สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน
วันนี้ก่อนจะไปติดตามตอนที่ 31 ต่อกัน มีเรื่องอยากให้หยุดอ่านตรงนี้ก่อนสักเล็กน้อย
เนื่องจากคนเีขียนได้อ่านคอมเม้นท์ของตอนที่แล้ว เห็นผู้อ่านบางท่านดูเหมือนจะสับสนกับตอนที่เอามาลงหลังจากที่หายไปนานเกือบเดือนค่ะ มีความรู้สึกว่าบางท่านอาจจะไม่รู้ว่าหลังจากกลับมา เราเอามาลงไปแล้วสองบท คือบทที่ 29 และ 30 ค่ะ
ดูเหมือนว่าผู้อ่านบางท่านจะอ่านข้ามตอนใดตอนหนึ่งไป เลยเกิดความสับสนในเนื้อเรื่องอยู่บ้าง
วันนี้เลยอยากจะบอกว่าให้ลองกลับไปเช็คดูในตอนที่ 29 และ 30 ก่อนนะคะว่าอ่านครบหรือยัง
ตอนที่ 29 : ตอนที่อยู่นิวยอร์ก
ตอนที่ 30 : ตอนที่กลับมาแล้ว
ต้องขอโทษด้วยในการมาอัพที่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ผู้อ่านงงกัน แหะๆ
*น้อมรับความผิดแต่โดยดี
เอาล่ะ ถ้ามั่นใจแล้วว่าอ่านครบถ้วนเรียบร้อย ตอนนี้ก็เชิญไปอ่านตอนที่ 31 กันเลยค่ะ =)
ปล.ในบทที่แล้วมีท่านผู้อ่านพูดถึงเรื่องรรพนามที่ใช้เรียกแทนตัวเองของพี่วินและน้องปอม คนเขียนเองรู้สึกว่ามันตรงใจมาก เพราะคิดมาสักพักนึงแล้วว่าจะเอายังไงดีกับการเรียกกันและกันของคู่นี้ เพราะรู้สึกเหมือนกันว่ามันดูห่างเหิ๊นห่างเหิน 5555 สำหรับในตอนนี้เลยตัดสินใจเขียนเกี่ยวกับประเด็นนี้แทรกลงไปแบบเนียนๆ(เนียนหรือเปล่าหว่า?) ต้องขอขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นั้นเป็นพิเศษเลยค่ะ
*มีการแก้ไขเนื้อหาบางส่วนนะคะ สงสัยจะยังมือไม่ถึงกับเรื่องหนักๆอย่างนี้จริงๆ เลยคิดว่าเอาส่วนที่เป็นรายละเอียดออกไปดีกว่า หลังจากนี้จะพยายามกลับไปพัฒนาฝีมือค่ะ* ขอขอบคุณทุกคำติชม 
----------
หัวใจหลังเลนส์
#31
แสงแดดยามเช้าที่ส่องลอดรอยแง้มของผ้าม่านเข้ามากระทบใบหน้าปลุกให้เด็กหนุ่มตื่นขึ้นจากนิทรา สัมผัสแรกที่รู้สึกได้บริเวณช่วงเอวคือน้ำหนักของแขนยาวๆที่พาดทับลงมาค้างไว้อย่างนั้นตั้งแต่ก่อนเข้านอน
เมื่อคืนเขานั่งเล่นอยู่ที่ห้องของกวินโดยไม่ได้สนใจเวลา รู้สึกตัวอีกทีก็ปาเข้าไปดึกดื่นเสียแล้ว เรื่องจึงจบลงด้วยการที่เขาต้องขอค้างที่นี่ ซึ่งแน่นอนว่ากวินไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว
คำพูดของเมษายังคงวนไปเวียนมาอยู่ในใจ เชื่อว่าคนที่นอนกอดเขาอยู่ตอนนี้ไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นแน่ๆ แต่อย่างไรก็ตาม มีคนพูดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมา ต่อให้ไม่ใช่เรื่องจริง เขาก็อดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้อยู่ดี
คิดถึงตรงนี้เด็กหนุ่มก็เบียดตัวเข้าหาร่างใหญ่หนาของคนที่ยังคงนอนหลับอยู่ข้างกาย ก่อนจะวาดแขนกอดตอบแน่นๆไปหนึ่งทีระบายความอึดอัดในใจที่ไม่สามารถกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้
หากแต่ค้างอยู่ท่านั้นได้ไม่นาน จักรวาลก็ผละตัวออกแล้วลุกขึ้นจากเตียงด้วยกลัวว่าหากกวินตื่นขึ้นมาพอดี เดี๋ยวเขาจะต้องมานอนเขินเสียเชิงชายรับตะวันอีกจนได้
.
.
.
.
“โอ้โห น่ากินมาก ไปซื้อมาเหรอปอม?" แทนที่จะเป็นการกล่าวอรุณสวัสดิ์ กวินกลับเอ่ยประโยคที่ว่านี้ออกมาแทนเมื่อเดินออกจากห้องนอนมาเห็นอาหารเช้าหน้าตาน่าทานสองที่วางรอเขาอยู่แล้ว ก็ว่าอยู่ว่ากลิ่นหอมฉุยที่โชยเข้ามาปลุกเขาถึงห้องนอนนี้มันมาจากไหน
คนถูกถามเดินออกมาจากบริเวณห้องครัวพร้อมผ้ากันเปื้อนและรอยยิ้มรับอรุณ เด็กหนุ่มสั่นศีรษะแรงๆอย่างภาคภูมิใจ "ซื้อมาที่ไหน ดูถูกกันเกินไปแล้วพี่วิน นี่ทำเองทั้งนั้น...”
ได้ยินดังนั้นคนฟังก็ต้องอมยิ้มทำสีหน้าล้อเลียน "อ๋อ...จะบอกว่าตัวเองมีเสน่ห์ปลายจวักว่างั้น?”
“โห พูดอย่างนี้ไม่ต้องมากินเลย" เด็กหนุ่มพูดขู่พลางทำท่าจะดึงจานมาไว้ฟากเดียวกันทั้งสองจานโดยที่มีมือของกวินมาดึงไว้ก่อน
“กินสิกิน ใจร้ายจริงนะพ่อคุณ" ฝ่ามือหนาตีลงไปกลางหน้าผากมนเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว "งั้นเดี๋ยวขอไปล้างหน้าแปรงฟันก่อน"
จักรวาลมองตามแผ่นหลังที่เดินหายเข้าห้องน้ำไปสลับกับอาหารฝีมือตัวเองบนโต๊ะ ปกติไม่ได้มีโอกาสทำอาหารให้ใครกินบ่อยนักหรอก เรื่องรสชาตินี่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอร่อยไหม แต่ความตั้งใจ วันนี้ต้องบอกว่าสุดฝีมือ...
เพียงไม่นานช่างภาพคนดังในชุดนอนตัวเดิม แต่หน้าตาสดใสเกลี้ยงเกลาขึ้นกว่าเมื่อครู่ก็เดินออกมาในสภาพพร้อมรับประทาน
ทันทีที่ตักคำแรกเข้าปากชายหนุ่มก็อุทานเป็นกำลังใจให้คนทำเสียโอเวอร์ "อร่อยมาก ทำเก่งอย่างนี้ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก จะได้เอามาทำให้กินทุกวัน"
“เกินไปครับพี่วิน ไม่ได้อร่อยขนาดนั้นซะหน่อย"
“ปอมทำอะไรฉันก็ว่าอร่อยหมดแหละ เอายางมาให้กินยังอร่อยได้เลยเชื่อไหม"
“อ้าว...ตกลงมันดีหรือไม่ดีเนี่ย"
“ฮ่าๆๆ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ อร่อยจริงๆ ไม่ได้ยอเล่น จะมาอยู่ด้วยกันเลยไหม ฉันจะได้กินอาหารฝีมือนายทุกวัน"
นั่น...
เนียนหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าคนอย่างกวินหาจังหวะหยอดได้ทุกสิบนาทีสิน่า...
“พี่วินครับ ส่งซอสแม็กกี้ให้ผมหน่อยได้ไหมครับ" จักรวาลกล่าวขอพลางพยักเพยิดไปยังขวดน้ำจิ้มที่อยู่ใกล้มือชายหนุุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามมากกว่า
ว่าแต่...
ประโยคข้างต้นออกจะฟังดูปะแล่มไปสักหน่อยไหมนะสำหรับคนเป็นแฟนกัน?...
ขวดที่ว่าถูกหยิบยื่นส่งถึงมือผู้ร้องขอเรียบร้อย ในขณะที่คนส่งให้ก็เปิดประเด็นใหม่ของการสนทนาขึ้นมา "นี่...ทำไมนายถึงพูดจาสุภาพกับฉันจัง...คือมัน...ฟังดูห่างเหินนะ ว่าไหม?”
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ "สุภาพยังไงเหรอครับ?”
“ก็แบบนี้แหละ ลง 'ครับ' ทุกคำ เรียกแทนตัวเองว่า 'ผม' อีกต่างหาก คำพวกนั้นเขาเอาไว้ใช้กับ 'คนอื่น' นะรู้หรือเปล่า" กวินพูดน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ก่อนจะลดระดับความดังลงบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่ถึงกระนั้นคนตรงหน้ากลับได้ยินมันชัดเจนทุกถ้อยทุกคำ "...จูบกันไปก็ตั้งหลายที ยังจะมา 'ผม' มา 'ครับ' อยู่อีก...”
ได้ยินแบบนั้นเข้าไปเด็กหนุ่มก็ทำตาโต "พี่ิวิน!..” พูดมาได้ยังไงไม่อายปาก จูบเจิบอะไรกัน อย่ามาพูดต่อหน้าสิฟะ...คนฟังมันทำหน้าไม่ถูก "...แต่...เวลาเด็กพูดกับผู้ใหญ่ ก็ต้องพูดสุภาพสิ...”
“เฮ้ๆๆ น้อยๆหน่อยเจ้าหนู อย่ามาพูดให้ฉันดูแก่ไปมากกว่านี้นะ ห่างกันแค่ห้าปีเอง ไม่ใช่รุ่นพ่อรุ่นลูกซะหน่อย"
“จริงๆพี่ก็พูดจาห่างเหินกับผมเหมือนกันแหละ" คราวนี้เด็กหนุ่มต่อปากต่อคำอย่างท้าทาย "เดี๋ยวก็ 'ฉัน' เดี๋ยวก็ 'นาย' ผมเป็นลูกไล่พี่เหรอครับ"
กวินเดาะลิ้นอย่างขัดใจ "ใครว่า...ถ้านายเป็นลูกไล่ฉันนะ มันจะต้องไม่ใช่ 'ฉัน' กับ 'นาย' หรอก มันต้องเป็น 'กู' กับ 'มึง' แล้ว" ถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็เหยียดกรุ้มกริ่มออกอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนเติมต่อท้ายประโยคกระเซ้าคนตรงหน้าเล่นไปอีกหนึ่งดอก "อีกอย่าง...ใครที่ไหนเขาจะมาจูบลูกไล่ตัวเองกัน...นายน่ะ...สเปเชียลกว่านั้นเยอะ...”
“พี่วินนนนนนนนนนนนนนน!” เด็กหนุ่มร้องตะโกนลั่นห้องกับคำต้องห้ามที่ได้ยิน "หยุดพูดถึงเรื่องพวกนั้นสักทีสิ! พี่ไม่อายแต่ผมอายนะเว้ยยยยยยยยย"
“นั่นไงๆ ไหนบอกเองว่าพูดกับผู้ใหญ่ต้องสุภาพ มาวะมาเว้ยอะไรกัน เดี๋ยวจับตีปากเลยดีไหม"
“ก็พี่อ่ะ...”
“อะไรล่ะ"
“พูดอยู่ได้ จูบๆๆๆๆเนี่ย พูดทำไมเล่า"
“ก็จะพูด ทำไมล่ะ จูบๆๆๆๆ ไม่พูดอย่างเดียวนะ จะทำด้วย เอาเลยไหม จะได้จูบเลย"
“เห้ย! พอได้แล้ว ไม่จูบ ไม่รู้ จะกินข้าว"
“จะจูบ"
“อ้าว เรื่องมันพลิกมาเป็นแแบบนี้ได้ไงวะเนี่ย"
“พูดวะอีกแล้ว มาเลยๆ"
บทต่อปากต่อคำทีเล่นทีจริงของคนทั้งคู่ดังก้องไปทั่วห้องอย่างนั้นอยู่นานสองนาน ไม่รู้ทำไม...แต่จักรวาลดันรู้สึกว่ามันเป็นการเถียงที่สนุกที่สุดตั้งแต่เคยเถียงอะไรกับใครสักคนมา
สุดท้ายเรื่องก็มาจบอยู่ที่กวินต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เจ้าหนูขี้อายไปอย่างประนีประนอม
ย้อนกลับมาที่เรื่องสรรพนามแทนกันและกันของคู่รักข้าวใหม่ปลามัน...
“ถ้าไม่อยากให้ผมเรียกแทนตัวเองว่า 'ผม' ถ้างั้นพี่อยากให้ผมเรียกยังไง...” เด็กหนุ่มถามออกมาเมื่อพายุลูกเล็กๆเมื่อครู่สงบลง
คนถูกถามหลุบตามองพื้นโต๊ะอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ "ความจริงถ้านายพอใจจะเรียกแบบนี้ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าถามฉัน...เรียกชื่อตัวเองแทนได้ฉันก็จะกระชุ่มกระชวยมาก...”
ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็ทำหน้าแหย "กระชุ่มกระชวยอะไรของพี่ ศัพท์แบบนั้นมันเอาไว้เวลาลุงแก่ๆหื่นๆเขาพูดถึงสาวเอ๊าะๆไม่ใช่หรือไงครับ?” แต่ความจริงเรียกแทนตัวเองว่า 'ปอม' ก็ฟังดูโอเคสำหรับเขานะ เพราะอยู่กับแม่เขาก็เรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นนี่แหละ
“อ้าว...ก็มันฟังดูน่ารักดีนี่นา ฉันชอบ...ไม่สิ...พี่ชอบ...” ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อน ไม่ได้โอตาคุนะ แต่รู้สึกว่ามันน่ารักจริงๆเวลาเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อ แต่อย่างเขานี่คงไม่ผ่าน ให้มาเรียกแทนตัวเองว่าวินอย่างนู้นวินอย่างนี้ เดี๋ยวคนรอบข้างจะได้อ้วกเอา สรรพนามแบบนี้เหมาะกับคนแบบเด็กหนุ่มตรงหน้าเขานี่แหละ
“ก็ได้ครับ เดี๋ยว 'ปอม' จะเรียกแทนตัวเองว่า 'ปอม' ทุกวันเลย กระชุ่มกระชวยให้พอเลยนะพี่" พูดจบเด็กหนุ่มก็หัวเราะร่วนกับคำแซวของตัวเอง
“ดีครับน้องปอม 'พี่วิน' ก็จะไม่ให้น้องปอมรู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกไล่อีกแล้วครับ"
เสียงหัวเราะที่ดังไปทั่วบริเวณสร้างบรรยากาศดีๆให้เช้าวันนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อารมณ์ขุ่นมัวจากคำพูดของเมษาเองก็ดูเหมือนว่ากำลังจะถูกจักรวาลลืมไปแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะประเด็นต่อไปที่กวินดันเปิดขึ้นมาผิดจังหวะไปกวนมันกลับขึ้นมาเสียก่อน...
“เอ้อปอม ฉัน...เอ้ย...พี่มีเรื่องจะถามหน่อย" ชายหนุ่มกล่าวขึ้น น้ำเสียงฟังดูเป็นงานเป็นการขึ้นเล็กน้อย "คือปอมยังอยากทำงานที่บริษัทพี่อยู่ไหม ถึงเปิดเทอมแล้วแต่จะมาทำพาร์ทไทม์ก็ได้นะ มันมียังบางงานที่อยากให้ปอมลองทำน่ะ"
คนถูกถามทำตาโตขึ้นด้วยความดีอกดีใจ หากแต่เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ความรู้สึกก็ต้องหดกลับลงเท่าเดิม "ผม..เอ่อ...ปอม...ต้องทำที่ร้านพี่เมษน่ะครับ สงสัยจะไม่ได้...”
ชื่อที่ไม่อยากได้ยินที่สุดจากคนตรงหน้าทำให้กวินแอบหน้าตึงขึ้นมาดื้อๆ ช่างภาพหนุ่มจึงลองแย็บถามออกมา "ร้านเขาขาดคนขนาดนั้นเลยเหรอ?"
จักรวาลส่ายหน้าเบาๆ "ก็ไม่หรอกครับ แต่ว่า...ปอม...เกรงใจพี่เมษน่ะสิ" ชื่อ 'ปอม' ยังคงไม่ชินปากเท่าไหร่สำหรับตอนนี้ แต่เดี๋ยวเรียกไปเรื่อยๆคาดว่าคงจะคุ้นไปเอง
“ทำไมล่ะ?”
“ก็ตอนที่หางานทำใหม่ๆ หาไม่ได้เลย ตอนนั้นเกือบไม่มีเงินใช้ไปพักนึง แต่ก็ได้พี่เมษนี่แหละช่วยไว้...ตอนนี้ ถ้าจะทิ้งไปทำงานอื่นมันก็รู้สึกยังไงไม่รู้น่ะครับ...” เด็กหนุ่มกล่าวพลางหลุบตาลงต่ำ
“ไม่มั้ง...คิดมากไปหรือเปล่า คุณเมษาเขาคงไม่คิดอะไรหรอก"
จักรวาลไม่อยากจะบอก ว่าจริงๆมันใช่แค่เรื่องที่ว่าเรื่องเดียวเสียเมื่อไหร่ บทสนทนาที่ร้านอาหารในวันเกิดของเมษาครั้งนั้นวกกลับเข้ามาทันทีที่นึกได้ว่าหากเขามาทำที่บริษัทกวิน เขาคงต้องลาออกจากร้านของรุ่นพี่ที่เคารพ และหากเป็นอย่างนั้น...เมษาคงได้คิดว่าสาเหตุเป็นเพราะเรื่องวันนั้นแน่ๆ ถึงอย่างไรเขาก็ยังไม่อยากทำลายสัมพันธภาพอันดีนี้ลง
“ไม่รู้สิ ถ้ายังไงเรื่องนี้ผม...ฮื้อออออ...ปอมขอลองเอาไปคิดดูก่อนได้หรือเปล่า"
ช่างภาพหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ไม่ว่าอย่างไรเมษาก็คงเป็นรุ่นพี่ที่เด็กหนุ่มแคร์จริงๆนั่นแหละ
แต่ไม่เป็นไร...
เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว...เขาจะต้องไม่เก็บเรื่องแค่นี้มาใส่ใจ...
“เอาเถอะ ปอมก็ลองไปคิดดูดีๆแล้วกัน...”
“ครับ...แล้วจะลองคิดดูอีกที...”
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐