ทะลึ่ง : กามที่ 20
ชีวิตช่วงนี้มีแต่คำว่า ‘ข้ออ้าง’ เต็มไปหมด ยกตัวอย่างเช่นการที่ผมขับรถออกมาจากคอนโดด้วย ‘ข้ออ้าง’ ที่ว่าจะหาซื้อเสื้อเชิ้ตตัวใหม่ใส่สักหน่อย พร้อมทั้งเอาซีดีภาพเก่า ๆ ที่ถ่ายเก็บไว้แต่ยังไม่ได้ฤกษ์ล้างสักทีติดมือมาด้วย และก็ยัง ‘อ้าง’ ด้วยว่าขอกลับช้าหน่อย เพราะอาจนัดเจอกับเพื่อนตอนม.ปลาย...ซะที่ไหนล่ะ
เพื่อนม.ปลายของผมไม่มีใครอายุเกินห้าสิบปี ไม่มีใครร่ำรวยมหาศาล ไม่มีใครมีลูกน้องบริวารล้อมหน้าล้อมหลังเหมือนอย่างผู้ชายที่นั่งประจันหน้าอยู่ตอนนี้แน่นอน วันนี้คุณพ่อโดยนิตินัยของตรัสมาเดี่ยว ไม่มีมือขวาตามติดมาด้วย ลูกสมุนก็บางตาแต่ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่กว่าจึงทำให้ผมรู้สึกหวั่น ๆ อยู่ไม่น้อย
“ทานอะไรดี” คุณฉัตรพันธ์นัดผมมายังสวนอาหารที่ตั้งอยู่แถบชานเมือง ไร้ซึ่งความแออัดวุ่นวาย ด้วยบรรยากาศร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ช่วยให้ความตะขิดตะขวงใจของผมจากการนัดพบครั้งก่อนลดน้อยลงได้อย่างน่าอัศจรรย์
“อะไรก็ได้ครับ” แค่อย่าวางยาฆ่าผมเป็นพอ
“ต้องขอโทษด้วยที่คราวก่อนกัณฑ์ธรเสียมารยาท”
“อ่า...ไม่เป็นไรครับ” ไม่ยักรู้ว่าคุณฉัตรจะทันสังเกตเห็นปฏิกิริยาประหนึ่งตัวร้ายในละครของลูกชายตัวเอง แต่ก็อย่างว่า เขาพ่อลูกกัน ความรู้สึกนึกคิดอาจสื่อถึงได้โดยไม่ต้องพูดจา หลังจากนั้นผมก็ถูกขัดการยกน้ำขึ้นดื่มจนเกือบทำแก้วน้ำหลุดมือด้วยส่วนขยายที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากอีกฝ่าย
“เขาเพิ่งรู้ว่าคุณกับตรัสไม่ได้เป็นแค่เพื่อนร่วมมหา’ลัย”
“ครับ” ผมถามกลับเสียงสูง แสร้งไม่เข้าใจนัยแฝงจากสิ่งที่ได้ยิน
ตรัสไม่ปริปากบอกใครแน่ ผมมั่นใจ อาจมีการแลกเปลี่ยนความลับกันนิดหน่อยระหว่างมันกับคุณปรมัตถ์ ซึ่งทำให้คุณนิสามีท่าทีที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ารู้เรื่องของเรา แต่ผมไม่เห็นความจำเป็นที่ตรัสต้องบอก ‘พ่อในนาม’ ที่มันยอมทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่ห่างมากที่สุด
“ครับ ไม่ใช่แค่นั้น เพราะเราเป็นเพื่อนสนิทกัน”
“ไม่จำเป็นต้องปิดบังผมหรอกทัศนัย เอาเป็นว่าผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตรัสมากกว่าที่คุณคิดก็แล้วกัน” ผมนิ่งไป เพิ่งสำนึกได้ว่ามานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออะไรที่นี่ เพราะความสอดรู้สอดเห็นไม่เข้าท่า แล้วมันใช่เรื่องไหมที่ต้องมานั่งหลบสายตาคุณฉัตรพันธ์ที่บทบาทตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับผู้พิพากษา ส่วนผมก็จำเลยดี ๆ นี่เอง
“โธ่ ทำหน้าแบบนั้นก็ทานข้าวไม่อร่อยกันพอดี ผมไม่มีเจตนาร้ายหรอกนะ สาบานได้” เขายกมือยกไม้ประกอบคำ ก่อนจะส่งเมนูคืนให้บริกรแล้วสั่งไปว่าขออาหารแนะนำที่ขึ้นชื่อทุกอย่างของร้าน
คุณฉัตรพันธ์ยืนยันว่าจะคุยทุกอย่างหลังมื้ออาหาร ผมไม่ได้เป็นคนเห็นแก่กิน ความสงสัยในเนื้อความยังค้ำคอ หนักหนาพอจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ แล้วผมจะกลืนอะไรลง จะบอกว่าข้าวคำน้ำคำก็คงไม่ผิดนัก จนในที่สุดก็ฝืนไม่ไหว รวบช้อนที่ขอบจานบ่งบอกว่าไม่ขอทานอาหารอะไรอีก
“อิ่มแล้วหรือ”
“ครับ”
“ไม่น่าชวนคุยก่อนเลยนะ เข้าใจว่าคุณน่าจะรู้เรื่องของผมมาพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงไม่รักษาระยะห่างและประหยัดคำพูดคำจาแบบนี้” เขาคาดเดาด้วยน้ำเสียงที่ไม่บ่งบอกภาวะอารมณ์ใด ๆ ก่อนจะรวบช้อนแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เป็นสัญญาณว่าพร้อมจะคุยเข้าประเด็นกันเสียที
“ตรัสเล่าเรื่องแม่ของเขาให้ฟังบ้างไหม”
“ครับ” ผมตอบรับ ถึงแม้จะไม่ได้ฟังจากปากของตรัสเอง แต่ก็เป็นความยินยอมของเจ้าตัวโดยให้ซันเป็นสื่อกลาง
“แล้วเขาเล่าด้วยไหมว่าการจากไปของผู้หญิงคนนั้น...คนที่ผมรักที่สุด คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต ตรัสเคยรับรู้แล้วบอกเรื่องนี้กับคุณไหม” ผมส่ายหน้า “ผมขี้ขลาด ทุกอย่างมันเลวร้ายเพราะความอ่อนแอของผมเอง คุณเคยรู้สึกกลัวจับขั้วหัวใจจนคล้ายว่าหูหนวกตาบอดไปชั่วขณะบ้างไหมทัศนัย”
แววตาหมองหม่นที่ผมกำลังสบมองเหมือนกับตรึงทุกอย่างที่เคลื่อนไหวให้หยุดอยู่กับที่ ไม่มีแม้แต่เสียงรถราเข้ามาในโสตประสาท ถ้านี่คือคำโกหกพกลม ก็คงจะแนบเนียนที่สุดในโลกกลม ๆ ใบนี้แน่ “ไม่เคยครับ”
“ดีแล้วล่ะ เพราะมันยากเหลือเกินที่ต้องเลือกระหว่างการเผชิญหน้ายอมรับความจริง กับหลบลี้หนีไปให้ห่างแล้วสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมา ผมมันทั้งเลว ทั้งเห็นแก่ตัว ไม่คู่ควรที่จะรักเขาด้วยซ้ำไป” คุณฉัตรพันธ์พูดแค่นั้นก่อนจะนั่งจมจ่อมความคิดเงียบ ๆ คนเดียว ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะพูดเรื่องนี้กับผม แม้จะไม่พูดออกมาตรง ๆ แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเปรียบเปรยถึงใคร เขาเลือกที่จะหนีไปในคืนที่ผู้หญิงที่เขารักกำลังจะสิ้นใจ แล้วลูกชายคนเดียวของเธอก็โตพอที่จะรับรู้เรื่องราวทั้งหมด มันน่าอดสูตรงนี้แหละ
“แล้ว...คุณต้องการอะไรจากผมครับ”
“พูดตรงดีนะ มิน่าตรัสถึงถูกใจ” ใช่เสียที่ไหน ผมเคยพูดเปิดใจกับตรัสแทบนับครั้งได้ แต่ที่คราวนี้ยอมถามออกไปตามตรงก็เพราะข้องใจจริง ไม่อิงนิสัยส่วนตัวแต่อย่างใด ผมนั่งนิ่งไม่ตอบรับคำพูดหยอกล้อ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
“ไม่อ้อมค้อมแล้วนะ ถือว่าเป็นคำขอร้องจากลุงแก่ ๆ คนนี้ก็ได้ ผมอยากให้คุณช่วยพูดเกลี้ยกล่อมตรัส ขอให้เขากลับไปเยี่ยมบ้านบ้างสักครั้ง เพราะหลังจากเข้ามหา’ลัยตรัสก็ไม่เคยกลับไปเหยียบที่นั่นอีกเลย ทุกวันนี้มีแค่บ้านปู่ที่นาน ๆ เขาจะแวะไปสักหน” แค่นี้เองหรือ จุดประสงค์อันคลุมเครือของคุณฉัตรพันธ์ “แล้ว...ถ้าคุณข้องใจในสิ่งที่ผมพูด อยากให้คุณลองโทรไปคุยกับคนที่รู้จักผมดีที่สุด เราอยู่ด้วยกันมานาน ถึงอายุจะห่างกันหลายปีแต่ก็เปรียบเสมือนพี่น้อง เขาจงใจตัดขาดการติดต่อกับผมไปนานแล้วตั้งแต่แม่ของตรัสเสีย แต่ผมก็ยังระลึกถึงเขาเสมอ...”
“นี่นามบัตร เขายังใช้เบอร์เดิม ถ้าได้คุยกันก็ฝากบอกเขาด้วยนะทัศนัย” ผมรับกระดาษใบเล็กที่การออกแบบไม่ทันสมัยเท่าไหร่มาถือไว้ในมือ บ่งบอกถึงเวลาที่ล่วงเลยแต่คุณฉัตรยังเก็บรักษาไว้อย่างดี มีข้อมูลชื่อ เบอร์โทรศัพท์ และตำแหน่งงานอย่างชัดเจน
เจ้าของนามบัตรเคยทำงานที่รามานุสรณ์จิวเวลรี่ในตำแหน่งเลขานุการของคุณฉัตรพันธ์ ผมมองผ่าน ๆ ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ ไม่ประหลาดเกินไปหน่อยหรือหากเด็กที่ไหนไม่รู้โทรไปหาแล้วบอกว่าขอทราบประวัติของคนที่คุณขาดการติดต่อไปนานแล้วอย่างคุณฉัตรพันธ์ ผมคงไม่บ้าดีเดือดขนาดนั้น แต่ทว่า...
“ผมขอถามบ้างได้ไหมครับ”
“ได้สิ เชิญเลย”
“ทำไมถึงเป็นผม”
“เพราะผมเชื่อว่า...คุณเป็นคนเดียวที่ตรัสจะยอมเปิดใจรับฟัง”
ผมกลับมาถึงคอนโดเพื่อพบว่าตรัสไม่อยู่ เห็นโน้ตสีสดแปะที่หน้าประตูห้องนอนใจความว่าคุณชายไปอัพกล้ามที่ฟิตเนส เป็นกิจวัตรที่ห่างหายไปนานแล้วเหมือนกัน เพราะตรัสมันยุ่งแต่กับงานที่บริษัทในวันธรรมดา ส่วนวันหยุดก็ทุ่มเวลาทั้งหมดให้ผม ไปไหนไปกัน อาหารหายากแค่ไหนก็พาไปกิน ไม่มีบ่นจู้จี้ให้รำคาญใจ
ปลดกระดุมคอเสื้อแล้วเดินอาด ๆ ไปวางอัลบั้มรูปที่อัดมาบนโต๊ะหน้าทีวี ก่อนจะก้าวเข้าครัวไปชงชามานั่งจิบ ชาคาโมมายล์ที่ตรัสชอบนักหนา แล้วผมก็ติดเชื้อมาด้วยวิธีการที่วาบหวามนิดหน่อย นั่งหายใจทิ้งอยู่สักพักก็คว้าเอาอัลบั้มรูปมาชื่นชม เกือบทุกภาพมีแต่เด็กชายชยังกูรวัยสี่ขวบเศษในอิริยาบถต่าง ๆ ภายในสวนเสือ และแน่นอนว่าไม่มีรูปผมที่ทำหน้าที่เป็นตากล้องจำเป็น จะมีแค่บางภาพที่ตรัสปล่อยมือจากชีต้าร์มาถ่ายให้ เพราะวันนั้นน้องงอนที่ผมเผลอพูดคำหยาบคาย นึกได้แล้วก็นั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขณะที่ผมกำลังจะเดินไปอาบน้ำ ปลายสายถามไถ่ว่าผมทานอะไรมาหรือยัง อยากได้อะไรไหมจะได้แวะซื้อให้ก่อนกลับ ทำเหมือนไม่ได้ออกรถมาไว้ให้ขับอย่างนั้นแหละ ผมปฏิเสธไป แค่บอกให้มันรีบกลับมาไว ๆ เท่านั้นพอ
นั่งดูทีวีอยู่พักใหญ่ เสียงประตูที่เปิดเข้ามาทำให้รู้ว่าตรัสกลับมาแล้ว ผมหันไปมองก่อนจะเห็นว่ามันใส่ชุดลำลองอย่างเสื้อยืดและกางเกงสปอร์ตตัวใหญ่ ไม่มีความสงสัยเคลือบแคลงใจในแววตายิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด เอื้อมมือหยิบรีโมทมากดปิดโทรทัศน์ก่อนจะเดินปรี่เข้าไปหาแล้วโน้มคอลงมาแตะจูบเบา ๆ ...เพื่อไถ่โทษ
“จูบอีกแล้ว ครึ้มใจอะไร”
“จูบไม่ได้เหรอ”
“ได้ครับ เมื่อไหร่ตอนไหนก็ได้” รอยยิ้มบางยิ่งซ้ำเติมผมหนัก ออกปากไล่คนเหม็นเหงื่อไปอาบน้ำ ไม่ลืมทิ้งท้ายไว้เบา ๆ ว่ามีเรื่องจะคุย คุณชายที่ยังไม่คลายยิ้มก็ตอบรับ สำทับว่าจะรีบอาบด้วยความอยากรู้ว่าผมจะคุยเรื่องอะไร แต่ผมกลับภาวนาให้มันอาบช้า ๆ จะได้มีเวลาทำใจสักหน่อย
“วันนี้นัดเจอกับคุณฉัตรพันธ์” ตรัสชะงักมือที่กำลังจะส่งมาแตะที่ข้อศอก ผมเลือกที่จะออกมาคุยกับมันที่ระเบียงห้อง หวังเป็นอย่างมากว่าบรรยากาศตรงนี้จะช่วยให้มันยอมรับฟังเหตุและผลทุกอย่างบ้าง แต่ดูเหมือนว่าผมจะคาดผิด ตรัสหลับตา สันกรามที่นูนขึ้นบ่งบอกภาวะอารมณ์ว่ามันพร้อมจะกลายเป็นระเบิดมือเพียงแค่ผมเผลอไปปลดสลักเล็ก ๆ ที่ตำแหน่งใกล้หัวใจ ไม่รวมถึงการสูบลมเข้าปอดแล้วค้างไว้อย่างนั้น ก่อนจะทอดถอนออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย และมันก็คงจะหันหลังกลับไปแล้วถ้าผมไม่รั้งแขนเอาไว้เสียก่อน
“ตรัส...”
“ไม่คิดจะฟังกันเลยใช่ไหม ผู้ชายคนนั้นไว้ใจไม่ได้ ย้ำกี่ครั้งแล้วเท็ต ฉันบอกกี่หนแล้วทำไมไม่เชื่อกันบ้าง”
“เออ ฉันผิดเอง ฉันรั้นเอง แต่ไม่มีอะไรจริง ๆ นะ แค่คุยกัน...อย่าเพิ่งโกรธได้ไหมล่ะ” ตรัสก็ยังเป็นตรัสที่ยอมลงให้ผมเสมอ แค่ผมอ้อนเสียงอ่อนท่าทีขึงขังของมันก็หายวับไปกับตา โดนคว้าที่ข้อมือเบา ๆ ก่อนจะมานั่งประจันหน้ากันที่โซฟา ผมขยับหยุกหยิกอย่างร้อนรน จับต้นชนปลายไปถูกเพราะมีสายตาจับผิดจากคนที่นั่งประชิดตัว ถอยไปนิดได้ไหมวะ ตอนนี้มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกอึดอัดที่โดนเค้นความจริง แต่กลิ่นยาสระผมมันลอยมาแตะจมูกให้รู้สึกอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย
ทัศนัย...มึงนี่หื่นไม่ดูเวล่ำเวลา อยากกัดลิ้นฆ่าตัวตายประชดตัวเอง
“ฉัตรพันธ์ไม่ได้ทำอะไรใช่ไหม”
“ตรัส...ฉันเป็นผู้ชาย”
“ใช่ว่าเขาไม่สน”
“ว่าไงนะ” อาจหูแว่ว หูเฝื่อน หูฝาดก็เลยย้อนถามกลับ ถือว่าเป็นข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจทีเดียว คุณฉัตรพันธ์ไม่ใช่เสือผู้หญิงแต่เป็นเสือไบ ท่านพึงใจอิสตรีแต่ทว่าหมายตาบุรุษด้วย...เหรอวะ ถึงอย่างนั้นบทสนทนาของคุณฉัตรวันนี้ก็ปกติดี ไม่มีหยอก หยอด ตอด กระเซ้าอะไรให้ระคายหูอย่างที่ตรัสมันหวาดระแวง ไน่แน่ว่าคุณชายอาจมีผีหึงเข้าสิงจนหน้ามืดตามัวก็เป็นได้
“ไม่ถึงเนื้อถึงตัวใช่ไหม”
“แค่คุย (โว้ย) นัดกันที่ร้านอาหาร แขกเต็มร้าน พนักงานก็แทบจะเดินสวนสนาม อย่าถามอะไรแปลก ๆ ได้ไหม” ไม่ใช่อะไรกูขนลุก คุณเขาก็อาวุโสมากมาย ไม่อยากเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตเป็นเมียเก็บคนแก่ ถึงจะหล่อจนกูอิจฉาแต่ก็ใช่ว่าจะเทียบมึงได้ เอ่อ...ไม่ใช่ละ ผิดประเด็น
“คุยอะไรกัน”
“เรื่อง...คุณแม่ของตรัส” พูดไปแบบนั้นแล้วมันก็จ้องหน้าผมนิ่ง อยากเล่าให้หมด อยากบอกทุกอย่าง ถึงจะทำร้ายจิตใจคนฟังไปบ้างแต่ก็เพื่อความสบายใจ ไม่อยากให้มีอะไรค้างคาต่อกัน อยากให้มันรู้ว่าผมจริงจัง ตั้งแต่มั่นใจในความรู้สึกตัวเองก็อยากจะแสดงออกให้มันรู้
“นิทานหลอกเด็ก”
“รู้เหรอว่าเขาเล่าอะไรให้ฉันฟัง”
“บอกว่ารักแม่มากใช่ไหม ทนเห็นแม่ตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ใช่หรือเปล่า” ตรงเผงเลย
ทำไมผมต้องเขวไปเขวมาเพียงเพราะอยากรู้เรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเองสักนิด หนึ่งเพราะตรัส สองเพราะตรัส และสามก็เพราะตรัส ผมไม่อยากให้ตรัสต้องขัดข้องหมองใจกับพ่อบังเกิดเกล้า อคติหรือทิฐิอะไรก็ตามแต่ แค่ลดมันลงสักนิด ปรับตัวเข้าหากันสักหน่อย ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องยากอะไรไม่ใช่เหรอวะ หรือเพราะว่าผมมันเป็นพวกที่คิดอะไรง่ายเกินไป ถึงไม่เข้าใจปัญหาโลกแตกของพวกมหาเศรษฐี
“ตรัสไม่ลองเปิดใจดูบ้าง”
“เท็ต โดนฉัตรพันธ์ซื้อใจไปแล้วหรือ” ใจกูไม่ได้มีไว้ขาย ตอบไปก็จะกลายเป็นประเด็นใหม่เสียเปล่า ๆ ทำได้แค่ยู่หน้าก่อนจะคว้ามือคุณชายมากุมไว้หลวม ๆ แหมะ รู้สึกแมนขึ้นจม เอาไว้วันไหนมีแรงเยอะ ๆ จะลองจับมึงกดดูนะหล่อ
“อยากให้ตรัสมีความสุข”
“ทุกวันนี้...ฉันก็มีความสุขจนคนทั้งโลกต้องอิจฉาแล้ว” เว่อร์มากเหอะ ถ้าพูดเลี่ยนกว่านี้อีกนิด ทำตาเชื่อมกว่านี้อีกหน่อย มีหวังได้หลอมละลายลงไปตายแทบเท้ามันแน่ ใจเต้นตึกตักอย่างกับเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มริมานั่งกุมมือจีบสาว แต่เผอิญว่าสาวเจ้าตัวใหญ่ไปหน่อยก็เลยได้แต่นั่งมองตาจนรู้สึกจุกเสียดในอกคล้ายเป็นโรคหัวใจโป่งพอง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องพูด
“ตรัส...ถ้ามีพยานบุคคลล่ะ”
“หืม”
“เลขาฯ ของคุณฉัตรเมื่อหลายปีก่อน ยังจำได้ไหม” ผมผลักไหล่ไอ้คนละโมบ มีความสุขแต่ก็โกยได้โกยเอา มันทำท่าจะโน้มหน้าเข้ามาฉกจูบเนียน ๆ แต่ก็ชะงักไป ผมเหลือบมองอัลบั้มรูปที่มีนามบัตรของคนที่ผมพูดถึงสอดอยู่ด้านใน คว้ามาส่งให้คุณชายมันก็เอาแต่มองหน้าผม ไม่ยอมรับไปถือจนต้องจับมันแบมือแล้วส่งตาหวานเป็นใบเบิกทาง เพราะไอ้หล่อมันเริ่มชักสีหน้าพาบรรยากาศชวนสยองอีกรอบแล้ว
“ไม่จบง่าย ๆ ใช่ไหมเรื่องนี้”
“น่านะ ฉันอุตส่าห์ไปคุยกับเขามา อย่าให้เสียแรงสิ ทั้งลุ้นทั้งเสี่ยงที่ต้องไปนั่งคุยกับคุณฉัตรพันธ์สองต่อสอง”
“ไหนว่าคนเยอะ”
“ก็เยอะ แต่ที่โต๊ะมีแค่สองคน” แล้วมันก็ไม่พูดอะไร เอาแต่ลอบถอนหายใจ
“ตรัส...ไม่รักฉันไม่ทำนะ” ไม้ตายไอ้เท็ต ถ้าไม่เด็ดถึงใจคุณชายก็อย่ามาจูบกันให้เสียปาก รู้ดีว่าไม่ควรใช้คำนี้มาเป็นเครื่องมือ แต่ผมไม่ได้โกหก ผมไม่มีนิสัยสักแต่ใช้ปากพูด ทุกคำล้วนกลั่นกรองออกมาจากใจ ถึงบางทีจะติดนิสัยปากแข็งจากตรัสมาบ้าง แต่ถ้าถึงเวลาต้องพูด...ก็ควรพูดจริงไหม
สุดท้ายมันก็ยกธงขาวยอมแพ้ ก้มมองของในมือแล้วพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกเสียงเรียบ
“นานมากแล้ว จำหน้าเขาไม่ได้แล้ว ทำไมหรือ”
“คุณฉัตรบอกว่าถ้าไม่เชื่อเรื่องที่เขาพูด ให้ถามคุณคนนี้” ตรัสมองกระดาษใบเล็กสลับกับหน้าผมอยู่หลายครั้ง ชักแปลกใจขึ้นมาตงิด ๆ กับสีหน้าประหลาดของมัน ตรัสหรี่ตามองนามบัตรอีกครั้งอย่างชั่งใจก่อนจะหยักยิ้มบางส่งมาให้
“ฉันจำไม่ได้ แต่คิดว่าเท็ตน่าจะรู้จักดี”
“บ้าเหรอ ฉันจะรู้จักได้ไง” ขมวดคิ้วฉับ ผมเนี่ยนะจะไปรู้จักอดีตเลขาฯ ของคุณฉัตรพันธ์ แม่บ้าน คนสวน คนขับรถก็ว่าไปอย่าง ตรัสเพี้ยนว่ะ พูดอะไรพิลึก
“ดูสิ นี่นามสกุลของชีต้าร์” ตรัสพลิกนามบัตรกลับมาตรงหน้า
“แล้วเขาก็ชื่อ...ศุภเชษฐ์”
ศุภเชษฐ์ อนันตฤกษ์ คือชื่อที่อยู่ในนามบัตรสองใบ ใบหนึ่งได้มาจากคุณฉัตรพันธ์ ส่วนอีกใบได้มาเองกับมือ ผมเกือบลืมไปว่ามีนามบัตรที่ได้รับมาจากพี่เชษฐ์เมื่อตอนที่พบกันครั้งแรกแล้วเขาใจดีทิ้งช่องทางการติดต่อไว้ให้ บอกว่ามีอะไรให้โทรไปถามไถ่ได้เสมอ ตอนนี้ผมได้โอกาสหยิบฉวยมาใช้ประโยชน์แล้วล่ะครับพี่ มีคำถามไปฝากเยอะแยะเลย
เบอร์เดียวกัน ชื่อเดียวกันเด๊ะ ผิดแค่หน่วยงานและตำแหน่งหน้าที่ ผมนี่มันก็สมองกลวง อ่านอะไรผ่านตาไม่เคยจำเข้าสมอง แต่ก็ชมเชยตัวเองเหลือเกินที่สามารถใช้ประโยชน์จาก ‘ข้ออ้าง’ ที่คิดขึ้นได้เมื่อวาน
อัลบั้มรูปของชีต้าร์
ตรัสไม่ว่าอะไรสักคำที่ผมขอไปเที่ยวบ้านพี่เชษฐ์ มันรู้จุดมุ่งหมายของผมดี ขอแค่ไม่มีคุณฉัตรพันธ์มายุ่งเกี่ยวด้วยเป็นพอ ขอกลับเย็นหน่อยมันก็อนุญาต แกล้งถามว่าไปด้วยกันไหมคุณท่านก็ปฏิเสธเสียงแข็ง แต่เชื่อเถอะว่ามันต้องมีข้อต่อรอง เดี๋ยวค่อยเคลียร์เรื่องนี้ตอนกลับมาก็แล้วกัน
ที่พำนักของคุณศุภเชษฐ์เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังใหญ่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรย่านธุรกิจ คลำทางได้ไม่ยากโดยดูจากแผนที่ที่ยังอยู่ในเมลส่วนตัว ผมโทรแจ้งพี่เขาแล้วว่าขอแวะไปเยี่ยมเยียนโดยให้เก็บเป็นความลับ ห้ามบอกน้องชีต้าร์ล่วงหน้าเพราะหมายมั่นว่าจะเซอร์ไพรส์เจ้าหนู พี่เชษฐ์ก็รับปาก และพี่เขายังปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดทีเดียว
“พี่เท็ต!” แรงถาโถมที่มีจุดสตาร์ทตรงหน้าประตูบ้านทำให้ผมเกือบตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็สามารถยกน้องที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานเด็กสี่ขวบขึ้นอุ้มได้อย่างปลอดภัย ก่อนส่งปลายจมูกไปหอมซ้ายหอมขวาให้หายคิดถึง เจ้าตัวดีก็กอดคอผมแน่นไม่ยอมปล่อย
“พี่เชษฐ์สวัสดีครับ” ยกมือไหว้ปลก ๆ เพราะมีเสือตัวกลมมาขวางไว้ เจ้าของชื่อก็ยิ้มขัน
“สวัสดีครับ เป็นไงหลงไหม มายากหรือเปล่า ไม่เห็นโทรมาถามทางเลย”
“ไม่เลยครับ หาง่ายมาก คิดถึงชีต้าร์จังเลยนะเนี่ย” ประโยคหลังหันไปพูดกับลูกชาย ก่อนพี่เขาจะเชิญเข้าไปในบ้านโดยที่ผมยังอุ้มชีต้าร์ที่หน้าแดงเถือกเพราะโดนบอกว่าคิดถึง
ความแก่แดดของชีต้าร์ มันช่างแปรผันตรงกับขนาดตัวจริง ๆ
ผมนั่งลงที่โซฟาก่อนพี่เขาจะยกน้ำยกท่ามาให้ดื่ม วางชีต้าร์ลงกับตักก่อนจะแกล้งแซวว่าตัวสูงขึ้นมาก น้องก็ไม่เถียงแถมยังแอบกระซิบด้วยว่ารีบโตไปแต่งงานกับพี่เท็ต ช่างมีความตั้งใจที่แรงกล้าหาที่สุดไม่ได้ ผมก็เลยหัวเราะไปยกใหญ่ พี่เชษฐ์ที่ไม่ได้ยินเสียงลูกชายก็ได้แต่เลิกคิ้วสงสัย
“อะไรกันชีต้าร์ นินทาป๊าใช่ไหม”
“เปล่าสักหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นก็เล่าให้ป๊าฟังด้วยสิ บอกแต่พี่เท็ตคนเดียวได้ไง”
“บอกปะป๊าไม่ได้หรอก”
“ทำไมล่ะ”
“เป็นความลับของลูกผู้ชาย” เป็นงั้นไป ผมกับพี่เชษฐ์ก็ได้แต่นั่งหัวเราะประโยคเด็ดประจำวัน
ของฝากที่ผมนำมาถูกส่งให้เจ้าของบ้านเรียบร้อยแล้ว อัลบั้มรูปทั้งสามเล่มถูกเปิดดูด้วยมือป้อมที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปด้วย เดี๋ยวบอกว่าหล่อบ้างล่ะ น่ารักบ้างล่ะ หลงตัวเองซะไม่มี
“แล้วนี่ภรรยาพี่ไปไหนเหรอครับ”
“ติดงานน่ะ มีอีเว้นท์ที่ต่างจังหวัด วันหยุดไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก โดนชีต้าร์งอนประจำ” ผมพยักหน้ารับรู้
คว้าโอกาสทองตอนนี้เสียดีไหม ไหน ๆ ชีต้าร์ก็กำลังก้มหน้าก้มตาดูรูป ตกลงใจแล้วผมก็เอื้อมตัวไปพูดกับพี่เขาเสียงเบาแต่ไม่ถึงกับกระซิบ “พี่เชษฐ์รู้จักคุณฉัตรพันธ์ รามานุสรณ์ไหมครับ” มือที่กำลังเลื่อนจานคุกกี้มาให้ผมชะงักกึก สังเกตจากสิ่งที่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าคุณฉัตรไม่ได้โกหก
“รู้จักเขาด้วยหรือ”
“ครับ ก็นิดหน่อย เขาเป็นคุณพ่อของเพื่อน”
“เพื่อนน้องเท็ต คุณตรัสหรือ”
“ใช่ครับ” กระจ่างชัดว่าไม่ผิดตัว แววตาที่มีชีวิตชีวาเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง ไม่บ่งบอกความรู้สึก ถ้าเปรียบเป็นน้ำทะเล ภายในนั้นคงมีสึนามิลูกใหญ่ซ่อนเอาไว้แน่ ๆ “ถ้าลำบากใจที่จะพูดถึง...”
“ไม่เป็นไร อยากถามอะไรล่ะ” คุณศุภเชษฐ์หยักยิ้มพิกลพิการ ความตะขิดตะขวงใจเริ่มบังเกิด แต่ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว พี่เขาก็ออกปากอนุญาต ผมไม่ควรยืดเยื้อบรรยากาศคลุมเครืออย่างนี้ไว้นานเกินไป มันไม่จรรโลงใจ
“ผมอยากถามเกี่ยวกับคุณแม่ของตรัสครับ”
“รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ ใครเล่าให้ฟัง”
“ทั้งสองฝ่ายครับ ทั้งตรัส ทั้งคุณฉัตรพันธ์ ผมถึงอยากทราบความจริงว่าฝ่ายไหนกำลังเข้าใจผิด หรือฝ่ายไหนกำลังโกหก” ตอบเขาไปกึ่ง ๆ ละอายใจ เรื่องของตัวเองก็ไม่ใช่แต่กลับมาถามเขาปาว ๆ อย่างกับเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรด้วย
“คุณฉัตรเขาเล่าอะไรให้ฟังบ้าง”
“เขาบอกว่าเขารักคุณแม่ของตรัสครับ แต่ว่าไม่กล้าอยู่กับเธอจนถึง...นาทีสุดท้าย” พี่เชษฐ์ไม่ถามแทรกหรือพูดอะไร ผมจึงตัดสินใจเล่าต่อ “แต่ตรัสยืนยันว่าคุณฉัตรพันธ์อยู่กับผู้หญิงคนอื่นตลอดทั้งคืน” เหมาเอาว่าตรัสเป็นคนยืนยันทั้งที่จริงซันเป็นคนพูด แต่ผมมั่นใจว่าเรื่องคอขาดบาดตายอย่างนี้ซันคงไม่ตีขลุมสุ่มเดา
“ไม่มีใครเข้าใจผิด ไม่มีใครโกหก”
“หมายความว่ายังไงครับ” ยังมีหน้าไปย้ำถามเขาอีกทัศนัย ไม่รู้จักหักห้ามความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองเอาซะเลยว่ะ นั่งมือเย็นเฉียบลุ้นทุกคำพูดที่ออกจากปากคุณศุภเชษฐ์ แต่แล้วเขาก็นิ่งไป ผมยังไม่เข้าใจในคำอธิบายก่อนหน้า และเหมือนว่าท่าทางของผมจะแสดงออกได้อย่างน่ารังเกียจว่าใคร่รู้ พี่เขาจึงค่อย ๆ เอ่ยออกมาเสียงแผ่ว
“คุณฉัตรพันธ์รักคุณปานจริง ๆ และคืนนั้น...คุณฉัตรก็อยู่กับคนอื่นจริง ๆ”
“ครับ...”
“เขาอยู่กับผม”
ชีต้าร์ที่นั่งดูรูปพร้อมกับทานคุกกี้ไปเพลิน ๆ ก็ผล็อยหลับแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว หันมองอีกทีก็มีเศษคุกกี้ติดแก้มฟุบหลับคาอัลบั้มรูปได้อย่างน่าเอ็นดู คุณพ่อเขาก็เลยอุ้มไปนอนที่โซฟาก่อนจะเดินมาส่งผมที่หน้าบ้านเมื่อหมดเรื่องคุย
“น้องเท็ต ที่เล่าให้ฟังเมื่อกี้เป็นความลับลูกผู้ชายนะครับ ห้ามบอกใครเด็ดขาด” เล่นมุขเดียวกับลูกชายพร้อมรอยยิ้มสบาย ๆ ผิดจากเมื่อครู่ลิบลับ
“แล้วตรัส...”
“คนเดียวเท่านั้นนะ” ผมพยักหน้าพร้อมยิ้มตอบคุณพ่อลูกหนึ่ง ฝากพี่เขาบอกชีต้าร์ว่าผมจะแวะมาหาใหม่ พร้อมด้วยของฝากที่ไม่ใช่แค่รูปภาพเหมือนอย่างวันนี้ เพราะมีเวลาเตรียมตัวน้อย คอยแต่ตื่นเต้นว่าจะใช่คนเดียวกันจริงไหม ไม่ผิดคนแน่หรือ แต่แล้วก็ได้รู้ความจริง ความสัมพันธ์อันซับซ้อนของคุณศุภเชษฐ์กับคุณฉัตรพันธ์ ผมขอเหยียบเอาไว้ตรงนี้เลย...
เขาเคยรักกันจริง ๆ▩▩▩
เกย์ทั้งแผ่นดิน