอมานาน สุดท้ายก็ต้องยอมเป็นฝ่ายขยับตัวเข้าหาก่อนจะซบหน้ากับไออุ่นที่คุ้นเคย
อาจเพราะเหม่อลอยและสะลึมสะลือจึงเผลอไผลไล้มือลากผ่านสันจมูกคมที่มองเห็นอย่างชัดเจนในความมืด ก่อนจะหยุดแตะแผ่วที่ริมฝีปากช่ำชอง ลองนึกแผลง ๆ ว่าใครได้จูบของผู้ชายคนนี้บ้าง ความเจ็บปวดทุรนทุรายก็ตีรวนรุนแรงอีกระลอก
“รัก...”
ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่ได้ละเมอ ถ้อยคำนี้ไม่ใช่เพราะความพลั้งเผลอ แต่ด้วยสติครบถ้วนสมบูรณ์ดี มั่นใจว่าอีกฝ่ายคงไม่รับรู้จึงได้หาญกล้าเอ่ยปากไปตามตรง
“รัก...ได้ยินไหมตรัส”
ละเลียดจูบหวานน้อยไม่ค่อยเลี่ยนเท่าลมปากอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ว่าจะกลายเป็นจูบปลุก ผมอาจคิดไปเองว่าได้รับการสนองตอบจากคนที่นอนหลับเป็นตาย แต่ไม่ใช่เลย...ตรัสจูบตอบกลับมาจริง ๆ
“ได้ยินครับ...แต่อยากฟังใหม่ พูดอีกครั้งได้ไหม” อืม...ผมขอคืนคำ ตรัสมันไม่ใช่แค่แสนดี
แต่มีความร้ายกาจซ่อนอยู่ตั้งแต่โคนผมจรดปลายเท้าทีเดียว▩▩▩