รอบนี้มาเร็วไหม?
เดี๋ยวได้หิมะตกแน่ๆพรุ่งนี้ 555
ปล.มีทวิตเตอร์แล้วนะคะ เพิ่งทำ...ยังใช้ไม่ค่อยเป็น 55 เข้าไปติดตามอัพเดทนิยายและพี่วินกับน้องปอมได้ที่
https://twitter.com/Arunoki1990ปล2. มีความรู้สึกว่าต้องมีบางคนอ่านข้ามตอน 34 ไปแน่เลย หลังจากวันที่ 29 เป็นต้นมา ถ้าใครมาเจอตอนนี้เป็นตอนแรก ให้กลับไปดูตอนที่ 34 ก่อนน้า เพราะว่าหลังจากที่หายหน้าไปนานๆ ได้มาอัพไปสองตอนแล้วค่ะ คือตอนที่ 34 และ 35
----------
หัวใจหลังเลนส์ # 35
“วันนี้เลิกเรียนกี่โมง" เสียงทุ้มต่ำกรอกใส่โทรศัพท์มือถือเครื่องบาง ในขณะที่มือข้างที่เหลือก็ถือไม้ลูกชิ้นปิ้งอาหารเที่ยงสำหรับวันนี้ค้างไว้ด้วย "โอเค งั้นเดี๋ยวเย็นนี้เลิกงานแล้วพี่จะรีบตามไปนะ เจอกัน...”
รอยยิ้มบางๆถูกระบายขึ้นบนใบหน้าหล่อคมของช่างภาพหนุ่มหลังจากกดวางสายลงไป
หลังจากเหตุการณ์ปวดตับปวดไตเมื่อไม่กี่วันที่แล้วผ่านพ้นไป ความสัมพันธ์ของเขากับจักรวาลก็ดูเหมือนจะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกว่าเก่าเสียอีก
...จะเรียกว่าฟ้าหลังฝนก็คงได้
คิดไปคิดมาก็แอบกระดากตัวเองอยู่เหมือนกัน เพราะตั้งแต่คืนดีกัน เขาก็ทำหน้าหนาอ้อนจะเอานู่นจะเอานี่จากคนรักไปเสียหลายรอบแล้ว อ้อนให้มาค้างที่ห้องบ้างล่ะ อ้อนให้กอดให้หอมบ้างล่ะ ลุคแบบนี้นะ...เขาสาบานเลยว่าจะไม่มีวันทำให้ใครนอกจากจักรวาลเห็นเป็นอันขาด
คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่เขาเรียกร้องของให้เด็กหนุ่มมาค้างที่ห้อง จริงๆถ้าทำได้...ก็อยากจะไปย้ายสำมะโนครัวเจ้าหนูนั่นมาอยู่กับเขาแบบถาวรไปเลย จะติดก็แค่เจ้าตัวไม่ยอมเท่านั้น
ส่วนเมษา...หลังจากวันนั้นเขาก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรอีก...
...ก็ได้แต่หวังว่าผู้ชายคนนั้นคงจะเข้าใจอะไรๆสักที เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงต้องลงมือจัดการจริงๆจังๆเสียที...
ดวงตาคู่คมเหลือบขึ้นมองนาฬิกาข้างผนังห้องทำงาน ก่อนที่ปากจะรีบรูดลูกชิ้นสองลูกที่เหลือติดอยู่บนไม้เข้าไปเคี้ยวพร้อมๆกันเพื่อลงมือตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อ
หากแต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้คลิกเปิดโปรแกรมใดๆขึ้นมา โนทิฟิเคชั่นของเมล์บ็อกซ์ก็เด้งแจ้งเตือนจดหมายเข้าขึ้นมาเสียก่อน แน่นอนว่าอีเมล์แอดเดรสที่ล็อกอินค้างเอาไว้ในเครื่องที่ทำงานอย่างนี้ต้องเป็นอีเมล์ที่เขาเอาไว้ติดต่องานที่เป็นกิจจะลักษณะเท่านั้น ฟอร์เวิร์ดเมล์ไร้สาระหรือโฆษณาขายของใดๆไม่มีทางเด้งขึ้นมารบกวนจิตใจ
ชื่อผู้ส่งที่ปรากฏอยู่ทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาน้อยๆ
Prof.Taylor
อาจารย์คนสนิทสมัยที่เขาเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่อเมริกา และเป็นปรมาจารย์ด้านการถ่ายภาพอีกคนหนึ่งของวงการโลก
...คนเดียวกับที่เขาพาจักรวาลไปเจอที่นิทรรศการณ์ในนิวยอร์กเมื่อหลายวันก่อนนั่นแหละ
ไม่รอช้า ช่างภาพหนุ่มกดเปิดดูเนื้อหาในอีเมล์ทันที
เพียงแค่ประโยคขึ้นต้น เขาก็รู้แล้วว่าอีเมล์ฉบับนี้ส่งมาเรื่องใคร...
สายตาทั้งสองข้างไล่กวาดดูเนื้อความที่ผู้เป็นอาจารย์เขียนมายาวพรืดอย่างตั้งอกตั้งใจ...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“โอย...กูล่ะอยากจะเอานิตโต้แปะปากคมสันแม่งจริงๆเลย ล้มแบบกูมาสามรอบแล้วนะเว้ย...พวกมึงคิดดู ตอนแรกเป็นคนบอกให้กูวางแปลนมาแบบนี้เองแท้ๆ พอกูทำมาส่ง ดันบอกห่วย คอยดูนะพวกมึง ตรวจแบบรอบหน้ากูจะไปสเก็ทช์ทำเนียบขาวมาส่ง ถ้าล้มแบบกูอีก กูจะได้บอกให้แม่งไประเบิดทำเนียบขาวทิ้งเอาเอง วุ๊ย!...หงุดหงิดเว้ย!” หนุ่มหนวดดกมาดซกมกอย่างเจบ่นเป็นต่อยหอยไปตลอดทางให้จักรวาลและอ้นที่เดินอยู่ข้างๆได้ฟัง ก็อย่างนี้แหละ...อุตส่าห์นั่งคิดนั่งทำมาตั้งหลายคืน มาโดนล้มกันง่ายๆแบบนี้เป็นใครก็ต้องออกอาการเซ็ง
...แต่ก็นะ...
สัจธรรมของโลกนักเรียนสถาปัตย์...
“เออน่า...คมสันแม่งก็อย่างนี้แหละ กูเห็นวันก่อนจอยแม่งก็ออกมานั่งร้องไห้หน้าสตู มึงไม่ได้โดนคนเดียวหรอกเว่ย" เด็กหนุ่มที่ดูแล้วจะตัวแกนที่สุดในกลุ่มเอื้อมมือตบบ่าเพื่อนรักปุๆอย่างให้กำลังใจ โดยมีอ้นคอยสำทับให้มันรีบๆปลงซะก่อนที่จะเครียดจนหน้าหนวดๆนั่นแก่ไปกว่านี้
“โธ่...พวกมึงก็พูดได้สิ อยู่กับ'จารย์วิทย์นี่ แม่งอิจฉาชิบหาย" เจไม่วายบ่นกระปอดกระแปด "เออ พูดถึง'จารย์วิทย์ ช่วงนี้มึงดูสนิทชิดเชื้อกับ'จารย์เป็นพิเศษนะไอ้ปอม ดูแล้วรู้สึกเหมือนพี่น้องมากกว่าอาจารย์กับลูกศิษย์ ฮั่นแน่!...เตรียมฝากฝังตัวเป็นน้องสะใภ้ล่ะสิ..”
“ห่า...” คนถูกแซวสบถออกไปเบาๆพลางเสตามองทางอื่น "สะใภ้บ้านพ่อมึงสิ...”
“แหม ทำเหนียม เดี๋ยวปั๊ดตบกะโหลกเลยนิ่ หมั่นไส้จริง...แล้วนี่พี่วินของมึงจะมากี่โมงอ่ะ?” อ้นถามขึ้นน้ำเสียงยียวนตามแบบฉบับของตน
หลังเลิกคลาสเมื่อชั่วโมงที่แล้ว นักศึกษาหนุ่มทั้งสามก็พากันออกมาเดินทอดหุ่ยอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆมหาวิทยาลัย ส่วนสมาชิกกลุ่มอีกสองคนก็รีบขอบายกลับบ้านไปปั่นงานต่อนั่นแหละ
“เห็นบอกว่าเลิกงานแล้วเดี๋ยวจะตามมา ก็คงอีกสักเกือบๆชั่วโมงมั้งกูว่า"
“ดีเลย วินนิ่งไหม ไหนๆก็ต้องแกร่วอยู่แถวนี้อยู่แล้ว" อ้นชวนขึ้นอย่างกระตือรือร้น แต่กลับเป็นเจที่ตบปากรับคำขึ้นมาทันทีแบบไม่ต้องคิด
“เห้ยกูไป!”
“เออดี งั้นไปกัน" อ้นทำท่าจะเดินนำออกจากห้างไป แต่จักรวาลก็กล่าวเบรกไว้ก่อน
“พวกมึงไปกันเหอะ เดี๋ยวกูอยู่แถวนี้แหละ ขี้เกียจไปๆมาๆ" ร้านเกมเจ้าประจำของพวกเขาน่ะ อยู่ในตรอกหลังห้าง ซึ่งกว่าจะเดินไปถึงก็ไม่ใช่ใกล้ๆ
“อ้าวเหรอ...งั้นพวกกูอยู่เป็นเพื่อนมึงก็ได้"
“ไม่ต้องหรอก พวกมึงไปเล่นเหอะ กูว่าจะไปหาหนังสือกล้องอ่านเล่นๆด้วย"
สุดท้ายอ้นและเจก็โบกมือลาเจ้าเพื่อนบ้ากล้องออกจากห้างไป
จักรวาลที่ตอนนี้เหลืออยู่คนเดียวแล้วก็เดินตรงไปยังร้านขายหนังสือตามที่บอกเพื่อนไปเมื่อครู่อย่างไม่รีบร้อน แต่ก่อนที่จะเข้าไปปักหลักยืนอ่านฟรีเขาก็ขอเข้าห้องน้ำเสียหน่อย
.
.
.
.
หลังจากทำธุระปลดทุกข์เบาจนเรียบร้อยเด็กหนุ่มก็เดินผิวปากออกจากห้องน้ำ สองมือเปียกๆที่ล้างมาเมื่อครู่ถูกเช็ดลงไปกับกางเกงลวกๆตามประสาเด็กผู้ชาย
พื้นที่บริเวณหน้าห้องน้ำในชั้นนี้ออกจะเงียบกว่าชั้นอื่นสักหน่อย เพราะเป็นชั้นบนๆที่ขายเครื่องเรือนหรูหราจำพวกแก้วไหจานชาม ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าร้านหนังสือที่เป็นเป้าหมายของเขามันดันมาผุดอยู่ที่ชั้นนี้รวมกับสินค้าพวกนั้นได้ยังไง
สองเรียวขาก้าวไปแบบสบายๆ เจ้าของของพวกมันเองก็ฮัมเพลงการ์ตูนเรื่องโปรดให้ตัวเองฟังแบบสบายๆเช่นเดียวกัน
หากแต่...สบายอยู่ได้ไม่นาน เด็กหนุ่มก็ต้องสะดุ้งขึ้นสุดตัวเมื่อมีแรงกระแทกอัดเข้ามาที่บริเวณหัวไหล่พร้อมกับร่างของชายผิวคล้ำแต่งตัวน่าสงสัยวิ่งผ่านเขาไป ตามด้วยเสียงร้องตะโกนของผู้หญิงวัยกลางคนที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“ขโมย!”
เด็กหนุ่มหันกลับไปมองและพบกับผู้หญิงเจ้าของเสียงกำลังยืนทำสีหน้าตื่นตระหนกตกใจอยู่ และทันทีที่เขาจับต้นชนปลายได้ถูก กว่าจะรู้ตัวอีกทีสองขาก็พาร่างทั้งร่างพุ่งตามชายคนเมื่อครู่ไปตามสัญชาตญาณเสียแล้ว
“เห้ย! หยุดนะโว้ย" เด็กหนุ่มตะโกนไล่หลังเจ้าหัวขโมยข้างหน้าไปขณะที่พยายามเร่งสปีดให้ขาตัวเอง
น่าแปลกว่าห้างสรรพสินค้าใหญ่โตแห่งนี้ดันมีรปภ.ประจำไม่ครบตามจุดที่สมควร คนรอบข้างที่เขาวิ่งผ่านไปก็ดันมีแต่คุณหญิงคุณนาย หรือไม่งั้นก็คนชรา ดังนั้นแปลได้ง่ายๆว่า งานนี้เลยกลายเป็นโซโล่เปิดตัวพ่อยอดชายนายจักรวาลไปคนเดียวเดี่ยวๆเลย
แล้วไอ้โจรนั่นนี่ก็ท่าทางชำนิชำนานผังห้างเสียเหลือเกิน วิ่งซอกแซกหลบจุดพลุกพล่าน หลบมุมกล้องวงจรปิดได้ชนิดที่เรียกได้ว่าคงทำการบ้านมาดี
หัวขโมยตรงหน้าเหลือบกลับมามองเด็กหนุ่มเป็นระยะด้วยความหวั่นใจไม่น้อย
“หยุดนะ! กูเหนื่อย!” จักรวาลวิ่งไปตะโกนไปอย่างเมามัน แต่ก็แอบหวังลึกๆว่าจะมีพี่ยามสักคนได้ยินแล้ววิ่งมาช่วยดัก
“หยุดให้โง่สิไอ้เด็กเปรต" คนถูกไล่ได้แต่สบถพึมพำกับตัวเองในขณะที่วิ่งหนีหน้าตั้ง
แต่แล้วจักรวาลก็ถึงคราวต้องขอบคุณรักบี้...กีฬาประจำคณะ และฟุตบอลที่เล่นมาตั้งแต่เด็ก ที่ช่วยเสริมสร้างทักษะทางด้านกีฬาให้เด็กผู้ชายตัวแกนๆคนหนึ่งจนวิ่งทันจับตัวโจรวิ่งราวไว้ได้
มือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มเอื้อมคว้าไหล่คนตรงหน้าไว้อย่างทุลักทุเล แต่ก็จับไม่อยู่เมื่อแรงของอีกฝ่ายดูจะเยอะ่ไม่ใช่น้อย สุดท้าย...เมื่อกลัวว่าผู้ต้องหาจะวิ่งหนีไปอีก จักรวาลจึงต้องใช้วิธีออกแรงผลักให้เจ้าโจรนั่นกระเด็นไปชนผนังด้านข้างก่อนที่ตัวเองจะปรี่เอาตัวเข้าไปยันไว้
แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ยอมให้จับง่ายๆ แขนข้างที่เป็นอิสระภายใต้เสื้อแจ็คเก็ตปิดบังเนื้อหนังนั่นยกขึ้นวาดวงสวิงแล้วแลนดิ้งลงไปที่ปลายคางของเด็กหนุ่มแบบสวยๆเสียหนึ่งที
“โอ๊ย! เจ็บนะเว้ย" จักรวาลสบถออกมาก่อนจะต่อยกลับไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่แค่คนโดนต่อยที่เจ็บ มือเขานี่แหละ...น่าจะเจ็บกว่า...คนอะไรวะ...กระดูกหน้าแข็งชิบเป๋ง
เมื่อต่างฝ่ายต่างทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ คนอยากหนีก็หนีไม่ได้ คนอยากจับก็จับไม่ค่อยจะอยู่ สิ่งเดียวที่พอจะทำได้ก็คือผลัดกันต่อยผลัดกันตีแบบที่ถ้าพวกเขาทั้งคู่อายุน้อยกว่านี้แล้วล่ะก็ ใครมาเห็นก็คงคิดว่าเด็กตีกันแย่งของเล่น
...แย่จริง ทำไมมันไม่เท่เหมือนพระเอกในหนังเขาทำกันบ้างวะจักรวาล...
แล้วในที่สุดตัวช่วยพระเอกก็มาถึงเสียที
“นั่นไงคะ คนนั้นแหละที่ขโมยกระเป๋าดิฉันไป" เสียงหญิงวัยไล่เลี่ยกับแม่ของเด็กหนุ่มดังขึ้นทางด้านหลังไม่ใกล้ไม่ไกล ตามด้วยเสียงฝีเท้าสองสามคู่วิ่งเข้ามาใกล้
รปภ.สามนายที่รู้สึกว่าจะมาช้าไปเสียหน่อยตรงเข้ามารวบตัวเจ้าหัวขโมยที่จักรวาลพยายามยันไว้อย่างสุดกำลัง และเมื่อเห็นว่าเจ้าโจรถูกจับไว้จนอยู่หมัดแล้วเขาก็ปล่อยมือแล้วพาตัวเองขยับถอยหลังมาให้เป็นอิสระ
เด็กหนุ่มย่อตัวลงเก็บกระเป๋าถือสตรีที่ดูแล้วราคาน่าจะสูงใช้ได้ขึ้นมาจากพื้นแล้วหันหลังส่งคืนให้ผู้เป็นเจ้าของ
“ตายแล้วลูก เลือดออกเต็มเลย" หญิงวัยกลางคนเจ้าของกระเป๋าถึงกับตกใจเมื่อเห็นร่องรอยบนใบหน้าของเด็กหนุ่มชัดๆ "ตายแล้วๆ ป้าว่าไปทำแผลก่อนลูกไป คุณรปภ.คะ ที่นี่มีห้องพยาบาลหรือเปล่า พาเด็กคนนี้ไปทำแผลทีได้ไหมคะ"
จักรวาลยกมือขึ้นแตะบริเวณมุมปากข้างที่แตก เลือดเพียงเล็กน้อยติดมือเขามาด้วย ไม่ได้ 'เลือดออกเต็มเลย' แบบที่หญิงตรงหน้าว่าหรอก แต่เขาก็พอจะเข้าใจ เพราะแม่เขาเองก็เป็นเหมือนกัน เวลาเห็นเด็กๆเลือดออกนิดๆหน่อยๆก็ตกอกตกใจ ทึกทักไปว่าบาดเจ็บเสียมากมาย
เด็กหนุ่มสั่นศีรษะเบาๆพลางส่งยิ้มให้ "ไม่เป็นไรหรอกครับ แผลนิดเดียวเอง เดี๋ยวผมเข้าไปล้างเลือดออกในห้องน้ำก็หายแล้ว คุณป้าเถอะครับ เป็นอะไรหรือเปล่า...บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ?”
“ไม่เลยจ้ะ จริงสิ...ป้าลืมขอบคุณไปเสียสนิทเลย ขอบคุณมากนะลูก ไม่ได้หนูป้าคงแย่ พอดีป้าเก็บใบเสร็จสำคัญไว้ในกระเป๋านี่ด้วยสิ ถ้าหายไปคงลำบาก เมื่อกี้ป้าไม่ทันระวังเอง เลยทำให้หนูต้องเจ็บตัวไปด้วย ขอโทษนะ...แล้วก็ขอบคุณอีกครั้งจ้ะ" พูดจบคุณป้าท่าทางใจดีและมีราศีคนนี้ก็ก้มลงเปิดกระเป๋าควักแบงค์พันจำนวนหลายใบขึ้นมายื่นให้เด็กหนุ่ม "นี่ถือเป็นสินน้ำใจขอบคุณเล็กๆน้อยๆนะลูก"
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร" จักรวาลรีบระล่ำระลักปฏิเสธ "เรื่องเล็กน้อยเองครับ"
“รับไว้เถอะ ถือว่าเอาไปทำแผลหรือเก็บไว้เรียนหนังสือก็ได้ ให้ป้าได้ตอบแทนอะไรสักนิดก็ยังดี"
“ไม่เป็นไรจริงๆครับคุณป้า เงินเยอะแยะขนาดนี้ผมรับไว้ไม่ได้หรอก" จังหวะเดียวกันกับที่พูดจบประโยค โทรศัพท์มือถือในกางเกงก็ดังขึ้น และเมื่อล้วงขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเบอร์ของกวิน เด็กหนุ่มจึงขอตัวรับสายและได้ความว่ากวินมาถึงที่ห้างนี้แล้ว
“คนที่ผมนัดไว้มาถึงแล้วล่ะครับคุณป้า ผมขอตัวก่อนนะครับ" เด็กหนุ่มกล่าวอย่างสุภาพ
“แล้วเงินนี่...”
“ผมไม่กล้ารับจริงๆครับ ยังไงคุณป้ารักษาตัวด้วยนะครับ" จักรวาลยกมือขึ้นไหว้ลาและขอบคุณสำหรับของกำนัลที่ถูกหยิบยื่นมาให้ "ผมไปล่ะครับ"
พูดจบเด็กหนุ่มก็หมุนตัวเดินออกมาก่อนที่หญิงเจ้าของกระเป๋าที่ทำท่าจะยัดเงินใส่มือเขาจะทำสำเร็จ พลางใช้แขนเสื้อซับเลือดที่มุมปากข้างที่แตกไปด้วย
ทิ้งไว้เพียงหญิงวัยกลางคนที่ได้แต่ยืนถือสตางค์ค้างไว้ในมือ พร้อมกับความคิดที่เพิ่งผุดขึ้นมาจางๆในใจว่า...
...เด็กคนนี้ เธอเคยเห็นที่ไหนมาก่อนหรือเปล่านะ...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“พี่วิน"
เสียงเรียกคุ้นเคยที่ดังมาจากทางด้านหลังทำให้ชายหนุ่มหันกลับไปมอง
“เห้ยปอม! หน้าไปโดนอะไรมา!”
ช่างภาพหนุ่มช้อนคางคนตรงหน้าขึ้นพลิกดูไปมาด้วยความตกใจ ช้ำตรงนู้นเขียวตรงนี้ ปากแตกอีกต่างหาก ถึงแต่ละรอยจะดูไม่ใช่แผลใหญ่โตอะไร แต่พอมันมีหลายที่บนใบหน้าก็ทำเอาเขาหวั่นๆได้เหมือนกัน
คนถูกถามหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ก็พอจะคิดไว้แล้วว่าต้องได้รับปฏิกิริยาแบบนี้กลับมา
“ไม่ต้องหัวเราะเลย บอกพี่มาเดี๋ยวนี้ว่าไปทำอะไรมา"
“โธ่...ไม่เห็นต้องทำเสียงดุเลยพี่วิน" เด็กหนุ่มบ่นกระปอดกระแปด "ไปต่อยกับโจรมา"
“หา???” คำตอบที่ได้รับทำให้คนฟังตกใจยิ่งกว่าเก่า "โจรอะไร แล้วนี่เป็นอะไรมากหรือเปล่า...ไปโรงพยาบาลกัน พี่พาไป"
“ไม่ต้องเลยๆ ไม่ใช่โจรน่ากลัวๆแบบที่เห็นในหนังหรอกน่า แค่วิ่งราวกิ๊กก๊อกธรรมดา...ปอมไปช่วยคุณป้าคนนึงจับโจรมา เท่จะตายนะ" อธิบายจบก็ต้องขออวดเสียหน่อย
ได้ฟังอย่างนั้นกวินก็ต้องยกมือขึ้นกุมขมับเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กหนุ่มได้อีกระลอก
ให้ตายสิ...ทำไมมันซนอย่างนี้
“วันนี้ไม่ต้องกินข้าวที่นี่แล้ว กลับไปทำแผลที่ห้องพี่เลย เดี๋ยวค่อยโทรสั่งอะไรเข้าไปกิน" ว่าแล้วช่างภาพคนดังก็คว้าแขนแล้วออกแรงดึงเบาๆให้เด็กหนุ่มเดินตาม
ตลอดระยะทางจากห้างสรรพสินค้ากลับมาจนถึงคอนโด จักรวาลก็เอาแต่เล่าเหตุการณ์เล่นจริงเจ็บจริงของตัวเองไม่หยุดปาก ท่าทางจะตื่นเต้นน่าดู ความจริงฟังแล้วมันก็สนุกอยู่ล่ะนะ แต่เหนือสิ่งอื่นใด กวินหวาดเสียวมากกว่าน่ะสิ คิดแล้วก็ได้แต่ขอบคุณพระขอบคุณเจ้าอยู่ในใจที่คนรักของเขาโชคดีไม่ไปเจอกับโจรพกปืนพกมีดที่น่ากลัวกว่านี้เข้า
กล่องยาปฐมพยาบาลถูกยกมาตั้งบนโต๊ะรับแขกตัวเตี้ยหน้าโซฟา
“ไม่เอาแล้วนะ ห้ามทำอะไรเสี่ยงๆแบบนี้อีกเข้าใจไหม มีอย่างที่ไหนต้องให้พี่มาทำแผลให้ตั้งสองรอบ" รอบนี้ก็รอบนึง ส่วนอีกรอบก็ตอนไปช่วยเพื่อนตะลุมบอนกับนักเลงที่ไหนก็ไม่รู้ในสนามฟุตบอล "ห้าวจริงนะน้องชาย...”
ได้ฟังแบบนั้นจักรวาลที่เสยผมเปิดหน้าเตรียมพร้อมรับการทำแผลก็เหยียดยิ้มทะเล้นยียวน "เป็นพระเอกก็ต้องห้าวแบบนี้แหละ...จะปล่อยให้คุณป้าโดนขโมยกระเป๋าไปได้ยังไง"
“พระเอกที่ไหนตัวเตี้ยแบบนี้" จบคำสบประมาท หัวคิ้วของคนฟังก็ตีกันยุ่งเป็นปมอย่างไม่พอใจ "...แล้วยามแถวนั้นไม่มีให้เรียกหรือไง ไม่เห็นต้องลงทุนไปบู๊เองขนาดนี้"
“ก็ไม่มีน่ะสิ" เด็กหนุ่มบ่นพึมพำก่อนจะยู่ปากระบายความแสบที่แผลเล็บข่วนบนหน้าผาก "...แล้วก็ไม่ได้เตี้ยด้วย"
“ครับๆ ไม่เตี้ยก็ไม่เตี้ยครับ...แค่ไม่ค่อยสูง...โอ๊ย!..” กวินหดมือที่ถูกอีกฝ่ายตีกลับเข้าหาตัว "ซาดิสม์หรือไงเรา?”
จักรวาลไม่ได้ตอบอะไรออกมา ได้แต่หรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างคาดโทษ
เห็นอย่างนั้นกวินที่หยิบสำลีชิ้นใหม่มาชุบยาล้างแผลก็ส่ายหัวเบาๆ "อย่าทำให้เป็นห่วงบ่อยนักสิ ทำอะไรช่วยระวังตัวหน่อยเถอะ เดี๋ยวพี่ก็ได้หัวใจวายเข้าโรงพยาบาลพอดี"
“พูดจาเป็นคนแก่ไปได้" เด็กหนุ่มค่อนแคะเบาๆ
“เออๆ แก่ก็ยอม" กวินเพิ่มแรงกดสำลีลงไปบนแผลอย่างหมั่นไส้พ่อบรู๊ซลีนักบู๊ตรงหน้า "หรืออยากให้พี่พูดแบบวัยรุ่นไหมล่ะ? ก็ได้นะ...อย่าไปต่อยกับชาวบ้านบ่อยสิปอม...ปากแตกแบบนี้แล้วเราจะจูบกันได้ยังไง...เป็นไง พูดแบบนี้เร้าใจสมเป็นคนหนุ่มดีไหม?...โอ๊ยๆๆ...เจ็บนะ...โอ๊ย...”
คนขยับแขนประทุษร้ายบุรษพยาบาลกำลังหน้าแดงแปร๊ด...
บ้าเอ๊ย...
ประโยคแบบนี้...ฟังเท่าไหร่ก็ทำใจให้ชินไม่ได้สักที...
.
.
.
.
“นี่...” เสียงทุ้มต่ำดังเรียกคนในอ้อมกอดขึ้นท่ามกลางความมืด "...หลับหรืือยังปอม"
เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อเหลียวหน้ากลับมามองช่างภาพคนดังที่นอนกอดเขาไว้จากทางด้านหลัง "ยังครับ...”
ดวงตาคู่คมของกวินทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง "...พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิ" จักรวาลกล่าวตอบออกมาพลางนึกสงสัยและรอฟังคำถามที่ว่าอย่างตั้งใจ
“...ปอมมองอนาคตตัวเองในฐานะช่างภาพไว้ยังไงบ้างเหรอ?...”
“หือ?...ถามทำไมเหรอครับ?"
“ตอบมาก่อนเถอะน่า"
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วกับตัวเอง แต่ก็ยอมตอบออกมาโดยไม่อิดออด "อืม...ก็อยากเป็นช่างภาพที่เก่งๆ มีเอกลักษณ์...มีลายเซ็นต์อยู่ในผลงาน แบบที่เวลาคนดูภาพแล้วบอกได้เลยว่าเป็นผลงานของนายจักรวาล...เหมือนภาพของพี่วินนั่นแหละ ปอมดูแล้วรู้เลยว่าภาพไหนพี่วินเป็นคนถ่าย...ปอมอยากจะทำให้ได้อย่างนั้นมั่ง...ตอนนี้ก็กำลังพยายามหาอยู่" ขณะที่ปากพูด ในหัวก็วาดภาพความฝันของตนตามไปด้วย "แล้วถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะทำงานกับช่างภาพเก่งๆเยอะๆ จะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์กับความรู้หลายๆแบบ ตอนที่ทำงานกับพี่วินปอมก็เรียนรู้อะไรไปเยอะ รู้สึกตัวเองเลยว่าไปได้เร็วกว่าตอนงมเข็มเองเยอะมาก"
ไม่ต่างจากที่กวินคาดไว้เท่าไหร่ เขาเอง..ก่อนหน้านี้ ตอนเด็กๆก็เคยคิดอย่างนี้เหมือนกัน
“แล้วถ้าในแง่ของสไตล์หรือแนวทางที่อยากทำล่ะ มีไว้ในใจบ้างหรือเปล่า?” คำถามนี้ก็เช่นกัน ในฐานะผู้ดูแลและคนสอนแล้ว เขาคิดว่าเขาบอกได้ว่าเด็กหนุ่มชอบแบบไหน และอยากทำอะไร...เพียงแต่อยากถามให้แน่ใจเท่านั้น
ทางด้านคนถูกถาม เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอยู่ดีๆก็ต้องอมยิ้มแบบไม่มีเหตุผล เขาก็ไม่รู้ว่าคนอื่นๆเป็นกันหรือเปล่า แต่สำหรับเขาแล้ว เวลานึกถึงเรื่องอะไรที่อยากทำมากๆก็มักจะตื่นเต้น มีความสุขจนต้องยิ้มขึ้นมาแบบนี้ทุกครั้ง แม้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้ทำมันหรือเปล่าก็ตาม
“เรื่องนั้น...” แน่นอนว่าจักรวาลมีเป้าหมายอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว “...ปอมสนใจพวกอารมณ์ดิบของคน อยากจะบันทึกอารมณ์หลายๆแบบของคนเอาไว้ จะว่าแคนดิดก็คงใช่ แต่จริงๆแล้วถ้าเป็นในเชิงศิลปะการแสดงที่ตัวแบบเค้นอารมณ์เก่งๆก็ชอบเหมือนกัน”
ใช่แล้วล่ะ...แนวทางที่เขาชอบและเพิ่งจะค้นพบหลังจากได้มาลองงานกับกวินไม่ใช่แฟชั่นเซ็ท ไม่ใช่ภาพถ่ายโฆษณา ไม่ใช่ภาพโชว์เทคนิคระดับเทพ ภาพกีฬา สารดคี แลนด์สเคปก็ไม่ใช่ หรือแม้แต่จำพวกคอนเซปชวลจ๋าก็ยังไม่ตรงเป้าเสียทีเดียว
...แต่เป็นภาพดิบๆที่ออกมาจากก้นบึ้งความรู้สึกของมนุษย์ต่างหาก...
กวินยิ้มออกมาจางๆในความมืด "...นั่นสินะ...”
คำตอบออกมาตรงกับที่เขาเดาไว้อีกครั้ง ไม่แปลกใจเลยหลังจากได้คลุกคลีถ่ายภาพกับเด็กหนุ่มมาพักใหญ่ ก็เห็นอยู่แล้วล่ะว่าจุดเด่นของจักรวาลอยู่ที่ตรงไหน และดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่ดูออกด้วย ถ้าคำตอบไม่ออกมาแบบนี้สิถึงจะน่าแปลก
เด็กหนุ่มค่อยๆพลิกตัวกลับหลังมาเผชิญหน้ากับคนรักในระยะใกล้ชิด ดีที่ว่าใบหน้าของเขามันอยู่ระดับเดียวกับอกของอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นคงได้มีฉากสวีตกันอีกเป็นแน่
“พี่วินถามทำไมเหรอ?"
ช่างภาพหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรออกมา แต่กลับถามต่อยิ้มๆ
“กลัวฝรั่งหรือเปล่า?”
“ฮะ?...ฝรั่งอะไร?”
ช่างภาพคนดังหัวเราะน้อยๆกับความงงงวยของเด็กหนุ่ม "ก็ฝรั่งที่ผมสีทองน่ะสิ...กลัวไหม?”
“อ๋อ...นึกว่าผลไม้...” แต่ถึงกระนั้น เขาก็งงอยู่ดีนั่นแหละ "...ก็...กลัวนิดหน่อย...พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่ง"
“ไม่หรอก คิดไปเองมากกว่า...ตอนไปนิวยอร์กก็พอพูดได้นี่นา" ฝ่ามือใหญ่เอื้อมขึ้นลูบผมนุ่มของเด็กหนุ่มไปมาแผ่วเบา และโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายที่ทำท่าจะเปิดปากถามขึ้นมาอีกครั้งได้ทำสำเร็จ กวินก็กล่าวเปลี่ยนเรื่องเสียก่อน "...นี่...วันเสาร์เราเอากล้องไปออกรอบกันอีกไหม? ไม่ได้ถ่ายรูปด้วยกันมานานแล้ว...”
“ด..ได้สิครับ...” จักรวาลตอบตกลงไปแบบมึนๆ แต่ในเมื่อหัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปแล้ว เขาก็ปล่อยความสงสัยไว้อย่างนั้น ไม่ได้ถามอะไรต่อ
“ไปที่ไหนดีนะ...มีไอเดียบ้างไหม?”
“อืม...ขอนึกก่อน" จักรวาลไล่นึกสถานที่ดีๆที่ตนรู้จัก "...มีอยู่ที่นึง เป็นชุมชนเก่าติดริมเจ้าพระยา จำไม่ได้แล้วว่าเขาเรียกว่าอะไร เดี๋ยวต้องลองเปิดเน็ตดู แต่ว่าเมื่อก่อนพี่เมษเคยพาไปลองกล้องตอนสมัยเริ่มถ่ายรูปใหม่ๆ สวยมากเลยพี่วิน คนในชุมชนมีหลายอาชีพด้วย มีอะไรแปลกๆให้ถ่ายเยอะเลย สนใจไหม?”
เป็นที่น่าประหลาดใจสำหรับกวินที่ครั้งนี้พอได้ยินชื่อนายเมษาออกจากปากคนรักแล้วเขาไม่ยักรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างที่แล้วๆมา
“เอาสิ ไปกันนะ"
“ครับ..."
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐