ร้านเปิดแล้วนะคะ เชิญท่านลูกค้ามาใช้บริการได้เลยค่า 
Miracle Café /8
วันจันทร์ซึ่งเป็นวันเปิดร้านวันแรก วาโยตื่นแต่เช้าเพราะความตื่นเต้น เขาลุกขึ้นมาลองเครื่องแบบอีกครั้งเพื่อเช็คความเรียบร้อย ก่อนจะถอดออกเป็นชุดลำลอง และลงไปด้านล่างเผื่อว่าจะช่วยงานอะไรชานนได้บ้าง
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณวาโย ตื่นแต่เช้าเชียวนะครับ”
ชานนทักทาย เขาเองกำลังยืนรดน้ำต้นไม้รอบ ๆ บ้านพัก ซึ่งพอวาโยเห็นก็รีบอาสาทันที
“ให้ผมช่วยไหมครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ใกล้เสร็จแล้วล่ะครับ”
ชานนบอก ซึ่งวาโยมองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าดินรอบต้นไม้แต่ละต้นแลดูชุ่มชื่น แสดงให้เห็นว่าที่อีกฝ่ายพูดนั้นไม่ได้โกหกเขาแต่อย่างใด
“คุณชานนตื่นเช้าจังเลยนะครับ”
วาโยชวนคุยพลางแอบคิดถึงที่อีกฝ่ายเคยบอกเขาว่าตื่นตั้งแต่ตีสี่ตีห้าเป็นประจำ ซึ่งดูเหมือนว่านั่นจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว
“มันติดน่ะครับ สมัยก่อนที่เคยทำร้านอาหารเอง ผมต้องออกไปซื้อกับข้าวมาเตรียมทำตั้งแต่ตีสามตีสี่ กว่าจะเตรียมเสร็จพร้อมทำ ก็ปาไปตีห้ากว่า เปิดร้านตั้งแต่หกโมงเช้า ปิดก็ราวสองสามทุ่ม ตอนนั้นยอมรับเลยว่าเหนื่อยมาก ๆ แต่พอไม่ได้ทำแบบนั้นแล้วก็รู้สึกเหงาเสียอย่างนั้น ...พอว่างก็เลยต้องหาอะไรมาทำเพื่อแก้เหงานั่นล่ะครับ”
ชานนบอกพร้อมรอยยิ้มและสีหน้าระลึกความหลัง วาโยฟังแล้วก็พยักหน้ารับรู้ แม้จะรู้สึกสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายที่เคยมีร้านของตัวเอง ถึงได้มาเป็นเชฟกับปวีร์แบบนี้ก็ตาม
“เฮ้อ! เรื่องในอดีตก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอดีตเถอะครับ สำหรับผม ปัจจุบันนี้ผมก็มีความสุขดี ...และคงจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น ถ้าร้านค้าที่ผมทำงาน มีลูกค้าเข้ามากินอาหารที่ผมทำ และรู้สึกอร่อยและติดใจบ้างไม่มากก็น้อยล่ะนะครับ”
ชานนเปรยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งวาโยพอได้ฟังก็รีบเสริม
“ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ครับ! ก็อาหารของคุณอร่อยขนาดนั้นนี่ครับ!”
พอโพล่งออกไปได้วาโยก็ชะงัก แต่ก็ยังคงพึมพำตามมา
“จริง ๆ นะครับ ผมไม่ได้ยอเพราะทำงานด้วยกัน แต่เพราะฝีมือคุณอร่อยจริง ๆ ...ขนาดไข่เจียวเมื่อวันก่อนนั่น ก็ยังอร่อยมาก ๆ เลย”
ชานนมองชายหนุ่มอ่อนเยาว์กว่าเขาตรงหน้าด้วยความเอ็นดู เจ้าตัวยิ้มแย้มอ่อนโยน แล้วบอกกับอีกฝ่าย
“ขอบคุณมากนะครับ สำหรับคำชมที่มีค่าของคุณ”
วาโยมองอีกฝ่ายแล้วยิ้มเขิน ๆ ตอบ และเมื่อชานนรดน้ำต้นไม้เสร็จแล้ว ชายหนุ่มจึงอาสาเป็นลูกมือในการเตรียมอาหารเช้าให้อีกฝ่ายเอง
มื้อเช้าของทุกคนในบ้านพัก จะเริ่มในเวลา 08.00 น. ของทุกวัน สำหรับมื้อกลางวันนั้นทุกคนจะทานกันที่ร้านในช่วงเวลาพักของแต่ละคน และมื้อเย็น ซึ่งถูกเลื่อนไปเป็นมื้อค่ำ ก็จะกินที่ครัวในร้านกันเลย ยกเว้นวันหยุดวันอาทิตย์ ที่ถ้าไม่มีใครไปไหน ก็จะกินข้าวตามเวลารวมกันที่บ้านพักหลังนี้
“อา...วันนี้เป็นอาหารเช้าแบบไทย ๆ แทนหรือครับ ...โอ๊ะ แกงจืดวุ้นเส้นหมูสับ ของโปรดผมเลยนะเนี่ย!”
กวินที่ลงมาพึมพำอย่างถูกอกถูกใจ ส่วนคนอื่น ๆ นั้นมองอาหารตรงหน้าอย่างพึงพอใจ แม้จะไม่ใช่อาหารหรูเหมือนเมื่อวานนี้ก็ตาม
“ผมทำตามรีเควสของคุณวาโยในวันนี้น่ะครับ เป็นการขอบคุณที่ตื่นลงมาเป็นผู้ช่วยให้ตั้งแต่เช้า”
วาโยบอกแล้วหันไปยิ้มให้กับชายหนุ่ม ซึ่งวาโยก็ยิ้มตอบน้อย ๆ อย่างขัดเขิน
“ส่วนพวกคุณ ไว้ผมจะทำใบรายการอาหารประจำวันไปให้นะครับ ลองเขียนที่อยากกินมา แล้วผมจะได้มาประยุกต์เป็นอาหารเช้าในแต่ละมื้อ จะได้หมุนเวียนทำอาหารที่แต่ละคนชอบไปในตัวด้วย”
วาโยบอกกับคนอื่น ๆ ซึ่งแต่ละคนก็รู้สึกขอบคุณในความเอาใจใส่ของอีกฝ่ายอยู่มากทีเดียว หลังจากนั้นพวกเขาก็ประจำที่และเริ่มลงมือทานอาหารเช้ากันอย่างพร้อมเพรียง
“อ๊ะ...ทำไมนายเขี่ยผักชีออกแบบนั้นล่ะริน ของดีเลยนะนั่น!”
กวินที่หันไปเห็นการินกำลังเขี่ยผักชีที่ติดวุ้นเส้นมาออกไปไว้ข้าง ๆ จาน โวยวายขึ้น ทำเอาคุณหนูประจำบ้านพักต้องหันขวับมามองอย่างไม่พอใจ
“ก็ไม่ชอบกินนี่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วยล่ะ”
วาโยลอบไปถอนหายใจเมื่อเห็นไม้เบื่อไม้เมาทั้งสองเริ่มปะทะคารมกันอีกครั้ง
“เหอะ! เลือกกินชะมัด ตัวถึงได้ผอมแบบนี้”
กวินบอกอย่างหมั่นไส้ แต่คนที่โดนหางเลขพาดพิงนั้นสะดุ้งโหยง แล้วพึมพำเสียงแผ่ว
“ฉันก็ไม่ได้เลือกกินสักหน่อย มันไม่อ้วนเองต่างหาก”
กวินชะงัก แล้วหันไปมองรูมเมทข้าง ๆ ที่นั่งหน้าจ๋อย ส่วนการินหลุดยิ้มสะใจเล็กน้อยที่เห็นสีหน้าเหวอด้วยความตกใจแบบนั้นของคนที่กวนโมโหเขา
“ง่า...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพาดพิงนายหรอกนะโย ถึงนายตัวจะเล็กแต่ก็แข็งแรงไม่ใช่เหรอ แค่นั้นก็ดีแล้วน่า!”
กวินรีบปลอบ และคำปลอบของเขาก็ทำให้อีกฝ่ายคลายกังวลขึ้นมาได้ ส่วนคนอื่นนั้นไม่ได้พูดอะไร พวกเขาได้แต่กินข้าวเช้ากันต่อเงียบ ๆ แต่ก็อดคิดตามคำพูดของกวินเรื่องความแข็งแรงของวาโยไม่ได้ เพราะเมื่อวานนี้ตอนทำความสะอาด อีกฝ่ายก็ยกของที่ค่อนข้างหนักได้อย่างสบาย ๆ เลยด้วยซ้ำ
“แต่ว่าคุณนนเล่นทำอาหารได้แทบทุกอย่างแบบนี้นี่สุดยอดเลยนะครับ เป็นเชฟมานานแล้วหรือครับ”
กวินหันมาทางชานนแล้วเปลี่ยนเรื่องพูดเป็นอย่างอื่น ซึ่งเชฟหนุ่มก็ยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบ
“ก็ไม่นานนักหรอกครับ ส่วนใหญ่ผมก็อาศัยครูพักลักจำเอาเสียมากกว่า แต่พอมาทำงานกับคุณปวีร์ก็ถูกส่งให้ไปเรียนและสอบใบวิชาชีพมา ทีแรกก็ไม่อยากไปหรอกครับ แต่โดนบ่นใส่หน้าว่ามีฝีมือขนาดนี้แล้วจะเป็นแค่พ่อครัวทั่วไปมันก็น่าเสียดายอยู่ ก็เลยต้องไปเรียนแล้วก็สอบมาจนได้”
คนอื่น ๆ รับฟังเรื่องราวของอีกฝ่ายอย่างสนใจ แม้แต่การินซึ่งเป็นหลานของปวีร์เองก็รู้จักชานนเพียงผิวเผิน เขาเคยได้ยินผู้เป็นอาพูดให้ฟังเมื่อนานมาแล้วว่า ได้พ่อครัวฝีมือดีมาประจำบ้าน เพิ่งมารู้ทีหลังว่าคือชานนนี่เอง
“แสดงว่าคุณก็ทำงานกับคุณปวีร์มานานแล้วสินะครับ”
ภูริถามอีกฝ่ายอย่างสงสัย ซึ่งชานนก็หันไปยิ้มแล้วตอบตามตรง
“ใช่แล้วครับ ผมทำงานกับคุณปวีร์มาจะสองปีแล้ว พอเขาตัดสินใจเปิดร้าน เขาก็เลยชวนผมไปเป็นพ่อครัวให้ที่ร้าน แถมยังมีเงินเดือนต่างหากให้อีก ...ทั้งที่ผมบอกแล้วว่าเงินเดือนพ่อครัวที่เจ้าตัวจ่ายให้อยู่ประจำนี่ก็พอแล้วแท้ ๆ”
ท้ายประโยคชานนพึมพำอย่างเอือมระอา แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นยิ้มแย้มให้กับคนอื่น
“ว่าแต่วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดร้าน ผมขอแนะนำให้ทุกคนรีบไปให้ไวกว่าปกติจะดีกว่านะครับ ...เพราะคงจะมีคนมาสนใจมอง ๆ ร้านของพวกเราแต่เช้าอยู่บ้าง ผมว่าถือโอกาสนี้ช่วยประชาสัมพันธ์ และชักชวนลูกค้าน่าจะดี พอถึงเวลาเปิดร้านจริง ๆ ร้านจะได้ไม่ดูโล่งไปนัก”
ชานนแนะนำ ซึ่งพอได้ฟังแต่ละคนก็ต่างเห็นดีด้วย แล้วจึงรีบจัดการอาหารเช้ามื้ออร่อยจนหมดเกลี้ยง จากนั้นแต่ละคนที่คิดจะช่วยเชฟหนุ่มเก็บจานชามล้าง ต่างถูกไล่ให้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวพร้อมสำหรับการไปทำงานในวันแรก ด้วยรอยยิ้มกึ่งบังคับ ที่ทำให้ทุกคนในบ้านพักต้องยิ้มแห้ง ๆ แล้วกลับขึ้นห้องของพวกเขาไป พลางคิดในใจไม่แตกต่างกันว่า คนอ่อนโยนยิ้มง่ายเวลาเอาจริงก็ดูน่ากลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
วาโยมองตัวเองในกระจกห้องน้ำ แล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพึมพำตามมา
“เอาล่ะ เพอร์เฟกต์!”
จากนั้นชายหนุ่มจึงเดินออกจากห้องพัก แล้วเขาก็ต้องพบกับกวินที่ยืนหน้ายุ่ง ๆ อยู่แถวนั้น
“มีอะไรหรือ วิน ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
วาโยถามอย่างสงสัย ซึ่งอีกฝ่ายก็ยกเนคไทให้เขาดู
“ก็นี่น่ะสิ ฉันพยายามผูกอย่างที่นายสอนแล้ว แต่ก็ไม่รอดอยู่ดี”
วาโยมองเนคไทที่ผูกเบี้ยว ๆ อย่างนึกขำ คราวที่แล้วตอนลองเครื่องแบบเขาก็สอนและผูกให้อีกฝ่ายไปหนหนึ่งแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามันจะยังเป็นเรื่องยากสำหรับกวินอยู่ดี
“มา...ฉันผูกให้”
วาโยบอกแล้วขยับเข้ามาผูกเนคไทให้อีกฝ่าย ซึ่งพอเรียบร้อยแล้วกวินก็ยิ้มกว้างแล้วบอกกับรูมเมทของตน
“ขอบคุณมาก! นึกว่าจะไม่รอดแล้วเสียอีก!”
“เวอร์ไป ก็แค่ผูกเนคไท ...เดี๋ยวกลับมาแล้วจะสอนให้อีกรอบ คราวนี้จะได้ผูกเองเป็นสักที”
วาโยบอกอย่างนึกขำ แล้วจากนั้นทั้งสองก็ออกจากห้องและแวะไปที่ห้องของการิน
“ริน! เสร็จหรือยัง!”
กวินเคาะประตูห้องอีกฝ่ายค่อนข้างดัง จนวาโยต้องรีบห้ามเพราะเกรงว่าจะกลายเป็นการเปิดศึกชวนทะเลาะขึ้นอีกครั้ง
“...เสร็จเรียบร้อยแล้ว”
การินเปิดประตูออกมาด้วยใบหน้าบึ้งตึงอย่างที่คิด ทว่ากวินนั้นกลับยิ้มกว้างทักทาย จนคนที่ทำหน้าบึ้งเริ่มบึ้งหนักขึ้นไปอีก
“เอ่อ...ขอโทษที่รบกวนนะริน พอดีเราอยากไปที่ร้านพร้อมกันน่ะ ก็เลยแวะมารับ”
วาโยรีบอธิบายแล้วมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเป็นกังวล ทำให้คนที่กำลังหงุดหงิดชะงัก แล้วถอนหายใจแรง ๆ ตามมา
“อืม...ก็ไม่ได้รบกวนอะไรนักหรอก...”
“เห็นไหมล่ะ โย หมอนี่ออกจะดีใจที่มีคนมารอไปพร้อมกัน”
กวินแทรกขึ้นก่อนที่การินจะพูดจบ ทำเอาอีกคนเม้มปากน้อย ๆ ชักจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกรอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะนะ”
วาโยรีบแทรกตัวกั้นกลางเพื่อห้ามทัพ แถมยังคล้องแขนการินดึงตัวออกมาเสียก่อน ด้านการินนั้นสะดุ้งด้วยความตกใจ เพราะไม่เคยมีเพื่อนคนไหนที่สนิทกับเขาถึงขนาดจับเนื้อต้องตัวแบบนี้ หรือจริง ๆ แล้วก็คือ การินแทบจะไม่มีเพื่อนสนิทคนไหนเลยสักคน
“เอ่อ ...คือ”
การินทำท่าจะบอกกับวาโยเรื่องแขนของเขา แต่พอเห็นรอยยิ้มของวาโยที่หันมามองเขา ชายหนุ่มก็พูดอะไรไม่ออก
“เหอะ...สนิทกันดีจังน้า”
กวินเปรยขึ้นอย่างนึกอิจฉาขึ้นมาบ้างนิด ๆ ทำเอาวาโยต้องหันไปมองรูมเมทอย่างแปลกใจ
“มีอะไรหรือไง ...อ๊ะ”
วาโยถามแล้วมองตามสายตาอีกฝ่ายไปยังแขนของตน ก่อนจะสะดุ้งแล้วรีบปล่อยอย่างลืมตัว
“ขอโทษ...เอ่อ ไม่ชอบสินะ ฉันเผลอไปน่ะ”
การินมองคนที่ทำหน้าสำนึกผิดแล้วก็สงสาร และอีกอย่างเขาก็ไม่ได้นึกรังเกียจอะไรเลยสักนิด
“ก็ไม่ได้ไม่ชอบหรอก...แค่เวลาเดินเกาะกันไปแบบนั้น มันค่อนข้างเดินลำบากแค่นั้นล่ะ”
ชายหนุ่มหน้าสวยแก้ตัว ทำให้คนฟังยิ้มออกขึ้นมาได้
“นั่นสินะ ถ้าเผลอลาก ๆ ดึง ๆ กันลงบันได อาจจะตกบันไดก็ได้”
วาโยบอกพร้อมรอยยิ้ม ทำให้การินลอบถอนหายใจ และนึกขำในความใสซื่อของอีกฝ่ายยิ่งนัก ส่วนกวินเองนั้นก็คิดไม่ค่อยแตกต่างกับอีกฝ่ายเท่าใด เขาว่าตัวเขาเข้ากับคนง่ายแล้ว แต่ความเป็นมิตรและจริงใจที่วาโยมีให้คนอื่น ๆ นั้น ตัวเขาเองยังสู้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“โอเค ในเมื่อพร้อมแล้วสองห้อง ต่อไปก็ห้องเบอร์หนึ่ง!”
กวินโพล่งขึ้นแล้วเตรียมจะเคาะประตูห้องโดยที่วาโยยังไม่ทันออกปากห้าม ทว่าประตูห้องก็เปิดออกมาเสียก่อน
“ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องเคาะเรียกแล้วล่ะนะ เพราะพวกฉันเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
รุจบอกด้วยสีหน้ากึ่งขำ เพราะเสียงเอะอะโวยวายด้านนอกนั่น แว่วเข้ามาให้เขาได้ยินหมดแล้ว ส่วนภูรินั้นสั่นศีรษะน้อย ๆ อย่างเอือมระอาต่อความร่าเริงเกินพิกัดของเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องคนนี้ แต่พอหันไปสบตากับวาโย ชายหนุ่มก็เบือนหน้าหลบตาไปอีกทาง ทำให้วาโยลอบถอนหายใจกับตัวเอง เพราะคิดว่าภูริคงจะไม่ค่อยชอบหน้าเขา หลังจากเกิดเหตุการณ์ตอนที่เขาเผลอพูดสั่งสอนอีกฝ่ายออกไปเมื่อวันก่อน
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนพร้อมแล้วเราก็ไปเริ่มต้นการทำงานในวันแรกนี่กันเถอะ!”
กวินสรุปเอาเอง แล้วเดินนำหน้าไปอย่างขยันขันแข็ง ทำให้คนอื่น ๆ ที่มองตามไล่หลังไป ไม่ยักไหล่ก็สั่นศีรษะ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ความกระตือรือร้นของอีกฝ่ายนั้น เป็นแรงกระตุ้นในการทำงานอย่างดีเหมือนกัน
เหลือเวลาอีกเกือบสองชั่วโมงจึงจะถึงเวลาเปิดร้าน พวกวาโยนั้นเตรียมจัดเตรียมปัดกวาดเช็ดถูร้านอีกรอบ แล้วจึงนำป้ายกระดานร้านออกมาวางด้านหน้าให้เห็นชัด ๆ ก่อนจะยกเก้าอี้กลมสีขาวออกมาตั้งด้านนอก สำหรับลูกค้าที่จะแวะมานั่งพักหรือนั่งรอคิวหากมีลูกค้าเต็มร้าน
“สวัสดีครับ ร้าน Miracle café ของเราวันนี้เปิดทำการวันแรกนะครับ ตอนสิบเอ็ดโมงเช้านี้ ถ้ายังไงก็เชิญมาใช้บริการได้นะครับ!”
กวินบอกกับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มีหญิงสาวหลายคนทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ ที่พอเห็นพนักงานหนุ่ม ๆ รูปหล่อ พวกเธอก็พากันตื่นเต้น และโทรบอกเพื่อนคนอื่นในกลุ่มทันที
“ได้ผลแฮะ แค่ส่งวิน กับคุณภูริไป ก็ได้ลูกค้ามาเพียบแล้ว”
วาโยพึมพำอย่างตื่นเต้น เขาเห็นดังนั้นจึงพยายามดังเช่นคนอื่นทำบ้าง และพอคนเริ่มซาลง ทั้งหมดก็ต่างเข้าไปพักในร้าน เพื่อรอให้ถึงเวลาเปิดร้าน
เสียงกระดิ่งตรงหน้าประตูร้านดังขึ้นทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน ทำให้หนุ่ม ๆ ต่างหันไปมองอย่างแปลกใจ
“ว้าว! มีแต่หนุ่มหล่อ ๆ อย่างที่วีบอกไว้จริง ๆ ด้วย แหม! แบบนี้สวรรค์ชัด ๆ ไม่เสียแรงที่ลาออกจากที่เดิม แล้วมาทำงานที่นี่แทนเลยเนอะ ตา!”
สาวสวยผมยาวดำสลวย มาดเปรี้ยวเฉียบเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น ส่วนสาวผมยาวหยักศก ท่าทางสวยหวานอีกคนนั้นยิ้มแย้มน้อย ๆ ตอบรับ และเท่าที่ทุกคนสังเกต ทั้งสองสาวดูมีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอยู่มากทีเดียว
“เอ๋? ทำไมมองพวกฉันแบบนี้ล่ะ วีไม่ได้บอกอะไรเลยหรือ”
สาวเปรี้ยวอุทานอย่างแปลกใจ ยิ่งทำให้หนุ่ม ๆ งุนงงเข้าไปใหญ่
“หึ ๆ ขอโทษทีแก้ว พอดีฉันลืมบอกพวกเขาไปน่ะ ว่าเธอสองพี่น้องจะมาทำงานด้วย”
เสียงหัวเราะเบา ๆ พร้อมคำตอบดังขึ้นจากคนที่เดินมาจากทางเข้าออกห้องครัวด้านหลังเคาเตอร์ ทุกคนหันไปมองยังต้นเสียง ปวีร์โบกมือทักทายเล็กน้อย ข้างหลังเขามีราเมศเดินตามมาติด ๆ
“ลืมบอก หรือจงใจลืมกันจ๊ะ นายนี่แย่จริง ๆ เลยวี คิดจะแกล้งพวกเขาล่ะสิท่า”
ขวัญแก้วหรือหญิงสาวในมาดเปรี้ยว เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเอือมระอา ส่วนหญิงสาวท่าทางอ่อนหวานข้างกายเธอนั้นยิ้มน้อย ๆ แล้วทักทายกับอีกสองคนที่เพิ่งมา
“สวัสดีค่ะ พี่วี พี่เม”
ปวีร์ยิ้มตอบ ส่วนราเมศแค่นยิ้ม เขาไม่ค่อยชอบชื่อเล่นของตัวเองเท่าใดนัก และคนรู้จักกันส่วนใหญ่ก็มักจะรู้ และไม่ค่อยมีใครเรียกให้ได้ยิน ยกเว้นก็แต่สองสาวสวยตรงหน้า ซึ่งจริง ๆ แล้วพวกเธอเป็นญาติห่าง ๆ ของเขาทั้งคู่
“เอาล่ะ! งั้นฉันขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักเลยนะ สองคนนี้คือพนักงานของร้านเหมือนกับพวกนาย ผู้หญิงคนนี้ชื่อขวัญแก้ว เธอจะมาเป็นผู้ช่วยบาริสต้า และคอยดูแลเรื่องบาร์ทั้งหมด รวมไปถึงเป็นผู้ช่วยเธอด้วยนะรุจ”
รุจพยักหน้ารับรู้ ทีแรกเขาเห็นตารางพักของเขา เขาเองยังแอบคิดว่าใครกันจะมาคอยช่วยรับหน้าที่แคชเชียร์แทนช่วงที่เขาพัก แต่พอรู้แบบนี้ทุกอย่างที่สงสัยไว้ก็ก็ลงตัวหมด
“ส่วนอีกคนชื่อขวัญตา เธอเป็นน้องสาวของขวัญแก้ว จะมาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเชฟของคุณนน เห็นแบบนี้แต่เธอเป็นถึงเชฟขนมของโรงแรมชื่อดังมาก่อน เชียวนะ”
ปวีร์แนะนำทั้งสองสาว ซึ่งทุกคนก็พยักหน้ารับรู้ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นขวัญแก้วยิ้มน้อย ๆ แล้วกระแซะปวีร์เบา ๆ
“แนะนำให้รู้จักมั่งสิวี ใครเป็นใครบ้างน่ะ”
“โอเค ๆ เธอนี่ไม่พลาดเลยนะ เห็นเด็กน่ารัก ๆ หน่อยนี่ไม่ได้เลย”
ปวีร์บอกขำ ๆ ทว่าคนฟังกลับรู้สึกทะแม่ง เพราะถ้าลองเรียกพวกเขาว่าเด็ก แสดงว่าคนพูดรวมไปถึงอีกคน ก็ต้องอายุอานามไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
“คนที่จะทำหน้าที่แคชเชียร์อยู่ประจำบาร์กับเธอคนนี้ชื่อรุจ ส่วนนอกนั้นเป็นพนักงานเสิร์ฟทั้งหมด เริ่มจากหนุ่มตัวสูงหน้าตาลูกครึ่งนั่น เขาชื่อภูริ ส่วนคนถัดมาชื่อกวิน และเจ้าตัวเล็กนั่นก็หลานชายฉันที่เคยเล่าให้ฟังยังไงล่ะ”
ปวีร์บอกยิ้ม ๆ ทำเอาการินหน้าบึ้ง แต่ขวัญแก้วนั้นหลุดอุทานเบา ๆ อย่างชื่นชม
“หน้าสวยมากอย่างที่บอกไว้จริง ๆ ด้วย สวัสดีจ้ะน้องริน พี่ชื่อแก้วนะ เป็นเพื่อนสมัยเรียนโทกับอาของเธอน่ะ”
การินมองหญิงสาวแล้วยิ้มเนือย ๆ ให้ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่อีกฝ่ายกล้าพูดถึงเขาแบบนั้นต่อหน้า เพราะเพื่อนของปวีร์ที่เขารู้จัก นอกจากราเมศแล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นใครดูปกติดีเลยสักคนเดียว
“ส่วนคนสุดท้ายที่ตัวเล็กไม่แพ้กันนั่น ชื่อวาโย รายนี้ฉันคาดว่าคงจะได้ทำงานกับพวกเราไปอีกนาน ...ถ้าร้านนี้ไม่เจ๊งไปเสียก่อนล่ะนะ”
ปวีร์บอกพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ทำให้วาโยต้องยิ้มแห้ง ๆ แต่ขวัญแก้วและขวัญตานั้นจ้องมองชายหนุ่มเขม็ง
“แปลกจังนะ เหมือนขาดอะไรไปอย่าง ...”
ขวัญแก้วพึมพำ ส่วนขวัญตาเองนั้นก็มีทีท่าไม่แตกต่างจากพี่สาวของเธอนัก
“นั่นสิคะ...ขัด ๆ ตายังไงไม่รู้สิ”
คำพูดของสองสาวทำเอาวาโยใจแป้ว แล้วก็คิดว่าที่ทั้งคู่ขัดตาก็คงเป็นเพราะเขาหน้าตาไม่ดีสู้คนอื่นไม่ได้แน่ ทางด้านปวีร์นั้นหัวเราะในลำคออย่างนึกขำ แล้วจึงดึงสองสาวไปซุบซิบห่าง ๆ ซึ่งพอได้ฟังทั้งคู่ก็ตาโต แล้วเป็นขวัญแก้วที่ทุบมือตามมา
“ใช่แล้ว! ถ้าใส่นั่นก็น่าจะลงตัวแน่ อ๊า! ฉันอยากให้ถึงวันเสาร์เร็ว ๆ ชะมัด!”
“ชู่! เบา ๆ สิคะพี่แก้ว เดี๋ยวหนุ่ม ๆ จะตกใจเสียหมด”
ขวัญตาปรามเตือนพี่สาว แต่ก็ยังคงมองมาที่วาโยด้วยนัยน์ตาเป็นประกายชนิดที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างบอกไม่ถูก
“ถูกของตา อย่าเพิ่งให้รู้ตัวก่อนล่ะ เดี๋ยวจะไม่เซอร์ไพรส์เอา”
ปวีร์เปรยเตือน ทำให้ขวัญแก้วหัวเราะคิกคัก แล้วจึงพยักหน้ารับคำ โดยมีพนักงานคนอื่นนอกจากราเมศ มองตามอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะถาม เพราะจากรอยยิ้มของปวีร์และสองสาว ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทั้งสามปิดซ่อนไว้ มันคงไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสำหรับพวกตนอย่างแน่นอน
... TBC ...