หัวใจหลังเลนส์
#11
เกิดเป็นความเงียบขึ้นชั่วขณะหลังจากกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งสี่เดินจากบริเวณนั้นไป
ร่างสองร่างที่เหลืออยู่เหลือบมองกันไปมา คนหนึ่งก็ยกแขนเสื้อของตนขึ้นเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า ส่วนอีกคนก็ได้แต่เกาหัวเกาหูไปตามเรื่องตามราว จนในที่สุดเมื่อบรรยากาศมันชักจะถูกความเงียบครอบงำนานเกินไป คนโตกว่าจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“เอ้อ เราไปกันเลยดีไหม”
จักรวาลเงยหน้าขึ้นมองคนพูด ก่อนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าปกติหลายเท่านัก “เดี๋ยวผมหารถกลับเองก็ได้ครับ เกรงใจคุณเปล่าๆ”
คนฟังถอนหายใจออกมาเบาๆ...นี่ขนาดร้องไห้ มันยังดื้อได้ขนาดนี้นะเนี่ย
ชายหนุ่มส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธคำขอนั่นอย่างหนักแน่น “ไม่ได้หรอก ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนาย แล้วอีกอย่าง มีของที่อยากจะพานายไปเอาด้วย”
เด็กหนุ่มทำหน้าสงสัยอย่างตั้งคำถาม หากแต่กวินก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ออกเดินนำร่างบางให้ตามมาที่รถเท่านั้น
เมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากโรงแรมหรูได้สักพัก คนที่นั่งเป็นผู้โดยสารก็เอ่ยถามขึ้นเบาๆ “คุณจะพาผมไปไหนเหรอครับ”
กวินเหลือบตามองคนข้างกายเพียงนิด รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นที่มุมปาก “ไปคอนโดฉันก่อน”
เพียงเท่านั้น ดวงตาคู่เรียวสวยก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความงุนงง “คอนโดคุณ? เอ่อ...ไปทำไมเหรอครับ”
น้ำเสียงตกใจจากเด็กหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากสารถีร่างใหญ่ได้อย่างไม่ยากเย็น “ก็บอกแล้ว ว่าพาไปเอาของ ตอนนี้นายนอนไปก่อนก็ได้ ถึงแล้วเดี๋ยวฉันปลุกเอง” ชายหนุ่มรีบกล่าวตัดปัญหาเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กทำท่าจะปฏิเสธ
หลังจากการที่ได้อยู่คลุกคลีกันมาสักพักหนึ่งก่อนหน้านี้ จักรวาลรู้ดีว่าเถียงคนอย่างกวินไปก็ไม่ได้ผล เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจเงียบปากลงนั่งมองวิวข้างทางไปเรื่อยเปื่อย ในขณะที่สมองก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นภายในหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ช่วงที่เขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกหน่วงๆในใจ
และดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่เขาที่คิดเรื่องเดียวกันอยู่ ณ วินาทีนี้...
“ไม่เจอกันนาน นายเอ่อ...สบายดีหรือเปล่า” เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ได้หลับตานอนอย่างที่เขาบอกเมื่อครู่ กวินจึงตัดสินใจถามเรื่องที่อยากรู้ออกไป
จักรวาลนิ่งไปพักหนึ่งกับคำถามที่ได้รับ ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว “ก็...ไม่เท่าไหร่ครับ คุณล่ะ?”
กวินส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เท่าไหร่เหมือนกัน...”
ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างคนทั้งสองอีกครั้ง ต่างคนต่างก็คาดเดาไปต่างๆนาๆ ว่าเหตุผลอะไรกันที่ทำให้อีกฝ่ายอยู่อย่างไม่สบายนักตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้
จนเมื่อรถเคลื่อนตัวมาติดอยู่ที่สี่แยกไฟแดงไม่ห่างจากคอนโดของกวิน จักรวาลก็ตั้งคำถามใหม่กับคนข้างๆขึ้นมาด้วยน้ำเสียงลังเลใจ
“คุณ...โกรธผมไหมครับ” เสียงที่ดังขึ้นทำลายความเงียบ เรียกให้คนถูกถามหันมามองหน้าเด็กหนุ่มชัดๆ ดวงตาเรียวสวยที่จับจ้องอยู่ที่ตักตัวเองนั้นยังคงฉายแววกังวลอยู่เล็กน้อย
“ไม่โกรธหรอก” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกลับมาเบาๆ “แต่เสียใจมากกว่า...” ชายหนุ่มเลือกที่จะตอบออกไปตามความรู้สึกจริงๆ
ใบหน้าเรียวเล็กได้รูปหันมามองคนพูด แววตาฉายชัดถึงความรู้สึกผิด “ผมขอโทษนะครับ แต่ผมไม่ได้หมายความอย่างที่พูดจริงๆนะ”
คนฟังยิ้มน้อยๆ ก่อนหันมาพูดด้วยสีหน้าล้อเลียน แต่ถ้าหากจักรวาลได้สังเกตลงไปในดวงตาคมดุคู่นั้นดีๆ ก็จะเห็นความเสียใจที่ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง “ที่บอกว่าฉันชอบทำหน้าเหมือนยักษ์น่ะเหรอ”
“คุณน่ะ!” เด็กหนุ่มอ้าปากมองค้อนคนข้างๆที่เอาเรื่องนี้มาพูดเป็นเรื่องตลกไปได้ ทั้งที่เขาเครียดกับมันจะตาย
“เอ้า! หรือนายไม่ได้พูดล่ะ จะให้ทวนให้ฟังไหม ฉันยังจำได้แม่นทุกคำเลยนะ”
เป็นความจริงที่เขาจำมันได้เป็นอย่างดีประโยคต่อประโยค บางทีก็น่าแปลกเหมือนกัน ที่คนเรามักจะชอบจำในสิ่งที่มันทำร้ายจิตใจให้ย้อนกลับมาซ้ำแผลเก่าเรื่อยๆ
ฝ่ามือใหญ่ข้างที่ว่างเอื้อมมาลูบหัวคนเด็กกว่าเบาๆ ในขณะที่เท้าก็เหยียบคันเร่งพารถเคลื่อนออกไปเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว
“เอาน่า เลิกคิดมากเถอะ ฉันไม่ได้ติดใจอะไรแล้วล่ะ”
ได้ยินดังนั้นจักรวาลได้แต่ก้มหน้าพึมพำขอโทษชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะกลับมานั่งเงียบๆเช่นเดิม
รถสีดำคันหรูเลี้ยวเข้ามาในบริเวณลานจอดรถของคอนโดใหญ่ใจกลางเมือง เมื่อเท้าทั้งสองคู่ก้าวลงมาแตะพื้น ร่างสูงก็เดินนำแขกผู้มาเยือนเข้าไปด้านใน
ประตูห้องที่เด็กหนุ่มเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งถูกผลักออก ก่อนคนเป็นเจ้าของห้องจะส่งสัญญาณให้อีกคนเดินเข้าไปก่อน
กวินกล่าวบอกให้ร่างเล็กนั่งรอที่โซฟารับแขก
เพียงไม่นานชายหนุ่มก็เดินกลับมาพร้อมของที่คุ้นตาเด็กหนุ่มเป็นอย่างดีสามสิ่งซึ่งถูกนำมาวางบนโต๊ะตัวเตี้ยตรงหน้า “หนังสือกับเลนส์ตัวนี้ ฉันให้แล้ว ไม่คิดจะเอาคืนหรอกนะ” กวินชี้ไปที่หนังสือปกดำและเลนส์ไวด์ตัวที่เคยบอกว่ายกให้เด็กหนุ่มพลางหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวเล็กข้างๆ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางนิ้วไปชี้ยังกล้องฟิล์มอีกตัวที่วางอยู่ข้างกัน “ส่วนไลก้าตัวนี้ อย่างที่บอกไปว่าพ่อให้มา ถึงจะไม่ได้ยกให้แต่ยังไงก็อยากให้นายลองเอาไปใช้ให้มากกว่านี้”
จักรวาลเงยหน้ามองคนพูดด้วยความรู้สึกวาบโหวงในจิตใจ ความรู้สึกผิดแล่นริ้วขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกไปถึงคำพูดว่าร้ายต่างๆนาๆที่ตนได้พูดไปวันนั้น...
แต่สำหรับอีกคนที่นั่งมองปฏิกริยาของคนตัวเล็กอยู่ เมื่อเห็นสีหน้าเจื่อนลงถนัดตานั้นก็อดตีความไปเป็นอีกอย่างไม่ได้
“หรือว่า...นายไม่ได้อยากเป็นช่างภาพแล้วจริงๆ” ชายหนุ่มกล่าวหยั่งเชิงด้วยความรู้สึกลุ้นอยู่ในใจ
คนถูกถามรีบสั่นหัว “ไม่ใช่นะครับ อยากเป็นสิ”
“งั้นทำไมถึงเอาของพวกนี้มาคืนฉันล่ะ”
“ก็...” ใบหน้าเรียวได้รูปก้มลงมองพื้นห้อง “ผมเห็นว่างานโฟโต้เซ็ทมันจบแล้ว ก็เลยคิิดว่าคงจบหน้าที่ที่คุณต้องดูแลผมแล้วเหมือนกัน อีกอย่าง...เพราะเรื่องนั้นด้วย...”
ได้ฟังดังนั้นชายหนุ่มก็หัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ “จบหน้าที่งั้นเหรอ...”
ดวงตาคู่คมมองสบกับเด็กหนุ่ม “นายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดีแล้ว เพราะฉันมีอีกเรื่องที่อยากจะถาม”
“ครับ?”
“พี่วิทย์บอกว่าตอนนี้มหา'ลัยปิดเทอมแล้ว...”
จักรวาลพยักหน้าตามช้าๆ
“นายเอ่อ...วางแผนจะทำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“ก็ตั้งใจว่าจะหาทำเพิ่มน่ะครับ”
“อืม...ถ้าอย่างนั้น นายสนใจมาทำงานกับฉันไหม”
เพียงเท่านั้น คนฟังก็เบิกตากว้างขึ้น “ทำงานกับคุณ...?”
“ใช่ ทำงานกับฉัน...ที่บริษัท...เอ่อ...แบบที่มาทุกวันน่ะ” กวินค่อยๆเรียบเรียงคำพูดออกมาเป็นประโยคที่ฟังดูกระท่อนกระแท่นชอบกล “ยังไม่ได้เริ่มหางานที่ไหนไม่ใช่เหรอ”
เด็กหนุ่มพยักหน้าช้าๆ ในสมองประมวลผลทบทวนคำพูดของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างละเอียดอีกครั้ง “ค..คุณพูดจริงเหรอครับ”
“ก็จริงน่ะสิ ว่าไงล่ะ สนใจไหม”
รอยยิ้มกว้างเผยขึ้นบนใบหน้าขาวผ่องนั่น “สนใจครับ!”
“ดี” ฝ่ายคนชวนเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน “สะดวกเริ่มงานเมื่อไหร่ล่ะ”
“เมื่อไหร่ก็ได้เลยครับ!”
ท่าทางกระตือรือร้นแบบนั้นเรียกเอาเสียงหัวเราะจากคนเป็นผู้ใหญ่กว่าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก “งั้นวันจันทร์หน้านี้เลยแล้วกัน เริ่มงานเก้าโมง เลิกงานหกโมงนะ”
“ครับผม”
“เอาล่ะ งั้นนายไปอาบน้ำเถอะ”
“ห๊ะ?!?!?” อารมณ์ดีอกดีใจเมื่อครู่ถูกเบรกดังเอี๊ยดเมื่อประโยคปริศนาดังมาจากปากชายหนุ่มตรงหน้า
กวินเองก็ดูเหมือนเพิ่งจะรู้สึกตัว มือใหญ่ยกขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองป้อยๆ “อ้อ...ฉันยังไม่ได้บอกนายเหรอว่าก่อนลงจากรถตะกี้หน้าปัดมันโชว์ว่าน้ำมันเหลืออยู่แค่ก้นถังน่ะ ดึกขนาดนี้ปั๊มแถวนี้ก็ปิดหมดแล้วด้วย”
คนฟังอ้าปากค้างทำหน้างง “แล้วตะกี้ตอนออกจากโรมแรมก็ผ่านปั๊ม ทำไมไม่เติมล่ะครับ”
“เออน่า...ก็ลืมไง”
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเกาหัวอย่างงุนงง ก่อนกล่าวขึ้นพลางทำท่าจะลุกขึ้นจากโซฟา “งั้นไม่เป็นไรครับ ตอนนี้น่าจะยังมีรถเมล์วิ่งอยู่ เดี๋ยวผมกลับเองดีกว่า ไม่อยากรบกวนคุณไปมากกว่านี้แล้ว”
ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างเอื้อมรั้งไหล่บางไว้ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขามอย่างที่เคยได้ยินบ่อยๆอีกครั้ง “ไม่ต้องเลย ดึกจะตายแล้ว คืนนี้นอนนี่แหละ”
สุดท้ายหลังจากดื้อดึงกันไปมาพอหอมปากหอม คนเป็นผู้ใหญ่กว่าก็เป็นฝ่ายชนะโดยไม่ต้องสงสัย เด็กหนุ่มจึงจำต้องหอบเสื้อผ้าที่ชายหนุ่มหามาให้เข้าห้องน้ำไปอย่างช่วยไม่ได้
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“มานี่สิ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มที่เดินตัวหอมฟุ้งออกจากห้องน้ำให้มาหาตรงหน้าตู้เก็บกล้องสุดรักสุดหวงของเขา
แม้จะเคยยลโฉมมันมาครั้งนึงแล้ว แต่ความอลังการณ์ของตู้ตรงหน้าก็ยังคงทำให้จักรวาลตาเป็นประกายได้อีกเป็นครั้งที่สอง “มีอะไรเหรอครับ”
กวินยิ้มมุมปากนิดๆก่อนกล่าวต่อ “ช่วยฉันทำความสะอาดของอุปกรณ์พวกนี้ทีสิ”
“ครับ?” เด็กหนุ่มนึกประหลาดใจพลางเหลือบมองนาฬิกาข้างผนัง ไม่รู้ว่าช่างภาพขื่อดังข้างๆคิดอะไรอยู่ ถึงอยากจะมาปัดกวาดเช็ดถูเอาตอนเที่ยงคืนกว่าแบบนี้
“ก็วันนี้ฉันทำนายร้องไห้...เลยอยากจะไถ่โทษน่ะ”
คำอธิบายที่ไม่ได้ช่วยทำให้อะไรกระจ่างขึ้นจากชายหนุ่มทำเอาจักรวาลขมวดคิ้วอย่างงุนงง “ด้วยการเช็ดเลนส์เหรอครับ?”
“มาลองเหอะน่า ฉันทำอย่างนี้ประจำเวลาอารมณ์ไม่ดี หายทุกครั้งนะจะบอกให้”
กวินส่งผ้าเช็ดเลนส์ผืนเล็กและลูกยางให้เด็กหนุ่มถือ ก่อนจะค่อยๆลำเลียงอุปกรณ์แต่ละตัวลงมาที่พื้น
จักรวาลยอมนั่งลงโดยไม่ถามอะไรต่อ สองมือเริ่มเช็ดๆเป่าๆเลนส์ตรงหน้า พอเสร็จก็ยกขึ้นส่องกับไฟบนเพดานเช็คความสะอาด
“ลองเอาติดกล้องแล้วถ่ายดูด้วยสิ เผื่อมีพวกรอยขนแมวอยู่แล้วมองไม่เห็น” กวินกล่าวแนะนำกับเด็กหนุ่มพลางนั่งลงคว้าบอดี้กล้องอีกตัวมาเช็ดบ้าง
เด็กหนุ่มทำตามที่คนข้างๆว่ากับเลนส์ตัวแล้วตัวเล่าที่ทำความสะอาดเสร็จไป ก่อนจะค่อยๆรู้สึกตื่นตาตื่นใจขึ้นเรื่อยๆกับระยะที่ต่างๆกันของเลนส์บางตัวที่ตนไม่คุ้นเคยนัก
ชายหนุ่มเหลือบตามองคนตัวเล็กพลางลอบยิ้มออกมาบางๆ ในฐานะคนรักกล้องเขารู้ดีอยู่แล้วถึงความสนุกที่ได้จับๆส่องๆไอ้ของพวกนี้เวลาเจอเรื่องแย่ระหว่างวันมา และมั่นใจมากว่าโดยเฉพาะคนที่ไม่ได้มีประสบการณ์กับอุปกรณ์เยอะแยะอย่างจักรวาลจะต้องชอบกิจกรรมนี้มากแน่ๆ
ระหว่างการนั่งขัดๆถูๆ เด็กหนุ่มก็หันมาถามข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์แต่ละตัวเป็นระยะ เรียกว่าได้ความรู้กันไปอีกหนึ่งกระบุงเต็มๆ
คนทั้งคู่นั่งกันอยู่อย่างนั้นจนเพลิน และกว่าจะมารู้สึกตัวอีกทีเข็มนาฬิกาก็เดินมาถึงเวลาตีสี่กว่าๆเสียแล้ว...
กวินและจักรวาลช่วยกันเก็บของเข้าที่
ชายหนุ่มเจ้าของห้องเดินไปปิดไฟบริเวณห้องรับแขกที่นั่งกันอยู่เมื่อครู่ก่อนจะเดินนำอีกคนเข้าห้องนอนไป หากแต่ยังไม่ทันก้าวพ้นขอบประตูเขาก็ต้องหันมามองแขกผู้อาศัยที่เดินตรงไปยังโซฟาด้วยความสงสัย
“ไปทำอะไรตรงนั้นน่ะ”
“ก็เข้านอนไงครับ” เด็กหนุ่มตอบเสียงซื่อ
“เห้ย จะนอนก็ต้องเข้าห้องนอนสิ มานี่” มือใหญ่กวักเรียกเด็กหนุ่มท่ามกลางความมืด
แต่คนถูกเรียกก็ได้แต่ส่ายหน้า “ผมรบกวนคุณมากไปแล้วครับ ยังไงผมก็ยังรู้สึกไม่ดีเรื่องนั้นอยู่ดีอ่ะ ให้ผมนอนตรงนี้แหละ”
ช่างภาพหนุ่มถอนหายใจยาวๆ ก่อนเดินออกมาลากตัวเจ้าเด็กเรื่องเยอะให้เดินเข้ามาในห้องนอนด้วยกันจนได้ “บอกแล้วไงว่าให้เลิกคิดเรื่องนั้นได้แล้ว นอนด้วยกันนี่แหละ ประหยัดแอร์ดี”
แขนแกร่งดันร่างเล็กๆนั่นให้นอนลงไปบนเตียงก่อนที่ตนจะล้มตัวลงตาม
หมอนสำรองที่ถูกเตรียมไว้ถูกดึงมาชิดใบที่ชายหนุ่มใช้เป็นประจำ “เบียดหน่อยนะ บ้านฉันมีผ้าห่มผืนเดียว” เสียงทุ้มต่ำกล่าวเพียงเท่านั้นก่อนที่คนพูดจะตวัดผ้านวมให้คลุมทั้งร่างของตนเองและคนข้างๆ
แล้วจักรวาลจะเถียงอะไรได้ นอกจากต้องหลับตาลงไปทั้งอย่างนั้น...
พร้อมความรู้สึกแปลกๆในใจที่หาไม่เจอว่าเกิดขึ้นจากไหน...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
-ปิ๊ง ป่อง-
เสียงออดที่หน้าห้องดังขึ้นปลุกชายหนุ่มขึ้นจากนิทรา ร่างกายแข็งแกร่งกำยำขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะรู้สึกถึงไออุ่นจากบริเวณข้างลำตัว และเมื่อหันหน้าไปมองก็พบกับใบหน้าขาวใสที่หลับตาพริ้มอยู่ใกล้กันห่างออกไปแค่ไม่กี่คืบ
กวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆหนึ่งทีก่อนตัดใจลุกออกจากเตียง
ร่างสูงกดอินเตอร์คอมที่ข้างประตูห้องพักเพื่อดูใบหน้าแขกผู้มาเยือน นึกแปลกใจว่าใครช่างกล้าดีมากดออดปลุกกันตั้งแต่เช้าในวันเสาร์แบบนี้ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครชายหนุ่มก็ต้องเปิดประตูออกต้อนรับด้วยความง่วงงุ่น
“หวัดดีพี่วิทย์ สวัสดีครับพี่หมิว” กวินกล่าวกับสองหนุ่มสาวคู่แต่งงานหมาดๆที่หน้าประตูก่อนเดินนำเข้ามาในห้อง
“ไงไอ้วิน เพิ่งตื่นเหรอ” ความจริงถึงไม่ถามใครก็ดูออก ไอ้สภาพเสื้อผ้ายับยู่ยี่หัวเหอกระเซอะกระเซิงแบบนั้นคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
คนถูกถามเสยผมขึ้นลวกๆ “ใช่ ฟันยังไม่ได้แปรงเลยเนี่ย ถือไหม”
กรวิทย์และภรรยาหัวเราะขึ้นพลางส่ายหน้า คนทั้งคู่รู้จักชายหนุ่มดีอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องได้รับการต้อนรับที่มีพิธีรีตองอะไร
“เออ เรื่องของแกเถอะ วันนี้พี่แค่แวะมาขอบคุณเรื่องงานเมื่อคืนน่ะ อ่ะนี่ หมิวเค้าอบขนมมาให้” พายหน้าตาน่าทานในมือหญิงสาวถูกยื่นมาบนโต๊ะรับแขกตัวเตี้ย
“ดีเลย กำลังคิดอยู่ว่าเช้านี้จะกินอะไรดี” ชายหนุ่มหัวเราะน้อยๆพลางหยิบพายตรงหน้าขึ้นมาหมุนดูรอบๆ
“เช้าบ้าอะไร นี่จะบ่ายสองแล้ว” กรวิทย์ยกมือขึ้นดันหัวน้องชายเบาๆ “เมื่อคืนพี่ใช้งานแกหนักมากเหรอวะ ถึงตื่นซะสายโด่งแบบนี้ ขนาดพี่เป็นคนเข้าห้องหอยังตื่นแค่เก้าโมงเช้าเองนะ”
“วิทย์คะ” หญิงสาวกล่าวค้อนผู้เป็นสามีขึ้นด้วยความเขินอาย พร้อมด้วยแรงตีลงมาที่ต้นแขน
“ทำอย่างกับเป็นคนเข้าห้องหอเองงั้นแหละ” หากแต่กรวิทย์ก็ยังไม่วายแอบพึมพำเบาๆกับกวินอย่างล้อเลียน โดยที่ไม่รู้เลยว่าในวินาทีต่อมา ภาพที่เกิดขึ้นจะทำให้เขาต้องตกใจสุดฤทธิ์
-แกรก-
“เช้าแล้วเหรอครับคุณกวิน...” เสียงแหบแห้งของคนเพิ่งตื่นอีกคนดังมาจากที่หน้าประตูห้องนอน
เด็กหนุ่มร่างเล็กที่แสนคุ้นตาในชุดนอนตัวโคร่งของน้องชายเขาเดินขยี้ตางัวเงียออกมาโดยไม่ได้สังเกตเห็นผู้มาใหม่ทั้งสองเลยแม้แต่นิดเดียว
กรวิทย์อ้าปากค้างหันหน้ามองน้องชายทีลูกศิษย์ที
“ไอ้วิน...นี่มันอะไรวะ?”
TBC.
ขอแอบคุยตอนท้ายนิดนึงค่ะ เห็นจากคอมเม้นท์คราวที่แล้วของบางท่านบ่นว่าเลนส์ไวด์ของนิกรราคาสูงลิบ เลยอยากจะมาแนะนำตัวที่ใช้อยู่ คือถ้าไม่ติดว่าต้องใช้ของค่าย ของนอกค่ายก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยนะคะ ตอนนี้เราใช้ sigma 10-20 อยู่สำหรับระยะกว้าง ราคาสวย คุณภาพดี เอาไปลองดูค่ะ รับรองว่าคุ้ม
http://www.digital2home.com/view-product.php?product_id=33204