ตรัสมันต้องแกล้งผมแน่ ๆ เพราะจานนั้นมีพริกเม็ดเป็นของประดับไม่ได้มีไว้สำหรับกิน แล้วมันนึกพิเรนทร์อะไรถึงตักมาให้ผม ฝากไว้ก่อน เดี๋ยวกูได้เอาคืนมึงแน่คุณชาย แต่ตอนนี้ขอซัดโฮกเครื่องดื่มอัดก๊าซกันตาย เผ็ดจนน้ำหูน้ำตาไหลอนาถตัวเองพิลึก ยืนแลบลิ้นรับลมอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกดีขึ้น หวังจะเดินกลับไปที่ศาลาแต่ก็ต้องปะทะกับกำแพงหน้าอกจังเบ้อเร่อ สะดุ้งแล้วเงยหน้ามองถึงได้เห็นว่าเป็นไอ้คุณชายที่มายืนหล่อสาดเสียเทเสียขวางประตูครัวไว้
“จะเอาอะไร” ถามเพราะหวังดีจะได้ช่วยหา แต่ทำไมมันตอบมาแบบนั้นวะ “เอาเท็ต”
ถ้าไม่เห็นแก่ป้าวิหรือแม่บ้านคนไหนที่อาจจะเดินผ่านมา ก็ช่วยคิดเสียว่าเกรงใจผีบ้านผีเรือนเถอะนะ รุกคืบมาตะบี้ตะบันจูบจนกูลืมเผ็ดขนาดนี้ มึงข่มขืนกูเลยดีกว่าไหม เข้าใจว่าตั้งแต่ย้ายออกมาจากคอนโดก็หาเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังยากเต็มที พิธีซ้อมรับปริญญาต่างคนต่างมาแล้วรีบกลับ วันนี้ก็เจอกันที่หน้าหอประชุมไม่กี่ชั่วโมงแล้วยังมีก้างตัวใหญ่ ๆ เป็นดอกคาร์เนชั่นนั่นอีก ก่อนหน้านี้ตรัสก็ได้แต่โทรหาเพราะไม่ค่อยมีเวลาว่าง ต้องรีบเคลียร์งานก่อนเดินทางไปเรียนต่อ พอเห็นสายตามันหลังจากถอนจูบแล้วผมก็จนปัญญาจะต่อว่า แค่ลูบปากตัวเองปอย ๆ เพราะไม่ค่อยแน่ใจว่าเมื่อกี้จูบไปนานแค่ไหน ถ้าเกิดมีใครเดินมาตามจะทำยังไง
“คิดถึง” ได้ยินบ่อยแล้วเถอะคำนี้ ขอคำอื่นบ้างได้ไหม “ไม่อยากไปอังกฤษเลย” นี่ก็ด้วย
“ถ้าพนักงานของรามานุสรณ์จิวเวลรี่มาได้ยิน คงลาออกยกบริษัท” มันถามกลับว่าทำไม “ก็เพราะประธานไม่มีความรับผิดชอบ ถืออารมณ์เป็นใหญ่ ไม่เห็นแก่ความก้าวหน้าของบริษัท แทนที่จะสั่งสมประสบการณ์ในช่วงเวลาที่ตัวเองกำลังไฟแรง แต่กลับบ่นอุบว่าไม่อยากทำในสิ่งที่สมควร”
“ไม่อยากให้บ่นก็ไปกับฉันสิ” หล่อ ถ้ามึงชวนอีกคำเดียวนะ...กูหอบผ้าตามมึงไปจริง ๆ ด้วย
“ฉันว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ”
“ทำไมใจแข็งขนาดนี้” ก็เพราะมีผู้ชายใจอ่อนอย่างมึงตามติดเป็นเงา สวนทางกันไว้จะได้สมดุล เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดหลงทาง อีกฝ่ายจะได้ช่วยฉุดรั้งอย่างที่มึงกำลังเป็นอยู่ตอนนี้ไง “ถ้าฉันขอคุณพ่อตอนนี้ ท่านน่าจะ...”
“ไม่ไปก็คือไม่ไป ทำไมพูดไม่รู้เรื่อง” ผมตะเบ็งเสียงแทรก “เลิกรบเร้าสักที มันน่ารำคาญ” ไม่อยากใช้คำรุนแรงเลยสาบานได้ แต่ถ้าไม่พูดแบบนี้ตรัสมันคงไม่รับฟัง ไม่อยากให้หวังลม ๆ แล้ง ๆ กับอีแค่ปีครึ่ง ถ้าเกิดผมคิดนอกใจหรือระลึกได้ว่าการคบผู้ชายมันเป็นเรื่องผิดพลาด คนอย่างผมคงไม่คู่ควรที่จะได้รับความรักจากมันอีกต่อไป...ฟังดูน้ำเน่าใช่ไหม แต่ผมคิดแบบนี้จริง ๆ
ตรัสพูดขอโทษสั้น ๆ ด้วยแววตาที่ผมหาคำบรรยายไม่ได้ การฝืนใจตัวเองมันทรมาน การขัดใจผู้ชายตรงหน้าก็เหมือนกัน แต่ผมก็ต้องทำเพื่ออนาคตของท่านประธานรามานุสรณ์ และต่อให้เป็นการบริภาษที่เล็กน้อยแค่ไหน ความเจ็บปวดของอีกฝ่ายมันก็แพร่กระจายมาถึงผมอย่างเท่าเทียมกันอยู่ดี ดังนั้นเราควรยุติเรื่องทำร้ายจิตใจแล้วกลับออกไปที่โต๊ะอาหาร ก่อนที่ทุกคนจะสงสัยว่าผมกับมันมาทำอะไรในครัวตั้งนานสองนาน...ดีกว่าไหม
ไม่ดีว่ะ เพราะทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างครึกครื้น อาหารบนโต๊ะก็เลยพร่องไปกว่าเดิมแค่นิดหน่อย แต่ผมกลับทานไม่ลง ความอยากอาหารหยุดชะงักตั้งแต่บทสนทนาในห้องครัว โดนไอ้แซนกระซิบหยอกว่าไปกินน้ำมาปากมันวาวเชียวนะ ผมโต้กลับด้วยการหยิกเอวมันจนร้องโอย โวยวายว่าผมซาดิสม์ เออ กูยอมรับ ถามคนที่นั่งปั้นหน้าเป็นปกติข้างพ่อนั่นก็ได้ มันอาจจะช่วยยืนยันอีกเสียง แต่ไม่รู้ทำไมมาโซคิสม์อย่างมันถึงไม่ยินดีที่จะได้รับความเจ็บปวดจากการอยู่ห่างกันในคราวนี้
ผมนั่งหน้าบูดสนิทตอนที่ทุกคนขำขันเรื่องตลกในการฝึกงานของแซน จนพ่อต้องทักว่ายังไม่หายเผ็ดอีกเหรอ ตอบท่านไปว่าหายแล้วแต่ง่วง อ้างไปทั้งที่นั่งเบิกตาตลอดคืนก็ยังไหว เพราะการใช้ชีวิตช่วงนี้ของผมไม่ต่างอะไรกับนกฮูก ตื่นกลางคืนนอนกลางวันอยู่แล้ว จนกระทั่งพ่อกับแม่ขอตัวไปอาบน้ำนอน คุณกอบไม่ลืมสำทับว่าให้ผมรีบตามเข้าไปเหมือนกัน เพราะสีหน้าสีตาเหมือนหมาจูเข้าไปทุกที ยู่หน้ายืนยันไปเสียเลยว่าเหมือนจริงไม่ต้องอิงความง่วง พ่อก็เดินหัวเราะขึ้นบ้านไป ปล่อยให้บัณฑิตใหม่ห้าชีวิตนั่งเล่นกันอยู่ในสวน โต๊ะอาหารมีแม่บ้านมาจัดการไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้จึงมีแต่ความเงียบเป็นดนตรีประกอบฉาก
อ้นก้าวมาโอบไหล่ผมพาเดินไปนั่งเล่นที่ชิงช้ากันสองคน ปล่อยให้ที่เหลือนั่งมองจากศาลาด้วยความสงสัย ซึ่งผมเองก็ข้องใจไม่แพ้กัน “มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามแต่อ้นกลับเลิกคิ้วเป็นคำตอบ
“ฉันต่างหากที่ต้องถาม เท็ตเป็นอะไรหรือเปล่า” โดนย้อนถามมาแบบนี้ก็เลยไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี เพราะผมก็สงสัยเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร อยากให้ตรัสไปเรียนต่อก็ใช่ ไม่อยากให้มันไปก็ใช่อีก มันชวนไปอยู่ด้วยกันก็ปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ถ้ารออยู่นี่ก็กลัวว่าจะเหงา ทำไมโจทย์ชีวิตมันยากขนาดนี้ มีคำถามเดียวแต่สรรหาคำตอบได้ร้อยแปด ไม่มีเฉลย ไม่มีถูกผิด ไม่มีใครช่วยตัดสินได้เลย
เหตุผลหลักที่ผมรีบย้ายออกมาจากคอนโดตรัสแต่เนิ่น ๆ ก็ด้วยสาเหตุนี้ ถ้าจู่ ๆ คนที่เคยกินข้าวด้วยกันทุกเช้าเย็น นอนด้วยกันทุกคืนหายหน้าไป ผมจะเป็นยังไง ใจหายหรือเปล่า ทางออกที่ดีที่สุดคือการลองแยกกันอยู่ก่อนวันนั้นมาถึง โดนตรัสหว่านล้อมแต่ก็ไม่สำเร็จ พอบอกจะย้ายผมก็ย้ายทันทีไม่ร่ำไรรอจนใจอ่อน แล้ววิธียับยั้งความกระวนกระวายเมื่อความคิดถึงจู่โจมก็คือการหลับทั้งวันนั่นไง จะได้ไม่คิดฟุ้งซ่านจนต้องเหยียบคันเร่งไปหามันที่บริษัทหรือคอนโด พอตกกลางคืนช่วงเวลาตื่นนอนของผม ตรัสก็จะโทรมาหา คุยกันไม่นานผมก็เป็นฝ่ายขอวางสายก่อนเสมอ หลังจากนั้นก็คิดเสียว่ามันหลับไปแล้ว จะได้รู้สึกสบายใจมากขึ้น คาบเกี่ยวระหว่างโรคซึมเศร้ากับวิตกจริตยังไงชอบกล
“มีอะไรเล่าให้ฟังได้นะ อย่าเก็บไว้คนเดียว เสียสุขภาพจิต” อย่างอ้นว่าก็ถูก เพราะตอนนี้ผมรู้สึกเคว้งคว้างและมึนงงเอาการ รู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำให้พ่อลำบากใจ แทนที่จะออกไปหางานหาการทำ กลับนอนลืมโลกใช้ชีวิตกลับตาลปัตรผิดมนุษย์มนาอยู่แบบนี้ ได้ระบายให้ใครสักคนฟังก็คงจะดีเหมือนกัน
“เรื่องตรัสกับเรื่องงาน”
“อยากทำงานแล้วหรือ” เหมือนอ้นจงใจจะเลี่ยงประเด็นแรกให้พ้นตัว มีเพื่อนอย่างอ้นก็ดีไปอย่าง เว้นช่องว่างสำหรับความเป็นส่วนตัวให้เสมอ แต่ไม่ดีก็ตรงที่เว้นให้ซันมากไปหน่อยเท่านั้นเอง ผิดกับไอ้แซน รายนั้นมันคงเสนอหน้าถามรัว ๆ เรื่องตรัสก่อนเป็นอย่างแรก
“ยังหรอก แต่ไม่อยากอยู่บ้านเฉย ๆ เกรงใจพ่อ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เที่ยวเล่นให้เบื่อก่อนเป็นไง ได้ชาร์จพลังจากการเปลี่ยนบรรยากาศ ก่อนจะเริ่มหางานจริงจังสักที” เข้าท่าแฮะ แต่จะเที่ยวที่ไหนได้ในเมื่อทุกคนต้องตั้งหน้าตั้งตาทำงานปั๊มเงิน แต่มีอยู่ที่หนึ่งน่าสนใจ อ้นน่าจะรู้ว่าผมคิดอะไรจึงหันขวับมองไอ้แซนเป็นตาเดียว เหมือนไอ้ตี๋มันรอให้เชิญอยู่ก่อนแล้ว ก็เลยรีบก้าวขาฉับตรงมาหาโดยไม่ต้องอ้าปากเรียก
“อะไรกัน”
“แสนรู้นะ แค่มองตาก็กระดิกหางมาหาแล้ว” หนึ่งฝ่ามือกลางหน้าผากเน้น ๆ เจ็บฉิบเป๋ง
“แซนยังทำงานที่รีสอร์ทคุณพีระมิดเหมือนเดิมใช่ไหม” อ้นถาม แซนมันก็พยักหน้ารับ “ฝากงานให้เท็ตหน่อยได้ไหม ถือซะว่าช่วยเพื่อนเปิดโลกทัศน์ เผื่อหมอนี่จะเลิกวิจัยฝุ่นแล้วหันมาหยิบจับงานการจริงจังสักที”
“เอาสิ เดี๋ยวกูลองคุยกับคุณพีให้ สัปดาห์หน้าก็ว่าจะกลับแล้ว รอส่งไอ้ตรัสไปอังกฤษก่อน” สะท้อนใจได้อีก “ว่าแต่เป็นอะไรเท็ต ทำหน้าแปลก ๆ ตั้งแต่กลับมาจากห้องครัว ไปกินน้ำอัดลมหมดอายุมาหรือไง”
“ยุ่งน่า ไม่ใช่เรื่องของมึง”
“ใช่สิ กูไม่ใช่ไอ้ตรัสนี่”
“เลิกค่อนกูสักวันเหอะแซน วันนี้กูไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงว่ะ หมดแรงจริง ๆ” อ้นส่งมือมาคลึงหลังคอเบา ๆ คล้ายจะปลอบ “ขอบคุณครับ แต่ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวซันหึง” แล้วแรงคลึงก็เปลี่ยนเป็นแรงทุบดังอึก หมดแรงเถียงกับไอ้แซน แต่ไม่ได้บอกว่าหมดแรงแซวอ้นเสียที่ไหน ตรัสมันด่าว่าผมใจแข็ง แล้วอย่างอ้นนี่เรียกว่าอะไร ใจหินแมกมาชัด ๆ
“เรื่องตรัสไม่ต้องคิดมากนะ เท็ตทำถูกแล้ว โต ๆ กันแล้วจะมาใช้ชีวิตโดยที่ตัวติดกันตลอดเวลาได้ยังไง ถ้าเท็ตหนักแน่นซะอย่าง ตรัสก็ทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากนั่งปั้นหน้าบึ้งตึงแบบนั้น” ผมมองตามปลายนิ้วที่ชี้ไปยังศาลา เห็นตรัสเค้นขมับตัวเองในขณะที่ซันพูดพึมพำอะไรสักอย่าง ก่อนคุณชายจะถอนหายใจ
“สรุปว่าปมเดิมใช่ไหม ไม่อยากให้ไอ้ตรัสไปเรียนต่อ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้”
“แสนรู้จริง ๆ ด้วยว่ะแซน” คราวนี้มันไม่ถึงเนื้อถึงตัวแต่เดินเลี่ยงไปนั่งลงที่ม้าหินข้างชิงช้า “ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้ไปหรอกว่ะ แค่ยังไม่ชิน อย่างมึงเองที่ผ่านมาต้องไปอยู่สุราษฎร์ฯ ตลอด กูก็รู้สึกเหงา ๆ อยู่เหมือนกัน”
“อย่าเบี่ยงประเด็นซะให้ยาก เหงาอะไรไม่เคยโทรหากันเลย บทจะโทรก็ขนเรื่องกลุ้มใจไปฝากกู แล้วมีการบอกว่ารักเพื่อนเท่ากันทุกคน ไอ้คนสับปลับ” โดนมันหลอกด่าแต่ไม่มีอะไรจะย้อน เพราะที่มันพูดคือเรื่องจริงทุกคำ ถ้ามันไม่เป็นฝ่ายกลับมาแล้วพาผมไปเที่ยว ก็แทบจะหาเวลาคุยกันไม่ได้เลย “ว่าแต่ว่า ทำไมอ้นไม่บรรยายความรักในมุมมองของคุณเปมทัต เหมือนอย่างที่เคยเล่าให้ฉันฟังวันนั้นล่ะ เผื่อหมีมันจะทำใจง่ายขึ้น”
“ไม่จำเป็นหรอก ตอนนี้เท็ตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ผิดกับตรัส หมอนั่นเพี้ยนไปเยอะตั้งแต่คบกับใครบางคน สงสัยคน ๆ นั้นจะมีอิทธิพลกับคุณชายมากเกินไปหน่อย” อ้นยิ้ม แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำล้อเลียน
“แอบไปคุยอะไรกันที่ไหนเมื่อไหร่ เล่ามาเดี๋ยวนี้”
“ทำไมต้องแอบ ก็นั่งคุยกันดี ๆ ที่คอนโดซัน มึงนั่นแหละที่ขลุกอยู่แต่ในบ้าน ไม่รับรู้โลกภายนอกกับใครเขา หน้าหนวดก็ไม่โผล่มาให้เห็นเป็นเดือน ๆ น้ามนบอกว่ามันเอาแต่นอนตอนกลางวัน แล้วตื่นมาเล่นเกมตอนกลางคืน คนแบบนี้เรียกว่าโตเป็นผู้ใหญ่ได้ยังไงวะอ้น”
“ฉันพูดถึงความคิด ไม่ใช่ความประพฤติ”
“อ้าวอ้น เริ่มเรื่องมาดี แต่ทำไมส่งมือมืดมาฆ่าพระเอกแบบนี้ล่ะ ไถ่โทษด้วยการเล่าเรื่องที่แซนมันบอกเลยนะ ไม่อย่างนั้นฉันโวยวายจริง ๆ ด้วย” แล้วแซนมันก็ยืนยันคำพูดตัวเองอีกหน ว่าผมเป็นผู้ใหญ่ตรงไหนวะ
เรื่องที่อ้นเคยพูดกับแซนก็คืออย่าแสวงหาความมั่นคงในความรัก ต่อให้เราพยายามสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นแค่ไหน แต่สุดท้ายเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนใจ ทุกอย่างก็จะสูญเปล่าและสิ้นสุดลง ดังนั้นเราไม่ควรยึดติดกับมัน ไม่มีอะไรจีรังเท่ามิตรภาพความเป็นเพื่อนอีกแล้ว ซึ่งหลังจากที่ฟังแซนเล่า สำนึกแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวกลับไม่ใช่ท่านตรัส แต่เป็นท่านซันแทนเสียนี่ น่าสงสารจังเลยว่ะศิรานุวัฒน์
จุดประสงค์ของไอ้แซนไม่ได้คาดหวังให้ผมปลงตกเรื่องคุณชาย แค่อยากบอกต่อให้ผมรู้ว่าคู่ซันอ้นหมดหวังแน่แล้ว อย่าลงแรงเชียร์ให้เสียเวลา หนุนหลังผลักดันอย่างไรก็ไม่เป็นผลแน่นอน อ้นยิ่งเป็นพวกมีอัตตาธิปไตยสูง อีโก้รุนแรงประหนึ่งนางพญาน้ำแข็ง เพราะฉะนั้นรีบเปลี่ยนหัวข้อกิจกรรมมาช่วยกันดามใจท่านซันระหว่างที่ตรัสเดินทางไปเรียนต่อที่อังกฤษแก้เซ็งแทนดีกว่า
ตลอดทางไปสนามบินผมกับแซนพูดกันไม่หยุดปาก ถ้ามันเริ่มนิ่งเพราะหมดเรื่องคุย ผมจะรีบเสนอเรื่องใหม่ที่น่าสนใจกว่าขึ้นมาทันทีอย่างมีนัย ไม่อยากนั่งเงียบให้แรงบีบอัดในอกมันจู่โจม ตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าต้องห่างจากตรัส อาการนี้มันก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะทุเลาลง กลับหนักข้อขึ้นทุกนาที ยิ่งใกล้วันเดินทางก็ยิ่งกำเริบหนัก สุดท้ายเลยย้ายที่อยู่ชั่วคราวไปพึ่งพาห้องไอ้แซน ตะลอนกินดื่มเที่ยวกับมันแทนการอยู่คนเดียวแล้วหมกมุ่น วันนี้ก็เลยต้องติดรถมันมาส่งตรัส ไม่ต้องฝืนสังขารขับรถมาเอง
ผมกับไอ้ตี๋วิ่งหน้าตั้งจากลานจอดรถตอนที่อ้นโทรมาบอกว่าเที่ยวบินของตรัสขึ้นสถานะไฟนอลคอล คงเพราะคุยกันสนุกปากไปหน่อยก็เลยลืมดูเวลา ถึงแม้ว่ารถติดหนักก็ยังสบายใจกันอยู่ได้ สุดท้ายจึงต้องไปยืนล่ำลากันอยู่หน้าเกท วันนี้ตรัสใส่เชิ้ตสีดำอีกแล้ว สงสัยคราวหน้าต้องเตือนมันจริงจังเสียทีว่าลุคแบบนี้มันเป็นอันตรายแก่สายตาของสามัญชน
“ไปนะ”
“อือ ถึงแล้วโทรมาด้วย” ผมคุยตอบปกเสื้อมัน ไม่กล้ามองหน้า กลัวสบตาแล้วต้องมายืนเป่าปี่โชว์ ได้ยินไอ้แซนกระแอมเบา ๆ ก่อนจะส่งแขนมาโอบที่หัวไหล่
“คือว่านะ เพื่อนอีกสามคนก็ยังยืนกันอยู่ทนโท่อะครับ กรุณาอย่าสร้างโลกส่วนตัว”
“ไปนะแซน ซัน อ้น แล้วจะรีบกลับ พร้อมของฝาก” ท้ายประโยคหันไปแซะตี๋หนึ่งเต็ม ๆ เห็นซันยืนยิ้มกริ่มพึงพอใจ ไม่รู้ว่าเขานัดแนะอะไรกันไว้ แต่ผมไม่ได้อยากรู้มากไปกว่า ”กลับวันไหน”
“ยังไม่รู้วันแน่นอน แต่ฉันจะโทรหาทุกวันถ้าเป็นไปได้ โอเคไหม” ผมพยักหน้า
“โทรหากู หาอ้นบ้างก็ได้นะ” แซนมันค่อน ตรัสไม่ตอบอะไรแค่ยิ้ม “รีบไปเถอะ เดี๋ยวตกเครื่อง โชคดีนะ” อ้นเป็นคนตัดบทหลังจากผมยืนนิ่งไม่รู้จะพูดอะไร แต่ก่อนไป ตรัสกระชับโอเวอร์โค้ทที่พาดแขนไว้ก่อนจะโน้มหน้าลงมาใกล้แล้วกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน จนผมรู้สึกซาบซึ้งสุดหัวใจว่าทำไมตรัส รัตนภูมิเศรษฐถึงโรแมนติกได้ขนาดนี้
“นอกใจโดนแน่” กูไม่กล้าก็ได้โว้ย!▩▩▩
หายไปนานเลย ฮือ สำนึกผิดค่ะ ให้เอามีดมาแทงคนละที อะ *ยื่นมีดให้*
คิดว่ายุ่ง ๆ แป๊บเดียว กลับมาดูวันโพสต์ตอนล่าสุดแล้วช็อกเลยค่ะ เกือบเดือนเลยเนอะ ฮือ
ขอโทษจริง ๆ น้า จะกลับมาปั่นสม่ำเสมอแล้วค่ะ น่าจะใกล้จบแล้วแหละ
รักคนอ่านทุกคนเลยยยยย *กอดรวบ*