32 - Two families (1)
หลับเป็นตาย
ผมว่าผมเข้าใจคำนี้แล้วล่ะ แต่ไม่ใช่จากตัวผมเองนะ
จากไอ้พวกรุ่นพี่ปี3ต่างหาก...
“เอ่อ...พี่แซค ผมว่าพี่ไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีมั้ย?”
“ทำไมวะ?” ลุงรหัสผมถามขณะที่รถทัวร์ปรับอากาศตามธรรมชาติแล่นเข้ามาจอดหน้าคณะเป็นคันแรก
“อุ๊บ...ฮ่าๆๆๆ คือ...ฮ่าๆๆๆ”
“จะขำอีกนานมั้ยไอ้แกนไอ้ทัชไอ้แทน” งะ เสียงเข้มเลย
“อ่ะ ครับๆ ไม่ขำแล้ว...คือพี่แซคจะได้สดชื่นไงครับ” ไอ้ทัชตอบพลางกลั้นขำ “เอ้อ พี่เติ้ลกับพี่โอด้วยนะครับ”
ซึ่งพวกรุ่นพี่ปี3นี้ก็ได้แต่ทำหน้างง มึนๆเบลอๆเนื่องจากเพิ่งตื่นนอนหลังจากที่หลับมาตลอดทาง แล้วสาเหตุที่พวกผมบอกให้พวกลุงๆแกไปล้างหน้านั่นก็เพราะ...
“เชี่ยยยยยยยยยย!! หมาตัวไหนมันบังอาจมาทำร้ายหนังหน้าสุดหล่อของกูวววววววววววว!!!”
โอยยยย แหกปากลั่นรถเลยครับพี่เติ้ล
“อย่าให้กูรู้นะว่าใคร กูจะสั่งซ่อมแม่งทั้งรุ่น ตัดสายรหัสตัดเกียร์แม่ม!”
ก็อย่างที่ได้ยิน ปากกาเคมีซึ่งปกติไว้เขียนบนไวท์บอร์ดแต่ตอนนี้มันถูกใช้งานโดยการนำมาเขียนบนใบหน้าของพวกพี่เขาทั้ง3เนี่ยแหละครับ...ถามว่าใครเป็นคนร้าย?
นู่นนนนนนนน คู่รักประธานค่ายหมูหนอยออยแต่เซาโน่นไง ขำคิกๆๆๆกันอยู่2คน ไอ้ที่พี่แซคขู่ว่าจะสั่งซ่อมเห็นทีคงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อคนร้ายดันเป็นรุ่นพี่ซะนี่ ส่วนที่เหลือทั้งรถเมื่อได้เห็นใบหน้าอันเต็มไปด้วยศิลปะก็...ฮาแตกสิครับท่าน
แล้วปี3อีกคนละ? ไม่โดนรึไง?
ตอบ ไม่โดนครับ เพราะมันนั่งหน้าหล่ออยู่ข้างผมนี่ไง กวนใจผมมาตลอดทาง คนจะหลับก็ไม่ได้หลับ (ซึ่งนับว่าเป็นข้อดี) แถมมีส่วนรู้เห็นกับขบวนการละเลงศิลปะบนใบหน้าในครั้งนี้อีกด้วย
เอาละครับ เมื่อไปล้างหน้าล้างตากันเรียบร้อยแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
“เจอกันเปิดเทอมเว้ยยยยยยยย”
มีเวลาพักประมาณ1สัปดาห์ก่อนที่จะกลับเข้ามาสู่วงเวียนชีวิตอีกครั้ง
ผมสะพายกระเป๋าเดินตรงไปยังหน้าประตูทันทีที่ร่ำลากับเพื่อนๆพี่ๆในค่ายจนเกือบครบทุกคน ผมคงไม่กลับหอ ตอนนี้อยากเจอหน้าสุดสวยมากกว่า เลยเดินออกมาคนเดียว ทั้งเหนื่อยทั้งง่วง กลับถึงบ้านคงขอนอนหลับยาวๆ
“จะไปไหน?”
ทำไมกูหนีไม่พ้นมันสักทีวะ? ว่าแอบหลบๆออกมาแล้วนะ...
“กลับบ้านสิวะ”
“งั้นกูกลับด้วย”
ห๊ะ?
เอ่อ...ไอ้เหี้ยพอสมันคงเข้าใจผิด คิดว่าผมจะกลับไปนอนหอสินะ
“กูจะบ้าน ไม่ได้กลับหอ” ผมหันไปบอกมันอย่างเซ็งๆ
“นั่นแหละ ก็บ้านมึงไง”
เชี่ยนี่พูดไม่รู้เรื่องรึไงวะ!?
“บ้านมึงไม่มีให้นอนเหรอไง?”
“มี แต่ไปบ้านมึงก่อนแล้วค่อยไปบ้านกู”
“ตลกละสัด” ผมด่ามัน แต่มันกลับยิ้มหน้าระรื่น หมั้นไส้จริงๆ เดี๋ยวก่อนเถอะมึง ใช่ว่ากูคุยด้วยแล้วกูจะลืมเรื่องงานหมั้นนะ
“ก็ไม่ได้ให้ขำ กูพูดจริงๆ กูบอกแล้วว่าจะพามึงไปเปิดตัวในฐานะ...”
“หยุด!!!!” ผมรีบเบรกมันไว้เลยครับ ก่อนที่มันจะได้พูดคำแสลงหูออกมา “พอเลยมึง นี่กูจะกลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่กู มึงเข้าใจมั้ย?”
นี่กูพูดภาษาไทยแล้วนะ อย่าให้กูต้องพูดภาษาอังกฤษเลย เพราะกูพูดไม่เป็น
“เออน่า....ไม่เป็นไรหรอก แค่ไปสวัสดีนิดๆหน่อยเอง” มันยังคงตื้อจะขอไปด้วยให้ได้ “อีกอย่างกูสั่งกรอบรูปร้านมึงไว้”
สั่งกรอบรูป?
ผมหรี่ตาลงอย่างสงสัย
มันสั่งตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ไปเถอะ เย็นแล้ว มึงอยากนอนไม่ใช่เหรอไง?” สุดท้ายแล้วมันก็ลากผมไปที่รถมันจนได้
เอาเถอะ มันไปในฐานะรุ่นพี่ คงไม่มีอะไรมั้ง...
โอเคผมคิดผิด....ว่ามันไม่มีอะไร....แต่แท้จริงแล้ว....มันมีเต็มๆเลยต่างหาก!!!
“สุดหล่อ ลงมากินข้าวได้แล้วจ้า” เสียงม๊าผม แต่...ไม่ได้เรียกผม! เรียกไอ้คนที่กำลังเดินลงบันไดนั่นมาต่างหาก แถมมันไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องใดๆกับครอบครัวผมทั้งสิ้น!
ซึ่งปกติแล้ว ‘สุดหล่อ’ ม๊ามักจะใช้เรียกผม...แต่นี่มันไม่ปกติไง สุดหล่อเลยกลายเป็นคำเรียกของอีกคนที่หล่อ(จริงๆ)ไปซะได้
“ครับผม”
เดินมาหน้าระรื่นเชียวนะมึง! ไม่รู้ว่าม๊าผมเห็นดีเห็นงามอะไรในตัวมันถึงได้เอาใจมันอย่างกับลูกชายคนโตของบ้านแบบนี้
พอมาถึงบ้านผมก็รีบวิ่งเข้ามาสวัสดีป๊ากับม๊าแล้วรีบวิ่งขึ้นห้องนอนเพราะมันง่วงมาก แบบว่าตาจะปิดให้ได้ กะว่าทิ้งให้คนข้างหลังเคลียร์กับม๊าและป๊าเอาเอง แต่...มันกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น คนที่ผมว่าโดนไล่ตะเพิดไปแล้วกลับมานอนอยู่ข้างๆ
ให้ตายเถอะ! สุดสวยผมยอมให้มันนอนค้างอย่างง่ายดายแถมยังหาข้าวหาปลาให้กินอีกต่างหาก
แล้วห้องนอนที่มันนอน...ก็ห้องผมนั่นแหละ แต่ยังดีที่มันรู้จักกาลเทศะ ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการกอดเฉยๆ ทว่าผมชักหวั่นใจ ในเมื่อเมื่อคืนมันกระซิบบอกกับผมว่า
‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’
หึ ระวังเถอะ เปรี้ยวก็ไม่ได้กิน หวานก็ไม่ได้แดก!
“อ้อ คุณพ่อผมถูกใจกรอบรูปแต่งงานของพี่ชายผมมากๆเลยครับ ท่านเพิ่งโทรมาบอกผมเมื่อสักครู่นี่เอง” คนที่คนก็รู้ว่าใครพูดขึ้นขณะนั่งลงบนโต๊ะกินข้าว โดยมีผมยืนตักข้าวให้มันอยู่!
นี่ถ้าม๊าไม่สั่งก็อย่าหวังเลยว่าผมจะตักให้น่ะ
และจากคำบอกเล่าของ ‘สุดหล่อ’ ทำให้ป๊าผมที่กำลังคีบไก่จ้อเข้าปากถึงกับชะงักและรอยยิ้มน้อยๆก็เผยอขึ้นก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็ว
“แถมยังบอกว่าจะสั่งอีก แต่คราวนี้ขอเป็นรูปแต่งงานของคุณพ่อกับคุณแม่ผมแทนน่ะครับ”
โว๊ยยยยยยยยยยยยยย! ป๊ากู! จะยิ้มทำไมวะนั่น!!
ให้ตายเหอะ ร้อยวันพันปีป๊าแทบไม่ยิ้ม แต่ดันมาเผยไต๋ให้ไอ้คุณชายบ้านหล่อรวยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับครอบครัวผมเลยสักนิด
ผมยื่นจานข้าวให้มัน กระแทกลงแรงๆให้รู้ว่าไม่พอใจ ซึ่งมันก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากมองผมแบบเป็นต่อ
เกลียดแม่งจริงๆ
แต่ที่เกลียดยิ่งกว่าก็คือ...ทำไมม๊ากับป๊าต้องเห็นดีเห็นงามไปกับมันด้วยฟ่ะ? แค่มันบอกว่าจะมาค้างสัก2-3คืน เพื่อที่จะช่วยผมให้ลงทะเบียนเรียนได้ถูกต้อง ไอ้ตัวผมน่ะลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท แต่ถึงยังไงก็เดี๋ยวโทรถามไอ้ทัชไอ้แทนไม่ก็เมฆเอาก็ได้ พวกมันลงเรียนไรกันผมก็ลงตามหมดนั่นแหละ
แต่สำหรับคนเก่งอย่างมันที่แต่ละเทอมไม่เคยได้เลี้ยงหมาเลี้ยงแมว มีแต่เลี้ยงนกเลี้ยงหมดอย่างมันก็สามารถหาข้ออ้างได้อีก
“ผมว่าเกรดของแกรนด์เทอมนี้ก็อยู่ในระดับพอใช้นะครับ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าเทอม2แกรนด์ทำได้มากกว่า เพราะปี2ปี3ขึ้นไปเนี่ย ผมบอกตามตรงเลยว่าหืดขึ้นคอ ตัวผมยังแทบเอาไม่รอด” มันเริ่มแล้วครับ
“อ้าวแล้วทีนี้ต้องทำไงล่ะ?” ป๊าขมวดคิ้วถามทันที
“ต้องมีคนช่วยติวครับ ที่บ้านผมมีหนังสือไว้สำหรับอ่านวิชาเฉพาะโดยตรงและแม่นมากครับ ผมจะเอามาให้แกรนด์ แต่...”
“แต่อะไรเหรอจ๊ะ?” ม๊าผมถามบ้าง
“คือมันเยอะน่ะครับ ครึ่งหนึ่งอยู่ที่บ้าน อีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่ห้องผมครับ’ คนหวังดีทำหน้าหนักใจก่อนจะคลายสีหน้า ‘แต่ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมทยอยเอามาให้แกรนด์ก็ได้”
“หืม? งั้นเอางี้สิ เดี๋ยวม๊าจ้างพอสเป็นติวเตอร์ให้กับแกรนด์ดีมั้ย?”
ไม่ดีครับ!!!!!! .. ผมกำลังจะตอบออกไปแบบนั้น เพียงแต่ว่ามันยังไม่เร็วพอ
“ไม่ต้องจ้างหรอกครับ ผมเต็มใจ เพียงแต่ผมอยู่ปี3แล้ว ไม่ค่อยมีเวลาว่างตรงกับแกรนด์เค้าเท่าไหร่ จะว่างจริงๆก็คือเสาร์-อาทิตย์กับช่วงค่ำเลยน่ะครับ”
ผมว่าผมได้กลิ่นทะแม่งๆ
“คือมันจะสะดวกกว่ามั้ยครับถ้าให้แกรนด์ย้ายมาอยู่กับผม...”
“เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!” ผมร้องขึ้นมาทันที ไอ้บ้านี่จู่ๆมันก็ขอให้ผมย้ายไปอยู่กับมันเนี่ยนะ ใช้หัวสมองหรือหัวเข่าคิดวะ
“อยู่บนโต๊ะทานข้าว ทำตัวให้ดีๆหน่อยแกรนด์” เวง โดนป๊าดุเลย แต่ช่างเถอะ ไงป๊ากับม๊าผมก็ไม่ยอมอยู่แล้ว...
“เอ่อ..ครับ...ผมเห็นว่ามันสะดวกดีน่ะครับ แต่ถ้าแกรนด์เค้าไม่สบายใจที่จะอยู่กับผม...ก็ไม่เป็นไรครับ” ทำไมมึงทำน้ำเสียงได้น่าสลดใจแบบน้านนนนนนนนนนนนน
“แกรนด์ไม่อยากเรียนเก่งขึ้นเหรอลูก? พี่พอสเค้าอุตส่าห์หวังดีขนาดนี้” ม๊าหันมาทางผม
อ่าว กูผิดอีก-*-
ไม่ได้การละ ต้องแก้ตัวบ้าง ขืนนั่งเงียบอยู่แบบนี้เข้าแผนไอ้เหี้ยพอสแน่ๆ
“คือผมเกรงใจพี่พอสครับ ไหนจะค่าน้ำค่าไฟค่าหอ ไหนพี่เค้าจะต้องสละเวลามาติวให้ผมอีก มันวุ่นวาย อย่าดีกว่าครับ ไปหาติวเตอร์ข้างนอกก็ได้” ป๊ากับม๊าเริ่มมีทีท่าลังเล
“แต่พวกที่สอนข้างนอก ส่วนใหญ่มัน...เอ่อ..คือยังไงดีละครับ...เพื่อนผมหรือรุ่นน้องผมที่เรียนๆกันมาบอกว่าไม่ค่อยดีเลย แบบว่าไม่มีใจจะสอน คิดจะงดสอนก็งด แถมยังสอนไม่รู้เรื่อง เสียเงินเสียเวลาเปล่าๆครับ”
“อืมมมมมมมมมม”
“ส่วนเรื่องค่าน้ำค่าไฟค่าห้องก็หารครึ่งก็ได้ครับ อีกอย่างแกรนด์เคยบ่นว่าอยู่หอคนเดียวมันเหงาน่ะครับ”
เชี่ยพอสสสสสสสสสสส!! กูเคยบ่นแบบนั้นเมื่อไหร่วะ!?
“จริงเหรอลูก อยู่คนเดียวเหงาเหรอ?”
“ไม่...”
“อืม งั้นตกลงตามนี้แหละ ย้ายไปอยู่กับพี่เค้าซะ ให้พี่เค้าติว อีกอย่างจะได้ช่วยให้พี่เค้าคุมความประพฤติลูกด้วย”
“แต่...”
“พรุ่งนี้ก็สิ้นเดือนพอดี งั้นไปทำเรื่องย้ายออกเลยแล้วกัน ไหนๆก็เสียค่ามัดจำครบ3เดือนแล้วนี่”
“เดี๋ยว...”
“ครับ ผมจะดูแลแกรนด์ให้ดีที่สุด”
ว๊ากกกกกกกกกกกก กูจะพ่นไฟ!! มีใครฟังความเห็นของผมบ้างมั้ยเนี่ยยยยยยยยยยยยยย
ผมหันไปทางคนที่ต้องเป็นติวเตอร์และต้องไปอาศัยอยู่ด้วย....
ยิ้มแก้มแทบแตกเลยนะมึง เดี๋ยวก่อนๆ...ชำระแค้นปีหน้าก็ยังไม่สาย!!
โปรดติดตามตอนต่อไป
ไฟลนก้น ดินพอกหางหมู .. . อืมม...จะสอบก็งี้แหละ T_______________T