** ยังคงเป็นเรื่องราวของหนุ่มธีต่อนะจ๊ะ ^^Miracle Café / 41
วันถัดมาธีรัชนั้นตื่นแต่เช้า เพราะยังปรับตัวเข้ากับสถานที่ไม่ค่อยได้ แม้ว่าห้องใหม่นั้นจะสะดวกสบายกว่าห้องเก่าอยู่มากก็ตาม
ชายหนุ่มตัดสินใจลงมาวิ่งออกกำลังกายรอบบ้านพัก ทว่าพอลงมาถึงก็เห็นชานนกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่บริเวณหน้าบ้านพักพอดี
“อ้าว...คุณนน ตื่นแต่เช้าจังเลยนะครับ ตื่นนานแล้วหรือครับเนี่ย!”
ธีรัชวิ่งเข้าไปทักทายอีกฝ่ายพร้อมยิ้มกว้าง ซึ่งชานนก็หันมายิ้มน้อย ๆ ตอบ
“ผมตื่นค่อนข้างไวน่ะครับ ตื่นเสร็จก็ไปจ่ายกับข้าวมาเตรียมไว้ ทั้งของที่นี่และที่ร้าน จากนั้นก็ทำงานบ้านจิปาถะ แล้วก็ออกมารดน้ำต้นไม้นี่ล่ะครับ”
คนฟังกลืนน้ำลายลงคอต่อพฤติกรรมของอีกฝ่าย ที่สมแล้วกับการได้ชื่อว่าเป็นผู้ดูแลบ้านพักที่นี่
“คุณนนทำงานหนักจะตายในแต่ละวัน แล้วยังจะตื่นเช้าอีก อย่างนี้จะมีเวลานอนพักพอหรือครับ”
ธีรัชถามอย่างเป็นห่วง ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบออกไปตามตรง
“วันหนึ่งผมนอนสี่ถึงห้าชั่วโมงก็เพียงพอแล้วล่ะครับ นอนมากไปกว่านั้นจะพาลปวดเมื่อยร่างกายเอา อีกอย่างก็ไม่ใช่เพิ่งมาทำ มันเป็นความเคยชินตั้งแต่เด็กน่ะครับ”
ธีรัชถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงชวนอีกฝ่ายคุยต่อ
“คุณนนนี่นะ ใครได้เป็นแฟนล่ะก็ โชคดีตายเลย... เอ่อ แล้วคุณนนยังโสดอยู่ไหมครับเนี่ย”
ชานนหัวเราะในลำคอ แล้วจึงตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี
“อย่างผมน่ะหรือครับ สาวไหนเขาจะมาสน ...อีกอย่างถึงจะมีคนสน แต่วัน ๆ ผมก็เอาแต่ทำงาน คงไม่มีเวลาดูแลเขาหรอกครับ...ผู้หญิงต้องการคนเอาใจใส่ และมีเวลาว่างให้พวกเธอไม่ใช่หรือครับ”
ธีรัชนิ่งรับฟังก่อนจะลอบถอนหายใจ เพราะสิ่งที่ชานนพูดมานั้น มันก็ใช่ว่าจะผิดไปทั้งหมดเสียทีเดียว
“น่าเสียดายนะครับ...คุณนนเอาแต่ดูแลคนอื่น น่าจะมีคนอื่นมาคอยดูแลคุณบ้าง”
ชายหนุ่มพูดออกไปอย่างนึกห่วง แม้จะแปลกใจว่าทำไมตนถึงต้องรู้สึกสนอกสนใจคนตรงหน้าขนาดนี้ด้วย
“มีสิครับ...ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ก็มีพวกคุณวาโยมาคอยช่วยเป็นลูกมือทำอาหารบ้าง ทำงานบ้านบ้าง แล้วอย่างคุณก็คอยมาดูแลสอบถามเอาใจใส่ ...สำหรับผมแค่นี้ก็มีความสุขมากแล้วล่ะครับ”
ธีรัชนิ่งอึ้ง แล้วจึงฝืนยิ้มตอบ ก่อนจะขอตัวไปวิ่งออกกำลังกายต่อ ซึ่งชานนก็พยักหน้ารับรู้และรดน้ำต้นไม้ต่อไป
‘แค่นั้นก็มีความสุขแล้วหรือ...ทำไมมักน้อยจังนะ...ไอ้เราก็แปลก ทำไมถึงอยากเห็นคนคนนั้นมีความสุขให้มากกว่านี้ ...อยากเห็นรอยยิ้มของเขามากกว่านี้...ทำไมกัน’
ธีรัชวิ่งไปพลางคิดในใจอย่างนึกสับสนตัวเอง เขาวิ่งออกไปนอกเขตบ้านพัก ไปวนแถวร้านมิราเคิลคาเฟ่ แล้วกลับมาที่บ้านพักอีกรอบ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นชานนกำลังยิ้มแย้มพูดคุยกับปยุตอยู่
“อ้าว! กลับมาแล้วหรือครับคุณธีรัช”
“ครับ...สวัสดีคุณปยุตด้วยนะครับ”
ธีรัชหันไปทักทายพ่อบ้านของปวีร์ที่เพิ่งเคยเจอเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าน้อย ๆ ตอบ จากนั้นชานนจึงเป็นฝ่ายบอกกับธีรัชว่าทำไมปยุตจึงมาอยู่ที่นี่
“คุณปยุตแวะมาแจ้งว่าเช้านี้คุณปวีร์กับคุณราเมศจะมาทานอาหารเช้าด้วยน่ะครับ แล้วก็เลยจะมาเป็นผู้ช่วยผมเตรียมอาหารอีกตามเคย”
“ช่วยไม่ได้นี่ครับ เพราะคุณปวีร์ติดรสมือคุณนนมากกว่าผมนี่นะ”
ปยุตเอ่ยกระเซ้า ทำให้ชานนหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วจึงเอ่ยตอบอีกฝ่าย
“ไม่หรอกครับ ที่คุณปวีร์ชอบมาทานที่นี่ ผมว่าเพราะที่นี่คนเยอะครึกครื้นมากกว่า อีกอย่างคุณเองก็เป็นครูสอนอาหารผมเองตั้งหลายอย่างไม่ใช่หรือครับ”
“แต่ตอนนี้ฝีมือลูกศิษย์นำหน้าครูไปจมแล้วล่ะครับ”
ปยุตตอบพร้อมรอยยิ้ม แต่ธีรัชที่เฝ้ามองทั้งคู่สนทนากันชักเริ่มไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมานิด ๆ โดยเฉพาะเวลาเห็นชานนยิ้มแบบสนิทสนมเป็นกันเองกับปยุตมากกว่าเวลายิ้มกับตน
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
ธีรัชเอ่ยขัดขึ้นด้วยใบหน้าที่ฝืนยิ้มและซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ โดยที่เจ้าตัวเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไม ทางด้านชานนนั้นหันมาพยักหน้าแล้วยิ้มให้ ส่วนปยุตกลับจ้องมองชายหนุ่มนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มแย้มน้อย ๆ ตามมา
“เชิญตามสบายครับ”
ธีรัชฝืนยิ้มตอบ แล้วเดินกลับขึ้นห้องไปอย่างหงุดหงิด เป็นเวลาเดียวกับที่รุจเปิดประตูออกมาพอดี
“...เป็นอะไรไป หงุดหงิดอะไรมาหรือ”
คนถูกทักชะงัก เขานิ่งไปสักพัก แล้วจึงถามอีกฝ่ายกลับ
“หน้าผมดูเป็นแบบนั้นจริงหรือครับ”
รุจเลิกคิ้ว ก่อนจะพยักหน้าตอบรับค่อย ๆ
“อืม... พอมองแล้วก็เหมือนกับว่ากำลังไม่พอใจ อารมณ์เสียนิด ๆ ทำนองนั้นล่ะ”
ธีรัชเงียบกริบ เขาย้อนทบทวนตัวเองว่ากำลังไม่พอใจเรื่องอะไรกันแน่ ที่ผ่านมาก็แค่เห็นชานนคุยยิ้มแย้มกับปยุตอย่างถูกคอสนิทสนมก็แค่นั้น
“ธีรัช...ยังโอเคอยู่ไหม”
รุจทักต่อเพราะจู่ ๆ อีกฝ่ายก็เงียบไป นั่นจึงทำให้คนฟังชะงัก มองคนทักหน้าตื่น แล้วรีบบอก
“มะ...ไม่เป็นไรครับ ขอตัวก่อนนะครับ ว่าจะไปล้างหน้าสักหน่อย”
บอกแล้วธีรัชก็จ้ำพรวดเข้าห้องส่วนตัวของตน แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ เขาจ้องตัวเองในกระจกครู่หนึ่ง ก่อนจะหน้าแดงวาบเมื่อนึกถึงเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาได้
“บ้าน่า...กับคุณนนนี่นะ...เป็นไปไม่ได้หรอก”
ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองอย่างสับสน แม้เขาจะยอมรับว่าเขาชอบทั้งชายและหญิง แต่กับชานนที่อายุมากกว่าแถมยังห่างไกลจากสเป็คผู้ชายที่เขาชอบ ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาจะคิดกับอีกฝ่ายแบบนั้นขึ้นมาได้
“ไอ้ธีเอ๊ย...เป็นอะไรไปวะ...ทำไมยิ่งคิดถึงเขายิ่งใจเต้นแรงขึ้นมาแบบนี้กันได้เล่า...โธ่โว้ย!”
ธีรัชบ่นอุบ เขาวักน้ำจากก๊อกน้ำขึ้นล้างหน้า แล้วปิดก๊อกก่อนเดินออกมาเอนกายบนเตียงนอนในห้อง พลางหวนคิดถึงผู้ชายอีกคนที่ทำให้เขาเกิดความสับสนอยู่ในขณะนี้
“ไม่ได้ปิ๊งตั้งแต่แรกพบแท้ ๆ...ก็แค่รู้สึกดีเวลาอยู่ใกล้ก็เท่านั้น ...แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ขึ้นมาได้นะ”
ธีรัชพึมพำแผ่วเบา ตั้งแต่เขามาอยู่ที่ร้านชานนก็คอยดูแลเอาใจใส่เรื่องอาหารการกินของเขามาโดยตลอด ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติเพราะอีกฝ่ายก็ทำแบบนี้กับคนอื่นด้วยเช่นกัน ...แต่พอได้พูดคุย ได้รู้เรื่องของเชฟหนุ่มมากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกผูกพันกับอีกฝ่ายมากขึ้น
ปกติเขาก็เป็นคนที่ชอบคนอื่นได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว แต่ความรู้สึกที่มีกับชานนมันแตกต่างออกไป ไม่ได้นึกอยากจีบอีกฝ่ายมาเป็นแฟนเล่น ๆ เหมือนที่ผ่านมา แต่กลับอยากคอยเฝ้าดู และเห็นเจ้าตัวมีความสุขอยู่ทุกวันมากกว่า และก็ไม่อยากเห็นชานนยิ้มแย้มสนิทสนมกับใครมากกว่าเขาด้วย
“...ใจเย็น ๆ น่า ...เราก็อาจจะแค่ชอบเขาแบบหวงมากกว่ารักก็ได้”
ธีรัชเอ่ยเข้าข้างตัวเอง และพยายามคิดว่าที่เขาเป็นแบบนี้ เพราะมองชานนซ้อนทับภาพพ่อกับแม่ที่เสียไป เนื่องจากไม่เคยได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีมานานแล้ว พอมาเจอการปฏิบัติเอาใจใส่แบบที่ชานนมีต่อเขา จึงทำให้เขารู้สึกดีและอยากยึดอีกฝ่ายเป็นของเขาคนเดียวเช่นที่กำลังรู้สึกอยู่นี้
“ใช่แล้วไอ้ธี...มันต้องเป็นอย่างนั้นนั่นล่ะ...เฮ้อ โชคดีที่ไม่เผลอหลุดอาการต่อหน้าคุณนนนะนั่น...ไม่อย่างนั้น เขาอาจจะเข้าใจผิดก็ได้...”
เมื่อคิดว่าชานนอาจจะเข้าใจตนผิด และพาลทำให้เหินห่างกันไป ธีรัชก็รู้สึกปวดแปลบในหัวใจขึ้นอย่างประหลาด เจ้าตัวพยายามปฏิเสธว่าสิ่งนั้นหาใช่ความรักในอีกรูปแบบไม่ และนั่งคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย จนกระทั่งรุจนั้นมาเคาะประตูห้องของเขาเบา ๆ
“ธีรัช... ลงไปกินข้าวได้แล้ว อาหารเช้าเตรียมเสร็จแล้วล่ะ”
ธีรัชสะดุ้งโหยงพลางเหลือบมองเวลาจากนาฬิกาตั้งโต๊ะ แล้วก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอ เพราะเขาเอาแต่คิดเรื่องชานนอยู่เพลินจนไม่ได้ทันสังเกตรอบด้าน
“อะ ...ครับ จะไปเดี๋ยวนี้”
ธีรัชบอกแล้วจึงเดินออกมาจากห้อง รุจลอบสังเกตรูมเมทคนใหม่ของเขาอย่างสงสัย แต่อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้ว่าถูกมอง จึงแสร้งยิ้มน้อย ๆ ให้ แล้วเดินนำลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว
อาหารมื้อเช้าในวันนั้นทำเอาธีรัชถึงกับตกตะลึง ในเมื่อมันมีของชอบของเขาเต็มไปหมด เจ้าตัวหันไปมองชานนอย่างนึกทึ่ง คำพูดที่เหมือนจะชวนคุยเรื่องอาหารของเขากับอีกฝ่ายตามมารยาทเมื่อตอนเจอกันครั้งแรก ๆ แต่ชานนกลับจดจำรายละเอียดได้ทุกอย่าง และทำอาหารที่เขาเคยบอกว่าชอบมาให้แทบทุกชนิด
“อ้าว! ยืนอยู่ทำไมล่ะธีรัช นั่งลงสิ”
ปวีร์ที่หันไปเห็นเอ่ยทัก ชายหนุ่มรีบพยักหน้าหงึก ๆ แต่กลับพยายามข่มจิตข่มใจสงบสติอารมณ์ และแสดงใบหน้ายิ้มแย้มตามปกติเต็มที่ และพยายามไม่มองหน้าชานนจนเจ้าตัวสังเกตเห็น
“เอ่อ...อาหารมื้อเช้านี้เป็นยังไงครับ พอใจหรือเปล่า”
ชานนลองถามอย่างกังวล เพราะเขารับปากธีรัชว่าจะทำมื้อเช้าเลี้ยงต้อนรับอีกฝ่ายอย่างสุดฝีมือ แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะพยายามหลบตาเขาตลอดมื้ออาหารจนผิดปกติกว่าทุกครั้ง
“อะ! พอใจสิครับ! พอใจมาก ๆ เลย!”
ธีรัชรีบหันมาโพล่งบอก แต่ก็ยังเห็นแววตาลังเลแฝงความกังวลของอีกฝ่าย เจ้าตัวจึงกลืนน้ำลายลงคอ แล้วเกาแก้มเขิน ๆ ขณะพูด
“คือ...ผมดีใจมากไปหน่อย ...จนถ้าเผลอมองหน้าคุณนน แล้วกลัวจะลืมตัวร้องไห้ให้เห็นน่ะครับ...แหะ ๆ ตั้งแต่แม่ตาย ก็ไม่เคยมีใครทำอาหารที่ผมชอบให้กินแบบนี้นานแล้วน่ะครับ”
คนอื่นพากันเงียบกริบ กระทั่งชานนด้วยเช่นกัน ก่อนที่เชฟหนุ่มจะยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมาเป็นคนแรก แล้วบอกกับคนตรงหน้า
“ถ้าอย่างนั้น นับตั้งแต่วันนี้ไป คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษ ก็บอกผมได้นะครับ ผมยินดีทำให้เสมอ... ไม่เพียงแค่คุณธีรัชนะครับ ทุก ๆ คนก็ด้วย”
คนอื่น ๆ ต่างยิ้มน้อย ๆ ตอบรับ จากนั้นต่างก็คุยกันไปกินกันไปด้วยสีหน้าเอร็ดอร่อยและมีความสุข จนทำให้คนทำอาหารมีรอยยิ้มตลอดมื้อนั้น
พออาหารมื้อเช้าสิ้นสุดลง ธีรัชก็ยืนกรานจะเป็นฝ่ายเก็บล้างจานเองและให้ชานนไปนั่งพัก แม้จะไม่อยากทำตาม แต่เชฟหนุ่มก็ทนลูกตื๊ออีกฝ่ายไม่ไหว จึงยอมไปนั่งพักตามที่ธีรัชขอ จนปวีร์ที่มองอยู่ห่าง ๆ ถึงกับนึกทึ่ง
“นาน ๆ จะเห็นคุณนนยอมใครเรื่องงานบ้านแบบนี้สักทีแฮะ”
“นิสัยแบบนั้นล่ะที่ฉันอยากให้เขาเปลี่ยน เขารับผิดชอบงานในหน้าที่ของตัวเองจนเกินไป นี่ถ้าไปอยู่กับคนเห็นแก่ตัว มีหวังโดนเอาเปรียบได้ง่าย ๆ ล่ะนะ”
ราเมศเปรยขึ้นบ้าง ทำให้ปวีร์หันมามองคนรัก แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
“แสดงว่าเขาโชคดีที่มาอยู่กับคนใจกว้างอย่างฉันใช่ไหมล่ะ”
“ใจกว้างหรือ...เรียกว่าเอาแต่ใจจะเหมาะกว่ามั้ง”
ปยุตที่อยู่แถวนั้นหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วจึงเก๊กหน้าเรียบเฉย เมื่อปวีร์หันขวับไปมอง
“เชอะ! ถ้าไม่ชอบขนาดนั้น ก็ไปหาแฟนใหม่ที่ไม่เอาแต่ใจเหมือนฉันแทนสิ”
ชายหนุ่มพึมพำบ่น แต่ราเมศมองดูก็รู้ว่าปวีร์แกล้งทำเป็นบ่นไปอย่างนั้นเอง
“ฉันก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้ชอบที่นายเอาแต่ใจสักหน่อยนี่ ...ไม่เอาน่า มาเล่นงอนให้ง้อแบบนี้ เดี๋ยวก็อดใจไม่ไหวจับจูบโชว์เด็กพวกนั้นเสียหรอก”
ปวีร์หน้าแดงระเรื่อ แล้วแอบหยิกเอวราเมศแรง ๆ จนอีกฝ่ายร้องอุทานด้วยความเจ็บ
“คนอะไรไม่รู้หื่นได้หื่นดี ถ้ารู้ว่าหื่นแบบนี้ ไม่สารภาพรักเสียก็ดีหรอก!”
ปวีร์แกล้งประชดอย่างนึกหมั่นไส้ แล้วจึงเดินเลี่ยงหนีไปอยู่กับชานน เพราะเกรงว่าคนรักจะเอาคืนเขาเข้าให้ ทำเอาราเมศต้องถอนหายใจอย่างเอือมระอา ส่วนปยุตนั้นหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วจึงเดินตามนายจ้างของตนไปหาชานนด้วยเช่นกัน
“คุณนนครับ วันเกิดที่จะถึงนี้อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมครับ”
จู่ ๆ ปยุตก็เปรยถามคนที่นั่งพักอยู่เฉย ๆ ด้วยเนื้อความที่ทำเอาชานนสะดุ้ง แล้วหันมามองคนถามตาปริบ ๆ ส่วนคนอื่นนั้นทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่ต่างก็รอฟังว่าเชฟหนุ่มจะตอบอีกฝ่ายว่าอย่างไรกันแน่
“คุณปยุตก็อีกคน... เรื่องวันเกิดของผม ไม่ต้องใส่ใจนักหรอกครับ แค่พาไปเที่ยวแล้วฉลองให้กันแบบนั้นก็เกรงใจจะแย่แล้ว”
ชานนตอบอย่างยังคงเกรงใจไม่หาย ทำให้ปวีร์หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ส่วนปยุตแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยต่อ
“นั่นมันโปรแกรมของคุณปวีร์เขา แต่ผมเองก็อยากให้ของขวัญขอบคุณ คุณนนเหมือนกันนี่ครับ”
พอปยุตพูดจบเสียงจานวางกระแทกก็ดังขึ้นตามทันที เพราะธีรัชนั้นเผลอพลั้งมือวางประชดด้วยความหงุดหงิดอย่างลืมตัวนั่นเอง
“ง่า...ขอโทษครับ มันลื่นแล้วหลุดมือ แต่ไม่แตกหรอกครับ แหะ ๆ”
ชายหนุ่มรีบเอ่ยแก้ตัวแล้วหันกลับไปล้างจานต่อเงียบ ๆ ทำเอาปวีร์ต้องมองตามอย่างแปลกใจ ก่อนจะชะงักเมื่อหันมาเห็นสีหน้าพ่อบ้านของตน
“มีอะไรดี ๆ หรือไงปยุต” ชายหนุ่มหันไปถามอย่างสงสัย ซึ่งพ่อบ้านของเขาก็ยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบ
“ไว้คุยกันตอนกลับบ้านดีกว่าครับคุณปวีร์”
ปวีร์ยักไหล่นิด ๆ ถ้าลองปยุตตัดบทแบบนี้ ก็แสดงว่าเป็นเรื่องที่พูดต่อหน้าคนอื่นไม่ได้แน่
“จริงสิ…แล้วคุณนนว่ายังไงครับ เรื่องของขวัญ อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม”
ชานนมีสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะถอนหายใจตามมา
“เอาแบบปีก่อนก็ได้ครับ”
คนฟังแย้มยิ้มน้อย ๆ แต่คนอื่นที่ไม่รู้เรื่องราวพากันชะงัก และยิ่งอยากรู้ว่าทั้งคู่หมายถึงอะไรกันแน่ ทางด้านปยุตนั้นหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วจึงพยักหน้ารับรู้
“โอเคครับ แบบปีก่อนก็ได้”
จากนั้นชายหนุ่มจึงหันมาขอตัวกับปวีร์แล้วกลับบ้านพักไปก่อน ส่วนปวีร์นั้นยังไม่กลับ เขามองราเมศที่เดินมาสมทบ แล้วจึงเอ่ยขึ้น
“เดี๋ยววันนี้ฉันจะไปรับชุดจากร้านคุณราตรีนะ อาจจะเข้ามาเที่ยง ๆ ก็ได้ ฝากนายดูแลร้านแทนฉันด้วย ...อ้อ! แล้วอย่าให้พี่ไกรยุ่มย่ามกับพนักงานของเราเกินความจำเป็นด้วยล่ะ!”
ราเมศสั่นศีรษะอย่างเอือมระอา ส่วนรุจพอได้ยินก็อมยิ้มน้อย ๆ และเมื่อล้างจานเสร็จ ปวีร์ก็เรียกทุกคนมารับทราบถึงการเปลี่ยนแปลงเวลาพัก โดยจะยึดของเดิมเป็นหลัก แต่ก็ให้ธีรัชนั้นพักแทรกระหว่างการพักของพนักงานทั้งสองช่วง ซึ่งทุกคนก็เห็นดีด้วย จากนั้นทั้งหมดก็พูดคุยกันถึงเรื่องงานอีกเล็กน้อย แล้วก็ต่างแยกย้ายกันไปในที่สุด
จากนั้นอีกสักพักใหญ่ ๆ ในห้องครัวก็เหลือแต่ธีรัชที่ยังคงยืนอยู่ต่อ โดยเจ้าตัวอ้างกับรุจว่าเขาจะออกกำลังกายโดยการเดินย่อยไปมาด้านล่างนี่อีกสักพัก ทั้งที่จริง ๆ แล้วชายหนุ่มนั้นอยากไปถามชานนถึงเรื่องของขวัญที่อีกฝ่ายคุยกับปยุต แต่ก็เกรงเชฟหนุ่มจะหาว่าเขาละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวจนเกินไป
“เฮ้อ...ขึ้นห้องดีกว่าแฮะ”
เจ้าตัวตัดสินใจขึ้นไปพักผ่อนรอเวลาทำงานที่ห้องส่วนตัวแทน หลังจากที่ยืนมาได้ครู่ใหญ่ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อพอหันไปก็เห็นชานนกำลังถือน้ำผลไม้เดินมาส่งให้เขา
“แทนคำขอบคุณที่ช่วยงานบ้านครับ”
ธีรัชรับน้ำแก้วนั้นมาด้วยความดีใจ แล้วยิ้มเขิน ๆ ส่งให้
“ขอบคุณครับ...”
“คุณธีรัชมีอะไรหรือเปล่าครับ ผมมองมาก็เห็นคุณยืนอยู่แถวนี้ตั้งนานแล้ว”
ชานนตัดสินใจถามด้วยความเป็นห่วง ทำให้คนฟังรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก แต่ก็ตัดสินใจแก้ตัวไปแทน เพราะไม่อยากให้ชานนรู้ว่า เขากำลังสนใจเรื่องที่อีกฝ่ายกับปยุตสนทนากัน
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีผมคิดอะไรเพลิน ๆ ก็เลยเผลอยืนเหม่ออยู่นาน แหะ ๆ”
“อ้อ...อย่างนั้นหรือครับ ผมก็คิดว่าคุณมีปัญหาอยู่เสียอีก”
ชานนบอกอย่างโล่งอก ก่อนจะขอตัวไปพักผ่อนในห้องของตนบ้าง ซึ่งธีรัชก็พยักหน้ารับรู้ พลางมองแก้วน้ำผลไม้ในมือด้วยใบหน้ายิ้มน้อย ๆ แล้วจัดแจงดื่มจนหมด จากนั้นจึงขึ้นไปบนห้องพักด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสยิ่งกว่าเดิม และยังคงเป็นเช่นนั้นจนกระทั่งเวลาทำงานมาถึง
... TBC...