*สำหรับตอนที่แล้วมีการแก้ไขเนื้อหาบางส่วนนะคะ แต่หลักใหญ่ใจความยังเหมือนเดิม สงสัยจะยังมือไม่ถึงกับเรื่องหนักๆอย่างนี้จริงๆ เลยคิดว่าเอาส่วนที่เป็นรายละเอียดออกไปดีกว่า หลังจากนี้จะพยายามกลับไปพัฒนาฝีมือค่ะ* ขอขอบคุณทุกคำติชม 
----------
หัวใจหลังเลนส์
#32
-คนมีความรัก มักจะดูเด็กลงไปนิดนึง
คนมีความรัก มักจะไม่ทำหน้าตาบึ้งตึง
คนมีความรัก มักจะชอบทำแววตาหวานซึ้ง
อย่างที่ฉันเป็นตอนนี้ อย่าถือสาแค่อยากขอนิดนึง-
บทเพลงทำนองสดใสติดหูที่ได้ยินคลื่นวิทยุเปิดกันอยู่บ่อยครั้งดังแว่วมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของลูกน้องสักคนที่หน้าห้อง ซึ่งความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในเมื่อประตูและกำแพงที่กั้นห้องทำงานของเขาออกจากบริเวณด้านนอกก็ไม่ได้ใช้วัสดุหนาทึบ แต่ไอ้ที่แปลก...เห็นจะเป็นปฏิกิริยาของเจ้าของห้องเสียมากกว่า
เพลงรักกุ๊กกิ๊กที่ถูกขับร้องด้วยเสียงผู้หญิงน่ารักน่าฟังไม่ใช่แนวเพลงที่ถูกจริตกับกวินนักในเวลาปกติ แต่สำหรับช่วงนี้...มันดูจะรื่นหูเป็นพิเศษ
เนื้อหาของเพลงช่างบังเอิญตรงกับตัวเขาในตอนนี้เสียเหลือเกิน
ความรัก...มักทำให้คนดูเด็ก
ความรัก...มักไม่ทำให้คนหน้าบึ้ง
ความรัก...มักทำให้ตาหวานซึ้ง
ทุกสิ่งอย่างที่ว่ามานี้...กำลังเกิดกับเขาครบถ้วนทุกประการ
-ครืด-
“อะไรเนี่ยพี่ เสียฮัมเพลงดังไปถึงข้างนอกเลย" สุ้มเสียงกวนประสาทที่คุ้นเคยดังขึ้นจังหวะเดียวกับที่ประตูบานเลื่อนสีดำถูกเปิดออก ร่างขาวอวบของลูกน้องตัวดีเดินผ่านกรอบประตูเข้ามาพร้อมสีหน้าล้อเลียน เอกสารงานส่งนิตยสารในมือดูจะกลายเป็นเหตุผลรองไปเลยเมื่อเข้ามาพบกับหน้าบานๆของเจ้านายตัวเอง "อารมณ์ดีจริงนะช่วงนี้ น้องปอมอีกล่ะสิพี่"
ทันทีที่ได้ยินชื่อที่คิดถึงอยู่ในใจตลอดเวลากวินก็ยิ้มกว้างออกมาโดยอัตโนมัติ
“เออสิ...” เสียงทุ้มต่ำตอบรับโดยไม่มีการปิดบังใดๆทั้งสิ้น ติดจะดูภูมิใจเสียด้วยซ้ำ
“ว่าจะถามตั้งแต่หลังกลับจากนิวยอร์คแล้ว...เป็นแฟนกันแล้วเหรอพี่? เห็นยิ้มปากแทบฉีกถึงหูทุกวัน" ไม่เพียงเปิดบทสนทนาเท่านั้น หากแต่กราฟฟิกดีไซเนอร์หนุ่มยังถือโอกาสปักหลักลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเจ้านายตัวเองแบบชนิดที่เรียกว่าเนียนสนิท
คนถูกถามพยักหน้าทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาทำเหนียมไปเหนียมมาให้มากความ "ใช่ คบกันแล้วอย่างเป็นทางการ" พูดจบชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง
ได้ยินดังนั้นเต้ก็ตบเข่าดังฉาด ยิ้มออกมากว้างไม่แพ้เจ้านายตัวเอง “โห เจ๋งจริงเว้ยลูกพี่กู...พี่ขอน้องเขายังไงอ่ะ? สอนบ้างดิ ผมจะเอาไปใช้มั่ง"
กวินมองหน้าลูกน้องคนสนิทของตนก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ “สอนได้ที่ไหนวะ ของอย่างนี้มันต้องอยู่ที่ความรู้สึกสิ กูร้สึกแบบไหนตอนนั้นกูก็พูดไปแบบนั้นแหละ" ชายภาพคนดังกล่าวเสียงจริงจัง ซึ่งขัดกับหน้าตามีความสุขประหนึ่งถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเสียเหลือเกิน
แม้จะเริ่มคบกันในฐานะคนรักมาได้อาทิตย์กว่าๆแล้ว แต่ความรู้สึกที่จูบกันใต้ต้นโอ๊คในวันนั้นยังคงสดใหม่อยู่ทุกนาทีที่นึกถึง ดังนั้นไม่แปลกอะไรหากเขาจะทำตัวเหมือนเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในประเทศอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้...
“แหม...น้ำเน่าขึ้นนะเนี่ยพี่" เต้เอ่ยปากแซวพร้อมกวาดสายตาขี้เล่นสำรวจไปทั่วสีหน้าท่าทางเจ้านายของตนอย่างนึกสนุกอยู่ในใจ "อย่าหาว่าผมเสือกเลยนะ...แต่อยากรู้อ่ะ ว่าน้องเขาตอบยังไง ผมนึกภาพน้องปอมตอนพูดอะไรแบบนั้นไม่ออกเลยว่ะ? น้องแม่งดูปากแข๊งปากแข็ง พี่แม่งเก๋าจริง ง้างปากน้องได้เนี่ย"
คำถามที่เพิ่งได้รับมาจากคนตรงหน้าเรียกให้ช่างภาพหนุ่มต้องหยุดคิดถึงคำตอบ...
และจากตอนแรกที่เป็นการถามตอบสนุกๆ กวินก็กลับต้องมานั่งคิดอย่างจริงจังมากขึ้น...
วันนั้นเหรอ...
จำได้ว่าพอเขาเอ่ยขอออกไป...เจ้าหนูของเขาก็ส่งยิ้มกลับมาให้...
แล้วจากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็จูบกัน...
โดยไม่มีคำพูดใดๆต่อ...
“อืม...” เสียงทุ้มต่ำครางฮึมฮัมในลำคออย่างครุ่นคิดแผ่วเบา "...เขาก็ไม่ได้พูดอะไรว่ะ...”
คนฟังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับคำตอบที่ได้รับ "ไม่ได้ตอบอะไรเลยเหรอ...?”
“อ่า...ใช่...” ชายหนุ่มทบทวนเหตุการณ์แสนหวานในวันนั้นดูอีกทีเพื่อให้แน่ใจเขาไม่ได้จำอะไรคลาดเคลื่อนไป
ลูกน้องคนสนิทนิ่งไปครู่กับคำตอบที่ได้รับ พยายามคิดตามเป็นภาพ "...งั้นเหรอ...”
กวินมองปฏิกิริยานั้นอย่างมีคำถาม “เออ แล้วทำไมวะ หน้าตามึงดูสงสัย...”
เต้เหลือบจ้องสบดวงตาคมดุของเจ้านาย ก่อนจะยิ้มแห้งๆเมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่าเพิ่งจะแสดงท่าทีที่ดูเสียมารยาทออกไป "เปล่าๆพี่ ไม่สงสัยเว้ย ผมดีใจด้วยที่พวกพี่สองคนคบกันสักที แม่งกว่าจะคบกันได้ผมนี่ลุ้นขี้แทบแตก ฮ่าๆ"
“เวอร์ไปไอ้เต้ แล้วก็นะ...กูจะบอกอะไรให้" แม้ลูกน้องของเขาจะไม่ยอมถามอะไรต่อ แต่กวินก็พอจะเดาได้ลางๆว่าความสงสัยของไอ้ตัวกวนส้นเท้านี่คืออะไร "บางทีคนจะคบกัน แม่งก็ไม่ต้องมีขอบเขตอะไรชัดเจนขนาดนั้นก็ได้เว้ย เอาเป็นว่ากูรู้จากการกระทำก็แล้วกัน...กูรู้ว่าเขาตอบตกลงกูแล้ว...”
ใช่...เขารู้ว่าจักรวาลตอบตกลงเขาแล้ว...
ก็ถ้าพฤติกรรมมันชัดเจนขึ้นขนาดนั้น ยังจะต้องมีคำพูดใดๆมายืนยันอีก...
เต้เดินหอบกองรูปถ่ายออกไป ทิ้งให้ห้องทั้งห้องกลับมาเหลือเพียงเขาคนเดียวอีกครั้ง
ไหนๆก็พูดถึงแล้ว...โทรหาสักหน่อยดีกว่า
ช่างภาพหนุ่มเหลือบตามองนาฬิกาที่ข้างฝาผนัง เวลานี้น่าจะถึงบ้านแล้วมั้ง...
คิดได้ดังนั้นกวินก็คว้าโทรศัพท์ข้างกายขึ้นมาต่อสายหาคนที่อยู่ในใจอย่างอารมณ์ดี
เสียงรอสายดังเป็นจังหวะยาวๆอย่างไม่น่าฟังมาจากเครื่องมือสื่อสารเคลื่อนที่ที่อยู่ในอุ้งมือใหญ่ ชายหนุ่มส่งเสียงขัดใจในลำคอสองสามทีก่อนจำต้องกดวางสายไป แล้วก็ต่อใหม่อีกครั้ง...แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม คือสายว่างแต่ไม่มีคนรับ
ช่วงนี้เจ้าหนูนั่นยุ่งๆหรืออะไรกันนะ ไม่ได้คุยไม่ได้เจอกันมาสองวันแล้ว ได้อ่านแต่ข้อความที่ถูกส่งมาว่าไม่ว่างบ้างล่ะ ไม่สะดวกคุยบ้างล่ะ...
แต่ก็คงเป็นปกติของเด็กคณะสถาปัตย์กระมัง จำได้ว่าตอนพี่ชายเขาเรียนก็นั่งเผาโมเดลกันทั้งวันทั้งคืนแบบนี้เหมือนกัน...
...แต่...คิดถึงจัง...
...ไปช่วยทำดีไหมวะ...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เด็กหนุ่มนั่งคู้ตัวอยู่ที่ริมหน้าต่างในห้องพักของตัวเองอย่างนี้มานานร่วมชั่วโมง นัยน์ตาว่างเปล่าทอดมองออกไปด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย
โทรศัพท์มือถือข้างกายที่สั่นขึ้นสองรอบเมื่อครู่ทำให้เขายิ่งรู้สึกสับสนและกดดัน โดยไม่ต้องหยิบขึ้นมาดูก็พอจะเดาได้ว่าคนโทรมาคือใคร
ไม่ใช่ไม่อยากรับ...
กลับกัน...
เขาอยากคุยกับกวินมากอย่างที่ไม่เคยมากเท่านี้มาก่อน...
แต่เขากลัว...
ตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนคนติดเกาะ ไม่รู้ว่าต้องว่ายน้ำหนีไปทางทิศไหนถึงจะเจอฝั่ง จะเดินหน้าก็เดินไม่ได้ ถอยหลังก็ยิ่งแย่ สุดท้ายแล้วเขาจึงทำได้แค่ยืนเฉยๆแล้วจมอยู่กับความคิดหาทางออกให้ตัวเอง
เขากลัวจนไม่สามารถเริ่มทำอะไรได้เลย...
หลังจากเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อน เมษาก็โทรเช็คเขาทุกวันเช้า กลางวัน เย็น หรืออย่างเมื่อวานก็เพิ่งมาหาถึงคณะ แล้วก็กำชับไม่ได้ขาดว่าห้ามยุ่งกับกวิน ห้ามบอก ห้ามคุย ห้ามโทร ห้ามเจอ ห้ามทุกอย่าง ไม่เช่นนั้นเอกสารที่เห็นเมื่อวันก่อนจะไปอยู่ในมือเจ้าหน้าที่ทันที
เขาโกรธ...
เขาโกรธเมษาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...
รู้ดีว่ารุ่นพี่คนนี้เป็นห่วงเขาแค่ไหน แต่ยังไงเขาก็ยังโกรธ...
คิดๆไปก็ตลกดี ตั้งแต่ได้เจอกับกวิน ก็ดูเหมือนว่าชีวิตเขาได้เจออะไรใหม่ๆมากมาย ทั้งในแง่ดีและแง่ร้าย ทั้งมีความสุขจนตัวลอย ทั้งทุกข์จนไม่อยากตื่นมาเจอความจริง
มองไปข้างหน้าแล้วก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายเรื่องนี้จะออกมาในรูปไหน แล้วก็ไม่แน่ใจด้วยว่าการอยู่เฉยๆไม่เยสไม่โนแบบนี้มันจะทำให้อะไรเกิดขึ้นบ้าง
ไม่ได้เชื่อ...ไม่เคยคิดจะเชื่อว่าพี่วินของเขาทำเรื่องไม่ดีแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้คิดด้วยว่าพี่เมษจะโกหก ปัญหาคงอยู่ที่เอกสารพวกนั้น มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ๆ...แต่อย่างไรก็ตาม...
เขาก็ไม่กล้าเสี่ยง...
และในระหว่างที่เด็กหนุ่มปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปกับการหาทางออกที่ดูจะริบหรี่เหลือเกินอยู่นั้นเอง เสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น เรียกให้เขาต้องหลุดออกจากภวังค์
“ปอม...อยู่หรือเปล่า พี่เอง...เปิดประตูให้หน่อยสิ" เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเอ่ยเรียกคนในห้อง ถุงข้าวต้มปลาเจ้าอร่อยที่แวะซื้อก่อนเข้ามาถูกถืออยู่ในอุ้งมือใหญ่ ก็ในเมื่อโทรมาไม่รับ...เขาบุกมาเซอร์ไพรซ์เองถึงที่ก็ดูเข้าท่าอยู่เหมือนกัน
เด็กหนุ่มเจ้าของห้องสะดุ้งสุดตัวกับเสียงอันคุ้นเคยที่ได้ยิน...แววตาตื่นตระหนกขึ้นมาโดยฉับพลัน
...นี่คือสิ่งที่เขากลัว...
เขากลัวการต้องเผชิญหน้ากับกวินในเวลานี้เหลือเกิน...
เวลาที่เขายังไม่รู้ว่าควรเดินไปทางไหนดี...
ทำยังไงดีล่ะทีนี้...
“หรือยังไม่กลับวะ...ฟ้ามืดแล้วนะเนี่ย...” แว่วเสียงพึมพำมาจากหน้าประตูห้อง ตามด้วยการเคาะลงบนบานประตูไม้อีกรอบ "ปอม...อยู่ไหม?”
เด็กหนุ่มขบริมฝีปากล่างด้วยความกดดัน...
และในอีกไม่ถึงนาทีให้หลังโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ไม่ไกลนักก็สั่นขึ้นมาอีกรอบ โชคดีที่เขาปิดเสียงมันไว้ คนข้างนอกคงไม่ได้ยิน...
แน่นอนว่าบนหน้าจอปรากฏชื่อที่คุ้นเคย...
เด็กหนุ่มปล่อยให้มันสั่นอยู่อย่างนั้นด้วยความลังเลใจ ถ้าหากเขารับ...จะเกิดอะไรขึ้น แล้วถ้าไม่รับ...จะเกิดอะไรขึ้น...
แล้วสุดท้ายเจ้าเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กก็หยุดเคลื่อนไหวลง และมีข้อความถูกส่งเข้ามาแทนในเวลาต่อมา...
-อยู่ไหนแล้ว
พี่รออยู่ที่หน้าห้องปอมนะ
คิดถึง-
รออยู่ที่หน้าห้อง...
...เหลือทางเลือกไหนให้เขาอีกบ้างไหม?...
...พอจะมีทางอื่นอีกหรือเปล่าที่ทำให้เขาไม่ต้องเจอหน้ากวินในตอนนี้?...
...เขาไม่พร้อม...
หากแต่จนแล้วจนรอด เมื่อเด็กหนุ่มส่องผ่านตาแมวไปสำรวจที่บริเวณหน้าห้อง ก็ต้องพบว่าช่างภาพคนดังทำอย่างที่ว่าไว้ในเมสเสจจริงๆ
และเขาปล่อยให้กวินรออยู่แบบนั้นไม่ได้...
.
.
.
.
“พี่วิน...” เสียงเรียกแผ่วเบาที่ดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องที่ถูกเปิดออกจากด้านในทำให้กวินที่ยืนเช็คอีเมล์ในมือถือฆ่าเวลาไปเรื่อยเปื่อยต้องสะดุ้งขึ้นน้อยๆ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างออกมาเมื่อพบว่าเด็กหนุ่มที่เขาต้องการเจอที่แท้ก็อยู่ในห้อง..
“อ้าว..พี่นึกว่าปอมยังไม่กลับซะอีก ไม่ได้ยินเสียงเคาะหรือไง" กวินกล่าวทักทายไปแบบนั้นขณะเดินตามเจ้าของห้องเข้าไปภายใน ฝ่ามือหนาลูบศีรษะทุยตรงหน้าอย่างนึกเอ็นดู
และนั่นก็ยิ่งทำให้จักรวาลต้องเกร็งเนื้อเกร็งตัวขึ้นมาอีกครั้ง...
“อืม...ผมหลับอยู่น่ะครับ..” เด็กหนุ่มเลือกที่จะตอบออกไปแบบนั้น แล้วค่อยๆขยับตัวให้พ้นสัมผัสก่อนที่จะควบคุมตัวเองไม่ได้จนเผลอแสดงท่าทางอะไรออกมาเสียก่อน
กวินนั่งลงบนพื้นห้อง แล้วกล่าวติงในประโยคของคนรัก “ผมอีกแล้ว ไหนบอกจะเรียกตัวเองว่าปอมไง"
คนถูกท้วงส่งยิ้มจางๆให้อย่างเหนื่อยอ่อน "ลืมครับ ขอโทษที...ว่าแต่พี่วินมาหาปอมวันนี้ มีอะไรหรือเปล่า...”
เมื่อได้รับคำถามมาแบบนั้น ถุงข้าวต้มปลาก็ถูกส่งมาตรงหน้า "ซื้อนี่มาฝาก...แล้วก็ว่าจะมาช่วยตัดโมเดลด้วย ช่วงนี้งานเริ่มเยอะแล้วใช่ไหมล่ะถึงไม่ค่อยว่าง ให้พี่ช่วยนะ...”
ได้ยินอย่างนั้นเข้าไปเด็กหนุ่มก็ต้องสะอึก...
“ว่าแต่ทำไมตาดูบวมๆล่ะปอม...” กวินตั้งคำถามขึ้นก่อนจะเอื้อมมือมาช้อนคางเด็กหนุ่มหมุนไปหมุนมาสำรวจดวงตาที่ดูจะโปนกว่าปกติ...อย่างกับ...
คนร้องไห้...
เพียงเท่านั้น จักรวาลก็รีบดึงใบหน้าตัวเองออกจะฝ่ามือใหญ่ "ปอมไม่ค่อยได้นอนครับช่วงนี้ งานเยอะมากอย่างที่พี่ว่านั่นแหละ"
“...งั้นเหรอ...” กวินรับคำเบาๆ หากแต่คิ้วเข้มกลับค่อยๆขมวดลงเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีที่วันนี้ดูจะประหลาดไปของคนรักตัวเอง "...ไม่มีอะไรใช่ไหมปอม...?....ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะ?”
สุ้มเสียงที่ถามออกมาอย่างอ่อนโยนทำเอาเด็กหนุ่มแทบจะหยุดหายใจไปตรงนั้นเสียให้ได้...
กวินดูออกงั้นหรือ...
“ผม....ปอม....” ริมฝีปากเย็นเยียบสั่นระริกขึ้นมาเมื่อถูกถามจี้จุด
เห็นอย่างนั้น คนที่นั่งอยู่อีกฟากก็รีบคลานเข้ามาใกล้พร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไป "ปอม...เป็นอะไร?” ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อโอบรอบบ่าทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มหลวมๆราวกับจะปลอบประโลม แม้เขาจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กหนุ่มมีเรื่องอะไรในใจ
ใบหน้าเรียวเงยขึ้นสบตากับชายหนุ่มข้างกาย ริมฝีปากล่างถูกขบกัดลงไปอย่างแรงระบายความกดดันในใจโดยที่เจ้าของของมันเองก็ยังไม่รู้ตัว
ดวงตาสองคู่สบกันอยู่อย่างนั้นสักพัก...ก่อนจะเป็นเด็กหนุ่มที่เอ่ยถามออกมา...
“พี่วินครับ...ถ้าสมมุติว่า...” จักรวาลกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า "...ถ้าสมมุติว่า...ปอมหายไปจากชีวิตพี่...พี่จะเป็นยังไงเหรอ?”
คนฟังเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจเมื่อได้ฟังคำถามที่ถูกส่งมา "ถามอะไรอย่างนั้นปอม...ทำไม...มีอะไร?”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าแผ่วเบา "พี่ตอบมาก่อนสิ"
ช่างภาพคนดังขมวดคิ้วไม่สบายใจ "ตอบไม่ได้หรอก...เพราะพี่ก็เดาไม่ออกว่าถ้ามันเป็นอย่างนั้น พี่จะทำยังไง...แต่ที่แน่ๆ คงต้องแย่มาก...ถามอย่างนี้มีอะไรเหรอปอม...บอกพี่มาซิ...” ถ้าให้พูดตรงๆ กวินคงต้องบอกว่าตอนนี้เขาใจเสียไปครึ่งนึงแล้ว ไม่รู้หรอกว่ามีเรื่องอะไร...แต่ถ้าจู่ๆถามขึ้นมาอย่างนั้น มันต้องไม่ใช่เรื่องดี
จักรวาลกัดปากชั่งใจ...
ใช่...มันคงต้องแย่มากๆ ไม่สิ...มันคงแย่ที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้เลยหากว่ากวินหายไปจากชีวิต...
...แล้วเขาก็คงปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้...
“พี่วินครับ...คือว่า...”
-ก็อก ก็อก ก็อก-
“ปอม เปิดประตูให้หน่อยสิ นี่พี่เอง...”
เสียงร้องเรียกที่ดังขึ้นจากหน้าประตูดูดกลืนคำพูดทั้งหลายที่เด็กหนุ่มเกือบจะหลุดมันออกมาอยู่แล้วให้กลับลงคอไปหมดในคราวเดียว
ไม่ต้องให้เอ่ยชื่อ คนทั้งคู่ก็จำได้ดีว่าเสียงนี้เป็นของใคร
“พี่เมษ....” เด็กหนุ่มครางแผ่วเบา
ไม่สิ...มันต้องไม่ใช่ตอนนี้สิ
ทำไมถึงต้องมาตอนนี้....
“เขามาทำอะไรที่นี่" คำถามจากคนข้างกายถูกส่งมาอย่างสงสัย น้ำเสียงที่จู่ๆก็เข้มขึ้นมาทำเอาเด็กหนุ่มทำอะไรต่อไม่ถูก มือไม้สั่นเสียจนต้องแอบซ่อนมันไว้แนบลำตัว "เขามาที่นี่บ่อยเหรอ...?”
เด็กหนุ่มมองสบเข้าไปในดวงตาคู่คม หัวสมองขาวโพลนไปหมด...
...นี่เขาโดนใครบนฟ้าแกล้งอยู่หรือเปล่า...ทำไมทุกอย่างมันถึงได้เกิดขึ้นผิดเวลาเหลือเกิน...
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง "อยู่ไหมปอม?”
เมื่อเห็นคนรักของตนได้แต่นั่งตัวแข็ง ไม่ขยับแม้แต่ปาก ช่างภาพคนดังก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเสียดื้อๆ...
สุดท้ายแล้วโดยที่คนเป็นเจ้าของห้องไม่ทันตั้งตัว กวินก็ลุกพรวดพราดขึ้นไปเปิดประตูต้อนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญเสียเอง
“สวัสดีครับคุณเมษา” นั่นเป็นคำกล่าวทักทายประโยคแรกที่เมษาได้รับจากคนที่ทำให้เขาต้องกัดฟันกรอด...
อย่าบอกนะว่ารุ่นน้องของเขาเล่ามันออกไปแล้ว...
หากแต่หน้ากากการทูตที่เขาสวมมันประจำก็ยังคงทำงานได้ดีเหมือนเก่า “สวัสดีครับคุณกวิน แปลกใจจังเจอคุณที่นี่"
ได้ยินดังนั้นคนฟังก็ต้องหัวเราะขึ้นจมูกเบาๆ "งั้นเหรอครับ ผมเองก็แปลกใจที่เจอคุณที่นี่เหมือนกัน"
เด็กหนุ่มเจ้าของห้องที่ลุกตามมารีบดึงแขนกวินกลับเข้ามาในห้อง ก่อนจะเอาตัวเองไปยืนคั่น กล่าวทักทายผู้มาเยือนเสียเอง "พี่เมษมีธุระอะไรครับ?”
เมษามองแววตาตื่นตระหนกของเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ตอนนี้หัวใจเขาเต้นแรงด้วยความกลัวเสียจนรู้สึกเหนื่อยแม้จะยืนเฉยๆ
หวังว่าจักรวาลคงยังไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นให้กวินฟังหรอกนะ...
จักรวาลเองก็รู้ดีว่าสายตาที่มองมาคู่นั้นกำลังอ่านเขาอยู่ เด็กหนุ่มก้มหน้าส่ายศีรษะเบาๆ และเพียงเท่านั้น โดยไม่ต้องมีคำพูดเมษาก็เข้าใจได้ทันที
ทายาทธนาคารชื่อดังยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะถือดีแทรกตัวผ่านประตูเข้าไปยืนในห้องโดยมีดวงตาคู่คมดุจากใครอีกคนจ้องมองเขาด้วยอารมณ์ไม่น่าพิศมัยนัก
“วันนี้พี่เพิ่งพาลูกค้าไปเลี้ยงข้าวที่โรงแรมมา เห็นมีเค้กน่ากิน ปอมน่าจะชอบ พี่ก็เลยซื้อมาฝาก" เมษาวางถุงกระดาษหน้าตาหรูหราลงบนโต๊ะตัวเตี้ยกลางห้อง
หากแต่...แทนที่จะเป็นเด็กหนุ่มที่กล่าวอะไรขึ้นมา กลับเป็นกวินที่เอ่ยปากเสียเอง "ขอบคุณแทนปอมด้วยนะครับ โรงแรมไหนครับเนี่ย เดี๋ยววันหลังผมพาปอมไปกินเองก็ได้ จะได้ไม่ต้องลำบากคุณเมษาต้องเอามาให้ถึงที่นี่"
คนถูกถามเหลือบตามองเจ้าของประโยคแดกดัน "ไม่ลำบากหรอกครับ เพื่อน้องผม แค่นี้เรื่องเล็ก...”
จักรวาลก้มหน้าฟังคนทั้งคู่ด้วยตัวที่สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม รู้แค่ว่าบทสนทนาของคนทั้งคู่ตอนนี้มันทำให้เขารู้สึกกดดัน...
“ใจดีจังนะครับ" กวินเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง ดวงตาคู่คมจ้องสบกับชายในชุดสูทเนี้ยบกริบตรงหน้าไม่หวั่นไหว
และขณะที่บรรยากาศมันยิ่งดูเลวร้ายลงไปเรื่อยๆนั้น เสียงแหบพร่าก็ดังขึ้นจากใครอีกคน
“พี่วินครับ พี่เมษครับ" จักรวาลเรียกคนทั้งคู่แผ่วเบา ใบหน้าเรียวยังคงก้มมองพื้นไม่ยอมสบตากับใครสักคน "วันนี้พี่สองคนกลับไปก่อนได้ไหมครับ ผมเหนื่อยมาก...อยากนอนพักผ่อน"
คนฟังทั้งคู่ขมวดคิ้วลงกับประโยคขับไล่ที่ได้ฟัง...
“นะครับ...ผมเหนื่อยมากจริงๆ...”
แล้วก็เป็นกวินที่กล่าวตอบกลับมา "โอเค นอนเยอะๆนะปอม ถ้ามีงานอะไรให้พี่ช่วยก็โทรมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ" ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นจับบ่าเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน "เอาล่ะครับ เราไปกันเถอะคุณเมษา" และแม้ตอนมาจะมากันคนละที แต่ตอนกลับ เขาจะไม่ยอมกลับก่อนผู้ชายคนนี้อย่างแน่นอน ยังไงก็ต้องออกไปพร้อมกัน
.
.
.
.
คนทั้งคู่ออกจากห้องไปแล้ว
ทันทีที่ประตูปิดลง เด็กหนุ่มก็ทรุดตัวลงนั่งที่ข้างเตียง สองมือเรียวยกขึ้นกุมศีรษะ เขารู้สึกเครียดมากเสียจนปวดหัวไปหมด...
เมื่อครู่เขาแทบจะยืนไม่ไหวตอนที่เห็นเมษามายืนอยู่ตรงหน้าประตู...
หากต้องให้เผชิญหน้าทั้งกวินทั้งเมษาพร้อมๆกันในตอนนี้เห็นทีเขาคงฝืนใจให้พูดจาเป็นปกติไม่ไหวแน่ๆ เขาต้องการเวลาอีกสักพักก่อนจะต้องเจอหน้าใคร
หากแต่ไม่ถึงห้านาทีให้หลังโทรศัพท์มือถือของเขาก็สั่นขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อหยิบดูก็พบว่าคนที่โทรมาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากรุ่นพี่สมัยมัธยมคนที่เพิ่งเดินออกไปเมื่อครู่
ปลายนิ้วที่แทบจะไม่มีแรงกดรับสายลงไปอย่างจำใจ พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเมษาต้องการโทรมาพูดเรื่องอะไร...
“ครับพี่เมษ..” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า
“ปอม...พี่หวังว่าปอมยังไม่ได้ทำลายสัญญาของเราหรอกใช่ไหม" นี่คือประโยคแรกที่ถูกกรอกเข้าหูโทรศัพท์มา...ช่างไม่น่าฟังเอาเสียเลย...
“สัญญาอะไรครับ...ผมยังไม่เคยสัญญาอะไรกับพี่สักคำ..”
เมษาที่นั่งต่อสายมาจากในรถพ่นลมหายใจออกอย่างขัดอกขัดใจ "ปอม...ที่คุยกันไปวันนั้นปอมก็เข้าใจดีแล้วไม่ใช่เหรอ รู้ใช่ไหมว่าถ้าปอมยังไม่เลิกยุ่งกับคุณกวิน พี่คงต้องเอาจริง"
“พี่เมษเลิกขู่ผมได้หรือยังครับ ผมฟังประโยคนี้ของพี่มาเป็นสิบรอบแล้ว...” แม้เนื้อความของประโยคที่จักรวาลสวนกลับไปจะฟังดูโกรธเคืองแค่ไหน แต่เชื่อเถอะว่าน้ำเสียงที่เขาสามารถใช้ได้ในตอนนี้เป็นเพียงแค่เสียงแผ่วๆเท่านั้น
“พี่ไม่ได้ขู่ ไม่เคยอยากใช้วิธีนี้...แต่ถ้าปล่อยปอมไว้ ปอมก็ยังเจอกับคุณกวินเรื่อยๆ ตัดขาดกันไม่ได้สักที...พี่เป็นห่วงปอมนะ...ตัดใจจากเขาเถอะ เขาทำเรื่องแบบนี้ไว้ ในอนาคตก็มีแต่จะพาเราให้เจอแต่เรื่องเดือดร้อน...”
“ไม่จริงหรอกครับ ผมว่าเอกสารนั่นมันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิด...ขอให้ผมได้ลองคุยกับพี่วินดูไม่ได้เลยเหรอพี่เมษ นะครับ ผมเชื่อว่าเรื่องทุกอย่างมันต้องออกมาดี ไม่มีใครทำอะไรผิด เป็นแค่เรื่องเข้าใจคลาดเคลื่อนกันแน่ๆ"
“พี่บอกแล้วไงว่าอย่า...” เสียงทุ้มนุ้มที่เคยฟังดูอบอุ่น บัดนี้มันช่างฟังดูเคร่งขรึมไร้ชีวิตชีวา "...ถ้าคุณกวินรู้ว่าเรารู้ เรื่องมันยุ่งกว่านี้แน่ปอม ไม่คิดเหรอว่าเขาคงหาทางทำอะไรสักอย่างแน่...ถึงตอนนั้นปอมอาจจะเจ็บปวดมากกว่าตอนนี้หลายเท่าก็ได้”
เมษาคนที่เคยเป็นพี่ชายใจดีสมัยตอนอยู่โรงเรียนหายไปไหนแล้วนะ...
น้ำตาเอ่อขึ้นมาบดบังการมองเห็น หากแต่เด็กหนุ่มก็ยังพยายามรักษาน้ำเสียงให้นิ่ง "อะไรสักอย่างของพี่มันอะไรล่ะ...พี่ก็เอาแต่พูดอย่างนี้ พี่เชื่อแบบนี้ของพี่คนเดียว พี่วินไม่ใช่คนเลว ผมยืนยันได้ ถามจริงๆนะครับ...พี่จะให้พี่วินอยู่แบบคนไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่างนี้เหรอครับ?...พวกผมต้องตัดขาดกันเพราะเรื่องที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเข้าใจผิดน่ะเหรอครับ?”
“เชื่อพี่เถอะว่าเดินจากมาเงียบๆแบบนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว...” เมษากล่าวเสียงเรียบ ความรู้สึกร้อนรุ่นในอกทำเอาแอร์ในรถแทบจะไร้ประโยชน์ไปเลย
“พี่เมษครับ" เด็กหนุ่มเรียกชื่อคู่สนทนาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเลื่อนลอย
"....พี่เมษเคยรักใครไหมครับ?...”
เมษาสะอึกไปกับคำถามที่ได้ฟัง รู้สึกราวกับโดนเอาเหล็กร้อนมาจี้ลงไปที่หัวใจ
“...เคยสิ...รักมากๆด้วย...”
“ถ้าเคย...แล้วทำไมพี่ถึงไม่เข้าใจความรู้สึกผมบ้างครับ?” จักรวาลเอ่ยถามออกไปอย่างใจคิด "ทำไมพี่ทำเหมือนมันเป็นเรื่องง่ายๆ? ทำไมพี่ทำเหมือนพี่ไม่เคยรักใคร? พี่เคย 'รัก' จริงๆน่ะเหรอครับ?”
และเพียงเท่านั้น เส้นความอดทนของชายหนุ่มก็ขาดผึงลง ฝ่ามือชื้นเหงื่ออีกข้างกำพวงมาลัยไว้แน่น "ปอมจะรู้อะไร! คิดเหรอว่าการได้รู้จักกันได้แค่ไม่กี่เดือนจะทำให้รักกันได้! ไม่มีทาง! มันเทียบอะไรกับที่พี่รักคนๆนั้นของพี่มาเป็นปีๆไม่ได้หรอก ไม่ได้เลยสักนิด ดังนั้นอย่าเอาความรักของพี่มาเทียบกับความหลงของปอม! มันเทียบกันไม่ได้เลย!”
“พี่รู้ได้ยังไงว่าเวลาไม่กี่เดือนจะทำให้รักกันไม่ได้! ถ้าพี่วัดเรื่องความรู้สึกจากระยะเวลา ก็แปลว่าพี่ไม่ได้รู้จักความรักดีพอเลยสักนิด!"
“หยุดนะ! หยุดพูดจาอวดดีได้แล้ว!" ชายหนุ่มมาดผู้ดีตะโกนดังลั่นรถอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ "ฟังนะ! พี่ขอยื่นคำขาด ไปเลิกกับเขาซะ ถ้าพี่รู้ว่าปอมยังติดต่อกับเขาอีกคราวนี้พี่จะไม่เตือนอะไรอีกแล้ว เอกสารฉบับนั้นจะไปอยู่ในมือเจ้าหน้าที่ทันทีโดยที่พี่จะไม่บอกอะไรกับปอมทั้งสิ้น...แล้วก็อย่าคิดนะว่าพี่ไม่รู้ว่าปอมกับเขายังเจอกันหรือโทรหากันอยู่ไหม รู้ใช่ไหมว่าเรื่องแค่นี้พี่เช็คได้ไม่ยากเลย แต่ถ้ายังไม่ฟังกัน...ก็ลองดู จะคบ จะคุยกันต่อก็เอา แล้วกว่าปอมจะรู้สึกตัว ถึงตอนนั้นคุณกวินก็เข้าไปนอนกินข้าวแดงอยู่ในคุกแล้ว!"
โทรศัพท์ถูกตัดสายไปพร้อมความเดือดดาลของคนพูด ทิ้งไว้เพียงเด็กหนุ่มที่นั่งฟังทั้งน้ำตา...
เมษาเป็นอะไรไป...ทำไมพี่ชายใจดีของเขาถึงเป็นไปได้ขนาดนี้กัน...
TBC.