Miracle Café / 21
อีกด้านหนึ่งปวีร์กำลังนั่งอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเขาบอกกับขวัญแก้วว่าไม่มีอะไร และราเมศก็แค่หงุดหงิดที่ถูกเขาแกล้งแหย่เล่นเท่านั้น ทำให้หญิงสาวยอมเลิกราที่จะซักไซ้และกลับไปกินข้าวกลางวันของเธอต่อ ทว่าจริง ๆ แล้วปวีร์นั้นไม่ได้บอกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องนี้ให้อีกฝ่ายรับฟังจนหมด และมีบางเรื่องที่หากหญิงสาวรู้เข้า คงต้องเอาไปแหย่แซวราเมศให้อีกฝ่ายต้องหงุดหงิดเพิ่มแน่ ปวีร์หัวเราะเบา ๆ เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ภายในห้องก่อนหน้าที่เขาและราเมศสนทนากัน…
“ตกลงนายตอบหมอนั่นว่ายังไงกันแน่!”
ราเมศยังคงตามมาเพื่อต้องการฟังคำตอบ ทำให้คนที่ถูกซักไซ้ลอบยิ้มน้อย ๆ แล้วลอยหน้าถามกลับไป
“อยากรู้ไปทำไม ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับนายนี่”
ราเมศเม้มปากน้อย ๆ ด้วยความหงุดหงิด แล้วเดินเข้าไปหาคนที่ทำเป็นนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ประจำโต๊ะ
“นายคิดอย่างที่พูดจริง ๆ หรือไงปวีร์”
ราเมศถามเสียงเข้มขณะที่จับเก้าอี้หนังของอีกฝ่ายหมุนหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา พร้อมกับกักร่างของอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขน นัยน์ตาคมกริบจ้องมองเพื่อนสนิทนิ่ง
“ก็นะ...ถึงฉันจะไปคบกับใคร มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนายจริง ๆ นี่ราเมศ นายก็ยังเป็นเพื่อนฉันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่พอมีแฟนแล้วฉันจะทิ้งเพื่อนสักหน่อย”
ปวีร์บอกพร้อมรอยยิ้ม แต่คนฟังนิ่วหน้านิด ๆ แล้วย้อนถามกลับไป
“แต่อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย แถมอายุน้อยกว่านายด้วยนี่นะ ...แล้วยังนิสัยชอบเจ้าชู้ไปทั่วนั่นอีก”
ปวีร์หัวเราะเบา ๆ แล้วจึงตอบกลับไปด้วยสีหน้าระบายยิ้มดังเคย
“ก็ไม่เห็นเป็นไร ถ้าอีกฝ่ายรักฉันจริง ต่อให้เป็นหญิงหรือชาย อายุมากกว่าหรือน้อยกว่า ฉันก็ไม่รังเกียจ แล้วเรื่องเจ้าชู้ ถ้ารักกันแล้วหยุดแค่ฉันได้ ฉันก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว”
ราเมศนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก เขาเงียบไปสักพักก่อนจะย้อนถามกลับเสียงแผ่ว
“นายชอบเด็กนั่นจริงอย่างนั้นหรือ...”
ปวีร์ไม่ตอบเขาเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ ทำให้ราเมศกัดริมฝีปากนิด ๆ แล้วจึงผละออกจากอีกฝ่าย หันหลังให้เตรียมเดินออกจากห้องไป
“ราเมศ ...ฉันชอบนายนะ”
ราเมศชะงัก เขาหันมามองปวีร์ก็เห็นอีกฝ่ายมีรอยยิ้มหวานเหมือนปกติยามที่พูดกับเขาเช่นนั้น
“...ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเลิกคบกับนายหรอก ก็แค่เตือนไว้ตามประสาเพื่อนสนิทเท่านั้นเอง”
ราเมศตอบกลับไปอย่างเข้าใจไปเองว่าอีกฝ่ายพูดเพราะกลัวเขาจะโกรธ
“เฮ้อ! ทำไมทีคนอื่นฉันยังไม่ได้บอกสักคำว่าชอบ นายก็ทึกทักไปเอง ทีกับนายฉันพูดให้ฟังตลอดแบบนี้แท้ ๆ นายก็ยังไม่ยอมเข้าใจสักทีสินะ”
ราเมศที่กำลังจะเปิดประตูห้องชะงักกึก แล้วหันมามองคนพูดอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ปวีร์ยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยตัดบท
“ไปทำงานได้แล้ว วันนี้คนเยอะออก แก้วคนเดียวทำไม่ไหวหรอก”
“ปวีร์ เมื่อครู่นายหมายความว่าไง...”
ราเมศถามเสียงแผ่ว ปวีร์ยิ้มน้อย ๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แล้วจึงตอบกลับไป
“ไว้ถึงเวลานายพักเมื่อไหร่ก็ขึ้นมาสิ แล้วฉันจะให้คำตอบนายเอง”
ราเมศอยากจะซักต่อ แต่ปวีร์ทำเป็นมองเมินไปทางอื่น จนชายหนุ่มต้องสบถเบา ๆ แล้วเดินลงไปชั้นล่างด้วยความหงุดหงิดระคนสับสน จนปวีร์ที่ลอบมองตามไปถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
“ช่วยไม่ได้นะราเมศ ...ใครใช้ให้ความรู้สึกช้า ปล่อยให้ฉันหลงรักข้างเดียวมานานขนาดนี้กันล่ะ ...เอาคืนนิด ๆ ก็คงไม่ว่ากันใช่ไหม”
ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ทีแรกเขาก็ไม่คิดจะสารภาพ แต่พอมานึก ๆ ดูแล้ว หากมีคนอื่นเข้ามาสนใจราเมศ และราเมศเกิดชอบตอบอีกฝ่ายไปบ้าง เขาก็คงต้องอกหักทั้งที่ยังไม่เคยบอกความในใจให้อีกฝ่ายรับรู้เป็นแน่ สู้สารภาพออกไปเสียเลยดีกว่า ถ้าสมหวังก็ดีไป ถ้าผิดหวังเขาก็ยังเชื่อว่าราเมศจะยังคงมีความเป็นเพื่อนเหลือไว้ให้เขาอยู่ดี เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่หลงรักผู้ชายคนนี้หมดหัวใจมากว่าสิบปีแบบนี้แน่
ทางด้านวาโยพอผละมาจากการินแล้ว เขาก็เข้ามาในครัว แล้วเปิดตู้เย็นซึ่งมีน้ำหวานชงใส่ขวดเอาไว้สำหรับพนักงานเทใส่แก้ว พลางเดินเลี่ยง ๆ ไปทางด้านประตูหลัง โดยที่ชานนกับขวัญตามองตามไปอย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ทักอะไร เพราะกำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหารสำหรับลูกค้า
“เอ...ไปทางนี้ดีกว่า”
วาโยอ้อมไปทางฝั่งครัว เพราะหากเป็นอีกฝั่งที่เป็นกระจกใสบานใหญ่ ลูกค้าเห็นเข้าคงตกใจแน่
“เอ๋...คุณธีรัชหรอกหรือ”
วาโยมองเห็นธีรัชยืนรับรองลูกค้าอยู่ ซึ่งดูจากท่าทางแล้ว แสดงว่าอีกฝ่ายคงแบ่งมาเฝ้าประจำอยู่ด้านนอกแทนแน่ ชายหนุ่มก้มมองแก้วน้ำ แล้วในขณะที่กำลังคิดว่าจะทำยังไงดี อีกฝ่ายก็หันมาเห็นเขาที่แอบอยู่เข้าพอดี
“อ้าว! หนูอลิซนี่นา”
ธีรัชเผลออุทานขึ้นมา ทำให้ลูกค้าหันมามอง เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงแกล้งเล่นละครไปตามน้ำเสียเลย
“ดูท่าทางว่าหนูอลิซจะมีอะไรปรึกษากับแมวเชสเชอร์เสียแล้ว งั้นกระผมขอตัวสักครู่นะครับทุกท่าน”
ลูกค้าแต่ละรายยิ้มน้อย ๆ พลางพยักหน้าให้ เพราะพวกเขาได้อาหารและเครื่องดื่มหมดแล้ว และกำลังรับประทานกันเรื่อย ๆ จึงไม่จำเป็นให้ธีรัชต้องคอยบริการอะไรในช่วงนี้
“มีอะไรหรือหนูอลิซ”
ธีรัชที่เดินมาหาวาโยถามพร้อมรอยยิ้ม วาโยยิ้มเจื่อน ๆ แล้วจึงยื่นน้ำหวานในแก้วให้อีกฝ่าย
“อากาศวันนี้มันค่อนข้างร้อน ผมกลัวคนที่อยู่ข้างนอกจะเพลีย เลยเอาน้ำหวานมาฝากครับ”
ธีรัชเลิกคิ้วน้อย ๆ จ้องอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวนั้นมีสีหน้าและแววตาจริงใจดังเช่นคำพูด เขาจึงยิ้มให้ แล้ว
ขยับตัวมาที่มุมร้านซึ่งหลบสายตาคนอื่น ดื่มน้ำหวานในแก้วที่วาโยให้ แต่พอเอาแก้วคืน เจ้าตัวก็ชะโงกหน้าไปหอมแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ
“ขอบคุณนะ ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะเลย”
ชายหนุ่มบอกแล้วก็ขอตัวไปทำงานต่อ โดยไม่สนคนที่นิ่งอึ้งหน้าแดงด้วยความตกใจที่ถูกขโมยจูบ แม้จะเป็นที่แก้มก็ตาม แต่สำหรับวาโยก็ไม่เคยให้เพื่อนผู้ชายคนไหนหอมแก้มมาก่อน
“...เขาคงจะทำไปโดยไม่คิดอะไรล่ะมั้ง”
วาโยพยายามปลอบใจตัวเองไม่ให้คิดมาก พอเขากลับมาในร้านก็เห็นการินกำลังลงจากชั้นสองมาพอดี
“ใกล้เวลาเปลี่ยนเวรแล้ว ฉันเลยมารอที่ด้านล่างน่ะ”
การินบอกกับอีกฝ่ายก่อนที่วาโยจะถาม วาโยดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือแล้วจึงพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะชะงักเมื่อการินแกล้งเปรยเบา ๆ
“แล้วไปเข้าห้องน้ำอีท่าไหน ทำไมถึงมาจากข้างนอกได้ล่ะ”
วาโยสะดุ้งโหยง แล้วหันมายิ้มแห้ง ๆ ให้ การินจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วเดินไปตบบ่าเพื่อนของเขาที่ซ่อนแก้วไว้ด้านหลัง
“ทีหลังไม่ต้องโกหกก็ได้ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ถ้านายจะออกไปเอาน้ำให้ใครบางคนข้างนอกนั่นน่ะ”
วาโยยิ้มแห้ง ๆ ที่ถูกจับได้ เขาพึมพำขอโทษการินเบา ๆ ซึ่งการินเองก็ไม่ได้ถือสา
“แล้วใครอยู่เฝ้าข้างนอกล่ะ”
การินถามต่อ ทำเอาวาโยชะงักกึก นิ่งเงียบไป นั่นจึงทำให้การินมองเพื่อนอย่างแปลกใจ
“วินหรือ? ไม่สิ…อย่าบอกนะว่าหมอนั่น”
การินถามพร้อมกับสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ที่ถึงแม้จะไม่พูดแต่มันก็ฉายออกมาทางสีหน้าและแววตาจนหมด
“...เหอะ! ก็แค่อยากรู้เท่านั้น ไม่ได้จะว่าอะไรสักหน่อย”
การินบอกแล้วเดินเข้าห้องครัวไป แต่วาโยฟังจากน้ำเสียงของชายหนุ่มแล้วพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายไม่สบอารมณ์นัก นี่ถ้ารู้ว่าเขาโดนหอมแก้มมาด้วย สงสัยการินจะโวยวายยิ่งกว่านี้ เพราะเท่าที่เขาสังเกตดู การินไม่ค่อยชอบความเจ้าชู้ปากไวมือไวของธีรัชเท่าใดนักนั่นเอง
พอถึงเวลาเปลี่ยนเวร วาโยก็วิ่งเหยาะ ๆ ออกไปหาธีรัชที่ด้านนอกเพื่อขอเปลี่ยนทำหน้าที่กับอีกฝ่าย ทำให้กวินและภูริที่กำลังเดินอ้อมไปหลังเคาท์เตอร์เหลียวมองตาม ยิ่งเห็นวาโยคุยแล้วยิ้มอาย ๆ กับธีรัช ทั้งคู่ก็เริ่มก่อเค้าความหงุดหงิดในสีหน้าให้จับสังเกตได้ รุจมองทั้งสองคนอย่างสนใจ แล้วก็ต้องเหลือบไปมองราเมศที่หมดเวลาพักและมาเปลี่ยนเวรกับตนบ้าง อีกฝ่ายนั้นดูไม่บึ้งตึงเหมือนตอนก่อนหน้าที่จะขึ้นไปหาปวีร์อีกรอบ แต่กลับดูผ่อนคลายลงราวกับเป็นคนเดิม จนขวัญแก้วอยากจะทักแต่ก็ถูกราเมศเปรยขัดเสียก่อน
“ไปประจำแคชเชียร์แทนซะทีสิ รุจเขาจะได้พักบ้าง”
“ฮึ! ก็ได้ ...วีทำอะไรดี ๆ ให้ล่ะสิ ถึงอารมณ์ดีมาเชียว ทีเมื่อครู่หน้างี้หงิกซะจนคนไม่กล้าเข้าใกล้”
ขวัญแก้วเปรยประชด ทว่าคนฟังไม่ได้ถือสาอะไร ยังคงทำตัวนิ่งเฉย แต่นั่นก็ทำให้คนคุ้นเคยมองออกว่าเป็นการแสร้งทำเพื่อปิดบังอะไรบางอย่างแน่
“ไว้ถามวีเองก็ได้ย่ะ!”
หญิงสาวบ่นอุบอิบ แล้วจึงเดินไปเปลี่ยนเวรกับรุจ ชายหนุ่มยิ้มให้เธอน้อย ๆ พลางเดินอ้อมหลังราเมศไป ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นรอยแดง ๆ คล้ายรอยฟันบนคอของอีกฝ่าย ราเมจซึ่งรู้สึกตัวว่ามีคนจ้องรีบเอามือตะปบรอยนั้น เขาหน้าแดงนิด ๆ แล้วเหลือบไปมองขวัญแก้วที่ตอนนี้มัวแต่สนใจลูกค้าที่มาเลือกดูขนมที่ตู้ขนมแทน ราเมศจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางหันกลับมามองรุจอย่างเป็นกังวล แต่ชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าก็ได้แต่ยิ้มน้อย ๆ แล้วเดินไปในครัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราเมศจึงได้แต่มองตามไปแล้วถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้ง
ภายในครัวตอนนี้นั้นกำลังเผชิญกับบรรยากาศอึมครึมจนชานนและขวัญแก้วสังเกตได้ พวกเขามองมาที่รุจด้วยสายตาตั้งคำถาม ทว่ารุจกลับยิ้มนิด ๆ แล้วสั่นศีรษะน้อย ๆ เป็นเชิงบอกว่าตนก็ไม่ทราบเช่นเดียวกัน
“จริงสิครับ คุณภูริทราบไหมครับว่าคุณธีรัชแพ้อาหารอะไรบ้าง ผมจะได้เลี่ยงไม่นำมาปรุงให้เขา”
ชานนตั้งคำถามกับภูริ อีกฝ่ายชะงักเล็กน้อย แล้วจึงบอกไปตามตรง
“เท่าที่ผมรู้ หมอนั่นกินได้ทุกอย่างนะครับ”
“หรือครับ...งั้นก็ค่อยยังชั่ว เห็นคุณปวีร์บอกว่าให้เตรียมอาหารให้พนักงานพาร์ทไทม์ด้วย ผมเองตอนที่เขามาแนะนำตัวก็ลืมถามไป”
ชานนบอกอย่างโล่งอกแล้วก็หันไปให้ความสนใจกับอาหารเบื้องหน้าอีกครั้ง ส่วนขวัญตานั้นเธอเดินมาหยิบน้ำหวานในตู้เย็นดื่ม แล้วก็นึกถึงตอนที่วาโยมารินน้ำหวานใส่แก้วเดินอ้อมไปด้านหลังร้านก่อนหน้านั้น
“ว่าแต่เมื่อสักพักนั่น เห็นโยเอาน้ำหวานไปข้างนอก เขาเอาไปให้พวกเธอกินอย่างนั้นหรือจ๊ะ”
กวินกับภูริเงียบกริบ และหวนนึกถึงใครบางคนพร้อมกัน ต่างฝ่ายต่างสั่นศีรษะปฏิเสธ
“อ้าว ไม่ใช่พวกเธอแล้วเอาไปให้ใครล่ะ”
“คงให้ธีรัชมั้งครับ เพราะเขาเฝ้าอยู่ด้านนอกถึงเมื่อครู่นี้”
รุจเป็นฝ่ายตอบคำถามแทนคนที่เริ่มเงียบไปทั้งสอง ด้านขวัญตาพยักหน้ารับรู้อย่างไม่คิดมาก แล้วจึงกลับไปเป็นผู้ช่วยให้กับชานนต่อ
“เด็กคนนั้นเข้ากับคนได้ง่ายดีนะ ...ง่ายซะจนบางครั้งก็น่าโมโหทีเดียวว่าไหม”
รุจแกล้งเปรยขึ้นเบา ๆ ทำเอาสองหนุ่มสะดุ้ง กวินเงยหน้ามองคนพูดเลิ่กลั่ก ส่วนภูริจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ๆ แล้วก้มหน้าก้มตากินต่อโดยทำท่าไม่ใส่ใจอะไร
“แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ชอบนะ...พวกนายคิดว่าไง คิดว่าเด็กคนนั้นจะยอมรับความรักของเพศเดียวกันได้ไหม”
รุจบอกเสียงเบาลง ให้ได้ยินเฉพาะพวกเขา ภูริเม้มปากน้อย ๆ เขากวาดอาหารที่เหลือเข้าปาก แล้วนำไปล้าง ก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้องพักผ่อนชั้นสองโดยไม่พูดไม่จา เห็นดังนั้นกวินจึงขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างเริ่มสงสัย แล้วก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรุจเปรยตามมา
“ไม่ได้มีแค่นายคนเดียวหรอกวิน ที่จะรู้สึกดี ๆ กับเด็กคนนั้นขึ้นมาได้ ...พูดแบบนี้ก็คงพอเข้าใจใช่ไหม”
รุจบอกแล้วยกจานของตนที่กินหมดแล้วไปล้างบ้าง ก่อนจะออกไปเดินสูดอากาศด้านหลังร้าน เหลือแต่กวินที่นั่งอึ้งมองข้าวคำสุดท้ายในจานไปสักพัก ก่อนจะตักข้าวคำที่เหลือเข้าปาก เอาจานไปล้างทำความสะอาดและเดินขึ้นชั้นสองตามภูริไปบ้าง
กวินเดินเลี่ยงมานั่งคนละมุมห้องกับภูริ เขาแอบจ้องหน้าอีกฝ่ายจนกระทั่งชายหนุ่มรู้สึกตัว
“มีอะไร” ภูริถามสั้น ๆ อย่างหงุดหงิด กวินถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงถามออกไปตามตรง
“คุณภูริชอบโยหรือเปล่า”
ภูรินิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าจะถูกกวินถามเอาตรง ๆ ซึ่ง ๆ หน้าเช่นนี้
“ผมน่ะชอบโยนะ ชอบแบบที่เกินกว่าเพื่อนไปแล้ว...และผมก็คิดว่า คุณน่าจะชอบโยเหมือนกับผม...ใช่ไหม”
ท้ายประโยคยังคงดูลังเล แต่คนถามก็มั่นใจไปเกินครึ่ง เพราะปฏิกิริยาของภูริเรื่องวาโยมันผิดแผกออกไปจากเดิมจนน่าสงสัย
“นายจะชอบใครก็แล้วแต่นาย แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเด็กนั่น”
ภูริเอ่ยปฏิเสธ แต่เขากลับไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย
“จริงหรือครับ” กวินถามย้ำ ทำให้ภูริหันมาสบตากับอีกฝ่ายแล้วตอบเสียงเข้ม
“ฉันไม่ได้ชอบเด็กนั่น!”
กวินจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาค้นหาความจริง จนคนตรงหน้าต้องหลบตาอีกครั้ง
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ไม่เป็นไร ...แต่ถ้าคุณชอบโยเหมือนกัน ผมก็ไม่ว่าอะไร ...”
ภูริหันมามองคนพูด เขาขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วย้อนถามกลับไป
“...เพราะอะไร เรื่องแบบนี้ไม่มีคู่แข่งมันก็ควรน่าจะดีใจไม่ใช่หรือ”
กวินชะงักก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย
“มันก็จริงนะครับ แต่ว่าโยยังไม่ได้เลือกใครนี่ แล้วผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปบังคับเขาด้วย ...ผมก็แค่ชอบเขาเท่านั้น และถ้าจะมีใครชอบเขาเหมือนผม ผมก็คงห้ามอะไรใครไม่ได้ ผมก็คงทำได้แค่พยายามให้โยหันมามองผมบ้างก็แค่นั้น”
ภูรินิ่งเงียบมองอีกฝ่าย สิ่งที่กวินพูดนั้นล้วนมาจากใจจริง สังเกตจากสีหน้าและแววตาของชายหนุ่มดูก็พอจะรู้แล้ว
“แต่ถ้ารู้ตัวคู่แข่งไว้บ้างก่อนก็ดี ผมจะได้ทำการบ้านให้หนักขึ้นไงล่ะครับ”
กวินบอกตามมาแล้วยิ้มกว้าง ซึ่งก็ทำให้ภูริรู้สึกละอายใจ เขาก้มหน้านิ่ง แล้วจึงพึมพำเบา ๆ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน...ไม่ได้ชอบเด็กนั่น ...แต่ก็แค่หงุดหงิดเวลาเด็กนั่นยิ้มให้คนอื่น...ก็แค่นั้น”
กวินชะงัก เขานิ่งเงียบไป แล้วถอนหายใจยาว ก่อนจะพึมพำตอบ
“อย่างนั้นหรือครับ... ไม่เป็นไรหรอกครับ ก่อนหน้าผมจะรู้ตัวว่าชอบ ผมก็สับสนตัวเองอยู่พอสมควรเลย”
ภูริเงยหน้ามองอีกฝ่าย เมื่อเห็นกวินมีรอยยิ้มให้ เขาจึงยิ้มน้อย ๆ ตอบ จากนั้นกวินจึงเปลี่ยนเรื่องคุยถึงคนอื่นแทน
“แต่ว่าก็ว่าเถอะ ผมไม่ค่อยสบอารมณ์เพื่อนคุณเท่าไหร่เลยนะ โยออกจะไร้เดียงสา โดนจีบโดนลวนลามบ่อย ๆ เกิดติดใจเข้าจะทำยังไง!”
ภูริฟังอีกฝ่ายพูด แล้วขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะสั่นศีรษะไปมา
“ถ้าโดนทำแบบนั้นแล้วชอบได้ เด็กนั่นก็โรคจิตแล้วล่ะ”
กวินสะดุ้ง ก่อนจะคิดตาม แล้วหัวเราะอย่างลืมตัว
“ฮ่า ๆ นั่นสิครับ แต่ก็ไม่แน่นะครับ แบบว่าเคยชินไง โยเองก็อาจจะชอบแบบนั้นก็ได้ ...อืม ผมเปลี่ยนคาแรกเตอร์เป็นพวกมือไวปากว่ามือถึงบ้างดีไหมเนี่ย”
“ระวังจะได้ผลตรงกันข้ามแทนล่ะ”
ภูริแย้ง ทำให้คนฟังนิ่วหน้า
“ไม่เชียร์กันเลยนะครับ”
“ก็เราอาจจะได้เป็นคู่แข่งกันก็ได้นี่นะ”
ภูริบอกพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งก็ทำให้กวินยิ้มตอบ จากนั้นทั้งคู่จึงสนทนาเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ๆ แม้ต่างจะรับรู้ว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นศัตรูหัวใจ แต่พวกเขากลับรู้สึกโล่งอก และสนิทใจกับอีกฝ่ายได้มากขึ้นกว่าเดิมอย่างประหลาด แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า หากวาโยตัดสินใจเลือกคนใดคนหนึ่งในพวกเขาแล้ว เขาจะยังคงมองหน้าทั้งคู่อย่างสนิทใจได้อีกไหมกันแน่
… TBC …
พอเขียนตอนนี้จบ แล้วรู้สึกว่า ....ไม่อยากให้น้องโยเลือกใครเลย อยากรวบ 3-4P หุ ๆ
แต่ถ้าเขียนจับคู่จริง ๆ รับรองว่าคนที่เหลือจะเศร้าไม่นานนัก เพราะจะพยายามหาคู่ให้ครบทุกคนค่ะ (หนุ่มมากมายขนาดนั้นจับคู่ไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป)
สำหรับใครที่อยากรู้ฉาก "ประทับรอยฟัน" เดี๋ยวจะเขียนแทรกให้อ่านแน่นอนจ้ะ ^^ เอ...หรือไม่อยากรู้กันหว่า...
ฟังเพลงนี้แล้วนึกถึงน้องโย...
"อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน" สุดท้ายก็รักคนอ่านค่ะ หวังว่าจะติดตามกันต่อไปนะคะ
