ทะลึ่ง : กามที่ 28
ผมยิ้มรับข้อมูลจากปากคุณฮันนาห์คนสวย ด้วยอคติที่มีอยู่ในใจทำให้มองข้ามความงดงามหมดจรดบนใบหน้าตอนที่ก้าวเข้ามาในห้องนี้ อีกทั้งยังมีน้ำเสียงหวานหูที่ใครได้ฟังทุกวันคงชื่นใจ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคู่หมั้นของเธอที่เป็นผู้โชคดีคนนั้น และจู่ ๆ ก็คล้ายว่าอากาศภายในห้องนี้มันลดน้อยลงกะทันหัน หายใจหายคอติดขัดขึ้นทุกที ได้ยินแต่เสียงอื้ออึ้งในหูจนกระทั่งสายตาพร่ามัวจนมืดดับ ไม่รับรู้เรื่องราวใดอีก
ผมหลับไปหนึ่งวันเต็ม ๆ คุณหมอวินิจฉัยว่าร่างกายอ่อนเพลียเนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ สมองอ่อนล้าเกินกว่าจะรับไหวก็เลยชัตดาวน์ตัวเองเสร็จสรรพ ล้มพับลงต่อหน้าธารกำนัลให้เป็นที่อับอาย ไอ้บ้าแซนก็เอาแต่สวดผมตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา จนไม่มีเวลารำลึกด้วยซ้ำว่าผมมาอยู่โรงพยาบาลได้ยังไง และไม่รู้ว่ามันยืมปากนางร้ายจากละครเรื่องไหน ถึงได้จัดจ้านสิ้นดี นึกอยากจะหลับต่อไปอีกสักสิบตลบ แต่ติดที่ว่าไอ้คนที่ยืนหน้านิ่งกอดอกพิงกำแพงข้างประตูห้องทำให้ผมต้องเหลือบมองจนข่มตาไม่ลง
ผนังห้องสีขาวสะอาดสะอ้านดูหม่นหมองทันตา เมื่อเห็นรังสีความตรึงเครียดที่แผ่ออกมาจากคนที่เอาแต่ก้มมองปลายเท้าตัวเอง ตรัสผอมลงมาก ผมเพิ่งมีโอกาสสังเกตเห็น ตลอดหลายวันที่ผ่านมาผมหลีกเลี่ยงที่จะมองหน้ามันโดยตรงเพื่อป้องกันไม่ให้ความรู้สึกที่หลากหลายตีรวนผิดทิศทาง ใจของผมยังไม่แข็งแรงพอที่จะต่อต้านแววตาตัดพ้อ ไม่เถียงเลยว่าหวั่นไหว ต่อให้มันหายไปสักสิบปียี่สิบปีผมก็ยังมีเยื้อใยต่อกันอยู่ดี แต่ถึงจะอย่างนั้น มันก็คนละเรื่องกับการให้อภัย
“นี่กูเพิ่งรู้จากคุณน้าว่ามึงอาการหนักถึงขนาดอดหลับอดนอนเพราะบ้างาน ดูแลตัวเองบ้างสิวะ ถ้ามึงเป็นอะไรไปคุณอากับคุณน้าจะอยู่ยังไง ท่านมีมึงคนเดียว ไม่เห็นแก่ตัวเองก็เห็นแก่ท่านเถอะ” แซนมันผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงเกรี้ยวกราดด้วยความโมโหไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่เลยสักนิด ตรงกันข้าม ผมรู้สึกปลอดภัยเพราะเข้าใจเจตนาของมันดี “พวกท่านเพิ่งกลับบ้านไปพักผ่อนก่อนมึงตื่นไม่นาน อีกสักพักค่อยโทรบอกท่านแล้วกันว่ามึงฟื้นแล้ว ส่วนซันกับอ้นลงไปกินข้าว เหลือแค่กูกับตรัส...ที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้า”
“ไล่มันไปซะ”
“ว่าไงนะ”
“กูบอกว่าไล่มันไป บอกให้มันไปกินข้าว กลับบ้าน หรือกลับอังกฤษไปเลยก็ได้ แต่ไม่ต้องมาเฝ้ากู จะเป็นจะตายก็เรื่องของกู ไม่ต้องมาสนใจใยดีอะไรทั้งนั้น”
“แต่เท็ต...ตรัสเป็นห่วงมึงมาก”
“มันควรห่วงกูตั้งแต่ห้าเดือนที่แล้ว ไม่ใช่ตอนนี้ หมดเวลาจะรับความรู้สึกนั้นจากมันแล้วว่ะแซน” อย่าหลงคิดว่าผมจะออมเสียงเพราะกลัวว่าคนที่ถูกกล่าวถึงได้ยินถ้อยคำถากถาง ผมตะเบ็งสุดเสียงป่วย ๆ ของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
“แล้วรู้อะไรไหม ต่อให้ใช้คำว่าเพื่อนมาอ้าง...กูก็ไม่นับว่ามันเป็นเพื่อนแล้วเหมือนกัน”
ใช่ ทุกอย่างมันต้องลงเอยแบบนี้แหละถูกต้องแล้ว ผมไม่ใช่ของตายที่นึกอยากจะมาหาก็มา นึกอยากจะทิ้งไปก็ไป มันไม่ใช่วิถีของคนที่มีความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน ผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาล้อเล่นกับหัวใจของผมอีก และหลังจากนี้ผมขอปฏิเสธหัวชนฝาที่จะพูดจาเปิดใจกับมัน หวังว่าคุณพ่อท่านจะเข้าใจ
ผมเกลียดคนขี้ขลาด และตรัสกำลังแสดงความใจเสาะของตัวเองให้ผมเห็นเต็มสองตา ตรัสกลับมาพร้อมคุณฮันนาห์แต่ไม่กล้าพาเธอมาพบผม ไม่กล้าพูดแม้แต่ความจริงแล้วจะให้ผมเปิดใจคุยกับมันเพื่ออะไร คุยกันไปก็คงได้รับรู้แค่เรื่องที่มันอยากให้ผมรู้ ส่วนเรื่องที่เป็นความลับก็ยังคงเป็นความลับต่อไป
ผมจะไม่สนใจแล้วว่านอกเหนือจากนี้ตรัสยังมีเรื่องที่ยังปกปิดผมอีกหรือไม่ ผมจะไม่สนใจด้วยว่าตรัสรักคุณฮันนาห์หรือเปล่า รวมถึงเรื่องที่ว่าพวกเขาจะแต่งงานกันเมื่อไหร่ ผมจะไม่มีวันสนใจคนที่กำมือตัวเองแน่นแล้วหลบหน้าหนีหายจากผมไปตั้งแต่วันนั้น ผมรู้ตัวดีว่าคำพูดของตัวเองมันรุนแรงและร้ายกาจ แต่มันก็สาสมแล้วกับทุกการกระทำของตรัสที่ปฏิบัติต่อผม
การที่ตรัสหายหน้าเปรียบเสมือนการตายจากชีวิตของผมโดยสมบูรณ์ ไร้ซึ่งผลกระทบใด ๆ ไม่ว่าจะต่อสมองหรือหัวใจ ไม่คิดถึง ไม่ถวิลหา หรือว่ากระวนกระวายใจ แม้แต่ไอ้แซนเองยังสงสัยว่าทำไมผมทำใจง่ายนัก มันคิดผิดถนัด ใช่ว่าผมเพิ่งเริ่มทำใจเมื่อตอนที่แตกหักกันครั้งหลังสุด ผมเตรียมใจก่อนหน้านั้นนานแล้ว ตั้งแต่เห็นแท็บลอยด์ของคุณกัณฑ์ธรก็ตระหนักได้ว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ก่อนจะสายเกินไปผมควรถอดใจเสียแต่เนิ่น ๆ
“เท็ตคิดดีแล้วใช่ไหม เรื่องนี้สำคัญเกินกว่าจะทำเพียงเพื่อประชดใครนะลูก”
“แม่ครับ คนที่แม่พูดถึงเขาไม่ได้มีความหมายกับผมขนาดนั้น ที่สำคัญคำขอของผมครั้งนี้ก็มีชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของพ่อกับแม่เป็นเดิมพัน ผมขอยืนยันว่าผมคิดอย่างละเอียดรอบคอบดีแล้วครับ”
“ถ้าอย่างนั้นแม่ก็เบาใจ”
“แม่ควรจะดีใจมากเลยต่างหาก เพราะหลังจากนี้ผมก็คงมีหลานให้แม่อุ้ม พ่อเองก็ไม่ต้องหนักใจว่าผมจะนอกลู่นอกทางไปไหนอีก”
“พ่อเขาไม่เคยกังกลหรอกว่าลูกจะรักใครชอบใคร ขอแค่ลูกของท่านเป็นเด็กดีก็พอ”
เลา ๆ ว่าการดูตัวครั้งใหม่คงจะได้ดั่งใจเสียที คิดมาตลอดเรื่องความเหมาะสมเพราะผมเองก็ลูกคนเดียวหัวแก้วหัวแหวน เป็นความหวังของบุพการี อยากเป็นหน้าเป็นตาให้พ่อกับแม่ได้ชื่นใจ แล้วถ้าใครต่อใครเขารู้ว่าผมผิดแผกก็รังแต่จะทำให้ท่านทั้งสองขายหน้า ดังนั้นการที่ไม่มีตรัสคือความสมบูรณ์แบบในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้
(( เท็ต ตอนนี้อยู่ที่ไหน )) น้ำเสียงสั่น ๆ ของซันทำให้ผมใจเสียหนัก ทั้งที่กำลังลุ้นระทึกว่าจะไปทันเวลานัดดูตัวกับลูกสาวของเพื่อนแม่หรือเปล่า ผมติดประชุมสำคัญที่กินเวลาเกินกำหนดกว่าครึ่งชั่วโมง เหยียบคันเร่งจนเกร็งไปหมดแล้วยังต้องมาได้ยินน้ำเสียงไม่สู้ดีของตี๋หนึ่งมันอีก
“ขับรถอยู่ มีอะไรด่วนหรือเปล่าซัน”
(( ด่วนมาก ฉันติดต่อตรัสไม่ได้เป็นอาทิตย์แล้ว ))
“แล้วยังไง”
(( ตอนนี้ฉันอยู่ที่ฮ่องกงกำลังจะบินกลับไทย โทรหาตรัสเท่าไหร่ก็โทรไม่ติด กลัวจะเกิดเรื่องไม่ดี เท็ตช่วยหน่อยได้ไหม ))
“ขนาดซันยังโทรไม่ติด แล้วใครจะโทรติด”
(( ป่านนี้แล้วไม่ต้องโทรแล้ว ช่วยไปดูมันหน่อยเถอะ ฉันรู้ว่าเท็ตลำบากใจ ไม่อยากมองหน้ามันด้วยซ้ำ แต่คิดซะว่ามันเป็นเพื่อนร่วมโลกคนหนึ่งก็ได้ จะปล่อยให้มันตายไปต่อหน้าต่อตาเลยหรือ ))
“ตอนนี้ไม่ได้จริง ๆ ซัน ฉันติดธุระสำคัญ”
(( แล้วถ้าเป็นตอนเย็น หรือพรุ่งนี้ หรือวันไหน ๆ ก็ได้ ถ้าเท็ตจะสงสารมันบ้าง ถือว่าฉันขอร้องแล้วกัน ))
จนได้...อุตส่าห์หมายมั่นว่าจะตัดขาดให้ถึงที่สุด ซันก็เล่นทีเผลอปั่นหัวผมจนได้ คำพูดของแฝดพี่รบกวนจิตใจจนต้องส่งข้อความไปหาแฝดน้องเพื่อถามว่ามันอยู่ที่ไหน สะดวกไปคอนโดตรัสด้วยกันหรือเปล่า แต่รอเท่าไหร่มันก็ไม่ตอบกลับมา คิดเอาเองว่าคงติดงานจนไม่มีเวลาเปิดดูโทรศัพท์
“อาหารไม่ถูกปากเหรอคะ” ผู้หลักผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกลับไปแล้ว เหลือเพียงผมกับสุภาพสตรีที่นั่งตรงกันข้าม ท่าทีลุกลี้ลุกลนของผมคงขัดตาเธอจนต้องเอ่ยถามตามมารยาท แต่เผอิญว่าความวิตกกังวลที่แสดงออกมามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับสรรพสิ่งรอบตัวเวลานี้เลย ความสวยหวานละเมียดละไมของคู่ดูตัวยังไม่สามารถแทรกผ่านหมอกควันจาง ๆ ที่เร่งจังหวะการเต้นของหัวใจ ไม่มีแรงพิศวาสจนตกหลุมรักใครตอนนี้แน่นอน
มันคงมหัศจรรย์เกินไปหน่อยหากคำพูดสั้น ๆ ของซันจะเปลี่ยนใจที่ตั้งมั่นมาตลอดของผมให้โอนอ่อนตาม จะเชื่อได้ยังไงว่าไม่ได้แสดงละครตบตากันอยู่ ดีไม่ดีซันก็ร่วมรู้เห็นกับคนที่บอกว่าหายตัวไปร่วมสัปดาห์ แต่สิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจว่าหมอนั่นพูดความจริงก็คือ...เมื่อสิบนาทีก่อนหน้านี้ ตอนที่เดินไปส่งแม่ที่หน้าร้านอาหาร ผมได้รับข้อความจากเบอร์คุ้นตา เพียงแค่เท่านั้นก็ทำให้ใจผมสั่นจนแทบยืนไม่ไหว
‘ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาที่ผ่านมา ฉันมีความสุขทุกนาทีที่มีเท็ตอยู่ข้าง ๆ ต่อจากนี้ไปคงไม่มีฉันคอยอยู่ขวางหูขวางตา ดูแลตัวเองด้วยนะ ลาก่อน’
ผมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากเรื่องร้าย ๆ พยายามโทรกลับไปก็ติดต่อไม่ได้เลยสักครั้ง ตัดสินใจโทรเข้าออฟฟิศคอนโดก็ได้ความว่าตรัสเก็บตัวอยู่ในห้องหลายวันแล้ว เหมือนอย่างที่ซันบอกไม่มีผิดเพี้ยน แต่การนัดดูตัวครั้งนี้ก็สำคัญ ผมจะยกเลิกกลางคันไม่ได้เสียด้วย ร้อนใจจนต้องส่งข้อความไปบอกไอ้แซนอีกหนว่าด่วนมาก เพราะไม่รู้ว่าตรัสเป็นตายร้ายดีอย่างไร ขอให้มันอย่าเป็นอย่างที่ผมคิดเลย
“ไม่ค่อยหิวน่ะครับ” ผมตอบพร้อมแสร้งยิ้มทั้งที่มืออ่อนแรงจนหยิบจับช้อนส้อมแทบไม่ไหว คล้ายกับเป็นไข้ขึ้นมากะทันหัน ลนลานยกแก้วน้ำขึ้นจิบไม่ต่ำกว่าสิบหน จนอีกฝ่ายหมดความอดทนที่จะมองผมอยู่เฉย ๆ
“ถ้ามีธุระด่วนก็ไม่ต้องเกรงใจนะคะ”
“คือผม...”
“ไปเถอะค่ะ ดิฉันก็มีธุระสำคัญหลังจากนี้เหมือนกัน เอาไว้จะอธิบายกับคุณป้าให้เองค่ะ รีบไปเถอะ” ดั่งนางฟ้ามาโปรดก็ไม่ปาน แต่ผมไม่มีเวลาซาบซึ้งน้ำใจนานนัก รู้ดีว่ามันเสียมารยาทมากแต่ผมบังคับตัวเองไม่ได้เลย ทุกอย่างเป็นไปตามสัญชาตญาณ ทั้งการที่มือสั่นเสียงสั่น เหงื่อซึมฝ่ามือและหน้าผาก หนักสุดเห็นจะเป็นการถอนหายใจซ้ำ ๆ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะผมวิตกจริต ตื่นกลัวในสิ่งที่ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ทุกอย่างดูเชื่องช้าไปหมดทั้งที่ผมรีบเร่งสุดกำลัง สัญญาณไฟจราจรที่นับถอยหลังสองนาทีไม่ต่างอะไรกับสองชั่วโมง ทุกลมหายใจคล้ายจะบั่นทอนเรี่ยวแรงในการเหยียบคันเร่ง ผมยังไม่ละความพยายามที่จะโทรหา แต่ภาวนาบนบานอย่างไรก็ไม่มีหวังที่ปลายสายจะเชื่อมต่อ นึกท้อแท้จนต้องทุบพวงมาลัยเพื่อระบายความอัดอั้น
แล้วในที่สุดคอนโดมิเนียมจุดมุ่งหมายก็ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ผมลืมสนิทเลยว่าไม่ได้พกกุญแจห้องตรัสติดตัวนานแล้ว อาศัยความใจกล้ามุ่งหน้าไปยังออฟฟิศที่ยังเปิดทำการ กล่าวอ้างว่าผมเคยอยู่ที่นี่ ซึ่งก็โชคดีเหลือเกินที่มีพนักงานบางคนจำผมได้ พกลมคำโตว่าผมลืมกุญแจไว้ในห้องและไม่แน่ใจว่ารูมเมทยังอยู่ข้างในหรือเปล่าเพราะติดต่อไม่ได้ เขาก็ใจดีให้กุญแจสำรองมาชั่วคราว
ระหว่างที่อยู่ในลิฟต์จนก้าวถึงโถงทางเดิน ผมระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกให้ช่วยดลใจผู้ชายที่อยู่ชั้นห้า จงล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำร้ายตัวเอง หรือไม่อย่างนั้นก็ขอให้ผมเข้าใจผิด คิดไปเองว่าตรัสกำลังจะสร้างอัตวินิบาตกรรม เพราะไม่อย่างนั้นต่อจากนี้ชีวิตของผมคงจะไม่รู้จักความสุขอีกเลย
ผมจงใจที่จะไม่กดออด อาศัยคีย์การ์ดใบนี้บุกรุกเข้าไปโดยไม่ส่งเสียงดัง ไม่มีแรงจะตะโกนโวยวายด้วยซ้ำว่าตรัสอยู่ไหน อย่าเพิ่งคิดทำอะไรบ้า ๆ เพราะแค่ทรงตัวยืนตรงก็ปาฏิหาริย์แล้ว สิ่งแรกที่เห็นคือทุกอย่างว่างเปล่า ทั้งหน้าโทรทัศน์ เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม หรือแม้แต่ในห้องครัว จะมีก็แต่เพียงขวดเหล้าที่กระจัดกระจายและกลิ่นบุหรี่ที่ตลบอบอวลอยู่ภายใน ผมก้าวช้า ๆ ไปยังประตูห้องนอน เคาะเบา ๆ โดยไม่รู้เหมือนกันว่าทำเพื่ออะไรก่อนจะเปิดแง้มเข้าไป
มั่นใจอย่างหนึ่งคือตรัสไม่อยู่ในห้องนี้ มีเพียงกระเป๋าเดินทางสองใบที่วางไว้ข้างตู้เสื้อผ้า ผมจึงเดินเข้ามาดูในห้องน้ำก็ไม่เห็นใครสักคน จนปัญญาจะคิดแล้วว่าตรัสหายไปไหน นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าตรัสจะไปที่ไหนได้อีกนอกจากที่นี่ หรือต่อให้มีผมก็ไม่เคยรู้ บ้านคุณปู่ที่เคยพูดถึงก็ไม่เคยได้ย่างกรายไปสักหน หรือถ้าเป็นบ้านของคุณฉัตรพันธ์ผมก็ไม่รู้ว่าสองพ่อลูกเขาเว้นระยะห่างมากน้อยแค่ไหนแล้ว ยืนมืดแปดด้านอยู่ข้างโซฟาจนกระทั่งหันไปเห็นว่าประตูห้องรับรองแขกที่ผมเคยพึ่งพาถูกเปิดทิ้งไว้ ใจหนึ่งนึกยินดีว่าตรัสอาจอยู่ในนั้น แต่อีกใจ...มันทำให้ผมไม่ก้าวขาไม่ออก
ภาพที่เห็นคือผู้ชายในชุดสูทกำลังนอนคว่ำหน้า โต๊ะข้างหัวเตียงมีกระปุกยาและแก้วน้ำที่พร่องไปกว่าครึ่ง สาบานได้เลยว่าผมก้าวพรวดเดียวถึงตัวโดยไร้สรรพเสียงใด ๆ แค่กัดฟันแล้วปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาเงียบ ๆ รัวกำปั้นไปที่กลางหลังแล้วขยำเสื้อเชิ้ตเนื้อดีอย่างแรงหลายครั้งจนยับยู่ยี่ไปหมด ย้ำคิดย้ำทำอยู่อย่างนั้นจนหมดแรงแล้วทรุดนั่งลงข้างเตียง ปล่อยเสียงสะอื้นฮึกฮักอย่างหน้าไม่อาย
จนกระทั่ง...ผมถูกลิดรอนอากาศหายใจ
ผมไม่รู้ว่าคนที่นอนแน่นิ่งลุกขึ้นมารั้งไหล่ผมให้หันไปหาแล้วโน้มหน้าลงมาลักจูบนานแค่ไหน แต่คิดว่านานพอจะทำให้ผมหลงลืมตัวจนถูกพยุงขึ้นมาอยู่บนเตียง โดนกักตัวในวงแขนทั้งที่น้ำมูกน้ำตายังเปรอะเปื้อนเต็มหน้า ตัดสินใจด้วยสติสัมปชัญญะอันน้อยนิดกระชากปกเสื้อมันหวังจะหาความ ซึ่งก็ได้ผลระดับหนึ่ง เห็นได้จากการที่ตรัสยอมเว้นระยะห่างระหว่างใบหน้าประมาณคืบฝ่ามือ
“ร้องไห้ทำไม กลัวฉันตายหรือ”
“หุบปาก” แล้วใครใช้ให้มันมานอนหายใจแผ่ว ๆ อย่างกับคนใกล้สิ้นลมแบบนั้น
“ฉันเป็นโรคนอนไม่หลับมาหลายเดือนแล้ว ต้องใช้ยาคลายเครียดที่มีผลข้างเคียงทำให้นอนหลับสนิท”
“ไม่ต้องบอกไม่อยากรู้ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ปล่อย จะกลับบ้าน”
“เท็ต...ฉันกำลังจะกลับอังกฤษ ข้อความที่ส่งไปไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เข้าใจผิด ฉันขอโทษ” หมดข้อสงสัยว่าทำไมถึงมีกระเป๋าเดินทางอยู่ในห้องนอน ลางสังหรณ์ผมไม่ค่อยผิดพลาดนัก แต่มันน่าประหลาดใจตรงไหน ในเมื่อที่ผ่านมามันก็สรรหาเรื่องช็อกโลกมาให้ผมแปลกใจเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว อีกสักครั้งจะเป็นไรไป
“ไปคราวนี้...จะไม่กลับมาอีกใช่ไหม ก็ดี จะได้ไม่ต้องฝืนใจมาเจอกันอีก ชักจะเบื่อหน่ายเต็มทนแล้วเหมือนกัน” ผมกัดฟันพูดจนร้าวไปทั้งอก พยายามเก็บซ่อนสีหน้าทั้งที่เจ็บเจียนบ้า อุตส่าห์หักห้ามใจกลับต้องมาพังไม่เป็นท่าเพียงเพราะว่าเข้าใจผิด มึงมันโง่เท็ต โง่งมงายอย่างหาที่สุดไม่ได้
“ปล่อยตรัส ปล่อยสักที...” ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่หัวใจที่มันเคยเหนี่ยวรั้งไว้ ผมก็ขอคืนเหมือนกัน
“ฉันขอโทษ” ตรัสพูดซ้ำอยู่อย่างนั้นพร้อมกระชับอ้อมแขนที่กอดผมไว้แน่น แต่มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ผมไม่เข้าใจว่าทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นมันคืออะไร ตรัสทำแบบนี้ทำไม ยื้อหัวใจผมไว้ทำไม ถ้าเดาไม่ผิดการกลับอังกฤษครั้งนี้คืองานหมั้น และอีกไม่กี่เดือนหลังจากนั้นคืองานแต่ง ทำแบบนี้มันยิ่งกลายเป็นคนใจร้ายในสายตาผม ทั้งที่อยากจบกันแบบเรียบง่ายไม่ต้องฟูมฟายอะไรมากนัก แต่มันกลับทำลายทุกอย่าง เห็นผมเจ็บหนักขนาดนี้มันยังไม่สาแก่ใจหรือยังไง ต้องตายต่อหน้ามันเลยใช่ไหม...ถึงจะหยุดสักที
“ไม่น่ามาเลย เท็ตไม่น่ามาหาฉันเลย”
“ปล่อย...”
“ขอร้องล่ะ ขออยู่แบบนี้สักพักแล้วฉันจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง”
“มันสายไปแล้วตรัส จะแต่งงานอยู่แล้วแท้ ๆ เลิกทำตัวไร้เหตุผลแบบนี้สักที ระวังจะไม่มีใครเขาเชื่อถือ”
“ใครบอก...ว่าฉันจะแต่งงาน”
“มาถึงขั้นนี้แล้วตรัส คนเขารู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วว่าทายาทรามานุสรณ์จะหมั้น” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนที่ยังไม่ละความตั้งใจที่จะกักตัวผมไว้ในวงแขน ขยับเท่าไหร่ก็ไม่หลุดจนสุดท้ายต้องจำยอมนอนหันหลังให้
“เท็ตกำลังเข้าใจผิดนะรู้ตัวหรือเปล่า งานหมั้นถูกยกเลิกไปตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว ฮันนาห์เป็นผู้หญิงรักสนุกรักอิสระ ถึงขนาดยอมตัดขาดจากกองมรดกเพียงเพราะต้องการใช้ชีวิตอย่างที่เขาชอบ”
“แต่ข่าวในไทยยังประโคมกันยกใหญ่ว่าตรัสจะหมั้น”
“ฉันก็คงแปลกใจอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่มารู้ทีหลังว่ากัณฑ์ธรเป็นเต้าข่าว หมอนั่นมีนิสัยกัดไม่ปล่อยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” อ่า...กลายเป็นว่าผมเพ้อพกไปเองคนเดียว ทุกอย่างมันน่าจะจบตั้งแต่รู้ว่าคุณฉัตรพันธ์อนุญาตให้คุณกัณฑ์ธรปลูกต้นรักกับผู้หญิงของเขา แต่เพียงเพราะสื่ออินเทอร์เน็ตที่ผมเปิดผ่านตา ทำให้ผมหลงลืมที่จะพิจารณาความเป็นจริง
“สรุปว่าเท็ตโกรธเพราะคิดว่าฉันต้องแต่งงานกับคุณฮันนาห์ใช่ไหม”
“เปล่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็โกรธเพราะฉันขาดการติดต่อ”
“ส่วนหนึ่ง”
“แล้วเรื่องอะไร”
“ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”
“ฉันจะไม่เซ้าซี้ถ้าเท็ตไม่อยากเล่า เพราะฉันเองก็ทำผิดกับเท็ตไว้มาก ฉันขี้ขลาดเกินไป กลัวว่าถ้าบอกเรื่องหมั้นแล้วฉันจะเสียเท็ตไป แต่ฉันไม่ได้โกหกนะเรื่องเร่งเวลาเรียน และรู้อะไรไหม ต่อให้คุณฮันนาห์ไม่ใช่ฝ่ายยืนกรานว่าจะขอยกเลิกพิธีการ ฉันเองก็กำลังหาทางประนีประนอมกับญาติฝ่ายนั้นอยู่พอดี เพราะมันมีเรื่องธุรกิจของคุณปู่มาเป็นข้อต่อรอง เท็ตเข้าใจฉันใช่ไหม”
“อืม”
“อืมแปลว่าเข้าใจ หรือแค่รับรู้เฉย ๆ”
“ไหนว่าจะไม่เซ้าซี้ไง” ขอเวลาทำใจหน่อย ยังปรับตัวไม่ทัน
“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นฉันขอนอนพักสักหน่อยนะ เพิ่งทานยาเข้าไปก็มีคนร้ายบุกเดี่ยวมาทุบเอา ๆ”
“จะนอนแล้วก็ปล่อยดิ”
“ขอนอนทั้งอย่างนี้ได้ไหม อย่าเพิ่งหนีกลับไปตอนนี้เลย” ไม่อยากจะสารภาพเลยว่าผมเองก็รู้สึกง่วงขึ้นมาตงิด ๆ แค่ได้กลิ่นคุ้นเคยติดปลายจมูกแบบนี้ มันก็ออกฤทธิ์เหมือนยานอนหลับดี ๆ นี่เอง
ตรัสบอกว่าตัวเองเป็นโรคนอนไม่หลับเพราะวิตกกังวล แล้วคิดหรือว่ามันเป็นอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าผมนอนหลับสนิทไม่มีอะไรต้องคิดคงไม่ไปนั่งแหกตาเฝ้าโกดังสินค้าอยู่ครึ่งค่อนคืนแบบนั้นแน่
ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาตอนที่ท้องฟ้าข้างนอกเป็นสีขลับทองใกล้ค่ำเต็มที ไม่แปลกใจว่าทำไมจึงรู้สึกหิว พลิกตัวเบา ๆ เพราะแขนข้างหนึ่งของตรัสยังพาดอยู่บนตัว ก่อนจะเดินโงนเงนไปยังห้องครัวเพื่อรินน้ำดื่ม มีเวลาคิดทบทวนระหว่างนั้นว่ามันตลกร้ายเหลือเกิน ทั้งที่เครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทุกอย่างกลับพลิกปมเพียงแค่เปิดใจคุยกัน ถ้าผมตัดสินใจผิด คิดสั้นว่าช่างมัน ตรัสจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ช่างมัน ผมคงไม่ได้มายืนโล่งใจจนต้องลอบยิ้มกับตู้เย็นแบบนี้แน่
แต่ก็ยิ้มได้ไม่นานเพราะจู่ ๆ มีแขนปริศนาส่งมาโอบรอบตัวตอนที่ผมกำลังวางแก้วลงในอ่างน้ำ ซึ่งถ้าคนนิรนามเงียบนานกว่านี้อีกนิดเดียว ผมคงส่งหมัดลุ่น ๆ เสยปลายคางข้อหาทำตัวน่าหมั่นไส้
“ตกใจแทบแย่ นึกว่าหนีกลับไปแล้ว”
“เอาน้ำไหม” ผมจงใจถามกลับเพราะไม่อยากต่อความคนที่แกล้งทำเสียงขึ้นจมูกคล้ายจะงี่เง่าเหมือนเด็ก บอกตามตรง ผมยังปรับตัวกลับมาสู่สถานะเดิมไม่ได้จริง ๆ
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ” แล้วตรัสก็เงียบไป ไม่มีใครพูดอะไรอีก ยืนนิ่ง ๆ ปล่อยให้มันกระชับกอดที่ดูท่าว่าจะไม่ปล่อยง่าย ๆ จนในที่สุดผมก็ยอมจำนน ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเก็บงำความคิดของตัวเองเอาไว้ ยอมพูดออกไปพร้อมปล่อยวางหินหนัก ๆ ที่ถ่วงอยู่กลางอก
“ฉันเคยถูกกัณฑ์ธรมอมเหล้า...รู้บ้างหรือเปล่า” ตรัสส่งเสียงครางต่ำในลำคออย่างคนที่เข้าใจอะไรมากขึ้น ก่อนจะวางคางที่หัวไหล่แล้วฟังต่อไปเงียบ ๆ “ครั้งแรกคนขับรถช่วยไว้ ครั้งที่สองโชคดีที่คุณพีกับไอ้แซนมาทันพอดี”
“โกรธฉันเพราะเรื่องนี้เอง”
“ใช่ มันไร้สาระ แต่ถ้าไม่เจอกับตัวเองคงไม่รู้หรอกว่ามันหมิ่นเหม่แค่ไหน”
“รู้สิ ฉันรู้ดีว่าเท็ตตกอยู่ในอันตราย ถึงได้ส่งคนของฉันไปเป็นพนักงานที่รีสอร์ท คอยติดตามคอยส่งข่าวให้กับคุณพีระมิดตลอดว่าเท็ตอยู่ที่ไหน ปลอดภัยหรือเปล่า ไม่แปลกใจเลยหรือว่าทำไมแซนถึงไปช่วยเร็วนัก”
“อะไรนะ”
“คนขับรถที่อยู่กับเท็ตตลอดทัวร์ภูเก็ตคือคนของฉัน ไม่ใช่พนักงานประจำของรีสอร์ท เข้าใจหรือยัง”
“กูเข้าใจแล้วครับ แต่มึงช่วยเข้าใจและเห็นใจกูหน่อยเถอะ นี่กูนอนรอมาเป็นชั่วโมงแล้ว”
“ไอ้แซน!” ผมหันขวับไปมองต้นตอเสียงกระเง้ากระงอด เห็นตี๋สองยืนขวางประตูครัวหน้าตางัวเงีย ชายเสื้อเชิ้ตหลุดลุ่ย สภาพดูไม่จืด “มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่เปิดโทรศัพท์แล้วเห็นข้อความว่าไอ้เทพบุตรแย่แล้วนั่นแหละ กำลังติดพันการประชุมสำคัญแล้วต้องหลบออกมากลางคัน เพื่อบินมาดูคนนอนกอดกันเนี่ยนะ นี่มันเวรกรรมอะไรของกู” ฉิบหายละ แสดงว่ามันมาถึงหลายชั่วโมงแล้วจริง ๆ “โทรกลับเท่าไหร่ก็โทรติด มึงปิดเครื่องทำไมเท็ต”
“สงสัยแบตหมด” พิสูจน์ด้วยการหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงก็เห็นว่าเป็นอย่างที่คิดจริง ๆ “แล้วซันล่ะ”
“นอนตายอืดอยู่ในห้องไอ้ตรัสนั่นไง อ้นก็มา ทีหน้าทีหลังกรุณาตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนแจ้งข่าวทุกครั้งด้วยนะครับ กูลำบากหาตั๋วเครื่องบิน” ได้ยินเสียงคุณชายมันหัวเราะไม่หยุดแล้วอารมณ์เสียขึ้นมาติดหมัดเลยให้ตาย
คล้ายเป็นการรวมพลโดยมิได้นัดหมายยังไงชอบกล หลังจากปลุกซันกับอ้นมาล้างหน้าล้างตาแล้วก็ถึงเวลาอาหารเย็น ไอ้แซนเป็นคนเลือกร้าน ส่วนผมเป็นคนขับเพราะตรัสยังมีอาการอ่อนเพลียตกค้างจากฤทธิ์ยา กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย
ระหว่างที่รถจอดติดไฟแดงก็หันไปเห็นว่าตรัสเอนหลังพิงเบาะหลับตาสนิท ดูไม่พร้อมสำหรับมื้ออาหารสักนิดเดียว “ไหวไหม” ตรัสแค่ยิ้มบางตอบมา “บอกให้รออยู่ที่ห้องก็ไม่เชื่อ”
“เดี๋ยว ๆ ใครก็ได้ช่วยสงเคราะห์กูหน่อย เล่าให้ฟังทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ ทำไมเรื่องมันกลับตาลปัตรแบบนี้”
“ธุระไม่ใช่ว่ะแซน นั่งเงียบ ๆ เก็บปากไว้เคี้ยวข้าวเถอะ”
“แต่กูเพื่อนมึงนะ จะมาจีบกันต่อหน้ากูโดยไม่พูดไม่บอกอะไรไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้...” แต่ก่อนที่แซนมันจะเถียงอะไรขึ้นมาอีก คุณเปมทัตเขาก็ช่วยขัดขวางด้วยประโยคเด็ดที่มีความน้ำเน่าอยู่เต็มเปี่ยม เดี๋ยวเลี้ยงไวน์ปีแปดหกสักขวดแล้วกัน โทษฐานที่พูดถูกใจ
“ของแบบนี้ไม่ต้องมีคำอธิบายอะไร แค่ใช้หัวใจสื่อสารก็พอ” ▩▩▩