ทะลึ่ง : กามที่ 27
ผมไม่คาดหวังข้อมูลอะไรจากไอ้แซนเพื่อนทรยศอีกต่อไป มันยืนกรานที่จะอมพะนำความลับที่ผมไม่ควรรู้ให้ตายไปพร้อมกับมัน หรือไม่อย่างนั้นก็คงเป็นปัญหาระดับประเทศ เข้าข่ายการก่อการร้ายและกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของชาติประมาณนั้น ซึ่งหลังจากที่คิดได้ว่าผมทำตัวเหลวไหลเกินกว่าจะสู้หน้าคุณพีระมิดก็ตัดสินใจขอลากลับบ้าน แซนมันไม่ห้ามผมสักคำ แค่บอกให้ระวังตัวจากคุณกัณฑ์ธร และถ้ามีอะไรเร่งด่วนสามารถโทรหามันได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม
ผมไม่ได้กังวลว่าลูกชายคนโตของคุณฉัตรพันธ์จะรามือจากการระรานผมหรือไม่ เพราะเรื่องเดียวที่ผมสนใจคือผู้หญิงของเขา ผู้หญิงคนสำคัญที่สามารถทำให้ผู้ชายคนนั้นหยุดพฤติกรรมร้ายกาจกับเหยื่อที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างผม ร้อยทั้งร้อยคงไม่พ้นคนที่ข้องเกี่ยวกับตรัส ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณฮันนาห์ว่าที่คู่หมั้นคู่หมาย สบายใจได้เปราะหนึ่งว่าการทำงานหลังจากนี้จะไม่มีอุปสรรคทางเพศเป็นตัวถ่วงความเจริญ
ท้ายที่สุดแล้วคุณกอบ เกียรติพัชรเมธี พ่อบังเกิดเกล้าก็ทนลูกตื้อของผมไม่ไหว ยอมให้เข้าทำงานที่บริษัทของท่าน แต่หาใช่ว่าสมัครมาเป็นเจ้าคนนายคนเพราะผมเริ่มต้นด้วยการเป็นเจ้าหน้าที่เช็คสต็อก ได้รับเงินเดือนขั้นพื้นฐานทัดเทียมเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ เพื่อป้องกันคำครหาว่าร้าย ผมยินดีและยินยอมอย่างเต็มใจไม่เกี่ยงงอน ขอแค่มีที่พักใจ ไม่ใช่อยู่กับตัวเองแล้วคิดฟุ้งซ่านไปวัน ๆ เท่านั้นพอ
ห้าเดือนที่พ้นผ่านกับหน้าที่การงานที่ซ้ำซากจำเจ จมปลักกับคอมพิวเตอร์เครื่องเดิม ภายในคลังสินค้าและเพื่อนร่วมงานหน้าเดิม ๆ จะแปลกใหม่ก็แต่เพียงพนักงานผู้หญิงมากหน้าหลายตาที่แวะเวียนมามีธุระปะปังอะไรไม่รู้ในโกดังสินค้าหลังตึกสำนักงานที่พวกเธอประจำอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นบางคนถึงกับหยิบยื่นของฝากมาให้เป็นสินน้ำใจ ก่อนจะกระมิดกระเมี้ยนขอเบอร์โทรศัพท์ไปเป็นของแลกเปลี่ยน ซึ่งจนแล้วจนรอดผมก็สามารถหาข้ออ้างล้านแปดปฏิเสธอย่างแนบเนียน
อย่าให้พูดดีกว่าว่าโทรศัพท์ดึกดำบรรพ์ของผมมีอันเป็นไปกี่รอบแล้ว ทั้งตกน้ำ ตกพื้น จอดับ อับสัญญาณ ก็แล้วแต่สมองจะเอื้ออำนวยในเวลานั้น ๆ เข้าใจดีในเจตนาที่ชัดเจนของทุกคน หรือถ้ามองอีกแง่ผมมันก็แค่ลูกชายของผู้บริหารบริษัท อาจจะมีประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจึงคิดผูกสัมพันธ์ไว้ไม่เสียหลาย แต่มันคงไม่ใช่เรื่องที่จะเที่ยวแจกเบอร์ของตัวเองไปทั่ว เพราะกับคนที่อยากให้โทรมา...ตั้งความหวังให้ตายก็คงไม่มีวันสมหวัง
ผมขาดการติดต่อจากตรัสไปนานแล้ว ห้าเดือนที่ผ่านมาจึงไม่ต่างอะไรกับห้าปี จากความเหงาแปรเปลี่ยนเป็นความด้านชา ไม่ว่าใครจะพูดก็อะไรก็ไร้ความรู้สึกไปโดยปริยาย ซันกับแซนที่ค่อยโทรถามข่าวคราวก็จนปัญญาที่จะหาถ้อยคำมาปลอบใจ แต่มันไม่จำเป็นเลย เพราะสำนึกหนึ่งเดียวในเวลานี้คือผมโสดและสบายใจกับการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ต้องคอยเป็นห่วงเป็นใยใครนอกจากพ่อกับแม่ ไม่ต้องคอยใส่ใจความรู้สึกของใครในเมื่อคน ๆ นั้นยังไม่แยแสความรู้สึกของผมสักนิด จบกันแบบนี้ก็ดี มีเวลาทิ้งระยะห่างและทำใจง่ายกว่าการที่ยังอยู่ใกล้กันเป็นไหน ๆ
“เท็ต ทำงานไม่มีวันหยุดแบบนี้ ระวังสุขภาพจะแย่เอานะลูก” คุณนายมนรยาคนสวยส่งมือมาแตะที่บ่าผมเบา ๆ พร้อมน้ำผลไม้แก้วใหญ่ หลังจากที่ผมกลับมาจากบริษัทแล้วนั่งคิดอะไรเงียบ ๆ คนเดียวที่สวนหลังบ้าน ส่วนพ่อกลับมานานแล้วและท่านกำลังเดินตามมาสมทบ
“ที่บริษัทก็เหมือนกัน ถ้าไม่ส่งคนไปบอกให้พักเที่ยง ลูกชายตัวดีของแม่ก็ไม่ยอมวางมือจากงาน ทำตัวแปลก ๆ ตั้งแต่กลับมาจากสุราษฎร์ฯ แล้วนะเรา มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่กำลังปรับตัว”
“ปรับตัวเรื่องอะไร”
“ผมอยากเปลี่ยนตัวเองครับพ่อ อยากเป็นเท็ตคนใหม่ที่ไม่งี่เง่าเอาแต่ใจเหมือนแต่ก่อน มีงานทำก็ต้องตั้งใจทำงาน ถ้าไม่จริงจังแล้วผมจะประสบความสำเร็จเหมือนพ่อได้ยังไง”
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดเอาใจ ลูกไม้ตื้น ๆ แบบนี้คิดหรือจะหลอกพ่อได้ พ่อมีลูกคนเดียว ลูกเปลี่ยนไปทำไมพ่อจะไม่รู้ ให้พ่อเดา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับลูกชายคนเล็กของคุณฉัตรพันธ์หรือเปล่า”
“ไม่เกี่ยวครับ” ผมตอบทันที มีปฏิกิริยาตอบกลับจากพ่อแม่ทันทีเหมือนกัน
“ปากแข็ง ตอนเด็กปากแข็งยังไง โตมาก็ยังไม่เคยเปลี่ยน” แม่ว่า
“ไม่เกี่ยวอะไรกับตรัสหรอกครับ ผมสบายดี มีความสุขเหมือนตอนห้าขวบ สิบขวบ หรือเมื่อสี่ปีก่อนตอนที่ยังไม่เข้ามหาวิทยาลัย”
“ไม่เกี่ยวก็ดี เพราะถ้ามีใครมาทำอะไรให้ลูกแม่เจ็บช้ำน้ำใจ แม่จะไม่มีวันให้อภัยคน ๆ นั้นเลย”
แล้วข่าวงานหมั้นของตรัสก็ตอกย้ำความรู้สึกที่ชาชินของผมให้ตายด้านโดยสมบูรณ์ ไม่ใช่เพียงสื่อต่างประเทศเท่านั้นที่ให้ความสนใจคู่รักแวดวงธุรกิจ สื่อในประเทศที่ผมเห็นผ่านตาตามแผงหนังสือและอินเทอร์เน็ตยิ่งย้ำชัดว่าผมกำลังจะถูกลืม ในความคิดมีแต่คำถามว่าทำไม...ทำไม...วนเวียนอยู่อย่างนั้น ไหนแซนบอกว่าคุณกัณฑ์ธรได้ผู้หญิงที่เขารักกลับคืน แล้วทำไมกำหนดวันหมั้นหมายถึงยังไม่เปลี่ยนแปลง
ผมพยายามปล่อยวางทุกสิ่งอย่างแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำงาน แต่ด้วยความที่มุมานะเกินไป ทำให้โดนแม่ตำหนิอยู่บ่อยครั้งว่าผมกำลังข้ามขั้นความขยันกลายเป็นการหักโหม แม้ว่าตอนนี้จะแข็งแรงดี แต่ถ้าขืนทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบนี้ต่อไปคงได้ล้มหมอนนอนเสื่อแน่ ซึ่งผมมันรั้นเกินกว่าจะปฏิบัติตามคำแนะนำ ทำเป็นหูทวนลมไม่เชื่อฟังความหวังดีของท่าน จนในที่สุดสิ่งที่สามารถหยุดความฟุ้งซ่านและบ้าระห่ำของผมได้ก็คือคำพูดสั้น ๆ ของพ่อ
“พ่อจะพาไปดูตัว”
“อะไรนะครับ”
“พรุ่งนี้วันหยุดใช่ไหม พ่อเป็นธุระให้แล้ว แค่แต่งตัวรอรถมารับตอนสิบเอ็ดโมง ห้ามสายเด็ดขาด” ท่านว่าอย่างนั้นแล้วกลับออกไปจากห้องผม ไม่ถามความสมัครใจกันสักคำ มิหนำซ้ำต่อรองอะไรก็ไม่ได้ อ้างว่าผมยังไม่พร้อมจะมีใครท่านก็บ่ายเบี่ยง ทั้งที่แม่รู้เรื่องของผมกับตรัสอยู่แล้วแท้ ๆ แต่พ่อ...ผมไม่รู้ว่าท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้
คล้ายว่าสวรรค์เป็นใจที่เช้านี้ตื่นมาเจ็บคอจนเสียงหายฟังไม่ได้ศัพท์ ประหนึ่งว่าหวัดลงคอ แม่เห็นท่าไม่ดีก็เลยชงน้ำผึ้งมะนาวอุ่น ๆ มาให้พร้อมทั้งสำทับว่าห้ามดื่มน้ำเย็นเป็นอันขาด ไม่วายตอกย้ำซ้ำเติมด้วยการตีต้นแขนเบา ๆ ข้อหาที่คุณหญิงเธอเตือนดี ๆ แล้วไม่ยอมฟัง
“นี่ถ้าหายไม่ทันเที่ยงนี้มีหวังพ่อเราเสียหน้าแย่ เป็นฝ่ายทาบทามไปเองเสียด้วย” โถแม่ครับ ผมเป็นคนนะไม่ใช่หุ่นยนต์ เข้าโปรแกรมรักษาโรคแล้วหายทันท่วงที ที่สำคัญมีเวลาเยียวยาแค่สี่ชั่วโมงเศษ ๆ หายทันก็มหัศจรรย์แล้วครับ แต่ผมจนปัญหาจะยอกย้อน แค่กระแอมไอเบา ๆ ก็ระคายคอจนน้ำตาเล็ดแล้ว ปล่อยให้คุณหญิงเธอมีความหวังไปว่าไอ้บ้าเท็ตจะหายทันสิบเอ็ดโมง
คุณกอบเป็นคนตรงต่อเวลาอย่างที่สุด ห้านาทีก่อนเวลานัดคุณท่านก้าวลงจากลีมูซีนสามตอนมายืนหล่อเนี้ยบในมาดพ่อสื่อ ผมที่ยังนอนอยู่บนเตียงในชุดลำลองมองนาฬิกาแล้วชะโงกหน้าผ่านบานกระจกดูลาดเลาบริเวณรั้วบ้าน วิเคราะห์เหตุการณ์ว่าคุณนายมนรยาจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไง
แม่ออกโรงอธิบายด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอยู่หลายนาที ก่อนจะเห็นได้จากระยะไกลว่าพ่อไม่ตอบคำแค่ก้าวเข้ามาในบ้าน ซึ่งผมพอจะเดาได้ว่าจุดมุ่งหมายของท่านอยู่ที่ไหน ไม่นานก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
“ไม่สบายมากหรือเปล่าเรา” ผมส่ายหน้าตอบท่านหลังจากเดินมาเปิดประตูให้ พ่อส่งมือมาคลำหน้าผากผมเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจ “ไม่มีไข้ก็ดีแล้ว รู้ไหมเท็ต การเอาใจใส่งานที่ทำน่ะเป็นเรื่องดี ทุกคนมองเห็นความพยายามที่ลูกตั้งใจจริง มุมานะบากบั่น แต่พ่ออยากให้เราพักผ่อนเสียบ้าง ของในสต็อกมันไม่หายไปไหนหรอก ไม่ต้องเฝ้าตรวจสอบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ได้ เข้าใจไหม”
“ผมทราบครับ” อื้อหือ เสียงประมาณว่าเป็ดเรียกเจ้าคุณปู่ ทางที่ดีหลังจากนี้งดใช้เสียงเถอะทัศนัย
“ยกเลิกนัดวันนี้ไปก่อนแล้วกัน พ่อจะโทรไปขอโทษฝ่ายนั้นเอง” ผมยิ้มพราย แต่ยังยิ้มได้ไม่สุดเพราะคำพูดทิ้งท้ายของท่านก่อนจะเดินกลับออกไป “วันหลังยังมี”
เหตุการณ์น่าประหลาดใจยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพิ่งทราบเมื่อวานว่าบุพการีกลัวผมจะแห้งเหี่ยวตายเพราะไร้คู่ แต่เช้าวันดูตัวกลับล้มป่วยกะทันหันจนต้องยกเลิกนัด ช่วงบ่ายคล้อยแทนที่ผมจะได้นอนหลับพักผ่อนตามประสาคนป่วยกลับต้องมารับรู้เรื่องช็อกโลกจากคุณนายมนรยา
“ฝ่ายนั้นบอกว่าไม่เป็นไรที่เลื่อนนัด แต่เขาอยากจะมาเยี่ยมลูกที่บ้าน พ่อเราก็ตอบรับไปแล้วด้วย” จะว่าไปคู่ดูตัวเป็นใครป่านนี้ผมยังไม่รู้เลย ซึ่งอิหรอบนี้ก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าผู้หญิงที่พ่อเลือกจะเป็นกุลสตรีมีชาติตระกูลหรือเปล่า ถึงกลับยอมเป็นฝ่ายมาหาผู้ชายเองถึงบ้าน ครอบครัวของคุณเธอคงร้ายไม่เบา
ผมได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดในรั้วบ้านขณะที่ยังนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง แม่อุตส่าห์เดินขึ้นมาบอกให้เตรียมตัวล่วงหน้าหลายนาที แต่ผมยังไม่มีแก่ใจพบเจอใคร สารรูปดั้งเดิมเป็นอย่างไรก็คงต้องออกไปพบแขกสภาพนั้น คิดเสียว่าเป็นเครื่องแสดงความจริงใจไม่เสแสร้งต่อกันนะครับคุณผู้หญิง
จัดการเซ็ทผมตัวเองลวก ๆ แล้วนั่งหายใจทิ้งไปพลางระหว่างรอ ก้มมองเสื้อยืดคอกลม กางเกงผ้านิ่มขายาวกับรองเท้าสลิปเปอร์แล้วได้แต่ถอดใจ ความประทับใจแรกพบจบกันก็คราวนี้ แต่ถ้าเป็นเนื้อคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกัน ไม่ถูกใจรูปลักษณ์ในวันนี้ก็ต้องมีสักวันที่โดนใจ ขอคิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนจะได้ไม่เป็นกังวล
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอย่างมีมารยาททำให้ผมต้องลุกขึ้นไปเปิดประตูด้วยตัวเอง ผิดวิสัยคนที่บ้านเกินไปหน่อยเพราะไม่ค่อยมีใครยอมเสียเวลายืนคอยนอกจากพ่อ จับลูกบิดแล้วใช้เวลาปล่อยวางชีวิตแค่เสี้ยววินาที ก่อนจะรั้งประตูเปิดออกเพื่อพบกับแขกผู้มาเยือน
ผิวขาวจัดราวกับเรืองแสงได้ทำให้ผมต้องเพ่งมองอย่างถี่ถ้วนเพื่อตอบตัวเองว่า...ผู้หญิงอะไรตัวสูงจัง แผงอกที่กำลังจดจ้องก็ไม่มีส่วนโค้งเว้าตามสรีระสตรีอย่างที่ควรจะเป็น และด้วยความสัตย์จริง ให้พรมเช็ดเท้าเป็นพยานก็ได้ เบลเซอร์สูทพอดีตัวที่อยู่ตรงหน้ามีกลิ่นอวลที่ผมคุ้นเคยจนต้องร้องอ๋อในใจ โดยไม่ต้องเสียเวลาเงยหน้าขึ้นมองว่าแขกลึกลับคนนี้เป็นใคร
ชั่วอึดใจเท่านั้นที่ผมยืนนิ่งเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง เมื่อตั้งสติได้จึงก้าวถอยกลับแล้วเหวี่ยงประตูปิดเสียงดังสนั่น ปล่อยให้ใครอีกคนยืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดแม้แต่คำทักทาย กลับมาทำไม ยังไม่ครบหนึ่งปีครึ่งอย่างที่ตั้งใจแล้วมันรีบกลับมาทำไม น่าจะแต่งงานสร้างครอบครัวอยู่ที่นั่น ปล่อยให้ผมรอต่อไปโดยไม่ต้องกลับมาดูดำดูดี แค่เท่านี้ผมก็ทรมานกับการบังคับใจตัวเองมากพออยู่แล้ว บังคับให้หยุดคิดหยุดเพ้อถึงเรื่องอดีต ควบคุมสติตัวเองให้อยู่กับร่องกับรอย แล้วทำไมต้องรีบกลับมาตอกย้ำความรู้สึก ทั้งที่ผมกำลังจะลืมได้อยู่แล้วแท้ ๆ ทำไม...วะ
“เท็ต...ฉันขอเข้าไปนะ” ผมกลืนน้ำลายทั้งที่ลำคอแห้งหาก น้ำตาไม่มีสักหยดเหมือนด้านชากับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น นั่งอยู่ที่ขอบเตียงรอคนแปลกหน้าก้าวเข้ามาช้า ๆ ก่อนจะหยุดนิ่งข้างหน้าต่าง ก็ดีที่เว้นระยะห่างเพราะผมยังไม่อยากอยู่ใกล้มันตอนนี้
“ฉันเพิ่งกลับมาเมื่อเช้า คุณพ่อของเท็ตท่านหวังดีอยากทำให้เท็ตประหลาดใจ อย่าโกรธท่านเลย” เซอร์ไพรส์มากครับพ่อ คู่ดูตัวของผมต่างจากที่จินตนาการไว้ราวฟ้ากับเหว แต่ผิดว่ะตรัส ฉันไม่ได้โกรธพ่อเลยสักนิด ที่กำลังนั่งหงุดหงิดจนไม่อยากมองหน้าใครเป็นเพราะโมโหคนอื่นต่างหาก
ตลอดเวลาที่นั่งอยู่อย่างนั้นผมทำได้ดีที่สุดแค่เงียบ ตรัสที่ถนัดเรื่องนี้กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม พยายามอธิบายว่าห้าเดือนที่หายไปทำอะไร อยู่ที่ไหน กับใคร แต่ผมไม่ได้อยากรู้สักนิดว่าเรียนหนักแค่ไหน สภาพอากาศที่เวสต์มินสเตอร์เป็นอย่างไรบ้าง หรือว่าญาติพี่น้องที่นั่นอยู่กันสุขสบายดีไหม ที่ผมอยากรู้คือเรื่องชีวิตคู่ที่กำลังเป็นที่โจษจันนั่นมากกว่า
“ไม่คิดจะพูดกับฉันสักคำเลยหรือ” นึกขอบคุณเหลือเกินที่ดันเป็นหวัดเสียงหายเอาวันนี้ มีข้อแก้ตัวแล้วว่าทำไมไม่ยอมคุยกับตรัสดี ๆ ถ้าเผื่อว่ามันจะเข้าทางแม่ แต่ใครจะคิดล่ะว่าคนอย่างตรัสจะยอมคลานเข่าเข้าหาแล้วจ้องตาระยะประชิด จุดนี้แค่หายใจยังลำบากเลย จะอ้อนให้พูดด้วยน่ะหรือ ฝันเฟื่องเกินไปไหม
“ฉันผิดเองที่ขาดการติดต่อกับเท็ต ขอโทษได้ไหมครับ” หายเข้ากลีบเมฆครึ่งปีกว่าแล้วมาบอกว่าขอโทษสั้น ๆ แค่นี้ ไม่สมเหตุสมผลเลย “เพราะความอดทนของฉันมีจำกัด จะให้รอถึงหนึ่งปีครึ่งตามกำหนดคงไม่ไหว อยากทุ่มเทตั้งใจในระยะเวลาสั้น ๆ ก็เลยเพิ่มชั่วโมงเรียนจนเต็มวัน ไม่มีเวลาสำหรับมื้อเที่ยงด้วยซ้ำ เชื่อเถอะเท็ต ฉันอยากกลับมาที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” กลับมาทำไม ผมอยากย้อนถามใจจะขาด กลับมาเพื่อบอกผมว่าตัวเองกำลังจะแต่งงานน่ะหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นสู้หายไปเฉย ๆ ยังจะดีซะกว่า อย่าจับปลาสองมือแบบนี้เลย
ผมไม่ได้โง่งมจนดูไม่รู้ว่าตรัสพยายามปิดบังความจริงบางอย่าง ตลอดเวลาที่ง้อพูดง้อคุยมันไม่เอ่ยปากถึงคุณฮันนาห์สักคำ แต่อย่างไรก็ดีความลับไม่มีในโลก ยิ่งอยากเก็บงำไว้กับตัวเองเท่าไหร่ เสียงที่อยู่ข้างในมันก็ยิ่งเปล่งออกมาดังเท่านั้น ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งออกมา เปิดช้า ๆ ไปยังหน้าที่ต้องการแล้วส่งให้คู่สนทนา สีหน้าของตรัสไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมแม้แต่น้อย แค่กะพริบตาช้า ๆ ก่อนจะถอนหายใจ
“ฉันอธิบายได้” ไม่จำเป็นเลย ไม่จำเป็นสักนิด ทุกกระทำของนายมันบอกฉันหมดแล้ว ไม่ต้องเสียเวลามาพร่ำพรรณนาว่าไม่ได้รัก แค่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันหรืออะไรก็ตามแต่ ผมยอมปิดหูปิดตาดีกว่าฟังคำแก้ตัวที่สุดท้ายแล้ว...ผมก็ต้องเสียตรัสไปอยู่ดี
แม่เยี่ยมหน้าเข้ามาหาในเวลาที่เหมาะสมที่สุด บอกเพียงสั้น ๆ ว่าอาหารกลางวันพร้อมแล้ว ซึ่งไม่ต้องรอให้ท่านเร่งรัดอย่างทุกทีว่าให้รีบลงไปเพราะอาหารจะเย็นชืด คล้อยหลังไม่นานผมก็ลุกขึ้นตามท่านไปทันที ปล่อยให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญนั่งมุ่นคิ้วอยู่บนเตียงโดยไม่เอ่ยคำชวน
ท้ายที่สุดแล้ววันนี้ตรัสก็ไม่มีโอกาสได้ยินเสียงผมแม้แต่คำเดียว นึกสะใจอยู่เหมือนกันที่ได้อมพะนำความคิด จนทำให้อีกฝ่ายอึดอัดจนต้องแสดงออกทางสีหน้าและแววตา ตลอดมื้ออาหารได้ยินแต่เสียงพ่อที่ชวนแขกพูดคุย ส่วนแขกก็เอาแต่ถามคำตอบคำ ไม่เจริญอาหารเอาซะเลย
หลังจากไอ้คุณชายกลับไปได้พักใหญ่ก็ถึงเวลาชำระความ คุณกอบแสร้งทำเป็นเดินยิ้มกริ่มขึ้นบันไดแต่ไม่ไวเท่าลูกชายที่วิ่งแซงไปขวางหน้า ก่อนจะหรี่ตามองเจ้าแผนการ “พ่อ...” เอาวะ ถึงสรรพเสียงจะพิกลพิการบาดหูคนฟัง แต่เพื่อความสบายใจก็ควรเปิดใจคุยกับท่าน ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงนอนหลับไม่สนิท
“อะไรเจ้าเท็ต หลบสิ พ่อจะขึ้นไปอาบน้ำ” อย่าทำเป็นตีหน้ายักษ์ชักหน้าขรึมให้เหนื่อยเลยขอรับท่าน ไม่เนียน ๆ
“พ่อทำแบบนี้ทำไมครับ แกล้งผมทำไม” แจงเข้าประเด็นโดยไม่ต้องอ้อมค้อม พ่อก็ยอมตามน้ำโอบไหล่ผมแล้วก้าวขึ้นบันไดไปพร้อมกัน “เพราะพ่อเบื่อสีหน้าอมทุกข์ของเราเต็มทน”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตรัสสักหน่อย”
“จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวพ่อขอพิจารณาเอง คนเราน่ะ ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจก็ควรพูดคุยกัน ไม่ใช่เก็บงำความคิดเอาไว้ ต่อให้เป็นนักจิตวิทยามือหนึ่งก็คงอ่านใจคนอื่นไม่ออกหรอก จริงไหม”
“แล้วถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดออกมาง่าย ๆ ล่ะครับ ถ้ามันซับซ้อนเกินกว่าจะมองหน้าแล้วระบายความในใจออกมา ผมควรจะทำตามคำแนะนำของพ่อไหม”
“มันขึ้นอยู่กับว่าลูกมีความกล้าแค่ไหนต่างหาก กล้าที่จะยอมรับความจริงแล้วพูดมันออกมา หรือว่าจะใช้ชีวิตต่อไปด้วยความวิตกกังวล และถ้าลูกเลือกอย่างหลัง พ่อกับแม่คงพลอยทุกข์ใจตามไปด้วย”
“ผมขอโทษครับ”
“ลองเก็บไปคิดดูแล้วกัน พ่อเชื่อว่าเท็ตไม่ใช่คนที่เข้าใจอะไรยาก พ่อรักลูกนะ” มืออุ่น ๆ ของพ่อที่ลูบแผ่วตรงกลางกระหม่อมช่วยเติมเต็มความสุขจนล้นอก ความสับสนต่าง ๆ นานาก็คล้ายว่ามันมลายหายไปในชั่วพริบตา
“ผมก็รักพ่อครับ”
อาการเจ็บคอของผมทุเลาลงมากแล้ว แต่โรคบ้างานยังคงกำเริบอยู่เป็นพัก ๆ วันหนึ่งกลับบ้านเร็ว อีกสองวันกลับเช้าก็มี เพราะผมกำลังหนีใครบางคนที่เทียวแวะมาเยี่ยมเยียนที่บ้านไม่เว้นแต่ละวัน ซึ่งหลังจากที่ไตร่ตรองคำพูดของพ่อดูแล้ว ผมไม่มีเหตุผลอื่นใดจะโต้แย้งความหวังดีของท่านได้เลย แต่ก่อนจะเปิดอกคุยกับตรัสแบบแมน ๆ ผมขอแก้แค้นให้สาแก่ใจที่มันหายไปจากสารบบชีวิตผมโดยไม่กล่าวลาสักคำ
โทรศัพท์แผดเสียงดังลั่นอยู่ข้างหูตอนที่ผมเผลอฟุบหลับคาโต๊ะทำงาน มองนาฬิกาเห็นว่าล่วงเลยเวลาเลิกงานมานานโข แต่ผมโทรไปบอกแม่ล่วงหน้าแล้วว่าจะค้างที่คลังเพราะไม่อยากทำให้ท่านกังวลใจ แล้วใครโทรมา...
(( ลืมกันแล้วใช่ไหมเท็ดดี้แบร์ )) น้ำเสียงหล่อเหลาทัดเทียมหน้าตาแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่านซัน จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่โทรมาเห็นจะเป็นเมื่อสองเดือนก่อนโน่น
“ใครจะลืมเพื่อนฝูงได้ลงคอ สบายดีไหมครับท่าน”
(( สบายดี แต่ได้ยินว่าคนแถวนี้เป็นหวัด หายดีแล้วหรือ ))
“หายดีแล้วครับ ว่าแต่รู้ได้ยังไง”
(( มีสายรายงานมา )) เห็นทีสายสืบที่ว่าจะแสนรู้เกินไปซะแล้ว ยังไม่ทันได้คุยกันสักคำแต่กลับรู้ว่าผมป่วย สงสัยงานนี้มีคนในร่วมรู้เห็นแน่นอน (( ช่วงนี้มีเวลาว่างบ้างไหมเท็ต อยากนัดเจอกันสักหน่อย อ้นก็บ่นคิดถึงอยู่เหมือนกัน ))
“ไม่ค่อยว่างครับ แต่ถ้าเป็นหลังหกโมงเย็นโอเคเลย”
(( ถ้าอย่างนั้นเป็นช่วงสี่ทุ่มพรุ่งนี้ได้ไหม ติดงานอะไรหรือเปล่า ))
“ไม่ติดงานแต่ติดใจ มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าซัน ทำไมจู่ ๆ โทรมานัดกะทันหัน บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าเห็นไอ้คุณชายโผล่ไป กูกลับทันที”
(( โกรธมันมากเลยหรือ ถึงแม้ว่าตรัสจะมีเหตุผลสำคัญก็ยังยืนยันที่จะโกรธใช่ไหม ))
“คิดว่ามันมีเหตุผลอยู่ฝ่ายเดียวหรือไง กูเองก็มีเหตุผลสมควรที่จะโกรธมันจนวันตายเหมือนกัน” จบคำประชดประชันซันเงียบไปพักใหญ่ ผมถอดใจที่จะพูดเรื่องนี้จึงซักถามหาความแน่ใจ “สรุปว่าตรัสไปด้วยจริง ๆ ใช่ไหม กูจะได้ไม่ไป”
(( เปล่า มีแค่ฉัน แซน อ้น และใครอีกคนที่อยากแนะนำให้เท็ตรู้จัก ))
“ใคร” ผมไม่ชอบเวลาซันเล่นใบ้คำเลยให้ตาย เพราะนอกจากจะไม่เฉลยแล้ว ยังตบท้ายด้วยคำยียวนอีกต่างหาก หวังว่าคงไม่ใช่ญาติของแฝดสองที่ผมต้องไปนั่งปั้นหน้าจนหาความสนุกไม่ได้
(( ไปถึงก็รู้เอง แต่ถ้าไม่ไปก็ไม่รู้ ))
จุดนัดพบที่ไอ้แซนเป็นคนเลือกคือสถานบันเทิงชื่อดังย่านธุรกิจ ผมสอดส่ายสายตามองหาบริกรก่อนจะแจ้งชื่อคนจองห้องวีไอพี คุณศิรานุวัฒน์เขาค่อนข้างรู้ใจจึงเลือกโซนที่ห่างไกลจากความพลุกพล่านจอแจ เดินตามพนักงานมาจนสุดทางเดินแล้วเปิดประตูกระจกเข้าไปเพื่อพบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่ามาถูกที่จึงหันมองหน้าคนนำทาง เขาไม่พูดอะไรแค่เดินจากไปเงียบ ๆ วิบากกรรมจึงตกอยู่กับผม
ไฟสลัวเลือนรางทำให้มองเห็นหน้าคนมาก่อนไม่ชัดนัก ทั้งที่มั่นใจว่าตัวเองมาเร็วแล้วแท้ ๆ เพราะเดินทางล่วงหน้าก่อนเวลานัดเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ไม่แน่ว่าเธอคนนี้อาจจะเป็นบุคคลที่ท่านซันอยากให้ผมเจอก็เป็นได้
“สวัสดีครับ” ทักก่อนได้เปรียบ เธอยิ้มละไมโชว์ฟันซี่สวย
“สวัสดีค่ะ คุณเท็ตใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ แล้วคุณคือ...”
“ฮันนาห์ โจนส์ค่ะ” หมดข้อกังขาว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงพูดภาษาไทยไม่ชัดเจน สำเนียงจัดว่าเพี้ยนมากถึงมากที่สุด แต่ที่ผมข้องใจคือไม่รู้ว่าสามคนนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่ แค่นี้ผมยังเจ็บไม่พออีกหรือถึงได้อันเชิญว่าที่ภรรยาของไอ้คุณชายมาเยาะเย้ยกันถึงถิ่นแคว้นแดนไทย เสียแรงที่อุตส่าห์รีบมาตามนัด แต่จะให้หันหลังกลับตอนนี้คงโดนตราหน้าว่าปอดเต็มทน จนใจนั่งลงที่โซฟาตัวหนึ่งก่อนยิ้มบางกลบเกลื่อนความคิดร้าย ๆ ของตัวเอง
นั่งลิ้มรสน้ำแร่อยู่พักใหญ่กว่าสหายรักจะโผล่มาครบองค์ประชุม พินิจพิจารณาเพื่อนฝูงด้วยรอยยิ้มทั้งที่เมื่อกี้ยังขัดเคืองใจอยู่เลยแท้ ๆ อ้นไม่เปลี่ยนไปเลย ยังขาวสูงราศีผู้ดีจับแน่น ซันเองก็ภูมิฐานดูเป็นผู้ใหญ่ ผิดกับตี๋สองที่ดูยังไงก็ไม่พ้นนักศึกษาจบใหม่อยู่วันยังค่ำ
“ทำไมมาเร็วนักวะเท็ต” ผมไม่ตอบ แค่จ้องหน้าไอ้แซนด้วยเจตนาหาเรื่อง สบโอกาสตอนที่มันนั่งลงข้าง ๆ หลังจากทักทายคุณฮันนาห์ ส่งศอกไปถองเบา ๆ ที่สีข้างอย่างแนบเนียน
“มึงคิดจะทำอะไร” ผมกระซิบ
“ชี้ทางสว่างให้กับคนใจดำ” มึงพูดอะไร กูขอภาษาคนได้ไหม อยากย้อนแบบนี้แต่ติดที่ว่ามีแขก ขมวดคิ้วฉับจับต้นชนปลายไม่ถูกก่อนจะเห็นซันยกยิ้มเหมือนกับได้ยินคำถามของผม
“คุยกับคุณฮันนาห์บ้างหรือยัง”
“ยัง ไม่รู้จะคุยอะไร” ผมตอบซันไปตามตรง
“ถ้าอย่างนั้นเท็ตคงยังไม่รู้ความจริงเรื่องคุณฮันนาห์กับตรัส”
“ยังค่ะ ดิฉันยังไม่ได้บอก” ยอมรับเลยจริง ๆ ว่าเธอมีทักษะภาษาไทยดีมาก มิหนำซ้ำยังตอบคำถามฉะฉานแทนคนไทยอย่างผมที่มัวแต่อ้ำอึ้ง ซึ่งประโยคต่อมาของเธอยิ่งทำให้ผมอึ้งหนัก “ความจริงก็คือตรัสกับดิฉันไม่ได้รักกันค่ะ”
บอกทำไมใช่ว่าผมจะอยากรู้ เรื่องของหัวใจกับความเหมาะสมคู่ควรมันคือสิ่งที่ตรงข้ามกันอยู่เสมอ ๆ เห็นบ่อยไปเรื่องคลุมถุงชน ผมจึงสรุปเอาเองในใจว่าต่อให้ไม่ได้รักกัน ทั้งสองคนก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดี
และต่อให้มีเหตุผลที่สำคัญมากกว่านี้ ผมก็จะไม่มีวันกลับไปหาตรัสแน่นอน▩▩▩