ทะลึ่ง : กามที่ 19
วันนี้มีแขกสำคัญ ผมรู้เพราะเมื่อเช้าโดนลากลงจากเตียงเร็วกว่าทุกวัน อีกทั้งยังต้องเดินเข้าบริษัทในชุดสูทสากลที่เพิ่งหยิบมาใส่เป็นครั้งที่สอง อึดอัดนิดหน่อยแต่ก็ยืดอกได้พอสมควร คนหน้าตาดี ใส่สูททั้งทีจะไม่มีสาวแลได้ยังไง แต่ก็ชักไม่มั่นใจเพราะสายตาเจ้าหล่อนทั้งหลายคล้ายว่าจะมองผ่านผมไปหาอีกคนที่เดินอยู่ข้างกันมากกว่า
บ้าฉิบ เทียบรัศมีมันไม่ติดเลยว่ะ
จากที่เดินอกผายไหล่ผึ่งก็เริ่มแผ่วลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งก้าวเข้ามาในลิฟต์ โชคดีที่ไม่มีใครเดินตามเข้ามาจึงสบโอกาสจัดผมเผ้า ดึงตรงนั้นขยับตรงนี้เพิ่มความมั่นใจแต่ก็ยังไม่ได้ดั่งใจสักที ซึ่งท่าทางหลุกหลิกของผมมันคงขวางตาไอ้คุณชายที่ยืนล้วงกระเป๋าพร้อมกับมืออีกข้างที่พิมพ์บางอย่างใส่โทรศัพท์อย่างขะมักเขม้น มันชำเลืองมองก่อนจะมุ่นคิ้วถาม
“เป็นอะไร”
“ใส่สูทแล้วไม่มั่นใจว่ะ” ผมตอบพร้อมหลุดคำต้องห้ามไปเบา ๆ ยังมีหน้ามาถามอีก ก็มันนั่นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกต่ำต้อย ดูเอาเถอะ หน้าตาก็ปานนั้น รูปร่างก็ปานนี้ ต่อให้เป็นนายแบบจากเอเจนซี่ไหนก็ตามแต่ ลองยืนเทียบกันเป็นอันต้องสิ้นชื่อทุกรายแน่นอน แล้วผมจะเหลืออะไร
“วันแรกก็ใส่ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
“เหมือนกันที่ไหน ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักฉันนี่หว่า”
“แล้วตอนนี้ล่ะ”
“ตอนนี้ก็เริ่มมีคนรู้จักแล้วไง อย่างน้อยก็คนในแผนกจัดซื้อ รู้สึกแปลก ๆ ยังไงไม่รู้” อธิบายไปพร้อมกับมองเงาสะท้อนที่พนังโลหะ ก่อนจะเงยหน้ามองหมายเลขชั้นที่ขยับเลื่อนไปอย่างเชื่องช้า เห็นจากหางตาว่าตรัสสอดเก็บโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อแล้วกอดอกเคาะนิ้วไปพลางระหว่างรอ
สองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตรัสไม่เคยแสดงออกให้ใครรู้สถานะของเรา ถึงแม้ว่าผมจะบอกความรู้สึกนึกคิดไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่มันก็ไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวให้ใครเห็นเลยสักครั้ง จับมือสักนิดก็ไม่มี แม้แต่ที่รโหฐานอย่างในลิฟต์หรือห้องทำงานของมันเอง น่าเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงเหอะ
ระหว่างที่คิดอะไรเพลิน ๆ ประตูลิฟต์ถูกเปิดออกก่อนถึงชั้นเป้าหมาย แล้วคนที่ก้าวเข้ามาใหม่ไม่ใช่ใครแปลกหน้า คุณณรินทร์คนสวยจากแผนกบัญชีนั่นเอง
“สวัสดีค่ะคุณตรัส น้องเท็ต”
“สวัสดีครับ” ผมทักทายกลับพร้อมฉีกยิ้มกว้าง พี่เขาไม่ได้หอบอะไรพะรุงพะรังก็เลยไม่ได้เสนอตัวช่วยยก มีแค่แฟ้มหนึ่งเล่มกับกระเป๋าสะพายหนึ่งใบเท่านั้น
ยืนเงียบกันอยู่อึดใจพอเห็นว่าไม่มีใครต้องพูดธุระปะปัง ผมก็เลยถือโอกาสเยี่ยมหน้าไปหาพี่รินแบบเว้นระยะห่างนิดหน่อยเพราะกลัวว่าจะดูไม่งาม ก่อนกระซิบถามเบา ๆ
“ผมใส่สูทแล้วดูแปลก ๆ ไหมครับ”
“พี่กำลังจะทักอยู่เลยค่ะว่าน่ารักดี” เอ่อ...สูทกับผู้ชายเนี่ย มันต้องเท่ไม่ใช่หรือครับ
“น่ารักจริง ๆ นะ ทรงปกแบบนี้ของจิล แซนเดอร์แน่เลย ตาถึงนะเนี่ย แบรนด์นี้สูทผู้หญิงก็สวยค่ะ พี่มีอยู่ชุดหนึ่ง ไม่กล้าซื้อหลายตัว มันแพง” เธอกระซิบกระซาบ คงเพราะเห็นว่าผมทำหน้าแปลก ๆ ก็เลยสำทับคำชมมาอีกหน แถมยังขยิบตาให้ด้วยความขี้เล่น ผมพยักหน้าตอบก่อนจะพาเปลี่ยนเรื่องไป จะให้พูดยังไงว่าตรัสมันซื้อมาให้ มิหนำซ้ำไม่ใช่แค่ชุดสองชุด ยังมีอีกสามตัวเรียงกันอยู่ในตู้เสื้อผ้าที่ห้อง
“วันนี้มีแขกสำคัญเหรอครับ”
“ค่ะ คุณตรัสยังไม่ได้บอกเหรอ”
“ทราบว่ามีแขกก็เลยต้องใส่สูท แต่ตรัสไม่บอกว่าเป็นใครครับ” เหล่หางตามองคนความลับเยอะเข้าให้ ตรัสมันไม่พูดอะไรผมก็เลยหันกลับมาหาพี่ริน แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบลิฟต์ก็ถึงชั้นเป้าหมายพอดี แฟ้มหนาที่พี่รินถือมาถูกส่งให้ตรัสแล้วก็ยืนรอให้ท่านว่าที่ประธานเดินนำหน้าออกไป ก่อนจะหันมาตอบคำถาม
“คุณฉัตรพันธ์จะมาประชุมที่นี่ช่วงบ่ายค่ะ เตรียมตัวด้วยนะ”
กิจกรรมฆ่าเวลาของเช้าวันนี้คือการนั่งหาว เมื่อสองชั่วโมงก่อนผมได้รับข้อมูลลักษณะงานเลขานุการจากคุณนิสาที่นั่งอยู่โต๊ะข้างกัน ฟังดูแล้วเหมือนจะไม่ยากแต่ถ้าจัดตารางเวลาผิดนิดเดียวชีวิตก็จะยุ่งเหยิงไปทั้งเดือนแน่นอน โชคดีที่ตรัสมันยังไม่รับงานเต็มตัว ไม่อย่างนั้นมีหวังไอ้เท็ตตายหยังเขียด
โต๊ะของผมกับคุณสาอยู่หน้าห้องทำงานของตรัสที่เยื้อง ๆ กับห้องของคุณปรมัตถ์นิดหน่อย สะดวกแก่การเรียกใช้งานดีนักแล โทรปุ๊บถึงตัวปั๊บแบบไม่ต้องเดินไกลให้เมื่อยตุ้ม แต่ส่วนใหญ่คุณปรมัตถ์จะเป็นฝ่ายเดินมาหาว่าที่ภรรยาเองเสียมากกว่า แต่เพราะยังไม่มีใครในบริษัทล่วงรู้ ผมก็เลยถามไถ่เรื่องสุขภาพพี่เขามากไม่ได้ กลัวเขาโกรธเอา
คุณนิสาก็ยังสวยเหมือนเดิม ถ้าเผลอเป็นต้องหันมองทุกที ถึงรู้อยู่แก่ใจว่าเขากำลังจะมีน้องและที่สำคัญเป็นเด็กผู้ชาย แต่ไม่รู้ทำไมความเชื่อโบร่ำโบราณถึงใช้กับพี่เขาไม่ได้ ‘ท้องลูกชายคุณแม่จะโทรม’ กรณีนี้ผิดมหันต์เลยครับ
“มีอะไรข้องใจอีก ถามพี่ได้นะคะ” พอดีตีซี้พี่เขาไปแล้ว ก็เลยเรียกพี่เรียกน้องกันตามอัธยาศัย
“ขอบคุณครับ ตอนนี้ยังไม่มีครับ” ดูเหมือนพี่สาจะว่างงานพอตัวเหมือนกัน เห็นปิดแฟ้มเอกสารที่คุณปอเพิ่งเดินมาส่งให้แล้วนั่งอ่านหนังสือจำพวกคุณแม่มือใหม่อย่างตั้งอกตั้งใจทีเดียว ผมก็แอบแซวอยู่เหมือนกันว่าพร้อมเป็นคุณแม่หรือยัง พี่เขาก็ยิ้มเขินส่ายหน้ามาให้
ผมกำลังนั่งอ่านตารางประชุมและกำหนดการของซัพพลายเออร์ที่จะมาเยี่ยมเยือนในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าไปพลาง ๆ ระหว่างที่ว่างจนแทบจะฟุบหลับ ก่อนจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ประจำตำแหน่งดังเบา ๆ
(( ขอกาแฟสักแก้วสิครับ ไม่มีสมาธิเลย )) นี่คงเป็นคำสั่งของเจ้านายที่หวานหูที่สุดในโลกแน่ ๆ
ผมตอบรับคำบัญชา เดินไปที่ห้องรับรองก่อนจะชงกาแฟมาให้ มาดคุณชายอย่างตรัสถึงไม่บอกแต่ใครก็คงเดาออกว่าเอสเปรสโซโนครีมเทียมเท่านั้นครับ
เปิดเข้ามาภายในห้องทำงานก็ถูกต้อนรับด้วยไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศเหมือนอย่างเคย มู่ลี่ที่ปิดทึบทั้งแถบทำให้ระบบไฟกลางห้องสว่างไสวกว่าที่ควรจะเป็น ผมนำเอาแก้วกาแฟไปวางไว้บนโต๊ะขณะที่ตรัสกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างตู้เก็บเอกสารกับชาวต่างชาติซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นซัพพลายเออร์จากประเทศใดประเทศหนึ่ง และผมคงเดินกลับออกไปแล้วถ้าตรัสไม่ดีดนิ้วเรียกไว้เบา ๆ
ไอ้บ้านี่ กูไม่ใช่บ๋อยนะ
ผมยืนนิ่งรอมันคุยอยู่นานสองนานกว่าจะวางสายได้สักที จับใจความได้แค่ว่าไดม่อนอะไรสักอย่าง หลังจากนั้นมันก็เดินเข้ามาหาก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เป็นยังไงบ้าง ไหวไหม” อะไร แค่ใช้ชงกาแฟไม่ถึงกับตายมั้ง
“ถามถึงอะไรล่ะ”
“งานเลขาฯ”
“ก็พอได้อะ แต่ไม่รับรองว่าจะทำได้ดีหรือเปล่า อย่าคาดหวังมากก็แล้วกัน”
“แค่เท็ตพยายามเต็มที่ ฉันก็ดีใจแล้ว” แล้วก็เหมือนว่าบทสนทนาจะจบลงแค่นี้แหละ แต่ผมยังก้าวออกไปไม่ได้เพราะมีคำถามที่ติดอยู่ในใจ ‘จะจ้องหน้ากูอีกนานไหม’ ถ้ามันละสายตาไปยกกาแฟดื่มผมก็จะเดินกลับออกไปอยู่หรอก แต่มันเล่นจ้องกันแบบนี้เหมือนมีอะไรที่ต้องพูด แต่ติดที่ดอกพิกุลขวางปากไว้อีกแล้ว
“เอาอะไรอีกไหม” มันส่ายหน้า “งั้นไปนะ” ได้ยินอืมเบา ๆ แต่ผมยังไม่มั่นใจ “ไม่มีแน่นะ จะพูดอะไรก็รีบพูด เสียเวลา” เสียเวลาไปนั่งมองหน้าพี่สา ถึงหน้าหล่อ ๆ ของมันจะจรรโลงใจไม่แพ้กันก็เถอะ
“ขอบคุณสำหรับกาแฟ” ถ้าจะพูดแค่นี้จริง กูว่ามึงนึกนานไปนะครับ
ผมตัดใจที่จะตื้อถาม เดินกลับมาที่โต๊ะเพื่อเห็นว่าพี่สากำลังเปิดดูรูปเล่มบางอย่างที่คล้ายอัลบั้มภาพ แล้วนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว “ดูอะไรอยู่เหรอครับ”
“รูปค่ะ น้องเท็ตดูไหม” แล้วอัลบั้มรูปที่พี่สายื่นมาให้ก็ทำให้ผมแทบผงะ ไอ้บ้าตรัส...
“พี่สาเอามาจากไหนครับ”
“คุณตรัสค่ะ น้องเท็ตนี่น่ารักจริง ๆ เลยนะ หน้าไม่เปลี่ยนเลย” ภาพที่เห็นคือเด็กชายทัศนัยอายุประมาณสามขวบเศษเพราะคำนวณจากตัวเลขวันเดือนปีที่มุมล่างขวา เหมือนสิ่งนี้จะช่วยยืนยันด้วยว่าตรัสมันไปบ้านผมมาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วนแล้วจริง ๆ
“เอ่อ...” พี่สาเห็นผมอ้ำอึ้งก็เลยแย้มยิ้มจนตาหยี ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงน่าฟัง
“แค่ให้ยืมค่ะ เดี๋ยวก็ต้องเอาไปคืนแล้ว เขาหวง” ที่เห็นนี่มีตั้งแต่ภาพตอนแบเบาะจนถึงช่วงรับน้องกันเลยทีเดียว ตรัสมันไม่เคยร่วมกิจกรรมสันทนาการหรือเข้าฐานเลยสักครั้งด้วยข้ออ้างร้อยแปด ผมจึงอดสงสัยไม่ได้ว่ารูปแอบถ่ายพวกนี้มันได้มายังไง ขอเก็บความข้องใจไว้ก่อน เย็นนี้ค่อยเคลียร์
“อย่าดูมากเลยครับพี่สา เสียสุขภาพจิตเปล่า ๆ” พูดอย่างนั้นแต่ก็ยื่นอัลบั้มคืนให้พี่เขาไป พี่สาก็เอาแต่ย้ำอยู่นั่นแหละว่าน่ารักดีออก เขินเถอะ จู่ ๆ ก็โดนชมต่อหน้าแถมยังต้องนั่งมองคนอื่นดูรูปตัวเองแบบนี้ พี่เขาบอกว่าตรัสให้มาสักพักแล้ว เปิดดูทุกวันจนกลายเป็นกิจวัตร
อ่า...ทัศนัยจะมีฝาแฝดก็คราวนี้แหละวะ
มื้อเที่ยงวันนี้ผมฝากท้องที่ห้องอาหารพนักงานของบริษัท ไม่ได้ออกไปทานข้างนอกอย่างทุกวันเพราะท่านตรัสติดพันงานฝ่ายบัญชี มีเพื่อนร่วมโต๊ะเป็นพี่สากับพี่ริน สองคนนี้สนิทกันตั้งแต่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยแถมยังได้งานที่เดียวกัน ถึงนิสัยจะต่างกันสุดขั้วแต่ดูพี่ ๆ เขาจะรักกันมากเลยทีเดียว เพราะผักในจานของพี่รินถูกย้ายไปใส่จานว่าที่คุณแม่จนไม่เหลือแม้แต่เศษใบ
“ณรินทร์...” เจ้าของชื่อกะพริบตาปริบ ๆ ขานรับ “จ๋า”
“เอาคืนไปเลย ตัวเองไม่ชอบผักบุ้งแล้วเอามาให้คนอื่นทำไม” แล้วก็กลายเป็นประเด็นงุ้งงิ้งสุดน่ารัก ผลพลอยได้คือผมรู้สึกเจริญอาหารอย่างบอกไม่ถูก ทานข้าวไปหัวเราะไปจนหมดเวลาพัก
ผมกลายร่างเป็นพนักงานเดินเอกสารชั่วคราว วิ่งวนอยู่ในฝ่ายการตลาดตลอดช่วงบ่าย ส่วนตรัสเข้าประชุมกับผู้ถือหุ้นพร้อมคุณปรมัตถ์และพี่สา ผมก็เลยสบโอกาสทักทายพี่หญิงในแผนกจัดซื้อที่เธอกำลังจะร้องไห้เพราะสินค้าที่สั่งมาเกินจำนวน ความจริงคุณสามารถน่ะโหดใช่ย่อย แต่กับผมที่เป็นแค่นักศึกษาฝึกงานคุณเขาก็เลยไม่ค่อยตีหน้ายักษ์ใส่เท่าไหร่ ผมทำได้แค่ปลอบใจพี่เขาก่อนจะถอยหนีไปจากบรรยากาศมาคุ
พี่รินบอกผมว่าฝ่ายการผลิตที่อยู่ชั้นใต้ดินเป็นเขตหวงห้าม ถ้าจะลงไปต้องมีพนักงานที่เกี่ยวข้องให้คำแนะนำระหว่างเยี่ยมชมด้วย จากที่คิดจะลงไปสอดส่องเพราะว่างงานเป็นอันต้องล้มเลิกไป ก่อนจะย้ายตัวเองจากแผนกบัญชีมานั่งแกร่วคนเดียวรอเวลาเลิกประชุม
ผมเงยหน้าจากแผ่นพับสวยหรูที่มีภาพเครื่องประดับราคาระยับเรียงรายอยู่ภายในที่คว้ามาได้จากแผนกลูกค้าสัมพันธ์ เห็นจากหางตาทำให้คิดว่าตรัสกลับมาแล้วเพราะท่าทางของผู้ที่มาใหม่กำลังจะเดินเข้าไปในห้องทำงาน
แต่เผอิญว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่
ไม่ต้องเสียเวลาคาดเดา พินิจจากรูปร่างหน้าตาและความสง่างาม ผิดกันพียงวัยวุฒิที่เห็นได้จากผมสีดอกเลาและริ้วรอยร่องแก้ม ทุกอย่างบ่งบอกชัดเจนว่าตรัส รัตนภูมิเศรษฐถอดแบบมาจากคุณฉัตรพันธ์ รามานุสรณ์อย่างไร้ที่ติ
ไม่ข้องใจเลยว่าทำไมผู้ชายที่อายุอานามร่วมห้าสิบปีจะยังเปลี่ยนผู้หญิงได้ไม่ซ้ำหน้า ถ้าไม่รูปสวยก็ต้องรวยทรัพย์ ซึ่งทั้งสองปัจจัยรวมอยู่ในผู้ชายคนนี้คนเดียว แล้วผู้หญิงที่ไหนจะปล่อยให้หลุดมือ
ผมผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะก้มไหว้คนที่เผยยิ้มจริงใจมาให้ ไม่ลืมที่จะมองเลยไปหาผู้ชายอีกคนที่เดินตามหลังมา ถ้าไม่ติดที่ว่ารอยยิ้มที่เห็นนั้นไม่ต่างอะไรกับคนที่เพิ่งก้าวเข้าห้องไปก่อน ผมก็คงไม่ต้องมานั่งมุ่นคิ้วสงสัยแบบนี้
“เท็ต” ผินหน้ามองเจ้าของเสียงเรียกก่อนจะปะทะสายตากับความหล่อที่สามแบบจังเบ้อเริ่ม และรู้สึกว่าหล่อสุดท้ายนี้จะมีอิทธิพลกับผมมากกว่าใคร ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ยิ้มกว้างแบบนี้แน่ “เป็นอะไร นั่งหน้ามุ่ยเชียว”
“เมื่อกี้ใครเหรอ ที่เดินมากับคุณฉัตรพันธ์” ผมกระซิบเพราะกลัวคนที่อยู่ในห้องจะได้ยิน
“กัณฑ์ธร”
“ใครนะ”
“เอาไว้ถามคุณนิสาแล้วกัน ฉันต้องเข้าไปข้างในแล้ว” ผมพยักหน้ารับ
หลังจากที่เห็นหลังตรัสไว ๆ พี่สาก็เดินกลับมาพร้อมคุณปอที่ถือแฟ้มแทนภรรยา พอพี่สานั่งลงที่โต๊ะคุณปอก็หายเข้าไปในห้องของตรัสอีกคน อะไรกันหว่า บรรยากาศกดดันสุดปรอทแบบนี้
“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ ดูเครียด ๆ”
“นิดหน่อยค่ะ ศึกครอบครัว ไว้ให้คุณตรัสเล่าเองดีกว่านะ” ตงิดใจกับคำว่าศึกครอบครัว คำพูดของพี่สายิ่งเพิ่มพูนคูณทวีความอยากรู้อยากเห็นของผม ก็เลยถามแทรกไปอีกหนขณะที่พี่เขากำลังเปิดแฟ้มตรวจสอบข้อมูล
“ใครเหรอครับ ผู้ชายอีกคนที่ไม่ใช่คุณฉัตรพันธ์”
“คุณกัณฑ์ธรค่ะ เป็นพี่ชายต่างแม่ของคุณตรัส”
“พี่ชาย...เหรอครับ”
“ค่ะ พี่ก็ไม่รู้อะไรมากนักนะคะ ทราบแต่ว่าแม่ของคุณตรัสไม่ค่อยแข็งแรง มีบุตรยาก คุณตรัสเธอสมบูรณ์แข็งแรงนี่ถือว่าโชคดีมากเลย พี่ก็ฟังมาจากคุณปออีกทีนะ” ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ซันบอกว่าตรัสเป็นลูกที่เกิดจากภรรยาตบแต่งก็นึกว่าจะเป็นคนโตซะอีก แต่ไหงมีพี่ชายที่คล้ายว่าจะเป็นลูกไล่ของคุณฉัตรพันธ์ ที่สำคัญ...หล่ออีกแล้วว่ะ ตระกูลนี้มันชักจะเลิศเลอเกินไปละ
หลังจากนั้นผมก็ตะล่อมถามพี่สาจนทราบว่าคุณกัณฑ์ธรเป็นกรรมการผู้จัดการของสาขาคุณฉัตรพันธ์ ถือหุ้นแยกกันและมีอำนาจบริหารงานเทียบเท่าคุณพ่อ ซึ่งศึกที่ว่าไม่ได้หนักหนาถึงขนาดแย่งสมบัติกันเหมือนนิยายน้ำเน่า ก็แค่ก่ายเกี่ยงกันรับรองเจ้าของเหมืองเพชรแอฟริกาที่ติดต่อทำธุรกิจกันมานานนม แต่ยังคงเอาใจยากที่หนึ่งเหมือนเดิม เลา ๆ ว่าน่าจะเป็นคนที่ตรัสคุยโทรศัพท์ด้วยเมื่อเช้า และก็เดาเอาเองว่าตรัสคงไม่ถูกโรคกับพี่ชายคนนี้เท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นมันคงเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อเล่นและไม่ชักสีหน้าเวลาพูดถึงอย่างเมื่อกี้นี้ด้วย
“คุณธรอายุมากกว่าคุณตรัสห้าปีค่ะ จบปริญญาโทจากแคนาดา เพิ่งกลับมารับตำแหน่งเมื่อปีก่อน เป็นคนมีความสามารถพอตัวทีเดียว กว้างขวางในวงการนี้เพราะศึกษาเรื่องอัญมณีและเครื่องประดับโดยตรง”เพียงแค่นี้ก็ช่วยไขข้อข้องใจให้ผมได้มากโข
ภายในรถของตรัส ผมกำลังก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความโต้ตอบไอ้แซนที่มันส่งมาบอกว่าถึงท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานีเรียบร้อยแล้ว อวยพรอวยชัยให้โชคดีก่อนที่คนขับจะส่งมือมาจับผมทัดหูให้
“คุยกับใคร”
“แซน มันบอกว่าถึงสุราษฎร์ฯ แล้ว”
“เริ่มงานพรุ่งนี้หรือ”
“อือ แล้วซันกับอ้นเป็นไงบ้าง ไปเยอรมันตั้งแต่อาทิตย์แล้วใช่ไหม” มันตอบรับเอออา “แล้วสรุปว่ายังไง เรื่องแอฟริกา”
“กัณฑ์ธรเป็นคนรับรอง”
“แล้วตรัสล่ะ”
“ไม่ต้องทำอะไร” คุณชายพรายยิ้มเจ้าเล่ห์ น่าหมั่นไส้ได้อีก
“ขี้โกงนี่ โยนงานหินให้เขาเฉยเลย”
“เข้าข้างคนอื่นทำไม” อย่ามาแอ๊บเสียงน้อยอกน้อยใจ มันไม่เข้ากับหน้ามึงเท่าไหร่เลยตรัส
“เปล่าสักหน่อย” แล้วหลังจากนั้นก็ต่างคนต่างเงียบ มีแค่เสียงเครื่องยนต์ให้นั่งฟังเพลิน ๆ ก่อนที่ผมเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่ ก็คนอยากรู้นี่หว่า ถ้ามันไม่อยากตอบค่อยว่ากันอีกที “คุณฉัตรพันธ์เป็นคนยังไงเหรอ”
“เจ้าชู้” มันตอบแทบจะทันที
“อันนี้รู้อยู่แล้ว บอกเรื่องอื่นบ้างสิ”
“เจ้าชู้ หน้าเงิน คบคนเพราะผลประโยชน์” สรุปมนุษย์คนนี้มีด้านดีบ้างไหมวะ ไม่น่าถามเลย คำตอบของตรัสมันออกแนวประชดประชันด่าพ่อตัวเองทางอ้อม กลายเป็นคำถามชักนำให้มันทำบาปเสียอย่างนั้น
‘เอาเป็นว่า...อย่ายุ่งเกี่ยวด้วยเป็นดีที่สุด’
คำพูดของตรัสเมื่อสามวันก่อนยังวนเวียนอยู่ในหัว ผมได้รับโทรศัพท์จากปลายสายนิรนามว่าหลังเลิกงานให้รอพบใครคนหนึ่งที่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ซึ่งน้ำเสียงที่ได้ยินนั้นบังคับเป็นนัย ๆ ว่าห้ามปฏิเสธ
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือร้ายที่วันนี้ผมกับตรัสต่างคนต่างมา ด้วยเหตุว่าเมื่อเช้าต้องพาเจ้าเลกซัสป้ายแดงไปเติมน้ำมัน บอกตรัสให้กลับคอนโดไปก่อนเลย อ้างว่าขออยู่คุยเล่นกับพี่รินสักพักซึ่งผมก็ทำอย่างที่พูดจริง เพียงแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันจนเย็นย่ำค่ำมืด แฟนพี่เขามารับกลับไปตั้งนานแล้ว
ความจริงผมก็ไม่อยากจะปิดบังแต่กลัวว่าตรัสมันจะไม่สบายใจ ยิ่งวิตกจริตชอบคิดเยอะกว่าชาวบ้านชาวเมือง แล้วเรื่องนี้ผมก็คิดว่าพอจะรับมือไหว ยังไงซะก็เป็นผู้ชาย คงไม่มีใครอุตริพาไปทำมิดีมิร้ายหรอก
หลังจากที่นั่งรอเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ผมก็ได้รับข้อความว่าอีกฝ่ายติดธุระสำคัญที่โรงแรมใกล้ ๆ ให้ผมขับรถไปหา ‘ถ้าสะดวก’ ติดใจตรงคำนี้นี่แหละ ให้รอตั้งนานแต่กลับมาถามความสมัครใจเอาตอนนี้เนี่ยนะ นี่มันเข้าข่ายท้าทายชัด ๆ หนีกลับก่อนก็ไม่ใช่ไอ้เท็ตละ
ยี่สิบนาทีให้หลัง ผมก็มาเดินผึ่งผายในห้องโถงโรงแรมหรูที่อยู่ถัดมาไม่กี่บล็อก รองเท้าหนังเงาวับตัดกับพื้นพรมสีแดงเกิดเป็นเสียงตุบ ๆ ช่วยให้ลุ้นระทึกตลอดเวลาที่ก้าวย่าง เพราะเป็นโรงแรมสำหรับนักธุรกิจจึงมีห้องจัดประชุมสัมมนาที่อยู่ห่างไปจากล็อบบี้เลาจน์พอสมควร และที่นั่นเองคือจุดนัดพบ
ชื่อห้องประชุมที่เด่นสะดุดตาอยู่ด้านบนทำให้ผมมั่นใจว่ามาไม่ผิด กลั้นใจเคาะประตูไม่กี่ครั้งก็มีคนเปิดประตูให้จากด้านใน ยืนทำใจไม่นานผมก็สาวเท้าก้าวเข้าไปโดยพยายามตีสีหน้าให้ห่างไกลคำว่าตื่นตระหนก
“เชิญนั่งครับทัศนัย” ไม่ผิดไปจากที่คาดเดา คุณฉัตรพันธ์ รามานุสรณ์นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะประชุมอย่างสง่าผ่าเผย ขวามือมีพี่ชายต่างแม่ของตรัสนั่งชำเลืองมองมาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก ผิดกับท่าทีก่อนหน้านี้ลิบลับ พร้อมทั้งบริวารสี่ห้าคนที่ยืนกระจายอยู่รอบห้อง
“คุณฉัตรพันธ์มีธุระอะไรกับผมหรือครับ” เป็นคำทักทายที่ไม่ค่อยจะมีมารยาทเท่าไหร่ แต่ก็นึกอะไรไม่ออกแล้วตอนนี้ หัวตื้อคอตีบตันขึ้นมาเสียอย่างนั้น ถ้าตรัสรู้ว่าผมแอบมาเจอคู่อริสายเลือดเดียวกันของมัน ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าไอ้คุณชายที่เก็บอารมณ์เก่งที่หนึ่งจะแสดงอาการยังไง
“ไม่มีอะไรสลักสำคัญหรอก ผมก็แค่อยากทำความรู้จักกับ...เพื่อนสนิท...ของลูกชายเท่านั้นเอง ไม่ต้องเกร็งนะ”
“มีอะไรก็พูดเลยครับ ผมต้องรีบไป”
“รีบไป แล้วทำไมยังอยู่รอได้จนป่านนี้” เสียงนี้เองที่ผมได้ยินทางโทรศัพท์ เส้นเสียงที่สุขุมเยือกเย็นเป็นของคุณกัณฑ์ธรที่กำลังปิดแฟ้มตรงหน้า ก่อนจะหันมายิ้มเยาะเปิดประเด็น ฉากแบบนี้เคยเห็นแต่ในละคร เพิ่งจะมีประสบการณ์ตรงก็วันนี้ เดี๋ยวนี้เอง
“เพราะรับปากไว้แล้วครับ”
“ไม่นั่งหรือ คุยกันสบาย ๆ ไม่อยากให้ซีเรียสนะ” คุณฉัตรพันธ์พูดแทรก มันจะไม่เครียดเลยครับถ้าลูกชายของคุณไม่ออกอาการเหยียดหยันผมขนาดนั้น เคยเจอกันมาก่อนหรือก็ไม่ใช่ ไม่รู้ไปทำอะไรให้คุณเขาถึงได้ตั้งท่ารังเกียจ
“ขอบคุณครับ แต่ผมรีบจริง ๆ”
“เข้าใจแล้ว สรุปว่าวันนี้ไม่ว่างคุยแล้วใช่ไหม น่าเสียดายที่ประชุมเกินเวลาไปเป็นชั่วโมง แล้วถ้าฉันจะขอนัดอีกครั้งเป็นสุดสัปดาห์นี้ล่ะ”
ผมกลับมาถึงคอนโดในเวลาโพล้เพล้จวนจะค่ำ เห็นตรัสนั่งไขว่ห้างเคาะนิ้วที่เข่าไปพลางอย่างกับรออะไรสักอย่าง แล้วสิ่งนั้นก็กำลังยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องเสียเวลาชั่งใจ ผมเลือกที่จะเดินไปหาคนที่เท้าแขนกับพนักพิงทันทีที่เห็นหน้า แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากถามอะไร ทุกอย่างก็ถูกกลืนหายไปพร้อมจูบของผม จูบที่มีความหมายแฝงนอกเหนือจากความเสน่หา
นี่คือคำขอโทษ...ที่ผมตอบตกลงคุณฉัตรพันธ์▩▩▩