ทะลึ่ง : กามที่ 30 ตอนจบ #1
ข้อความร่างทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบสองฉบับที่มีชื่อของผมแฝงอยู่ ถูกส่งต่อมายังเบอร์โทรศัพท์ของผมเรียบร้อยแล้วตั้งแต่คืนนั้น ลุ้นจนหัวใจเกือบวายว่าตรัสจะออกมาเห็นก่อนทุกอย่างจะเสร็จสิ้นหรือไม่ โชคดีที่ตรัสไม่เฉลียวใจแต่โชคร้ายที่ข้อความทั้งหมดมันหายไปทันทีที่ถูกส่งต่อ จึงโดนตรัสจับได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ผมไม่มีโอกาสได้อ่านในทันทีก็เลยไม่รู้ข้อความแรก ๆ ที่มีเนื้อหาธรรมดาอย่าง ‘ทานอะไรหรือยัง ดูแลสุขภาพด้วย ฉันเป็นห่วง’ จะมีอะไรน่าสนใจ แต่คืนถัดมาก็ทำให้ผมได้รู้ว่าทำไมตรัสถึงไม่กล้ากดส่งข้อความเหล่านั้น จะว่าเป็นคำเฉลยของปัญหาทุกอย่างก็ว่าได้ ผมเองก็พอจะเข้าใจว่าตรัสค่อนข้างหน้าบาง ดังนั้นเรื่องน้ำเน่าอย่างนี้ความเป็นไปได้ที่ผมจะได้อ่านคือศูนย์
‘เหงาบ้างไหม เปลี่ยนใจยังทัน’ บ้างล่ะ ‘อากาศที่นี่เย็นมาก อยากมีคนให้กอด’ บ้างล่ะ หรือไม่ก็ ‘อยากกลับไทย คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว’ และข้อความสุดท้ายที่เป็นจุดเปลี่ยนความคิด ตั้งต้นความทรงจำ ลบเลือนความสับสนทั้งหมดให้พ้นไปจากสมองทึบ ๆ ของผม
“ฉันรักเท็ต รักมากจนทรมาน อยากเห็นหน้า อยากรู้ว่าทำอะไรอยู่ไม่ใช่แค่เพียงจินตนาการ อยากสัมผัส อยากรับรู้ทุกความเป็นไป หากว่าฉันท้อแท้และเหน็ดเหนื่อยจนตายลงตรงนี้เท็ตคงไม่ชอบใจ ฉันจะอดทนแล้วกลับไปบอกทุกอย่างกับเท็ตด้วยตัวของฉันเอง” ทุกถ้อยคำทุกพยางค์เหมือนกำลังอ่านข้อความฉบับนั้นจากหน้าจอ แต่เปล่าเลย ผมไม่มีแม้แต่โพยในมือด้วยซ้ำ ทุกตัวอักษรยังย้ำชัดแก่สายตา รวมถึงตรัสที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นโรมันตรงหน้านี้ด้วย ส่วนตัวผมเดินเลี่ยงมาหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟา
“เท็ต...อ่านหรือ”
“อ่านหมดแหละ เรื่องเล่าเกี่ยวคุณฮันนาห์ที่สาธยายว่ายุ่งเหยิงน่าเบื่อหน่ายแค่ไหน ฉันก็เข้าใจหมดแล้ว ถ้าส่งมาให้ตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง”
“หมายความว่า...”
“เออ ฉันส่งเข้าเครื่องตัวเองหมดแล้ว ทำไม มีปัญหาอะไรไหม เพราะถึงยังไงมันก็เป็นของฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เลิกอมพะนำความลับบ้า ๆ บอ ๆ ของนายสักทีตรัส ฉันเบื่อไขปริศนา อ้อ ส่วนเรื่องที่ไม่กล้าโทรมาเพราะรู้ว่าไอ้แซนอยู่กับฉันตลอดเวลานั่นก็เหมือนกัน เขินอะไรไร้สาระมาก” ตรัสยกมือข้างหนึ่งกุมขมับ แล้วก้าวถอยไปพิงหลังกับผนังห้อง ถือว่างานนี้เป็นการเอาคืนที่สาสมทีเดียว
ตรัสผ่อนลมหายใจยาวแล้วส่ายหน้าช้า ๆ แบบให้รู้ว่า...โคตรจะอาย ผมยิ้มเยาะไม่เกรงใจจนตรัสที่แอบเหล่สายตามองมาต้องแกล้งกระแอมไอ ก่อนจะเค้นเสียงพูดอย่างไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก “ไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะบานปลายขนาดนี้ ฉันผิดเอง ฉันขอโทษ”
“มันสายไปแล้วตรัส”
“ฉันรู้ เท็ตมีคนอื่นแล้วฉันเข้าใจ และฉันก็ขอทำตามคำพูด...จะไม่ยุ่งวุ่นวายกับเท็ตอีก”
“เปล่า ฉันหมายความว่าขอโทษตอนนี้มันสายไปแล้ว” คำพูดของผมหนักแน่นเกินกว่าที่ตรัสจะยอมละสายตา น้ำเสียงฉะฉานบ่งบอกว่าผมไม่ลังเลเลยที่จะพูดออกไป “เพราะฉันให้อภัยตรัสตั้งแต่ได้อ่านข้อความพวกนั้นเมื่อคืนก่อน”
ตรัสไม่ตอบอะไรสักคำแค่หลับตาแล้วก้มหน้า ผมมองปฏิกิริยาเหนือความคาดหมายอย่างนั้นแล้วได้แต่ถอดใจ ตรัสยืนนิ่งไปนานมากจนผมกังวล และในที่สุดตรัสก็หลุดคำถามที่ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง “เรื่องวันนั้นคุณแม่ของเท็ตท่านว่าอย่างไร โดนดุหรือเปล่า”
“ไม่ได้โดนดุเรื่องที่หนีนัดสำคัญ แต่เป็นเรื่องอื่น”
“เรื่องอะไร”
“อย่ารู้เลย” มันน่าอาย ไม่ค่อยอยากสาธยายเท่าไหร่ว่ะ
“แล้ว...ไปกันได้ดีไหม กับผู้หญิงคนใหม่”
“ผู้หญิง อ๋อ คนที่แม่หาให้น่ะหรือ ก็น่ารักดี” ตอบไปตามความจริงเพราะเธอไม่มีข้อเสียอะไรให้ติติง จะว่าไปน้องเขาก็เป็นผู้หญิงในอุดมคติของแม่เหมือนกัน จากที่สงสัยว่าตรัสจะชวนคุยเรื่องนี้ทำไม แต่เมื่อหันไปเห็นสีหน้าของคนที่เดินมานั่งใกล้ ๆ ก็ไขข้อข้องใจทุกอย่างทันที...ตรัสยังไม่รู้เรื่อง “ได้โทรคุยกับแม่บ้างหรือเปล่า”
“เพิ่งมีโอกาสโทรหาวันนี้ตอนที่กำลังจะขับรถไปบ้านเท็ต แต่ท่านบอกว่าเท็ตอยู่บริษัท ทำไมหรือ” ใช่จริง ๆ ซะด้วย แต่ก่อนอื่นอยากให้มันช่วยปรับสีหน้าชวนปวดใจให้ลดน้อยลงกว่านี้สักนิด มองนาน ๆ แล้วพาลจะพูดไม่ออกเอาดื้อ ๆ
“ก็แค่แปลกใจว่าทำไมตรัสถึงถาม เพราะปกติถ้าใครได้คุยกับแม่ ท่านก็จะชมเชยว่าที่ลูกสะใภ้ให้ฟังตลอด”
โป้ปดมดเท็จ...
“ทั้งหน้าตาสละสวย พูดจาน่าฟัง มารยาทก็งาม การศึกษาก็ดี คำยกยอของท่านไม่พ้นคำพวกนี้หรอก”
โกหกตกนรกแน่นอน...
“มิหนำซ้ำท่านยังย้ำอยู่บ่อย ๆ ว่าเหมาะสมทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ ถ้าตรัสได้เห็นก็คง...”
และในที่สุด พูดมากปากก็พาจน...
ตรัสไม่สนใจสถานะของเราเลยสักนิด คิดจะตัดบทด้วยการจูบก็ไม่รีรอแม้วินาที แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป ผมไม่มีความรู้สึกวูบวาบในใจเพราะสัมผัสได้ถึงน้ำอุ่น ๆ ที่ระรินข้างแก้ม แค่ความชื้นบาง ๆ เท่านั้น แต่จิตใต้สำนึกของผมบอกว่ามันไม่ต่างอะไรกับน้ำร้อนจัดที่ราดรดทั่วใบหน้า ไม่คิดเลยว่าการกลั่นแกล้งที่สิ้นคิดจะกลายเป็นดาบสองคม พูดเอง...ก็เจ็บเอง
“ตรัส...ขอโทษ” ผมโอบแน่นรอบลำคอจนใบหน้าของตรัสซบลงที่ตรงตำแหน่งหัวใจ แล้วไม่กล้าพูดอะไรหลังจากนั้น ตรัสไม่กอดตอบแค่วางมือไว้บนตักผม จนปัญญาจะอธิบายจึงไม่ขอปริปากเพื่อเป็นเกราะป้องกันตัว
“อย่าใจดีกับฉัน ถ้าเราไม่มีโอกาสจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม” น้ำเสียงอู้อี้ที่เล็ดลอดผ่านเนื้อผ้าทำหน้าที่เสมือนกระสุนที่พุ่งตรงทะลุอกซ้าย หายใจไม่สะดวก คำพูดติดขัด อึดอัดแทบบ้า ไม่คิดเลยว่าผู้ชายอย่างตรัสจะเสียน้ำตาเพื่อผม
“ยอมแล้ว...ฉันยอมแล้ว” จำนนต่อสถานการณ์จึงยกธงขาวด้วยการฟุบหน้าลงกับลาดไหล่แล้วค่อย ๆ อธิบายด้วยเนื้อเสียงแหบพร่า “ฉันยังไม่มีใครทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิด แม่แค่จัดพิธีดูตัวขึ้นหลอก ๆ เพราะท่านอยากแกล้งที่ฉันหัวรั้น ไม่ฟังคำแนะนำของท่านเรื่องที่ว่า...ฉันยังไม่ลืม”
“ลืมอะไร...”
“ฉันลืมตรัสไม่ได้ ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะโกหก” ความคะนองปากอย่างสิ้นคิดกลับทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นจนไม่น่าให้อภัย แต่กรรมก็ตามสนองทันใจ ความเจ็บปวดที่หยิบยื่นให้อีกฝ่าย...มันได้ย้อนกลับมารุนแรงยิ่งกว่า
“นิสัยไม่ดี”
“ขอโทษ” น้ำเสียงของตรัสเปลี่ยนไปทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาได้นิดหนึ่ง และยังเพิ่มขึ้นอีกระดับตามแรงกอดตอบ สุดท้ายแล้วก็ต้านแรงยื้อไม่ไหวต้องขยับขึ้นมานั่งเกยตักแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก “หายโกรธหรือยัง”
“หายก็ได้” เอ้า ยังไงแน่ “ฉันดีใจนะที่เท็ตเป็นห่วงความรู้สึกของฉัน และขอบคุณมากที่ทำให้เรื่องนี้จบง่ายขึ้น เพราะถึงอย่างไรฉันจะไม่ยอมแพ้เพียงแค่เท็ตมีคนอื่น” เนื้อความฟังดูราบเรียบไร้พิษภัย แต่แววตาและรอยยิ้มหาได้แปรผันตรงกับสิ่งที่ผมได้ยินไม่ ร้ายกาจ ๆ
“เข้าใจแล้วก็ดี ถือว่าหายกันเพราะตรัสทำฉันเจ็บ ตรัสก็ควรเจ็บบ้าง”
“ไหนว่าไม่ได้ตั้งใจ เท็ตอยากให้มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม” ความจริงคือมันเป็นมุขสดที่เพิ่งคิดได้หยก ๆ แถมยังได้ผลเกินคาดอีกต่างหาก น้ำตาของท่านตรัสหยดนั้นควรเก็บใส่หลอดแก้วไว้เป็นที่ระลึก
“ทำคนอื่นเสียการเสียงานแล้วยังมีหน้ามาบ่น พากลับบริษัทได้หรือยัง เหลืองานค้างอีกตั้งเยอะแยะ”
“มีหน้าที่แค่ไปรับ ไม่อาสาไปส่งครับ”
“ไม่มีเหตุผลเลยว่ะ กลับเองก็ได้” ผมผุดลุกขึ้นยืนแล้วมองหาของสำคัญ แต่ก็ไร้วี่แวว “กุญแจรถอยู่ไหน” เห็นตรัสตบกระเป๋ากางเกงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ต้องเล่นชักเย่อกลางดึกจริง ๆ ใช่ไหม “ขอยืมหน่อย”
“มีงานอย่างอื่นที่สำคัญกว่าฉันอีกหรือ”
“สำคัญตัวว่ะ”
“นี่ก็ดึกมากแล้ว อาบน้ำพักผ่อนเถอะ อย่าหักโหมนักเลย...ฉันขอร้อง” พ่ายแพ้ลูกอ้อนของตรัสทุกทีสิน่า แต่เอาเถอะ คิดเสียว่าเห็นแก่ข้อความร้อยแปดที่พร่ำเพ้อพรรณนาว่าคิดถึงผมแค่ไหน เป็นอันว่ายอมลงให้ครั้งหนึ่งแล้วกัน
ผมยึดพื้นที่เตียงห้องรับรองแขกเป็นของตัวเองอีกครั้งหลังจากอาบน้ำและส่งข้อความบอกพ่อว่าคืนนี้ผมนอนค้างที่คอนโดฯ ของตรัส ท่านไม่ติดต่อกลับมาเป็นนัยว่าอนุญาตหรือไม่ท่านก็หลับไปแล้ว ก่อนหน้านี้ตรัสอุ่นนมร้อนให้ผมแก้วหนึ่งและตอนนี้มันยังวางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ยกขึ้นจิบพร้อมจุดยิ้มกับตู้เสื้อผ้า จิตใจมนุษย์นี่มันช่างน่าพิศวงเหลือเกิน ครั้งก่อนที่นอนบนเตียงนี้ผมยังจะเป็นจะตายว่าเรื่องของเราจะสิ้นสุดลงอย่างไร แต่อีกไม่กี่วันถัดมาหัวใจของผมมันกลับพองโตได้มากกว่าล้านเท่า
ถ้าจะหาคนผิด มันก็ผิดด้วยกันทั้งหมด แต่ถ้าผมมองข้ามมันไปแล้วเริ่มต้นใหม่ด้วยคำว่าให้อภัยก็คงไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไร ไม่อย่างนั้นแล้วผมก็คงจะจมอยู่กับความคับข้องใจว่าทำไมตรัสต้องปิดบังเรื่องคู่หมั้น ทำไมผมต้องรู้เรื่องสำคัญอย่างนี้จากผู้ชายอันตรายอย่างคุณกัณฑ์ธร ทำไมผมต้องเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่อง และทำไมผมต้องรอคน ๆ เดียวถึงห้าเดือนกว่าโดยไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาไหม มันมีแต่คำถามเต็มไปหมด จนในที่สุดผมก็ค้นพบกุญแจไขปริศนา ข้อความที่ช่วยดามหัวใจที่แตกร้าวให้กลับคืนสู่สภาพเดิมโดยสมบูรณ์
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านข้อความพวกนั้นอีกครั้ง ตลอดสามวันที่ผ่านมาผมทำแบบนี้ตลอดเวลาที่หมดกำลังใจจะทำงานหรือเหน็ดเนื่อยจนไม่อยากก้าวเดินไปไหน ความลำบากของตรัสที่ผมรับรู้ผ่านตัวอักษรทำให้ความย่อท้อมลายหายไป เหลือไว้เพียงแรงใจที่ทำให้ผมอยากเจอตรัสอีกครั้ง แล้วจู่ ๆ ก็โผล่มาในช่วงเวลาที่ผิดกาลเทศะสุด ๆ รวมถึงเสียงเคาะประตูที่กำลังดังเป็นจังหวะอยู่ตอนนี้ด้วย
“มีอะไร” ผมวางแก้วแล้วลุกขึ้นมาเปิดประตูด้วยการแกล้งชักสีหน้า เหมือนกับจะหลอกอีกฝ่ายว่านอนหลับไปแล้วมารบกวนทำไม
“อย่าปรับแอร์เย็นนักนะ ห่มผ้าด้วย” พ่อพระมาโปรดแท้ ๆ แค่นี้ก็ต้องเดินมาเคาะห้องบอกกันด้วย แสนดีเกินไปหน่อยไหม อย่างนี้ต้องโปรยยิ้มให้เป็นรางวัลก่อนปิดประตู
ผมนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอีกพักใหญ่จนใกล้จะเคลิ้มหลับขึ้นมาจริง ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังอีกหน แต่คราวนี้เสียงเบากว่ารอบแรกนิดหน่อยคล้ายว่าติดจะเกรงใจ “อะไรอีก”
“นอนสบายไหม อยากได้หมอนหรือผ้าห่มเพิ่มหรือเปล่า” เป็นความหวังดีที่ดูจะผิดที่ผิดเวลาเกินไปหน่อย ชักไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ในมือก็ไม่มีหมอนมาสักใบ อยากย้อนกลับไปว่าถามเพราะความเป็นห่วงหรือมีจุดประสงค์อื่นกันแน่ แต่ที่ผมตอบคือทุกอย่างโอเคแล้ว
ครั้งนี้ผมเดินกลับมาที่เตียงแต่ไม่ได้ทิ้งตัวลงนอน นั่งชันเข่าที่ปลายเตียงแล้วรอเวลา พนันได้เลยว่าไม่เกินสิบนาที หรือถ้ามีอะไรผิดพลาดผมก็อาจคิดมากไปเอง
แล้วผมก็พลาดจริง ๆ แต่ไม่ใช่ว่าผมคาดการณ์ผิด เพราะสำหรับผมแล้วความคิด ‘เรื่องพรรค์นั้น’ ของตรัสเป็นเหมือนวัตถุโปร่งแสงที่อ่านออกง่ายกว่าพยัญชนะไทยทั้งสี่สิบสี่ตัว ที่บอกว่าพลาดเพราะมันไม่ใช่สิบนาที แต่นี่ยังไม่ทันพ้นสามนาทีแรกตรัสก็มายืนยิ้มหวานอยู่หน้าห้องผมพร้อมเสียงกระแอมไอ
“นมร้อนอีกสักแก้วไหม” ไม่เนียนเลย ไม่คิดว่าตรัสจะมามุขนี้ ซึ่งในมือก็ไม่มีแก้วเครื่องดื่มใด ๆ สักใบ ผมอยากจะหัวเราะแล้วฝังเขี้ยวที่หัวไหล่เปลือยโทษฐานทำตัวน่าหมั่นไส้ แต่เผอิญว่าปากผมไวเกินกว่าจะยั้งใจได้ทัน
“ไม่เอา ตอนนี้อยากได้อย่างอื่นที่ร้อนกว่า” ฉุดแขนคนเจ้าเล่ห์เข้ามาในห้องแล้วตะโบมจูบอย่างลืมตัว ตรัสไม่ขัดขืนสักนิด ปล่อยตัวคล้อยตามจนถูกผลักลงบนเตียง เสียงเครื่องปรับอากาศดูจะไร้ประโยชน์ในการเตือนสติ ผมคร่อมทับแสร้งทำเป็นไม่เห็นแววตาวิบวับที่เด่นชัดมากในความมืด มือของตรัสสอดรับท้ายทอยตอบสนองรสจูบ ทุกอย่างกำลังจะหยุดไม่ได้ คล้ายว่าถูกมอมเมาด้วยปลายลิ้นชื้น บดเบียดรุนแรงอย่างลุ่มหลง จนกระทั่งเสียงอุทานของตรัสทำให้ผมรู้สึกตัว
สำนึกแรกเมื่อสัมผัสได้ถึงรสชาติคาวเฝื่อนของเลือดคือความละอายใจ พึมพำคำขอโทษก่อนจะละโลมปลายลิ้นที่ริมฝีปากหวังสมานแผลแต่ผลที่ได้กลับตาลปัตร ตรัสพลิกตัวจนผมตกอยู่ใต้อาณัติแล้วลงโทษด้วยวิธีการเดียวกันจนผมหายใจไม่ทัน ส่งเสียงอืออาทัดทานแต่ดูจะไม่เป็นผล เสื้อยืดสีขาวดูไร้ค่าไปถนัดตาเมื่อมันถูกวางลงข้างเตียง แต่ก่อนที่ปลายจมูกของตรัสจะระรานฐานลำคอ ผมห้ามทัพด้วยฝ่ามือผลักหัวไหล่ก่อนจะยื่นข้อเสนอพร้อมจุดยิ้มร้าย
“พูดให้ฟังหน่อย ประโยคในข้อความที่ตรัสไม่เคยส่งมา”
“ประโยคไหน” ผมไม่ตอบเพราะอยากให้ตรัสตรองดูว่าสิ่งไหนสำคัญจนทำให้ผมอยากได้ยินกับหูอีกครั้ง คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงคนที่มีไหวพริบดี นอกเสียจากอยากยื้อเวลาด้วยนิสัยมากเล่ห์ ทำเป็นลีลาครางเสียงต่ำอย่างครุ่นคิดแล้วไล้ปลายนิ้วข้างเอวให้รู้สึกจั๊กจี้จนผมต้องเบี่ยงตัวหนี “ฉันคิดถึงเท็ต...ใช่ไหม” ผมส่ายหน้า “อยากกอด...ใช่หรือเปล่า”
“ไม่ใช่”
“แล้วคำไหน”
“ถ้าไม่รู้จริง ๆ ก็ช่างเถอะ” ผมพลิกตัวหลบเพราะไม่อยากเล่นแง่กับคนปากหนัก ปัดป้องมือปลาหมึกที่พยายามง้องอนแต่ผมไม่เล่นด้วย จนในที่สุดตรัสก็แพ้ใจยอมลงให้แต่โดยดี
“ฉันรักเท็ต” เสียงกระซิบแผ่วข้างหูแต่ดังกังวานเหลือเกินในหัวใจ ตรัสกระชับกอดก่อนจะพรมแผ่นหลังด้วยแรงจูบ ถูกรั้งไหล่ให้หันเข้าหาเพื่อเผชิญหน้ากับการย้ำคำ ตรัสพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นจนมือข้างหนึ่งเลื่อนลงไปถึงขอบกางเกงผ้านิ่ม ปมเล็ก ๆ ที่ผูกเอาไว้ไม่ช่วยให้ผมรู้สึกปลอดภัย ตรงกันข้าม ตรัสพยายามกลั่นแกล้งด้วยการสะกิดเงื่อนกระตุกคล้ายว่าจะขออนุญาต ผมเลือกจะตอบด้วยอวัจนภาษา รั้งชายเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาจนหลุดพ้นโครงหน้าคมคายก่อนจะซับจูบที่ปลายคางสาก ผมถูกลิดรอนอากาศหายใจอีกครั้งจนกระทั่งรู้สึกได้ถึงไอร้อนจัดที่หน้าท้อง
ผมจำไม่ได้ว่าสิ่งปกปิดชิ้นสุดท้ายร่วงลงสู่พื้นไม้ปาเก้ตอนไหน แต่ดูเหมือนตรัสจะไม่เข้าใจว่ามันเป็นสถานการณ์คับขันเพราะผมเกือบจะกลั้นเสียงไว้ไม่ไหวตอนที่ตรัสค่อย ๆ ขยับปลายนิ้วทั้งที่ฝังหน้าลงกับหมอนและกัดฟันแน่น อยากจะโวยวายให้รับรู้ถึงความทรมานที่เกิดจากการเว้นระยะห้าเดือน แต่ติดที่ว่าแค่หายใจยังเหนื่อยมาก อย่างดีที่สุดจึงทำได้แค่เงียบแล้วปล่อยให้ตรัสทำตามอำเภอใจ
“ถ้าฉันหยุดแค่นี้ เท็ตจะโกรธไหม”
“ทำไม” ก่อนจะได้ยินคำตอบเป็นน้ำเสียงตัดพ้อว่าผมไม่พร้อม ตรัสก็เลยไม่คิดจะสานต่อ ผมนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะควานมือหยิบเสื้อตัวที่ใกล้ที่สุดมาสวมโดยไม่ใส่ใจว่าเป็นของใคร ก่อนลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป
ตั้งแต่เกิดมาไม่คิดเลยว่าจะถูกปฏิเสธเรื่องบนเตียงจากผู้ชายขี้สงสาร แค่ผมแสดงอาการอ่อนแอให้เห็นนิดหน่อยถึงกับหยุดกลางคัน ขอถอนคำพูดที่บอกว่าตรัสไม่เข้าใจว่าผมกำลังรู้สึกไม่ดี แต่นี่มันเข้าใจมากเกินไปต่างหาก อยากจะโกรธแต่ก็โกรธไม่ลงเลยเถอะ คนอะไรใจเด็ดชะมัดยาด
ผมก้าวเข้ามาในห้องน้ำแล้วล้างหน้าล้างตา ก่อนจะก้มมองปัญหาใหญ่ภายใต้เสื้อยืดตัวโคร่งของตรัส ใช้เวลาไตร่ตรองชั่วครู่แล้วเดินไปเปิดลูกบิดฝักบัว ปลดเปลื้องอาภรณ์ชิ้นเดียวพาดไว้กับขอบอ่างหวังให้สายน้ำช่วยระงับอารมณ์ที่ยังร้อนผ่าวในอก ซึ่งมันก็ช่วยได้ดีระดับหนึ่ง แต่คงเป็นเพราะว่าผมห่างหายจากเรื่องจำพวกนี้นานเกินไป แม้แต่เวลาใส่ใจตัวเองยังไม่มีเลยแล้วนับประสาอะไรกับการยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น ดังนั้นต่อให้ผมแช่น้ำจนตัวเปื่อยผลมันคงไม่ได้ดั่งใจเท่าไหร่นัก
ขณะที่ยังยืนคิดไม่ตกเบื้องล่างหยาดน้ำที่โปรยปรายก็ยินเสียงกระแอมไอจากทางด้านหลัง ผมไม่คิดจะปกปิดร่างกายให้พ้นจากสายตาของคนที่กำลังจ้องมองมาจากหน้ากระจก ผ้าขนหนูพันเอวหมิ่นเหม่ตัวนั้นถูกเจ้าของมันปลดออกแล้วกองทิ้งไว้ที่ปลายเท้า ไม่ต้องเสียเวลาคาดเดา ตรัสเดินเข้ามาใกล้โดยไม่พูดอะไรสักคำ ปล่อยให้ฝ่ามือทำหน้าที่ด้วยความเอาแต่ใจ ไล้ปลายนิ้วผ่านช่วงท้องจนถึงจุดที่ทำให้ผมเสียการทรงตัว ทิ้งน้ำหนักพิงหลังกับแผงอกที่จงใจเบียดเสียดเข้าหา
ผมพยายามละเลยเสียงตัวเองที่ดังสะท้อนในห้องกระจกคับแคบ ผิวสัมผัสที่ตรัสยัดเยียดให้รุนแรงขึ้นทุกลมหายใจ จนในที่สุดห้วงอารมณ์ความปรารถนาก็พุ่งทะยานสาดกระเซ็นไม่ต่างละอองน้ำ กิริยาตอบสนองของผมคือเข่าอ่อนเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป ตรัสรวบเอวของผมไว้ก่อนใช้อุณหภูมิร่างกายหลอมละลายผมอีกครั้ง ปลายนิ้วเรียวแทรกผ่านด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ ช่วงเวลาที่ว่างเว้นทำให้ผมตื่นตัวกับสิ่งที่สมควรคุ้นชิน ตรัสเองก็เหมือนกัน ความแข็งขืนที่บดเบียดเรียกเสียงครางต่ำได้อย่างน่าประหลาดใจ ผมแกล้งเพิ่มแรงเสียดสีแต่ก็ถูกตรัสเอาคืนด้วยการรุกล้ำชำแรกลึก ปลายนิ้วถูกแทนที่ ไม่มีที่ยึดเกาะอื่นใดนอกจากผนังฉ่ำน้ำ
เสียงผิวกายกระทบกันไม่อาจกลบเกลื่อนด้วยสายน้ำไหล น่าอายแต่ผมไม่มีแก่ใจจะสำนึกผิดเพราะความรู้สึกนึกคิดกำลังจดจ่อกับแรงถาโถมด้านหลัง “ตรัส...” ผมเค้นเสียงเรียกชื่อทั้งที่กัดฟันแน่น อยากตำหนิว่ามือหนักเกินไปแต่ได้ยินเสียงชู่ว์ขัดขวางที่ข้างหู ตรัสผ่อนแรงแค่ชั่วอึดใจก่อนจะกระซิบว่าขอโทษซ้ำ ๆ อย่างเสียไม่ได้ คล้ายว่าอึดอัดและผมเองก็เข้าใจ ยอมให้ตรัสถูกครอบงำด้วยความลุ่มหลงก่อนจะรู้สึกได้ถึงความอุ่นวาบในร่างกาย พายุฝนจึงสงบลง
ผมสวมแค่ชุดคลุมอาบน้ำตอนที่ก้าวเข้ามาในห้องนอนของตรัส เห็นเจ้าของห้องกำลังจัดการกับเส้นผมเปียกชื้นด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก ตรัสเลิกคิ้วเป็นคำถามเมื่อหันมาเห็นผมทิ้งตัวนั่งลงที่ปลายเตียงก่อนจะเดินเลี่ยงไปหยิบไดร์
“มานั่งตรงนี้สิ” ตรงนี้ของตรัสคือพื้นพรมข้างเตียง โดยที่ช่างแต่งผมเขาพร้อมปฏิบัติหน้าที่ด้วยอาวุธครบมือ ผมค่อย ๆ นั่งกอดเข่าก่อนจะยินยอมให้มือใหญ่รวบเส้นผมไปไว้ด้านหลัง รู้สึกผ่อนคลายกับปลายนิ้วที่เค้นคลึง ตรัสถือโอกาสเฟ้นเบา ๆ ที่ต้นคอก่อนจะล่วงล้ำเข้ามาในสาบเสื้อ ผมรีบคว้าหมับที่มือเจ้าปัญหา ได้ยินเสียงคนลามกหัวเราะร่วนแล้วนึกหมั่นเขี้ยว รีบผุดลุกขึ้นยืนแต่ลืมไปว่าตัวเองไม่ค่อยสมประกอบเท่าไหร่จึงเกือบทรุดนั่งลงกับพื้น โชคดีที่ตรัสคว้าเอวไว้ทันไม่อย่างนั้นผมคงระบมไปทั้งตัว “ระวังหน่อย”
ตรัสพันเก็บสายไฟของไดร์ขนาดกะทัดรัดก่อนจะหันมาเผชิญหน้าโดยที่ตัวผมยังนั่งม้วนอยู่บนตัก ลูบแก้มลูบคางแก้เก้อไปพลางระหว่างที่ตรัสจ้องมอง “จะนอนห้องนี้หรือ” ผมตอบแค่อือเบา ๆ ก่อนเบนสายตาไปหากระเป๋าเดินทางที่ดูใหญ่ขึ้นนิดหน่อยเมื่อเปรียบเทียบกับขาไป นึกเรื่องพูดคุยแก้เขินได้ในทันที
“ของฝากล่ะ” แค่แบมือตรัสก็รวบไปบังคับให้กำแล้วเหลือไว้เพียงนิ้วชี้ ก่อนจะระบุตำแหน่งของฝากคือปลายคางตัวเอง ผมหรี่ตามองของที่ระลึกจากอังกฤษที่ดูยังไงก็เมดอินไทยแลนด์ชัด ๆ ตรัสยักไหล่ไม่ยี่หระอย่างกับว่านี่แหละคือสิ่งที่คู่ควรกับผมที่สุด
“อยากให้เท็ตรับไว้แล้วช่วยดูแลใส่ใจเป็นอย่างดี” ผมลอบยิ้มจำยอมกับความหน้าไม่อายและขี้ตู่ระดับพระกาฬ คนอะไรจะฝากฝังชีวิตตัวเองกับคนอื่นด้วยสีหน้าเรียบนิ่งยิ่งกว่ากระดาษแบบนี้
“แล้วถ้าฉันปฏิเสธ”
“ของฝากชิ้นนี้เปราะบาง...แตกหักง่าย และจะไม่ยอมรับคำปฏิเสธใด ๆ ทั้งนั้น” มัดมือชกสิ้นดี ผมไม่มีอะไรจะต่อกรนอกจากเสียงหัวเราะ ไม่รู้ว่าตรัสไปจดจำคำพูดน่าขนลุกพวกนี้มาจากไหน แต่บอกได้เลยว่ามันตรงใจอย่างร้ายกาจ เมื่อเหล่มองกล้ามแขนและแผงอก เชื่อผมเถอะว่ามันห่างไกลคำว่าแก้วเจียระไนไปหลายขุมทีเดียว ซึ่งที่ตรัสพูดถึงคงไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก ต้องมองลึกเข้าไปในอกข้างซ้ายแล้วจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้คือหินผาหรือว่าแก้วที่มีรอยร้าว
ผมพบคำตอบเมื่อก้มลงไปแตะจูบแผ่ว ๆ โดยที่มือข้างหนึ่งยังยึดเกาะกับหัวไหล่ และรู้สึกได้ทันทีว่าแรงเต้นของหัวใจกระชั้นขึ้นอย่างบิดเบือนไม่ได้ ตรัสไม่เคยโกหกผม ไม่ว่าภาวะอารมณ์ไหนความต้องการมีมากเท่าไหร่ก็ไม่เคยโป้ปด ความรู้สึกของตรัสมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น “ฉันรักเท็ต”
“รู้แล้วครับ”
“กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม” ถ้าไม่อนุญาตแล้วการปลุกปล้ำอย่างอุกอาจในห้องน้ำเมื่อสิบนาทีก่อนมันจะเกิดขึ้นหรือเปล่า อยากยอกย้อนแต่กลัวจะเสียบรรยากาศจึงสบตาแทนการสื่อสาร ผมยิ้มตรัสก็ยิ้มตอบ แต่รอยยิ้มของผู้ชายคนนี้มันค่อนข้างจะหลุกหลิกมีพิรุธไม่น้อย แล้วผมก็คลายความสงสัยเมื่อเป้าหมายใหม่ของตรัสไม่ใช่การแหวกสาบเสื้อคลุมอาบน้ำ แต่เป็นปมเล็ก ๆ ที่ขมวดอย่างไม่แน่นหนานักตรงข้างเอว
“ไม่เอา” ผมตะครุบมือตรัสแล้วกำแน่นเพื่อลดความเสี่ยง ไม่อยากบอกเลยว่าข้างในไม่มีอะไรห่อหุ้มร่างกายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว หลังจากอาบน้ำเสร็จรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เดินเข้ามาในห้องนี้แล้ว อย่าว่าแต่เสื้อผ้าเลย อันเดอร์แวร์สักชิ้นยังไม่คิดจะใส่ติดตัว
“ทำไม”
“พอแล้ว”
“ไม่เคยมีคำนั้นในหัวฉันเลย...ตั้งแต่เจอเท็ต” อยากจะด่าไอ้ลามกคนนี้เป็นภาษาสวาฮีลีแต่ผมกำลังเสียเปรียบ มารยาของเพศแม่ไม่ว่าเล่มไหนก็คงใช้ไม่ได้ผลเพราะคนที่กำลังสู้ศึกด้วยมันมีสีหน้าและแววตาเป็นอาวุธ แค่คำว่า ‘นะ’ สั้น ๆ ก็เหมือนโดนสะกดจิต มือไม้อ่อนจนยอมให้ตรัสคลายเชือกผูกเอว มิหนำซ้ำยังโดนต้อนจูบจากใบหูจนถึงกลางอก เลา ๆ ว่าถูกพลิกตัวให้นอนลงบนเตียงก่อนสติจะพร่าเลือนอีกหนเหมือนคนโดนมอมยาไม่มีผิด กลิ่นผ้าคลุมเตียงที่คุ้นเคยยิ่งทำให้ความรู้สึกที่คลุมเคลือกระจ่างชัดขึ้นอีกครั้ง ทั้งแรงย้ำจูบและผิวสัมผัส ทั้งความอ่อนโยนและสุ้มเสียงนุ่มนวล ทุกอย่างบอกผมว่าถ้าไม่ใช่ตรัส...
ผมคงรักใครไม่ได้อีก▩▩▩