...ตอนใหม่ค่ะ อาจจะทำให้คนที่จับคู่ไว้ลงตัวแล้ว สับสนในบางคู่ก็ได้มั้ง อิ ๆ 
Miracle Café / 26
หลังจากไกรสรทานอาหารเช้าเสร็จเขาก็ขอตัวกลับ สร้างความโล่งอกให้หลายคนในที่นั้น โดยเฉพาะกวินกับภูริชที่คลายหงุดหงิดลงไปได้มากทีเดียว
“ไม่มีแจกันดอกไม้เสียด้วย ไม่งั้นจะได้ไว้จัดวางที่ห้องพักเนอะ”
วาโยพึมพำพลางมองช่อดอกกุหลาบสีขาวในมือ ทำให้กวินที่เดินกลับเข้ามาในห้องพักด้วยกันหน้าบึ้งขึ้นทันที
“จะเก็บไว้ทำไม ทิ้งไปก็สิ้นเรื่องของจากคนเจ้าชู้แบบนั้นน่ะ”
วาโยหันกลับมาขมวดคิ้วยุ่ง แล้วมองเพื่อนอย่างแปลกใจ
“คุณไกรสรเขาก็แค่มีน้ำใจ อีกอย่างก็ใช่ว่าเขาจะมาจีบฉันจริง ๆ สักหน่อย”
กวินขมวดคิ้วแล้วย้อนถามเสียงห้วน
“นายรู้ได้ไง”
“คุณรุจบอกมาน่ะ เห็นว่ามาจีบเพื่อแกล้งแหย่ให้ใครสักคนโมโหนี่ล่ะ แต่ฉันฟังแล้วก็แปลก ๆ ล่ะนะ เรื่องแกล้งจีบก็พอจะเข้าใจ แต่คนโมโหนี่สิ ทำยังกับมีใครในนี้แอบชอบฉันอยู่อย่างนั้นล่ะ มันจะมีได้ยังไงกันจริงไหม เพื่อนกันทั้งนั้น เนอะ!”
วาโยหันมายิ้มให้กับกวินอย่างไร้เดียงสา ทำให้กวินกลืนน้ำลายลงคอ พลางพยักหน้าค่อย ๆ
“ง่า...ก็ว่างั้น แต่ถ้าอย่างนั้น เรื่องที่หมอนั่นจะมาจีบเล่น ๆ มันก็อาจจะเป็นจริงก็ได้นะ”
กวินรีบบอกต่อ เพราะไม่อยากให้วาโยเผลอตัวเผลอใจ ให้ไกรสรเข้ามาใกล้ชิดได้มากกว่านี้
“ฮะ ๆ ถึงจะจริงก็ไม่เป็นไรหรอก”
วาโยหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ถือสา ทำเอาคนฟังชะงักกึก แล้วขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่สบอารมณ์
“หมายความว่ายังไง”
วาโยเปรยขึ้นยิ้ม ๆ โดยไม่ได้ทันสังเกตว่าปวีร์กำลังมีสีหน้าหงุดหงิดเพียงใด
“ก็เพราะถึงจะจีบจริง ฉันก็ไม่เล่นด้วยอยู่แล้ว ฉันเป็นผู้ชายนะ ถึงจะหน้าตาคล้ายผู้หญิงยังไง แต่ฉันก็ชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอยู่ดีนั่นล่ะ”
วาโยบอกแล้วมองดอกไม้ในมือ ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ
“แล้วอีกอย่างดอกไม้มันก็ไม่มีความผิดด้วย อุตสาห์บานมาซะสวยแบบนี้ทั้งที ฉันว่าไปหาแก้ว หรือขวดเปล่า มาทำเป็นแจกันแก้ขัดดีกว่า”
วาโยเปรยตามมาแต่คนฟังนี่สิแทบจะไม่ได้เข้าหูในประโยคหลัง ๆ แล้ว เพราะมัวแต่ช็อกกับประโยคก่อนหน้านั้นของเจ้าตัวที่ว่าชอบผู้หญิงมากกว่านั่นอยู่
“เฮ้อ...แต่จะว่าไป ต้องถูกจับแต่งหญิง ทำตัวให้สมผู้หญิง แถมยังมาถูกผู้ชายสนใจเข้าแบบนี้ ก็ลำบากอยู่เหมือนกัน ฉันอาจจะหลวมตัวเผลอใจเพราะบรรยากาศพาไปบ้างก็ได้ ยังไงก็ช่วยเตือนสติกันบ้างก็ดีนะ ...อ้าว วิน”
วาโยหันมาก็เห็นหลังกวินเดินออกจากห้องไปแวบ ๆ
“ไปไหนของเขานะ ...อืม แต่เดี๋ยวก็คงกลับมั้ง”
วาโยพึมพำแล้วจึงหันมาให้ความสนใจหาอุปกรณ์มาใส่ดอกกุหลาบสีขาว เพื่อใช้ตั้งประดับภายในห้องของเขาต่อไป
ทางด้านกวินนั้นออกมายืนทอดถอนหายใจหน้าห้องตัวเองอยู่สักพัก จนการินที่เดินขึ้นมาจากชั้นล่างและกำลังกลับเข้าห้องประหลาดใจ
“ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ ไม่เข้าห้องหรือไง”
การินเอ่ยทัก กวินนั้นหันมามองแล้วถอนหายใจอีกครั้ง
“เข้าไปแล้วเมื่อครู่นี้ แล้วก็ออกมาแล้วน่ะ... ว่าแต่นายเถอะ ทำไมถึงเพิ่งขึ้นมาล่ะ ฉันว่าฉันเหมือนเห็นนายเดินตามมาด้วยก่อนหน้านั้นไม่ใช่หรือ”
การินชะงักก่อนจะขมวดคิ้วยุ่งอย่างหงุดหงิด เมื่อหวนคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น
“ทีแรกก็เดินตามมาอยู่ดี ๆ หรอก แต่นึกได้ว่าลืมตากผ้า พอเอาผ้าจากเครื่องออกไปตาก ก็เจอหมอนั่นมาชวนคุยเจ๊าะแจ๊ะน่ารำคาญ กว่าจะสลัดออกมาได้ก็เกือบจะได้ต่อยปากไปแล้ว”
ชายหนุ่มหน้าสวยบ่นอุบ ทำให้คนฟังหลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมา
“ถึงจะน่ารำคาญแต่ก็กล้าพูดตรง ๆ เรื่องพวกนี้ดีนะ ...เทียบกับฉันนี่สิ อยากจะพูดยังไม่กล้าเลยแท้ ๆ”
กวินบอกแล้วก็มีสีหน้าสลดลงเล็กน้อย ก่อนจะชะงัก แล้วเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าตื่น ๆ พลางแก้ตัวกับอีกฝ่ายด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“อ๊ะ! ฉันไม่ได้หมายถึงว่า ฉันกำลังแอบชอบใครหรอกนะ!”
การินจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะไปมาค่อย ๆ
“ป่านนี้คิดว่าจะปิดกันได้อีกหรือไง คนที่ไม่รู้ก็คงมีแต่เจ้าตัวนั่นล่ะ”
กวินฟังแล้วก็ยิ่งหน้าแดงหนัก แล้วอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ถามออกไป
“นายรู้หรือว่าฉันแอบชอบ...เอ่อ หมอนั่น”
“หึ! ฉันก็บอกแล้วไงว่าที่ไม่รู้ก็น่าจะมีแต่เจ้าตัว ...รูมเมทนายน่ะ”
ท้ายประโยคการินเสียงเบาลง แต่ก็เน้นทีละคำช้า ๆ เป็นการตอกย้ำว่าเขานั้นรู้จริง
“เอ่อ...รู้จริง ๆ ด้วยสินะ ...แหะ ๆ แบบว่า คือ...”
การินถอนหายใจเบา ๆ กับท่าทางอ้ำอึ้งของคนตรงหน้า เขาเปิดประตูห้องของตน แล้วหันมาถามอีกฝ่าย
“จะเข้าไปนั่งคุยในห้องก่อนไหมล่ะ เห็นแบบนี้ฉันก็เป็นที่ปรึกษาได้เหมือนกันนะ”
กวินชะงัก แล้วรีบพยักหน้า เพราะเขาอยากระบายออกเรื่องนี้กับใครบางคนมานานแล้ว กับภูริก็เป็นคู่แข่งกัน จะพูดความในใจทั้งหมดให้ฟังก็กลัวจะเสียฟอร์มและมันจะเหมือนเขาดูด้อยกว่าอีกฝ่ายไปด้วย
ห้องของการินนั้นนอกจากหนังสือที่มีเพิ่มเข้ามาเต็มชั้น ก็แทบไม่แตกต่างจากห้องของเขาสักเท่าใด นอกจากนี้ยังดูเป็นระเบียบกว่าและไม่วางของเกะกะไปทั่วเหมือนห้องของเขากับวาโยอีกด้วย
“หนังสือเต็มไปหมดเหมือนเดิมเลยนะห้องนี้ ...อ้อ! ฉันอ่านสารานุกรมต้นไม้ที่นายให้มาเมื่อคืนแล้วนะ สนุกดี ไว้จะมาขอยืมเล่มอื่นต่อนะ”
กวินบอกกับอีกฝ่ายพร้อมยิ้มกว้าง การินพยักหน้าค่อย ๆ รับรู้ แล้วจึงเดินไปนั่งบนพรมตรงมุมรับแขกของห้อง โดยมีอีกฝ่ายนั่งขัดสมาธิลงฝั่งตรงข้ามกัน
“เอ่อ...คือเรื่องที่คุยกันเมื่อครู่น่ะ...แบบว่าฉันดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ”
กวินเริ่มต้นถามขึ้นอย่างเป็นกังวล เพราะเขาเกรงว่าวาโยจะจับพิรุธเรื่องที่เขาแอบชอบเจ้าตัวได้นั่นเอง
“ก็ไม่ง่ายนักหรอก แต่จะเห็นชัด ๆ ก็เวลาโยอยู่กับผู้ชายคนอื่นประมาณนั้น”
การินบอกตรง ๆ ทำเอาคนฟังถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอก การินเห็นดังนั้นจึงตั้งคำถามต่ออีกฝ่าย
“นายชอบโยจริง ๆ หรือชอบแค่ตอนหมอนั่นแต่งหญิงกันแน่”
กวินชะงักกึกต่อคำถามของคนตรงหน้า เขาจ้องอีกฝ่ายก็เห็นแต่แววตาสงสัยจากใจจริง ไร้การเยาะเย้ยหรือแดกดันใด ๆ ทั้งสิ้น เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบคำถามของอีกฝ่าย
“ทีแรกฉันก็คิดว่าฉันแค่หลงรูปตอนโยแต่งหญิงก็แค่นั้น ...แต่มันไม่ใช่ ....ฉันชอบหมอนั่นจริง ๆ นะริน ชอบที่เขาใจดี มีน้ำใจ และคอยห่วงใยทุกคนอย่างจริงใจ ...ตัวเล็กแค่นั้นแท้ ๆ แต่ก็อดทนขยันขันแข็ง ตั้งใจทำงาน ...แค่หมอนั่นยิ้ม ก็ทำให้คนที่อยู่รอบข้างยิ้มตามได้แล้ว”
การินนิ่งเงียบรับฟัง แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ ตามมา เพราะวาโยก็เป็นแบบนั้นจริง เขาเองก็ไม่ได้รังเกียจชายหนุ่มและยอมรับอีกฝ่ายเป็นเพื่อนคนแรกที่เขารู้สึกสนิทใจด้วยซ้ำไป
“นายมีเปอร์เซ็นต์ผิดหวังเยอะกว่าสมหวังนะ ...ไม่คิดจะตัดใจแต่เนิ่น ๆ หรอกหรือ ถ้าตัดใจตอนนี้ ก็ยังคงเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิมอยู่นะ”
การินลองเสนอกับอีกฝ่าย เพราะเขายังคงเชื่อมั่นว่า ถ้าหากสารภาพรักไปแล้ว ยังไงความสัมพันธ์ระหว่างทุกคนก็คงต้องเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี ถ้าเป็นทางดีขึ้นก็ดีไป แต่ถ้ามันเกิดเลวร้ายลง เขาคงนึกเสียใจขึ้นมาแน่ เพราะเขานั้นเริ่มชอบความสัมพันธ์ระหว่างทุกคนที่เป็นอยู่ในตอนนี้ขึ้นมาบ้างแล้วแท้ ๆ
“...มันยากนะรินที่จะตัดใจน่ะ ยิ่งเวลาผ่านมันก็ยิ่งฝังรากลึกลงเรื่อย ๆ ...ฉันรู้ดีนะ ว่าโอกาสที่จะสมหวังมันน้อยเสียยิ่งกว่าผิดหวัง ...แต่ฉันไม่อยากจบโดยที่ยังไม่ลองเริ่มดูสักครั้ง ...”
กวินพึมพำตอบด้วยใบหน้าเศร้า ๆ ก่อนจะก้มหน้านิ่งสักพัก แล้วจึงเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้าอีกฝ่าย ด้วยแววตาจริงจังกว่าเคย
“ถ้ายังไงก็จะต้องอกหักล่ะก็ สู้ลองสารภาพรักให้เขารู้ไปเลยยังดีเสียกว่า”
การินชะงักกับคำตอบของอีกฝ่าย เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วย้อนถามเสียงแผ่ว
“แล้วถ้าเกิดบอกไป แล้วกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้งไม่ได้ล่ะ”
กวินฟังคำถามของชายหนุ่มหน้าสวย ก่อนจะยิ้มกว้างให้
“ไม่หรอก... ฉันเชื่อนะว่าถึงเขาอาจจะปฏิเสธฉัน แต่เขาคงไม่รังเกียจจนตัดเพื่อนกันหรอก”
“ทำไมนายถึงเชื่อมั่นอย่างนั้นล่ะ”
การินถามย้อนทันควัน ซึ่งกวินก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
“ก็เพราะหมอนั่นเป็นคนแบบนั้นไง ฉันถึงได้หลงรักเขาแบบนี้ ...”
กวินบอกอย่างเชื่อมั่นในตัวของวาโย ทำให้การินนิ่งอึ้ง แล้วก้มหน้าน้อย ๆ ก่อนจะพึมพำตอบไป
“อย่างนั้นหรือ... ต่อให้เป็นแฟนกันไม่ได้ ก็ยังอาจจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้อีกสินะ”
กวินยิ้มกว้างรับ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนไปบนตักของอีกฝ่าย ทำเอาการินสะดุ้งโหยง แต่พอจะต่อว่าเขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยนให้พร้อมกับพึมพำขอบคุณเขา
“ขอบใจนะริน ...นายทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย ...ก่อนหน้านั้นฉันเก็บกดจนแทบจะบ้า ไม่รู้จะบอกจะคุยปรึกษากับใคร จะปรึกษาคู่แข่งกันก็กลัวเสียหน้า ...ดีจังเลยที่นายยอมรับฟังฉันแบบนี้น่ะ”
“ฉันก็คงทำได้แค่รับฟังอย่างเดียวเท่านั้นล่ะ...ส่วนเรื่องช่วยเชียร์หรือวางแผนให้ คงทำอะไรไม่ได้หรอก”
การินพึมพำ มือที่เตรียมจะผลักศีรษะของอีกฝ่ายก็ลดลงมาอยู่ข้างลำตัวแทน
“อืม...แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ สำหรับฉันแค่มีคนรับรู้ความในใจ ยอมรับฟังกัน โดยไม่รังเกียจ ฉันก็ดีใจแล้ว”
กวินบอกแล้วยิ้มกว้างให้คนที่ก้มหน้ามามอง ทำให้การินสะดุ้ง แล้วเมินไปทางอื่น แต่ในใจนั้นกลับเต้นแรงจนเจ้าตัวเองยังตกใจ
“เฮ้อ! สบายใจแล้วล่ะ ขอบใจอีกครั้งนะริน ฉันกลับห้องก่อนล่ะ เดี๋ยวโยจะสงสัยเอาที่จู่ ๆ ฉันก็หายไปโดยไม่บอกกล่าวเขา!”
กวินบอกกับชายหนุ่มแล้วดันกายลุกขึ้น หันมาโบกมืออำลาพร้อมรอยยิ้มร่าเริง โดยที่เจ้าของห้องก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้น้อย ๆ แต่พอกวินออกไปจากห้องเรียบร้อย การินนั้นก็นึกถึงรอยยิ้มของอีกฝ่ายตอนที่นอนตักเขา ใบหน้าของชายหนุ่มหน้าสวยแดงระเรื่อขึ้นอย่างที่เจ้าตัวควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ หัวใจก็เต้นแรงอย่างประหลาด การินลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำแล้วเปิดน้ำเย็นวักล้างหน้าอยู่หลายรอบ เจ้าตัวจ้องกระจกตรงหน้านิ่ง แล้วบอกกับตัวเองพึมพำไปมา
“ไม่มีอะไร...ใช่...เราไม่ได้คิดอะไรกับหมอนั่นสักนิด...ไม่ได้คิด”
อีกด้านหนึ่งระหว่างที่กวินกำลังคุยกับการินอยู่ในห้อง วาโยเองก็ออกมาเดินหาขวดหรือแก้วน้ำว่าง ๆ เพื่อนำมาใช้แทนแจกันดอกไม้ เขาเดินลงมาชั้นล่างหาชานนเพื่อสอบถาม และยังคงเจอธีรัชที่นั่งคุยกับอีกฝ่ายอยู่แถวนั้น
“อ้าว คุณธีรัช ยังไม่กลับอีกหรือครับ”
ธีรัชหันมามองคนตั้งคำถาม แล้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตอบ
“อะไรกันหนูอลิซ เจอหน้าก็จะไล่กันแล้วหรือไง”
วาโยสะดุ้งโหยง แล้วรีบปฏิเสธทันที
“เปล่านะครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเลยนะครับ”
ธีรัชหัวเราะเบา ๆ ชานนเองก็เช่นกัน จากนั้นธีรัชจึงโบกมือค่อย ๆ แล้วบอกกับอีกฝ่ายตามตรง
“ฉันล้อเล่นน่ะ ไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอก ที่ยังไม่กลับก็เพราะมัวแต่นั่งคุยกับคุณนนนี่ล่ะ อยากรู้ว่าทำไมถึงทำกับข้าวเก่งจัง เลยเพิ่งรู้ว่าเขาเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนหน้าที่จะเป็นเชฟนี่ล่ะ”
วาโยพยักหน้ารับรู้ เขาเองก็รู้เหมือนที่อีกฝ่ายรู้ แต่ที่ไม่รู้ก็เห็นจะเป็นทำไมชานนถึงเลิกทำร้านอาหารแล้วมาเป็นพ่อครัวให้กับปวีร์ได้
“ฉันน่ะนะ ชอบกินอาหารอร่อย ๆ รู้ไหม แต่แย่อยู่อย่างตรงที่ตัวเองน่ะไร้พรสวรรค์ในการปรุงรสโดยสิ้นเชิง ขนาดเปิดตำราทำ ยังทำออกมาไม่ได้เรื่องประจำ”
ธีรัชเปรยบ่น ทำให้วาโยนึกขำ ส่วนชานนนั้นยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกกับอีกฝ่าย
“การทำอาหารบางครั้งก็ต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์และการฝึกฝนด้วยนะครับ อย่างผมเองก็ใช่ว่าจะทำแป๊บเดียวเก่ง ผมถูกสั่งสอนและฝึกฝนให้ทำมาตั้งแต่จำความได้ จนตอนนี้มีประสบการณ์ในด้านอาหารก็สามสิบกว่าปีไปแล้วด้วยซ้ำ”
คำพูดของชานนทำให้ธีรัชกับวาโยนิ่งอึ้งไปตาม ๆ กัน แล้วเป็นธีรัชที่กล้าเอ่ยปากถามอายุของอีกฝ่ายออกไป
“เอ่อ…ขอเสียมารยาทสักนิดนะครับคุณนน ... คุณนนอายุเท่าไรแล้วครับ”
ชานนยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของสองหนุ่ม ก่อนจะตอบคำถามของอีกฝ่ายไปตามตรง
“วันเกิดปีนี้ก็จะสี่สิบแล้วครับ”
“หา! สี่สิบ!”
วาโยและธีรัชหลุดอุทานแทบจะพร้อมกัน เพราะวาโยเองนั้นเชื่อมาตลอดว่า อย่างมากชานนก็น่าจะแค่สามสิบต้น ๆ ไม่น่าเกินสามสิบห้า
“โห...ผมไม่อยากเชื่อเลย คุณนนมีสูตรบำรุงหน้าหรือผิวอะไรเป็นพิเศษ หรือปล่าครับเนี่ย”
ธีรัชเอ่ยปากถามอีกฝ่าย ทำให้คนฟังหัวเราะเบา ๆ อย่างนึกขำ
“ไม่ได้บำรุงอะไรหรอกครับ ก็เป็นแบบนี้นั่นล่ะ ...เอาจริง ๆ ผมก็ว่าตัวเองหน้าตาสมอายุอยู่นะครับ”
“ไม่เลยครับ! ลุงผมสี่สิบหน่อย ๆ แต่หน้านำคุณไปเยอะเลยด้วยซ้ำ ถ้าไปเดินด้วยกันแล้วบอกว่าลุงผมเป็นพ่อ คุณเป็นลูก คนยังเชื่อเลยครับ”
ธีรัชรีบแย้งด้วยสีหน้าจริงจัง จนคนฟังหัวเราะเบา ๆ แม้แต่วาโยเองก็ยังอดขำไปด้วยไม่ได้
“คุยอะไรกัน ท่าทางน่าสนุกจังนะ ขอร่วมวงด้วยได้ไหมน่ะ”
เสียงทักทายของรุจที่ดังขึ้น ทำให้วาโยหันกลับไปมอง ข้าง ๆ ชายหนุ่มนั้นมีภูริยืนอยู่ด้วย ทั้งคู่เดินเข้ามาสมทบ โดยรุจมีใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนภูริมีสีหน้าค่อนข้างบึ้งตึงจนน่าแปลกไป
“เราสองคนว่าจะลงมาชั่งน้ำหนัก แล้วออกกำลังกายควบคุมอาหารสักหน่อยน่ะ”
รุจบอกกับวาโยที่แปลกใจเมื่อเห็นทั้งคู่ลงมาด้านล่าง
“เอ๋? หุ่นอย่างพวกคุณนี่ยังต้องควบคุมอาหารอีกหรือครับ”
ธีรัชถามรุจด้วยถ้อยคำสุภาพ เพราะรู้มาว่ารุจนั้นอายุมากกว่าหนึ่งปี อีกทั้งชายหนุ่มยังนึกเกรงบุคลิกของอีกฝ่าย จึงเลือกที่จะปฏิบัติตัวกับรุจผิดแผกจากคนอื่นเป็นพิเศษ
“โดนกำชับมาน่ะ ฉันว่านายก็น่าจะเข้าข่ายล่ะนะ”
รุจบอกยิ้ม ๆ จากนั้น วาโยจึงอธิบายให้ชายหนุ่มฟังเรื่องที่พวกเขาถูกควบคุมเรื่องน้ำหนักให้ทราบ ทำเอาธีรัชยิ้มเจื่อน ๆ
“แย่จัง… เมื่อเช้าผมก็กินซะเต็มที่เลย”
“คุณธีรัชไม่น่าจะต้องกังวลนะครับ ไหนจะต้องทำงานดึกอีกไม่ใช่หรือครับ ผมว่าน่าจะบำรุงให้มากขึ้นดีกว่าอดนะครับ”
ชานนให้ความเห็น ธีรัชขมวดคิ้วนิ่งคิด แล้วจึงสรุปง่าย ๆ
“เห็นทีผมต้องซื้อเครื่องชั่งน้ำหนักติดบ้านไว้แล้วล่ะครับ ถ้าไม่ขึ้นก็กินตามปกติ ลดลงก็บำรุงหน่อย ส่วนเรื่องออกกำลังกายนี่ไม่ค่อยมีปัญหาอยู่แล้ว เพราะผมมักจะไปว่ายน้ำทุกวันอาทิตย์ นี่อีกสักพักก็ว่าจะไปแล้วล่ะครับ...อ๊ะ จริงสิ”
ธีรัชล้วงกระเป๋าสะพายของตน แล้วหยิบคูปองปึกหนึ่งส่งให้วาโย
“เจ้าของสระว่ายน้ำเขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนมหาลัยกับฉัน เขาเลยให้คูปองส่วนลดมาเป็นปึกเลย ลำพังฉันใช้เป็นปีก็ไม่หมดหรอก เลยตั้งใจจะหยิบมาแจกพวกนายด้วย สระว่ายน้ำของหมอนั่นเจ๋งมากเลยนะ มีทั้งแบบธรรมดา แล้วก็อ่างน้ำวนด้วย เลือกเล่นได้ตามใจชอบเลยล่ะ”
วาโยรับมาอย่างตื่นเต้น ความจริงเขาเองก็ชอบว่ายน้ำอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมีสถานที่ดี ๆ ให้ว่ายเท่าใดนัก
“อ๊ะ! จะว่าไปวันนี้ก็วันหยุดไม่ใช่หรือ ไปเที่ยวกันทั้งหมดนี่เลยดีไหมล่ะ”
คนอื่น ๆ มองตากันปริบ ๆ คล้ายจะตัดสินใจ แต่แล้วพวกเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น
“หือ...ใครจะไปเที่ยวไหนกันหรือ ขอฉันติดไปด้วยคนได้ไหมน่ะ”
คนอื่นหันไปทางต้นเสียงเป็นตาเดียว ปวีร์แย้มยิ้มพลางโบกมือทักทายนิด ๆ ข้างกายเขามีราเมศที่ยืนยิ้มน้อย ๆ ทักทายทุกคนเช่นเดียวกัน
“คุณปวีร์...ผมนึกว่าคุณหยุดพักผ่อนอยู่บ้านเสียอีกนะครับเนี่ย”
วาโยทักทายอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ปวีร์ยิ้มนิด ๆ แล้วจึงเอ่ยตอบอีกฝ่าย
“ทีแรกก็ตั้งใจแบบนั้นหรอก แต่หมอนี่เกิดนึกเบื่อไม่อยากนั่งเฉย ๆ อยู่ที่บ้าน ฉันก็เลยชวนออกมาเดินเล่นแทนน่ะ”
ปวีร์บอกพร้อมยกยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์เมื่อเหลือบมองราเมศ ส่วนราเมศนั้นแค่นยิ้มส่งให้ตอบ เพราะอีกฝ่ายนั้นหลีกเลี่ยงเรื่องจริงที่ว่า... จู่ ๆ เจ้าตัวก็เกิดนึกครึ้มอกครึ้มใจมาจ้องหน้าเขาเล่นตั้งแต่เช้าจนเขารู้สึกเขิน แต่พอเขาคิดจะทำมากกว่าจ้องหน้า ปวีร์ก็ทำเป็นหลีกเลี่ยงและชวนเขาออกมาเดินเล่นแทนเสียอย่างนั้น
“แล้วเรื่องที่ว่าจะไปเที่ยวกัน จะไปไหนหรือ”
ปวีร์ที่ได้ยินประโยคหลัง ๆ ของการสนทนาเอ่ยถามอย่างสนใจ ซึ่งพอได้รับคำอธิบายจากวาโย ชายหนุ่มจึงทุบมือค่อย ๆ ตามมา
“น่าสนนี่! งั้นเรายกพลไปเล่นน้ำกันดีกว่า จริงสิธีรัช ถ้าจะเหมาสระทั้งวัน เพื่อนเธอจะคิดเท่าไหร่น่ะ”
ธีรัชยิ้มแห้ง ๆ เพราะฟังจากน้ำเสียงแล้วอีกฝ่ายนั้นคงไม่ได้พูดเล่นแต่อย่างใด
“สระค่อนข้างใหญ่นะครับ แล้วก็มีหลายสระด้วย ...ถึงวันหยุดคนจะเยอะ แต่ก็ไม่ได้เยอะมากมายจนเบียดเสียดหรอกครับ อีกอย่างวัยรุ่นกับคนทำงานมักจะมาใช้บริการกันมากกว่าเด็กเล็ก เพราะค่าเข้าก็ค่อนข้างแพงอยู่ นี่เพราะเป็นสระของเพื่อนและผมมีบัตรลด ผมเลยไปใช้บริการอยู่บ่อย ๆ น่ะครับ”
ปวีร์นิ่งรับฟัง ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ และหันไปถามพนักงานคนอื่น ๆ ของเขา
“พวกเธอล่ะ ตกลงเอายังไง สนใจไหม?”
วาโยพยักหน้าหงึก ๆ แล้วจึงหันไปมองรุจกับภูริด้วยแววตาขอร้องกึ่งอ้อน จนสองหนุ่มคนหนึ่งนึกขำ อีกคนกลืนน้ำลายลงคอไม่กล้าปฏิเสธ
“งั้นผมขอตัวไปชวนรินกับวินก่อนนะครับ!”
เมื่อเห็นว่าเพื่อนรุ่นพี่ทั้งสองตกลงไปด้วยกัน วาโยก็รีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองทันที จนเกือบจะชนคนที่เดินสวนลงมา
“อ้าว! วิน กำลังจะไปตามพอดีเลย!”
กวินมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ยังไม่ทันจะถาม วาโยก็ตัดบทเสียก่อน
“ลงไปถามคนอื่นด้านล่างเอาแล้วกัน เดี๋ยวฉันไปตามรินก่อน จะได้ไม่เสียเวลา!”
จากนั้นวาโยก็วิ่งพรวดพราดขึ้นไป ทำเอากวินต้องมองไล่หลังตาปริบ ๆ แต่พอลงมาแล้วรู้ข่าวจากปวีร์ ก็ทำให้เขารีบตอบตกลงทันที เพราะนอกจากจะไปเป็นก้างกันหนุ่ม ๆ คนอื่นแล้ว ยังได้มีโอกาสเห็นวาโยในชุดว่ายน้ำเต็มตาอีกด้วย
และเมื่อวาโยพาการินลงมาสมทบหลังจากขอร้องกึ่งอ้อนไปหลายยก ปวีร์ก็โทรให้ปยุตนำรถตู้มารับทุกคนที่อยู่ในบ้านพัก ส่วนชานนนั้นทีแรกก็จะขออาสาเฝ้าบ้าน แต่ถูกเกลี้ยกล่อมจากวาโยและขอร้องแกมบังคับจากปวีร์ จึงทำให้ชายหนุ่มต้องยอมตกลงในที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นรถไปกันได้แล้ว ส่วนกางเกงอาบน้ำกับหมวกก็ไปเช่าหรือซื้อเอาก็ได้ ที่สระมีของใช่ไหมธีรัช”
“ครับ มีทั้งของให้เช่า และของใหม่ไว้ขายเลยครับ ของมีทุกไซส์ครับ ไม่ต้องห่วง”
ธีรัชตอบคำถามของอีกฝ่าย ปวีร์ยิ้มรับ แล้วจึงไล่มองพนักงานของเขาแต่ละคนอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นก็ออกเดินทางได้ ไม่ต้องห่วงนะ วันนี้ฉันเป็นเจ้ามือเอง!”
เสียงเฮจากบางคนดังขึ้นหลังจากปวีร์พูดจบ จากนั้นแต่ละคนจึงทยอยกันขึ้นรถตู้ที่มีปยุตเป็นคนขับ และเมื่อทุกคนขึ้นกันมาบนรถหมดแล้ว รถตู้สีขาวก็เคลื่อนตัวออกจากบ้านพักตรงไปยังจุดหมายปลายทางกันต่อไป
... TBC ...
....ตอนหน้า(ถ้าไม่อู้) หนุ่ม ๆ จะมาพบกับนักอ่าน ในชุดว่ายน้ำกันค่ะ ^^