จบแล้ว!
ตอนแรกกะเอาไว้ว่าอีกประมาณสองตอนคงจบ แต่พอลงมือเขียนจริงๆปริมาณมันรวบมาอยู่ในตอนเดียวได้เลย ก็เลยจบเลย 555
มาถึงตอนสุดท้ายแล้ว แป้งอยากจะขอขอบคุณทุกท่านจากใจจริงที่ตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้
จริงๆแล้วเมื่อก่อนแป้งเคยเขียนนิยายมาบ้างประปราย แต่ก็ห่างหายไปนานพอสมควร จะมีก็เขียนเล่นๆสองตอนเลิกอะไรแบบนี้
ดังนั้นเรื่องหัวใจหลังเลนส์นี้เป็นเหมือนผลงานชิ้นแรกที่เขียนตอนโตแล้ว ซึ่งจากการเขียนเรื่องนี้แป้งได้เรียนรู้อะไรไปเยอะมากๆ
ได้ทั้งเคาะสนิมปากกาที่ร้างรามานาน ได้ทั้งพัฒนาในแง่ของภาษา เนื้อเรื่อง แนวคิด ทุกๆอย่าง เทียบกับนักเขียนท่านอื่นๆแล้ว ผลงานชิ้นนี้ก็ยังคงด้อยกว่าในแทบทุกด้าน แต่ถ้าหากเทียบกับตัวเอง แป้งรู้สึกได้ว่ามันเปลี่ยนไป
ข้อบ่งพร่อง สิ่งที่ต้องแก้ไขทุกประการล้วนเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับตัวแป้งเองที่จะเอาไปปรับใช้ในอนาคต
ทั้งหมดนี้ส่วนหลักก็เป็นเพราะคำวิจารณ์จากท่านผู้อ่านทุกๆท่าน แป้งต้องขอขอบคุณจากใจจริงค่ะ
สิ่งที่ได้เรียนรู้ไปในครั้งนี้ แป้งจะเอาไปปรับใช้กับนิยายเรื่องต่อๆไปที่จะเขียน ไม่ว่าจะเป็นนิยายแนวไหนก็ตาม
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะได้รับโอกาสดีๆจากท่านผู้อ่านอีกสักครั้งหากมีเรื่องใหม่
ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้เกียรติติดตาม 'หัวใจหลังเลนส์' จากใจจริงค่ะ
Arunoki
เอาล่ะ ทีนี้มาถึงเรื่องรวมเล่ม
ขออนุญาตแจ้งไว้ก่อนว่าแป้งมีแพลนจะรวมเล่มกับสำนักพิมพ์ Oskar ค่ะ
ตอนต่อของ 'เดือนเมษา วันอาทิตย์' ก็รอติดตามได้ในรวมเล่มได้เลย (ส่วนนี้ขออนุญาตลงเฉพาะในรวมเล่มนะคะ)
รายละเอียดต่างๆเช่นเรื่องการจอง ราคา และอื่นๆอีกมากมายจะแจ้งให้ทราบที่เพจของสำนักพิมพ์
นี่เลยค่ะ
http://www.facebook.com/Oskarpublishing?fref=tsหรือ twitter ส่วนตัวของแป้ง
https://twitter.com/Arunoki1990ยังไงฝากท่านที่สนใจติดตามกันด้วยนะคะ
ขอบพระคุณอีกครั้ง
ปล.ขอฝากนิยายเรื่องใหม่ที่ตั้งใจจะเอามาลงไว้ก่อนล่วงหน้าเลยนะคะ เรื่องนี้มีชื่อว่า 'วงแหวนดาวเสาร์'
รักๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวใจหลังเลนส์
#38
“ไปอยู่นู่นก็อย่าใจแตกนะไอ้หอยหลอด" อ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงยียวนขณะที่ฝ่ามือหยาบกร้านของตนก็ยกขึ้นขยี้หัวเพื่อนรักด้วยความหมั่นเขี้ยว "พวกกูคิดถึงมึงตายเลย...”
“กลับมากูก็เป็นรุ่นพี่มึงแล้ว มึงต้องเรียกกูว่าพี่เม้งแล้วล่ะไอ้เตี้ย"
“โชคดีนะไอ้ปอม...หาสาวฝรั่งมาให้กูสักคนด้วยล่ะ"
จักรวาลที่ยืนทำคอตกอยู่กลางสนามบินสุวรรณภูมิยิ้มรับคำร่ำลาจากบรรดาเพื่อนสนิทด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวลงไปกว่าเดิม บอร์ดดิ้งพาสที่อยู่ในมือถูกกำด้วยแรงที่มากขึ้นเล็กน้อย เด็กหนุ่มกวาดตามองคนรอบข้างตาละห้อย "พวกมึงเก็บเลคเชอร์ไว้ให้กูด้วยนะเว่ย ปีหน้ากลับมากูจะได้ไม่ต้องจดเอง...”
“เอออออออออ...ไอ้ขี้เกียจ" อ้นตอบกลับพลางลูบหลังลูบหัวไอ้คนที่ทำท่าจะงอแงขึ้นมาอีกแล้ว "อย่าทำหน้าเหี่ยวอย่างนั้นสิ กลัวอะไร๊..ถ้ามึงฟังฝรั่งพูดไม่รู้เรื่องก็นึกถึงหน้ากูไว้..เดี๋ยวฟังออกเอง ศักดิ์สิทธิ์นะจะบอกให้"
แทนที่จะขำตามคนอื่นๆจักรวาลกลับทำเพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ...
ไอ้เรื่องกลัวคุยกับฝรั่งไม่รู้เรื่องมันก็เรื่องนึง แต่จริงๆแล้วมันยังมีอีกประเด็นที่ทำให้เขายิ่่งใจฝ่อเมื่อวันที่จะต้องจากกรุงเทพฯไปมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ...
“ตั้งใจทำงานนะปอม...” เสียงทุ้มต่ำที่กล่าวขึ้นบ้างหลังจากบรรดาเด็กหนุ่มนักศึกษาค่อยๆหลีกทางให้อย่างรู้งานเรียกให้คนที่กำลังจะบินเดี่ยวต้องเงยหน้ามองด้วยอาการหางลู่หูตูบ "ไปถึงพอสนุกกับการทำงานเมื่อไหร่เดี๋ยวก็หายเหงาเองแหละ...แค่ปีเดียว...ไม่นานหรอก"
เออ...รู้ว่าไม่นาน
แต่ก็ไม่ใช่วันสองวันนะเห้ย!
นี่พี่วินของเขาจะดูชิลล์เกินไปไหมเนี่ย!
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ยิ้มหน่อยเร็วๆ" ช่างภาพคนดังยกมือสองข้างขึ้นยืดแก้มคนรักของตนด้วยแรงไม่มากนัก ก่อนจะต้องหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อเด็กหนุ่มแลบลิ้นออกมาใส่เขา
“ร่าเริงจังเลยนะพี่วิน" เด็กหนุ่มขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางกล่าวออกมาเสียงเข้ม
ประโยคที่ได้ฟังเรียกเสียงหัวเราะได้จากกวินได้อีกระลอก "อะไรเนี่ย...เหวี่ยงจังนะวันนี้...ตั้งแต่บนรถแล้ว...งอนพี่เรื่องอะไร?"
เด็กหนุ่มส่ายศีรษะก่อนจะปรับโหมดตัวเองกลับสู่เด็กไหล่ห่ออีกครั้ง
“เอาน่า...อย่าคิดมากเลย ทำใจให้สบาย...แล้วถ้าไปถึง มีอะไรค่อยโทรหาพี่...” กวินกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู "ใกล้จะได้เวลาแล้ว...ปอมรีบเข้าไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน"
อะไรว้า...
จักรวาลได้แต่เงยหน้าขึ้นมองคนพูดตาละห้อย "ต้องเข้าไปแล้วจริงๆเหรอ...?”
“ก็ใช่น่ะสิ ตกเครื่องพี่ไม่รู้ด้วยนะ"
“เฮ้อ...” เด็กหนุ่มถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจำต้องกระชับสายสะพายกระเป๋าให้เข้าที่เข้าทางแล้วหันไปโบกมือลาเพื่อนๆที่ยืนรออยู่ห่างออกไปเล็กน้อย "กูไปก่อนนะพวกมึง..."
พูดเพียงเท่านั้นคนที่เหลือก็วิ่งเข้ามากอดเด็กหนุ่มกันอีกหนึ่งทีด้วยสีหน้าห่อเหี่ยวไม่แพ้กัน
จบคิวของเพื่อน...ก็เหลือแค่แฟน...
“พี่วิน...” จักรวาลเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายขึ้นเสียงเบา นี่ถ้าไม่ติดว่าคนเยอะนะ...แม่งน้ำตาแตกไปแล้ว...
คนเป็นเจ้าของชื่อยิ้มออกมาจางๆ ก่อนจะดึงตัวคนตรงหน้าเข้ามากอดเสียแน่นจนหัวกลมๆนั่นจมลงไปในอก "...รักปอมนะ...” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยแผ่วเบาที่ข้างหูพอให้ได้ยินกันสองคน
เด็กหนุ่มกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก ก่อนจะตอบกลับไปเสียงอู้อี้ "...รักพี่วิน...”
ความจริงแล้ว...ลึกๆก็อยากจะทำมากกว่าแค่กอด...
แต่อยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ คงจะไม่งามสักเท่าไหร่...
สุดท้ายจักรวาลจึงได้แต่ต้องผละตัวเองออกเมื่อสมควรแก่เวลาแล้วเท่านั้น
เมื่อร่ำลากันเสร็จในที่สุด...เด็กหนุ่มก็ยกมือขึ้นโบกให้คนทั้งหมดเป็นครั้งสุดท้าย...หากแต่เดินไปยังไม่ถึงครึ่งทางก็ต้องเดินวกกลับมาเสียก่อน...
วกกลับมาเพื่อพูดประโยคๆเดียวที่เพิ่งคิดขึ้นมาได้...
กวินเลิกคิ้วใส่คนที่เดินเข้ามาเขย่งตัวทำท่าจะกระซิบอะไรใส่หูเขางงๆ ก่อนจะต้องเผยรอยยิ้มกว้างพร้อมเสียงหัวเราะดังลั่นสนามบินขึ้นในวินาทีถัดมา
ก็เจ้าหนูของเขาน่ะสิ...เดินกลับมาเพื่อบอกกับเขาว่า...
'อย่าไปมีคนอื่นนะ!'
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“อืม...เยี่ยมมากๆที่สามารถถ่ายช็อตนี้มาได้" เสียงแหบแห้งของชายชราพูดขึ้นขณะจ้องอยู่ที่รูปถ่ายหลายใบในมือ ซึ่งผู้ที่เป็นคนถ่ายพวกมันก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าดีใจ
“ขอบคุณครับ จริงๆช็อตนี้ผมก็เกือบพลาดแล้ว ดีที่กดชัตเตอร์ไว้ทัน" ภาษาอังกฤษสำเนียงกระท่อนกระแท่นถูกสื่อสารออกไปด้วยเสียงที่ดูจะมั่นใจขึ้นกว่าวันแรกๆที่มาถึงอยู่ไม่น้อย "นอกจากรูปพวกนี้ ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ผมเพิ่งถ่ายไปเมื่อเช้าครับ เดี๋ยววันนี้จะรีบเอากลับไปทำรายละเอียดต่อในคอมฯ คิดว่าพรุ่งนี้เย็นๆน่าจะเสร็จ"
ชายชราพยักหน้าน้อยๆพร้อมรอยยิ้ม "โอเค พรุ่งนี้ตอนเย็นผมจะอยู่ที่สตูดิโอสอง คุณเอามาให้ผมดูที่นั่นก็แล้วกัน"
“ครับผม...ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับไปทำรูปก่อนนะครับ"
“เชิญเลยๆ สำหรับวันนี้ขอบคุณมาก" ศจ.เทย์เลอร์กล่าวอย่างใจดี "อ้อ...พรุ่งนี้รบกวนคุณเอาฟิล์มของมิสเอลเลนติดมาด้วยได้ไหม อยากจะเอาไปสอนพวกเด็กๆในคลาสสักหน่อยน่ะ"
“ได้เลยครับโปรเฟสเซอร์" เด็กหนุ่มตอบกลับก่อนจะกล่าวคำลาอีกครั้งหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินออกมา
สองขาขยับเดินโต๋เต๋ไปตามริมฟุตบาทยามโพล้เพล้ที่ยังคงเต็มไปด้วยผู้คน นิวยอร์กเป็นเมืองที่มีประชากรหลากหลายเชื้อชาติอยู่รวมกัน ชาวเอเชียก็มีอยู่มากมาย ดังนั้นเขาเองก็เริ่มจะกลมกลืนกับที่นี่ได้ไม่ยากเหมือนที่คิดไว้ก่อนหน้านี้
ระยะเวลาสามสี่อาทิตย์ที่เด็กหนุ่มจากกรุงเทพฯมาจัดเป็นช่วงเวลาที่เขาได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะมากมาย สิ่งแรกที่เห็นชัดๆเลยคือเรื่องการสื่อสาร แน่นอนว่าสำนงสำเนียงอะไรมันก็ยังไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่หรอก แต่ว่าเขารู้สึกมั่นใจที่จะพูดมากขึ้น...
ส่วนเรื่องที่สองคือการทำงาน...ซึ่งสนุกมาก สนุกอย่างที่กวินเคยบอกไว้จริงๆ เหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้ตัวเอง เด็กหนุ่มได้เห็นการทำงานในแบบที่ไม่เคยเห็นมากมาย ความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติน่าสนใจหลายแขนงถูกถ่ายทอดจากศจ.เทย์เลอร์มาเรื่อยๆ ซึ่งเขาเชื่อว่ายังมีอีกเยอะให้เขาได้เก็บเกี่ยวในช่วงต่อจากนี้
แต่หากจะมีอะไรสักเรื่องที่กวินพูดผิดล่ะก็...เขาคงตอบได้ทันทีว่า...เขาไม่เห็นจะลืมเหงาตรงไหนเลย
ทุกเย็นที่กลับมาถึงห้องพัก เขาก็ต้องมานั่งคิดถึงบ้านทุกทีนั่นแหละ
ต่อให้งานจะยุ่ง จะสนุกอย่างไร...แต่สุดท้ายเมื่อกลับมานั่งอยู่เพียงลำพังเขาก็ต้องเผลอตัวคิดฟุ้งซ่านถึงใครคันนั้นทุกครั้งไป
บางที...อาจเป็นเพราะท่าทีไม่เป็นเดือดเป็นร้อนของพี่วินของเขาในช่วงก่อนจากมาก็ได้ที่ทำให้รู้สึกอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ
ไม่รู้จะคิดถึงเขาบ้างไหม...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“ขอไฟเพิ่มตรงนี้ตัวนึงสิ!" เสียงทุ้มต่ำตะโกนสั่งลูกน้องในสตูดิโออย่างคล่องแคล่วก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงปรับตั้งค่าบนจอแอลซีดีหลังกล้อง
บรรยากาศรอบตัวช่างภาพคนดังเป็นไปอย่างมีชีวิตชีวาเหมือนเช่นทุกครั้ง...ไร้วี่แว่วผิดปกติใดๆที่ลูกน้องหลายๆคนคาดว่าจะได้เห็นเลยแม้แต่น้อย
.
.
.
“เห้ย...ไอ้เต้...” อาร์ทยกมือขึ้นสะกิดเพื่อนร่วมงานที่ยืนแทะมะม่วงอยู่ข้างกันยิกๆ สายตาจับจ้องไปยังคนเป็นเจ้านายที่ยืนง่วนอยู่กับการทำงานในจุดที่ห่างออกไป "ทำไมพี่วินแม่งดูไม่เหี่ยวไม่เฉาเลยวะ?”
คนถูกถามหันมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ "เหี่ยวเฉาเหี้ยอะไรของมึง พี่วินมึงเป็นผักชีหรือไง?”
“มึงสิผักชี!...ไม่ใช่อย่างนั้นเว้ย กูหมายถึงว่า...เฮียแกดูแฮปปี้เกินไปไหมอ่ะ? น้องปอมแม่งไปเป็นปีเลยไม่ใช่เหรอวะ เป็นกูแม่งต้องมีแซดกันบ้างแหละ"
ได้ยินดังนั้น คนที่เพิ่งจะเข้าใจประเด็นของเพื่อนก็ยกนิ้วชี้ขึ้นโบกเบาๆตรงหน้าพลางทำสีหน้ากรุ้มกริ่ม "หึๆ ไอ้อาร์ท...มึงมันไม่รู้อะไร...”
“เหี้ย...อย่ามาทำอมพะนำ บอกกูมาเลย อย่ารู้อยู่คนเดียว!”
เต้ยังคงส่งเสียงขำเจ้าเล่ห์ในลำคอ จนในที่สุดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะยกตีนขึ้นถีบตนนั่นแหละ ถึงได้เอ่ยต่อ
“พี่วินแกมีเป้าหมายลับๆอยู่ในใจเว้ย...รู้จักกันดีขนาดนี้มึงยังดูไม่ออกอีกเหรอ? ไอ้ง่าว!” ท่อนแขนอวบๆป้อมๆของคนพูดยกขึ้นตบกะโหลกไอ้เพื่อนช่างสอดรู้สอดเห็นที่ยืนอยู่ข้างๆไปหนึ่งที "แฟนแม่งไปอยู่ไกลหูไกลตา...เป็นมึง มึงจะทำอะไรล่ะ"
กราฟฟิคดีไซเนอร์รูปงามนิ่งคิดตามที่เต้พูดไปครู่ ก่อนจะต้องทำตาเหลือกขึ้นในวินาทีถัดมา "เห้ย! อย่าบอกนะเว่ยว่า...เชี่ย...ไม่จริงน่า" ภาพสาวสวยหลายคนที่เคยตามตื๊อเสนอตัวให้เจ้านายเขาเมื่อก่อนพากันดาหน้าเข้ามาในความคิด จินตนาการลามกอันกว้างไกลพาให้ชายหนุ่มนึกภาพออกมาได้เป็นฉากๆ
ก็สิ่งที่ผู้ชายจะทำเวลาแฟนเผลอ...มันจะไปมีเรื่องอะไรได้อีกวะ...นอกจากเรื่องแบบนี้
หากแต่คำตอบไม่ได้ถูกให้ความกระจ่างออกมาตรงๆ มีเพียงรอยยิ้มกรุ้มกริ่มจากเต้ และคำแนะนำสั้นๆประโยคเดียวเพียงเท่านั้น
“ถ้าอยากรู้...มึงก็ลองไปดูตารางงานปีนี้ของเฮียแกแล้วกัน..."
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ใบหน้าหล่อเหลาซุกไซร้ลงบนซอกคอขาวเนียนของหญิงสาวตรงหน้าด้วยความมัวเมา นานแล้วที่เขาไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนี้เพราะมีเด็กหนุ่มอยู่ข้างกาย
...เป็นเพราะจักรวาลยังเด็กเกินไปสำหรับเรื่องแบบนี้...
...และเขาเองก็ไม่มีความอดทนมากพอที่จะมานั่งอดอยากปากแห้งเพื่อรอให้วันนั้นมาถึง...
“วินคะ...” ซุ่มเสียงหวานเอ่ยอย่างเย้ายวนที่ข้างหูช่างภาพคนดัง กลีบปากอวบอิ่มสีสดแย้มรอยยิ้มน่ามอง "ทำแบบนี้แฟนวินจะไม่ว่าเอาเหรอ? เจนนี่ไม่อยากรังแกเด็ก" แม้จะพูดออกมาอย่างนั้น แต่ทว่าทั้งสีหน้าและท่าทางของเจ้าหล่อนกลับตรงกันข้าม
“ไม่หรอก...คุณอย่าคิดมาก ผมไม่ถือว่านอกใจ...ผมแค่นอกกายเท่านั้นเอง" คนถูกถามผละหน้าออกมาจากซอกคอหอมกรุ่นนั่นเพื่อตอบคำถาม น้ำเสียงทุ้มต่ำฟังดูไม่ยี่หระ
หญิงสาวหัวเราะคิกคักกับคำตอบที่ได้ฟัง "โอเคค่ะ งั้นอยากจะนอกกายอีกเมื่อไหร่ก็โทรหาเจนนี่ได้ตลอดนะ ยินดีรับใช้เสมอ...”
กวินไม่ได้สนใจกับคำพูดของหญิงสาวตรงหน้ามากนัก สัมผัสจากฝ่ามือของเขาที่ลูบไล้ไปตามผิวกายนุ่มหยุ่นตรงหน้าอย่างหื่นกระหายต่างหากที่เป็นจุดโฟกัส ณ ขณะนี้
“โชคดีจริงๆที่ปอมไม่อยู่ตั้งปีนึง ไม่งั้นผมคงได้แห้งตาย" ช่างภาพหนุ่มกล่าวเบาๆด้วยความไร้สติ สายตาคู่คมยังคงไม่ละออกจากส่วนเว้าส่วนโค้งบนเรือนร่างหญิงสาว
“...คิดไม่ผิดเลยที่ผมส่งเขาไป...”
.
.
.
“พี่วิน! ไม่เอา...อย่าทำ!” น้ำเสียงตื่นตระหนกดังขึ้นท่ามกลางความเงียบแผ่วเบา เหงื่อกาฬไหลอาบทั่วใบหน้า "...หยุดสิ!”
เด็กหนุ่มพลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงทั้งที่ยังคงหลับตาแน่น คิ้วทั้งสองข้างขมวดตัวเข้าหากันจนแทบจะเป็นปม
ภาพที่เห็นอยู่ในหัวดำเนินไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงฉากที่หากเป็นละครแล้วล่ะก็ กล้องก็คงต้องแพนไปที่โคมไฟตามระเบียบแน่ๆ...
ในที่สุดเด็กหนุ่มก็สะดุ้งขึ้นสุดตัว แล้วลืมตาตื่นขึ้นจากฝัน...
“เชี่ย...” จักรวาลสบถขึ้นเบากับตัวเองทันทีที่ได้สติ
ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงเสียจนรู้สึกได้...
สิ่งที่เห็นในฝันเมื่อสักครู่ชัดเจนมากเกินไป ทั้งภาพทั้งเสียง...สมจริงยิ่งกว่าหนังสี่มิติ...
เด็กหนุ่มยังคงนอนตะแคงหายใจหอบขณะพยายามเรียกสติให้กลับเข้าหัว นึกปลอบตัวเองอยู่ในใจว่าช่วงนี้เขาคงจะทำงานเยอะแล้วเหนื่อยมากไปจนฝันเพ้อเจ้อเท่านั้นเอง...
หากแต่...เมื่อกำลังจะข่มตานอนอีกครั้งนั้นเอง...
จักรวาลก็เพิ่งรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่พาดอยู่บริเวณเอวเขาไว้ ตามมาด้วยการรับรู้ถึงวัตถุชิ้นใหญ่ที่ทาบทับอยู่ทางด้านหลัง และเมื่อขยับมือลงไปคลำดูแถวๆเอวนั้นก็พบว่ามันคือแขนคน...
เพียงเท่านั้นเด็กหนุ่มก็ต้องรีบหันกลับไปมองตาเหลือกด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ
ก่อนจะพบกับใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นเคยนอนลืมตายิ้มแฉ่งส่งมาให้เขาในความมืด
อะไรวะ?...ฝันซ้อนฝัน?...
“ตกลงนี่กูยังไม่ตื่นเหรอเนี่ย...” เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเองด้วยความมึนงง สองมือป่ายปะไปตามร่างที่กอดเขาไว้...
...เออ...มันเหมือนของจริงนะ...
“ห...ห...เห้ย!”
เด็กหนุ่มร้องเสียงดังลั่นห้องที่เงียบสงัดแห่งนี้ทันทีที่ตระหนักได้ว่าเขาตื่นแล้วจริงๆ...ไม่ใช่ฝันซ้อนฝันอย่างที่คิดเมื่อครู่ ก่อนจะรีบผุดลุกผุดนั่งกระเถิบไปด้านหลังเพื่อมองใครอีกคนที่อยู่บนเตียงด้วยกันชัดๆจนต้องตกเตียงไปด้วยความซุ่มซ่าม
เพียงเท่านั้นคนที่นอนยิ้มอยู่ก็จะต้องรีบยันตัวขึ้นบ้าง "ระวังหน่อยสิ! เดี๋ยวก็ได้เลือดตกยางออกเอาตอนกลางดึกกันพอดี" แขนแกร่งเอื้อมมาฉุดคนรักที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบหนึ่งเดือนเต็มๆให้กลับขึ้นมานั่งบนเตียง
“...พ...พี่วิน...” เด็กหนุ่มอุทานเสียงเบาหวิว ในหัวยังคงมึนงงและสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่ยังไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ "...ม...มาได้ไงอ่ะ?”
คนเพิ่งตื่นหันซ้ายหันขวาสำรวจไปทั่วห้องเพื่อเป็นการย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่านี่เขายังอยู่ที่ห้องในนิวยอร์ก...ไม่ใช่กรุงเทพฯ
...โผล่มาจากไหนล่ะเนี่ย...พี่วิน?...
.
.
.