** หายไปหลายวัน ไม่ได้ดองนะ แค่แอบอู้เท่านั้นเองจ้ะ ^^" หลัง ๆ นี้ถ้าช่วงไหนไม่มีงานเข้า ก็จะพยายามปั่นเรื่อย ๆ ลงแบบไม่ทิ้งระยะห่างนะคะ ^^
Miracle Café / 37
เมื่อขวัญแก้วและขวัญตากลับเข้ามาถึงบ้านพักของพวกเธอ พี่ชายคนรองก็ออกมาดักรอแล้วยิ้มแย้มทักทายทั้งคู่
“ไงสองสาว ทำงานเหนื่อยไหมวันนี้”
“นิดหน่อยค่ะ แต่ตอนนี้บรรยากาศในร้านกำลังเป็นสีชมพูหวานแหวว ชวนให้สดชื่นจนลืมเหนื่อยเลยทีเดียว”
ขวัญแก้วบอกยิ้ม ๆ ทำให้ไกรสรชะงัก ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ตาม
“พวกเด็ก ๆ พวกนั้นสินะ จับคู่กันได้เรียบร้อยแล้วหรือ ไวกันจริงแฮะ ไอ้เราไม่อยู่แค่สามวันเอง”
ไกรสรพึมพำ ในขณะที่สองสาวนั้นหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจ
“จริงสิ ว่าแต่ดอกไม้วันนี้เป็นไง ส่งถึงมือเจ้าตัวเขาหรือเปล่า”
ชายหนุ่มหันไปถามขวัญแก้ว ซึ่งเจ้าตัวก็ยักไหล่นิด ๆ อย่างเบื่อหน่าย
“ถึงสิเจ้าคะ เอาให้กับมือเหมือนกับเมื่อสองวันที่แล้วนั่นล่ะค่ะ”
ไกรสรอมยิ้มนิด ๆ ก่อนจะย้อนถามน้องสาวต่อ
“แล้วเขาว่าไง แก้วบอกเขาหรือเปล่าว่าดอกไม้ที่ให้น่ะชื่ออะไร”
ขวัญแก้วมองพี่ชายที่ลงทุนจัดช่อดอกไม้ราคาแพงไปให้อีกฝ่ายทุกวันอย่างนึกขำ แล้วจึงบอกไปตามตรง
“ระดับรุจไม่ต้องบอกหรอกค่ะ พอยื่นให้ปุ๊บ เขาก็ย้อนถามแก้วเลยว่า พี่ไกรน่ะจะกลับเมืองนอกแล้วใช่ไหม ถึงเอาช่อฟอร์เก็ตมีน็อต มาให้เขาน่ะ”
ไกรสรชะงักก่อนจะถอนหายใจแรง ๆ ตามมา
“ตั้งใจจะให้คิดถึงในความหมายที่ว่า ฉันหายไปหลายวันแบบนี้ อย่าลืมฉันล่ะต่างหาก ไม่ใช่จะลากลับเมืองนอก ...เด็กคนนี้นี่แสบนัก”
“นี่พี่ไกร แก้วถามหน่อยเถอะ จะจีบน้องเขาจริง ๆ หรือคะ”
ขวัญแก้วเอ่ยถามพี่ชายของเธอด้วยสีหน้าจริงจัง จนไกรสรต้องมองตอบ แล้วถอนหายใจเบา ๆ
“วีบอกให้พี่ห่างเขาสักสามวัน คงจะให้พี่สำรวจใจตัวเอง... แต่ยิ่งห่างและยิ่งได้ฟังที่แก้วเล่าเรื่องเขาในแต่ละวัน พี่ก็ยิ่งอยากเจอ อยากเห็นหน้า ...ไม่รู้สิ พี่ว่าพี่คงเริ่มสนใจเขาแบบจริงจังขึ้นมาจริง ๆ แล้วก็ได้นะ”
“แต่รุจเป็นผู้ชายนี่คะ พี่ไกรไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อนไม่ใช่หรือไงคะ”
ขวัญตาเอ่ยขัดขึ้นมาบ้าง ผู้เป็นพี่ชายพอได้ฟังก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับ
“นั่นก็ใช่ ...แต่กับเขามันต่างกันออกไป ...หน้าตา รูปร่าง ก็ไม่ใช่สเป็คพี่เลยแท้ ๆ ...แต่ก็สนใจไปแล้วนี่นะ”
สองสาวมองพี่ชายของพวกเธอ ที่แม้จะดูสับสน แต่นัยน์ตาก็ฉายแววเอาจริงเรื่องรุจอย่างเปิดเผย จนพวกเธอคร้านจะเอ่ยเตือน
“เอาเถอะค่ะ ถ้าพี่ไกรรู้สึกจริงจังกับน้องเขา แก้วก็ไม่อยากว่าอะไร...ก็สุดแล้วแต่เรื่องของพรหมลิขิตแล้วกันค่ะ” ไกรสรลูบหัวน้องสาวของเขาอย่างเอ็นดู จากนั้นจึงสอบถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไปในการทำงานของทั้งสองสาว ซึ่งพวกเธอก็เล่าทุกอย่างโดยไม่คิดจะปิดบังพี่ชายของตน
“พรุ่งนี้ก็ครบกำหนดสามวันตามสัญญาแล้ว งั้นพรุ่งนี้แก้วกับตาไม่ต้องขับรถไปเองหรอก เดี๋ยวพี่จะขับไปส่งให้”
ทั้งสองสาวพอได้ยินพี่ชายบอกเช่นนั้นต่างก็สบตากัน แล้วจึงหันไปทางพี่ชาย ก่อนที่ขวัญตาจะเป็นฝ่ายถามขึ้น
“ตกลงพรุ่งนี้พี่ไกรจะอยู่เฝ้าที่ร้านทั้งวันเลยหรือคะ”
“ก็งั้นสิ....น่าเสียดายนะที่วีไม่ทำที่นั่งตรงเคาท์เตอร์บาร์ ไม่งั้นพี่จะไปจองที่นั่งแถวนั้น เพื่อเฝ้าแคชเชียร์ของร้านทั้งวันเลยทีเดียว”
ไกรสรบอกอย่างขำ ๆ สองสาวต่างถอนหายใจไล่เลี่ยกัน ก่อนจะอดนึกสงสารรุจไม่ได้ ที่ต้องถูกพี่ชายของตนไล่ตามตื๊อเอาแบบนี้ แต่สำหรับพวกเธอ ถ้าไกรสรเกิดจริงจังเรื่องรุจขึ้นมาจริง ๆ และตัดสินใจคบหากับอีกฝ่าย ทั้งคู่ก็ยินดีต้อนรับรุจในฐานะพี่สะใภ้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เพราะพวกเธอเองก็ถูกใจนิสัยของหนุ่มน้อยผู้นั้นอยู่มากทีเดียว
แต่นั่นคงต้องหมายถึงว่ารุจยอมเล่นด้วยกับไกรสรล่ะนะ ถ้าอีกฝ่ายยืนกรานปฏิเสธ ต่อให้เป็นพี่ชายแท้ ๆ พวกเธอก็คงไม่เข้าข้างแล้วบังคับฝืนใจหนุ่มน้อยคนนั้นแน่ แต่ถ้ารุจเกิดมีใจตอบพี่ชายเธอเมื่อใด ถึงคราวนั้นพวกเธอจะอาสาเป็นกามเทพคอยจับคู่ให้ทั้งสองคนนี้ได้สมหวังกันอย่างแน่นอน
เมื่อเช้าวันใหม่เวียนมาถึง ทางด้านบ้านพักของพนักงานประจำร้านมิราเคิลคาเฟ่ ก็ยังดูเหมือนจะสงบสุขดังเช่นทุกวัน ถ้าไม่มีใครบางคนคอยเปรยยุแยงเติมเชื้อไฟ ให้ใครอีกหลายคนเกิดความลังเลและกลัดกลุ้มดังเช่นที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้
“ถ่านไฟเก่าน่ะนะริน มันคุขึ้นง่ายมากเลยรู้ไหม ...มีเชื้อฟืนนิดหน่อยก็ติดไฟได้ง่ายแล้วล่ะ”
การินชะงักแล้วเหลือบไปมองวาโยกับกวินที่กำลังพูดคุยกันขณะซักผ้าอย่างสนิทสนม ก่อนจะนิ่วหน้านิด ๆ และพยายามไม่คิดอะไรเลยเถิดไปมากกว่านั้น
“พอ ๆ เลย เลิกแหย่ได้แล้ว...บอกแล้วไงว่าพวกฉันไม่เปลี่ยนห้องเพราะเรื่องไร้สาระของนายหรอกน่ารุจ”
ภูริที่อยู่แถวนั้นเปรยเสียงดัง ทำเอาการินสะดุ้ง และกวินกับวาโยหันมามอง ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“คุณรุจ...เอาอีกแล้วหรือครับ พวกผมก็บอกแล้วไงครับว่า ถ้าจะให้เปลี่ยนห้องแบบที่คุณว่า...มันก็ไม่ค่อยเหมาะ เอ่อ เท่าไหร่”
กวินเอ่ยขึ้นอย่างเขิน ๆ เมื่อมองไปทางคนรักของตน การินเองก็หน้าแดงน้อย ๆ แล้วรีบหลบสายตาอีกฝ่าย
“งั้นหรือ...ตามใจนะ นี่เตือนด้วยความหวังดีรู้ไหม... ถ้าพนักงานฟูลไทม์เข้ามาอยู่อีกคนล่ะก็ เขาก็ต้องอยู่ห้องเดียวกับรินใช่ไหมล่ะ...แล้วคนนั้นก็ค่อนข้างจะชอบรินอยู่ไม่น้อยทีเดียวล่ะนะ”
คนอื่น ๆ พากันชะงักกึก แล้วต่างหันมองคนพูดเป็นตาเดียว
“หมายความว่าไง? จะมีพนักงานฟูลไทม์คนใหม่ย้ายมางั้นหรือ ...ไม่สิ ลองนายพูดแบบนั้น แสดงว่าธีรัชจะมาเป็นพนักงานฟูลไทม์เต็มตัวแทนอย่างนั้นสินะ!”
ภูริเอ่ยถามขึ้นเป็นชุด ทำให้รุจหันมายิ้มน้อย ๆ ให้รูมเมท แล้วจึงเปรยตอบ
“เรื่องยังไม่ชัวร์ ฉันยังไม่อยากฟันธงตอบน่ะ”
ทางด้านกวินยืนนิ่งคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แม้จะรู้ว่าธีรัชไม่ได้คิดอะไรกับการินแล้วก็ตาม แต่ด้วยนิสัยกะล่อนและเข้ากับคนง่ายแบบนั้น แถมหลัง ๆ การินยังเริ่มดีด้วยกับอีกฝ่าย ถ้าขืนทั้งคู่ได้เป็นรูมเมทและพักอยู่ห้องเดียวกัน มันก็ชวนให้หวาดระแวงอยู่ใช่ย่อยเมื่อไหร่
“ยังไงคนเป็นแฟนกัน พักอยู่ห้องเดียวกันก็ไม่เหมาะอยู่ดี!”
ภูริเอ่ยขัดเมื่อเห็นสีหน้าลังเลของแต่ละคน ทำเอาทุกคนต่างหันมามองเขานิ่ง โดยเฉพาะวาโยที่มองเขาด้วยสายตาตั้งคำถามระคนสงสัย
“ก็...ขนาดอยู่กันคนละห้อง ยังห้ามใจไม่ค่อยอยู่ ...ถ้าให้อยู่ห้องเดียวกันมันก็...”
ภูริบอกได้แค่นั้นแล้วก็รีบตีหน้าบึ้ง เมื่อเห็นรุจหลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ ส่วนกวินกับการิน พอนึกตามที่ชายหนุ่มพูดทั้งคู่ก็หน้าแดงระเรื่อ ทางด้านวาโยพอเรียบเรียงคำพูดของชายหนุ่มและเริ่มคิดตามได้ เขาก็หน้าแดงก่ำด้วยความอายยิ่งกว่าใครแถวนั้น
“หึ ๆ ให้ตายเหอะ...นายนี่มัน...”
รุจเปรยกลั้วเสียงหัวเราะ ก่อนจะโบกมือขอโทษเมื่ออีกฝ่ายหันมาจ้องเขาเขม็งด้วยแววตาวาววับด้วยความฉุนปนเขิน
“เอาเถอะ ...ที่ให้เปลี่ยนห้องฉันก็แค่อยากแหย่เล่นนั่นล่ะ... แต่ถ้าธีรัชได้มาทำงานฟูลไทม์จริง ๆ ล่ะก็ ฉันอยากให้จัดห้องแบบนี้แทน พวกนายจะว่ายังไงล่ะ...”
รุจหันไปอธิบายให้กับเพื่อน ๆ ของเขาฟัง ซึ่งพอแต่ละคนได้ฟัง ก็มองหน้ากัน แล้วถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังคงเห็นด้วยในเรื่องที่อีกฝ่ายเสนอ
“จริง ๆ ฉันเสียดายที่จะไม่ได้เป็นรูมเมทกับนายนะภูริ ...แต่กับธีรัชก็คิดว่าคงมีเรื่องให้ได้สนุกกันอีกไม่แพ้ตอนอยู่กับนายทีเดียวนั่นล่ะ”
รุจหันไปเปรยบอกกับรูมเมทของเขา เล่นเอาภูริรู้สึกสงสารเพื่อนสนิทขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะเขารู้ดีว่าธีรัชค่อนข้างแพ้ทางคนอย่างรุจอยู่มากทีเดียว
“ถ้าจะย้ายห้องก็คงกลับมาจากทำงานแล้วค่อยเตรียมย้าย เพราะวันนี้คุณปวีร์จะมาทำงาน แล้วธีรัชก็คงมาบอกเขาเรื่องขอทำงานฟูลไทม์ที่นี่ล่ะนะ”
รุจเปรยสรุป แต่ก็หันไปเห็นบางคนที่มีสายตาสงสัยมองเขา
“หึงหรือไง ที่เขามาปรึกษาฉันแทนนายน่ะภูริ”
ภูริสะดุ้งโหยงเมื่อถูกพาดพิง และก็ยิ่งเครียดหนักเมื่อวาโยจ้องมองเขาอย่างกังวลนิด ๆ
“บ้ารึ! ใครจะหึงหมอนั่นกัน ...ฉันก็แค่แปลกใจว่าเรื่องสำคัญขนาดนั้น ทำไมถึงมาคุยกับนายแทนได้ก็แค่นั้น...”
รุจหัวเราะเบา ๆ แล้วจึงเฉลยให้กับภูริ รวมไปถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่นฟัง
“ก็เมื่อวานนี้ตอนพักรอบหลังของฉัน ฉันเจอเขาอยู่ในครัวกำลังนั่งคุยกับพวกคุณนนแล้วก็คุณตาอยู่ยังไม่กลับสักที ฉันก็เลยถามเขา เลยได้ความว่าเมื่อวานนี้ลุงของเขาบอกว่าจะเลิกกิจการแล้วไปอยู่กับลูกสาวที่ต่างจังหวัดแทน เพราะทางนั้นตอนนี้ก็เริ่มมีฐานะมั่นคง จึงไม่อยากให้พ่อต้องทำงานเหนื่อยอีก ...ลุงเขาก็ตกลงแล้วเตรียมขายร้านให้เพื่อนที่สนิทกันทำต่อ แล้วก็มาถามธีรัชว่าจะทำงานที่นี่ต่อหรือกลับต่างจังหวัดด้วยกัน ธีรัชก็เลยบอกลุงว่า อยากมาทำงานฟูลไทม์ที่ร้านคุณปวีร์แทน ลุงของเขาก็เลยไม่ว่าอะไร เพราะรู้ดีว่าที่หลานของตัวเองยังทำงานด้วยกัน เพราะอยากตอบแทนพระคุณเรื่องที่ลุงส่งเขาเรียนแทนพ่อแม่ที่เสียไปเพราะอุบัติเหตุ เมื่อเจ็ดแปดปีก่อนนั้น”
ทุกคนเงียบกริบรับฟัง และเป็นภูริที่ถอนหายใจเบา ๆ เพราะเขาเองก็รู้สึกว่าเช้าเมื่อวานนี้ ธีรัชดูแปลก ๆ ไปเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้คิดซักถามอะไรอีกฝ่าย เพราะมัวแต่ทำงานยุ่ง ๆ อยู่
“ดีเหมือนกันนะครับ ที่คุณธีรัชจะมาทำประจำ ร้านคงจะครึกครื้นขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว”
วาโยเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มหลังจากฟังจบ เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของชายหนุ่มร่างเล็ก คนอื่น ๆ ก็ยิ้มน้อย ๆ ตาม และเมื่อชานนเข้ามาบอกพวกเขาว่าอาหารเช้าเตรียมพร้อมแล้ว ทั้งหมดจึงตามเชฟหนุ่มไปที่ห้องอาหารกันอย่างพร้อมเพรียง และพูดคุยถึงเรื่องสมาชิกใหม่กันตลอดจนจบมื้อเช้านั้น
ปวีร์ที่กลับมาทำงานอีกครั้ง ดูสดชื่นแจ่มใสราวกับว่าเจ้าตัวไม่เคยป่วยหนักมาก่อนหน้านั้น และเมื่อได้พบกับธีรัชที่มาก่อนเวลาเข้างานแต่เช้า เพื่อคุยเรื่องขอทำงานแบบฟูลไทม์ ชายหนุ่มก็ยอมตกลงอย่างง่ายดาย โดยไม่มีข้อแม้อะไรผูกมัดมากมาย เพราะหมายตาอีกฝ่ายไว้ก่อนหน้านั้นอยู่นานแล้ว
“ขอบคุณมากนะครับ คุณปวีร์”
ธีรัชไหว้ขอบคุณอีกฝ่ายอย่างจริงใจ เพราะเขาเองนั้นเริ่มชอบร้านและเพื่อนร่วมงานของที่นี่ขึ้นมาแล้ว ถ้าจะให้ทำงานพาร์ทไทม์อย่างเดียว เขาก็คงต้องไปหาบ้านเช่า และรับงานร้องเพลงกลางคืนอีก ซึ่งจะทำให้มีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญกับคนอื่นก็คงไม่ผ่อนปรนเรื่องเวลางานกับเขาเหมือนอย่างลุงเขาเคยทำแน่
“ไม่เป็นไร ...อีกอย่างฉันคิดว่าเธอคงไม่ทำให้ฉันผิดหวังแน่ จริงไหม”
ปวีร์ถามยิ้ม ๆ ลองเชิง ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วพยักหน้าตอบรับ
“ผมจะทำงานอย่างเต็มที่และเต็มความสามารถของตัวเองครับ”
ปวีร์หัวเราะเบา ๆ แล้วตบบ่าอีกฝ่าย
“ฉันเชื่อ ...ราเมศยังชมเธอให้ฉันฟังเลยว่า ขยันและตั้งใจทำงานดีในช่วงที่ฉันหยุดไปน่ะ”
ธีรัชยิ้มรับ จากนั้นปวีร์จึงให้อีกฝ่ายไปติดต่อกับชานนเรื่องห้องพัก และหากธีรัชต้องการก็สามารถย้ายเข้ามาอยู่ได้ตั้งแต่วันนี้เลย ส่วนเรื่องตารางงาน เขาจะเริ่มเปลี่ยนตารางพักของชายหนุ่มให้ใหม่ และเริ่มใช้จริงตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป
ธีรัชตรงไปหาชานนที่ห้องครัว ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน แต่เชฟหนุ่มนั้นเตรียมอุปกรณ์และปัดกวาดเช็ดถูภายในครัวเรียบร้อย และกำลังนั่งพักรอเวลาทำงานอยู่
“อ้าว คุณธีรัช สวัสดีครับ วันนี้มาแต่เช้าเชียวนะครับ”
“สวัสดีครับคุณนน พอดีรีบมาติดต่อเรื่องทำงานฟูลไทม์กับคุณปวีร์น่ะครับ กะว่าถ้าถูกปฏิเสธจะได้มีเวลาตั้งหลักหางานเสริมสักหน่อย”
ชานนหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วบอกกับอีกฝ่าย
“แต่คุณปวีร์ไม่ได้ปฏิเสธใช่ไหมล่ะครับ”
“แหะ ๆ ใช่ครับ แถมยังบอกว่าถ้าจะย้ายก็มาวันนี้ได้เลยด้วยซ้ำ แล้วก็ให้ผมมาหาคุณนนนี่ล่ะครับ”
ชานนยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเดินไปที่กระเป๋าสะพายส่วนตัวของเขาที่แขวนอยู่มุมห้อง ก่อนจะหยิบกุญแจที่มีหมายเลขหนึ่งห้อยติดไว้ ยื่นส่งให้อีกฝ่าย
“งั้นก็นี่ครับ ห้องของคุณ ส่วนรูมเมทของคุณก็คือคุณรุจนะครับ”
ธีรัชแทบจะทำกุญแจที่ถือไว้ตกหลุดมือเมื่อได้ยินอีกฝ่ายบอก
“เอ๋! ทำไมเป็นคุณรุจล่ะครับ เท่าที่รู้มาห้องที่ว่างเป็นห้องของคุณหนูนั่นไม่ใช่หรือครับ”
“เป็นฉันแล้วมันแย่ตรงไหนหรือธีรัช...”
เสียงที่แทรกขัดขึ้นมาทำให้คนได้ยินสะดุ้งโหยง แล้วจึงหันไปมองต้นเสียงก่อนจะยิ้มเจื่อน ๆ
“ผมจัดโต๊ะข้างนอกเรียบร้อย เลยว่าจะแวะมาดื่มน้ำในครัวสักหน่อย...ไม่คิดเลยว่าจะมีคนรังเกียจจะร่วมห้องกับผมถึงขนาดนี้เลยนะ เสียความมั่นใจไปเลยนะครับเนี่ย”
รุจหันไปบอกกับชานนพร้อมรอยยิ้ม ส่วนชานนหัวเราะเบา ๆ ตอบ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายพูดไปก็เพื่อจะแหย่ว่าที่รูมเมทคนใหม่ก็เท่านั้น
“ง่า...ไม่ได้รังเกียจเลยครับ แค่แปลกใจเท่านั้นเอง”
“หึ ๆ ล้อเล่นน่า... ส่วนเรื่องห้องเพิ่งจะเปลี่ยนกันเมื่อเช้านี่ล่ะ พอดีคนอื่นเขามีความกังวลอะไรหลาย ๆ อย่าง ฉันก็เลยเสนอให้จัดห้องใหม่ โยไปอยู่ห้องเดียวกับริน ส่วนภูริก็ไปอยู่คู่กับวิน แล้วที่เหลือก็คือนาย ที่จะต้องมาอยู่กับฉันยังไงล่ะ”
คำอธิบายของรุจทำให้ธีรัชร้องอ๋ออย่างเข้าใจ แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์ตามมา
“ไอ้ผมก็นึกว่าแต่ละคู่เขาอยากจะจับคู่กันเองเสียอีก กลายเป็นว่าจัดห้องตามสถานภาพรุกรับกันนี่เองล่ะนะ”
รุจหัวเราะในลำคอกับคำพูดของชายหนุ่มรุ่นน้อง พลางคิดในใจว่า นี่ถ้าพวกวาโยหรือภูริเข้ามาได้ยิน คงได้ทั้งอายทั้งโกรธกันทีเดียวล่ะนะ
“ทีแรกฉันก็ยุให้จับคู่กันอยู่หรอก แต่เพื่อนนายเขากลัวห้ามใจไม่ได้ ก็เลยจับแยกแบบนั้นแทน”
พอรุจบอกตามมา ธีรัชก็ชะงักกึก ก่อนจะหัวเราะเสียงดังตามมา จนคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านนอกทยอยโผล่เข้ามาดู
“ไม่รู้มาก่อนว่านายจะหื่นแบบนี้เลยว่ะเพื่อน!”
ธีรัชหันไปบอกกับภูริที่เข้ามามุงอย่างสงสัย ชายหนุ่มขมวดคิ้วนิ่วหน้าแล้วย้อนถามกลับ
“หมายความว่าไง”
“ก็...ไม่กล้าอยู่ห้องเดียวกับหนูโย เพราะกลัวห้ามตัวห้ามใจไม่ไหว เผลอจับเขากดเอาใช่ไหมล่ะ ฉันรู้นะ!”
ธีรัชแกล้งหยอก ทำเอาวาโยที่เข้ามาด้วยหน้าแดงก่ำ ส่วนภูริสะดุ้งโหยง แล้วหันขวับไปมองรุจตาเขม็ง
“ฉันก็แค่เล่าสาเหตุที่ทำให้เขากลายมาเป็นรูมเมทของฉันให้เขาฟังก็เท่านั้น ...หรือว่าเป็นเรื่องห้ามเล่าล่ะ อ๊ะ! ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษด้วยแล้วกันนะ”
รุจบอกแล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน ภูริกัดฟันกรอด ส่วนวาโยนั้นอายจนไม่อยากยืนอยู่ต่อ เขารีบเลี่ยงออกไปจากครัว ทิ้งให้ภูริมองตามตาปริบ ๆ แล้วหันกลับมาเขม่นเพื่อนสนิทแทน
“โอ๋! อย่าจ้องอย่างนั้นสิ น่ากลัวชะมัด เอาเป็นว่าเพื่อนขอโทษแล้วกัน แต่พวกนายนี่ไร้เดียงสากันจังว่ะ คบกันแล้วแท้ ๆ อายอะไรกับอีแค่เรื่องบนเตียงแบบนี้”
“ใครจะหน้าด้านได้เหมือนนายล่ะ!”
ภูริกระแทกเสียง ซึ่งการินที่มองอยู่ห่าง ๆ นั้นแอบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แม้จะเริ่มสนิทใจกับธีรัชบ้างแล้ว แต่เขาก็ไม่ค่อยชินและไม่ชอบเรื่องปากเสีย ขวานผ่าซากของอีกฝ่ายเอาเสียเลย เขาว่ากวินนั้นชอบพูดตรง ๆ ให้เขาโมโหอยู่บ่อย ๆ แล้วนะ แต่ถ้าเทียบเรื่องปากเสียแล้ว ธีรัชนั้นกินขาดกวินอยู่มากทีเดียว
“แล้วตกลงคุณธีรัชจะย้ายมาวันนี้เลยหรือเปล่าครับ”
กวินถามขัดขึ้นมาเพราะเกรงว่าต่างคนต่างจะแหย่กันเกินเลย จนกลายเป็นทะเลาะกันไปแทนเสียเปล่า
“อือ! ก็ว่างั้น วันนี้ทำพาร์ทไทม์วันสุดท้าย ก็เลยกะว่าพอทำเสร็จจะไปขนของมาเตรียมไว้ก่อนเลยน่ะ”
“ห้องที่นายจะเข้าไปอยู่ เป็นห้องด้านขวา ห้องเดิมของภูริ พวกเรายังไม่ได้เก็บของ แต่นายเอาของไปกองไว้รอจัดข้างในนั่นก่อนก็ได้”
รุจเอ่ยเสริม ซึ่งธีรัชก็หันไปพยักหน้ารับรู้ จากนั้นพวกเขาก็คุยกันอีกสักพัก ก่อนจะแยกย้ายกันไปเตรียมทำงาน เมื่อมองนาฬิกาดูแล้ว ใกล้ถึงเวลาเปิดร้านเต็มที
... TBC ...