มาแล้วจ้า ตอนนี้แถมให้ยาวหน่อย อ่านกันให้จุใจไปเลยค่ะ นอกจากเฉลยธีมของเสาร์นี้แล้ว ยังมีหนุ่มหน้าใหม่มาขอฝากตัวฝากใจกับนักอ่านอีกคนด้วยค่ะ ^^
Miracle Café / 19
“โยจ๋า พวกเราแวะมารับแล้วจ้า”
เสียงหวาน ๆ ที่แอบแฝงมาด้วยความสนุกของสองสาวที่ปรากฏตัวมาตั้งแต่เช้าตรู่ในเช้าวันเสาร์ พร้อมกับปวีร์ที่ยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นหน้าเขา และราเมศที่ยืนตีสีหน้าเอือมระอาคนข้างกาย
“จะพาผมไปไหนกันครับ...”
วาโยถามอย่างหวาดระแวง เพราะเขาถูกเรียกลงมาจากห้องตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารเช้าด้วยซ้ำ
“ก็เหมือนเดิมไงจ๊ะ แต่งหน้า ทำผม ลองชุด และก็ทำโน่นทำนี่อีกเยอะแยะ ...ที่สำคัญอยากเห็นหนุ่ม ๆ ทำหน้าตะลึงกันอีกรอบด้วย”
ขวัญแก้วบอกพร้อมหัวเราะคิกคัก ทำให้คนอื่น ๆ ที่อยู่แถวนั้นพากันตีสีหน้าทะแม่งไปตาม ๆ กัน
“ขอแต่งที่นี่พร้อมทุกคนไม่ได้หรือครับ...”
วาโยบอกเสียงอ่อย ลองแบบนี้แสดงว่าเขาก็คงไม่แคล้วต้องแต่งหญิงอีกวันเป็นแน่
“เอ๋...เอาไงดีล่ะวี”
ขวัญแก้วหันมาถามปวีร์ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าน้อย ๆ
“ตามใจเขาเถอะ ไหน ๆ ก็อุตส่าห์เต็มใจแต่งหญิงให้เราโดยไม่คิดขัดขืนแล้วนี่”
“เพราะโดนบังคับต่างหากล่ะครับ ไม่ใช่เต็มใจทำเอง”
วาโยแย้งแก้ประโยคของอีกฝ่าย ทำให้ปวีร์อมยิ้ม
“หึ ๆ ไม่เป็นไร แค่ตอนทำงานแล้วยังยิ้มแย้มเหมือนปกติก็ใช้ได้แล้ว”
วาโยลอบถอนหายใจกับคำพูดของอีกฝ่าย จากนั้นชานนจึงชักชวนให้ขวัญแก้วกับขวัญตาทานข้าวเช้าด้วยกันก่อน แล้วค่อยไปจับหนุ่ม ๆ แต่งตัวทีหลัง และเพราะมีขวัญตามาเป็นผู้ช่วยเสริมอีกคน อาหารเช้าวันนี้จึงมีของหวานเสริมมาด้วย ทำให้หนุ่ม ๆ อิ่มหนำสำราญเอร็ดอร่อยไปตาม ๆ กัน และบางคนกำลังจะขอเติมถ้าไม่ถูกปวีร์ติงไว้ก่อน
“...ฉันตัดชุดมาพอดีไซส์พวกเธอของอาทิตย์ก่อนนะ ถ้าใครใส่ไม่ได้ นั่นคงไม่ใช่ความผิดของฉันแล้วล่ะ”
และนั่นทำให้คนเตรียมจะเติมกลืนน้ำลายลงคอ บางคนก็ลอบถอนหายใจ ส่วนชานนหัวเราะเบา ๆ แล้วหันไปบอกกับปวีร์
“คงยังไม่เปลี่ยนไซส์กันไวขนาดนั้นหรอกครับคุณปวีร์ เพราะถึงจะกินกันเยอะแต่ก็ทำงานหนักเผาผลาญกันไปเยอะเหมือนกัน”
ปวีร์หัวเราะเบา ๆ เขาไม่ได้แย้งขัดคำพูดของชานน แต่หันไปบอกกับพนักงานของเขาแทน
“ถึงจุดขายของพวกเธอจะเป็นหน้าตาก็จริง แต่รูปร่างเองก็สำคัญไม่แพ้กัน... ถ้าใครน้ำหนักขึ้นจนไซส์เปลี่ยนไปในทางที่แย่แล้วล่ะก็...”
ปวีร์เว้นคำพูดของเขา ก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์นิด ๆ แล้วเอ่ยตามมา
“...ฉันจะให้คน ๆ นั้นแต่งหญิงเป็นเพื่อนกับโยในธีมเสาร์นั้น ๆ เป็นการลงโทษแทน”
คำพูดของปวีร์ทำให้แต่ละคนแทบจะวางช้อนเลิกกินไปเลยเดี๋ยวนั้น จนขวัญตาต้องโวยวายเบา ๆ
“พี่วีล่ะก็! อย่างนี้ขนมของตาก็เหลือกันพอดีสิคะ”
“ตาก็เก็บแช่เย็นไว้กินกลางวันแทนสิ ไม่ต้องห่วงหรอก พอทำงานเหนื่อย ๆ ก็ซัดกันหมดเองนั่นล่ะ”
ปวีร์บอกทำให้คนฟังพยักหน้ายอมรับ ส่วนหนุ่ม ๆ กลืนน้ำลายลงคอ และคิดว่าต่อไปนี้คงต้องเริ่มควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายกันบ้างแล้ว เพราะฝีมือของชานนนั้นทำให้พวกเขาเผลอกินกันเกินลิมิตประจำ แถมชานนยังขยันทำเผื่อและคอยเติมให้เสมออีกด้วย
“แต่ก็ไม่ได้หมายความให้อดจนผอมโซหรอกนะ ...ถ้าผอมกว่าเดิม จนหน้าซูบ ผิวเสีย แบบนั้นก็ต้องโดนลงโทษเหมือนกัน”
ประโยคที่เสริมมาของปวีร์ทำให้แต่ละคนถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะนั่นเท่ากับพวกเขาจะต้องควบคุมน้ำหนักให้พอดี ซึ่งมันก็ยากยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าตัวทีเดียว
“งั้นผมจะทำเมนูเพื่อสุขภาพช่วยให้แล้วกันนะครับ”
ชานนบอกพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน และนั่นก็ทำให้หลายคนยิ้มน้อย ๆ ออกมาอย่างโล่งอก
“เอาล่ะ ...อย่ามัวแต่คุยกันเลย ไปลองชุดกันดีกว่า เกิดต้องแก้ไขไซส์อะไรยังไงจะได้มีเวลาทัน”
ปวีร์ตัดบท และไม่นานนักราเมศก็หอบชุดของแต่ละคนจากในรถของเขามาให้ ซึ่งแต่ละชุดบรรจุในถุงผ้าและแปะชื่อเจ้าของมาเรียบร้อย ยื่นส่งให้แต่ละรายที่รับมาแกะดูด้วยใจระทึก
“อาวี! นี่มันอะไรกันน่ะ!”
การินหันไปโพล่งใส่ผู้เป็นอาอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นอะไรบางอย่างที่ใส่มากับชุดด้วย
“ก็ที่คาดผมรูปหูหนูไงล่ะ น่ารักดีไหม”
ปวีร์บอกแล้วยิ้มกว้าง เล่นเอาวาโยที่เห็นชุดตัวเองเงียบกริบ และคิดว่ามันค่อนข้างดูธรรมดาเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ที่หยิบอุปกรณ์เสริมการแต่งกายขึ้นมาดูแล้วทำตาปริบ ๆ ไปตามกัน
“น่ารักบ้าสิ! ทำไมต้องมีของพรรค์นี้ด้วยเล่า!”
การินยังโวยอีก แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่ออาของเขายกมือห้ามให้เขาหยุดโวยแล้วชี้แจงตามมา
“ก็เพราะมันเป็นส่วนสำคัญของธีมในวันนี้ยังไงล่ะ เห็นแค่นี้แล้วยังไม่รู้อีกหรือไง”
การินขมวดคิ้วยุ่ง เขามองไปที่เพื่อน ๆ ก็เห็นกวินกำลังจ้องที่คาดผมหูกระต่ายสีขาวในมือด้วยสีหน้าอึ้ง ๆ ส่วนภูริก็มีหมวกทรงสูงแปลก ๆ ประดับพู่ขนนกและดอกกุหลาบสวยงาม และรุจหยิบสูทสีน้ำเงินเข้มขึ้นมาดูอย่างประหลาดใจ
“ไหนลองโชว์ชุดของเธอให้พวกนี้ดูซิโย”
ปวีร์หันมาบอกกับวาโย เจ้าตัวกลืนน้ำลายลงคอ แล้วหยิบชุดกระโปรงสีฟ้าที่มีระบายลูกไม้ขาวที่แขนเสื้อและริมชายกระโปรงแถมยังมีผ้ากันเปื้อนสีขาวอันใหญ่ไว้สวมทับชุดนั้นอีกชั้นด้วย
“อลิซในแดนมหัศจรรย์หรือครับ?”
รุจเปรยขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก แต่ปวีร์หันกลับมายิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับ
“ใช่แล้ว วาโยเป็นอลิซ กวินเป็นไวท์แรบบิท ภูริเป็นแมดแฮทเทอร์ รินเป็นดอร์เมาส์ ส่วนรุจก็เป็นแอ๊บโซเลมไงล่ะ... ฉันเลือกตามคาแรคเตอร์พวกนายเลยนะเนี่ย”
คนอื่นสบตากันปริบ ๆ มีบางคนลอบถอนหายใจ และบางคนก็พอรับได้ แต่ก็มีที่ยังรับไม่ได้อยู่เช่นกัน
“ถึงจะใช้ธีมอลิซ แต่ไม่จำเป็นต้องสวมหูบ้า ๆ นี่ด้วยสักหน่อย”
การินยังคงเถียงต่อ ทว่าคราวนี้ปวีร์ยักไหล่นิด ๆ แล้วตอบไปด้วยสีหน้าเฉยชา
“งั้นรินจะเปลี่ยนกับโยแทนหรือเปล่าล่ะ”
การินฟังแล้วก็เงียบกริบ เขาเหลือบมองชุดกระโปรงฟูฟ่องระบายลูกไม้ของวาโยแถมในถุงยังมีที่คาดผมเป็นโบอันใหญ่สีเดียวกับชุด แล้วจึงมองที่คาดผมรูปหูหนูในมือตัวเอง
“ฮึ! แต่งก็แต่งสิ ก็แค่หูปลอม ๆ”
การินบอกแล้วค้อนขวับ ปวีร์เห็นดังนั้นจึงยิ้มออก ส่วนวาโยมองเพื่อนของเขาด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ
“คิดว่าคงพอจะรู้จักคาแรกเตอร์ตัวละครกันมาบ้างแล้วสินะ แต่ก็นั่นล่ะไม่จำเป็นต้องเลียนแบบให้เหมือนหรอก แค่เป็นตัวของพวกเธอเอง แล้วก็ใช้คาแรกเตอร์ของตัวละครในนิทานที่พวกเธอสวมบทบาท แสดงให้ลูกค้าเห็นบ้างก็พอ”
ทุกคนพยักหน้าตอบรับคำพูดนั้น ก่อนจะแยกย้ายไปลองชุดที่ห้องส่วนตัวของตน ทว่าสำหรับวาโยนั้นพิเศษกว่าใคร เพราะเขามีผู้ช่วยเป็นสองสาวคอยช่วยแต่งตัวและแต่งหน้า จนกลายมาเป็นอลิซผู้น่ารักไม่แพ้นิทานในที่สุด
พวกหนุ่ม ๆ ที่แต่งกายในชุดของตนเองเสร็จเรียบร้อย และมารวมกันอยู่ที่ห้องอาหารชั้นล่าง ต่างพากันตกตะลึงเมื่อวาโยในร่างของหญิงสาวปรากฏกายขึ้นและถูกจับแปลงโฉมจนดูผิดตาไปราวกับเป็นคนละคน
สาวน้อยตรงหน้ามีผมบลอนด์หยักศกยาวสลวยถึงกลางหลัง ประดับโบคาดผมอันใหญ่สีฟ้า ซึ่งเป็นสีเดียวกับชุดกระโปรงฟูฟ่องยาวถึงหัวเข่า มีผ้ากันเปื้อนสีขาวผืนยาวพอดีกระโปรงสวมทับและผูกด้านหลังเป็นโบใหญ่ สวมถุงน่องลายขวางฟ้าสลับขาว และรองเท้าส้นเตี้ยมีสายรัดสีแดงเข้ม
สำหรับวาโยเองก็ตกตะลึงไม่แพ้เพื่อน ๆ ของเขา เพราะแต่ละคนนั้นแต่งออกมาได้เท่และน่ารักราวกับหลุดออกมาจากนิทานกันเลยทีเดียว
เริ่มตั้งแต่กวินในชุดไวท์แรบบิท กระต่ายขาวผู้เร่งรีบและโวยวายอยู่เสมอ ชายหนุ่มสวมเสื้อสูทสีขาวทั้งชุดซึ่งออกแบบมาหรูหรา ตัวเสื้อสูทจะตัดเย็บริมขอบด้วยสีน้ำตาลทอง ปลายแขนเสื้อมีกระดุมติดและมีระบายลูกไม้ด้านใน ส่วนที่ลำคอมีเชือกผ้าไหมสีน้ำตาลผูกเป็นทรงโบเอาไว้แทนเนคไท ทว่าอุปกรณ์เสริมที่ชวนให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับดูน่ารักผิดแปลกไปก็คือหูกระต่ายยาวสีขาวซึ่งถูกออกแบบมาในลักษณะที่คาดผม นอกจากนั้นก็ยังมีนาฬิกาพกสีทองห้อยคอประดับไว้อีกด้วย
สำหรับการินในคาแรกเตอร์ของดอร์เมาส์ หรือเจ้าหนูน้อยที่มักจะชอบง่วงหลับอยู่เสมอ ทว่าดอร์เมาส์ในแบบฉบับของชายหนุ่มหน้าสวยกลับดูน่ารักผิดแผกแปลกไป เริ่มจากชุดสูทสีส้มสดใสลายสก็อต ที่สวมทับเชิ้ตสีขาวด้านใน และมีเนคไทสั้นแบบสำเร็จรูปสีดำผูกกับคอเสื้อ กางเกงสีน้ำตาลอ่อน เช่นเดียวกับสีหูหนูซึ่งเป็นที่คาดผม ดูแล้วยิ่งเสริมให้ใบหน้าสวย ๆ นั้นเด่นขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว
ภูริเองก็สร้างความตกตะลึงให้วาโยไม่แพ้คนอื่น ชายหนุ่มในบทของ แมด แฮทเทอร์ ที่บุคลิกในนิทานออกจะเป็นคนแปลก ๆ เสียสักหน่อย ชุดที่สวมถึงจะเป็นสูทดำแทบทั้งชุด แต่ภูรินั้นกลับแต่งแล้วออกมาได้อย่างดูดีลงตัว ถึงแม้จะสวมหมวกดำทรงสูงซึ่งประดับด้วยพู่ขนนกและกุหลาบขาวบนนั้นด้วยก็ตาม ถ้าจะเปรียบแล้วชายหนุ่มดูเหมือนกับพวกพระเอกแนวมาเฟียในภาพยนตร์หรือละครเสียมากกว่าด้วยซ้ำไป
ส่วนรุจเองนั้นก็ไม่ได้น้อยหน้าคนอื่น เขารับบทคาแรกเตอร์ของแอ๊บโซเลม หนอนผีเสื้อสีน้ำเงินผู้รอบรู้ แม้เสื้อสูทสีน้ำเงินเข้มเป็นมันวาบจะดูแปลกสะดุดตาไปสักหน่อย แต่เมื่อมันมาประดับอยู่บนร่างของชายหนุ่มก็กลับทำให้ดูดีขึ้นมาได้ ด้านในสูทเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว มีหูกระต่ายสีน้ำเงินผูกอยู่ตรงคอเสื้อ กางเกงเป็นสีเดียวกับสีเสื้อสูท แต่แว่นตากรอบดำที่เคยใส่ วันนี้กลายเป็นแว่นทรงรีไร้กรอบ ที่มีคานแว่นและขาแว่นเป็นสีทอง ตรงขาแว่นยังร้อยเป็นสร้อยคล้องกับคอ ด้วยความเรียวของเลนส์แว่น ทำให้ชายหนุ่มดูหล่อเหลาอีกทั้งยังดูดีกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว
“ออกมาดูดีกว่าที่คิดไว้อีกนะวี”
ขวัญแก้วที่ลงมาพร้อมกับวาโยหันไปบอกกับเพื่อนชายของเธอ ซึ่งปวีร์เองก็พยักหน้ารับรู้อย่างพึงพอใจ
“ใช่! ดีกว่าที่คิดไว้อีก ...อย่างนี้คงต้องขอถ่ายรูปแบบรวมกลุ่มเก็บไว้เป็นที่ระลึกดูสักรูปแล้วล่ะ”
พอปวีร์พูดจบขวัญตาก็แย้งขึ้นมาอย่างนึกได้
“แต่ยังขาดไปอีกคนไม่ใช่หรือคะพี่วี”
ปวีร์ชะงักแล้วจึงทุบมือเบา ๆ
“อา...จริงสิ ขาดตัวละครสำคัญไปอีกคนนึงนี่นะ ...เมื่อวานแวะเอาชุดไปให้ เห็นชอบอกชอบใจใหญ่เลย และบอกฉันว่าจะใส่มาจากที่พักเลยด้วยซ้ำนะนั่น”
พนักงานคนอื่นพากันเงียบกริบ ไม่คิดว่าจะมีคนชื่นชอบในไอเดียของปวีร์จนกล้าใส่ชุดพวกนี้ต่อหน้าสาธารณชนได้โดยไม่มีความอายอย่างที่อีกฝ่ายบอกไว้
“ฟังจากที่วีเล่าแล้วอยากเห็นตัวจริงเร็ว ๆ จังเลยนะ”
ขวัญแก้วเอ่ยขึ้นบ้างพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ เช่นเดียวกับขวัญตา
“รับรองว่าพวกเธอจะต้องประทับใจแน่ ...ถึงจะมีนิสัยเสียในบางเรื่องไปนิด แต่คนนี้ค่อนข้างเป็นมืออาชีพในตอนทำงานอยู่พอสมควรเหมือนกัน เรียกง่าย ๆ ก็คือรู้จักกาลเทศะเฉพาะในเวลางานดีล่ะนะ”
คำพูดของปวีร์ทำให้คนฟังบางคนขมวดคิ้วยุ่ง พลางอยากจะย้อนถามกลับไปว่า แล้วถ้าเป็นนอกเวลางานล่ะ คนที่ว่านั้นจะเป็นคนแบบไหนกันแน่
จากนั้นสักพัก สมาชิกทุกคนของมิราเคิลคาเฟ่จึงทยอยกันเดินทางไปจัดเตรียมร้านค้า และพอมาถึง พวกเขาก็ต้องพบกับความตกตะลึงซ้ำสอง เมื่อด้านหน้าร้านถูกเนรมิตให้กลายเป็นคาเฟ่กลางแจ้งที่มีหลังคาเป็นกระจกใส และมีไม้ระแนงสีขาวซึ่งประดับด้วยไม้เลื้อยตกแต่งเป็นกำแพงกั้นโดยรอบยกเว้นตรงส่วนทางเข้า ด้านนอกมีต้นไม้ใหญ่ซึ่งถูกนำมาลงปลูกแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา และมีน้ำตกจำลองและลำธารเล็ก ๆ เพิ่มความสบายตาและความเย็นฉ่ำยามที่ลมพัดผ่านเข้ามาในตัวคาเฟ่อีกด้วย
“สุดยอด! ขนาดทำเฉพาะตอนกลางคืนแท้ ๆ”
วาโยพึมพำกับตัวเองอย่างตกตะลึง บริเวณด้านหน้าร้านที่ปรับปรุงใหม่มีชุดโต๊ะกาแฟกลมกะทัดรัด ซึ่งจัดไว้อย่างสบาย ๆ ไม่เบียดเสียด และรับรองลูกค้าได้เกือบยี่สิบคนเลยทีเดียว
“ถ้าเป็นช่วงวันที่ไม่ค่อยมีแดดจัด หรือตอนเย็น ๆ ก็อาจจะมีลูกค้าสนใจมานั่งเล่นได้อยู่ เพราะข้างนอกจะอาศัยลมธรรมชาติเสียส่วนใหญ่ แต่ก็นั่นล่ะ ฉันให้เขาติดตั้งพัดลมไอน้ำเสริมด้วย ก็ช่วยได้เยอะอยู่ล่ะนะ”
พอได้ยินปวีร์บอก แต่ละคนก็มองหาพัดลมตัวที่ว่า แล้วก็พบมันถูกตั้งอยู่มุมหนึ่งหลังรั้วระแนงไม้ และดูกลืนไปกับรั้วจนแทบมองไม่ออกเลยด้วยซ้ำ
“จริง ๆ จะทำล้อมเป็นเรือนกระจกแล้วติดแอร์ก็ได้ แต่มันก็จะไม่ได้บรรยากาศแบบเอาท์ดอร์แทนจริงไหมล่ะ”
ปวีร์บอกพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งบางคนก็ยิ้มน้อย ๆ ตอบ มีเพียงราเมศที่ถอนหายใจเบา ๆ อย่างเอือมระอา เพราะอีกฝ่ายบทอยากจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรก็มักจะลงมือตัดสินใจโดยไม่ค่อยสนเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เลยสักนิดเดียว ขอให้ถูกใจเจ้าตัวไว้ก่อนเป็นพอ
“เดี๋ยวทุกคนก็จัดเตรียมทำความสะอาดร้านให้เรียบร้อย ส่วนพนักงานพาร์ทไทม์ของเรา ถึงจะเริ่มงานเที่ยงก็จริง แต่วันนี้เห็นว่าจะมาไวหน่อยเพราะอยากทักทายทำความรู้จักคุ้นเคยกับพวกนายแต่ละคนไว้เนิ่น ๆ น่ะ...”
ปวีร์ยังไม่ทันพูดจบเขาก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่แล่นเข้ามา วาโยมองคนที่ลงมาจากมอเตอร์ไซค์ฮาเลย์คันนั้นอย่างนึกทึ่ง เพราะคนไทยน้อยคนจะขับรถประเภทนี้ได้ดูดีชวนมองเช่นนี้ แต่พอเจ้าตัวถอดหมวกกันน็อกออก วาโยก็แทบจะตกตะลึงอ้าปากค้าง เมื่อเห็นหูสีชมพูบานเย็นสดคาดไว้บนศีรษะของอีกฝ่าย
“อ้าว...นั่นไง มาแล้ว แต่งมาจริง ๆ เสียด้วยสิ”
ปวีร์หันไปมองร่างที่กำลังเดินมาหาพวกเขาอย่างนึกขำ ไม่เสียแรงที่รับอีกฝ่ายมาทำงานด้วยกันแบบนี้ ส่วนคนอื่น ๆ มองร่างสูงเพรียวได้สัดส่วนราวกับนายแบบของอีกฝ่ายอย่างนึกอึ้ง คนตรงหน้านั้นสูงพอ ๆ กับภูริ เจ้าตัวไว้ผมยาวสลวยถึงกลางหลังเหมือนปวีร์ ทว่าสำหรับปวีร์นั้นไว้ผมยาวแล้วดูค่อนข้างไปทางสวย แต่คนผู้นี้กลับดูหล่อเหลาผิดแผกออกไป โดยเฉพาะผิวสีแทนเข้มแบบชายไทย ยิ่งทำให้เจ้าตัวดูแมนสมชายมากไปอีก
นอกจากหูแมวสีชมพูบานเย็นสะดุดตานั่นแล้ว อีกฝ่ายก็แต่งชุดเหมือนพนักงานเสิร์ฟทั่วไป ทว่าเสื้อเชิ้ตด้านในแทนที่จะเป็นสีขาว กลับเป็นเสื้อยืดลายขวางชมพูอ่อนสลับสีชมพูบานเย็นแทน ส่วนบริเวณคอก็มีผ้าคลุมขนสัตว์สีชมพู คล้องเอาไว้
“สวัสดีครับรุ่นพี่ทุกคน ยินดีที่รู้จักนะครับ”
เจ้าตัวยกมือเอ่ยทักทาย แล้วก็หันมายกยิ้มให้ภูริ ที่จ้องอีกฝ่ายเขม็งนับตั้งแต่เห็นเจ้าตัวเดินเข้ามาใกล้เขาแล้ว
“ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ได้!”
“ก็คุณปวีร์เขาชวนมาน่ะสิ ฉันเองก็อยากจะลาออกมาทำฟูลไทม์เต็มเวลาอย่างนายหรอกนะภูริ แต่ขืนทำแบบนั้นฉันต้องโดนลุงไล่ออกจากบ้าน กลายเป็นคนเร่ร่อนไม่มีที่ซุกหัวนอนแน่”
เจ้าตัวบอกพลางยักไหล่ แล้วละสายตาจากภูริไปมองคนอื่น ๆ ก่อนจะสะดุดตาที่การินกับวาโยเป็นพิเศษ
“อ้าว... มีเด็กผู้หญิงด้วยหรือเนี่ย ตั้งสองคนแน่ะ ไหนคุณปวีร์บอกว่ามีแต่ผู้ชายยังไงล่ะ”
“ถ้าตาสั้นก็ไปเอาแว่นใส่ซะไป ผู้ชายกับผู้หญิงแยกไม่ออกหรือไง หา!”
การินสวนกลับทันทีโดยไม่ต้องรอให้ปวีร์อธิบาย ทำให้คนพูดชะงักหันกลับมาพิจารณาคนตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขอโทษขอโพยยกใหญ่
“โอ๋! ผู้ชายหรอกหรือ ขอโทษ ๆ เธอ เอ๊ย นายหน้าตาสวยจนฉันเข้าใจผิดน่ะ ไม่ได้มีเจตนาร้ายดูถูกจริง ๆ นะ”
การินกัดฟันนิด ๆ แต่ก็ยอมจำใจพยักหน้ารับคำขอโทษอีกฝ่าย แม้จะยังหงุดหงิดอยู่บ้าง ส่วนวาโยหันมามองเพื่อนตาปริบ ๆ ทว่าเขาก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อชายหนุ่มคนเดิมหันมาทางเขาแทน
“แล้วเธอล่ะ คงไม่ใช่ผู้ชายอีกคนล่ะนะ”
คนถามเอ่ยด้วยอารมณ์ขันมากกว่าจะจริงจังกับคำพูดของตน แต่วาโยกลับกลืนน้ำลายลงคอแล้วบอกไปเสียงแผ่ว
“เอ่อ ผมก็ผู้ชายเหมือนกันครับ”
“อ้อเหรอ....หา! โกหกน่า!”
วาโยมองปฏิกิริยาที่แตกต่างกับการินอย่างสิ้นเชิงแล้วลอบถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มตอบเจื่อน ๆ
“ไม่โกหกหรอกครับ ผมเป็นผู้ชายจริง...”
ยังไม่ทันวาโยจะพูดจบ มือใหญ่ของอีกฝ่ายก็แปะหมับที่หน้าอกของเขา วาโยสะดุ้งหน้าแดงแล้วถอยหนีไปด้านหลังอัตโนมัติ ส่วนกวินนั้นสะดุ้งเฮือกไม่แพ้กัน ทว่าชายหนุ่มนั้นก้าวออกมาขวางหน้าอีกฝ่ายแล้วจ้องด้วยแววตาเขม็ง
“โอ๋ ๆ ขอโทษที ก็แค่อยากพิสูจน์ อีกอย่างผู้ชายด้วยกันก็ไม่เห็นเสียหายอะไรเลยไม่ใช่หรือไง”
เจ้าตัวบอกพร้อมรอยยิ้มร่าเริง ทำเอากวินแค่นยิ้มกลับ ส่วนวาโยดึงเสื้อเพื่อนยิก ๆ เพราะไม่อยากให้มีเรื่องราวกันเพราะเขาเป็นสาเหตุ
“ยังนิสัยเสียไม่เปลี่ยนเลยนะนายน่ะ”
ภูริบอกตามมาด้วยน้ำเสียงค่อนข้างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย จนคนได้ยินหันกลับไปมองก่อนจะยกยิ้มมุมปากให้
“ใครว่านิสัยเสีย ฉันก็แค่เป็นพวกมือปากตรงกับใจเท่านั้นเอง”
และก่อนที่จะมีการปะทะคารมกันเกิดขึ้น ปวีร์ก็เข้าไปแทรกระหว่างทั้งคู่ และแนะนำตัวชายผู้มาใหม่ให้ทุกคนรู้จักเสียก่อน
“เอาล่ะ ๆ ทักทายกันพอหอมปากหอมคอกันดีแล้ว ฉันจะแนะนำอย่างเป็นทางการอีกครั้งแล้วกัน ผู้ชายคนนี้ชื่อ ธีรัช เป็นพนักงานที่จะมาทำพาร์ทไทม์ให้เราตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
“ธีรัชครับ อายุ 23 เป็นเพื่อนร่วมงานเก่าของภูริเขา ...เนอะ”
ธีรัชหันไปยักคิ้วให้ภูริ ซึ่งอีกฝ่ายก็เบือนหน้าหนีอย่างไม่ค่อยสน แต่เจ้าตัวก็ยังคงร่าเริงและไม่ใส่ใจในท่าทางเช่นนั้นของอีกฝ่าย ราวกับคุ้นชินกันเสียแล้ว
“เขาเป็นนักร้องนำของคลับที่ภูริเคยทำงานอยู่น่ะ”
ปวีร์อธิบายเสริมตามมาทำให้คนที่งุนงงกับปฏิกิริยาของทั้งสองพยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจ
“ใช่...พอภูริลาออกมา ก็หามือกีตาร์มือดีเรียกลูกค้าสาว ๆ มาแทนยังไม่ได้เลย ...ลุงฉันสิบ่นใหญ่บอกว่าลูกค้าสาว ๆ ลดลงไปเพียบ ...นี่ นายไม่คิดจะกลับมาทำงานที่เดิมกับพวกเราจริง ๆ หรือไง”
“ไม่ล่ะ ทำอยู่ที่นั่นก็มีแต่คนสนแค่หน้าตาของฉัน ไม่ได้สนเรื่องฝีมือของฉันสักหน่อย”
ภูริเปรยบอกอีกฝ่าย ในขณะที่คนอื่น ๆ มองทั้งคู่คุยกันอย่างสงสัย แต่ก็ไม่มีใครเข้าไปห้ามแม้กระทั่งปวีร์ ชายหนุ่มเลือกมองดูทั้งคู่สนทนาเรื่อย ๆ โดยยังคงมีรอยยิ้มประดับบนสีหน้าด้วยซ้ำไป
“แล้วงานที่นี่ไม่เหมือนกันหรือไง นายก็ขายหน้าตาเรียกลูกค้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
ธีรัชแย้ง แต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายยกยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบกลับไป
“ไม่เหมือนสักหน่อย งานพนักงานเสิร์ฟเป็นงานบริการที่ต้องใช้รอยยิ้ม หน้าตา ศิลปะการพูดจาในการทำให้ลูกค้ายอมรับอยู่แล้วต่างหาก ...แต่ตอนเป็นนักดนตรีมันไม่ใช่แบบนี้ พวกนั้นไม่ได้ฟังที่ฉันเล่นด้วยซ้ำ ขนาดฉันแกล้งดีดผิด ๆ เพี้ยน ๆ ก็ยังตามมากรี๊ด ๆ กันอยู่ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันสู้มาทำงานแบบที่ต้องขายหน้าตาโดยตรงแทนไม่ดีกว่าหรือไง”
ธีรัชเงียบกริบ เขารู้ดีว่าไม่ใช่แค่เพราะแฟนคลับของภูริเท่านั้นที่ทำให้ชายหนุ่มเบื่อ กับเพื่อนร่วมวงคนอื่น ๆ ก็ล้วนอิจฉาชายหนุ่ม และแอบนินทาลับหลังภูริว่าแค่หน้าตาดีต่อให้ดีดมั่ว ๆ ส่ง ๆ ก็ไปรอดแล้วด้วยซ้ำ
“เฮ้อ...งั้นก็ตามใจ ลุงฉันเองก็เสียดายที่นายลาออก แต่ถ้านายอยากกลับมาก็ได้เสมอนะ ส่วนพวกนั้นที่นินทานาย ...ฉันยุให้ลุงไล่ออกไปแล้วล่ะ”
ธีรัชบอกแล้วยิ้มกว้าง ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเสียงฮึในลำคออย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ธุระไม่ใช่สักนิด”
“น่า ๆ ฉันเองก็รำคาญพวกดีแต่ปากพวกนั้นเหมือนกัน ก็เลยบอกลุงว่าถ้าจะเก็บพวกนั้นไว้ก็ให้หานักร้องคนใหม่แทน แล้วนายคิดว่าลุงฉันจะเลือกใครล่ะ”
ภูริมองคนตรงหน้านิ่ง แม้ธีรัชจะชอบเซ้าซี้ทำตัวน่ารำคาญ แต่ก็เป็นคนปากตรงกับใจจนบางครั้งกลายเป็นขวานผ่าซากแทนด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นล่ะ เขาก็ยอมรับชายหนุ่มในฐานะเพื่อนคนหนึ่งเช่นเดียวกัน เพราะอีกฝ่ายก็จัดว่าเป็นคนนิสัยดีพอตัว ถ้าจะไม่นับเรื่องนิสัยเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ของอีกฝ่ายล่ะนะ
“ว่าแต่ฉันก็พอเข้าใจแล้วล่ะนะว่าทำไมนายถึงเลือกทำงานที่นี่ ก็แหมมีแต่คนหน้าตาดี ๆ แวดล้อมให้เจริญหูเจริญตาแบบนี้นี่เองเล่า เจ้าของร้านก็สวย เพื่อนร่วมงานก็น่ารัก”
ธีรัชบอกแล้วมองไปรอบ ๆ ก่อนจะยักคิ้วให้วาโยซึ่งก็ยิ้มเจื่อน ๆ ตอบอีกฝ่าย
“ที่พูดมานั่นผู้ชายทั้งนั้นเลยนะ”
ภูริเปรยเบา ๆ แต่คนฟังยักไหล่นิด ๆ
“ผู้ชายแล้วไง ขอให้ถูกใจก็เป็นพอแล้ว”
เจ้าตัวประกาศเจตนารมณ์อย่างไม่แคร์ใคร ทำเอาคนฟังบางคนขยับกายถอยหนีอย่างลืมตัวเลยทีเดียว
“คิดว่าคงพูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบกันเรียบร้อยแล้วนะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวภูริช่วยพาเพื่อนของเธอไปแนะนำตัวกับพวกที่บาร์และในครัวด้วยแล้วกัน แล้วก็สอนเรื่องงานให้เขาด้วยเลยนะ ฝากด้วยล่ะ”
ภูริรับฟังคำสั่งของปวีร์ตาปริบ ๆ แต่ก็พยักหน้าตอบรับอย่างเสียไม่ได้ ส่วนธีรัชหันไปยิ้มแย้มให้กับปวีร์ แล้วโปรยยิ้มหวานเผื่อมาที่วาโยและการิน ซึ่งสองหนุ่มก็มีปฏิกิริยาแตกต่างไป การินนั้นเมินใส่อีกฝ่าย ส่วนวาโยยิ้มแห้ง ๆ ตอบรับ
“นิสัยแย่ชะมัด ...แบบนี้จะดีหรือครับอา ถ้าไปทำเจ้าชู้ หรือลวนลามลูกค้าเข้าจะไม่แย่หรือไง”
การินหันไปถามผู้เป็นอาหลังจากที่เห็นภูริพาธีรัชเข้าไปในร้านเรียบร้อย
“ไม่หรอก อาบอกแล้วไง เขาเป็นคนรู้จักกาลเทศะเวลาทำงานดี โดยเฉพาะกับลูกค้า”
ปวีร์ยืนยันหนักแน่น ทำให้การินถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะลองชายหนุ่มรับรองแบบนี้ แสดงว่าคงสืบประวัติธีรัชมาละเอียดแล้วเป็นแน่
“แล้วกับพนักงานด้วยกันล่ะครับ”
กวินถามขึ้นบ้าง ยังคงไม่สบอารมณ์เรื่องที่อีกฝ่ายมาจับหน้าอกของรูมเมทเขาเมื่อครู่อยู่ดี
“อืม...เรื่องนั้นก็รับปากไม่ได้หรอก แต่เท่าที่สังเกตก็แค่ถึงเนื้อถึงตัวนิด ๆ หน่อย ๆ แค่นั้น ซึ่งนั่นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรไม่ใช่หรือ ยังไงก็ผู้ชายเหมือนกันนี่”
ปวีร์บอกแล้วยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์ ทำให้กวินลอบถอนหายใจเบา ๆ และคิดว่าต่อไปนี้คงต้องคอยดูแลวาโยไม่ให้อยู่ใกล้ธีรัชเกินความจำเป็นเสียแล้ว โชคดีที่อีกฝ่ายเข้ามาเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ ขืนมาทำงานประจำ เขาคงต้องเครียดหนักกว่านี้
จากนั้นทั้งหมดก็ต่างแยกย้ายกันรับผิดชอบงาน ทางด้านธีรัชนั้นเข้ากับแต่ละคนในร้านได้อย่างรวดเร็ว แม้จะมีบางคนไม่ค่อยสบอารมณ์เรื่องที่ชายหนุ่มชอบทำเจ้าชู้กรุ้มกริ่มใส่คนที่เจ้าตัวเล็งไว้บ้างก็ตาม แต่ถ้าเป็นเรื่องงานก็ดูเหมือนชายหนุ่มจะเรียนรู้ได้รวดเร็วและขยันขันแข็งในการทำงานพอสมควร เห็นได้จากพอร้านเปิด ธีรัชก็ทำให้ลูกค้าสาว ๆ ให้ทิปเขาในวันแรกได้แล้ว
... TBC …
ป.ล. ตอนหน้าเดี๋ยวหนุ่ม ๆ ในธีมตัวละครจากอลิซ จะมาขอรับใช้บริการคุณลูกค้าของร้านในแบบฉบับอิมเมจตัวละครที่เจ้าตัวคิดกันนะคะ จะออกมาเยี่ยม หรือ แย่ รอติดตามอ่านได้ค่ะ ^^