เกมชิง Special Booklet จากนิยายเรื่อง"ทัณฑ์กามเทพ" (นิยายทัณฑ์กามเทพบทที่1-จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เกมชิง Special Booklet จากนิยายเรื่อง"ทัณฑ์กามเทพ" (นิยายทัณฑ์กามเทพบทที่1-จบ)  (อ่าน 74879 ครั้ง)

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
ทัณฑ์กามเทพ


ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน

ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


ชี้แจง : นิยายเรื่องนี้ไม่ใช่ออกแนวรักใสๆนะคะ แต่เรื่องจะออกแนวดราม่าพอสมควร (ซึ่งอ่านแล้วก็ไม่แน่ว่าจะดราม่าตามคนแต่งหรือเปล่า) โดยบทที่1-4 จะเป็นตอนที่พระ-นายยังเรียนอยู่ม.ปลาย ส่วนตอนที่5เป้นต้นไปก็จะเป็นการดำเนินเรื่องตอนโตแล้วค่ะ รับประกันความเข้มข้นแน่นอน ถ้าชอบก็ฝากติดตามและฝากผลงานชิ้นนี้ (Boy's Love เรื่องแรกของเรา) ให้ไปอยู่ในอ้อมใจของคุณผู้อ่านด้วยเน้อ โดยสามารถคอมเม้นท์ติชมได้ตลอดค่ะ ยินดีๆ


บทที่ 1

   ภาพเด็กหนุ่มร่างสูงที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการตั้งใจเรียนในสิ่งที่อาจารย์สอนอยู่หน้าห้องเป็นภาพคุ้นตาที่วิศรุตเห็นอยู่บ่อยๆ แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่เกือบหลังห้องแต่ทว่าก็สามารถมองเห็นคนๆนั้นได้อย่างชัดเจน อาจเป็นเพราะนภัทรอยู่ในสายตาของเขามาตลอดก็เป็นได้ ห้าปีเต็มที่เขาแอบเฝ้ามองฝ่ายนั้นอยู่เงียบๆ บางครั้งเขาก็เคยนึกสงสัยว่าตัวเองจะต้องแอบมองแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่และนภัทรจะเคยเห็นเขาอยู่ในสายตาบ้างไหมนะ

   นภัทรและเขาแตกต่างกันในเกือบทุกด้าน จะมีความเหมือนกันก็เพียงอย่างเดียว นั่นคือทั้งคู่เรียนอยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่มัธยมปีที่หนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้เขาและนภัทรสนิทสนมกันเลย ด้วยเพราะบุคลิกที่ต่างกันจนเกินไปนั่นเอง

    ถ้าจะพูดกันตามตรง นภัทรเรียกได้ว่าเป็นนักเรียนตัวอย่างเลยทีเดียว ฝ่ายนั้นดีเด่นทั้งเรื่องการเรียน กีฬาและความประพฤติ อีกทั้งยังได้รับเลือกให้เป็นกรรมการนักเรียนอีกด้วย ต่างจากเขาที่ถ้าไม่นับเรื่องฐานะที่เข้าขั้นเหลือกินเหลือใช้ของตระกูลทัดเทวาและใบหน้าหล่อเหลาที่จัดเข้าขั้นดูดีชนิดดึงดูดทั้งเพศเดียวกันและเพศตรงข้ามแล้ว แทบเรียกได้ว่าเขาไม่มีทางสู้อีกฝ่ายได้เลยจริงๆ

   “เหม่ออะไรวะไอ้วิน” ภาณุถามเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยเสียงเบาจนเกือบกระซิบพลางเหล่ตามองไปหน้าห้องเพื่อดูว่าอาจารย์ป้ามหาโหดกำลังมองมาที่เขาสองคนหรือเปล่า โชคดีที่อาจารย์ป้ากำลังง่วนอยู่กับการอธิบายโมเดลทางชีววิทยาอยู่เลยไม่ได้สนใจมาจับผิดนักเรียนที่ชอบแอบคุยในห้องเรียนอย่างเขา

   ภาณุมองตามสายตาของวิศรุตจึงได้พบกับคำตอบ เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ห้าปีผ่านมาแล้ว แต่เพื่อนของเขาก็ยังไม่คิดตัดใจจากนภัทรเสียที ตอนรู้จักกันแรกๆเขาเคยสงสัยว่าทำไมวิศรุตถึงชอบแอบมองนภัทรบ่อยๆ พอเขาคาดคั้นถามก็ได้คำตอบว่าเพื่อนของตนแอบหลงรักฝ่ายนั้นอยู่และนั่นก็ทำให้เขาได้รู้ว่าวิศรุตไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ภาณุเองก็ไม่ได้คิดรังเกียจในข้อนี้เพราะถึงอย่างไรแล้ววิศรุตก็ยังคงเป็นเพื่อนที่เขารักมากอยู่ดี

   “ตัดใจเหอะ มันไม่ได้เป็นเกย์ เอ่อ...ไม่ได้ชอบผู้ชาย” ท้ายประโยคถูกแก้อย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากให้วิศรุตรู้สึกไม่ดี

   “รู้ได้ยังไง” วิศรุตหมายถึงเรื่องที่ว่านภัทรไม่ได้ชอบผู้ชาย

   “ก็สืบมาจากไอ้พงศธรเพื่อนสนิทมันนั่นแหล่ะ เห็นว่าเคยคบผู้หญิงตอนอยู่ม.ต้นด้วย แต่ตอนนี้เลิกกันไปแล้ว” คำตอบของภาณุทำให้วิศรุตเม้มปากน้อยๆ แต่ไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้านั้นนอกจากแววตาที่หมองไปจนคนที่นั่งข้างๆรู้สึกได้ ภาณุถอนหายใจเฮือกก่อนเอื้อมมือมาตบไหล่เพื่อนสนิทเบาๆ

   “กำลังคุยอะไรกันอยู่จ้ะ ภาณุ วิศรุต” เสียงสวรรค์ที่ดังมาจากด้านหน้าห้องทำให้ภาณุสะดุ้งสุดตัว เขาส่งยิ้มแห้งๆให้อาจารย์ป้าที่กำลังย่างก้าวถมึงทึงมาหาเขาและวิศรุต ตอนนี้ทั้งคู่ได้กลายเป็นจุดสนใจของเพื่อนทั้งห้องไปเรียบร้อยแล้ว วิศรุตแอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับอาการชอบจับผิดนักเรียนของอาจารย์ป้าก่อนจะบังเอิญสบสายตาสีถ่านของนภัทรที่เหลือบมองมาทางด้านหลังตรงที่เขานั่งพอดี สายตาที่เสมือนว่าเขาและภาณุเป็นตัวปัญหาที่มาขัดจังหวะการเรียนวิชาที่ฝ่ายนั้นชื่นชอบอย่างชีววิทยา

   “ดูท่าทางกำลังคุยอย่างออกรสออกชาติเลยทีเดียว ช่วยบอกให้อาจารย์รู้เรื่องด้วยคนสิ” อาจารย์ป้าใช้มือเหี่ยวย่นขยับแว่นตากรอบทองตามประสาคนเจ้าระเบียบก่อนจะเพ่งสายตามองมายังภาณุที่กำลังกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ เขายังไม่ อยากโดนลงโทษให้อยู่ทำความสะอาดห้องแล็ปในเย็นวันนี้เพราะตัวเองมีนัดกับแฟนสาวอยู่ก่อนแล้ว

   “คือว่าผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการหายใจระดับเซลล์น่ะครับอาจารย์ ภาณุก็เลยช่วยอธิบายให้ผมฟัง” วิศรุตหาทางรอดให้ตัวเองและเพื่อนสนิทด้วยการเอ่ยปดขึ้นมาเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อเหลาพยายามปั้นแต่งให้ถึงที่สุดเพื่อให้ดูว่าตนกำลังสงสัยในบทเรียนอันแสนน่าเบื่อของวิชานี้จริงๆ ช่วยไม่ได้ เขาเองก็ไม่ได้จะอยากโดนทำโทษเหมือนกับภาณุนั่นแหล่ะ

   ภาณุลอบมองเพื่อนตัวเองด้วยความทึ่ง เมื่อครู่วิศรุตยังเศร้าอยู่เลยแต่ทำไมตอนนี้กลับเปลี่ยนอารมณ์มาโกหกหน้าตายเหมือนกับสั่งได้เช่นนี้ อาจารย์ป้าเพ่งมองทั้งคู่อย่างจัดผิดอีกครั้งก่อนจะยอมเลิกราไปทำให้ทั้งคู่รอดตัวจากการถูกทำโทษไปได้อย่างหวุดหวิด หลังจากนั้นห้องเรียนก็กลับเข้าสู่บรรยากาศอันแสนน่าเบื่อในวิชาชีววิทยาอีกครั้งหนึ่ง






“ไอ้กานต์ แกจะกลับบ้านเลยหรือเปล่า” เสียงพงศธรตะโกนถามนภัทรจากประตูหน้าห้องทำให้วิศรุตชะงักมือที่กำลังเก็บกระเป๋านักเรียนอยู่ทันที

   “ยังหรอก เดี๋ยวจะไปห้องสมุดก่อน จะไปหาข้อมูลรายงานด้วยน่ะ” รายงานที่ว่าคงเป็นรายงานชีววิทยาที่อาจารย์ป้าเพิ่งจะสั่งเมื่อตอนคาบบ่ายนี้เอง ขยันสมกับเป็นนักเรียนตัวอย่างเสียจริง วิศรุตคิดในใจ เขามองดูฝ่ายนั้นเก็บกระเป๋าเงียบๆก่อนเสียงหนึ่งจะดังขึ้นเบื้องหน้า

   “เอ่อ  พี่วินครับ คือเพื่อนผมเค้าฝากไอ้นี่มาให้พี่” จดหมายฉบับหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า เขาจึงต้องรับเอาไว้อย่างเสียไม่ได้ ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่ามันเป็นจดหมายอะไร อันที่จริงเขาเคยได้รับจดหมายแบบนี้มาจนแทบนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะจากรุ่นน้องที่แอบคลั่งไคล้เขาหรือแม้แต่รุ่นพี่บางคนที่หวังจะสานสัมพันธ์กับเขาก็ตามที บางทีเขาก็เล่นด้วย ซึ่งกับแต่ละคนก็จะตอบสนองให้ไม่เท่ากัน มีตั้งแต่ร่วมมีเซ็กส์กันแบบครั้งเดียวจบ หรือถ้าเขาถูกใจเพิ่มขึ้นมาหน่อยก็อาจจะถึงขั้นสานต่อคบเอาไว้เพื่อแก้เบื่อ หรืออย่างสุดๆก็คู่นอนแก้เหงายามที่เขาเกิดอารมณ์ต้องการความสุขทางกาย แต่ไม่มีใครที่เขาคบได้เกินหนึ่งเดือนสักคนเดียว และตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดจริงจังอะไรมากนัก ใครก็ตามที่คนอย่างวิศรุต ทัดเทวาเลือกมาเป็นคู่นอนด้วยย่อมถือว่าคนๆนั้นได้รับเกียรติมากเกินพอแล้ว เพราะพอเมื่อเขาเบื่อ คนพวกนี้ก็จะถูกเขาทิ้งราวกับเศษขยะก็ไม่ปาน มีบ้างบางคนที่ไม่ยอมจบความสัมพันธ์แบบนี้ คนพวกนั้นเรียกร้องต้องการจะเป็นเจ้าของหัวใจของเขา แต่ในที่สุดอำนาจเงินของตระกูลทัดเทวาก็บันดาลให้เรื่องจบลงได้ด้วยดีตลอดทุกครั้งไป  วิศรุตรู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่ตนต้องการอย่างแท้จริง...เขาต้องการผู้ชายที่ชื่อ นภัทร อิสรีย์ เพียงคนเดียวเท่านั้น


   เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจ้องอยู่ วิศรุตจึงหันไปมองฝ่ายนั้น นภัทรกำลังมองมาที่เขา พูดให้ถูกก็คือกำลังจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง สายตาสีดำสนิทราวถ่านคู่นั้นฉายแววที่วิศรุตอ่านความหมายได้ไม่ยาก  มันเป็นสายตาที่แสดงถึง ความสมเพช รังเกียจหรืออะไรซักอย่างที่เขาไม่ชอบเลย วิศรุตคิดในใจพลางสบตาฝ่ายนั้นด้วยแววตาท้าทาย ใบหน้าหล่อเหลาเชิดขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหันมาพูดกับรุ่นน้องตรงหน้า

   “ไปบอกเจ้าของจดหมายนี้ว่าตอนสี่โมงเย็นให้ไปเจอฉันที่ห้องสมุด” วิศรุตมองรุ่นน้องคนนั้นวิ่งออกไปบอกข่าวกับกลุ่มเพื่อนที่รออยู่ด้านนอกห้องเรียนด้วยความยินดีก่อนที่เขาจะลงมือเก็บกระเป๋าต่อ พอหันไปมองที่โต๊ะของนภัทร อีกฝ่ายก็ไม่อยู่แล้ว

.....ยิ่งนายรังเกียจฉันมากเท่าไหร่  ฉันก็ยิ่งรักนายมากขึ้นเท่านั้น.....






ห้องสมุดในเวลานี้ไม่ค่อยมีนักเรียนมาใช้บริการเท่าไหร่นักด้วยเพราะตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาลสอบ พวกนักเรียนที่มายึดโต๊ะอ่านหนังสือในตอนนี้ก็คงจะมีแต่พวกเด็กเรียนเท่านั้น วิศรุตกวาดตามองไปรอบตัว เขาไม่ได้มองหารุ่นน้องที่หาญกล้าส่งจดหมายรักนัดเขามาเจอ แต่เขามองหานภัทรต่างหาก หวังว่าฝ่ายนั้นคงจะยังอยู่ที่ห้องสมุดนี้ และเขาก็คาดการณ์ถูกจริงๆเมื่อสายตาเหลือบไปเจอคนที่เขาต้องการหากำลังก้มๆเงยๆอยู่แถวชั้นวางหนังสือหมวดวิชาชีววิทยาซึ่งไม่ไกลไปจากตรงที่เขากำลังยืนอยู่นัก

   “เอ่อ พี่วินครับ พี่นัดผม...” น้ำเสียงเจืออาการประหม่าที่ดังขึ้นด้านหลังบอกให้วิศรุตรู้ตัวว่ารุ่นน้องคนนั้นมาถึงแล้ว แววตาของวิศรุตฉายแววเจ้าเล่ห์ก่อนจะดึงต้นแขนฝ่ายนั้นให้เดินตามเขาไป ซึ่งฝ่ายที่ถูกชักนำก็เดินตามอย่างว่าง่าย วิศรุตดันรุ่นน้องที่เขาคาดว่าน่าจะอ่อนกว่าเขาประมาณปีหรือสองปีเข้าไปในซอกหลืบของห้องสมุด ใกล้ๆกับบริเวณชั้นวางหนังสือหมวดชีววิทยา ก่อนจะเพิ่งได้มีโอกาสมองเค้าหน้าของอีกฝ่ายอย่างเต็มตา หน้าตาดีใช้ได้เลยทีเดียว แบบนี้กระตุ้นอารมณ์ทางเพศเขาได้พอตัว วิศรุตคิดในใจก่อนจะแนบจูบไปที่กลีบปากบางของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงไม่ให้คนถูกรุกรานได้ทันตั้งตัว ด้วยประสบการณ์ ความชำนาญและชั้นเชิงอันยอดเยี่ยมของวิศรุตก็ทำให้ฝ่ายนั้นเคลิ้มได้ไม่ยากเย็นจนเผลอหลุดปากครางเสียงแผ่วหวิว วิศรุตไซร้ซอกคอไล่ไปจนถึงแผ่นอกที่เกือบเปลือยเปล่าเพราะเสื้อนักเรียนถูกเขาปลดออกก่อนจะถอนจูบเสียอีก เขาตั้งใจเน้นเสียงเวลาทำรอยบนตัวของรุ่นน้องตรงหน้าเพื่อต้องการให้คนที่กำลังยืนค้นหนังสืออยู่ไม่ไกลนักได้ยิน ก่อนจะหยุดแล้วกระซิบถามคนที่กำลังอยู่ในอ้อมแขนเขา

   “ใช้ปากเป็นหรือเปล่า” อีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างอายๆแต่ก็ยอมทำให้อย่างโดยดีเมื่อวิศรุตปลดเข็มขัดปล่อยให้กางเกงและชั้นในหลุดลงไปกองกับพื้น

   “อาาา....” เสียงครางที่จงใจให้ดังเป็นพิเศษของวิศรุตทำให้มือที่กำลังหอบตำราเล่มหนาหลายเล่มชะงักทันที เสียงแปลกๆที่ดังมาจากอีกฝั่งของชั้นหนังสือใกล้ๆกันทำให้เขานึกสงสัย นภัทรจึงหอบกองตำราแล้วสาวเท้าเดินเข้าไปมองดูใกล้ๆด้วยความอยากรู้

   ปังงง!!

เสียงหนังสือเล่มหนาสามสี่เล่มตกกระทบพื้นเรียกสติของนภัทรให้กลับมาพร้อมๆกับอาการตกใจของคนที่กำลังใช้ลิ้นบรรจงสร้างความสุขให้กับรุ่นพี่คนที่ตนแอบหลงรักอยู่ แต่วิศรุตกลับไม่ได้มีท่าทางตกใจมากนัก แววตาคู่นั้นฉายแววสมใจที่ตัวเองสามารถแกล้งนภัทรได้สำเร็จ อยากรังเกียจดีนัก วันนี้เขาก็เลยจัดให้ดูเต็มๆตาเลยเป็นไง

   ภาพตรงหน้าทำให้นภัทรตัวแข็งทื่อ ภาพเด็กหนุ่มสองคนกำลังกึ่งร่วมรักกันทางปากทำให้ลำคอเขาตีบตันไปชั่วขณะ คนหนึ่งที่กำลังใช้ลิ้นเลียน้ำรักสีขาวขุ่นเข้าปากราวกลับมันเป็นของเอร็ดอร่อยนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใครกัน แต่อีกคนหนึ่งที่ กำลังสำเร็จความใคร่ให้ตัวเองด้วยมืออีกรอบนั้น เขาย่อมรู้จักแน่เพราะเป็นเพื่อนร่วมห้องกันมาตั้งแต่ม.หนึ่ง คนที่โด่งดังในทุกด้านที่เป็นด้านแย่ๆและป๊อปปูล่าห์อย่างมากในหมู่พวกนิยมไม้ป่าเดียวกันในโรงเรียนชายล้วนแห่งนี้ นายเองเหรอวิศรุต

   “อ้าว นายนั่นเองนภัทร ฉันก็นึกว่าใคร” เขาจัดการหยิบเสื้อนักเรียนของรุ่นน้องคนนั้นที่ถอดทิ้งอยู่บนพื้นมาเช็ดคราบน้ำขาวขุ่นที่เลอะเต็มหว่างขาของเขาในขณะที่ปากก็พูดกับนภัทรไปด้วย

   “ทุเรศ” นี่คือคำแรกที่ออกมาจากปากคนที่เขาแอบรักมาห้าปีเต็ม “นายนี่มันทุเรศจริงๆวิศรุต ที่นี่ห้องสมุดนะ ไม่ใช่โรงแรมม่านรูดที่นายกับ...เอ้อ คนของนายจะมาทำอะไรลามกได้อย่างหน้าไม่อายแบบนี้”

   “มันเป็นเรื่องของฉัน ฉันไม่ได้เชิญให้นายมาดู ‘การร่วมรัก’ ของฉันนี่นา นายมาของนายเอง” วิศรุตเถียงไปอย่างข้างๆคูๆ เขาเองก็รู้ดีว่ามันไม่สมควรจะมาทำอะไรแบบนี้ในห้องสมุดตามที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ แต่คนอย่างนายวิศรุต ทัดเทวา ถ้าคิดจะทำอะไร ต่อให้จะผิดหรือถูกยังไงเขาก็ไม่สนเด็ดขาด

   “วิศรุต” คู่สนทนาเรียกชื่อเขาด้วยอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัวมากขึ้น นภัทรไม่ถนัดไอ้เรื่องโต้คารมแบบนี้เลยให้ตายเถอะ ยิ่งคู่ต่อสู้เป็นคนตรงหน้าด้วยแล้ว

   วิศรุตมองนภัทรด้วยสีหน้าแกมสะใจลึกๆ อีกใจหนึ่งก็นึกดีใจเงียบๆที่ตัวเองสามารถทำให้นภัทรเผยสีหน้าโกรธจนเริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่ออกมาได้ ไม่ใช่มัวแต่ปั้นหน้าเย็นชาใส่เขาอย่างที่ชอบทำเป็นประจำทุกครั้งเวลาที่เผชิญหน้ากัน หากว่าคนตรงหน้ารู้ว่าเขาแอบมีใจให้ ก็คงต้องยิ่งรังเกียจเขาแน่ๆ บางทีเขาก็นึกขำตัวเอง คนอย่างวิศรุต ทัดเทวากล้าในเกือบจะทุกเรื่อง ยกเว้นอย่างเดียวคือเรื่องบอกรักคนที่แอบชอบเนี่ยแหล่ะ

   “ไม่พอใจฉันเหรอนภัทร ถึงจะไม่พอใจแต่นายจะทำอะไรได้นอกจากยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ตรงนี้ หรือว่า...นายเองก็อยากจะลองมีอะไรกับฉันเหมือนกัน” ท้ายประโยคของวิศรุตทำเอานภัทรถึงกับหน้าแดงก่ำ ฝ่ายที่พูดยียวนหัวเราะในลำคอ เล็กน้อยพร้อมๆกับจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ดังเดิม

   “นายคงลืมไปว่าฉันเป็นกรรมการนักเรียน ฉันมีสิทธิ์สั่งลงโทษและบันทึกความประพฤตินายได้นะ ยิ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควรทำแบบนี้แล้วล่ะก็...”

   “ก็เอาสิ นายเองก็คงลืมไปแล้วเหมือนกันว่าฉันนามสกุลทัดเทวา”
   “ไม่ว่านายจะใหญ่มาจากไหนฉันไม่สน กฎก็ต้องเป็นกฎ ยิ่งเป็นความผิดที่เห็นกับตาแบบนี้แล้วฉันก็ยิ่งปล่อยไปไม่ได้” นภัทรขบกรามแน่น เขาไม่ยอมให้อีกฝ่ายอ้างนามสกุลของตระกูลดังที่รวยล้นฟ้าอย่างทัดเทวามาอยู่เหนือกฎของโรงเรียนได้อย่างเด็ดขาด

   “ถึงเรื่องนี้นายไม่สน นายก็ควรสนใจอนาคตตัวเองบ้างนะนภัทร ไม่แน่พรุ่งนี้นายอาจจะต้องเปลี่ยนโรงเรียนใหม่ก็ได้ใครจะรู้ เปลี่ยนโรงเรียนกลางคันตอนม.ห้า ปีหน้าก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย แบบนี้มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก” วิศรุตตอกกลับเสียงเย็นทันที แผนเรื่องที่เขาต้องการจะแกล้งนภัทรให้มาเห็นตอนเขามีอะไรกับรุ่นน้องเริ่มจะไปกันใหญ่แล้ว
   ตอนนี้นภัทรโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี  ผิวของเด็กหนุ่มจัดว่าขาวทีเดียว พอตัดกับใบหน้าที่ฉายแววหล่อคมที่ตอนนี้กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำก็ชวนมองไม่น้อยในสายตาของวิศรุต

   “พรุ่งนี้ตอนเที่ยงหลังจากกินข้าวเสร็จมาพบฉันที่ห้องกรรมการนักเรียน เรามีเรื่องต้องคุยกันยาวเลยทีเดียว” พูดจบ
นภัทรก็ก้มลงเก็บหนังสือที่หล่นกระจายอยู่บนพื้นก่อนจะเดินลิ่วออกไปเลย ปล่อยให้วิศรุตมองไล่หลังด้วยสายตาท้าทายไม่ยอมแพ้เช่นกัน

   “กลับไปได้แล้ว วันนี้ฉันหมดสนุกแล้ว” ลับหลังนภัทร วิศรุตก็ไล่คู่ขาที่เมื่อกี้เพิ่งจะสำเร็จความใคร่ให้เขาอย่างไม่ไยดี ไม่แม้แต่จะถามชื่อด้วยซ้ำเพราะเขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องเอามาใส่ใจนัก ก็แค่รุ่นน้องที่แอบปลื้มคนน่าตาดีอย่างเขา แค่ยอมให้ ฝ่ายนั้นได้มีโอกาสสัมผัสร่างกายอันสวยงามราวกับเทพเจ้าบรรจงสรรสร้างของเขาแค่นั้นก็เกินพอแล้ว มันก็เป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์แบบครั้งเดียวจบเท่านั้นเอง

   เขาขี้เกียจมองดูรุ่นน้องคนนั้นบีบน้ำตาขอความเห็นใจก็เลยเลือกที่จะเดินห่างออกมาเอง ในใจก็พาลนึกไปถึงคำพูด ของนภัทร ให้ฉันไปพบงั้นเหรอ ฉันเองก็ชักอยากจะรู้เหมือนกันว่านายจะมีปัญญาทำอะไรฉันได้พ่อกรรมการนักเรียนคนเก่ง

...มีคนบอกว่าคนเราจะจำกันได้เพราะผูกพันกันด้วยความรู้สึกสองอย่าง คือถ้าไม่รักก็เกลียดชัง ความรู้สึกระหว่างเราคงเป็นแบบหลังสินะ...

.....ถ้านายรักฉันไม่ได้ ก็เกลียดฉันเถอะ ยิ่งเกลียดฉันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ฉันจะได้อยู่ในความทรงจำของนายตลอดไป.....


จบบทที่1



Aislin : นิยายเรื่องนี้เราแต่งจบไปนานเป็นปีแล้วค่ะ เคยนำลงไปโพสให้อ่านกันในเว็บไซส์แห่งหนึ่ง แล้วก็ตีพิมพ์เป็นหนังสือทำมือขาย วันนี้ได้ฤกษ์ดี (จริงๆก็ตั้งใจเอาไว้นานแล้ว) ก็อยากเอามาโพสให้ในเล้าเป็ดได้อ่านกันด้วยเน้อ แล้วจะพยายามมาอัพให้บ่อยๆเท่าทีเวลาและโอกาสจะอำนวยค่ะ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ :))
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2013 00:13:24 โดย Aislin »

ออฟไลน์ jimmyFG

  • Ich Liebe dich.
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2276
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +203/-4
    • @Facebook
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1
«ตอบ #1 เมื่อ30-07-2012 11:41:59 »

แปะกฎด้วยจร้า รอติดตามนะ  :mc4: :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1
«ตอบ #2 เมื่อ30-07-2012 11:56:56 »

แปะกฎด้วยจร้า รอติดตามนะ  :mc4: :mc4: :mc4:

ขอบคุณมากค่ะที่เตือนเรื่องแปะกฎ ลืมเสียสนิท แหะๆ
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ เดี๋ยวค่อยๆอัพไปเรื่อยๆค่ะ

ออฟไลน์ white choc~

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-0
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1
«ตอบ #3 เมื่อ30-07-2012 12:13:42 »

น่าสนุกเน๊อะ รอติดตามตอนต่อไปค๊า  :กอด1:

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่2
«ตอบ #4 เมื่อ30-07-2012 12:25:36 »

บทที่ 2

เช้าวันต่อมา เขากับนภัทรก็ยังคงต้องเจอหน้ากันในห้องเรียนเช่นเดิมเหมือนทุกวัน ฝ่ายนั้นไม่ยอมมองหน้าเขาเลย คงเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานนี้นั่นเองที่เขาไปกวนโทสะอีกฝ่ายจนโกรธหน้าดำหน้าแดงเสียขนาดนั้น จนถึงขนาดจะเรียกตัวเขาไปคาดโทษในห้องกรรมการนักเรียนเลยทีเดียว

ชั่วโมงพักกลางวันของวันนี้มาเร็วเหลือเกินในความคิดของวิศรุต เมื่อเสียงออดหมดเวลาเลิกเรียนคาบเช้าดังขึ้น  เพื่อนในห้องต่างพากันกระวีกระวาดรีบลุกจากโต๊ะเพื่อรีบออกไปต่อแถวซื้อข้าวกลางวันที่โรงอาหารเพราะรู้ดีว่าถ้าไปช้าจะต้องรอคิวยาวอย่างแน่นอน เขามองไปทางนภัทรและเห็นว่าฝ่ายนั้นกำลังเดินตรงมายังโต๊ะที่เขานั่งอยู่พอดี เขาจึงบอกภาณุให้ไปก่อนได้เลยและฝากซื้ออาหารกลางวันเผื่อเขาด้วย

   “กินข้าวเสร็จหวังว่าคงเห็นนายอยู่ที่ห้องกรรมการนักเรียนนะ” นภัทรพูดเสียงค่อยจนเกือบกระซิบใกล้ใบหูของเขา วิศรุตรับรู้ได้ถึงกลิ่นกายอันเปี่ยมไปด้วยความเป็นบุรุษเพศของนภัทรและนั่นทำให้เขาอยากเข้าใกล้ฝ่ายนั้นยิ่งขึ้นไปอีก

   “แล้วถ้าฉันไม่ไปล่ะ” เขาย้อนถาม แต่คู่สนทนาก็ไม่ยอมตอบอะไรแต่เดินตามเพื่อนคนอื่นๆออกไปยังโรงอาหารทันที




   หลังจากกินข้าวเสร็จก็เป็นเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว วิศรุตมองนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือตน เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่าก่อนที่ออดจะดังเพื่อเริ่มการเรียนคาบบ่าย เขาบอกภาณุว่าตัวเองจะไปห้องกรรมการนักเรียนซึ่งเพื่อนรักก็สงสัยว่าจะไปที่นั่นทำไมกัน เขาจึงต้องยอมอธิบายเรื่องราวเมื่อวานนี้คร่าวๆให้ภาณุที่นั่งฟังด้วยสีหน้าแกมระอาในพฤติกรรมของเพื่อนสนิทอย่างวิศรุต

   แยกจากภาณุมาได้สักพัก เขาก็เดินตรงไปยังสภากรรมการนักเรียนที่อยู่อีกตึกหนึ่งที่ค่อนข้างห่างจากโรงอาหาร  ห้องประชุมงานของกรรมการนักเรียนอยู่ชั้นเจ็ดที่ค่อนข้างปลอดคนและไม่อนุญาตให้นักเรียนทั่วไปเข้ามาได้นอกจากจะได้รับอนุญาตจากอาจารย์หรือกรรมการนักเรียนเท่านั้น  ชั้นเจ็ดของตึกนี้แบ่งเป็นหลายห้องทั้งห้องประชุมรวม ห้องพักผ่อนและห้องทำงานส่วนตัวของกรรมการนักเรียนแต่ละคน เป็นครั้งแรกที่วิศรุตรู้สึกว่าบางทีการเป็นกรรมการนักเรียนก็ได้สิทธิพิเศษแบบนี้นี่เอง เขาเดินตามโถงทางเดินไปเรื่อยๆก่อนจะมาหยุดที่หน้าห้องๆหนึ่งที่มีป้ายแขวนไว้ว่า นภัทร อิสรีย์

   เขามองผ่านกระจกเข้าไปด้านใน เจ้าของห้องกำลังนั่งพิงเก้าอี้นวมตัวใหญ่หันหลังให้เขาอยู่  เขายกยิ้มที่มุมปากน้อยๆก่อนจะผลักประตูเข้าไปโดยไม่เคาะให้เสียเวลา ส่งผลให้ได้รับสายตาตำหนิว่าไม่มีมารยาทจากนภัทรแทนคำทักทายยามบ่ายเช่นนี้

   “ฉันกำลังรอนายอยู่พอดี”

   “มั่นใจจริงนะว่าฉันจะมา”

   “แล้วนายก็มาไม่ใช่เหรอ” อีกฝ่ายย้อนกลับ วิศรุตยิ้มนิดๆแต่ดวงตาไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรเขาได้

   สมุดบันทึกความประพฤติเล่มบางกับปากกาถูกโยนมาตรงหน้าเขา วิศรุตไล่อ่านข้อความกล่าวโทษในสมุดเล่มนั้นที่เขียนไว้ว่า นายวิศรุต ทัดเทวาประพฤติตัวไม่เหมาะสมด้วยการแต่งกายที่ไม่เรียบร้อยภายในห้องสมุดซึ่งเป็นสถานที่ราชการ

   “เซ็นชื่อซะ” นภัทรสั่งแต่วิศรุตกลับหัวเราะเสียงดังด้วยความขันกับข้อความที่ตนเพิ่งอ่านจบ แต่งกายไม่เรียบร้อยอย่างนั้นเหรอ “นายขำอะไรวิศรุต”

   “ก็ขำไอ้นี่ไง” เขาชี้ไปที่สมุดนั้น “ทำไมนายไม่บันทึกลงไปตรงๆเลยล่ะว่าฉันทำผิดอะไร ฉันไม่ได้แค่แต่งตัวไม่เรียบร้อยอย่างเดียวนะ ฉันกับรุ่นน้องคนนั้นยัง...”

   “วิศรุต”

   “เมคเลิฟกันต่อหน้านาย” วิศรุตพูดต่อจนจบ แววตาโศกสีน้ำตาลชวนมองจ้องไปที่ใบหน้าเจ้าของห้องอย่างท้าทาย

   ปังง!!

เสียงตบโต๊ะดังขึ้นตัดกับความเงียบของห้องเมื่อวิศรุตพูดจบ นภัทรลุกจากเก้าอี้มาจ้องหน้าคนปากดีไม่มียางอายอย่างวิศรุต ทัดเทวาด้วยความโมโหที่เริ่มจะเกินขีดจำกัดของความอดทนแล้ว ที่เขาไม่บันทึกตามเรื่องจริงแบบที่วิศรุตบอกก็เพราะเห็นแก่หน้าของอีกฝ่ายเพราะถึงยังไงก็เป็นเพื่อนร่วมห้องกันมาถึงห้าปี แต่เมื่ออีกฝ่ายท้าทายแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้

   “รู้สึกว่านายจะชอบประจานความไร้ยางอายของตัวเองให้คนอื่นรู้จริงนะ” น้ำเสียงเหยียดของนภัทรทำให้วิศรุตสะอึก คำพูดของอีกฝ่ายเล็กน้อย แต่เขาก็แกล้งทำไม่สนใจแล้วยืดตัวลุกจากที่นั่งมาประจันหน้ากับอีกฝ่ายบ้าง

   “อันที่จริงฉันก็เป็นคนที่กล้าทำกล้ารับนะ ชอบผู้ชายก็แสดงออกตรงๆว่าชอบ มีเซ็กส์ก็บอกว่ามีเซ็กส์” คราวนี้มือของวิศรุตไม่อยู่นิ่ง ฝ่ามือเนียนแบบลูกคนมีเงินไล้ไปตามแผงอกกว้างของนภัทร แม้จะมีเสื้อนักเรียนขวางกั้นแต่วิศรุตก็สัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นรัวผิดปกติของอีกฝ่าย เขาลอบหัวเราะในลำคอก่อนจะไล้มือลงต่ำจนถึงขอบกางเกงนักเรียน สัมผัสที่เริ่ม หยาบโลนช่วยปลุกให้สติของนภัทรกลับคืนมาหลังจากที่อึ้งไปกับความหาญกล้าของคนตรงหน้า

“จะทำอะไร” นภัทรยึดข้อมือของวิศรุตเอาไว้ก่อนที่มันจะเลื่อนลงต่ำไปมากกว่านี้

   “หวั่นไหวเหรอ” คำถามสั้นๆทำให้คนถูกถามหน้าตึงเพราะเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอะไร “ตรงนี้ของนายมันบอก” มือของวิศรุตที่ไม่ได้ถูกเกาะกุมอีกข้างเลื่อนไปวางที่ตำแหน่งตรงหน้าอกข้างซ้าย

   นภัทรปัดมือทิ้งก่อนจะเปลี่ยนมายึดกุมข้อมือสองข้างของวิศรุตแน่นแล้วใช้ไหล่กว้างของตนดันเบียดให้แผ่นหลังของอีกฝ่ายปะทะเข้ากับผนังห้องทำงานอย่างแรง จากนั้นก็ใช้ท่อนแขนหนาแข็งแรงอย่างนักกีฬาคร่อมเอาไว้ไม่ให้วิศรุตหนีไปไหน

   “คราวนี้คงเป็นทีของฉันที่จะต้องถามนายว่านายจะทำอะไร” ไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือตกใจในอาการที่เปลี่ยนไปของ
นภัทร ลึกๆเขาออกจะพอใจด้วยซ้ำที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของนภัทรแบบนี้แม้ว่าเจ้าตัวจะอยู่ในอารมณ์โกรธเกรี้ยวก็ตามที

   “ฉันไม่ทำอะไรแบบที่นายคิดก็แล้วกัน เพราะว่าฉันไม่ได้วิปริตผิดเพศอย่างนาย” คำพูดของนภัทรทำให้วิศรุตกัดฟันแน่น คำก็รังเกียจ สองคำก็วิปริตผิดธรรมชาติ เขาอยากรู้จริงๆว่าถ้าวันใดวันหนึ่งนภัทรเกิดหลงรักเขาขึ้นมา คนตรงหน้าจะยังพูดกับเขาแบบนี้อีกไหม วิศรุตยิ้มขื่นให้กับความคิดที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ของตัวเอง

   “นายยังไม่เคยลองกับผู้ชาย อยากลองดูไหมล่ะ เผื่อจะเปลี่ยนความคิด?” วิศรุตเบียดกายแนบชิดเข้าหาคนตรงหน้าจนแผ่นอกของทั้งคู่สัมผัสกัน นภัทรตัวสูงและไหล่กว้างกว่าเขาเล็กน้อย วิศรุตใช้สองมือโอบรอบคออีกฝ่ายก่อนแกล้งเป่าลมหายใจร้อนๆใส่บริเวณกกหูของนภัทร อาการกลืนน้ำลายของคนตรงหน้าทำให้เขารู้ได้ไม่ยากเลยว่าอีกฝ่ายยังไม่เคยกับ ประสบการณ์ในเรื่องเพศแบบนี้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะวันนี้เขาจะช่วยสอนให้เอง วิศรุตเบียดร่างกายท่อนล่างเข้าหาอีกฝ่าย ให้นภัทรได้รับรู้ว่าตอนนี้สัดส่วนความเป็นบุรุษเพศของเขามันร้อนรุ่มและกำลังขยายตัวจากปกติ

   นภัทรตาปรือก่อนใช้สองมือลูบคลำสะโพกเนียนแล้วกดมันให้แนบชิดกับร่างกายของเขายิ่งกว่าเดิม การตอบสนอง
จากนภัทรทำให้วิศรุตตื่นเต้น นี่อีกฝ่ายก็มีอารมณ์ร่วมไปกับเขาอย่างนั้นเหรอ? นภัทรเลื่อนมือหนาขึ้นมาไล้ไปตามเรียวหน้าหล่อเหลาของวิศรุต ใบหน้างดงามนี้เย้ายวนใจไม่ว่าจะเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้าม เขาเป็นผู้ชายเหมือนกับอีกฝ่ายก็ยังอดยอมรับไม่ได้ว่าวิศรุตเป็นผู้ชายที่แทบจะเรียกว่าหล่อโดยสมบูรณ์แบบจริงๆ

   พลันความอ่อนโยนจากการสัมผัสที่ใบหน้างามของวิศรุตก็หายไปในแทบจะทันที นัยน์ตาสีถ่านเปลี่ยนจากปรือปรอยเป็นเจิดจ้าและคมกริบ มือที่สัมผัสบนใบหน้าของวิศรุตเปรียบเหมือนคีมเหล็กที่แทบจะบีบใบหน้าของเขาให้บิดเบี้ยวก็ไม่ปาน นภัทรมองคนตรงหน้าก่อนจะคลี่ยิ้มเย็น วิศรุตไม่ได้รู้สึกเจ็บที่นภัทรใช้สองมือบีบใบหน้าของเขาให้เหยเก แต่สิ่งที่เขาเจ็บคือคำพูดเชือดเฉือนของอีกฝ่ายต่างหาก

   “ถ้านายร่านและต้องการเซ็กส์ถึงขนาดนี้ ฉันคงช่วยนายไม่ได้หรอกเพราะอย่างที่บอกไปว่าฉันไม่ได้ชอบผู้ชาย และยิ่งผู้ชายแบบนายด้วยละก็” นภัทรเว้นระยะห่างครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกมาช้าๆแต่ว่าบาดใจคนฟังเหลือเกิน “ฉันยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่” พูดจบก็คลายมือออก ดวงตาสีดำสนิทสบกับนัยน์ตาโศกคู่นั้นอย่างเย็นชา นภัทรหันกลับไปหยิบหนังสือเรียนบนโต๊ะก่อนจะเอี้ยวหน้ามาบอกวิศรุตที่ตอนนี้กำลังยืนนิ่งเม้มปากแน่น

   “เรื่องสมุดความประพฤตินายก็จัดการเองก็แล้วกัน อยากจะบรรยายว่าตัวเองเป็นยังไงก็เชิญตามสบาย” พอนภัทรออกจากห้องไปแล้ว วิศรุตก็รู้สึกว่าตัวเองหมดแรงขึ้นมาทันที เขาทรุดลงไปกองกับพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีน้ำตาหยด แรกก็ร่วงลงมาจากนัยน์ตาเขาเสียแล้ว





   นภัทรกลับมาที่ห้องเรียนอีกครั้งทันเวลาคาบบ่ายพอดี เขามองไปยังที่นั่งประจำของวิศรุต พอดีเจอกับสายตาที่จ้องมาที่ตัวเองของภาณุ เขาทำเป็นไม่สนใจสายตานั้นก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะแล้วเปิดหนังสือเริ่มเรียนต่อ เขาเรียนในชั่วโมงชีววิทยาวันนี้ไม่เข้าใจเลยเหมือนกับว่าฟังเท่าไหร่ก็ไม่เข้าหัวทั้งๆที่วิชานี้เป็นวิชาโปรดของเขา ตลอดคาบเรียนเขาชอบนึกไปถึงวิศรุต เขาเองก็หาคำตอบไม่ได้เช่นกันว่าทำไมตัวเองถึงต้องเกลียดวิศรุตด้วย จริงอยู่ว่าเขาไม่ชอบพวกรักร่วมเพศแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเกลียดอะไรนักหนา คงเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของฝ่ายนั้นที่ทำให้เขาไม่ชอบใจ

ตอนอยู่ม.ต้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกอคติกับวิศรุตเท่าใดนักเพราะถึงอย่างไรเขาก็ยังถือว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนอยู่ดีแม้ว่าลึกๆแล้วตัวเองจะไม่ค่อยอยากไปยุ่งเกี่ยวกับพวกชอบไม้ป่าเดียวกันก็ตาม ตอนขึ้นม.ปลายเขานึกว่าจะไม่ต้องมาอยู่ห้องเดียวกัน ไม่ต้องทนเจอหน้าฝ่ายนั้นอยู่ทุกวันอีกแล้ว แต่เหมือนโชคชะตาที่เล่นตลกเหลือเกินทำให้เขาและวิศรุตต้องมาอยู่ห้องเดียวกันอีกครั้งจนได้ ทั้งที่ตอนม.ต้น เขาค่อนข้างมั่นใจว่าคะแนนและความสามารถด้านการเรียนแบบวิศรุตคงไม่มีทางสอบเข้าเรียนในสายวิทย์คณิตได้แน่นอน แต่ฝ่ายนั้นก็ทำได้ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่เหนือการคาดหมายของเขาจริงๆ

   การกระทำของวิศรุตเมื่อตอนอยู่ในห้องกรรมการนักเรียนทำให้เขาอดรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่ได้ สัมผัสหยาบโลนของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกขยะแขยงและรังเกียจอย่างบอกไม่ถูก แม้จะรู้ดีว่าถ้อยคำบางคำที่เขาพูดออกไปมันทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่เพียงใดแต่เขาไม่มีทางเลือก ถ้าหากไม่พูดออกไปตรงๆว่าเขารังเกียจฝ่ายนั้น วิศรุตอาจจะยังคอยตามตอแยเขาอยู่ก็ได้ พูดไปซึ่งๆหน้าแบบนี้เขายังรู้สึกสบายใจมากกว่าการที่จะต้องมาคอยปะทะคารมแบบไม่จบไม่สิ้น แม้ว่าครั้งนี้อาจจะทำให้เขาต้องเสียเพื่อนที่ชื่อวิศรุต ทัดเทวาไปก็ตาม

   “ไอ้วินไปไหน มันบอกฉันว่าจะไปหานายที่ห้องกรรมการนักเรียน” ภาณุเดินมาถามเขาหลังจากหมดคาบเรียน คงจะสงสัยว่าทำไมเพื่อนสนิทตัวเองถึงไม่เข้าเรียนวิชานี้

   “ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้ออกมาพร้อมกับเพื่อนของนาย ฉันออกมาก่อน” เขาพูดเรียบๆก่อนจะจัดของเตรียมย้ายไปเรียนยังอีกตึกหนึ่งเพราะยังเหลือวิชาสุดท้ายก่อนที่การเรียนวันนี้จะสิ้นสุดลง

   ภาณุมองหน้านภัทรอย่างสงสัยก่อนนิ่งคิดอะไรบางอย่าง เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกไปจากห้องทันทีมุ่งหน้าไปยังห้องกรรมการนักเรียนโดยหวังว่าเพื่อนของเขาคงจะยังอยู่ที่นั่น ดูจากสีหน้าของนภัทร เขาคิดว่าคงต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ และคนที่เจ็บปวดก็คงหนีไม่พ้นวิศรุตอย่างแน่นอน

   เมื่อไม่เจอวิศรุตที่ห้องกรรมการนักเรียน ภาณุก็ยิ่งร้อนใจ เขาตามหาวิศรุตไปทั่วโรงเรียนทั้งตามตึกเรียนต่างๆ ห้องแล็ป โรงยิม โรงอาหาร จนมาถึงที่สุดท้ายก็คือดาดฟ้าของโรงเรียน เพื่อนของเขาอยู่ที่นั่นจริงๆ ภาพวิศรุตที่กำลังนอนแผ่หราปล่อยให้แสงอาทิตย์ยามบ่ายอาบไล้ทั่วร่างกายอย่างไม่กลัวผิวเสียทำให้ภาณุอดถอนหายใจแรงไม่ได้ เด็กหนุ่มสาวเท้าเข้าไปใกล้ ใจก็อยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่แต่วิศรุตชิงยิงคำถามขึ้นมาเสียก่อน

   “แกว่าฉันโง่ไหมวะ?” วิศรุตถามโดยไม่หันหน้ามามอง ภาณุเลยไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพื่อนกับวิศรุตมานานแต่บางครั้งเขาก็ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ของวิศรุตได้เลย

   “แกเนี่ยนะโง่ แกฉลาดเป็นกรดจะตาย” คนถูกถามพูดติดตลกแต่อีกฝ่ายไม่ขำด้วย

   “วันนี้ฉันทำเรื่องโง่ๆอีกแล้ว”
   “แกทำเรื่องโง่อะไรล่ะ ไหนลองเล่าให้ฉันฟังซิ” ภาณุนอนราบไปกับพื้นข้างวิศรุต เขาเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนรักดี เขาก็แค่อยากจะช่วยแบ่งปันความทุกข์ของเพื่อนคนนี้บ้างเท่านั้นเอง

   วิศรุตเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่ห้องกรรมการนักเรียนให้ภาณุฟังรวมถึงที่นภัทรบอกว่าเกลียดเขาด้วย วิศรุตหัวเราะขื่นๆอย่างสมเพชตัวเองที่ถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ยอมตัดใจจากนภัทรเสียที เขาคงกลายเป็นคนโง่เพราะเรื่องบ้าๆแบบนี้แหล่ะแถมยังโง่มากๆเลยด้วย

   หลังจากฟังเรื่องทั้งหมดจนจบ ภาณุทั้งโกรธและสงสารวิศรุตในคราวเดียวกัน เขาไม่คิดว่าเพื่อนรักจะไปยั่วนภัทรถึงขนาดนี้เพราะวิศรุตก็รู้ดีว่านภัทรไม่ได้ชอบผู้ชาย ถ้าเขาเป็นฝ่ายนั้นก็คงจะต้องโกรธมากเป็นธรรมดา แต่อีกใจก็สงสารวิศรุตเพราะเด็กหนุ่มรู้ดีว่าคนตรงหน้าคงจะเจ็บปวดไม่น้อยกับข้อความเลือดเย็นแบบตัดบัวไม่เหลือใยที่ได้รับจากนภัทรเป็นสิ่งตอบแทนความรักที่เพื่อนเขามีให้ตลอดเวลาห้าปีเต็ม

   “เศร้าแบบนี้ไม่สมเป็นแกเลยนะเว้ย ถ้าใครเค้ารู้ว่าวิศรุต ทัดเทวา เพล์บอยตัวพ่อต้องมาเสียน้ำตาเพราะคนธรรมดาๆอย่างนภัทรแล้วล่ะก็ นายสิ้นชื่อก็คราวนี้แหล่ะไอ้วิน”

“นั่นสินะ ทำไมคนอย่างฉันต้องมาเสียน้ำตาเพราะคนไม่มีหัวใจแบบนั้นด้วย” คำพูดของวิศรุตทำให้ภาณุแปลกใจ ถ้าเพื่อนของเขาคิดจะตัดใจจากนภัทรก็คงดีไม่น้อย การมีชีวิตที่จมอยู่กับความรักที่หาทางออกไม่ได้มันเป็นเรื่องที่ทรมานจนเกินไปจริงๆ คนอย่างวิศรุต ทัดเทวามีทางเลือกตั้งมากมาย เพื่อนของเขาไม่สมควรจะเป็นตัวเลือกแต่สมควรที่จะเป็นผู้เลือกต่างหาก

“ฉันดีใจนะที่แกคิดจะตัดใจจากนภัทรเสียที แกจะได้เลิกเสียใจแบบนี้อีกไง”

“ฉันจะไม่ตัดใจ จะไม่ยอมแพ้และจะไม่มีวันเลิกชอบนภัทรเป็นอันขาด ต่อให้เขาเกลียดฉันแค่ไหนก็ตาม แกคอยดูเถอะ สักวันนึงฉันจะต้องทำให้ผู้ชายที่ชื่อนภัทร อิสรีย์หันมารักฉันให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนหรือต้องแลกกับอะไรก็ตาม” เสียงเยียบเย็นของวิศรุตลอยกระทบโสตประสาทของภาณุ เขารู้ว่าถ้าวิศรุตลั่นปากออกมาแล้วก็คงจะตั้งใจทำแบบนั้นจริงๆ เพื่อนคนนี้ของเขาเป็นคนหัวแข็งและไม่ยอมเปลี่ยนความคิดง่ายๆแน่

ทั้งคู่นอนเคียงข้างมองฟ้ายามบ่ายแก่ๆด้วยกันจนตะวันลาลับขอบฟ้าไป ต่างคนก็ต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ภาณุเคยสงสัยมานานแล้วว่าสำหรับผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลา เพียบพร้อมไปทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ คนที่เป็นที่หมายปองของทั้งเพศเดียวกันและเพศตรงข้ามอย่างวิศรุต นิยามความรักของคนตรงหน้าคืออะไรกันแน่ วันนี้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว




วิศรุตกลับถึงบ้านทัดเทวาตอนหัวค่ำ เขาเดินลิ่วเข้าบ้านเพื่อจะตรงดิ่งไปยังห้องนอนของตน วันนี้เขาเหนื่อยมามาก
เกินพอแล้ว แต่ตอนเดินผ่านห้องรับแขกกลับถูกน้องสาวตัวดีเรียกเอาไว้เสียก่อน เธอบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย เขาเลยต้องหยุดฟังทั้งที่ใจอยากจะเดินหนีไปเต็มทนเพราะรู้ดีว่าคงพูดดีด้วยกันได้ไม่เกินห้านาทีแน่นอน

เขากับศรารัตน์ผู้เป็นน้องสาวชอบมีเรื่องทะเลาะและขัดใจกันตั้งแต่เด็ก ด้วยเพราะอายุที่ไล่เลี่ยกันทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใครทั้งสิ้น บางทีศรารัตน์ก็นิสัยเหมือนเขาเสียจนน่ากลัวโดยเฉพาะนิสัยที่ว่าอยากได้อะไรก็ต้องได้ ทั้งคู่ถูกเลี้ยงดูมาแบบลูกคุณหนู ถูกตามใจจนเสียนิสัย และด้วยความที่อายุห่างกันแค่เพียงปีเดียวทำให้วิศรุตไม่ค่อยมีความรู้สึกหวงแหนและเอ็นดูศรารัตน์ในแบบที่พี่ชายควรมีมากนักและก็ไม่ได้ทำให้ศรารัตน์รักและเคารพวิศรุตในแบบที่น้องสาวควรจะปฎิบัติต่อพี่ชายเหมือนอย่างพี่น้องในครอบครัวอื่นๆเลย ตรงกันข้ามทั้งคู่กลับเป็นไม้เบื่อไม้เมากันตลอดเวลา ขนาดตัวเขายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองกับน้องสาว
จะเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกันจริงๆ

“มีอะไร? วันนี้ฉันเหนื่อยมาก มีอะไรก็รีบๆพูดมา” วิศรุตโยนกระเป๋านักเรียนหนังแท้ราคาแพงของตนไปบนโซฟาอย่างไม่คิดถนอมก่อนจะทรุดตัวนั่งไขว่ห้างที่โซฟาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อประจันหน้ากับน้องสาว
ศรารัตน์ปิดนิตยสารแฟชั่นที่อ่านค้างไว้ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะกระจกที่เข้าชุดกับโซฟารับแขกสีครีมแล้วก็เริ่มเอ่ยเข้าเรื่องทันที เธอก็ไม่อยากเสียเวลาอ้อมค้อมเช่นกัน

“เมื่อตอนเย็นคุณพ่อกับคุณแม่โทรศัพท์มา” พ่อกับแม่ของเขาตอนนี้ไปทำธุรกิจอยู่ที่เมืองนอก ไปครั้งหนึ่งก็จะไปหลายนานเดือน ซึ่งปกติท่านก็จะโทรศัพท์กลับมาที่บ้านเป็นประจำอยู่แล้ว แต่วันนี้คงมีเรื่องบางอย่างไม่อย่างนั้นน้องสาวของเขาคงไม่มานั่งรอเขากลับบ้านเพื่อบอกเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษหรอก

“เห็นคุณพ่อกับคุณแม่บอกว่าตอนนี้กิจการที่นั่นกำลังไปได้สวยแล้วก็เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น อีกอย่างธุรกิจที่ไทยก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ทุกอย่างก็ลงตัวดีเพราะมีญาติๆช่วยกันบริหาร คุณพ่อคุณแม่ท่านก็เลยอยากจะมาจับงานที่เมืองนอกอย่างเต็มตัว ก็เลยอยากให้เราสองคนย้ายไปเรียนต่อที่นั่นด้วยเลย” คำพูดของศรารัตน์ทำให้เขาตัวชาวาบ ปุบปับมาบอกให้เขาย้ายไปเรียนต่อเมืองนอกเขาเองก็ทำอะไรไม่ถูก ถ้าเขาต้องย้ายไปจริงๆแล้วเรื่องทางนี้ล่ะ เรื่องของนภัทรเขาจะทำอย่างไรดี

“เมื่อไหร่ ฉันหมายถึงเราต้องย้ายไปเมื่อไหร่”

“นี่ก็ช่วงใกล้สอบไล่แล้ว ฉันคิดว่าคุณพ่อกับคุณแม่คงจะรอให้สอบไล่จนเสร็จนั่นแหล่ะถึงค่อยให้ย้ายที่เรียน”
เหลืออีกสองอาทิตย์เท่านั้นก่อนที่การสอบไล่จะเสร็จสิ้น สองอาทิตย์เท่านั้นที่เขาจะได้มีโอกาสเจอหน้านภัทรก่อนที่เขาจะต้องเดินทางไปใช้ชีวิตและเรียนต่อยังอีกซีกโลกหนึ่งที่ห่างไกลจากเมืองไทยเหลือเกิน

.....ถ้าฉันไปแล้ว เวลาที่เราพบกันอีกครั้งนายจะยังจำฉันได้หรือเปล่านะ.....

จบบทที่2
Aislin : ตอนที่1-4จะเป็นตอนที่พระนายของเรากำลังเรียนม.ปลายนะคะ หลังจากตอนที่5เป็นต้นไปก็จะเริ่มดำเนินเรื่องราวในช่วงตอนโตแล้วล่ะค่ะ ฝากติดตามด้วยเน้อ รับรองว่าเข้มข้นแน่นอนจ้า ^ ^

ขอฝากfanpageของนิยายเรื่องนี้เอาไว้หน่อยนะคะ :) สามารถเข้าไปกดLikeแล้วร่วมพูดคุยกันได้เลยจ้ะ

http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E-YaoiBoys-love/201117953284062
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-07-2012 12:32:43 โดย Aislin »

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่3
«ตอบ #5 เมื่อ30-07-2012 12:31:09 »

บทที่ 3

เมื่อเขาเอาเรื่องนี้มาบอกกับภาณุ ฝ่ายนั้นมีท่าทีตะลึงงันเพราะคิดไม่ถึงว่าวิศรุตจะต้องไปเมืองนอกปุบปับแบบนี้ วิศรุตจะออกเดินทางทันทีที่การสอบวิชาสุดท้ายเสร็จสิ้นลง การไปเรียนต่อเมืองนอกของวิศรุตก็หมายถึงว่าเขาคงไม่ค่อยมีโอกาสได้เจออีกฝ่ายเป็นเวลานานทีเดียว สำหรับมิตรภาพระหว่างเขาและวิศรุตที่คบหาเป็นเพื่อนกันมานานหลายปีก็อดไม่ได้ที่ภาณุจะรู้สึกใจหายเป็นธรรมดา

“ทำไมต้องรีบไปขนาดนั้นด้วยล่ะ” ภาณุถามวิศรุตที่กำลังเอาหน้าฟุบลงกับโต๊ะเรียนของตัวเอง

“ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่าพ่อกับแม่ฉันเค้าทำเรื่องเรียนต่อเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”

     “แล้วเรื่องคนๆนั้นล่ะ” คนๆนั้นในความหมายของภาณุก็คือนภัทร วิศรุตเงยหน้าขึ้นมามองคนที่กำลังถูกพูดถึงอยู่ ก่อนจะพบภาพเดิมๆที่เห็นจนชินตา นภัทรกำลังจมอยู่กับตำราเล่มหนาของตัวเองจนเขาคิดว่าฝ่ายนั้นคงจะอ่านท่องจำได้ขึ้นใจแล้วล่ะมั๊ง

   “แกว่าฉันควรจะทำยังไงดีล่ะ” วิศรุตหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เลย ใจหนึ่งเขาก็ไม่อยากจะทิ้งและปล่อยเรื่อง นภัทรเอาไว้แบบนี้ เขาไม่อยากจากไปท่ามกลางความรู้สึกที่ยังค้างคาในใจ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็ไม่กล้า ถ้านภัทรรู้ว่าคนที่ตัวเองแสนเกลียดนักหนา คนที่ตัวเองชอบแสดงสีหน้าเย็นชาใส่ กลับเป็นคนที่หลงรักตัวเองมานานถึงห้าปีเต็ม ฝ่ายนั้นจะรู้สึกยังไงนะ จะยิ่งเกลียดเขามากกว่าเดิมหรือเปล่า

   “ฉันว่าควรจะบอกความรู้สึกของแกให้มันรู้ว่ะ อย่างน้อยแกก็ได้โล่งใจแล้วก็เลิกอัดอั้นจะเป็นจะตายกับเรื่องนี้เสียทีเพราะอีกไม่นานแกก็ต้องไปแล้ว ปีหน้ามันก็คงจะต้องสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่นี่ อีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้กว่าจะได้มีโอกาสมาเจอกันหรือไม่แน่มันอาจจะไม่วันนั้นอีกเลยก็ได้” คำพูดของภาณุทำให้เขาที่กำลังโลเลอยู่ตัดสินใจได้เสียที มันคงจะเป็นอย่างที่เพื่อนของเขาว่า จะได้ไม่ต้องมีอะไรค้างคากันอีก ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าคำตอบของเรื่องนี้คืออะไร

...เหลือเวลาอีกแค่สองอาทิตย์เท่านั้น…





   เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกินในความคิดของวิศรุต การเรียนการสอนวันสุดท้ายจบลงแล้ว ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เขาดำเนินชีวิตไปตามปกติทุกอย่าง เรียนบ้างโดดบ้าง มีเซ็กส์เล่นๆกับพวกรุ่นน้องบ้างตามประสาเพลย์บอยเจ้าเสน่ห์  บางคืนก็ดื่มเหล้าเที่ยวผับไปเรื่อย ตัวเขาเองก็เบื่อชีวิตแบบนี้แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงมันให้ดีขึ้นอยู่ดีนั่นแหล่ะ เพราะอยู่แบบนี้ก็มีความ
สุขดี ไม่รู้จะต้องเปลี่ยนทำไมและเปลี่ยนไปเพื่อใคร

   วันนี้วิศรุตกลับบ้านช้ากว่าปกติเพราะถูกเรียกไปอบรมที่ห้องฝ่ายปกครองฐานทำความผิดแอบสูบบุหรี่ในห้องน้ำชาย แต่บังเอิญอาจารย์พละมาพบเข้าพอดี เขาจึงโดนเรียกไปที่ห้องปกครอง แต่เนื่องจากคำว่าทัดเทวาที่ต่อท้ายชื่อของเขาอยู่ทำให้ถึงแม้เป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองก็ไม่กล้าทำอะไรเขามากนัก ทำได้ก็แค่กักบริเวณตอนเย็นเท่านั้นเองเพราะถึงอย่างไรพ่อของเขาก็เป็นคนบริจาคเงินสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ให้กับโรงเรียนแห่งนี้

   วิศรุตเดินไปยังอาคารจอดรถที่อยู่ไม่ไกลจากประตูโรงเรียนนักเพื่อขับรถกลับบ้าน นักเรียนไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์มาที่โรงเรียน เขาไม่เคยสนใจกฎพวกนี้อยู่แล้ว แต่ก็ยังมีความเกรงใจอยู่บ้างก็เลยเลือกที่จะจอดเอาไว้ที่อาคารจอดรถสาธารณะโดยจ่ายค่าเช่าเป็นรายวันแทนแม้ว่าตัวเขาเองจะอายุไม่ถึงวัยที่จะทำใบขับขี่ได้ตามกฎหมายก็ตาม

   ตอนนี้เป็นเวลาประมาณหกโมงเย็นกว่าๆ ชั้นที่เขาเลือกจอดรถที่ประจำเป็นชั้นที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวเพราะเกือบจะถึงชั้นดาดฟ้าของอาคารแล้วและไม่ค่อยมีใครเอารถมาจอดในชั้นนี้กันมากนักซึ่งวิศรุตก็พอใจให้มันเป็นอย่างนั้นเพราะในบางอารมณ์เขาก็อยากจะทำอะไรในสิ่งที่คนทั่วไปเขาไม่ค่อยทำกันเท่าไหร่นัก

ลานจอดรถเวลานี้เหลือรถที่จอดอยู่เพียงไม่กี่คันเท่านั้นเพราะใกล้จะถึงเวลาที่อาคารแห่งนี้จะปิดให้บริการแล้ว เขาล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นกลุ่มคนประมาณ4-5คนกำลังยืนล้อมคนๆหนึ่งอยู่กลางวง คนพวกนั้นอยู่ห่างจากเขาพอสมควร เขาจึงเห็นไม่ค่อยชัดว่าพวกนั้นกำลังจะทำอะไรแต่สมองก็เดาได้ไม่ยากว่ายกพวกมาแบบนี้คงจะต้องเตรียมตัวมาเพื่อจัดการกับไอ้คนที่โชคร้ายยืนอยู่กลางวงแน่ๆ ตอนแรกเขาไม่คิดจะสนใจเพราะป่วยการที่จะต้องไปยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเอง แต่เหยื่อที่โชคร้ายคนนั้นรูปร่างคุ้นตาเขาอย่างไรพิกล เขาจึงเดินเข้าไปใกล้อีกนิดก่อนจะเพ่งตามองจึงได้รู้ว่าที่รู้สึกคุ้นก็เพราะว่าฝ่ายนั้นเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขานี่เองแถมยังเป็นเพื่อนสนิทของนภัทรอีกด้วย

   “เงินที่ขอยืมไป ตกลงจะเบี้ยวไม่จ่ายใช่ไหม?” คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มนักเลงพูดขึ้น

   “ผมขอผลัดไปก่อนได้ไหมพี่ ตอนนี้ผมไม่มีเงินจริง ไม่เชื่อพี่ลองค้นตัวผมดูก็ได้” พงศธรพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นเวลาพูดแม้ในใจจะรู้สึกกลัวก็ตาม เขาไม่น่าคิดผิดไปกู้เงินนอกระบบจากพวกนี้เลย แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขามีทางเลือกไม่มากนัก

   “มึงผลัดมาหลายรอบแล้ว ถ้าวันนี้ไม่มีเงินมาจ่ายก็เตรียมตัวไปหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลได้เลย”

   “ผมขอเถอะพี่ ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายจริงๆ แล้วผมจะรีบหาเงินมาคืนให้” พงศธรพนมมือคุกเข่าตรงหน้านักเลงพวกนั้น ก่อนจะอาศัยทีเผลอผลักนักเลงคนที่อยู่ใกล้สุดอย่างแรงแล้วใช้เท้ายันนักเลงอีกคนหนึ่งที่เข้ามาใกล้ ก่อนตัดสินใจวิ่งหนีแต่ก็ไม่รอดถูกฝ่ายนั้นล็อคแขนเอาไว้ได้ ด้วยจำนวนคนที่มากกว่าประกอบกับพงศธรเป็นพวกเด็กเรียนอยู่แล้วทำให้พงศธรไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเลย สองแขนของเด็กหนุ่มถูกล็อคเอาไว้ก่อนหมัดหนักๆจะสวนมาที่ท้องอย่างแรงจนเจ้าตัวจุกจนแทบลงไปกองกับพื้น

   “ทำเก่งจริงนะมึง จะหนีก็ต้องหนีให้รอดสิ ถ้าไม่รอดก็ต้องเจอดีแบบนี้” หัวหน้านักเลงชักมีดพับออกมาจากเอว พงศธรมองคมมีดนั้นด้วยสีหน้าซีดเผือด เด็กหนุ่มยังไม่อยากตายที่นี่ในสภาพแบบนี้
   จังหวะที่นักเลงคนนั้นกำลังจะแทงมีดเข้าใส่ร่างที่ถูกซ้อมจนยับเยินของพงศธร วิศรุตก็เข้ามาจัดการกับนักเลงคนนั้น ปลายมีดที่อยู่ในมือของนักเลงแฉลบไปจากร่างของพงศธรเล็กน้อยเพราะเจ้าของมีดถูกวิศรุตกระโดดถีบจนเสียหลัก หลังจากนั้นการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง คราวนี้พวกที่เสียเปรียบกลับเป็นฝ่ายพวกนักเลงกระจอกแทน เพราะการต่อสู้มือเปล่ากับคน4-5คน    ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเลยสำหรับวิศรุตที่เคยผ่านการเรียนต่อสู้มาหลายแขนงและยังมีประวัติการทะเลาะวิวาทในโรงเรียนอย่างโชกโชน โชคดีที่ฝ่ายนั้นไม่มีปืนไม่อย่างนั้นเขาก็อาจจะมีสภาพเดียวกับพงศธรก็ได้

   ภายในเวลาไม่นานนัก นักเลงพวกนั้นก็ถูกวิศรุตเล่นงานจนหมอบ เขาเดินเข้าไปกลางวงเพื่อช่วยพยุงเพื่อนร่วมห้องของเขา สภาพของพงศธรตอนนี้ไม่ถือว่าเลวร้ายเท่าใดนักมีแค่แผลฟกช้ำไปทั่วตัวโดยเฉพาะบริเวณท้อง เด็กหนุ่มยังมีสติดีอยู่

   “วิศรุต นาย...มาได้ยังไง” พงศธรมองเขาด้วยสีหน้างุนงงเพราะไม่คิดว่าจะเจอกับวิศรุตที่นี่

   “อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย นี่นายลุกไหวหรือเปล่า” เมื่อเห็นว่าพงศธรยืนเองไม่ไหว วิศรุตก็เลยเข้าไปช่วยประคองคิดว่าจะพาอีกฝ่ายไปที่รถของเขา แต่ทันใดนั้นนักเลงคนหนึ่งก็รอจังหวะที่วิศรุตเผลอจะลอบเอามีดที่ตกอยู่มาแทงข้างหลังโทษฐานที่อวดดียุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่พงศธรที่เห็นและร้องเตือนเสียก่อนจึงทำให้วิศรุตรอดไปได้อย่างหวุดหวิด ก่อนที่วิศรุตจะจัดการฝ่ายนั้นอีกครั้งจนคราวนี้ถึงขั้นลุกไม่ขึ้นเลยทีเดียว วิศรุตเก็บมีดพับเล่มบางมาไว้กับตัวก่อนจะเอ่ยเสียงที่เกือบตะคอกใส่กลุ่มนักเลงตรงหน้า

   “เพื่อนฉันติดเงินพวกแกอยู่เท่าไหร่” นักเลงต่างมองหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะเอายังไงกันแน่ “ฉันถามว่าเพื่อนของฉันติดเงินอยู่เท่าไหร่?” น้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นตะคอกทำให้พวกนักเลงยอมเอ่ยออกมาในที่สุด

   “แสนห้า” แม้จะตกใจเล็กน้อยกับจำนวนเงินที่อีกฝ่ายบอกแต่วิศรุตก็ควักกระเป๋าตังค์ราคาแพงของตนออกมาก่อนจะนับแล้วหยิบแบงค์พันประมาณสิบใบส่งให้พวกนักเลง หรือเรียกให้ถูกคือปากับพื้นไปกองอยู่ตรงหน้านักเลงพวกนั้น วิศรุตไม่ได้พกเงินสดมากมายนัก เขามักใช้บัตรเครดิตมากกว่า เงินสดทั้งหมดตอนนี้ของเขาก็มีอยู่ประมาณหมื่นกว่าบาทเท่านั้น ยังไงก็ไม่พอใช้หนี้ให้กับพงศธรได้อยู่ดี แต่หากเขาไม่ยื่นมือเข้าช่วย น้ำหน้าอย่างพงศธรก็คงจะไม่มีวันไปหาเงินมาใช้หนี้พวกนี้ได้หรอก วิศรุตถอนหายใจเฮือกก่อนจะยอมถอดนาฬิกาข้อมือเรือนแสนที่ซื้อมาจากเมืองนอกให้พวกนักเลงเป็นเครื่องไถ่หนี้แทนเงินสด

   “นาฬิกานี้เป็นแบรนด์ของแท้ ถ้าเอาไปขายคงได้ประมาณแสนกว่าๆ ก็ถือว่าเพื่อนของฉันหมดหนี้กับพวกแกแล้ว” วิศรุตเข้ามาช่วยประคองพงศธรไปที่รถของตัวเองก่อนจะขับออกจากที่นั่นไปอย่างรวดเร็ว

   “ลูกพี่ ให้ตามไปไหม” ลูกน้องคนหนึ่งรีบถามเพราะไม่มั่นใจว่านาฬิกาในมือลูกพี่ของตนจะเป็นของแท้หรือไม่ ถ้าโดนหลอกมีหวังเจ้านายของตนเอาตายแน่

   “ไม่ต้องตามหรอก ลองไอ้หมอนี่กล้าจ่ายเงินหมื่นอย่างไม่คิดเสียดาย แสดงว่าบ้านมันคงมีเงินถุงเงินถังให้ถลุงมากพอดู นาฬิกานี้คงไม่ใช่ของปลอมหรอก” หัวหน้านักเลงพูดพลางมองนาฬิกาโรเล็กซ์ราคาเหยียบแสนในมือของตนเองด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม




   “ขอบคุณมากนะที่นายมาช่วยฉัน แต่ว่าอันที่จริงนายไม่ต้องลำบากมาจ่ายหนี้แทนฉันก็ได้” พงศธรเอ่ยทำลายความเงียบหลังจากที่รถของวิศรุตแล่นออกมาจากอาคารจอดรถแล้ว วิศรุตแค่นเสียงหึในลำคอก่อนจะเอ่ยออกมาเรียบๆ

   “ถ้านายมีปัญญาหาเงินมาจ่ายเองได้ก็คงไม่ต้องมาเป็นกระสอบทรายให้พวกนั้นซ้อมหรอก” พงศธรหลุบตาลง มันเป็นอย่างที่วิศรุตพูดจริงๆนั่นแหล่ะ ถ้าเขาหาเงินมาใช้หนี้ได้ป่านนี้ก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้แล้ว “ว่าแต่นายทำไมไปติดหนี้พวกนั้นเยอะขนาดนั้นล่ะ นักเรียนดีเด่นที่อยู่แต่ในกรอบอย่างนายมีเรื่องลำบากอะไรถึงต้องใช้เงินมากขนาดนั้นด้วย?” วิศรุตอดถามขึ้นไม่ได้เพราะเขาก็พอรู้มาบ้างว่าพงศธรก็เป็นนักเรียนเรียนดีเหมือนกับนภัทร แถมพงศธรยังได้ทุนเรียนดีเด่นจากทางโรงเรียนเกือบทุกปีเพราะเป็นนักเรียนที่ค่อนข้างขาดแคลนทุนทรัพย์ ถ้าหากหักค่าเทอมแล้วก็ยังมีเงินเหลือพอตัวที่จะให้ใช้จ่ายได้อย่างไม่ลำบาก ไม่น่าต้องถึงขนาดไปกู้เงินนอกระบบมาแบบนี้

   “ช่วงนั้นฉันจำเป็นต้องใช้เงินด่วนน่ะ แม่ของฉันป่วยต้องรับการผ่าตัดด่วน จะรอไม่ได้อีกแล้ว พ่อของฉันก็มีโรคประจำตัวที่จะต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง พอไปทำเรื่องกู้กับแบงค์เขาก็ไม่อนุมัติเพราะไม่มีหลักประกันอะไรเลย ตอนนั้นฉันคิดอะไรไม่ออกก็เลยต้องไปยืมเงินพวกนั้น แล้วก็เป็นอย่างที่นายเห็นนั่นแหล่ะ”

   วิศรุตไม่พูดอะไรอีกตลอดทางที่ขับรถมาส่งพงศธรที่บ้าน เบื้องหน้าเขาคือทาวเฮาส์ที่ทั้งเล็กทั้งเก่าและโทรมสุดๆจนแทบเรียกได้ไม่เต็มปากว่าบ้าน เปรียบเทียบกับบ้านทัดเทวาแล้ว ที่นี่ยังเล็กกว่าโรงจอดรถบ้านเขาเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาเริ่ม เข้าใจแล้วว่าทำไมพงศธรถึงต้องไปกู้เงินพวกนั้นมา ทำไมพงศธรถึงต้องพยายามเรียนให้ดีเด่นเพื่อจะได้ถูกเสนอชื่อเข้ารับทุนเรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์  ชีวิตของเขากับคนข้างๆช่างแตกต่างราวฟ้ากับดิน

   “ตอนนี้ถือว่านายเป็นเจ้าหนี้ของฉันแล้ว ฉันจะพยายามทำงานพิเศษหาเงินมาใช้นายให้ได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ฉันมั่นใจว่าจะคืนให้แบบครบทุกบาททุกสตางค์” พงศธรพูดหนักแน่นจนเขาหลุดขำ เงินแค่นี้สำหรับเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ไปเที่ยวเมืองนอกแต่ละครั้งเขายังใช้เงินมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ แต่เขาก็เลือกที่จะตัดปัญหาให้จบๆไปด้วยการ
พยักหน้าเป็นทำนองว่ารับรู้ให้กับพงศธร

   “สักวันหนึ่งนายคงได้ใช้หนี้ฉันแน่พงศธร”




   เขาเจอพงศธรในเช้าวันต่อมาซึ่งเป็นวันสอบวันแรก ฝ่ายนั้นมาในสภาพที่ดีกว่าเมื่อวานมากเพราะทำแผลมาเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าตามใบหน้าจะมีรอยช้ำหลงเหลืออยู่หลายแห่งก็ตาม พงศธรเดินมาขอบคุณเขาเพราะนึกได้ว่าเมื่อวานตัวเองลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท วิศรุตเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะถึงอย่างไรพงศธรก็ถือเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขาและเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของใครบางคน เขาก้มหน้าก้มตาอ่านทวนวิชาเคมีตรงหน้าแต่มันก็ไม่ได้เข้าทำให้เขาจำได้ขึ้นมาบ้างเลยเพราะใจของเขานึกถึงแต่ว่าเหลือเวลาแค่เพียงอีกสามวันเท่านั้นก่อนที่การสอบจะเสร็จสิ้น สามวันสุดท้ายก่อนที่เขาจะต้องไปเรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษและก็คงจะไม่ได้เจอคนที่อยากเจออีก

   การสอบในวันนี้ผ่านไปเหมือนเช่นปกติในทุกๆครั้งที่มีการสอบ ความสามารถในการเรียนและศักยภาพในการทำข้อสอบของเขาก็ยังคงเท่าเดิม เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยายังคงเป็นวิชาที่ตามหลอกหลอนเขาอยู่ถ้าไม่นับวิชาอื่นที่เขาพอถูไถไปได้ ปกติถ้าทำไม่ได้เขาก็จะลอกภาณุที่นั่งสอบอยู่เลขที่ใกล้ๆกัน แต่คราวนี้เขาไม่มีอารมณ์จะทำแบบนั้น แค่คิดว่าเวลามันกำลังเดินถอยหลังเรื่อยๆเหมือนนาฬิกาทราย เขาก็ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรอีกแล้ว คงได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าเขาจะทำใจได้เอง




   วิศรุตนึกโมโหตัวเองที่ลืมแผ่นดิสก์ข้อมูลรายงานไว้ที่โรงเรียน ทั้งที่เขากลับไปถึงบ้านตั้งนานแล้ว แต่พอนึกได้ว่าลืมของเอาไว้เขาก็ต้องตีรถกลับมาอีกรอบ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องแก้รายงานวิชาชีววิทยาของอาจารย์ป้ามหาโหดอีกรอบและต้องส่งภายในพรุ่งนี้แล้วล่ะก็ เขาไม่มีทางตีรถกลับเพื่อมาเอาแผ่นดิสก์แค่แผ่นเดียวเด็ดขาด เป็นความสะเพร่าของเขาเองที่ลืมเซฟข้อมูลลงเครื่องกันสำรองเอาไว้ด้วย ถ้ารายงานแก้เสร็จไม่ทันพรุ่งนี้ อาจารย์ป้าขู่เขาว่าจะไม่ให้เขาจบม.ห้าเด็ดขาด

   เมื่อนึกได้ว่าวางซีดีเอาไว้ตรงที่วางของใต้โต๊ะเรียนของตัวเอง วิศรุตก็รีบวิ่งขึ้นไปยังห้องเรียนที่อยู่ชั้นสี่ของตึกทันที ตอนนี้เป็นเวลาประมาณเกือบสองทุ่ม นักเรียนต่างก็กลับบ้านกันจนหมดแล้ว ถ้ายามจับได้ว่าเขาแอบปีนประตูรั้วโรงเรียนเข้ามาล่ะก็ งานนี้คงเป็นเรื่องใหญ่แน่  เขามองไปรอบตัวที่เริ่มมืดสนิทมีเพียงแสงไฟสลัวที่ลอดผ่านบานหน้าต่างบางบานที่ปิดไม่สนิทเท่านั้น เขารีบเข้าไปหยิบของที่ลืมเอาไว้ ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อหันกลับหลังมาพบกับนภัทรที่ยืนอยู่

   “นายมาทำอะไรน่ะ” นภัทรถามขึ้นมาก่อน เด็กหนุ่มมองวิศรุตที่กำลังถอนใจเฮือกใหญ่เพราะนึกว่าใครที่มาลับๆล่อๆอยู่ด้านหลังตน ที่แท้ก็นภัทรนี่เอง วิศรุตชูแผ่นดิสก์ให้อีกฝ่ายดูแล้วบอกว่าลืมทิ้งไว้ก็เลยกลับมาเอา ก่อนจะย้อนถามบ้างว่า
นภัทรก็ลืมของเหมือนกันเหรอ?

   “เปล่าหรอก พอดีว่าฉันอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะหินริมสนามแล้วบังเอิญเห็นบางคนกำลังแอบปีนประตูหลังโรงเรียนเข้ามาน่ะสิ ฉันก็เลยตามมาดูก็เท่านั้น”

   “ทำตัวได้สมกับการเป็นกรรมการนักเรียนจริงๆ” นภัทรวางหน้าเฉยกับคำค่อนขอดของวิศรุตก่อนจะเก็บหนังสือเรียนแล้วเดินนำออกไปจากห้อง วิศรุตเองก็รีบยัดแผ่นดิสก์เข้ากระเป๋าทันทีก่อนจะรีบตามออกไปเพราะไม่อยากถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในที่แบบนี้

   วิศรุตวิ่งตามนภัทรลงมายังชั้นหนึ่งก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกำลังยืนคิ้วขมวดอยู่ตรงบานประตูหน้าตึก ดูจากท่าทางของนภัทรเขาก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขากับนภัทรโดนขังอยู่ภายในตึกเรียนเสียแล้ว ยามคงคิดว่าไม่มีใครอยู่บนตึกแล้วก็เลยมาล็อคอาคารเรียนเพื่อกันขโมย แต่เขาและนภัทรกลับโชคร้ายที่ถูกขังแบบไม่รู้ตัวเช่นนี้  ตอนนี้วิศรุตอยากจะบ้าตายขึ้นมาจริงๆ  ถ้าไม่ติดเรื่องรายงานที่ต้องส่งพรุ่งนี้เขาคงจะนึกดีใจไม่น้อยที่ตัวเองได้ใกล้ชิดแบบสองต่อสองอย่างนี้กับนภัทร เขาลองใช้สองมือดันประตูกระจกอย่างแรงแต่ว่ามันถูกล็อคเอาไว้ สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ก็เลยลงเอยด้วยการทุบกระจกระบายอารมณ์แทน

   “ต่อให้นายทุบจนกระจกแตกเราก็ออกไปไม่ได้อยู่ดีนั่นแหล่ะ ไม่เห็นเหรอว่าเขาล็อคประตูเหล็กด้านนอกทับอีกชั้นหนึ่ง” วิศรุตหยุดทุบกระจกแล้วหันมาพูดกับนภัทรที่ไม่มีท่าทีเดือดร้อนให้เห็น

   “นายก็ทำอะไรบ้างสิ ฉันไม่อยากโดนขังที่ตึกนี่จนถึงเช้าหรอกนะ ฉันยังต้องรีบกลับไปแก้รายงานให้เสร็จทันพรุ่งนี้”

   “พรุ่งนี้ก็ยังต้องสอบอีก ฉันก็อยากกลับบ้านไปอ่านหนังสือเหมือนกัน ไม่ได้นึกพิศวาสอยากจะโดนขังรวมกับนายหรอกนะ” คำพูดของนภัทรทำให้วิศรุตเบ้ปากอย่างหมันไส้ก่อนที่อีกฝ่ายจะนึกขึ้นมาได้ว่าควรจะโทรหาให้ยามเอากุญแจมาเปิดตึกให้ “นายเอามือถือมาหรือเปล่า จะได้โทรตามยามให้มาเปิดประตูให้เรา” นภัทรถามคนข้างๆเพราะมือถือของตนเองลืมทิ้งเอาไว้ในกระเป๋าเป้ ตอนตามวิศรุตขึ้นมาที่ตึกเรียนเขาไม่ได้เอาเป้ติดมาด้วย

   เมื่อเห็นทางรอดรำไร วิศรุตก็รีบล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง พอกดเบอร์ยามจะโทรออก มือถือเจ้ากรรมกลับดับเพราะแบตหมดไปเสียอย่างนั้น

   “บ้าชิบ!” เขาสบถออกมาอย่างขัดใจก่อนจะหย่อนมือถือที่ใช้การอะไรไม่ได้แล้วตอนนี้ลงกระเป๋ากางเกงตามเดิม นภัทรเองก็ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง เด็กหนุ่มมองนาฬิกาที่ติดอยู่ริมผนัง เวลาเลยมาถึงเกือบสามทุ่มแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าใดก็ย่อมหมายถึงเวลาในการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบในวันพรุ่งนี้ของเขาสั้นลงเท่านั้น นภัทรหันมองวิศรุต ฝ่ายนั้นคงเริ่มเหนี่อยจากการทุบกระจกเป็นเวลานานก็เลยทรุดตัวลงนั่งที่ริมขอบประตูนั่นเอง ส่วนเขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรได้ดีกว่าวิศรุตนัก สุดท้ายแล้วก็ต้องมานั่งพิงประตูด้วยความเซ็งเหมือนกับอีกฝ่าย

   “นายอยากสอบเข้าเรียนต่อที่ไหน” จู่ๆวิศรุตก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน ไหนๆก็ต้องติดอยู่ที่นี่ไปไหนไม่ได้อีกแล้ว คงจะดีหน่อยถ้าไม่ต้องทนนั่งเงียบวังเวงกันอยู่แบบนี้ คนถูกถามเองก็ลังเลเล็กน้อยก่อนจะยอมบอก

   “ศิริราช”

   “หมอเหรอ ทำไมถึงอยากเป็นล่ะ” อันที่จริงวิศรุตไม่ค่อยแปลกใจที่นภัทรคิดจะเลือกคณะนี้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีผลการเรียนดีเยี่ยมมาตลอดและยิ่งเก่งมากในวิชาทางสายวิทย์โดยเฉพาะชีววิทยา ซึ่งแตกต่างจากเขาสิ้นเชิง ถ้าหากนภัทรคิดจะเรียนต่อทางสายนี้จริงๆก็คงจะไม่ยากเกินความสามารถของคนตรงหน้านัก อนาคตคงได้เห็นคุณหมอคนเก่งที่ชื่อนภัทร อิสรีย์ แต่สิ่งที่เขาอยากรู้มากกว่านั้นก็คือสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายอยากเรียนหมอต่างหาก

   คำถามของวิศรุตทำให้ดวงตาสีถ่านไหววูบเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะเลี่ยงไม่ตอบคำถามนั้นเสียดื้อๆด้วยการย้อนถามวิศรุตด้วยคำถามเดิมที่อีกฝ่ายถามเขา วิศรุตมองหน้าคู่สนทนาก่อนตัดสินใจบอกเรื่องที่ตนต้องไปเรียนต่อที่เมืองนอกให้นภัทรรู้

   “ฉันจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ”

   “อ้อ ลืมไปว่าบ้านนายรวย ลูกเศรษฐีอย่างนายก็คงหนีไม่พ้นการไปเรียนต่อเมืองนอกสินะ” วิศรุตสะอึกกับคำพูดของนภัทร ถ้าเลือกได้เขาเองก็ไม่อยากไปนักหรอก “ทำไมนายไม่เรียนตรีที่ไทยก่อนล่ะ แล้วไปต่อโทก็ได้นี่นา?” นภัทรก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของวิศรุตด้วยทั้งที่เขาออกจะไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายแท้ๆเลยเชียว การที่ฝ่ายนั้นไปให้ไกลจากเขาเสียได้ก็สมควรเป็นเรื่องที่น่ายินดีถึงจะถูก แต่คำพูดถัดมาของวิศรุตก็ทำให้เขาถึงกับอึ้งไป

   “ฉันไม่ได้ไปตอนจบม.หกหรอก ฉันจะต้องไปในวันมะรืนนี้แล้ว ทันทีที่สอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ฉันก็จะบินไปอังกฤษเลย” วิศรุตมองไม่เห็นสีหน้าของนภัทรตอนนี้เพราะว่ามันสลัวไปหมด เขาจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแสดงออกทางสีหน้าเช่นไร คงจะนึกยินดีที่เขาไปเสียได้ล่ะมั๊ง 

   “ทำไมถึงเร็วแบบนี้” นภัทรเสียงเบาราวกับกระซิบแต่ว่าเขาก็ยังได้ยินชัดเจน แต่เขาไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อเลย นภัทรพูดเหมือนว่าไม่อยากให้เขาไป

   “นายคงคิดถึงฉันแย่เลย ไม่มีคนมาคอยกวนประสาทนายแล้ว ต่อจากนี้ไปนายก็คงเหงาน่าดูเลยล่ะ” ในใจของวิศรุตแอบภาวนาให้นภัทรตอบว่าใช่หรือว่าพูดอะไรก็ตามที่แสดงว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เขาไป แต่จนแล้วจนรอดนภัทรก็ยังคงเงียบเช่นเดิม คาดเดาไม่ได้เลยว่าฝ่ายนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าเขาบอกชอบนภัทรในตอนนี้ อีกฝ่ายจะว่าอย่างไรบ้างนะ ตอนนี้มีเพียงแค่เขากับนภัทรเท่านั้น ถ้าเกิดฝ่ายนั้นให้คำตอบที่เขากลัวมาตลอดแล้วเขาจะยังสู้หน้าอีกฝ่ายได้อีกเหรอ วิศรุตได้แต่ถามตัวเองในใจอยู่อย่างนั้น

   “ฉันมีเรื่องอยากจะบอกนาย” ปากของวิศรุตไวกว่าความคิดเสียอีก เมื่อสติรู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกมา มือของเขาก็เย็นเฉียบด้วยความตื่นเต้น ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยบอกรักใคร นอกจากคนในครอบครัวแล้ว นภัทรก็ถือเป็นคนแรก ทั้งที่ปกติเขาจะเป็นฝ่ายถูกบอกรักจากคนอื่นเสมอ

   สีหน้านภัทรตอนนี้คงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม อีกฝ่ายหยุดฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูด วิศรุตบอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไรที่เขาจะต้องลังเลอีกต่อไปแล้ว

   “ฉัน...เอ้อ ฉันชอ...”

   “ฉันนึกออกแล้ว” จู่ๆนภัทรก็พูดขัดขึ้นมา สีหน้าฝ่ายนั้นกำลังยินดีเหมือนกับว่าคิดอะไรออก เขามารู้สึกตัวอีกทีก็ถูกลากให้ออกวิ่งตามฝ่ายนั้นไปชั้นสองเสียแล้ว

   “เดี๋ยวก่อน นายจะทำอะไรน่ะ” เขาหอบเล็กน้อยเมื่อวิ่งตามนภัทรขึ้นมาถึงชั้นสองของตึก คนที่ถูกถามไม่ยอมตอบแต่กลับรีบวิ่งเข้าไปในห้องเรียนที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วผลักหน้าต่างที่ปิดสนิทไว้ให้เปิดออก วิศรุตก็เลยพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร “อย่าบอกนะว่าจะให้โดดลงไปน่ะ”

   “ใช่ กระโดดจากชั้นสองไม่ตายหรอก อีกอย่างห้องนี้ก็อยู่ติดกับสนามหญ้าพอดี รับรองว่านายไปอังกฤษอย่างอาการครบสามสิบสองแน่” เขาก้มมองจากหน้าต่างลงไปเบื้องล่าง แม้ว่าห้องนี้จะอยู่ชั้นสองแต่ก็สูงไม่ใช่เล่น เขาไม่มั่นใจอย่างที่อีกฝ่ายพูดเลยว่า
กระโดดลงไปแล้วจะปลอดภัยหายห่วงแม้ว่าจะมีพื้นหญ้านุ่มๆช่วยรองรับกันกระแทกก็ตาม

 เมื่อเห็นวิศรุตเกิดอาการลังเล นภัทรก็รีบพูดดักคอก่อน “กับการแค่โดดจากชั้นสองก็ไม่กล้า แล้วทำไมถึงกล้าไปจัดการกับพวกนักเลงตั้ง4-5คนจนหมอบได้ล่ะ”

 วิศรุตหันมามองอีกฝ่ายทันทีแล้วก็คิดว่าคงเป็นพงศธรที่เล่าเรื่องนี้ให้นภัทรฟัง เขากลืนน้ำลายเล็กน้อยก่อน
บอกว่าเขาเองก็ไม่ได้กลัวเสียหน่อย

   “ถ้าอย่างนั้นฉันโดดลงไปก่อนแล้วกัน” นภัทรปีนกรอบหน้าต่างแล้วกระโดดลงไปทันที ฝ่ายนั้นเป็นนักกีฬาอยู่แล้วก็ย่อมรู้จักวิธีกระโดดแบบผ่อนแรงให้สมดุล ดังนั้นการกระโดดจากชั้นสองจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากนักสำหรับคนอย่างนภัทร เมื่อยืนบนพื้นได้อย่างมั่นคงแล้ว นภัทรก็ให้สัญญาณกับวิศรุตให้กระโดดลงมาได้เลย ฝ่ายวิศรุตก็ลังเลเล็กน้อยแต่เมื่อนึกถึงรายงานที่ยังไม่เสร็จก็ตัดสินใจยอมใช้วิธีของนภัทร

   

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่3
«ตอบ #6 เมื่อ30-07-2012 12:35:11 »


จังหวะที่กระโดดลงมา วิศรุตลงมาผิดท่าจากปกติที่ต้องเอาขาลง เด็กหนุ่มกลับเอาหน้าท้องลงปะทะพื้น  นภัทรที่มองอยู่ก็ตกใจ ด้วยสัญชาตญาณจึงรีบถลาเข้าไปหาวิศรุตทันทีก่อนที่ร่างของอีกฝ่ายจะถึงพื้นเพียงนิดเดียว แรงจากการเข้าไปช่วยรับร่างของอีกฝ่ายทำให้นภัทรตัวเซก่อนจะล้มลงไปนอนกับพื้นหญ้าพร้อมคนในอ้อมแขนในท่าที่เขาถูกวิศรุตนอนทาบทับอยู่ด้านบน

   วิศรุตเองก็ตกใจไม่น้อยที่นภัทรเอาตัวเองมาช่วยรับเขาไว้ เขามองสบตานภัทรพอดีกับอีกฝ่ายที่มองมาด้วยแววตาสับสนยากจะอ่านได้ นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้ใกล้ชิดกับนภัทรชนิดถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ถ้านับครั้งแรกในห้องกรรมการนักเรียน โครงหน้าของนภัทรมีเค้าของความหล่อแบบคมคายแฝงอยู่ คิ้วเข้มสีดำสนิทรับกับดวงตาสีถ่านช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับคนตรงหน้ายิ่งขึ้นไปอีก แค่คิดถึงตอนนี้วิศรุตก็รู้สึกว่าเขาเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว

   “นภัทร ฉันชอบนาย” คนถูกบอกชอบอึ้งไปนานหลายวินาทีก่อนจะผลักร่างของวิศรุตที่คร่อมตัวเองออกอย่างแรงแล้วก็ลุกขึ้นยืนทันที เขามองหน้าวิศรุตเหมือนกับว่าไม่เคยรู้จักฝ่ายนั้นมาก่อนในชีวิต คนตรงหน้าเขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆที่พูดอะไรออกมาแบบนี้ นภัทรได้แต่ยืนลูบหน้าแบบทำอะไรไม่ถูก เขาไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะถูกบอกรักในสถานการณ์แบบนี้และยิ่งคำบอกรักนั้นออกมาจากปากคนที่เขาไม่เคยให้ความรู้สึกที่ดีด้วยเลยอย่างวิศรุต อีกทั้งฝ่ายนั้นยังเป็นผู้ชายเหมือนกับเขา

   นภัทรเดินตัวชาไปหยิบกระเป๋าเป้ที่ทิ้งไว้ที่โต๊ะหินริมสนาม สมองของเขากำลังตื้อไปหมดและคิดอะไรไม่ออกแล้วในตอนนี้ เด็กหนุ่มรู้แต่เพียงว่าเขาอยากหนีไปให้พ้นจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ สองเท้าของเขาก้าวยาวๆเพื่อต้องการจะไปให้พ้นจากสายตาคนตรงหน้าแต่วิศรุตก็ยังรั้งเขาไว้

   “ฉันรู้ว่านายรังเกียจฉันมาก รู้ว่านายไม่ใช่คนที่ชอบเพศเดียวกันแบบฉัน รู้ว่านายคงเบื่อและอึดอัดที่ต้องมารับมือกับนิสัยร้ายกาจที่ฉันชอบแสดงใส่นายอยู่เสมอ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ฉันชอบนายมาตลอดตั้งแต่ม.หนึ่ง แม้จะผ่านมาห้าปีแล้วแต่ฉันก็ยังคงชอบนาย ได้ยินไหมนภัทร...ฉันชอบนาย” ท้ายประโยควิศรุตตะโกนจนเสียงสั่นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน จากดวงตาโศกสีน้ำตาล อีกครั้งแล้วที่เขาต้องมาร้องไห้เพราะคนอย่างนภัทร แต่ฝ่ายนั้นก็ยังคงไม่หันมาอยู่ดี วิศรุตจึงได้แต่มองตามแผ่นหลังเหยียดตรงของนภัทรค่อยๆเดินห่างไปเรื่อยๆจนลับสายตาด้วยแววตาที่ฉ่ำน้ำ




   คืนนี้นภัทรไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเลย ใจของเขาวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องที่วิศรุตพูด จะเป็นไปได้เหรอที่ฝ่ายนั้นจะพูดเรื่องจริง คนอย่างวิศรุต ทัดเทวาจะหาสักกี่คนมาเป็นคู่ควงก็ย่อมได้แต่ทำไมฝ่ายนั้นถึงมาชอบเขาล่ะ? แถมชอบมานานถึงห้าปี เขาเองไม่ได้มีอะไรที่น่าจะเป็นที่ถูกใจของวิศรุตเลยและที่สำคัญคือเขาไม่ได้ชอบผู้ชายด้วย เรื่องวันนี้รบกวนใจของนภัทรจนทำให้เขาไม่สามารถทนอ่านหนังสือต่อได้อีกแล้วแม้ว่าพรุ่งนี้จะต้องสอบก็ตาม นภัทรมองรูปถ่ายที่ใส่กรอบอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือของเขา มันเป็นรูปที่เขาเคยถ่ายคู่กับน้ำหวานซึ่งเป็นแฟนคนแรกตอนสมัยยังเรียนอยู่ม.ต้น แม้ว่าเรื่องของเขากับน้ำหวานจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังลืมเธอไม่ได้อยู่ดี นภัทรไล้ปลายนิ้วไปตามรูปถ่ายของน้ำหวานด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นในใจจนพูดไม่ออก

   “ฉันควรจะทำอย่างไรดี” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆซักพักก่อนจะตัดสินใจปิดโคมไฟบนโต๊ะอ่านหนังสือแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง เรื่องของเขากับวิศรุตมันไม่มีทางเป็นจริงได้เพราะเขาไม่ได้รู้สึกพิเศษกับฝ่ายนั้นเลย แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ถึงขั้นเกลียดฝ่ายนั้นแบบเมื่อก่อนแล้วก็ตามเพราะได้รับรู้ว่าวิศรุตก็มีด้านดีๆบ้างจากคำบอกเล่าของพงศธรที่อีกฝ่ายยื่นมือเข้าช่วยเพื่อนของเขาเอาไว้ไม่ให้ถูกพวกนักเลงทวงหนี้ทำร้าย แต่เขาก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เวลาเจอกับวิศรุตเขาควรจะทำหน้ายังไง ควรจะมองฝ่ายนั้นด้วยสายตาแบบไหน เขาไม่ใช่คนที่ชอบทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นนักถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แต่เรื่องของวิศรุตเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องทำแบบนี้ อีกสองวันวิศรุตก็ต้องไปเมืองนอกแล้ว ปล่อยให้เรื่องนี้จบไปแบบเงียบๆดีกว่า อันที่จริงเขาคิดว่ามันไม่สมควรจะเริ่มตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ


จบบทที่3

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่4
«ตอบ #7 เมื่อ30-07-2012 12:37:20 »

บทที่ 4


   วันสอบวันที่สองก็ผ่านไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น วิศรุตสังเกตว่านภัทรเอาแต่หลบหน้าเขาตลอด ฝ่ายนั้นพยายามเลี่ยงเขาในทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากัน ตั้งแต่เขาบอกชอบฝ่ายนั้นไปเมื่อคืนวานทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย ก่อนเขาจะต้องไปพรุ่งนี้ เขาอยากมีโอกาสพูดคุยกับนภัทรอีกซักครั้ง แค่ครั้งเดียวก็ยังดี แต่ดูเหมือนว่านภัทรจะไม่ให้โอกาสเขาเลย

   และแล้ววันสอบวันสุดท้ายก็มาถึง วิศรุตทานอาหารเช้าด้วยอาการเฉยชาจนศรารัตน์ค่อนขอดเขาว่าทำหน้าอย่างกับผีตายซาก วันนี้เขาไม่มีอารมณ์ทะเลาะกับน้องสาวนักจึงเลี่ยงที่จะต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายอย่างที่ทำเป็นประจำ ของและเอกสารสำคัญของเขาถูกส่งไปที่อังกฤษตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อน วันนี้ตอนออกเดินทางจึงไม่ต้องเตรียมอะไรมากนักเพราะว่าแม่ของเขาจัดการไว้หมดแล้ว ศรารัตน์มีท่าทางดีใจที่จะได้ไปเรียนต่อและใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกต่างกับเขาที่ไม่ได้อยากจะไปเลยสักนิดแม้ว่าการไปคราวนี้อาจจะช่วยทำให้เขาลืมคนบางคนได้ก็ตาม

   วิศรุตมาถึงโรงเรียนก่อนเวลาเข้าสอบนิดเดียว เขาเห็นนภัทรกำลังเดินเข้าห้องสอบไปพร้อมกับพงศธร เขาเหม่ออยู่อย่างนั้นจนภาณุมาตบหลังเขาบอกว่าได้เวลาเข้าห้องแล้ว เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมาถึงการสอบวิชาสุดท้ายของวันและเป็นการสอบวิชาสุดท้ายก่อนที่เขาและเพื่อนๆจะเลื่อนขั้นเป็นนักเรียนชั้นม.หกด้วย วิชาที่สอบคือภาษาอังกฤษซึ่งเป็นวิชาที่เขาถนัดที่สุด แต่วันนี้เขากลับทำอย่างเลื่อนลอยแบบขอผ่านไปที สายตาของเขามักจะมองไปยังนภัทรซึ่งนั่งสอบอยู่ไกลจากที่นั่งของเขาหลายแถว วิศรุตอยากจะนั่งมองอย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆแม้ว่านภัทรจะไม่เคยหันมาก็ตาม เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เหลืออีกครึ่งชั่วโมงก่อนจะหมดเวลาสอบ เขาตัดสินใจที่จะส่งข้อสอบก่อนเป็นคนแรกของห้อง หลังจากส่งเสร็จแล้วอาจารย์ก็อนุญาตให้ออกจากห้องสอบได้ เขารู้สึกว่าตัวเองก้าวขาเหมือนกับคนไม่มีแรง เขาเดินผ่านนภัทรที่กำลังนั่งทำข้อสอบอยู่ ฝ่ายนั้นไม่สบตาเขาแต่กลับก้มหน้านิ่งเหมือนจะเพ่งมองให้กระดาษข้อสอบภาษาอังกฤษมันทะลุเสียอย่างนั้น วิศรุตเม้มปากแน่นก่อนเอ่ยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน

   “ลาก่อน”





   วิศรุตเดินไปตามทางเดินของตึกที่เงียบสนิทเพราะยังไม่หมดเวลาสอบ เขาอยากให้ทางเดินนี้ทอดยาวแบบไม่มีวันสิ้นสุด เขาจะได้ไม่ต้องหยุดเดินเมื่อมาจนสุดทาง เขาเดินลงบันไดมายังชั้นหนึ่งซึ่งเป็นบริเวณสำหรับวางกระเป๋านักเรียนเพราะอาจารย์ไม่อนุญาตให้นักเรียนนำกระเป๋าเข้าไปในห้องสอบได้เหมือนอย่างคาบเรียนปกติ เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาถือไว้ก่อนตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง

   เขาหาเศษกระดาษเปล่าภายในกระเป๋าแต่ก็คิดได้ว่าวันนี้เขาไม่ได้พกอะไรมาเลยนอกจากเครื่องเขียนและหนังสือเรียนภาษาอังกฤษ วิศรุตตัดสินใจฉีกหนังสือเรียนออกมาหน้าหนึ่งก่อนจะใช้ปากกาเมจิกเขียนบางอย่างลงไปในกระดาษแผ่นนั้นแล้วเอาไปใส่ไว้ในเป้ของนภัทร อีกฝ่ายคงเห็นมันตอนที่เขาอยู่บนเครื่องบินแล้ว

   “ไอ้วิน...ไอ้วิน” เสียงภาณุที่เรียกทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ เพื่อนสนิทของเขาวิ่งหน้าตื่นมาหา เหงื่อบนใบหน้าบ่งบอกว่าอีกฝ่ายคงต้องรีบวิ่งมาอย่างแน่นอน “ใจคอแกจะไม่รอฉันเลยเหรอวะ? แกจะไปเงียบๆแบบไม่ร่ำลาฉันเลยเหรอไง” ภาณุอดน้อยใจไม่ได้ ตอนที่เขาเห็นวิศรุตลุกไปส่งข้อสอบกับอาจารย์ เขายังเหลืออีกหลายข้อที่ยังไม่ได้ทำจึงรีบเร่งมือให้เสร็จเท่าที่จะทำได้ ทำถูกบ้างผิดบ้างก็ไม่เป็นไรเพราะสอบตกก็แค่มาสอบซ่อมก็เท่านั้น แต่เขาอยากจะมาส่งวิศรุตให้ทันมากกว่า “นายต้องไปเมื่อไหร่ แล้วจะไปยังไงล่ะ” ภาณุถามแบบไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เมื่อคืนเขาเตรียมคำพูดซึ้งๆไว้มากมายแต่พอมาตอนนี้กลับนึกไม่อย่างสักอย่างเดียว

   “ฉันโทรบอกให้รถที่บ้านมารับแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง” วิศรุตเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ภาณุเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเขา เป็นคนที่รับตัวตนแท้จริงของเขาได้ เป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆเขาเวลาที่เขาเสียใจ เป็นคนที่ยิ้มดีใจไปกับเขาเวลาที่มีความสุข และที่สำคัญภาณุเป็นที่ปรึกษาและรับรู้เรื่องราวทุกอย่างระหว่างเขากับนภัทร




   ที่จริงนภัทรทำข้อสอบเสร็จตั้งนานแล้ว เสร็จพอดีที่วิศรุตเดินผ่านหน้าเขาไป แต่เขาเลือกที่จะนั่งอยู่อย่างนั้นไม่ยอมส่งข้อสอบเสียที เขาไม่กล้าออกไปเผชิญหน้ากับฝ่ายนั้นจึงเลือกที่จะรอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั่งหมดเวลาสอบ เขาลงมาที่ชั้นหนึ่งพร้อมกับพงศธร ในหูของเขาไม่ได้ฟังเรื่องที่เพื่อนสนิทพูดเลย พงศธรคงกำลังถามเขาและเทียบคำตอบในข้อสอบที่ตอบไปว่าตรงกับเขาบ้างไหม สมองเขาในตอนนี้มึนตื้อไปหมด คำบอกลาสั้นๆของวิศรุตทำให้หัวใจเขากระตุกขึ้นมา แค่คำเพียงสองพยางค์กลับมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขาอย่างมากมาย ลึกๆแล้วใจของเขาคงอาจจะกำลังอาวรณ์กับการจากไปของวิศรุตตามประสาคนเคยอยู่ห้องเดียวกันมาตั้งห้าปีก็เป็นได้

   นภัทรเก็บเครื่องเขียนใส่กระเป๋าเป้ก่อนสายตาจะพลันเห็นของบางอย่างในนั้น มันเป็นกระดาษแผ่นไม่ใหญ่มากนักที่ถูกพับสองทบแล้วสอดเอาไว้ในหนังสือของเขา ถ้าปลายกระดาษไม่แฉลบออกมาเล็กน้อยจากปกหนังสือเขาก็คงจะไม่ทันสังเกตเห็น นภัทรดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมาแล้วคลี่ออกดู ในกระดาษนั้นมีข้อความสั้นๆที่ถูกเขียนด้วยเมจิกสีดำว่า ‘ขอโทษ’เพียงคำเดียวเท่านั้น นภัทรรู้ได้ทันทีว่าใครเป็นคนเอามายัดใส่ในเป้ของเขา...วิศรุต

   รู้ตัวอีกทีนภัทรก็พบว่าสองขาของตัวเองกำลังวิ่งออกจากตึกเรียน เขาวิ่งไปทั่วโรงเรียนอย่างคนบ้า นภัทรเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเป็นแบบนี้ได้ทั้งที่ปกติเขาจะเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้เก่ง แต่ตอนนี้เขาอยากเจอวิศรุตเหลือเกิน คำว่าขอโทษสั้นๆที่อีกฝ่ายเขียนใส่กระดาษให้เขามันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกของคนที่เขียนจนเขารู้สึกได้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าวิศรุตต้องการจะสื่ออะไร ถ้าเดาไม่ผิดฝ่ายนั้นคงต้องการขอโทษในทุกเรื่องที่เคยทำไว้กับเขา ทั้งยั่วโมโหที่ห้องสมุด เรื่องน่าอับอายที่ห้องกรรมการนักเรียน รวมถึงเรื่องที่สนามหญ้าคืนนั้นด้วย ยิ่งคิดนภัทรก็ยิ่งเร่งฝีเท้า เขานอนคิดทั้งคืนในเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองและวิศรุต ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถตอบสนองความรู้สึกแบบเดียวกันคืนกลับให้วิศรุตได้ แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยให้ทุกอย่างมันค้างคาแบบหาทางออกไม่ได้เช่นนี้ เรื่องของเขากับฝ่ายนั้นควรจะกลายเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำที่มีค่าในช่วงชีวิตม.ปลายของทั้งเขาและวิศรุต  เขาไม่อยากต้องมาเสียใจทีหลังเหมือนกับเรื่องของน้ำหวานอีกแล้ว

   “ไอ้กานต์ แกจะรีบไปไหนวะ” พงศธรวิ่งตามมาดึงแขนเขาเอาไว้ สีหน้าอีกฝ่ายเหนื่อยหอบเพราะต้องไล่ฝีเท้าวิ่งตามเขามาติดๆ

“เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย”

   “ไอ้พงษ์ แกเห็นวิศรุตรึเปล่า” นภัทรถามออกไปแม้ว่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว พงศธรจะเห็นวิศรุตได้อย่างไรในเมื่อคนตรงหน้าอยู่กับเขาตลอดเวลาและแล้วคำตอบก็เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ เขาเริ่มหมดหวังเพราะไม่รู้ว่าจะไปหาวิศรุตได้ที่ไหนดี ใจหนึ่งก็กลัวว่าฝ่ายนั้นจะเดินทางไปสนามบินแล้ว

“เอ้อ วิศรุตอาจจะอยู่ที่อาคารจอดรถใกล้ๆนี้ก็ได้ หมอนั่นชอบจอดรถไว้ที่นั่นประจำ”พงศธรคาดเดาเพราะนึกขึ้นได้ว่าวิศรุตเคยบังเอิญช่วยตนเอาไว้ตอนที่ถูกพวกนักเลงมาตามทวงหนี้ที่ลานจอดรถ แต่ตอนนี้นภัทรวิ่งไปแล้ว พงศธรเองก็ได้แต่งงว่าทำไมเพื่อนของตนต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วย เด็กหนุ่มส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจอาการของเพื่อนสนิทก่อนจะหันหลังเดินกลับไปเอาของที่ทิ้งเอาไว้ตอนวิ่งไล่ตามนภัทรมา

ตอนเดินผ่านประตูโรงเรียนพงศธรก็บังเอิญเห็นภาณุกำลังพูดอะไรบางอย่างกับอีกคนอยู่ พอดีภาณุยืนบังอีกฝ่ายเอาไว้พงศธรก็เลยไม่เห็นว่าภาณุกำลังพูดอยู่กับใคร แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นวิศรุตเพราะจำเจ้ารถยุโรปราคาแพงของเพื่อนร่วมห้องคนนี้ได้แม่นเลยทีเดียว “นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย?” พงศธรบ่นในลำคอเพราะตัวเองเพิ่งบอกนภัทรไปว่าวิศรุตน่าจะอยู่ที่อาคารจอดรถแต่ทำไมฝ่ายนั้นกลับมาอยู่ตรงหน้าเขาได้ล่ะเนี่ย

   เมื่อนึกได้ว่านภัทรมีท่าทางรีบร้อนต้องการหาวิศรุตอาจจะมีเรื่องสำคัญบางอย่างก็ได้ พงศธรจึงรีบโทรศัพท์ไปหาเพื่อนสนิททันทีเพราะดูท่าทางวิศรุตใกล้จะขึ้นรถที่มารอรับหน้าประตูโรงเรียนเต็มทีแล้ว




   “ฉันไปก่อนนะเว้ย” วิศรุตบอกลาภาณุเป็นครั้งสุดท้าย เขาไม่อยากยื้อเวลาอีกแล้วเพราะถึงยังไงก็ต้องไปอยู่ดีเพียงแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

   “เดินทางดีๆนะ นายกลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่ก็มาเยี่ยมกันบ้าง” ภาณุกอดลาเพื่อนสนิทพร้อมตบหลังอีกฝ่ายเบาๆอย่างให้กำลังใจในทุกเรื่องเหมือนอย่างที่เขาชอบทำประจำ ฝ่ายวิศรุตเองก็กอดตอบอีกฝ่ายแนบแน่น ในใจรู้สึกขอบคุณและสัมผัสได้ถึงมิตรภาพที่เพื่อนคนนี้มีให้เขาเสมอมา วิศรุตผละจากอ้อมแขนของเพื่อนรักก่อนมองไปยังเบื้องหน้าเป็นครั้งสุดท้าย เขาไม่ได้รู้สึกผูกพันกับโรงเรียนนี้มากนักแต่ที่เขารู้สึกอาลัยอาวรณ์นั้นก็คือคนที่อยู่ในโรงเรียนนี้ต่างหาก ไม่มีใครรู้เรื่องที่เขาจะไปเรียนเมืองนอกมากนักยกเว้นอาจารย์ประจำชั้น ภาณุ แล้วก็นภัทร เขาไปเงียบๆแบบนี้แหล่ะดีแล้ว

   วิศรุตลาภาณุอีกสองสามคำก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งยังเบาะหลังของรถ เขาไม่อยากหันไปมองที่ภาณุอีกเพราะกลัวว่าตัวเองจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว เขาเกลียดบรรยากาศการจากลาเป็นที่สุด ยิ่งเป็นการจากคนที่รัก เขายิ่งรู้สึกเกลียด วิศรุตอดไม่ได้ ที่จะเหลียวหน้าไปมองกระจกหลังรถ เขาหวังจะเห็นคนบางคนเป็นครั้งสุดท้ายแต่ก็คงได้แค่หวังเท่านั้นเพราะความหวังของเขามักสวนทางกับความเป็นจริงเสมอ เขาถอนใจบางๆก่อนจะสั่งให้คนขับออกรถได้เลย

   รถคันหรูค่อยๆแล่นออกไปช้าๆและเริ่มเร็วขึ้นตามลำดับ ภาณุคงกำลังโบกมือให้แต่เขาไม่กล้าหันกลับไปอีกแล้ว


“ฉันรู้ว่านายรังเกียจฉันมาก รู้ว่านายไม่ใช่คนที่ชอบเพศเดียวกันแบบฉัน รู้ว่านายคงเบื่อและอึดอัดที่ต้องมารับมือกับนิสัยร้ายกาจที่ฉันชอบแสดงใส่นายอยู่เสมอ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ฉันชอบนายมาตลอดตั้งแต่ม.หนึ่ง แม้จะผ่านมาห้าปีแล้วแต่ฉันก็ยังคงชอบนาย ได้ยินไหมนภัทร...ฉันชอบนาย”


...ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะชอบนายไปได้อีกนานแค่ไหน ฉันไม่รู้เลยจริงๆ...




   นภัทรวิ่งกลับมาที่หน้าประตูโรงเรียนทันทีที่พงศธรโทรไปบอกเขา ในใจตอนนั้นได้แต่ภาวนาขอให้มาทันเวลาพอดี แต่ในที่สุดเขาก็มาไม่ทัน ตอนที่เขาวิ่งมาถึงหน้าประตูโรงเรียน รถของวิศรุตก็แล่นออกไปออกไปจากซอยโรงเรียนพอดี เขามองด้านหลังของรถคันนั้นด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก กระดาษที่วิศรุตเอาไปยัดใส่ไว้ในกระเป๋าเป้ ตอนนี้มันถูกมือของเขากำเอาไว้จนยับยู่ยี่ ถ้าเขาคิดได้เร็วกว่านี้ก็คงจะดี คงจะได้มีโอกาสบอกก่อนที่ฝ่ายนั้นจะไป ฉันยกโทษให้แล้วนะ คำพูดนี้ดังซ้ำไปซ้ำมาในหัวของเขาแต่วิศรุตกลับไม่มีโอกาสได้ยินมัน


จบบทที่4

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่5
«ตอบ #8 เมื่อ30-07-2012 12:40:11 »

บทที่ 5

8ปีต่อมา

   แสงอาทิตย์ที่ส่องลอดเข้ามาในห้องผ่านทางผ้าม่านที่ถูกปิดอย่างไม่สนิทนักทำให้ร่างที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยสีขาวต้องกระตุกเปลือกตาบางเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทราอันยาวนาน ดวงตาคู่สวยมองเห็นเพดานสีขาวเป็นอันดับแรกก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆเลื่อนสายตาไปรอบตัว จากภาพตรงหน้าทำให้ศรารัตน์รู้ว่าตัวเองคงกำลังอยู่ที่โรงพยาบาล เธอจำได้เลือนลางว่าวันนั้นฝนตกหนักมากขณะเธอที่กำลังขับรถกลับจากการดูงานที่ต่างจังหวัด รถของเธอกลับเบรกไม่อยู่และชนต้นไม้ใหญ่ข้างทางจนทำให้เธอหมดสติไป มารู้สึกตัวอีกทีเธอก็มานอนอยู่ที่นี่แล้ว

   “คุณรู้สึกตัวแล้วเหรอคะ” ศรารัตน์หันไปมองพยาบาลสาวที่เปิดประตูห้องเข้ามาพอดี “คุณประสบอุบัติเหตุรถชนอาการสาหัสพอสมควร โชคดีที่มาถึงโรงพยาบาลทันเวลาพอดี คุณหมอก็เลยช่วยชีวิตเอาไว้ได้ทัน คุณรู้ไหมคะว่าคุณน่ะสลบไปถึงห้าวันเต็มๆเลย” ศรารัตน์พยายามพยุงตัวขึ้นจากเตียงแต่ทว่าพอขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกเหมือนเจ็บระบมไปทั้งตัวโดยเฉพาะตรงซี่โครงซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการกระแทกอย่างรุนแรง

   “โอ๊ย” ศรารัตน์อุทานออกมาด้วยความเจ็บก่อนที่นางพยาบาลคนนั้นจะรีบละมือจากการเปิดม่านมาช่วยประคองหญิงสาวให้นอนราบลงไปกับเตียงเหมือนเดิม

   “แผลคุณยังไม่หายดี ช่วงนี้อาจจะเจ็บแผลหน่อย ต้องพักผ่อนเยอะๆนะคะ”

   “มีคนมาหาฉันบ้างหรือเปล่าคะ”ศรารัตน์ถามถึงบรรดาญาติและเพื่อนๆของเธอ ป่านนี้พวกเขาคงจะรู้แล้วว่าเธอประสบอุบัติเหตุ ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาเธอยังไม่เห็นใครเลยนอกจากนางพยาบาลช่างพูดคนนี้

   “ญาติของคุณเพิ่งจะกลับไปไม่นานนี้เองค่ะ จะให้ดิฉันโทรบอกให้ไหมคะว่าคุณรู้สึกตัวแล้ว เอ้อ เขาฝากช่อดอกไม้เอาไว้ด้วยนะคะ” หญิงสาวมองตามสายตาคนพูดไปก็พบว่ามีช่อดอกไม้ช่อโตวางเอาไว้อยู่ที่โต๊ะข้างหัวเตียงจริงๆ ศรารัตน์ขอให้อีกฝ่ายช่วยหยิบการ์ดที่แนบมากับช่อดอกไม้มาให้เธอก่อนจะเปิดออกอ่าน ในนั้นมีข้อความว่าขอให้หายไวๆ ด้วยรักและเป็นห่วง ลงชื่อภาคิน

   ศรารัตน์วางการ์ดเอาไว้ที่เดิมก่อนจะปฎิเสธว่าไม่ต้องโทรบอกญาติของเธอว่าเธอฟื้นแล้วเพราะตอนนี้เธออยากพักผ่อนเงียบๆไม่อยากให้ใครมารบกวน ก่อนที่หญิงสาวจะเริ่มตาปรือและเข้าสู้ห้วงของการนิทราอีกครั้ง ตอนนี้ศรารัตน์ต้องการการพักผ่อนเพื่อพักฟื้นร่างกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หญิงสาวยังไม่อยากพบหน้าใครไม่ว่าจะเป็นวิศรุตผู้เป็นพี่ชายและพ่วงตำแหน่งคู่กัดตลอดกาลของเธอ หรือแม้แต่ภาคิน ญาติผู้พี่ที่เธอรู้ดีว่าเขาต้องการจะเป็นเจ้าของทั้งตัวเธอและทรัพย์สมบัติมหาศาลของตระกูลทัดเทวา





   “แกหายหัวไปไหนมาตั้งแต่เช้า” วันชัยละสายตาจากหนังสือพิมพ์ธุรกิจตรงหน้าแล้วเอ่ยถามลูกชายที่กำลังเดินเข้ามาในห้องรับแขก ภาคินไม่ตอบในทันทีแต่หันไปสั่งกาแฟหนึ่งแก้วจากแม่บ้านก่อนที่จะทรุดลงนั่งเอกเขนกยังโซฟาตัวกว้างกลางห้อง

   “ก็แวะไปทำหน้าที่ของญาติผู้พี่ที่ดีไงครับพ่อ” ภาคินหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะขึ้นมาเปิดอ่านระหว่างที่รอแม่บ้านยกกาแฟมาให้

   “ยัยเด็กนั่นฟื้นหรือยัง” วันชัยหมายถึงศรารัตน์ หลานสาวของตนซึ่งเป็นลูกสาวของคุณวรุต ทัดเทวา นักธุรกิจ
อสังหาฯผู้ร่ำรวยผู้ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของตนที่ตอนนี้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตพร้อมกับภรรยาเมื่อสองปีก่อนที่
ประเทศอังกฤษ

   “ตอนผมไปเธอยังไม่ฟื้นเลยครับ งานนี้ก็เลยไปเก้อเสียเวลาเปล่าเลย”

   “น่าเสียดายที่มันดวงแข็ง ทั้งที่ดูแล้วไม่น่าจะรอดแท้ๆ” วันชัยพูดเสียงต่ำ คำพูดนั้นทำให้ภาคินวางหนังสือพิมพ์ใน
มือลงแล้วหันมองผู้เป็นพ่อทันที

   “อย่าบอกนะครับว่าเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับศราเป็นฝีมือของพ่อ” ผู้เป็นพ่อไม่ตอบแต่ภาคินเดาจากรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมนั้นได้ ชายหนุ่มรู้ว่าวันชัยพ่อของเขาต้องการจะยึดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของตระกูลทัดเทวาต่อจากคุณลุงวรุต แต่ติดอยู่ที่หลานแท้ๆอย่างวิศรุตและศรารัตน์เท่านั้น หลังจากที่กำจัดศรารัตน์ได้ วิศรุตก็คงเป็นรายต่อไป ภาคินแอบดีใจลึกๆที่ศรารัตน์ยังไม่ตาย ถ้าหากว่าผู้หญิงที่ทั้งสวยและรวยอย่างศรารัตน์ต้องมาด่วนตายไปจริงๆเขาคงจะเสียใจไม่น้อยเพราะตัวเองยังไม่ได้หาประโยชน์จากหญิงสาวอย่างเต็มที่เลย อย่างน้อยก็ให้เขาได้มีความสุขกับร่างกายอันสวยงามของเธอก่อน

   “เด็กในบ้านทัดเทวาบอกมาว่าวิศรุตจะกลับมาเมืองไทยเร็วๆนี้” ด้วยความที่วันชัยแอบจ้างเด็กรับใช้บ้านทัดเทวาให้คอยรายงานเรื่องราวในบ้านให้เขาฟัง ทำให้เขารู้ถึงความเคลื่อนไหวของคนในบ้านนั้นได้ไม่ยากเลย และข่าวใหม่ที่เขารู้ก็คือวิศรุต หลายชายเขากำลังจะกลับมาจากอังกฤษในอีกไม่ช้า

   “หึ ก็คงมาเยี่ยมน้องสาวมันล่ะมั๊ง นอนเจ็บเจียนตายแบบนั้นไม่มาเยี่ยมมันก็เกินไปหน่อยเแล้ว” ภาคินพูดแบบนี้เพราะรู้ดีว่าสองพี่น้องคู่นี้ไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก แต่การที่ศรารัตน์เจ็บหนักแบบนี้ เขาไม่เชื่อว่าวิศรุตจะไม่มาดูดำดูดีน้องสาวแท้ๆของตัวเองเลย

   “ฉันก็ว่าอย่างนั้น แต่ไม่แน่ใจว่ากลับมาครั้งนี้มันจะแค่มาเยี่ยมน้องสาวแล้วก็บินกลับอังกฤษหรือเปล่า หรือไม่แน่ว่าอาจจะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวรเลย” จุดประสงค์แท้จริงที่วันชัยห่วงก็คือเขากลัวว่าวิศรุตจะมาขัดมือขัดเท้าเขาในการทำงานที่บริษัทซึ่งตระกูลทัดเทวาเป็นเจ้าของ ที่ซึ่งเขาได้เข้ามานั่งตำแหน่งรองประธานตั้งแต่เมื่อแปดปีก่อน และนับตั้งแต่
วรุตเสียชีวิตไปตำแหน่งประธานกรรมการก็ตกเป็นของวิศรุต ทัดเทวาตามพินัยกรรมของวรุตที่ต้องการจะยกสิทธิ์ในการดูแลบริษัทและหุ้นจำนวนมหาศาลให้กับลูกชายคนเดียวของตน ถึงแม้ว่าศรารัตน์ ผู้เป็นลูกสาวจะได้ส่วนแบ่งในหุ้นบ้างก็ตามแต่ก็ไม่มากเท่ากับที่วิศรุตได้

   “ถ้าพ่อเป็นห่วงว่ามันจะเข้ามายุ่งวุ่นวายในบริษัท ผมว่าพ่อเลิกห่วงเรื่องนี้ดีกว่า พ่อเองก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่าคนอย่างไอ้วินมันเคยสนใจเรื่องอื่นที่ไหนกันนอกจากเรื่องผลาญเงินเที่ยวสนุกไปวันๆ ตราบใดที่เงินมันยังไม่ขาดมือ มันไม่เสนอหน้ามากวนใจพ่อที่บริษัทหรอกครับ” ภาคินรู้ว่าญาติผู้น้องของตนคนนี้ไม่เคยสนใจเรื่องธุรกิจใดๆของทัดเทวาอยู่แล้ว อีกไม่นานก็คงโดนบรรดาผู้บริหารเข้าชื่อกันถอดถอนออกจากตำแหน่งประธานกรรมการเพราะว่าวิศรุตไม่มีผลงานใดๆเลย เป็นเพียงแค่เจ้าของบริษัทในนามเท่านั้น ที่บริษัทในเครือทัดเทวาเจริญรุ่งเรืองอย่างทุกวันนี้ได้ส่วนหนึ่งก็เพราะวันชัยพ่อของเขาและก็ตัวเขาเองที่เข้ามาทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานเพื่อบริษัท ไม่ใช่ใช้ชีวิตเสเพลอยู่เมืองนอกผลาญเงินเล่นไปวันๆอย่างวิศรุต

   คำพูดของภาคินทำให้วันชัยคลายกังวลลงไปบ้าง ที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากใจร้ายกับหลานทั้งคู่อย่างศรารัตน์และวิศรุตเท่าไหร่นัก แต่ถ้าหากวิศรุตเข้ามายุ่มย่ามในเรื่องบางเรื่องจนเกินไป เขาก็คงต้องทำอะไรสักอย่างเหมือนอย่างที่จัดการกับ
ศรารัตน์โทษฐานที่หลานสาวของเขาช่างขุดคุ้ยบัญชีรายรับรายจ่ายของบริษัทเสียเหลือเกิน บางทีคราวนี้วิศรุตอาจจะไม่โชคดีเหมือนอย่างผู้เป็นน้องสาวก็ได้




   ชายหนุ่มร่างสูงในชุดหนังสีดำที่ถอดแบบออกมาจากนิตยสารแฟชั่นต่างประเทศกำลังเดินออกมาจากช่องทางออกของอาคารผู้โดยสารขาเข้า ด้วยบุคลิกที่โดดเด่นจับตาทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจของผู้โดยสารหลายๆคนแถวนั้น ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบตัวก่อนจะมาหยุดที่ชายสูงอายุที่ยืนเยื้องห่างจากเขาไปไม่ไกล วิศรุตถอดแว่นกันแดดสีชาออกเพื่อให้มองได้ชัด เขาจำได้ว่าคนตรงหน้าคือลุงมั่น ข้ารับใช้คนเก่าคนแก่ของบ้านทัดเทวานั่นเอง

   “คุณหนู...คุณหนูใหญ่ของลุงมั่นจริงๆด้วย” ลุงมั่นรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาเขาด้วยความยินดี คุณหนูคนโตของตระกูลทัดเทวาเปลี่ยนไปจากเมื่อแปดปีก่อนมากจนถ้าเขาไม่สังเกตดีๆก็อาจจำอีกฝ่ายไม่ได้
วิศรุตยิ้มกว้างให้ผู้สูงวัยกว่า เขาเองก็คิดถึงลุงมั่นเช่นกันเพราะอีกฝ่ายเป็นเสมือนพี่เลี้ยงที่คอยดูแลเขามาตั้งแต่เกิด เกือบสิบปีที่ไม่ได้เจอกันแต่ลุงมั่นก็ยังคงไม่เปลี่ยนเลยสักนิด

“ในที่สุดคุณหนูก็กลับมา ผมนึกว่าชาตินี้ก่อนตายจะไม่ได้เห็นหน้าคุณหนูใหญ่ของผมเสียแล้ว” วิศรุตเย้าว่าอีกฝ่ายก็พูดเกินไป ก่อนจะตัดบทบอกว่าตนอยากกลับบ้านเต็มแก่แล้ว ลุงมั่นจึงรีบกระวีกระวาดสั่งเด็กรับใช้อีกคนที่มาด้วยกันให้เข้าไปช่วยวิศรุตจัดการกับกระเป๋าใบโตก่อนที่ตนจะเดินนำนายน้อยของตระกูลทัดเทวาไปยังรถที่จอดรอรับอยู่ด้านนอก




   วิศรุตมาถึงบ้านในเวลาไม่นานนัก เขามองบ้านหลังใหญ่โตราวกับคฤหาสน์ของตระกูลทัดเทวาอย่างคิดถึง แปดปีเต็มที่เขาไม่เคยกลับมาเหยียบที่นี่อีกเลยนับตั้งแต่เดินทางไปเรียนต่อและใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษ มันทำให้เมื่อเขาได้กลับมายังบ้านหลังนี้อีกครั้ง ในใจของเขาจึงอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายปะปนกันจนแยกไม่ออก

   “น้องสาวตัวดีของฉันเป็นยังไงบ้าง” วิศรุตถามลุงมั่นหลังจากที่พ่อบ้านชราเข้ามาบอกเขาว่าเตรียมห้องให้เรียบร้อยแล้ว เพราะเรื่องที่ลุงมั่นโทรไปบอกว่าศรารัตน์ประสบอุบัติเหตุทำให้เขาต้องรีบบินกลับมาจากอังกฤษ แม้ว่าเขาและศรารัตน์จะเป็นคู่กัดกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ลึกๆในใจวิศรุตก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงศรารัตน์ผู้เป็นน้องสาวคนเดียวของเขา แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ค่อยอยากนับเขาเป็นพี่ชายนักก็ตาม

   “คุณหนูเล็กปลอดภัยแล้วครับ ทางโรงพยาบาลโทรมาบอกเมื่อตอนสายว่าเธอฟื้นแล้ว คุณหนูจะไปเยี่ยมคุณหนูเล็กตอนนี้เลยหรือเปล่าครับ ผมจะได้บอกให้เด็กเอารถออก” วิศรุตนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าปฎิเสธ ถ้าโรงพยาบาลโทรมาบอกว่าศรารัตน์ฟื้นแล้วเธอก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วล่ะ ขืนเขาทะเล่อทะล่าเข้าไปให้เธอเห็นหน้าตอนนี้มีหวังต้องปะทะฝีปากกันจนอาจทำให้อาการของน้องสาวเขากำเริบก็ได้ ซึ่งลุงมั่นเองก็พยักหน้ารับรู้ก่อนจะเอ่ยขอตัวไปทำงานของตนต่อ

   “เดี๋ยวครับลุงมั่น” วิศรุตเรียกเอาไว้ก่อน เขามีเรื่องอยากจะถามอีกฝ่ายเกี่ยวกับความเป็นไปของบรรดาญาติๆที่ห่างหายกันไปนานโดยเฉพาะคุณวันชัยผู้เป็นอาแท้ๆและภาคิน ญาติผู้พี่ที่เขาไม่ค่อยจะยอมรับนับเป็นญาติเท่าใดนัก

   “คุณวันชัยมาที่นี่บ่อยขึ้นครับนับตั้งแต่คุณท่านทั้งสองจากไปเมื่อสองปีก่อน ส่วนเรื่องที่บริษัท คนแก่อย่างผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่นักแต่ก็พอทราบมาว่าตอนนี้คุณภาคินได้เข้าไปช่วยบริหารงานที่บริษัทในเครือทัดเทวามาได้สักพักแล้วครับ”
วิศรุตส่งเสียงเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะบอกให้ลุงมั่นไปทำงานต่อได้ สิ่งที่สองพ่อลูกนั่นคิดมีเหรอที่เขาจะไม่รู้ นอกจากอยากฮุบกิจการของทัดเทวาทั้งหมดแล้ว บ้านนี้ก็คงเป็นอีกหนึ่งอย่างที่คุณอาของเขาหมายตาไว้ด้วยเพราะมันเป็นคฤหาสน์ที่ตกทอดมาหลายชั่วอายุคนจนกระทั่งถึงรุ่นของพ่อเขาและมันจะตกทอดผ่านทางบุตรชายคนโตของตระกูลทัดเทวาเท่านั้น คุณอาของเขาก็คงจะนึกแค้นใจไม่น้อยที่พี่ชายตัวเองได้รับสมบัติตกทอดมากมายที่ตัวเองไม่เคยได้จากคุณปู่ของเขา ถ้าไม่เป็นเพราะสองพ่อลูกนั่นช่วยกันบริหารงานที่บริษัทจนมีกำไรมหาศาลทุกปี เขาก็คงไม่มีเงินถลุงเล่นราวกับเบี้ยอย่างทุกวันนี้เป็นแน่ แค่นอนตีพุงสบายๆอยู่เมืองนอกก็ได้ส่วนแบ่งเงินปันผลจากหุ้นจำนวนมหาศาลที่พ่อของเขาทิ้งไว้ให้ก่อนตาย ที่สำคัญคือเขาไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย ถ้าเขาไม่นึกถึงประโยชน์ที่ได้รับจากสองพ่อลูกนั่น คนอย่างวิศรุต ทัดเทวาไม่มีทางยอมให้ใครหน้าไหนเข้ามายุ่งวุ่นวายกับบ้านทัดเทวาที่พ่อกับแม่เขารักอย่างเด็ดขาด แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นญาติสนิทอย่างคุณอาวันชัยก็ตาม

   วิศรุตหยุดความคิดเรื่องวันชัยกับภาคินเอาไว้เท่านั้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือมากดเบอร์ที่คุ้นเคย พอปลายสายรับก็กรอกเสียงลงไป

   “แกเหรอไอ้โอม ฉันเองวิศรุต ตอนนี้ฉันกลับถึงเมืองไทยแล้ว”




ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่5
«ตอบ #9 เมื่อ30-07-2012 12:44:58 »

   ภาณุเดินเข้ามาในผับหรูหราที่ตกแต่งอย่างมีระดับย่านใจกลางเมือง ชายหนุ่มปฎิเสธบริกรที่จะนำเขาไปที่โต๊ะโดยบอกว่าตนเองนัดเพื่อนเอาไว้แล้ว ผับแห่งนี้มีนักท่องราตรีเข้ามาใช้บริการไม่มากนักด้วยคงเป็นเพราะค่าบริการที่แพงลิบลิ่วโดยจงใจจำกัดกลุ่มลูกค้าเฉพาะผู้มีอันจะกินเท่านั้น  ภาณุเดินผ่านฟลอร์เต้นรำไปยังโซนบาร์เหล้า ความมืดสลัวตัดกับแสงสปอร์ตไลท์หลากสีทำให้เขาตาพร่าไปเล็กน้อยก่อนจะต้องเพ่งสายตามองหาคนคุ้นเคยอย่างวิศรุต เพื่อนสนิทที่ห่างหายไปนานถึงแปดปีเต็ม

   “ไอ้โอม” น้ำเสียงที่คุ้นเคยเรียกชื่อเขาจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มหันกลับไปมองก่อนจะพบว่าคนที่เรียกคือวิศรุตนั่นเอง

   “เฮ้ย ไอ้วิน”ภาณุยิ้มกว้างก่อนจะรีบเดินเข้าไปกอดไหล่อีกฝ่ายด้วยความคิดถึง วิศรุตดูตัวสูงกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาอยู่แล้วยิ่งโดดเด่นขับเน้นเสน่ห์บุรุษเพศวัยยี่สิบห้าปีเพิ่มขึ้นไปจากแต่ก่อนมาก ถ้าไม่ได้สังเกตให้ดีอาจจะคิดว่าวิศรุตเป็นดาราหนุ่มหล่อที่มาเที่ยวกลางคืนในสถานบันเทิงแห่งนี้ก็ได้

   ฝ่ายวิศรุตเองก็กอดตอบเพื่อนรักด้วยความรู้สึกแบบเดียวกัน เขาไม่ได้เจอภาณุมานานหลายปี เมื่อได้มีโอกาสได้เจอกันก็ย่อมต้องดีใจเป็นธรรมดา เขาดึงภาณุให้นั่งลงที่โซฟาข้างๆตัวเองก่อนจะเรียกบริกรมาเพื่อสั่งเครื่องดื่มอีกแก้วสำหรับผู้มาใหม่

   “แกเป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่าวะ” วิศรุตถามหลังจากที่ภาณุสั่งเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคนที่ถูกถามก็ตอบว่าสบายดีแล้วย้อนถามเจ้าตัวกลับด้วยคำถามเดิม วิศรุตยักไหล่แทนคำตอบก่อนจะบอกว่าเขาเองแม้จะอยู่เมืองนอกแต่ก็ยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆนั่นแหล่ะ ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลยซักนิด คำตอบนี้ทำเอาภาณุส่ายหัวตะหงิดๆที่เพื่อนรักยังไม่ยอมเปลี่ยนนิสัยเดิมสมัยวัยรุ่นเสียทีทั้งที่ตัวเองก็อายุครบเบญจเพสปีนี้แล้ว

   “แล้วนี่แกทำงานอะไรอยู่วะไอ้โอม เป็นสถาปนิคแบบที่แกเคยฝันเอาไว้ตั้งแต่สมัยเรียนหรือว่าเปลี่ยนความฝันใหม่แล้ว”

   “ไอ้สถาปนิคอ่ะเลิกฝันไปตั้งนานแล้วเว้ย ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เลยเบนสายไปเรียนทางด้านบริหารแทน ตอนนี้ก็ช่วยๆงานที่บริษัทอยู่” วิศรุตพยักหน้ารับรู้ ครอบครัวของภาณุมีกิจการส่วนตัวเกี่ยวกับบริษัทออกแบบและจัดทำเครื่องประดับ การที่อีกฝ่ายเปลี่ยนมาเรียนด้านบริหารก็คงจะช่วยงานธุรกิจของทางบ้านได้มากทีเดียว

   “แล้วแกล่ะจบอะไรมา จบจากคณะวิทยาศาสตร์มาหรือเปล่า” คำพูดที่ตั้งใจจะแซวของภาณุในท้ายประโยคทำให้เขาต้องเบ้หน้า อย่างเขาเนี่ยนะจะไปเรียนต่อทางสายวิทยาศาตร์ แค่พวกเคมี ฟิสิกส์ ชีวะที่เรียนสมัยม.ปลาย เขายังเอาตัวไม่ค่อยจะรอดเลย วิศรุตถอนใจเฮือกก่อนจะยอมบอกว่าตนจบทางด้านเศรษฐศาสตร์มา

   “งั้นกลับมาคราวนี้แกคงตั้งใจจะมาช่วยดูแลธุรกิจของทัดเทวาล่ะสิ”

   “เปล่า ที่บริษัทมีญาติฉันช่วยดูแลให้อยู่แล้วแถมดูแลอย่างดีเสียด้วย ก็เลยไม่ต้องเป็นห่วงน่ะ”

   “อย่าบอกนะว่าแกจะทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยเที่ยวลอยชายไปมาแบบนี้น่ะไอ้วิน”

   “ก็เออน่ะสิ ครั้งนี้ฉันไม่ได้กะว่าจะมาอยู่ถาวรเสียหน่อย พอจัดการเรื่องอาการป่วยของยัยน้องสาวคนเก่งเรียบร้อยแล้ว ฉันก็คงกลับอังกฤษเลย” ภาณุอดไม่ได้ที่จะบ่นเสียดาย เพิ่งจะได้เจอกันแต่อีกไม่นานอีกฝ่ายก็ต้องกลับอังกฤษแล้ว ไม่รู้ว่าวิศรุตตั้งใจจะย้ายไปตั้งรกรากที่นั่นตลอดชีวิตเลยหรือเปล่า

   “เอ้อ ว่าแต่เพื่อนเก่าๆเป็นยังไงกันบ้าง ฉันไปอยู่ที่โน่นไม่ได้ติดต่อใครเลย โชคดีนะเนี่ยที่กลับมาเมืองไทยแล้วยังติดต่อกับแกได้ ดีนะที่แกยังไม่เปลี่ยนเบอร์มือถือ”

   “ฉันรู้ว่าสักวันหนึ่งแกต้องโทรมาไง ก็เลยยังใช้เบอร์เดิมอยู่” ภาณุเย้ากลับเล่นๆก่อนจะบอกเล่าถึงข่าวคราวของเพื่อนเก่าๆสมัยเรียนให้วิศรุตฟัง

   “ไอ้ทัดที่แกชอบบอกว่าหน้าเหมือนนักเลงน่ะ ตอนนี้กลายเป็นเสี่ยใหญ่เจ้าของบ่อนแถวปอยเปตแล้วนะเว้ย ส่วนไอ้เอกที่บ้านมันทำเฟอร์นิเจอร์ขาย ตอนนี้ก็แต่งงานมีลูกเรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้ว ได้ข่าวว่าเมียมันโครตสวยเลย แล้วก็ไอ้ปิงที่แกชอบไปล้อมันว่าไอ้หน้าปลิงดูดเลือดอ่ะ เห็นบอกว่าพ่อมันที่เป็นสส.จะส่งมันลงสมัครนักการเมืองท้องถิ่นแถวบ้านนี่แหล่ะ ฉันล่ะคิดหน้ามันไม่ออกเลยว่าเวลาหาเสียงจะทำหน้าแบบปลิงดูดเลือดอีกหรือเปล่า”

วิศรุตหลุดขำคำพูดของภาณุ เขาเป็นคนให้ฉายาปลิงดูดเลือดนี้เองเพราะฝ่ายนั้นชอบทำเป็นหมุนเงินไม่ทันแล้วชอบมาหยิบยืมเงินจากเพื่อนในห้องบ่อยๆทั้งที่ความจริงแล้วต้องการเอาเงินไปแทงโต๊ะบอลนั่นเอง

   “เอ้อ ส่วนไอ้พงศธรป่านนี้ก็คงกลายเป็นวิศวกรหนุ่มไฟแรงอนาคตไกลไปแล้วมั๊ง พวกไอ้ยศที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับมันบอกว่าไอ้นี่เรียนเก่งขั้นเทพ เกือบจะ4.00ทุกเทอม เห็นว่าได้ทุนไปเรียนต่อเมืองนอกด้วย นี่ก็คงจะกลับมาเมืองไทยเร็วๆนี้แล้วแหล่ะ”

 ภาณุพูดถึงพงศธรทำให้เขาพาลนึกถึงอีกคน จากกันไปนานไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นยังไงบ้าง เขาไม่เคยรับรู้การเป็นไปของนภัทรอีกเลยนับตั้งแต่ไปเรียนต่อที่อังกฤษ เรียกให้ถูกก็คือไม่คิดอยากจะรับรู้มากกว่า เขากลัวว่าตัวเองจะย้อนไปคิดถึงเรื่องเก่าๆอีกทั้งที่มันก็ผ่านมานานแล้ว

   “แล้วนภัทรล่ะ เป็นยังไงบ้าง” ปากเจ้ากรรมอดไม่ได้ที่จะถามออกมาในที่สุด ถึงจะปฎิเสธเสียงแข็งว่าไม่อยากรับรู้เพียงใด แต่ลึกๆในใจเขาก็อดยอมรับไม่ได้ว่าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายที่ชื่อ นภัทร อิสรีย์ ยังคงมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขาอย่างมาก ภาณุมองลึกไปในตาสีน้ำตาลโศกของเพื่อนรัก วิศรุตยังไม่ได้ตัดใจจากนภัทรอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆด้วย

   “หมอนั่นไม่เคยกลับมาเยี่ยมที่โรงเรียนอีกเลยหลังจากที่จบม.หก  เห็นไอ้พงศธรเคยพูดว่านภัทรสอบได้ทุนไปเรียนด้านอะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะที่อังกฤษ แต่เจ้าตัวขอสละสิทธิ์แล้วก็เลือกที่จะสอบเข้าแพทย์แทน เห็นว่าได้ที่ศิริราชด้วย นี่ก็ผ่านไปแปดปีแล้ว ป่านนี้ก็คงกลายเป็นหมอเต็มตัวแล้วล่ะ”

ในที่สุดนภัทรก็สอบเข้าศิริราชและได้เป็นหมอสมใจเจ้าตัวแล้ว วิศรุตถอนหายใจบางๆแล้วคิดไปถึงคืนนั้นที่เขาและ นภัทรติดอยู่ในตึกด้วยกัน และวิศรุตคงจะจมอยู่กับความทรงจำในอดีตอีกครั้งถ้าไม่ได้รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ถ่ายทอดจากมือของภาณุที่เอื้อมมาแตะไหล่เขาอย่างเข้าใจความรู้สึกดี

“นายยังชอบนภัทรอยู่ใช่ไหม”

   “ฉันพยายามจะลืม แต่ทำยังไงก็ไม่สำเร็จสักที” คำพูดของวิศรุตทำให้ตอนนี้ภาณุรู้คำตอบในใจของอีกฝ่ายแล้ว




   เช้าวันนี้ภาคินมาทำงานที่บริษัททัดเทวาด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสกว่าปกติ วันนี้จะมีการประชุมบอร์ดผู้บริหารครั้งใหญ่ เขาเชื่อว่าท่านประธานบริษัทที่เป็นแต่เพียงในนามอย่างวิศรุต ทัดเทวาคงจะไม่มาร่วมประชุมแน่ คราวนี้เป็นโอกาสดีที่บรรดาผู้บริหารระดับสูงจะเห็นถึงความไม่เอาถ่านของเพลย์บอยอย่างวิศรุต แล้วเปลี่ยนใจมาสนับสนุนวันชัยพ่อของเขาผู้ซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆของผู้ก่อตั้งบริษัทแห่งนี้ขึ้นเป็นประธานกรรมการแทน

   ภาคินเปิดประตูห้องทำงานที่ติดป้ายเอาไว้ว่าหน้าห้องว่าผู้จัดการฝ่ายการเงินเข้าไปด้านในโดยไม่ได้สนใจเลขาสาวหน้าห้องที่มีท่าทางอึกอักราวกับต้องการจะบอกอะไรบางอย่างกับเจ้านาย

   “มาทำงานเช้าดีนี่ภาคิน”
เจ้าของห้องตกใจเล็กน้อยที่มีแขกไม่ได้รับเชิญมานั่งอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวของตนเอง แถมอีกฝ่ายยังถือวิสาสะเหยียดขามาพาดไขว้กันวางไว้บนโต๊ะทำงานอีกต่างหาก ภาคินซ่อนสีหน้าไม่พอใจเอาไว้ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มแย้มทักทายอีกฝ่าย

   “ได้ข่าวว่านายเพิ่งกลับจากอังกฤษเมื่อวาน พอดีว่าฉันงานยุ่งมากก็เลยไม่ได้ไปเยี่ยมที่บ้าน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

   “นั่นน่ะสิ เจอกันครั้งสุดท้ายก็คงจะตอนที่นายมางานเลี้ยงวันเกิดยัยศราที่บ้านฉันเมื่อแปดปีก่อน แต่เห็นลุงมั่นบอกว่าหลังจากที่ฉันกับศราไปเมืองนอกแล้ว นายกับพ่อก็ยังคงแวะเวียนมาที่บ้านทัดเทวาบ่อยๆ ไม่รู้ว่าติดใจอะไรนักหนา” วิศรุตหันเก้าอี้กลับมาสบตาภาคินอย่างแฝงด้วยความหมายในคำพูดนั้น เขาไม่ได้โง่ถึงขนาดจะดูไม่ออกว่าพ่อลูกคู่นี้กำลังมีจุดประสงค์อะไร บางทีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับศรารัตน์อาจจะไม่ใช่ความบังเอิญก็ได้

   “ฉันกับพ่อก็แค่เข้าไปช่วยดูแลบ้านนั้นให้ตอนที่นายกับศราไม่อยู่ก็เท่านั้นเอง เราเองก็เป็นญาติกันไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันเสียหน่อย”

   “ญาติที่ฉันไม่คิดอยากจะดองด้วยน่ะสิ นายคงจะใช้ชีวิตสุขสบายบนกองเงินกองทองของตระกูลทัดเทวามานานหลายปีจนคงจะลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่ได้มีสายเลือดของทัดเทวาเลยแม้แต่หยดเดียว”คำพูดจี้ใจดำของวิศรุตสะกิดปมด้อยที่อยู่ภายในใจของภาคิน ความจริงที่ว่าชายหนุ่มเป็นเพียงแค่เด็กชายที่คุณวันชัยและคุณพจนีย์ ทัดเทวาขอมาเลี้ยงจากบ้านเด็กกำพร้าเป็นสิ่งที่เขาหนีไม่พ้นแม้ว่าบัดนี้เขาจะอยู่ในฐานะลูกบุญธรรมของทั้งคู่ก็ตาม ภาคินจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาที่แปรเปลี่ยนดุดันก่อนเค้นเสียง

   “นายไม่ควรพูดแบบนี้นะวิศรุต”

   “นายเองก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นใครแล้วฉันน่ะเป็นใคร ทำไมล่ะ รับความจริงไม่ได้เหรอว่าตัวเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทัดเทวาแม้แต่นิดเดียว” วิศรุตลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้นวมตัวใหญ่ก่อนจะเดินวนรอบตัวภาคิน พร้อมกับเอ่ยพูดจาถากถางอีกฝ่ายไปด้วย สำหรับเขาแล้วภาคินไม่ได้เป็นญาติผู้พี่ แต่เป็นตัวอะไรสักอย่างที่เขาเอาไว้คอยรองมือรองเท้าต่างหาก “การที่นายได้รับโอกาสมากมายอย่างทุกวันนี้ ได้ทำงานเป็นถึงผู้จัดการฝ่ายการเงิน ได้ใช้ชีวิตสุขสบายอยู่บ้านหลังใหญ่โต มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเด็กกำพร้าที่พ่อแม้ทิ้งอย่างนาย ดังนั้นอย่าได้หวังสูงไปมากกว่านี้อีกเลย อย่านึกว่าฉันไม่รู้ทันนายสองพ่อลูกนะ” ประโยคสุดท้ายวิศรุตกระซิบข้างหูของภาคินก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยรอยยิ้มเย็น ไม่สนใจอีกฝ่ายที่กำมือแน่นด้วยความโกรธกับฐานะของตนที่ถูกกดให้ต่ำต้อยในสายตาของวิศรุต




   หลังจากแวะไปทักทายญาติผู้พี่ในเวลาเข้างานแบบนี้แล้ว วิศรุตก็ขึ้นลิฟต์ไปยังห้องทำงานของประธานบริษัทที่อยู่ชั้นสูงสุดของอาคารทัดเทวาทันที แต่เดิมห้องทำงานนี้เป็นของคุณพ่อเขา แต่เมื่อท่านสิ้นบุญไป ห้องนี้ก็กลายเป็นห้องทำงานของเขาที่เข้ามารับตำแหน่งใหญ่นี้ต่อจากผู้เป็นพ่อแทน วิศรุตสั่งอิงอร เลขาหน้าห้องให้ช่วยค้นข้อมูลเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับงานด้านต่างๆของบริษัทในรอบสิบปีนี้มาให้เขาอย่างละเอียดที่สุด เขาจำเป็นต้องศึกษามันก่อนเข้าประชุมบอร์ดผู้บริหารในบ่ายนี้ แต่คำตอบที่ได้จากอิงอรทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว

   “เอกสารสำคัญๆทั้งหมด คุณวันชัยได้ให้คนมาเอาไปตั้งแต่หลังจากท่านประธานใหญ่เสียแล้วค่ะ”
นี่มันเรื่องอะไรกัน เอกสารสำคัญสมควรจะอยู่ที่ห้องทำงานของประธานกรรมการถึงจะถูก ทำไมคุณอาวันชัยต้องให้คนมาเอาไปเก็บไว้เองด้วย หรือฝ่ายนั้นจงใจจะปิดบังอะไรเขากันแน่ ยิ่งคิดวิศรุตก็ยิ่งสงสัย ชายหนุ่มจึงบอกอิงอรว่าตอนนี้ให้เธอไปหามาเท่าที่ทำได้ก่อน ส่วนเอกสารที่เหลือเขาจะไปถามจากวันชัยเอง




   วันชัยเงยหน้าจากแฟ้มเอกสารกองโตเมื่อเลขาหน้าห้องอินเตอร์โฟนเข้ามาบอกว่าวิศรุตต้องการจะขอพบเขาในตอนนี้ วันชัยนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะบอกให้เชิญเข้ามาได้ ถ้าเขาเดาไม่ผิดฝ่ายนั้นคงจะรู้เรื่องที่เขาเอาเอกสารบริษัทมาเก็บเอาไว้กับตัวจากเลขาหน้าห้องแล้ว หลานชายตัวดีถึงได้มาหาเขาถึงห้องทำงานแบบนี้

   “สวัสดีครับคุณอา” วิศรุตยกมือไหว้ผู้ที่สูงวัยกว่าซึ่งมีศักดิ์เป็นอาแท้ๆของตนตามมารยาทก่อนที่เจ้าของห้องจะรับไหว้แล้วเชื้อเชิญให้ผู้มาใหม่นั่งที่โซฟารับแขกตรงมุมห้องด้านหนึ่ง

   “หลานโตขึ้นเยอะจนอาเกือบจะจำไม่ได้เลยนะเนี่ย วันนี้ดูท่าทางฝนจะตกเพราะเป็นครั้งแรกที่อาเห็นหลานเข้าบริษัท” วิศรุตยิ้มให้ถ้อยคำกระแนะกระแหนนั้นก่อนจะออกปากว่าวันนี้เป็นวันประชุมใหญ่ของบอร์ดผู้บริหาร เขาซึ่งเป็นประธานบริษัทจะไม่มาได้อย่างไร “เห็นหลานเอาการเอางานแบบนี้อาก็ดีใจ จะได้มีคนมาช่วยแบ่งเบางานที่บริษัทเสียที” วันชัยแสร้งถอนหายใจยาวก่อนจะยกถ้วยกาแฟร้อนที่เลขาเพิ่งเอามาเสริ์ฟเมื่อครู่ขึ้นจิบเล็กน้อย

   “เห็นเลขาหน้าห้องของผมบอกว่าคุณอาเป็นคนให้เด็กมาเอาพวกเอกสารสำคัญมาเก็บเอาไว้เอง ผมก็เลยอยากจะมาขอคืนจากคุณอาน่ะครับ” วิศรุตเริ่มเข้าเรื่องทันที เขาไม่ค่อยชอบพูดจาอ้อมค้อมนัก อีกอย่างคือเขาอยากดูปฎิกิริยาตอบกลับของวันชัยว่าถ้าหากเขาขอคืนตรงๆฝ่ายนั้นจะว่าอย่างไร

   “เรื่องเอกสารที่อาต้องเอามาเก็บไว้เองก็เพื่อความปลอดภัย ไม่รู้ว่าเลขาหน้าห้องวินจะเป็นพวกที่บริษัทคู่แข่งเราส่งมาหรือเปล่า ยิ่งพี่วรุตมาด่วนจากไปแบบนี้ยิ่งไม่มีใครมาคอยจับตามองแม่เลขานั่นเข้าไปใหญ่ อาเป็นห่วงเรื่องความลับของบริษัทก็เลยต้องทำแบบนี้”

ได้รับคำตอบมาแบบนี้ วิศรุตเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี แต่ในเมื่อเขาเข้ามารับตำแหน่งนี้แล้ว เอกสารทั้งหมดเขาก็ควรจะเป็นผู้ดูแลเองไม่ใช่ท่านรองประธาน

   “แล้วถ้าผมจะขอคืนล่ะครับคุณอา?” วันชัยหน้าตึงขึ้นมาทันที

   “วินไม่ไว้ใจอาเหรอ”

   “เปล่าครับ พอดีว่าผมอยากจะศึกษาเอกสารพวกนี้ดูคร่าวๆก่อนที่จะเข้าประชุมในตอนบ่าย คุณอาก็ทราบนี่ครับว่าผมไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัททัดเทวาในตอนนี้เลย ถ้าขืนเข้าไปประชุมแบบสมองกลวงแบบนี้ พวกผู้บริหารคนอื่นได้หัวเราะเยาะหลานคุณอากลางที่ประชุมแน่ๆ” ชายหนุ่มเอาน้ำเย็นเข้าลูบก่อนจะเห็นว่าผู้สูงวัยกว่าคลายสีหน้าลงแล้ว เมื่อเห็นว่าวันชัยเริ่มคล้อยตามคำพูดของตน วิศรุตก็รีบหยอดคำพูดต่อทันที “ผมน่ะเหรอครับจะไม่ไว้ใจคุณอา คุณอาเป็นน้องแท้ๆของคุณพ่อ บริษัทนี้คุณอาก็เปรียบเสมือนเจ้าของคนหนึ่งเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีคุณอาสักคน บริษัททัดเทวาก็คงไม่เติบโตอย่างมั่นคง เช่นทุกวันนี้แน่นอน”

   “เอาเถอะหลานไม่ต้องมาพูดยออามากหรอก เอาเป็นว่าเดี๋ยวอาจะให้เลขาเอาไปให้ที่ห้องทำงานของหลานก็แล้วกัน” วิศรุตขอบคุณอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มกว้างก่อนจะขอตัวไปศึกษางานต่อที่ห้องทำงานที่อยู่ชั้นบน วันชัยมองตามหลานชายจนกระทั่งฝ่ายนั้นปิดประตูห้องลง ท่านรองประธานมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิมลิบลับ รอยยิ้มจากการได้ฟังคำยกยอเมื่อครู่เลือนหายไปจากใบหน้าแต่แทนที่ไว้ด้วยความเย็นชา ผ่านไปครู่ใหญ่วันชัยจึงเรียกให้เลขาของตนเข้ามาขนกองเอกสารที่วิศรุตอยากได้ขึ้นไปให้เจ้าตัว

   “ท่านคะ จะให้ดิฉันขนกองเอกสารพวกนี้ไปให้ท่านประธานจริงๆเหรอคะ” มาลิกาถามด้วยความไม่แน่ใจเพราะเธอทำงานกับวันชัยมานานจนพอจะรู้ว่าเอกสารพวกนี้เป็นข้อมูลสำคัญมาก ถ้าหากวิศรุตรู้ระแคะระคายเรื่องความผิดปกติของข้อมูลพวกนี้แล้วล่ะก็ ทั้งเจ้านายรวมถึงตัวเธอเองด้วยก็จะต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน

   “วิศรุตก็แค่ไอ้เด็กเมื่อวานซืน มันไม่เคยเข้ามาสนใจการงานที่บริษัทเลย มันจะไปรู้อะไร อีกอย่างเอกสารพวกนั้นถึงมันจะจับผิดให้ตายก็ไม่เจอพิรุธอะไรหรอกเพราะว่าเอกสารตัวจริงยังอยู่ที่ฉัน” วันชัยพูดด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ เขาไม่โง่ถึงขนาด เอาเอกสารตัวจริงคืนให้วิศรุตหรอก ที่ฝ่ายนั้นได้ไปก็เป็นเพียงแค่ของปลอมตบตาที่เขาให้คนมาตกแต่งบัญชีให้แนบเนียนชนิดมืออาชีพยังแยกแยะไม่ได้เลยว่าเอกสารชุดไหนจริงชุดไหนปลอม

   “แกมันกระดูกคนละเบอร์กับฉัน ไอ้หลานรัก”


จบบทที่5

Aislin : เดี๋ยวเนื้อหาจะค่อยๆเข้มขึ้นเรื่อยๆนะคะ เพราะนอกจากจะมีเรื่องความรักแล้วก็ยังมีเรื่องของการแย่งชิงอำนาจทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ยังไงก็ฝากติดตามต่อเรื่อยๆด้วยจ้า ตอนนี้ขอตัวไปแต่งนิยายที่ค้างไว้ก่อนเน้อ ส่้วนนิยายเืรื่องนี้จะพยายามมาอัพให้บ่อยๆ (ถ้าไม่ติดอะไรจ้า)

ปล. ไปกดLIKEแล้วพูดคุยทักทายกันที่ Fanpageนิยายเรื่องนี้ได้ค่ะ ยินดีๆๆ
http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E-YaoiBoys-love/201117953284062

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่5
« ตอบ #9 เมื่อ: 30-07-2012 12:44:58 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1
«ตอบ #10 เมื่อ30-07-2012 13:09:30 »

รักไม่ได้ก็เกลียดเลยดีกว่าไม่รู้จักกันสินะ

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
«ตอบ #11 เมื่อ30-07-2012 13:10:28 »

กรี้ดดดดดดดสนุกมากๆๆๆๆๆๆๆๆอะชอบ :กอด1: :กอด1: :กอด1:


รออ่านตอนต่อไปจ้า :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:

ออฟไลน์ moredee

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-8
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
«ตอบ #12 เมื่อ30-07-2012 13:20:47 »

เนื้อหานิยายสะใจมากค่ะ
เป็นอะไรที่ชวนติดตาม :L2:

ออฟไลน์ srikoon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 530
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-6
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
«ตอบ #13 เมื่อ30-07-2012 17:38:07 »



 :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call:


อ่านเพลินดี  รัดกุม  มืออาชีพ


 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
«ตอบ #14 เมื่อ30-07-2012 20:09:56 »

รอตอนต่อไปนะครับ

 o13

ออฟไลน์ Yร้าย

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
«ตอบ #15 เมื่อ30-07-2012 20:37:31 »

โอ๊ะโอ.......มาอยู่ในเล้าแล้ว......
สนุกนะเรื่องนี้......หนังสือข้าพเจ้าก็มีแล้ว....
อ่านแล้วอ่านอีก....แต่ขอบอกนิดนึง..แหะ ๆ ..ตัวหน้งสือเล็กไปหน่อย...
แต่เรื่องนี้ดีจริงนะ...ตามอ่านอีกแน่นอน..... o13

Tiamo_jamsai

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
«ตอบ #16 เมื่อ30-07-2012 21:08:31 »

 o13.   อย่าดูถูกเด็กเมื่อวานซืนค่ะเดี๋ยวจะโดนเด็กถอนหงอกเอา


สนุกมากค่ะเป็นกำลังใจนะค่ะ :กอด1:

ออฟไลน์ irksome

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
«ตอบ #17 เมื่อ30-07-2012 21:22:23 »

 :mc4: ติดตามๆ
มาเยอะดี ชอบ  o13

ออฟไลน์ frenzy19

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
«ตอบ #18 เมื่อ30-07-2012 22:09:07 »

 o13 o13 o13 สนุกมากเลยจ้าาา  มาต่ออีกๆอยากอ่านต่อออ   แล้ววว  :L2: :L2:

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
«ตอบ #19 เมื่อ31-07-2012 00:24:59 »

เนื้อเรื่องเข้มข้น
 มาต่อไวๆนะจ๊ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-5
« ตอบ #19 เมื่อ: 31-07-2012 00:24:59 »





ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่ 6
«ตอบ #20 เมื่อ31-07-2012 11:22:25 »

บทที่ 6


   “ตื่นเช้าจังเลยนะคะ”ศรารัตน์ยิ้มให้ต้นอ้อ พยาบาลสาวอัธยาศัยดีที่หญิงสาวเพิ่งจะมีโอกาสได้ถามชื่อของอีกฝ่ายในตอนเย็นของเมื่อวานตอนที่ฝ่ายนั้นมาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเธอ “ท่าทางคุณดูสดชื่นแบบนี้ พักฟื้นอีกไม่นานต้องหายเป็นปกติแน่นอนค่ะ” คนป่วยเอ่ยขอบคุณเบาๆก่อนถามขึ้น

   “แล้วฉันต้องอยู่โรงพยาบาลอีกนานเท่าไหร่คะ? ได้แต่นอนอยู่แบบนี้ ฉันเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”

   “อันนี้คงต้องรอถามคุณหมอเองแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้คุณหมอติดตรวจอาการคนไข้อีกรายอยู่ อีกสักพักก็คงมาเช็คร่างกายให้คุณค่ะ” ศรารัตน์แอบเบ้หน้า คุณหมอสมชายเจ้าของไข้เป็นอีกคนหนึ่งที่เธอไม่อยากเจอหน้าเอาเสียเลย ด้วยเพราะฝ่ายนั้นชอบทำหน้าบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลาราวกับมีเรื่องที่ต้องคิดให้เครียดสมองมากมาย มันทำให้เมื่อเธอมองหน้าคุณหมอสมชายทีไรก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งคือฝ่ายนั้นเป็นคุณหมออายุก็ปาเข้าไปหกสิบกว่าๆแล้ว ขืนเธอต้องทนเจอหน้าคุณหมอสมชายทุกวัน มีหวังคงได้เฉาตายกันพอดี

   “ที่ฉันเบื่อเนี่ย ส่วนหนึ่งก็เบื่อคุณหมอเจ้าของไข้ของตัวเองนี่แหล่ะค่ะ” ต้นอ้อยิ้มให้ศรารัตน์ที่ทำหน้ามุ่ยก่อนจะเฉลยให้อีกฝ่ายฟัง

   “งั้นอีกหน่อยคุณก็คงไม่ต้องทนเบื่อแล้วล่ะค่ะ เพราะว่าคุณหมอสมชายจำเป็นต้องบินด่วนไปศึกษางานวิจัยที่เมืองนอก คุณหมอท่านก็เลยโอนเคสของคุณให้คุณหมออีกท่านรับดูแลต่อน่ะค่ะ รับรองว่าคราวนี้คุณคงหายเบื่อแน่ๆ เพราะอ้อไม่เห็นว่าพวกพยาบาลที่วอร์ดนี้เค้าจะบ่นกันเลยสักครั้ง” ศรารัตน์นึกขอบคุณในใจที่คุณหมอสมชายติดงานวิจัยที่เมืองนอก หวังว่าคุณหมอคนใหม่คงจะไม่แย่ไปกว่าคนเดิมนะ เพราะถ้าอย่างนั้นก็ไปตามหมอสมชายกลับมาเสียดีกว่า

   “มาค่ะ เดี๋ยวฉันปรับเตียงให้ คุณจะได้เอนหลังได้สะดวก เอ้อ คุณหมอมาพอดีเลย” เสียงเปิดประตูห้องทำให้ศรารัตน์หันไปมอง
บุคคลผู้มาใหม่เป็นชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวที่ดูแล้วอายุน่าจะมากกว่าเธอไม่เท่าไหร่นัก ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นอยู่ภายใต้แว่นตาเลนส์บางไร้กรอบตามสมัยนิยม ใบหน้าได้รูปที่รับกับจมูกที่โด่งเป็นสันยิ่งทำให้คนตรงหน้าชวนมองเข้าไปอีก ถ้าไม่ใช่เสื้อกราวน์ตัวยาวที่อีกฝ่ายกำลังสวมอยู่ ศรารัตน์คงไม่รู้เลยว่านี่คือคุณหมอคนใหม่ที่จะมาดูแลเคสของเธอแทนหมอสมชาย ศรารัตน์คงจะเสียมารยาทจ้องหน้าอีกฝ่ายต่อไปเรื่อยๆหากว่าต้นอ้อไม่เข้ามาสะกิดเธอให้รู้สึกตัวเสียก่อน

   “สวัสดีครับ หมอชื่อนภัทร จะมารับหน้าที่เป็นหมอเจ้าของไข้ของคุณแทนคุณหมอสมชาย คิดว่านางพยาบาลคงจะแจ้งให้คุณได้ทราบแล้ว”

ศรารัตน์รับคำยิ้มๆแล้วบอกว่าเธอเพิ่งจะรู้เมื่อสักครู่นี้เอง ใครจะไปนึกว่าคุณหมอนภัทรคนนี้จะแตกต่างกับคุณหมอสมชายราวฟ้ากับดินแบบนี้ล่ะ ดวงตายาวรีของหญิงสาวอดไม่ได้ที่จะลอบมองคุณหมอสุดหล่ออยู่ตลอดเวลาในขณะที่ฝ่ายนั้นตรวจเช็คร่างกายของเธอ ใบหน้าหล่อคมของหมอนภัทรเหมือนมีรอยยิ้มประดับไว้อยู่ตลอด ทำให้คนที่แอบชำเลืองตามองอยู่แทบละสายตาไปไม่ได้เลยทีเดียว

   “ช่วงนี้มีอาการเจ็บหรือว่าปวดตรงไหนบ้างหรือเปล่าครับ?” นภัทรถามคนไข้ของเขาพร้อมรอยยิ้มขำ เขานึกรู้ว่าอีกฝ่ายแอบมองเขามาตั้งแต่ที่เริ่มตรวจแล้ว แถมบางครั้งยังเผลอจ้องหน้าเขาเหมือนกับว่าเขามีอะไรติดอยู่บนหน้าอย่างนั้นแหล่ะ

   “ก็ยังปวดซี่โครงตรงจุดเดิม แล้วบางครั้งก็จะรู้สึกว่าปวดขาแบบเจ็บแปลบๆ บางทีฉันก็รู้สึกว่าบังคับขาตัวเองไม่ได้เลยค่ะ” นภัทรพยักหน้ารับรู้ก่อนจะวิเคราะห์อาการจากคำบอกเล่าของศรารัตน์

   “เรื่องซี่โครงถ้าดูจากฟิล์มเอกซเรย์แล้วก็ไม่น่าห่วงเท่าไหร่นัก ถ้าได้พักฟื้นสักพักอาการปวดก็จะดีขึ้นเอง ส่วนเรื่องที่คุณรู้สึกว่าปวดขา หมอคิดว่าคงจะเกี่ยวกับผลข้างเคียงของการผ่าตัดซึ่งเรื่องนี้คงจะต้องอาศัยการทำกายภาพบำบัดเข้าช่วยนะครับ”

   “แล้วฉันจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่คะหมอ?”

   “ช่วงนี้ต้องรอดูอาการก่อนนะครับ หมอเองก็ยังบอกแน่นอนไม่ได้เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคุณไม่ใช่อุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆที่เมื่อทำแผลแล้วก็กลับบ้านได้ ผมอ่านจากรายงานอาการของหมอสมชายแล้ว ที่คุณสามารถรอดชีวิตมาได้แถมยังโชคดีไม่พิการอีก เท่านี้ก็น่าทึ่งมากแล้วล่ะครับ” ศรารัตน์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ หมอนภัทรพูดเสียจนน่ากลัวเชียว

   “ถ้าอย่างนั้นคงต้องยกความดีให้คุณหมอสมชายแล้วล่ะค่ะ เพราะถ้าไม่ได้ท่านช่วยเอาไว้ได้ทัน ฉันก็อาจจะตายไปแล้วหรือไม่ก็คงพิการแบบที่คุณหมอบอกจริงๆ” นภัทรยิ้มให้ผู้ป่วยสาวสวยตรงหน้าแทนคำตอบ เขาหยิบแฟ้มรายงานประจำตัวของคนไข้มาเปิดก่อนจะเขียนบันทึกอาการจากคำบอกเล่าของศรารัตน์ลงไปก่อนจะสรุปปิดท้ายสำหรับการตรวจในวันนี้

   “ยังไงก็พักผ่อนมากๆนะครับ ช่วงนี้หมออยากให้งดอาหารหนักๆไว้ก่อนเพราะร่างกายคุณยังไม่ฟื้นตัวดี ถ้างั้นเดี๋ยวจัดการด้วยนะคุณพยาบาล” ประโยคสุดท้ายหมอนภัทรหันไปสั่งพยาบาลสาวทำนองว่าอย่าลืมเอาป้ายงดอาหารหนักมาแขวนไว้หน้าห้องผู้ป่วยด้วยซึ่งอีกฝ่ายก็รับคำอย่างรู้หน้าที่ของตนเป็นอย่างดี

   หลังจากตรวจอาการศรารัตน์เสร็จเรียบร้อย นภัทรจึงขอตัวไปตรวจคนไข้ห้องอื่นต่อซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรแม้ว่าในใจอยากจะให้คุณหมอนภัทรใช้เวลาตรวจอาการของเธอให้นานกว่านี้ก็ตามที

   “คราวนี้ยังเบื่ออีกหรือเปล่าคะ?” พยาบาลต้นอ้อกระเซ้าถามยิ้มๆ เธอสังเกตเห็นตอนที่ศรารัตน์เห็นหน้าหมอนภัทรครั้งแรกก็ถึงกลับเคลิ้มไปเลย คราวนี้คนตรงหน้าคงได้ยาดีแล้วกระมัง

   “ว่าแต่คุณหมอนภัทรอายุประมาณเท่าไหร่เหรอคะ? เหมือนคุณหมอเพิ่งจบใหม่ๆเลย” ที่ศรารัตน์ถามแบบนี้ก็เพราะว่าหน้าตาของนภัทรดูไม่น่าจะเกินอายุสามสิบเลยซักนิด โรงพยาบาลที่เธอรักษาตัวอยู่นี้เป็นโรงพยาบาลชื่อดัง คงจะไม่มีทางยอมรับหมอที่เพิ่งจบใหม่แล้วก็ยังไม่มีประสบการณ์เข้าร่วมเป็นทีมแพทย์ของโรงพยาบาลแน่ ด้วยเพราะกลัวจะเสียชื่อเสียงด้านคุณภาพในการรักษาพยาบาล

   “คุณหมอนภัทรเป็นคุณหมอหนุ่มไฟแรงเพิ่งเรียนจบจริงๆอย่างที่คุณว่านั่นแหล่ะค่ะ คุณหมอถือเป็นลูกศิษย์คนโปรดของคุณหมอสมชายเลยล่ะค่ะ เห็นพวกพยาบาลคนอื่นเค้าเคยคุยกันว่าคุณหมอนภัทรเนี่ยเก่งมากถึงขนาดคุณหมอสมชายไว้ใจให้ดูแลเคสใหญ่ๆตั้งหลายต่อหลายครั้ง” คำตอบของพยาบาลสาวตอบคำถามที่คาใจของศรารัตน์ได้อย่างดี ทั้งเก่งมีความสามารถแถมยังรูปหล่อแบบนี้ มิน่าล่ะถึงได้มาเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลชั้นนำแบบนี้ได้ ศรารัตน์อมยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง เธอชักจะสนใจคุณหมอนภัทรคนนี้ขึ้นมาเสียแล้ว




   วิศรุตเดินออกจากห้องประชุมด้วยสีหน้าที่แสดงชัดว่ากำลังไม่สบอารมณ์เต็มที่ ประสบการณ์การเข้าร่วมประชุมผู้บริหารของบริษัทในวันแรกเป็นสิ่งที่ไม่ได้สร้างความประทับใจให้เขานัก ตลอดการประชุมเกือบสามชั่วโมงที่ผ่านมาเขาต้องคอยตอบคำถามโน่นนี่ของบรรดาผู้บริหารทั้งหลายถึงเรื่องที่ว่าทำอย่างไรจึงจะสร้างความเติบโตให้กับกิจการภายใต้การนำของเขาได้ ต้องฟังเสียงคำวิพากษ์วิจารณ์ติเตียนถึงเรื่องที่เขาไม่เคยเข้ามาบริหารงานในบริษัทเลยทั้งๆที่ตัวเองเป็นถึงประธานบริษัท และที่หนักที่สุดก็คงเป็นเรื่องที่คุณมงคล กรรมการผู้ถือหุ้นท่านหนึ่งลุกขึ้นมาพูดจาสบประมาทถึงความไม่มีน้ำยาในการ ทำงานของเขาอย่างไม่ไว้หน้า วิศรุตจึงอดสงสัยไม่ได้ว่านี่มันงานประชุมผู้บริหารหรืองานพิพากษาโทษของเขากันแน่

   “เดี๋ยวก่อนคุณวิศรุต” น้ำเสียงที่เรียกชื่อเขาด้านหลัง ทำให้วิศรุตหันกลับไปมอง ตาแก่มงคลตัวแสบนั่นเอง

   “มีอะไรจะชี้แนะผมอีกเหรอครับคุณมงคล?” วิศรุตถามตอบด้วยเสียงยียวน ในใจยังคุกรุ่นถึงเรื่องในห้องประชุมอยู่

   “ผมแค่อยากจะเตือนคุณว่าในฐานะประธานบริษัทที่ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของที่นี่ จะคิดหรือจะทำอะไรก็ขอให้พิจารณาเอาไว้ให้มากๆ กริยาเมื่อครู่ที่คุณลุกเดินออกมาจากห้องทั้งที่การประชุมผู้บริหารยังไม่เสร็จสิ้นมันไม่ใช่สิ่งที่ประธานบริษัทอย่างคุณควรกระทำ ถ้าคิดจะเป็นผู้บริหารก็จะต้องรู้จักรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นด้วย” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่วิศรุตก็ตอกกลับด้วยแววตาแข็งกร้าวแบบไม่ยอมเช่นกัน

   “จะให้ผมนั่งปั้นหน้าทำเป็นไม่ทุกข์ร้อนฟังคนอื่นรุมด่าผมทีละคนหรือยังไงครับคุณลุง”

   “คุณควรจะมีความอดทนอดกลั้นให้มากกว่านี้”

   “ขอบคุณครับที่เตือน แต่ขีดจำกัดความอดทนของผมมีน้อยจริงๆและผมเองก็จะไม่ทนอะไรที่ไม่อยากทนเช่นกัน”วิศรุตพูดจบก็หันไปสั่งอิงอรให้บอกคนรถเตรียมเอารถออกให้เขาด้วยก่อนเจ้าตัวจะเดินลิ่วลงลิฟต์ไปยังชั้นล่างเพื่อรอรถทันทีโดยที่มงคลได้แต่มองตามแล้วส่ายหัวในนิสัยดื้อรั้นของบุตรชายคุณวรุต ทัดเทวา ประธานบริษัทคนก่อนที่ผู้ถือหุ้นทุกคนให้การยอมรับในความสามารถแบบไม่มีข้อสงสัย

   “เค้าก็ดื้อรั้นอย่างนั้นเป็นประจำแหล่ะครับคุณมงคล วิศรุตเคยยอมฟังใครเสียที่ไหนกัน” วันชัยและภาคินเดินเข้ามาหามงคลหลังจากที่วิศรุตลงลิฟต์ไปแล้ว

 “คุณลุงมงคลก็อย่าถือสาวิศรุตเลยนะครับ เขาอาจจะยังเป็นมือใหม่ คงยังไม่คุ้นกับการบริหารงานคนหมู่มากแบบนี้ เราคงต้องให้เวลาเขาได้พิสูจน์ฝีมือบ้าง” ภาคินช่วยเสริมคำพูดของพ่อ ยิ่งวิศรุตไม่ลงรอยกับบรรดาผู้ถือหุ้นเพียงใด เขากับพ่อก็จะยิ่งได้ประโยชน์เท่านั้น

   “ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างที่คุณภาคินพูด แล้วก็หวังว่าคุณวิศรุต ทัดเทวาจะได้พิสูจน์ตัวเองเสียทีว่าตนเหมาะสมกับตำแหน่งสูงสุดนี้หรือเปล่า” สีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่ค่อยพอใจวิศรุตนัก ทำให้ภาคินต้องแอบเบือนหน้าไปยิ้มร้ายกับวันชัยด้วยความสะใจ อีกไม่นานวิศรุตคงต้องถูกบีบให้ลงจากตำแหน่งอย่างแน่นอน





   วิศรุตขับรถตั้งใจว่าจะกลับบ้านเลย วันนี้ทั้งวันเขาคงไม่มีอารมณ์จะทำอะไรแล้ว แต่ในที่สุดก็เปลี่ยนใจจึงกลับรถเปลี่ยนเส้นทางเพื่อไปเยี่ยมศรารัตน์ที่โรงพยาบาลแทน เขากลับมาเมืองไทยได้สองวันแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ไปเยี่ยมน้องสาวเสียที ตอนนี้ยิ่งอารมณ์เซ็งๆอยู่พอดี บางทีการได้ทะเลาะกับฝ่ายนั้นคงจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

   เขาสอบถามห้องพักของศรารัตน์จากเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ ก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปยังห้องผู้ป่วยที่อยู่ชั้นสามของตึกเดียวกัน ในที่สุดเขาก็มาถึงห้องที่ว่า วิศรุตมองป้ายชื่อเล็กๆหน้าห้องก่อนจะพบว่าน้องสาวเขาพักฟื้นอยู่ห้องนี้ไม่ผิดแน่ ชายหนุ่มเคาะประตูสองสามทีก่อนเปิดเข้าไปเลยโดยไม่รอให้คนในห้องอนุญาต

   “นิสัยยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ เคยไร้มารยาทยังไงก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้นไม่ผิด” ศรารัตน์ที่นอนอยู่บนเตียงหันหน้าไปทางผู้มาใหม่ ถึงแม้ไม่ได้เจอกันเกือบปีเพราะว่าเธอกลับมาเมืองไทยก่อนวิศรุต แต่ศรารัตน์ก็ไม่ค่อยรู้สึกยินดียินร้ายหรือว่าคิดถึงวิศรุตเท่าใดนัก ไม่เหมือนพี่น้องที่ไม่ได้เจอกันนานกือบปีเลยซักนิด

   “ฉันเคาะประตูแล้ว หรือว่าเธอไม่ได้ยิน สงสัยคราวหน้าคงต้องเคาะให้ดังกว่านี้” วิศรุตแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ

   “ฉันได้ยิน แต่นายก็ควรจะรอให้ฉันอนุญาตเสียก่อน ทะเล่อทะล่าเข้ามาแบบนี้มันเสียมารยาท ขืนฉันกำลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่จะว่ายังไง” ศรารัตน์อดส่งเสียงแหวใส่ผู้เป็นพี่ชายไม่ได้ที่ทำอะไรไม่ค่อยคิดเลย

   “ถึงจะเห็นตอนเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ทีตอนเด็กๆล่ะไม่รู้จักอาย ชอบเดินแก้ผ้าโทงๆไปทั่วบ้าน” ศรารัตน์หน้าแดงก่ำที่ถูกอีกฝ่ายเอาเรื่องเก่ามาประจาน หญิงสาวคว้าหมอนที่หนุนอยู่ปาไปที่คนปากเสียทันที วิศรุตมาไม่ทันไรก็ ทำเธอของขึ้นอีกแล้ว ฝ่ายนั้นต้องการมายั่วโมโหกันชัดๆ

ส่วนวิศรุตก็รับหมอนที่ปามาได้ทันก่อนที่จะโดนหน้าตัวเองเข้าไปเต็มๆ ชายหนุ่มหัวเราะร่าก่อนจะเอาหมอนไปวางไว้ที่เดิมแล้วพูดขึ้น “ป่วยแบบนี้ยังจะมีแรงมาอาละวาดอีก เอ้อ ลืมไปว่าผู้หญิงอย่างนางสาวศรารัตน์ ทัดเทวาทั้งทนและ...ถึก” ทันทีที่พูดจบตระกร้าผลไม้ก็ลอยไปหาวิศรุตทันที ฝ่ายนั้นเตรียมพร้อมไว้ก่อนอยู่แล้วจึงใช้มือรับไว้ได้ทันอีกครั้ง

   “ที่มาเนี่ยจะมายั่วโมโหฉันใช่ไหม?”

   “ก็แค่จะมาดูว่าเธออาการเป็นไงบ้าง พิกลพิการส่วนไหนหรือเปล่า ถ้าถึงขั้นเสียโฉมล่ะแย่เลยเพราะหนุ่มๆคงหายหมด อาจต้องลงประกาศหาคู่ในหนังสือพิมพ์แบบในมาลัยไทยรัฐ ประมาณว่ารับสมัครผู้ชายเสียสติเข้าคัดเลือกเป็นคู่ครองของทายาทเศรษฐีตระกูลดังที่เสียโฉมจากอุบัติเหตุรถคว่ำอย่างนางสาว ศรารัตน์ ทัดเทวา”

   “วิศรุต” สีหน้าแดงก่ำของคู่สนทนาบอกให้เขารู้ว่าน้องสาวตนคงกำลังโมโหอย่างถึงที่สุด ถ้าไม่ติดวว่ากำลังป่วยอยู่ล่ะ ก็ เธอคงลุกขึ้นมาวิ่งไล่ทุบหลังเขาจนกระอักไปแล้วเหมือนอย่างที่เคยทำตอนเด็กๆ
วิศรุตหัวเราะร่วน ความเครียดจากเรื่องที่บริษัทได้ถูกระบายไปกับศรารัตน์แล้วส่วนหนึ่ง แต่เมื่อน้องสาวเขาเปิดประเด็นเรื่องการประชุมเมื่อบ่ายขึ้นมาก็ทำให้วิศรุตอดที่จะหงุดหงิดอีกรอบไม่ได้

   “คุณอิงอรเพิ่งโทรบอกฉันว่าตอนบ่ายนายถูกพวกกรรมการบริหารเฉ่งเละเสียจนไม่มีดีกลางห้องประชุมเลย เป็นยังไงล่ะขายขี้หน้าเขาไหม ลูกชายคนเดียวของคุณวรุต ทัดเทวากลับไม่เอาอ่าวเรื่องการเรื่องงานเลยซักนิด ดีแต่ใช้เงินมือเติบไปวันๆ” ได้ทีศรารัตน์ก็สวนกลับบ้าง พี่ชายคนนี้มีดีให้น้องสาวอย่างเธอชมเชยเสียเมื่อไหร่ จะดีก็ตรงเรียนจบเกียรตินิยมจากเมืองนอกเนี่ยแหล่ะ ส่วนเรื่องอื่นก็มักจะทำให้วงศ์ตระกูลต้องขายหน้าอยู่ร่ำไปโดยเฉพาะเรื่องความเสเพลนี่แก้ไม่หายเอาไม่อยู่จริงๆ

   “ที่ฉันเข้าบริษัทเนี่ยไม่ได้กะว่าจะเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวเสียหน่อย วันนี้ที่เข้าไปก็แค่เห็นว่ามีประชุมใหญ่ผู้บริหารพอดี ก็เลยต้องเข้าประชุมตามหน้าที่ประธานบริษัทที่ดีก็เท่านั้นแหล่ะ”

   “เห็นว่าท่านประธานถึงกับทนไม่ได้ลุกออกจากที่ประชุมเลยนี่นา ทำแบบนี้แล้วผู้บริหารคนอื่นเค้าจะคิดยังไงกันเนี่ย”

   “ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้กะจะมาทำงานจริงๆจังๆในตอนนี้ ฉันก็แค่แวะมาช่วยดูบริษัทตอนที่เธอกำลังนอนพะงาบๆอยู่ที่โรงพยาบาลนั่นแหล่ะ พอเธอหายดีกลับมาทำงานได้แล้ว ฉันก็จะได้กลับอังกฤษเสียที”

   “นี่ยังคิดจะกลับไปใช้ชีวิตเสเพลที่อังกฤษอีกเหรอเนี่ย เรียนก็เรียนจบแล้ว งานการที่นี่มีก็ไม่รู้จักทำ ถามจริงเหอะคนอย่างนาย ชีวิตนี้จะรู้จักการทำงานหาเงินบ้างไหม หรือว่ารู้จักแต่การใช้เงินอย่างเดียว” วิศรุตชักสีหน้าใส่แม่น้องสาวตัวดีที่ทำหน้าที่เทศนาเขาเสียจนหูยาน ไม่รู้ว่าใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันแน่

   ‘ก๊อกๆๆ’

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นส่งผลให้สงครามน้ำลายหยุดอยู่แค่นั้น วิศรุตเม้มปากแน่น คงจะไม่ดีนักถ้าจะมาทะเลาะกับคนป่วยต่อหน้านางพยาบาลแบบนี้ วิศรุตหันหลังยืนกอดอกทันทีในขณะที่ศรารัตน์ส่งเสียงเป็นเชิงอนุญาตให้เข้ามาได้

   “อ้าว คุณหมอนั่นเอง ยังไม่ออกเวรเหรอคะ?” พอรู้ว่าเป็นหมอไม่ใช่นางพยาบาลที่เข้ามาในห้อง วิศรุตก็หันหลังกลับมาเผชิญหน้าอีกฝ่ายทันที เขาอยากจะถามหมออยู่พอดีเลยว่าศรารัตน์จะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ เพราะยิ่งน้องสาวเขากลับไปทำงานได้ไวเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเป็นอิสระได้เร็วเท่านั้น แต่ทว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทำให้เขาตะลึงจนหัวใจแทบหยุดเต้น ซึ่งอีกฝ่ายพอมองเห็นหน้าเขาก็ชะงักไปเช่นกัน วิศรุตบังคับสายตาให้เบนไปจากดวงตาสีถ่านที่คุ้นเคยก่อนจะไล้สายตาลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดที่ป้ายชื่อกลัดหน้าอกที่เสื้อกราวน์ของฝ่ายนั้น วิศรุตกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ไม่ผิด คนตรงหน้าเขาคือ...นายแพทย์ นภัทร อิสรีย์


จบบทที่6

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่ 7
«ตอบ #21 เมื่อ31-07-2012 11:27:53 »

บทที่ 7


   “เอ่อ คุณหมอมีอะไรหรือเปล่าคะ?” ศรารัตน์เอ่ยทำลายความเงียบที่ปกคลุมคนทั้งคู่อยู่ หญิงสาวมองวิศรุตแล้วหันไปมองนภัทรด้วยสีหน้างุนงง สองคนนี้จ้องหน้ากันราวกับว่าเคยรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นแหล่ะ

นภัทรรู้สึกตัวตอนที่ศรารัตน์ถามตน คุณหมอหนุ่มแกล้งกระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะรีบพูด

   “คือว่าผมหาแฟ้มเอกสารเรื่องงานวิจัยไม่เจอน่ะครับ พอดีว่าตอนเช้าหยิบติดมือออกมาด้วยตอนที่ออกมาตรวจคนไข้ ไม่แน่ใจว่าลืมเอาไว้ที่นี่หรือเปล่า ผมก็เลยแวะมาดูเผื่อจะเจอ” ศรารัตน์ช่วยนภัทรมองหาแฟ้มที่ว่าแต่ก็ไม่เจอ

   “คุณหมอคงไม่ได้ลืมไว้ที่นี่หรอกค่ะ เแต่เอาไว้ถ้าเกิดเจอมันอยู่ในห้องนี้เดี๋ยวฉันจะฝากพยาบาลไปคืนให้ก็แล้วกันนะคะ” นภัทรเอ่ยขอบคุณในความมีน้ำใจของอีกฝ่ายก่อนจะปรายตามองไปทางวิศรุตที่ยังยืนนิ่งไม่พูดอะไร ศรารัตน์เห็นสายตาของนภัทรพอดีจึงจำเป็นต้องเอ่ยแนะนำวิศรุตอย่างเสียไม่ได้

   “คุณหมอคะ นี่พี่ชายแท้ๆของฉันเองค่ะ ชื่อวิศรุต” ศรารัตน์หันไปทางพี่ชายตัวเองแล้วแนะนำอีกฝ่ายบ้าง “นี่คุณหมอ นภัทร คุณหมอเจ้าของไข้ของฉัน” วิศรุตมองหน้านภัทรอีกครั้งก่อนเอ่ยคำว่าสวัสดีออกมาด้วยสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นภัทรเองก็เอ่ยตอบด้วยสีหน้าไม่ต่างกัน

   “คุณหมอทำท่าเหมือนรู้จักพี่ชายของฉัน สองคนเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอคะ?” ศรารัตน์หันไปถามนภัทรที่เริ่มทำหน้าไม่ถูกแต่วิศรุตชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

   “เปล่าหรอก ฉันกับคุณหมอนภัทรเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน” นภัทรมองหน้าอีกฝ่ายทันที เขาไม่รู้ว่าวิศรุตกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้บอกกับศรารัตน์ไปอย่างนั้น แต่ในเมื่อฝ่ายนั้นไม่ยอมรับว่ารู้จักกับเขา เขาเองก็ได้แต่ต้องตามน้ำไปเท่านั้น

   “ผมกับคุณ...เอ้อ...วิศรุตเราจะเคยรู้จักกันมาก่อนได้อย่างไรล่ะครับ ที่ผมเสียมารยาทจ้องหน้าคุณวิศรุตเมื่อครู่ ก็เพราะนึกคุ้นหน้าที่เหมือนกับเพื่อนคนหนึ่งของผมตอนสมัยเรียนมัธยมปลาย แต่พอมองดีๆก็รู้ว่าไม่ใช่” คนที่ถูกพาดพิงถึงกับสะอึกในสิ่งที่อีกฝ่ายตอบกลับมา เขายังไม่พร้อมตอบคำถามศรารัตน์ในตอนนี้ ถ้าหญิงสาวรู้ว่าทั้งเขาและนภัทรเคยรู้จักกันมาก่อนแถมเขายังไปหลงรักอีกฝ่ายอย่างหัวปักหัวปำ น้องสาวของเขาวีนแตกลั่นโรงพยาบาลแน่เพราะวิศรุตมั่นใจว่าศรารัตน์ไม่เคยระแคะระคายมาก่อนเรื่องที่ว่าเขาเป็นเกย์

   “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ” นภัทรรีบขอตัวเดินออกมาจากห้องโดยไม่ยอมสบตากับวิศรุตเลย
แม้ว่าจะสงสัยในอาการแปลกๆของหมอนภัทรและพี่ชายตนเองที่บอกว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ผู้หญิงฉลาดอย่างศรารัตน์ก็พอจะมองออกว่าเรื่องนี้มีนัยยะอย่างแน่นอน หญิงสาวจึงมาคาดคั้นเอากับวิศรุตหลังจากที่นภัทรออกไปแล้ว

   “นายไม่เคยรู้จักหมอนภัทรมาก่อนจริงๆเหรอ?”

   “ก็จริงน่ะสิ เมื่อกี้คุณหมอก็ยืนยันเองว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”

“แต่ฉันเห็นนายกับหมอนภัทรดูท่าทางแปลกๆชอบกล”

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันจะไปรู้จักกับคุณหมอนภัทรอะไรนั่นได้ยังไงล่ะ” วิศรุตยืนยันเสียงเข้มก่อนพยายามตัดบทบอกให้น้องสาวพักผ่อนได้แล้ว ศรารัตน์ยอมทำตามแต่โดยดีแม้ในใจจะยังเต็มไปด้วยข้อสงสัยก็ตามที





หลังจากที่แน่ใจว่าแม่น้องสาวตัวดีหลับสนิทแล้ว วิศรุตจึงลอบระบายลมหายใจแรง ชายหนุ่มไม่มั่นใจว่าศรารัตน์จะระแคะระคายเรื่องในอดีตระหว่างเขากับนภัทรหรือไม่ แต่น้องสาวเขาเป็นคนฉลาด อีกไม่นานคงต้องนึกสงสัยแน่ แล้วถึงตอนนั้นเขาจะตอบคำถามนี้อย่างไรดี

วิศรุตหมุนลูกบิดเปิดประตูอย่างเบาเสียงเพราะไม่อยากทำเสียงดังรบกวนคนป่วยที่นอนพักผ่อนอยู่ ในใจก็นึกไปถึงคนๆนั้นที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปี เขามีหลายเรื่องที่อยากพูดคุยกับฝ่ายนั้น มีถ้อยคำมากมายที่อยากส่งผ่านให้ฝ่ายนั้นรับรู้บ้างถึงแม้ว่ามันจะส่งไปไม่ถึงหัวใจด้านชาของนภัทรเลยก็ตาม แต่วิศรุตกลัว...กลัวการเผชิญหน้ากับนภัทรในเวลาและสถานการณ์แบบนี้

   “ไม่ได้เจอกันนานนะ” คำพูดลอยๆแต่สามารถทำให้วิศรุตชะงักหยุดอยู่กับที่ คนที่ถูกเรียกชื่อค่อยๆหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับคนพูดอย่างช้าๆ วิศรุตช้อนตาสีน้ำตาลโศกคู่สวยมองฝ่ายนั้นเต็มสองตา

นภัทรที่กำลังยืนหันหลังพิงกำแพงด้านนอกห้องพักผู้ป่วยอยู่ก็มองตอบมาด้วยแววตาที่วิศรุตเองก็ไม่เข้าใจความหมาย แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามันเป็นแววตาเชือดเฉือนเย็นชาแบบที่นภัทรเคยมีให้เขาบ่อยๆตอนสมัยเรียน

   “นายก็ยังเหมือนเดิมนะ” วิศรุตทักตอบพลางฝืนยิ้มบางๆให้ แล้วก็เงียบไปอย่างไม่รู้จะยกเรื่องอะไรขึ้นมาพูดทำลายความเงียบดี

   “แล้วนายล่ะ ยังเหมือนเดิมหรือเปล่า?” คำพูดแฝงนัยของนภัทรที่ถามกลับทำเอาวิศรุตถึงกับตอบไม่ถูกได้แต่ยืนนิ่งจนนภัทรทนไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทางอ้ำอึ้งของคนตรงหน้า ก่อนคุณหมอหนุ่มจะเปลี่ยนมาพูดเรื่องของศรารัตน์แทน “คิดไม่ถึงว่าคนไข้ของฉันจะเป็นน้องสาวของนาย” นภัทรไม่ได้เอะใจเลยว่าศรารัตน์ใช้นามสกุลทัดเทวาจนกระทั่งได้มาเจอกับวิศรุตโดยบังเอิญอีกครั้งหนึ่งในห้องของคนไข้ที่เขาดูแลอยู่

   “ฉันเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่านายจะเป็นหมอเจ้าของไข้ของยัยศราน้องสาวฉัน” นภัทรไหวไหล่แล้วบอกว่า

   “โลกนี้ช่างมีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นมากมายจริงๆ เช่น...เรื่องของฉันกับนาย”

   “นายจะพูดอะไร?” เสียงที่เข้มขึ้นและห้วนตวัดบอกได้อย่างชัดเจนว่าวิศรุตเริ่มไม่พอใจคำพูดของฝ่ายนั้นขึ้นมาบ้างแล้วก่อนชายหนุ่มจะขึงตาใส่คนพูดจนอีกฝ่ายต้องพูดแก้แต่ยังคงรอยยิ้มเอาไว้ที่มุมปากเช่นเดิม

   “ฉันแค่หมายความว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญที่ฉันกับนายได้มาเจอกันวันนี้ไง นายเข้าใจว่าอะไรล่ะ?” วิศรุตปฎิเสธเสียงห้วนสั้นว่าเปล่า ก่อนจะผินหน้าไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ “กลับมาจากอังกฤษตั้งแต่เมื่อไหร่?” จู่ๆนภัทรก็เปลี่ยนเรื่อง ทำเอาวิศรุตปรับอารมณ์ตามไม่ค่อยทันแต่ก็ยอมตอบคำถามนั่นแต่โดยดี

   “ไม่กี่วันนี้เอง พอดีที่บ้านโทรไปบอกว่ายัยศราเจ็บหนักเข้าโรงพยาบาล ฉันก็เลยต้องมาดูหน่อย” นภัทรพยักหน้าเชิงว่ารับรู้ก่อนคุณหมอจะนิ่งไปซักพักแล้วตัดสินใจเอ่ยออกมาในที่สุด

   “ไปหากาแฟดื่มสักถ้วย แล้วนั่งคุยกันดีไหม? จะได้ย้อนคุยถึงเรื่องเก่าๆสมัยเรียนยังไงล่ะ” วิศรุตกลืนก้อนแข็งๆลงคอแล้วตัดใจเอ่ยปฎิเสธคำชวนของคุณหมอหนุ่มตรงหน้า

   “อย่าดีกว่า รบกวนเวลานายเปล่าๆ อีกอย่างฉันไม่อยากไปย้อนคิดเรื่องเก่าๆอีกแล้ว” เรื่องของเขากับนภัทรมันจบลงตั้งแต่คืนนั้น คืนที่นภัทรปฎิเสธความรักของเขาอย่างไม่ไยดี เรียกให้ถูกก็คือมันจบตั้งแต่ยังไม่เริ่มเสียด้วยซ้ำ แค่คิดมาถึงตรงนี้ วิศรุตก็รู้สึกสมเพชตัวเองเต็มทน ชายหนุ่มยิ้มขื่นกับตัวเองก่อนหมุนตัวตั้งใจจะเดินหนีไปจากตรงนั้น วิศรุตรู้สึกว่าตังเองเริ่มทนกับสายตาแบบนี้ของนภัทรที่มองมาไม่ได้อีกต่อไป

   “ฉันดีใจนะที่ได้เจอนายอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าครั้งนี้เราจะต้องกลายมาเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ตาม” นภัทรพูดไล่หลังเขา

   “สักวันนายอาจจะนึกเสียใจก็ได้ ที่เราได้มาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง” วิศรุตพูดเบาๆกับตัวเองโดยไม่ได้หันกลับไปมองนภัทร




   การดำเนินชีวิตประจำวันของวิศรุตไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนักหลังจากที่ได้พบนภัทรอีกครั้งที่โรงพยาบาลในวันนั้น ชายหนุ่มเข้ามาทำงานในออฟฟิสบ้างบางวันเพื่อไม่ให้ผู้บริหารและบรรดาพนักงานคนอื่นๆค่อนแคะเอาได้ว่าประธานกรรมการของทัดเทวาทำตัวลอยชายไปวันๆ ไม่เอาการเอางานอย่างที่คุณมงคลชอบกล่าวหาเขาบ่อยๆ เมื่อนึกถึงคุณวรุตผู้เป็นบิดาที่เป็นคนสร้างบริษัทแห่งนี้ให้เติบใหญ่ขึ้นมากับมือ ชายหนุ่มในฐานะลูกชายคนเดียวก็ควรจะเข้ามาดูแลบริษัทบ้าง อย่างน้อยก็ช่วงที่ศรารัตน์กำลังนอนเจ็บหนักอยู่ที่โรงพยาบาลขณะนี้

   พอนึกถึงศรารัตน์ วิศรุตก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงใครอีกคน การเผชิญหน้ากับนภัทรอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวในวันนั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอีกครั้งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานแล้ว แม้ว่าวิศรุตจะเคยสัญญากับตัวเองมาตลอดว่าจะลบความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับคนๆนั้นออกไปจากใจ ช่วงเวลาที่เขาไปเรียนต่อและใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกก็เหมือนว่าเขาจะทำได้สำเร็จแล้ว ถึงแม้ในตอนแรกๆจะยังทำใจไม่ได้แต่ความรู้สึกในเวลาต่อมาก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนตอนสมัยม.ปลายอีกแล้ว เขาเคยคิดว่าตัวเองสามารถลืมนภัทรได้จริงๆ แต่เปล่าเลย พอเขากลับมาเมืองไทย ข่าวคราวของเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่เขาอยากรู้มากที่สุดก็ยังคงเป็นนภัทรอยู่ดี เขาอยากรู้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นยังไงและตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่  นภัทรจะเคยนึกถึงเขาบ้างไหมนะ แล้วเขาเคยอยู่ในความทรงจำของฝ่ายนั้นบ้างหรือเปล่า นึกมาถึงตอนนี้วิศรุตได้แต่แค่นยิ้มกับตัวเอง ไม่มีทางที่คนอย่างนภัทรจะมาคิดถึงเขาหรอก ฝ่ายนั้นจะมามัวคิดถึงคนที่ตัวเองเคยเกลียดแสนเกลียดได้อย่างไร เพราะนภัทรไม่ได้มอบความรักให้เขาอย่างที่เขามอบให้ฝ่ายนั้นอย่างหมดใจ แต่เพียงสิ่งเดียวที่เขาได้รับจากฝ่ายนั้นเป็นสิ่งตอบแทนสำหรับความรู้สึกพิเศษที่มีให้ตลอดเวลาที่ผ่านมานั่นคือ...ความเกลียดชัง
   วิศรุตหมุนปากกาในมือเล่นอย่างใจลอย ความคิดของชายหนุ่มวนไปวนมาถึงเรื่องนภัทรซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ตอนนี้เขา ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าเวลาไม่ได้ช่วยให้ตัวเองลืมฝ่ายนั้นได้เลย  ถ้าเพียงศรารัตน์ไม่ประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาล...ถ้าเพียงเขาไม่กลับมาเมืองไทยเพื่อมาเยี่ยมอาการน้องสาว...ถ้าเพียงนภัทรไม่ใช่นายแพทย์นภัทร อิสรีย์ แพทย์เจ้าของไข้ของศรารัตน์...ถ้าเพียงเขาลบเหตุการณ์ในคืนนั้นออกไปจากใจได้...ถ้าเพียง...

   ก๊อกๆๆ

   เสียงเคาะประตูทำให้นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของตำแหน่งประธานกรรมการของบริษัททัดเทวาหลุดจากภวังค์ ชายหนุ่มอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาได้ คงเป็นคุณอิงอรเลขาของเขาเอาแฟ้มงานกองโตมาให้เขาพิจารณาอีกแน่ วิศรุตคิดแล้วก็แอบเบ้หน้าด้วยความเบื่อแล้วคิดว่าเมื่อไหร่ที่ศรารัตน์กลับมาคุมบริษัทได้ เขาจะหนีไปใช้ชีวิตแบบเดิมที่เมืองนอกเสียให้รู้แล้วรู้รอด

   คนที่มารบกวนการทำงานของเขาเป็นอิงอรจริงๆ แต่เบื้องหลังเลขาของเขายังมีอีกคนเดินตามเข้ามาด้วย

   “ท่านประธานคะ คุณภาณุมาขอพบค่ะ” วิศรุตเงยหน้าขึ้นมองแขกที่มาขอพบก่อนจะยิ้มกว้างเพราะกำลังนึกอยากเจอเพื่อนสนิทคนนี้อยู่พอดี หลายวันมานี้เขาแทบไม่ได้ติดต่อภาณุเลยด้วยเพราะต้องเริ่มศึกษางานที่บริษัทระหว่างที่ศรารัตน์ไม่อยู่ ประจวบกับช่วงนี้ภาณุเองก็กำลังยุ่งๆกับบริษัทอัญมณีซึ่งเป็นกิจการส่วนตัวของทางบ้านฝ่ายนั้นเช่นกัน โอกาสจะได้เจอกันก็หาได้ยากกว่าเมื่อก่อน เพราะตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ จะให้เที่ยวเตร่ด้วยกันบ่อยๆเหมือนสมัยเรียนคงไม่ได้อีกแล้ว

   “ผมมารบกวนเวลาทำงานของท่านประธานกรรมการหรือเปล่าครับเนี่ย?” วิศรุตขำพรืดกับคำเรียกขานที่เพื่อนสนิทใช้แซวตนเอง ชายหนุ่มหันไปส่งสายตาให้อิงอรเป็นเชิงว่าให้เตรียมของว่างกับกาแฟเข้ามาให้ด้วยซึ่งเลขาคนนี้ของเขาก็รู้หน้าที่ตนเป็นอย่างดี

   “ว่าไงไอ้โอม ทำไมวันนี้มาหาฉันถึงที่ทำงานได้เนี่ย ลมอะไรหอบมา?” วิศรุตถามหลังจากอิงอรออกไปแล้ว

   “ถามได้ ก็ลมคิดถึงน่ะสิ” ภาณุขำกับหน้าปูเลี่ยนๆของเพื่อนสนิทที่ทำหน้าขนลุกกับคำตอบที่ได้รับ

   “นี่ถ้าฉันเป็นผู้หญิงได้ฟังแบบนี้จะต้องหัวใจละลายจนอ่อนยวบแน่เลย” วิศรุตพูดแซวภาณุอีกสองสามคำก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นการเป็นงานมากขึ้น “แล้วตกลงว่าที่นายมาหาฉันเนี่ยเพราะคิดถึงอย่างเดียวหรือว่ามีธุระอะไรหรือเปล่า?”วิศรุตถามเพราะสงสัยว่าร้อยวันพันปีภาณุไม่เห็นเคยจะมาหาเขาที่บริษัทสักครั้ง โดยเวลานัดเจอกันทุกครั้งจะนัดเจอที่ข้างนอกเสียมากกว่า

   “ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหล่ะ พอดีฉันมาเจรจางานแถวนี้เสร็จแล้วก็เลยคิดว่าจะมาชวนนายไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน อีกอย่างคิดว่าจะได้ไปเยี่ยมยัยศราด้วย” ตั้งแต่ศรารัตน์ป่วยเข้าโรงพยาบาล เขายังไม่ได้ไปเยี่ยมเลยสักครั้ง จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้สนิทสนมกับหญิงสาวเหมือนที่สนิทสนมกับวิศรุต แต่เพราะศรารัตน์ชื่อได้ว่าเป็นน้องสาวของวิศรุตเพื่อนสนิท ตนก็ควรจะแสดงน้ำใจบ้างอย่างน้อยเขาเองก็รู้จักฝ่ายนั้นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก

   บทสนทนาเว้นช่วงไปตอนที่อิงอรเอากาแฟและของว่างเข้ามาเสริ์ฟให้กับทั้งคู่ ภาณุละเลียดชิมกาแฟหอมกรุ่นฝีมืออิงอรก่อนจะเอ่ยชมว่าอร่อยซึ่งทำเอาคนชงถึงกับหน้าบานกับคำชมของเพื่อนสนิทเจ้านายไม่น้อย ก่อนจะขอตัวไปทำงานที่ค้างไว้ต่อ

   “ว่าไงล่ะ จะไปด้วยกันหรือเปล่า?” ภาณุถามเพราะเห็นวิศรุตนิ่งไปกับคำชวนของตน เขาเองไม่ได้จะคิดมากอะไรหากว่าวิศรุตจะปฏิเสธ ด้วยเพราะพอรู้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างวิศรุตและศรารัตน์ไม่ค่อยปกติเหมือนพี่น้องคู่อื่นๆ คงจะกลัวมีเรื่องกับยัยศรา เพราะทั้งคู่เองก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ ภาณุคิดในใจ

   “ฉันได้เจอเขาแล้ว” จู่ๆวิศรุตก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา ทำเอาภาณุงงไปเล็กน้อยว่าคู่สนทนากำลังพูดถึงใคร “ฉันเจอกับนภัทรแล้ว” วิศรุตต่อให้เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเพื่อนสนิท

   “อะไรนะ”ภาณุถามย้ำอย่างไม่เชื่อหู ก่อนที่วิศรุตจะถอนหายใจเฮือกแล้วตัดสินใจเล่าเรื่องที่เจอนภัทรที่โรงพยาบาล ให้คู่สนทนาฟังเพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะมีความลับกับเพื่อนคนนี้อยู่แล้ว

   “สรุปว่านภัทรกลายมาเป็นหมอเจ้าของไข้ยัยศราเนี่ยนะ?” วิศรุตพยักหน้ายอมรับ “แล้วยัยศรารู้หรือเปล่าว่านายเคยชอบนภัทร เอ้อ เคยรู้จักกันมาก่อน?”

   “ฉันโกหกไปว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เหมือนยัยศราก็ดูจะสงสัยนิดหน่อย แต่ก็ช่างเถอะเพราะอย่างน้อยนภัทรก็ช่วยยืนยันว่าเราไม่เคยรู้จักกัน ยัยศราคงไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องนี้นักหรอก” เมื่อคิดถึงเรื่องตอนนั้น วิศรุตอดรู้สึกเสียวแปลบในใจไม่ได้...เขากับนภัทรเป็นได้แค่เพียงคนที่ไม่รู้จักกันเท่านั้น

   เหมือนภาณุจะสังเกตสีหน้าที่ผิดปกติไปของวิศรุต ชายหนุ่มจึงเอ่ยออกมาว่าไม่ต้องไปเยี่ยมศรารัตน์เป็นเพื่อนเขาก็ได้ เพราะวิศรุตอาจจะยังไม่พร้อมจะเจอนภัทรในเวลานี้ อีกอย่างเขากลัวว่าวิศรุตจะไปปะทะคารมกับศรารัตน์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดตั้งแต่เด็กอีกด้วย คงไม่ใช่เรื่องดีนักหากจะไปชวนคนป่วยทะเลาะแบบนั้น แต่ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาจากวิศรุตทำให้เขาแปลกใจเล็กน้อย เวลาคงจะทำให้วิศรุตเข้มแข็งขึ้นจริงๆ

   “ฉันจะไปกับนายด้วย นภัทรเป็นหมอคงมีงานต้องทำเยอะ คงไม่ได้มาดูแลคนไข้อย่างยัยศราเพียงคนเดียวหรอก อีกอย่างถึงต้องเจอกันก็แล้วยังไงล่ะ ไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะต้องวิ่งหนีอีก นายคิดดูสิว่าเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องวิ่งหนีหรือหลบหน้าคนที่เพิ่งรู้จักกันด้วย”




   การคาดการณ์ของวิศรุตนั้นผิดเมื่อทั้งเขาและภาณุเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้าไปแล้วพบว่านอกจากศรารัตน์แล้วยังมีอีกคนหนึ่งอยู่ในห้องด้วย  ร่างสูงสมส่วนในชุดเสื้อกราวน์สีขาวที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่ถูกลากมาใกล้ข้างเตียงคนป่วยยืดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหันไปมองผู้มาใหม่สองคน ใบหน้าคุณหมอหนุ่มที่ประดับด้วยรอยยิ้มเมื่อครู่ยามเมื่อสนทนากับศรารัตน์กลับคลายยิ้มลงโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ภาณุและวิศรุต

   “สวัสดีครับคุณหมอ” วิศรุตเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อนพร้อมใบหน้าฉาบรอยยิ้มที่นภัทรมองออกว่าเจ้าตัวคงไม่ได้ตั้งใจยิ้มให้เขาเป็นแน่ ก่อนคุณหมอหนุ่มจะทักทายตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ ดวงตาสีถ่านภายใต้แว่นตาไร้กรอบมองไล่ไปยังอีกคนหนึ่ง ที่มากับวิศรุตด้วย ก่อนจะส่งยิ้มบางๆให้กับฝ่ายนั้นเพราะถึงจะแสร้งว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ถึงอย่างไรภาณุเองก็เคยเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขาสมัยตอนเรียนมัธยม การที่ทำเฉยเมยต่ออีกฝ่ายดูจะเป็นการเสียมารยาทเกินไปในความคิดของนภัทร ซึ่งนภัทรเองก็ไดัรับรอยยิ้มสุภาพกลับคืนมาเช่นกัน แม้จะไม่มีคำทักทายที่บ่งบอกว่าทั้งคู่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ตาม วิศรุตคงเล่าเรื่องให้ภาณุฟังแล้ว นภัทรคิดในใจเงียบๆ

   “เอาอีกแล้วนะวิน ทำไมจะเข้ามาไม่มีเคาะประตูก่อนล่ะ” เสียงศรารัตน์ดังขึ้นทำลายสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้ วิศรุตสบตาศรารัตน์อย่างไม่ค่อยพอใจนัก จริงอยู่ว่าเขาผิดที่ไม่ได้เคาะประตูก่อนแต่น้องสาวตัวดีไม่น่าจะหลอกด่าเขาเรื่องความไม่มีมารยาทต่อหน้าบุคคลอื่นแบบนี้

ศรารัตน์เมินสายตานั้นก่อนจะหันไปทักทายผู้มาใหม่อีกคนที่ตอนนี้เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงของเธอ

   “สวัสดีค่ะพี่โอม” ภาณุรับไหว้หญิงสาวก่อนจะวางของเยี่ยมเอาไว้ตรงชั้นวางของใกล้ๆกัน

   “เป็นไงบ้างน่ะเรา? กระดูกเหล็กจริงๆเลยแม่คนนี้” ศรารัตน์หัวเราะเล็กน้อยกับคำชมกึ่งประชดของเพื่อนสนิทพี่ชายก่อนจะบอกว่าตอนนี้ตนดีขึ้นมากแล้วอีกไม่นานก็คงจะออกจากโรงพยาบาลได้เพราะตนชักเบื่อการนอนนิ่งๆแบบนี้เต็มที

   “นึกว่าจะชอบที่นี่จนไม่อยากกลับซะอีก” วิศรุตอดพูดขึ้นมาลอยๆไม่ได้ ดูจากตอนเข้ามาที่เห็นว่าศรารัตน์กำลังหัวเราะพูดคุยอย่างร่าเริงอยู่กับคุณหมอเจ้าของไข้ ไม่ได้มีแววเบื่อโรงพยาบาลสักนิดอย่างที่เจ้าตัวพูด

   “จะมาชวนทะเลาะอะไรอีกล่ะวิน”ศรารัตน์สีหน้าเข้มขึ้นกับคำพูดของพี่ชาย เจอหน้าทีไรต้องเป็นแบบนี้ทุกทีเลย

   “ถ้าคุณศรามีเพื่อนคุยแล้ว อย่างนั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ แล้วจะมาคุยด้วยใหม่วันหลัง” นภัทรคลี่ยิ้มอบอุ่นให้กับคนป่วยที่นอนพิงหมอนอยู่บนเตียงก่อนจะขอตัวออกจากห้องไป โดยหลังจากนภัทรออกไปแล้ว ทั้งห้องก็กลับเข้าสู่ความเงียบทันทีจนภาณุกลัวว่าจะเกิดสงครามน้ำลายขึ้นมาเสียก่อนหากบรรยากาศตึงเครียดไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มจึงหาเรื่องคุยขึ้นมา

   “พี่ซื้อพวกผลไม้กับของบำรุงมาเยอะเลย ศราทานเยอะๆนะครับจะได้หายไวๆ ไอ้วินน่ะบ่นบ่อยๆว่าศราทิ้งบริษัทให้มันรับผิดชอบคนเดียว มันจะเฉาตายอยู่แล้วเพราะโดนเพ่งเล็งจากพวกผู้บริหารแล้วก็ญาติๆที่เป็นกรรมการบริษัท ไอ้วินบ่นจนพี่ฟังหูจะแฉะอยู่แล้วเนี่ย ใช่ไหมไอ้วิน?” ภาณุพูดติดตลกแถมท้ายประโยคโยนให้วิศรุตด้วยซะงั้น แต่ตอนนี้วิศรุตและศรารัตน์ไม่มีอารมณ์จะขำกับคำพูดของภาณุเท่าใดนัก

   “ยัยศราคงยังไม่อยากรีบออกจากโรงพยาบาลเท่าไหร่หรอกมั๊ง ปากก็บอกว่าเบื่อ แต่เมื่อกี้ตอนที่คุยกับคุณหมอไม่เห็นเธอจะแสดงอาการเบื่อให้เห็นอย่างที่พูดเลย” วิศรุตที่ยืนกอดอกอยู่พูดขึ้น ภาณุส่งสีหน้าจะบ้าตายให้เพื่อนสนิทแทนคำพูด ชายหนุ่มรู้ดีกว่าวิศรุตเริ่มก่อสงครามน้ำลายอีกแล้วและศรารัตน์ก็ดูท่าทางจะยอมคนเสียเมื่อไหร่

   “หมอกานต์เค้ามาคุยเป็นเพื่อนแก้เบื่อให้ฉันต่างหาก นายก็อย่ามาหาเรื่องนักเลย วันนี้ฉันอารมณ์ดีๆอย่ามาทำให้อารมณ์เสียเลย ขอร้อง” สรรพนามที่ศรารัตน์ใช้เรียกนภัทรเปลี่ยนไปจากคุณหมอนภัทรเป็นหมอกานต์ และจากที่นภัทรเคยเรียกน้องสาวเขาว่าศรารัตน์กลับเปลี่ยนเป็นคุณศรา มันบ่งบอกได้ดีถึงความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้นถึงขนาดให้เรียกชื่อเล่นกันได้อย่างสนิทปาก  วิศรุตกัดสันกรามแน่น ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววไม่พอใจให้เห็นครู่นึงก่อนจะหายไปในแทบจะทันที แต่ถึงอย่างนั้นภาณุก็ยังสังเกตเห็นอยู่ดี ดีที่ศรารัตน์ไม่ทันเห็นเพราะหญิงสาวเชิดหน้าเมินไปอีกทาง

   “ถ้าเป็นแค่เพื่อนคุยแก้เหงาแก้เบื่อก็แล้วไป แต่อย่าให้เป็นมากกว่านั้นก็แล้วกัน” วิศรุตลงท้ายเสียงหนักในประโยคสุดท้าย ถ้าคนที่ไม่เคยรู้เรื่องวิศรุตกับนภัทรมาก่อนก็คงจะคิดว่าวิศรุตคงเกิดอาการหวงน้องสาวคนสวยขึ้นมาฉับพลัน แต่สำหรับศรารัตน์กับภาณุแล้วมันไม่ใช่ ศรารัตน์นึกแปลกใจกับคำพูดของพี่ชาย แต่ด้วยความรั้นและไม่ยอมลงให้พี่ชายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้เธอแค่นยิ้มเย็นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนอารมณ์คนฟังให้ยิ่งขุ่นขึ้นไปอีก

   “ถ้าเป็นมากกว่านั้นแล้วจะทำไมล่ะ? หมอกานต์เองก็จัดว่าโอเค ถึงแม้ฐานะจะไม่ได้ร่ำรวยถึงขั้นเศรษฐีแต่ก็ไม่ได้ขัด สนอะไร หน้าที่การงานก็มั่นคง อัธยาศัยก็ดีมีน้ำใจ แถมหล่ออีกต่างหาก”

   “เพิ่งรู้จักกันไม่นาน เธอยังไม่รู้จักนิสัยแท้จริงของหมอนั่นดีพอเลย แล้วมาพูดอย่างกับว่ารู้จักกันมาเป็นสิบปีงั้นแหล่ะ”

   “แล้วนายเองก็มาพูดเหมือนรู้จักเขามาเป็นสิบปีงั้นแหล่ะ ถ้าจะมาเพื่อชวนทะเลาะละก็ วันหลังไม่ต้องมานะ” คำพูดของศรารัตน์ทำเอาวิศรุตสะอึก ใช่สิเขารู้จักนภัทรมาเป็นสิบปีถึงได้รู้ว่าฝ่ายนั้นแบบคนแบบไหน เย็นชาไม่มีหัวใจแค่ไหน แต่บางทีไอ้นิสัยแบบนี้นภัทรอาจจะแสดงเฉพาะกับเขาเท่านั้นก็ได้ กับคนอื่นฝ่ายนั้นคงดีด้วยไม่มากก็น้อย วิศรุตได้แต่เม้มปากแน่น

   ภาณุกลัวว่าเรื่องจะยิ่งบานปลายเข้าไปใหญ่ แล้วเกิดศรารัตน์ระแคะระคายเรื่องนภัทรกับวิศรุตขึ้นมามันจะยิ่งแย่ ชายหนุ่มเลยพยายามตัดบทสนทนาให้จบแค่นี้ “เอ่อ พี่ว่าศราพักผ่อนดีกว่านะ...”

   “ที่พูดเพราะห่วงหรอกนะ ไม่อยากให้โดนผู้ชายหลอก เธอก็รู้ดีนี่นาว่ามีผู้ชายตั้งเยอะแยะอยากจะเลื่อนระดับตัวเองด้วยการเกี่ยวดองกับทัดเทวา” ภาณุตกใจกับคำพูดแรงของเพื่อนสนิท ถ้าวิศรุตหมายถึงผู้ชายคนอื่นเขาจะไม่แปลกใจเลย เพียงแต่ว่าครั้งนี้วิศรุตหมายถึงนภัทร อิสรีย์ คนพูดก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่านภัทรไม่น่าจะเป็นผู้ชายที่เลวถึงขนาดหลอกใช้ความรู้สึกของผู้หญิงเพื่อยกระดับฐานะตัวเองหรอก

ดูเหมือนว่าวิศรุตก็ตกใจกับสิ่งที่ตนพูดออกไปเช่นกัน แต่เขายอมให้ศรารัตน์ชอบนภัทรไม่ได้เด็ดขาด และถึงนภัทรจะไม่ได้รักเขาก็ตาม แต่อย่างน้อยคนที่ได้หัวใจของฝ่ายนั้นไปจะต้องไม่ใช่ศรารัตน์ คนๆนั้นจะต้องไม่ใช่น้องสาวของเขาคนนี้อย่างเด็ดขาด

   “นี่มันเรื่องส่วนตัวของฉัน นายไม่เกี่ยว ฉันตัดสินใจเองได้ แล้วฉันก็ไม่ใช่เด็กอมมือที่จะไม่ทันเกมของคนอื่น ดังนั้นนายสนใจเรื่องของตัวเองไปเถอะ อย่ามาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของฉัน เพราะขนาดเรื่องส่วนตัวของนาย ฉันเองก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งสักครั้ง” ศรารัตน์เอ่ยเสียงเย็นเยียบ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมวิศรุตถึงมีอคติกับหมอกานต์ของเธอนักหนา ทั้งที่ปกติแต่ก่อนเธอควงหรือคบผู้ชายคนไหน วิศรุตไม่เห็นเคยจะสนใจซักนิด ตอนนี้นึกยังไงมาห่วงว่าเธอจะโดนผู้ชายอย่างหมอกานต์หลอก ศรารัตน์เหลียวหน้าไปสบตาวิศรุตอย่างถือดี ในตอนนี้ความอยากเอาชนะพี่ชายมีเหนือกว่าอะไรทั้งหมด

   วิศรุตแค่นเสียงเย็นชาก่อนจะสาวเท้ายาวๆออกจากห้องไปพร้อมกับประตูที่ถูกปิดดังปังตามแรงอารมณ์อย่างไม่เกรงใจคนป่วยห้องอื่นเลยซักนิด

   ภาณุมองตามวิศรุตไปอย่างเข้าใจความรู้สึก เขาเป็นเพื่อนสนิทกับวิศรุตมานานหลายปี ทำไมจะไม่รู้ว่าเพื่อนเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ วิศรุตคงกำลังเกิดอาการที่เรียกง่ายๆว่า “หึง” น้องสาวตัวเองกับนภัทรอยู่แน่ๆ ถ้าทั้งคู่ลงเอยด้วยกันจริงๆ คนที่เสียใจที่สุดก็หนีไม่พ้นวิศรุตอยู่ดี


จบบทที่ 7

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่8
«ตอบ #22 เมื่อ31-07-2012 11:31:18 »

บทที่ 8


   หลังจากทะเลาะกับน้องสาวตัวดีไปเสียยกใหญ่ วิศรุตก็เดินดุ่มๆออกจากห้องพักผู้ป่วยด้วยสีหน้าและท่าทางที่ไม่สบอารมณ์นัก ชายหนุ่มนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปยังเคาเตอร์พยาบาลของวอร์ดนั้นแล้วบอกว่าตนต้องการพบนายแพทย์ นภัทร อิสรีย์
พยาบาลผู้นั้นถามถึงจุดประสงค์ที่ต้องการพบคุณหมอนภัทรซึ่งวิศรุตก็แกล้งบอกไปว่าเขาต้องการพบหมอนภัทรเพราะต้องการปรึกษาเรื่องอาการป่วยของศรารัตน์ ผู้เป็นน้องสาว ก่อนเจ้าตัวจะส่งยิ้มนุ่มนวลให้พยาบาลสาวคนนั้นไปทีหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ทำให้เจ้าหล่อนถึงกับยิ้มด้วยความเขินก่อนจะยกหูโทรศัพท์เพื่อติดต่อธุระให้กับวิศรุต

   “เดี๋ยวดิฉันจะนำคุณไปยังห้องทำงานของคุณหมอนภัทรค่ะ” พยาบาลสาวบอกหลังจากวางหูโทรศัพท์ไปแล้วก่อนจะเดินนำวิศรุตขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสิบของอาคารซึ่งถูกจัดเป็นส่วนห้องทำงานของบรรดาศัลยแพทย์ของโรงพยาบาลแห่งนี้

   “กรุณารอสักครู่นะคะ พอดีคุณหมอติดตรวจเคสรายอื่นพอดี แต่อีกไม่นานก็จะขึ้นมาแล้วล่ะค่ะ” นางพยาบาลบอกวิศรุตอีกครั้งเมื่อทั้งคู่มาถึงห้องทำงานที่ป้ายระบุหน้าห้องไว้ว่า นายแพทย์ นภัทร อิสรีย์ วิศรุตยิ้มเป็นเชิงขอบคุณให้คนที่พามาก่อนเลือกที่จะนั่งลงบนชุดโซฟารับแขกสีครีมกลางห้องเพื่อรอพบคนที่อยากเจอ

   เพียงไม่นานประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออกโดยแพทย์หนุ่มเจ้าของห้อง วิศรุตมองสบตานภัทรด้วยสายตาเยือกเย็นก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรของเขา

   “พยาบาลที่วอร์ดบอกว่าคุณวิศรุตอยากพบผม” นภัทรเปิดบทสนทนาทันทีก่อนผายมือเชิญให้แขกนั่งลงที่โซฟาเหมือนเดิม ก่อนเจ้าของห้องจะวางแฟ้มงานลงบนโต๊ะทำงานแล้วเดินอ้อมไปนั่งยังอีกฝั่งของโซฟารับแขก “ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเหรอครับ ถ้าหากว่าเป็นอาการป่วยของคุณศรารัตน์ ผมคิดว่า...”

   “อย่ายุ่งกับศรารัตน์” คำพูดเรียบสั้นทำให้นภัทรกระตุกยิ้มที่มุมปาก

   “ผมเป็นหมอเจ้าของไข้เธอ”

   “คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น คุณหมอเองก็เป็นคนฉลาด น่าจะเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังพูด” แน่นอนว่านภัทรเข้าใจดีทีเดียวว่าวิศรุตหมายความว่าอย่างไรในน้ำเสียงนั้น นภัทรหยักยิ้มมุมปาก ความรู้สึกลึกๆบางอย่างทำให้เขานึกอยาก แกล้งคนตรงหน้าขึ้นมาทันที

   “ถ้าเป็นเรื่องที่ผมสนิทสนมกับคุณศราเกินกว่าการตรวจอาการคนไข้ตามปกติแล้วล่ะก็ ผมขอยืนยันได้เลยว่าผมและน้องสาวของคุณพูดคุยกันอย่างบริสุทธิ์ใจและที่สำคัญเราถูกอัธยาศัยกันมากเลยทีเดียว” หัวใจของวิศรุตกระตุกเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนมาดขรึมเย็นชาแบบนภัทรจะมาถูกอัธยาศัยใจคอผู้หญิงแบบน้องสาวเขาได้

   “อย่างยัยศราเนี่ยนะ?” คู่สนทนาเผลอหลุดปากพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ทำให้นภัทรต้องกลั้นยิ้มไว้ก่อนปั้นหน้าเอ่ยต่อ

   “ครับ คุณศราเธอทั้งสวย น่ารัก คุยเก่ง อยู่ใกล้เธอแล้วรู้สึกว่าโลกนี้ดูสดใสขึ้นมากกว่าเดิม เธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มากทีเดียว” ถ้อยคำที่นภัทรพูดล้วนมาจากใจจริง หลังจากที่เขาได้พูดคุยกับศรารัตน์บ่อยๆทำให้เขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์ในตัวเองและก็น่าสนใจมากทีเดียว ซึ่งความน่าสนใจอันดับแรกก็คือนามสกุลดังอย่างทัดเทวาซึ่งเป็นนามสกุลเดียวกับวิศรุตนั่นแหล่ะ

   “ถ้าคุณสนใจยัยศราล่ะก็ เลิกคิดไปเสียดีกว่าเพราะยัยศรามีคนรักอยู่แล้วก็คือภาณุ เพื่อนผมยังไงล่ะ” วิศรุตปดคำโตออกไป ในใจก็ภาวนาขอโทษขอโพยภาณุไปด้วยที่ต้องเอาชื่อฝ่ายนั้นมาอ้างเพราะตอนนี้เขานึกอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ

   คำพูดของวิศรุตทำให้นภัทรเลิกคิ้วสงสัยเพราะศรารัตน์เองเคยบอกเขาว่าเธอยังไม่มีคนรักที่ไหน เพียงครู่เดียวสมองอันชาญฉลาดของหมอนภัทรก็เข้าใจทุกอย่าง วิศรุตคงโกหกเพื่อให้เขาเลิกยุ่งกับน้องสาวฝ่ายนั้นเพราะจากการสังเกตท่าทางของศรารัตน์ยามได้พบกับภาณุตอนชายหนุ่มมาเยี่ยม เขาไม่เห็นว่าทั้งคู่จะแสดงอาการให้เห็นเลยซักนิดว่าเป็นคนรักกัน

   “งั้นเหรอครับ แต่ผมคิดว่าคุณศรายังไม่มีคนรักเสียอีก เพราะเธอบอกเอาไว้อย่างนั้น” วิศรุตกัดฟันเจ็บใจที่คู่สนทนารู้ทันแถมยังทำหน้ายิ้มเยาะเขาอีก เขาไม่ยอมแพ้หรอก

   “ถึงไม่ใช่ภาณุ ก็ต้องเป็นคนอื่นที่เหมาะสมอยู่ดี พวกเราน่ะเป็นนักธุรกิจ จะคบหากับใครก็ต้องดูพื้นเพฐานะทางสังคมให้อยู่ในระดับเดียวกัน การแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ทางธุรกิจเป็นสิ่งปกติธรรมดาสำหรับนักธุรกิจอย่างพวกเรา แม้ว่ามันจะเป็นการแต่งงานที่ปราศจากความรักก็ตาม ฉะนั้นผมขอเตือนว่าถ้าตอนนี้คุณกำลังเกิดความรู้สึกพิเศษกับยัยศราไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใดก็ตาม ได้โปรดเลิกคิดเสียด้วยเพราะสุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดี”

   นภัทรอยากหัวเราะออกมาดังๆที่วิศรุตคิดไปไกลเกินแล้ว จริงอยู่ว่าเขาชอบศรารัตน์ แต่ก็เอ็นดูในฐานะน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งเท่านั้น แต่ชายหนุ่มเองก็ไม่มั่นใจว่าศรารัตน์จะคิดลึกซึ้งกับตนเหมือนอย่างที่พี่ชายเธอกำลังกลัวอยู่เหรอเปล่า  จะว่าไปวิศรุตจะมาเดือดร้อนแทนศรารัตน์ทำไม จะบอกว่าเป็นพี่ชายหวงน้องสาวก็คงจะไม่ถูกนักเพราะนภัทรรู้ดีว่าคู่สนทนาตรงหน้าเขากับศรารัตน์เป็นพี่น้องที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่จากคำบอกเล่าของศรารัตน์ ซึ่งในพักหลังเขาและหญิงสาวเริ่มสนิทกันอย่างรวดเร็วจนเธอกล้าเปิดใจเล่าเรื่องราวหลายๆเรื่องให้เขาฟังรวมถึงเรื่องนี้ด้วย หรือว่าวิศรุต...เรื่องราวอดีตสมัยมัธยมปลายแล่นเข้ามาในห้วงความคิด ก่อนริมฝีปากหยักโค้งได้รูปจะเอื้อนเอ่ยบางสิ่งออกมาที่ทำให้คนฟังนิ่งไปชั่วขณะ

   “ที่นายมาคอยกีดกันฉันกับคุณศรา เป็นเพราะนายยังชอบฉันอยู่ใช่ไหม?” คำถามจี้ใจดำทำให้วิศรุตพูดไม่ออก จะให้เขายอมรับไปได้อย่างไรล่ะว่าสิ่งที่นภัทรพูดนั้นเป็นความจริง เขาไม่อยากทนถูกฝ่ายนั้นมองด้วยความสมเพชอีกต่อไปแล้ว แต่ลึกๆในใจก็รู้สึกอึดอัดและเจ็บปวดกับความรู้สึกที่ต้องเก็บกดเอาไว้อยู่เรื่อยมา วิศรุตช้อนตาสีน้ำตาลโศกมองสบตาสีถ่านนิ่ง เนิ่นนานแล้วตัดสินใจเค้นเสียงเบาแต่ทว่าชัดเจนในความรู้สึกของผู้พูด

   “ฉันไม่ได้ชอบนาย แต่ฉัน...” คำว่ารักที่ตั้งใจจะบอกถูกกลืนกลับเข้าไปในลำคอของวิศรุตอีกครั้งเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวดังขึ้นตัดกับความอึมครึมระหว่างคนทั้งคู่ วิศรุตมองหน้าจอที่แสดงชื่อของสายที่เรียกเข้าก่อนตัดสินใจกดรับ

   “ครับลุงมั่น” วิศรุตกรอกเสียงลงไปแต่ดวงตาสีน้ำตาลยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของนภัทรตามเดิม “อะไรนะครับ...คุณอาวันชัยกับนายภาคินน่ะเหรอครับมาที่บ้านทัดเทวา ครับ...แล้วผมจะรีบไป” วิศรุตวางสายไปด้วยความงุนงงระคนแปลกใจกับสิ่งที่ลุงมั่น ลูกน้องคนเก่าคนแก่ของบ้านทัดเทวาโทรมารายงานเขา ลุงมั่นโทรมาบอกว่าคุณอาวันชัยกับลูกชายมาที่บ้านทัดเทวาพร้อมด้วยแขกผู้หญิงอีกคนที่ลุงมั่นไม่รู้จัก พร้อมกับเร่งให้ชายหนุ่มรีบกลับมาที่บ้านโดยเร็วเพราะคุณวันชัยมาที่บ้านทัดเทวาเพื่อจะพบวิศรุต 

   ทายาทหนุ่มของทัดเทวาขบกรามแน่นด้วยสีหน้าที่บ่งบอกอารมณ์ที่คาดเดาได้ยาก นี่อาวันชัยกับภาคินจะมาไม้ไหนอีก

   “วันนี้คุณคงยุ่ง เอาไว้เราค่อยพูดเรื่องนี้ต่อวันหลังก็แล้วกัน” นภัทรเอ่ยขึ้นมาก่อน ซึ่งวิศรุตก็สวนกลับอย่างรวดเร็ว

   “ผมไม่อยากคุยเรื่องนี้อีกแล้ว เอาเป็นว่าแค่คุณทำตามแบบที่ผมบอกไปก็พอ” วิศรุตสั่งเสียงห้วนก่อนจะรีบออกจากห้องทำงานนภัทรเพื่อบึ่งรถกลับไปที่บ้าน ตอนนี้ชายหนุ่มอยากรู้สาเหตุการมาเยี่ยมบ้านทัดเทวาของวันชัยกับภาคินแล้วก็ผู้หญิงคนนั้นมากที่สุด คำตอบที่เขาอยากได้คงรออยู่ที่บ้านแล้วเป็นแน่





   รถยุโรปคันงามแล่นเข้ามาจอดบริเวณบ้านทัดเทวาอย่างรวดเร็ว วิศรุตเปิดประตูฝั่งคนขับแล้วก้าวลงมาโดยไม่รอให้คนรถมาเปิดให้เหมือนอย่างทุกที ชายหนุ่มเหลียวหน้าไปสั่งนายทอง คนขับรถประจำบ้านทัดเทวาที่วิ่งกระหืดกระหอบมารับเจ้านายว่าให้เอารถของเขาไปเก็บก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปยังห้องโถงรับแขกโดยไม่รอช้า

   ในห้องรับแขกมีคนสามคนนั่งอยู่ก่อน สองคนคือญาติของเขาเอง ส่วนอีกคนที่นั่งข้างภาคินเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวย แต่ดูจากท่าทางแล้วคงแฝงด้วยจริตมารยาไม่น้อยเลยทีเดียว วิศรุตลอบประเมินในใจ ในขณะที่วันชัยหันมาเห็นเจ้าของบ้านที่กำลังเดินเข้ามาพอดี ฝ่ายนั้นจึงทักทายเขาด้วยเสียงที่จงใจดัดให้ฟังดูเอื้ออารีย์ในฐานะผู้เป็นอา

   “สวัสดีครับ” วิศรุตทักทายผู้สูงวัยกว่าตามมารยาทซึ่งวันชัยเองก็รับไหว้พร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงทักทายกับญาติผู้พี่ที่เขาไม่ค่อยอยากจะนับญาติด้วยเท่าไหร่นักอย่างภาคิน และสุดท้ายจึงหันไปรับไหว้ผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยซึ่งฝ่ายนั้นก็มองสบตากลับมาอย่างหยาดเยิ้มจนเขารู้สึกได้

   “คุณอามาหาผมที่นี่มีธุระอะไรเหรอครับ?” หลังจากนั่งลงที่โซฟาราคาแพงเรียบร้อยแล้ว วิศรุตเข้าเรื่องทันทีเพราะไม่อยากเสียเวลาอ้อมค้อมให้มากความ

   “ก็ไม่มีธุระอะไรมากมายหรอก พอดีวันนี้อาว่างก็เลยชวนเจ้าภาคินกับหนูเมมาเยี่ยมหลานน่ะ ถึงจะเจอกันที่บริษัทบ่อยๆแต่เราก็ไม่ได้มีโอกาสคุยอะไรกันมากเพราะทั้งอาและหลานก็ต่างงานยุ่งทั้งคู่ อาก็เลยหาโอกาสมาเยี่ยมหลานบ้างก็เท่านั้นแหล่ะ เอ้อ ดูสิ อาก็ลืมแนะนำแขกอีกคนไปเสียสนิทเลย” วิศรุตยังคงนิ่งรอให้วันชัยพูดต่อไปเรื่อยๆ “นี่คือหนูเมริษา เป็นลูกสาวเพื่อนสนิทของอาเอง เพิ่งจะเรียนจบตรีมาหมาดๆเลย” วิศรุตไล้สายตาพิจารณาหญิงสาวตรงหน้า ชายหนุ่มอดยอมรับในใจไม่ได้ว่าเมริษาถือว่าเป็นผู้หญิงที่จัดได้ว่าสวยเฉียบเลยทีเดียว แต่เรื่องนิสัยใจคอนี่สิที่เขาไม่รู้

   “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเมริษา ผมชื่อวิศรุต ทัดเทวาครับ” คำว่าทัดเทวาทำให้ภาคินแอบเบ้หน้า วิศรุตคงคิดล่ะสิว่านามสกุลนี้มันจะทำให้ฝ่ายนั้นดูยิ่งใหญ่เสียเต็มประดา แต่อาการนั้นก็ไม่รอดไปจากสายตาของวิศรุต ชายหนุ่มยิ้มเหยียดมุมปากเพราะรู้ว่าภาคินกำลังคิดอะไร ฝ่ายนั้นไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นสายเลือดของทัดเทวา

   “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ คุณวิศรุต เอ้อ เมขออนุญาตเรียกพี่วินตามชื่อเล่นได้ไหมคะ” เมริษาเอ่ยเสียงหวานตรงข้ามกับวิศรุตที่มีสีหน้ากระด้างขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ค่อยพอใจนักที่จะอนุญาตให้คนที่ไม่รู้จักกันดีหรือไม่ได้สนิทสนมมาเรียกชื่อเล่นของเขา แต่ด้วยต้องรักษามารยาททำให้วิศรุตเลือกที่จะเอ่ยอนุญาตออกไปท่ามกลางความพอใจของเมริษาและวันชัย

   “พอดีว่าก่อนที่จะมาที่นี่ฉันกับพ่อเราแวะไปเยี่ยมคุณลุงดิเรกพ่อของน้องเมมาน่ะ พอดีเจอน้องเมอยู่บ้านก็เลยจะชวนออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง แล้วสุดท้ายก็เลยชวนกันมาเยี่ยมนายที่บ้านเนี่ยแหล่ะ ถือซะว่าเป็นการชวนน้องเมออกมาชมคฤหาสน์ทัดเทวาด้วยไง” ภาคินพูดบ้างซึ่งก็ทำเอาวิศรุตเริ่มหน้าตึงอีกรอบ บ้านเขาไม่ใช่ที่ที่จะพาใครก็ได้มาเที่ยวเล่นหรอกนะ ทำตัวเหมือนกับตัวเองเป็นเจ้าของบ้านอย่างนั้นแหล่ะ วิศรุตปรามาสในใจแต่ใบหน้ากลับฉาบยิ้มกลบความไม่พอใจไว้อย่างแนบเนียนก่อนแสร้งถามเมริษา

   “แล้วเป็นยังไงบ้างครับ บ้านของพี่สวยสู้บ้านของน้องเมได้หรือเปล่า?”

   “ต้องสวยกว่ามากอยู่แล้วค่ะ ตอนแรกคุณอากับพี่ภาคินบอกเมว่าสวยแล้วก็ใหญ่โตอย่างกับคฤหาสน์ แต่พอได้มาเห็นจริง เมว่ามันไม่ใช่คฤหาสน์แล้วล่ะค่ะ อย่างนี้ต้องเรียกว่าพระราชวังเลยทีเดียว” เมริษาพูดพร้อมรอยยิ้มเจือขบขันเล็กน้อย ทำให้วิศรุตต้องยกยิ้มให้กับความฉลาดพูดของผู้หญิงตรงหน้า ดูท่าเธอคงจะไม่ใช่พวกสวยแต่สมองกลวงเป็นแน่ 

   “ถ้าชอบก็มาบ่อยๆได้เลยนะจ้ะหนูเม วินคงไม่ขัดข้องใช่ไหมล่ะ?” ท้ายประโยคคุณวันชัยหันไปถามหลานชายซึ่งถือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แต่กลับถูกวิศรุตปฎิเสธเอาดื้อๆอย่างไม่ไว้หน้าผู้เป็นอา

   “พี่ว่าถ้าน้องเมจะมาที่นี่บ่อยๆก็คงจะไม่ค่อยสะดวกน่ะครับเพราะว่าพี่ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไหร่ กลัวว่าจะต้อนรับได้ไม่ดีนัก” คำพูดเรียบๆของวิศรุตทำเอาวันชัยต้องตวัดสายตามองอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ผู้สูงวัยกว่ารู้สึกได้ว่าวิศรุตต้องการหักหน้าเขาชัดๆ

   “เอ่อ อาคิดว่า...” ยังไม่ทันพูดจบ เมริษาก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

   “ถ้าพี่วินไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไหร่ เมมาที่นี่ก็คงจะไม่สะดวกอย่างที่พี่วินบอกจริงๆแหล่ะค่ะ เพราะถ้ามาแล้วไม่เจอพี่วิน เมเองก็ไม่รู้ว่าจะมาเพื่ออะไร” คำพูดของหญิงสาวทำให้เขาอึ้งอีกรอบโดยเฉพาะประโยคท้ายสุด ชายหนุ่มพิศมองดวงหน้าสะสวยของเธอก่อนจะพบกับรอยยิ้มนุ่มนวลและแววตาที่แสดงถึงความสนใจที่มีต่อเขาอย่างไม่คิดจะปิดบัง ตอนนี้วิศรุตพอจะเดาจุดประสงค์การมาบ้านทัดเทวาของผู้เป็นอาได้อย่างลางๆแล้ว ที่แท้ก็อยากจับคู่ให้เขากับเมริษานี่เอง




   หลังจากอยู่คุยไม่นานเมริษาก็ขอตัวกลับก่อนเพราะอ้างว่านัดทานข้าวเย็นกับที่บ้านเอาไว้ หญิงสาวลากลับโดยมีภาคินขับรถไปส่งเพราะตอนขามาเธอติดรถของวันชัยมาบ้านทัดเทวาโดยไม่ได้ขับรถมาเอง ซึ่งวันชัยก็นัดแนะให้ลูกชายไปส่งเมริษาจนเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยมาแวะรับตนเองอีกทีเพราะว่าตนมีเรื่องต้องคุยกับวิศรุตก่อน

   “ตกลงคุณอามีเรื่องอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ?” วิศรุตไขว่ห้างก่อนจะเอนพิงหมอนใบเล็กที่จัดเข้าชุดอยู่กับโซฟารับแขก

   “อาอยากจะมาปรึกษาหลานเรื่องที่ว่าอยากจะให้หนูเมเค้ามาทำงานที่บริษัทเราน่ะสิ” วิศรุตขมวดคิ้วเพราะสงสัยว่าเมริษาก็ดูจะเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวยและฉลาด แต่ทำไมหญิงสาวถึงได้สิ้นไร้ไม้ตอกขนาดต้องให้คนอื่นฝากงานให้ด้วย และที่สำคัญการที่วันชัยซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจะฝากคนเข้าทำงานที่บริษัทสักคนก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเสียหน่อย การที่ผู้เป็นอามาบอกเขาแบบนี้จะต้องมีจุดประสงค์อะไรอย่างอื่นแน่ๆ และสิ่งที่วิศรุตคิดเอาไว้ก็ไม่ผิดเลยสักนิด

   “แล้วคุณอาอยากจะให้เค้าเข้ามาทำงานที่บริษัทเราในตำแหน่งอะไรล่ะครับ?” หลานชายลองถามหยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

   “อาอยากให้หนูเมมาทำงานในตำแหน่งเลขาท่านประธานกรรมการบริษัท” วิศรุตตาเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อฟังคำตอบของวันชัย ก็เท่ากับว่าอยากจะให้เมริษาเข้ามาทำงานในตำแหน่งเลขาของเขาอย่างนั้นน่ะสิ ถ้าวันชัยคิดว่าจะใช้เมริษามาเพื่อควบคุมเขาล่ะก็ เห็นทีงานนี้ก็คงยาก

   “ผมมีคุณอิงอรเป็นเลขาอยู่แล้วนี่ครับ แถมเธอก็ทำงานได้ดีไม่มีที่ติเสียด้วย ผมไม่เห็นว่ามันจะสมควรหากจะย้ายคุณอิงอรไปทำงานอื่นนอกเหนือจากการเป็นเลขาของผม”

   “คุณอิงอรเองก็ทำงานมานานแล้ว เธอเองก็คงอยากจะพักผ่อนบ้างแต่อาจจะเกรงใจจนไม่กล้าบอกกับวินตรงๆ อีกอย่างถ้าได้หนูเมมาเป็นเลขา เวลาไปเจรจาธุรกิจด้วยกันนอกบริษัทก็จะได้ช่วยเสริมภาพลักษณ์ซึ่งกันและกันด้วยไง” วันชัยยกเหตุผลมาอ้างทั้งที่จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาที่อยากให้เมริษาเข้ามาทำงานในตำแหน่งเลขาแทนอิงอรก็คือ อิงอรเป็นคนฉลาดแล้วก็รู้เรื่องที่ไม่สมควรรู้เยอะจนเกินไป หากวันดีคืนดีอิงอรเกิดระแคะระคายสงสัยเรื่องที่เขาและภาคินแอบยักยอกเงินของบริษัทไปแล้วยุให้วิศรุตตรวจสอบบัญชีของบริษัทยกใหญ่ ถึงตอนนั้นเขาและลูกชายก็คงจะเดือดร้อนแน่ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเขาต้องการให้วิศรุตได้อยู่ใกล้ชิดกับเมริษาให้ได้มากที่สุด เขาเชื่อว่าด้วยความสามารถบวกกับการมีรูปเป็นทรัพย์ของเมริษาจะสามารถมัดใจวิศรุตได้ไม่ยาก และเมริษานี่แหล่ะที่จะเป็นหนทางที่จะทำให้เขาและภาคินเข้าใกล้สมบัติของตระกูลทัดเทวาที่พี่ชายของตนทิ้งเอาไว้ให้วิศรุตเป็นมรดกจำนวนมหาศาลรวมถึงบ้านทัดเทวาด้วย

   “แต่ผมคิดว่าน้องเมก็ยังไม่หมาะสมอยู่ดี เธอเพิ่งเรียนจบก็น่าจะอยากทำงานอะไรที่ตื่นเต้นท้าทายความ
สามารถของเธอมากกว่าการเป็นเลขาหน้าห้องให้ผมไปวันๆนะครับ” วิศรุตไม่ได้โง่ถึงขนาดจะมองไม่ออกว่าวันชัยต้องการอะไร และเขาเองก็คงจะหลงไปกับแผนการของผู้เป็นอาได้อย่างง่ายดายหากไม่ใช่เพราะว่าตัวเองมีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน เพราะถึงจะชื่นชมในความฉลาดของสาวสวยอย่างเมริษาเพียงใด วิศรุตก็ไม่มีทางคิดเกินเลยไปกว่านั้นด้วยเพราะคนที่เขาสนใจมีเพียงนายแพทย์ นภัทร อิสรีย์เพียงคนเดียว

   วันชัยทำท่าจะแย้งขึ้นมาอีกจนวิศรุตต้องตัดบทด้วยการบอกว่าจะพิจารณาหาตำแหน่งที่เหมาะสมให้กับ
เมริษาอีกทีแต่คงจะไม่ใช่ในตำแหน่งเลขา ซึ่งนั่นทำให้วันชัยไม่พอใจเป็นอย่างมากแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้อย่างแนบเนียน แล้วค่อยคิดหาทางเพื่อกำจัดอิงอรให้พ้นจากตำแหน่งเลขาของวิศรุตอีกครั้งหนึ่ง





   “อะไรนะครับ นี่ไอ้วินมันไม่ยอมให้เมเข้าไปทำงานเป็นเลขาแทนคุณอิงอรเหรอ?” ภาคินตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงกึ่งโมโหระคนสงสัย “น่าแปลกที่คนอย่างมันไม่สนใจผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งฉลาดอย่างเมริษา” เห็นได้จากการที่วิศรุตปฎิเสธแบบไม่เหลือเค้าความเกรงใจตอนที่พ่อของเขาเสนอว่าให้เมริษามาเยี่ยมที่บ้านทัดเทวาบ่อยๆ

   ผู้สูงวัยกว่าขมวดคิ้วมุ่น ตอนแรกเขาคิดว่าการให้เมริษาเข้าไปทำงานในบริษัททัดเทวาคงไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่ตอนนี้มันคงไม่เป็นไปตามแบบที่เขาคิดเสียแล้วเพราะวิศรุตไม่ยอมท่าเดียว ซึ่งเขาเองก็จะไปคะยั้นคะยอแกมบังคับหลานชายมากก็ไม่ได้เพราะถึงอย่างไรวิศรุตก็มีตำแหน่งเป็นถึงประธานกรรมการบริหาร สิทธิ์ขาดการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ในกำมือของวิศรุต แต่สักวันหนึ่งเขาจะทำให้มันกลายมาเป็นของเขาให้ได้

   “แล้วทางหนูเมว่าอย่างไรบ้างตอนแกไปส่งเธอที่บ้าน?” วันชัยเปลี่ยนเรื่องถามถึงอีกคนซึ่งภาคินก็ไหวไหล่แล้วตอบ
   “ก็ไม่ได้พูดอะไรนี่ครับ เพียงแต่บอกว่าดูท่าทางวิศรุตคงไม่ได้รับมือง่ายอย่างที่คิด” วันชัยแค่นเสียงดังในคอ เมริษาเองก็ร้ายใช่เล่น อย่างนี้แหล่ะมันถึงจะสมน้ำสมเนื้อกันหน่อย “แล้วตกลงคุณพ่อจะเอายังไงกับเรื่องนี้ครับ จะให้ผมส่งคนไปจัดการกับเลขาไอ้วินเลยหรือเปล่า?”

   “แกตั้งใจจะทำยังไงล่ะ?” น้ำเสียงคนถามฟังดูลุ่มลึกแต่ไม่แสดงอารมณ์

   “ก็อย่างเช่นส่งคนไปทำให้แม่เลขานั่นบังเอิญประสบอุบัติเหตุกะทันหันจนมาทำงานไม่ได้เป็นเวลานานไงล่ะครับ มันจะได้หาคนใหม่มาทำงานแทนคุณอิงอรเสียที” ฝ่ายบุตรชายเสนอความคิดแต่ผู้เป็นบิดากลับไม่เห็นด้วย เพราะหากว่าเกิดอะไรขึ้นกับอิงอรในตอนนี้ มันจะดูประจวบเหมาะเกินไปและวิศรุตก็ต้องสงสัยแน่ๆ วันชัยไม่อยากให้วิศรุตรู้ว่าตนเองกับภาคินกำลังทำอะไรอยู่ซึ่งคำตอบของผู้เป็นพ่อก็ทำเอาภาคินฮึดฮัดด้วยความขัดใจ

   “แกใจเย็นๆรอไปก่อนเถอะ อีกไม่นานฉันเชื่อว่าโชคต้องเข้าข้างเราสองคนแน่”

   “ไม่ใช่สองคนครับพ่อ แต่เป็นสามต่างหาก...เราสามคน” ภาคินตาวาวเมื่อพูดถึงเมริษาผู้มีส่วนร่วมในแผนการนี้อีกคน



จบบทที่8

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่9
«ตอบ #23 เมื่อ31-07-2012 11:35:12 »

บทที่ 9

   
ภาพชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาคมคายที่กำลังเดินตรงมายังเคาเตอร์ติดต่อเรียกสายตาของพยาบาลสาวๆให้หันมาจับจ้องที่เครื่องหน้าอันหล่อเหลาและรูปกายแข็งแรงอย่างคนสุขภาพดีได้อย่างไม่ยากเย็น ชายหนุ่มผู้ตกเป็นเป้าสายตาอมยิ้มเล็กน้อยก่อนไปติดต่อพยาบาลที่เคาเตอร์แล้วแจ้งธุระของตน

   “ผมเป็นเพื่อนของนายแพทย์ นภัทร อิสรีย์ครับ ไม่ทราบว่าหมอนภัทรออกเวรไปแล้วหรือยัง?” พยาบาลคนที่ถูกถามง่วนอยู่กับตารางเวลาตรงหน้าชั่วครู่ก่อนจะยิ้มแล้วบอกผู้มาติดต่อว่าคุณหมอนภัทรออกเวรไปเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงที่แล้วนี่เอง ทำเอาคนฟังยิ้มเก้อก่อนจะขอบคุณแล้วเดินจากไปด้วยท่าทางผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้เจอกับนภัทร วันนี้เขากะว่าจะมาให้นภัทรแปลกใจเล่นแท้ๆ รู้อย่างนี้น่าจะโทรบอกก่อนก็ดีหรอก

   “นี่ยัยหวาน ผู้ชายคนเมื่อกี้เค้ามาติดต่อเรื่องอะไรเหรอ?” ต้นอ้อถามพยาบาลสาวรุ่นน้องเพราะอยากรู้ว่าผู้ชายหล่อๆที่ทำเอาพยาบาลทั้งวอร์ดเหลียวหลังคอแทบเคล็ด เขามาทำอะไรที่วอร์ดนี้

   “อ๋อ คุณคนนั้นเค้ามาทำหาคุณหมอนภัทรน่ะค่ะ หวานก็เลยบอกไปว่าคุณหมอออกเวรไปแล้ว” ต้นอ้อพยักหน้าหงึกๆก่อนจะนึกขึ้นได้ “คุณหมอออกเวรไปแล้ว แต่ยังไม่ได้กลับบ้านนี่นา เห็นคุณหมอบอกว่าจะพาคุณศรารัตน์ไปนั่งเล่นสูดอากาศที่สวนในโรงพยาบาลก่อน”

   “ตายจริง!” พยาบาลสาวอุทานออกมาก่อนจะหันไปมองตามทางที่ผู้ชายคนนั้นเดินไป แต่ก็ไม่พบใครจึงอดไม่ได้ที่จะหันมาต่อว่าต้นอ้อด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนักว่าบอกเธอช้าเกินไปเลยทำให้เธอพลาดโอกาสได้คุยกับคนหล่อๆแบบนั้นอีกสัก
ครั้งหนึ่ง




   การมาแล้วไม่พบนภัทรทำให้ชายหนุ่มร่างสูงนึกผิดหวังไม่น้อย หลังจากที่ออกพ้นตัวตึกผู้ป่วย ช่วงขายาวก็ก้าวสวบๆไปตามทางเดินที่ปูอิฐสีเข้มเพื่อตรงไปยังรถที่เขาจอดไว้ยังอีกด้านของโรงพยาบาล ระหว่างทางก็ผ่านสวนที่ถูกจัดแต่งเอาไว้เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้ป่วยและญาติ ชายหนุ่มกวาดสายตามองอย่างไม่ค่อยสนใจนักแต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็นใครบางคนกำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งสนามและคุยอยู่กับอีกคนที่มองจากรถเข็นที่นั่งอยู่ก็ดูรู้ว่าคงเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลแห่งนี้ ชายหนุ่มยิ้มแล้วกอดอกดูภาพตรงหน้าซึ่งดูเหมือนว่าคนทั้งคู่จะไม่รู้ว่าเขายืนอยู่แถวนั้นด้วย

   “แหม ฉันนี่แย่จังนะคะ ขนาดว่าได้เวลาออกเวรแล้ว ยังต้องรบกวนเวลาส่วนตัวของคุณหมอให้พาออกมาตากอากาศเล่นข้างนอกแบบนี้อีก”

นภัทรยิ้มกับคำต่อว่าตนเองอย่างไม่จริงจังนักของศรารัตน์ อันที่จริงเธอไม่ได้รบกวนอะไรเขาเลย เขาต่างหากที่เป็นคนเสนอตัวพาเธอออกมาสูดอากาศภายนอกบ้าง อยู่อุดอู้แต่ภายในห้องพักหญิงสาวคงจะเบื่อน่าดู

   “ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกครับ อีกอย่างวันนี้ผมไม่มีงานค้างด้วยก็เลยคิดว่าชวนคุณมานั่งเล่นในสวนแบบนี้ดีกว่า อากาศตอนเย็นๆแบบนี้ก็กำลังสบายเลยทีเดียว” ศรารัตน์ยิ้มให้คุณหมอหนุ่ม เธอยังไม่แน่ใจว่านภัทรรู้สึกอย่างไรกับเธอ จะเหมือนกันกับความรู้สึกเล็กๆที่เริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจของเธอหรือเปล่า ยิ่งคิดสองแก้มของหญิงสาวก็เริ่มเป็นสีชมพูระเรื่อ แต่
นภัทรไม่ทันสังเกต ชายหนุ่มชวนคุยต่อ

   “อีกไม่นานคุณศราก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ อาการคุณดีขึ้นมาก ทางเจ้าหน้าที่กายภาพก็ส่งรายงานมาว่าการทำกายภาพของคุณได้ผลคืบหน้าไปมากเลยทีเดียว”

   “สงสัยยาดีมั๊งคะ” ศรารัตน์พูดแฝงนัย เธอตั้งใจจะหมายถึงว่ายาดีก็คือคุณหมอหนุ่มตรงหน้านั่นเอง แต่นภัทรกลับย้อนน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่าถ้าเปลี่ยนเป็นบอกว่าคุณหมอเก่งเนี่ยเขาจะดีใจมากกว่าคำชมว่ายาดีเสียอีก

   “ก็คงทั้งสองอย่างแหล่ะค่ะ เฮ้อ พอกลับบ้านได้ก็คงต้องกลับไปลุยงานซะที นอนป่วยมานานสงสัยตอนนี้แฟ้มงานคงต้องกองเต็มโต๊ะแล้วแน่ๆเลย”

   “คงไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ยังมีพี่ชายคุณคอยช่วยอยู่ที่บริษัทนี่นา” นภัทรพูดถึงวิศรุต ชายหนุ่มคิดว่าถึงสองพี่น้องจะไม่ถูกกันอย่างไร วิศรุตก็คงจะไม่ใจดำถึงขนาดปล่อยให้ศรารัตน์ต้องคอยดูแลกิจการใหญ่โตของทัดเทวาเพียงคนเดียวเพราะวิศรุตก็ถือว่าเป็นทายาทโดยตรงของตระกูลทัดเทวาที่เจ้าตัวภาคภูมิใจนักหนา แต่ประโยคถัดมาของศรารัตน์ทำให้เขารู้ว่าตัวเองมองวิศรุตให้แง่ดีเกินไป

   “ตอนนี้ก็คงช่วยอยู่หรอกค่ะ แต่หลังจากที่ฉันหายดีกลับไปทำงานแล้ว รายนั้นคงรีบแจ้นบินกลับอังกฤษแทบไม่ทัน”

   “อ้าว ไหนคุณศราบอกว่าคุณวิศรุตเพิ่งจะกลับจากอังกฤษเมื่อไม่นานมานี้ไม่ใช่เหรอครับ ทำไมถึงจะกลับไปอีกแล้วล่ะ?” คุณหมอหนุ่มทำทีเป็นจ้องกาแฟในแก้วกระดาษในมือแต่หูยังฟังทุกคำพูดของศรารัตน์

   “เค้าคงอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบอิสระเต็มที่ เป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมาเหมือนอย่างเดิมนั่นแหล่ะค่ะ ยิ่งที่อังกฤษไม่มีคนมาคอยคุมด้วย ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่” พูดถึงวิศรุตแล้วศรารัตน์ก็รู้สึกหมดอารมณ์ขึ้นมาเสียเฉยๆเมื่อนึกถึงตอนที่เธอเถียงกับพี่ชายเรื่องหมอนภัทรในห้องวันนั้น ศรารัตน์จึงบอกนภัทรว่าให้เปลี่ยนมาคุยเรื่องอื่นกันดีกว่า แต่เสียงหนึ่งจากทางด้านหลังคุณหมอหนุ่มกลับดังขัดจังหวะบทสนทนาของคนทั้งคู่

   “ไม่ทราบว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอครับ ขอผมคุยด้วยคนได้หรือเปล่า?” ศรารัตน์เงยหน้ามองคนที่เข้ามาขัดจังหวะในขณะที่นภัทรก็หันกลับไปมองยังต้นเสียงด้านหลังทันที เมื่อเห็นว่าเป็นใคร คุณหมอหนุ่มก็ยิ้มกว้าง

   “มาได้ยังไงวะไอ้พงษ์?” ชายหนุ่มตรงหน้าคือพงศธร วิศวกรหนุ่มความสามารถสูง อนาคตไกล ผู้เป็นเพื่อนสนิทของ
นภัทรนั่นเอง

   “ถามได้ก็ขับรถมาดิวะ จะให้เดินมาจากไซส์งานก่อสร้างหรือยังไง” คำย้อนของผู้มาใหม่ทำเอาศรารัตน์หลุดขำออกมา พงศธรจึงลืมไปว่าตนสมควรจะแนะนำตัวกับคนตรงหน้าก่อนเพราะเมื่อกี้เขาสังเกตเห็นว่านภัทรดูท่าทางจะค่อนข้างสนิทสนมกับผู้หญิงคนนี้ หญิงสาวคงไม่ใช่แค่คนไข้ธรรมดาสำหรับคุณหมอนภัทรแน่ๆ

   “สวัสดีครับ ผมชื่อพงศธร เป็นเพื่อนสนิทของไอ้กานต์ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มัธยมเลยล่ะครับ” พงศธรแนะนำตัวเองพร้อมกับถือโอกาสตบไหล่ของเพื่อนสนิทไปสองที

   “ฉันชื่อศรารัตน์ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” ศรารัตน์ยิ้มกว้างให้ฝ่ายนั้น พงศธรดูท่าทางเป็นคนที่น่าคบหามากทีเดียว ชายหนุ่มดูเป็นคนเปิดเผยและเป็นมิตรแม้กระทั่งกับคนที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน

   “แล้วตกลงว่าแกมาได้ยังไงวะเนี่ย จะมาไม่เห็นมีบอกก่อนเลย?” คราวนี้นภัทรเป็นฝ่ายถามบ้าง

   “ก็พอดีช่วงนี้ยังไม่ได้ทำงานก็เลยว่างๆน่ะ วันนี้กะว่าจะบุกมาที่โรงพยาบาลให้แกแปลกใจเล่นเสียหน่อย แต่ว่าพยาบาลที่วอร์ดบอกว่าแกออกเวรแล้ว ฉันก็เลยตั้งใจว่าจะกลับเนี่ยแหล่ะแต่บังเอิญมาเจอแกที่นี่เสียก่อน” นภัทร
พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

พงศธรเพิ่งกลับจากเรียนต่อต่างประเทศไม่นาน ตอนนี้ชายหนุ่มก็กำลังมองหางานที่ลงตัวอยู่ ดังนั้นก็เลยยังไม่ได้ทำงานเป็นหลักเป็นแหล่งเสียที

พงศธรแกล้งมองหน้าศรารัตน์กับเพื่อนสนิทสลับกันไปมาด้วยความสงสัยบางอย่างซึ่งนภัทรก็สามารถอ่านแววตาคู่นั้นออกได้อย่างไม่ยาก คุณหมอส่งสายตาปรามเพื่อนสนิทแต่อีกฝ่ายไม่สนใจกลับพูดโพล่งขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้

   “ตอนที่เจอนายอยู่ที่สวนนี้ฉันนึกว่าตัวเองกำลังตาฝาดเสียอีก นึกว่านายจะกลับบ้านไปแล้ว แต่พอเห็นว่านายอยู่กับคุณศรารัตน์ฉันก็เลยพอเข้าใจอะไรบางอย่าง” น้ำเสียงทะเล้นชวนให้อยากรู้ของพงศธรกำลังเร้าอารมณ์ความอยากรู้ของศรา รัตน์ ตรงข้ามกับนภัทรที่กำลังวางหน้าไม่ถูก

   “เข้าใจอะไรเหรอคะ?”

   “ก็เข้าใจว่าไอ้เจ้ากานต์น่ะคงกำลังทำหน้าที่หมอดูแลคนไข้ได้อย่างดีเยี่ยมไม่ขาดตกบกพร่องน่ะสิครับ โดยเฉพาะกับคนไข้รายนี้ที่ดูเหมือนว่าจะเป็น...คนไข้พิเศษ” พงศธรทอดเสียงนุ่มในตอนท้ายแล้วลอบมองหน้าศรารัตน์ ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวเขินจนหน้าแดงก่ำกับคำพูดของเขาแต่เมื่อหันไปมองนภัทร พงศธรกลับพบแต่เพียงรอยยิ้มบางๆเจือแววขบขันเท่านั้น แค่ เห็นท่าทางของนภัทรเขาก็รู้แล้ว เพื่อนของเขาคงไม่ได้คิดเกินเลยกับศรารัตน์จริงๆ และจากคำตอบของพงศธรนี่เองที่ทำให้ศรารัตน์มั่นใจว่าเพื่อนของนภัทรคนนี้เป็นคนเปิดเผยมากทีเดียว





   “แกไปรู้จักสนิทสนมกับคุณศรารัตน์ได้ยังไงวะไอ้กานต์?” พงศธรถามขณะที่ตนกับนภัทรกำลังทานข้าวกันอยู่ที่ร้านอาหารริมน้ำแห่งหนึ่ง

   “ก็เค้าเป็นคนไข้ของฉันนี่นา”

   “ก็รู้หน่า แต่ฉันอยากรู้ว่าแกทำอีท่าไหนถึงไปสนิทกับเขาได้ วันนั้นที่เจอแกกับคุณศราในสวนของโรงพยาบาลน่ะ ภาพมันฟ้องเลยนะเว้ยว่ามันไม่ธรรมดา”

   “ไม่ธรรมดายังไงวะ? ฉันก็คุยกับเขาแบบปกติ เราเพียงแต่สนิทกันเพราะว่าวัยใกล้ๆกันแค่นั้นเอง อีกอย่างเธอก็เป็นคนน่ารัก คุยง่ายด้วย ฉันก็กลัวว่าเธอจะอยู่โรงพยาบาลนานจนเบื่อก็เลยหมั่นแวะมาคุยเป็นเพื่อนก็เท่านั้นแหล่ะ” นภัทรแก้ต่างให้ตัวเองแล้วตักกุ้งแม่น้ำตัวโตที่เลาะเปลือกเสร็จแล้วเข้าปากเคี้ยวตุ่ยๆ

   พงศธรทำหน้าเหมือนเชื่อในสิ่งที่นภัทรบอกแบบไม่มีข้อสงสัยแต่ไม่วายถามย้ำอีกรอบ “แกไม่ได้จีบคุณศรารัตน์แน่นะ?”

   “ก็เออดิ ฉันเห็นเขาเป็นเหมือนน้องสาวแค่นั้นแหล่ะ” คู่สนทนายังยืนยันคำเดิม

   “งั้นถ้าแกไม่สนใจคนนี้ ฉันจีบนะเว้ย” พงศธรพูดโพล่งด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ซึ่งก็ทำเอานภัทรตกใจไม่น้อย ถ้าหาก ว่าศรารัตน์จะรักจะชอบกับพงศธรเขาก็เห็นดีด้วยเพราะว่าเพื่อนรักของเขาเป็นคนดีและศรารัตน์เองก็เป็นผู้หญิงที่จัดได้ว่าใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ แต่ว่าสิ่งที่เขากำลังกังวลคือเรื่องพี่ชายของศรารัตน์ต่างหาก เมื่อหลายวันก่อนฝ่ายนั้นเพิ่งมาป่าวประกาศว่าน้องสาวของตนจะต้องแต่งงานกับคนที่เหมาะสมในระดับฐานะเดียวกันเท่านั้น จริงอยู่ว่าพงศธรไม่ได้ยากจนขนาดต้องไปกู้เงินนอกระบบมาแบบเมื่อตอนม.ปลายอีกแล้ว แต่ตอนนี้ถึงแม้จะจัดว่าฐานะอยู่ห่างจากคำว่าจนมามากแต่ก็คงเกินเอื้อมไปสำหรับพงศธรหากคิดจะอยู่ในระดับเดียวกับพวกทัดเทวา

   “ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะไอ้กานต์? หรือว่าแกคิดจะเปลี่ยนใจ อย่างนี้ไม่ได้นะเว้ย คนนี้ฉันตั้งใจจะเดินเครื่องขายขนมจีบเต็มที่เลยนะ” พงศธรตั้งใจจะทำอย่างนั้นจริงๆ ตอนแรกเขาไม่กล้าคิดไม่กล้าหวังอะไรมากเพราะกลัวว่านภัทรจะสนใจศรารัตน์เช่นกัน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็คงจะไม่แย่งของรักของเพื่อนแน่ๆ แต่เมื่อนภัทรยืนยันว่าไม่ได้ชอบศรารัตน์ เขาก็พร้อมจะลุยเต็มที่ เขาไม่เชื่อหรอกว่าตัวเองจะมีเสน่ห์ด้อยกว่านายแพทย์ นภัทร อิสรีย์ที่ตรงไหน ถ้านภัทรสามารถทำให้ศรารัตน์สนใจตัวเองได้ ชายหนุ่มก็สามารถทำให้ศรารัตน์หันมาสนใจตัวเขาได้เช่นกัน

   “ป่าวหรอก ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนใจอะไรทั้งนั้นแหล่ะ ฉันจะไปชอบคุณศราได้ยังไงในเมื่อฉันกับพี่ชาย...”

   “เฮ้ย นั่นมันไอ้ภาณุกับ...กับ...วิศรุตนี่นา” นภัทรยังพูดไม่ทันจบแต่พงศธรพูดแทรกขึ้นมาก่อนเพราะจำได้ว่าสองคนที่กำลังเดินเข้ามาในโซนเรือนแพริมน้ำคือภาณุและวิศรุตเพื่อนเก่าสมัยเรียน เขานั่งฝั่งตรงข้ามกับนภัทรซึ่งหันหน้าไปด้านทางเข้า จึงเห็นคนทั้งคู่ก่อนนภัทร

   “คนที่มากับภาณุคือวิศรุตจริงๆด้วย หมอนั่นไปเรียนเมืองนอกตอนปลายเทอมของม.ห้านี่นา ไม่เห็นมีข่าวว่ากลับมาเมืองไทยเลย หรือเพราะว่าฉันเพิ่งกลับจากเรียนต่อเมื่อไม่นานมานี้วะก็เลยไม่ได้ยินข่าวของวิศรุต?”
นภัทรส่ายหัวโดยไม่พูดอะไร ทั้งที่ในใจก็รู้ว่าวิศรุตกลับมาจากอังกฤษเพื่อมาเยี่ยมน้องสาวที่ป่วยเท่านั้น ไม่ได้จะมาอยู่เมืองไทยเป็นการถาวร พอเขากำลังจะพูดถึงวิศรุต...วิศรุตก็มา ช่างตายยากเสียจริง

“ฉันว่าเรียกสองคนนั้นมานั่งโต๊ะเดียวกับเราดีกว่า จะได้รำลึกถึงเรื่องเก่าๆสมัยเรียนกันหน่อย ไม่ได้เจอไอ้สองคนนี้มานานหลายปีเลยนะเนี่ย”

นภัทรทำสีหน้ากระอักกระอ่วนเมื่อพงศธรบอกว่าจะเรียกให้เพื่อนเก่ามานั่งด้วยกัน จะห้ามก็ไม่ทันแล้วเพราะภาณุดันหันมาเห็นพงศธรที่โบกไม้โบกมือเป็นเชิงเรียกเขากับวิศรุตเสียก่อน สองคนนั้นเลยกำลังเดินตรงมาที่โต๊ะของเขาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนักด้วยเพราะรู้สึกคุ้นหน้าพงศธรที่โบกมือเรียกให้เข้าไปหา

   เมื่อวิศรุตกับภาณุเดินมาถึงที่โต๊ะ ทั้งคู่ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย นภัทรทักผู้มาใหม่สองคนด้วยเสียง   แปร่งๆ ตรงข้ามกับวิศรุตที่ทักทายนภัทรและพงศธรเสียงเรียบไม่แสดงอารมณ์ นภัทรคิดว่าวิศรุตคงจะโกรธเขาเรื่องศรารัตน์อยู่ ฝ่ายนั้นจึงมีท่าทีเย็นชากับเขาอย่างเห็นได้ชัดจนแม้แต่พงศธรยังสังเกตได้ นภัทรแอบคิดในใจว่าหากพงศธรรู้ว่าวิศรุตเป็นพี่ชายแท้ๆของศรารัตน์ ทัดเทวา เพื่อนสนิทของเขาจะทำหน้าอย่างไร? จะยังยืนยันว่าจะเดินหน้าจีบศรารัตน์ต่อไปหรือเปล่า?

   “พวกนายมานั่งด้วยกันสิ เราจะได้คุยกัน ว่าแต่ไม่เจอตั้งนานเลยนะเนี่ย” พงศธรเอ่ยชวนอย่างมีน้ำใจ
ภาณุลังเลก่อนจะเหลือบมองสีหน้าของคนที่มาด้วยกัน วิศรุตยังหน้านิ่งเหมือนรูปสลัก ภาณุลอบถอนหายใจก่อนพยายามปฏิเสธเสียงนุ่มไม่ให้คนชวนเสียน้ำใจ

   “ขอบใจที่ชวนนะ แต่กลัวว่าจะรบกวนนายสองคนเปล่าๆ เดี๋ยวฉันกับไอ้วินแยกไปโต๊ะทางโน้นดีกว่า อีกอย่างนายก็เริ่มทานไปแล้วด้วย กว่าจะรอพวกฉันก็คงอีกนาน”

   “อย่ามาทำเรื่องมากเลยไอ้โอม ก็นั่งโต๊ะเดียวกันนี่แหล่ะ นี่ฉันกับไอ้กานต์ก็เพิ่งเริ่มกินไปนิดหน่อยเอง ก็เดี๋ยวสั่งกับข้าวเพิ่มก็ได้นี่นา ที่นี่อาหารเร็วไม่ช้าหรอก” พงศธรคะยั้นคะยออีกรอบ ในขณะที่นภัทรเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เขากับวิศรุตกำลังอยู่ในสถานะเพื่อนเก่าสมัยม.ปลายไม่ใช่นายแพทย์ นภัทร อิสรีย์หมอเจ้าของไข้ของน้องสาวคุณวิศรุต ทัดเทวา นักธุรกิจเจ้าของบริษัทอสังหาฯผู้โด่งดัง ตอนนี้เขาคงไม่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักฝ่ายนั้นอีกแล้ว

   “กลัวว่าคนบางคนเขาจะไม่อยากให้นั่งร่วมโต๊ะน่ะสิ” พงศธรทำหน้างงว่าที่วิศรุตพูดหมายถึงอะไร ด้วยเพราะไม่ค่อยเข้าใจตื้นลึกหนาบางเรื่องของนภัทรกับวิศรุตมากนัก ในขณะนี่คนถูกแดกดันเริ่มหน้าตึง

   “เอ่อ เอาเป็นว่า...” เป็นภาณุที่พยายามจะแก้สถานการณ์อีกครั้ง

   “นั่งด้วยกันเถอะ จะได้คุยเรื่องเก่าๆสมัยม.ปลายกันหน่อย” นภัทรเอ่ยปากชวนพร้อมเน้นเสียงหนักที่คำว่าเรื่องเก่าๆสมัยม.ปลาย เขายังจำได้ดีว่าวิศรุตเคยบอกว่าตัวเองไม่อยากจะกลับไปคิดถึงเรื่องเก่าๆอีกแล้ว ดวงตาสีถ่านสบดวงตาสีน้ำตาลโศกที่บัดนี้โชนแสงกล้าอย่างท้าทาย

   ภาณุมองหน้าวิศรุตกับนภัทรสลับกันไปมาอย่างเหนื่อยใจก่อนจะตัดสินใจนั่งลงข้างๆพงศธรเป็นคนแรก และแน่นอนว่าที่นั่งข้างนภัทรก็ตกเป็นของวิศรุต ภาณุกล้าท้าเอาอะไรเป็นเดิมพันก็ได้ว่าเขาเห็นรอยยิ้มสบใจที่มุมปากของวิศรุตแวบหนึ่งก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

   “ทำไมกินน้อยจังวะ อาหารไม่อร่อยเหรอไง?” พงศธรถามเพราะเห็นว่าข้าวในจานของวิศรุตดูจะพร่องลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าตัวก็มัวแต่เอาช้อนเขี่ยข้าวในจานเล่นไปมา

   “เปล่าหรอก อาหารอร่อยดีเพียงแต่ฉันไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”

   “นึกว่ากินไม่ลงเพราะที่นี่คงไม่ใช่ภัตตาคารหรูระดับห้าดาวแบบที่นายเคยชิน” นภัทรสอดเสียงเรียบซึ่งทำเอาภาณุกับพงศธรที่กำลังคุยหัวเราะถึงความหลังวีรกรรมสมัยมัธยมปลายต่างก็ชะงักกึกแล้วหันไปทางคนพูดแทบจะทันที

   “คงไม่ใช่เกี่ยวกับว่าที่นี่จะเป็นภัตตาคารหรูอะไรหรือเปล่าหรอก ถ้าฉันจะกินไม่ลงมันก็คงเป็นเพราะเอียนขี้หน้าคนแถวนี้บางคนมากกว่า” วิศรุตเหยียดยิ้มปรายตาไปมองคนข้างๆที่ตนเพิ่งจะแขวะใส่ แต่นภัทรไม่ได้ตอบโต้อะไรเพราะคุณหมอหนุ่มกำลังพยายามระงับอารมณ์ที่เดือดพล่านในใจเต็มที่

   “ว่าแต่นายทำงานอะไรล่ะ มารับช่วงต่อกิจการที่บ้านเหมือนอย่างไอ้โอมหรือเปล่า?” พงศธรพยายามเปลี่ยนประเด็นสนทนาโดยหันมาถามวิศรุตอีกครั้ง

   “ช่วงนี้ก็เข้ามาช่วยดูงานที่บริษัทน่ะ พอดีว่าน้องสาวของฉันประสบอุบัติเหตุต้องเข้าโรงพยาบาลเมื่อไม่นานมานี้”

   “พูดอย่างกับว่าพอน้องสาวหายป่วยตัวเองก็จะเลิกทำงานงั้นแหล่ะ เอ้อ ว่าแต่น้องสาวนายทำไมถึงประสบอุบัติเหตุได้ล่ะ”

   “รถชนน่ะสิ แต่ตอนนี้อาการก็ดีวันดีคืน คงเพราะได้กำลังใจดี” วิศรุตพูดพลางปรายตาไปมองนภัทรอีกครั้ง พงศธรพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนที่วิศรุตจะถามกลับบ้างว่าพงศธรตัดสินใจได้แล้วหรือยังว่าจะทำงานที่ไหน

   “ก็มองเอาไว้สองสามที่นั่นแหล่ะ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลย ไม่รู้ว่าบริษัทพวกนั้นจะยอมรับฉันเข้าทำงานด้วยหรือเปล่า เนี่ยแหล่ะปัญหา”

   “ถ้าบริษัทพวกนั้นไม่รับแกเข้าทำงานก็คงบ้าเต็มทนแล้วล่ะ คุณพงศธร วิศวกรหนุ่มออกจะเก่งกาจมากด้วยความสามารถปานนี้” ภาณุทำเสียงล้อเลียนก็เลยโดนพงศธรตบป้าบเข้าให้ที่ไหล่แรงๆสองสามที

   “ถ้านายยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกบริษัทไหน ถ้าอย่างนั้นก็ฝากบริษัททัดเทวาให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของนายได้หรือเปล่า?” วิศรุตพูดพร้อมกับหยิบนามบัตรของเขาออกมาจากกระเป๋าสตางค์แบรนด์เนมราคาแพงแล้วยื่นมันให้พงศธร

   “โห เป็นเกียรติอย่างสูงเลยนะครับที่ท่านประธานของบริษัทอสังหาฯยักษ์ใหญ่อย่างทัดเทวามาเสนองานให้วิศวกรตัวเล็กๆอย่างผม” คนที่ถูกล้อหัวเราะพร้อมรอยยิ้มกว้างก่อนบอกว่าคนที่มีความสามารถอย่างพงศธร บริษัททัดเทวาก็ต้องยินดีอยากได้มาร่วมงานด้วยอยู่แล้ว

   “ถ้างั้นฉันขอเวลาคิดก่อนได้หรือเปล่า?” พงศธรไม่อยากด่วนตัดสินใจนัก เขาอยากพิจารณารายละเอียดเงื่อนไขของแต่ละบริษัทและมองถึงผลได้ผลเสียให้รอบคอบเสียก่อนที่จะเลือกร่วมงานกับบริษัทใด

   “ไม่ต้องเกรงใจฉัน เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองเถอะ” วิศรุตไม่ซีเรียสกับเรื่องนี้ แต่ถ้าได้พงศธรมาร่วมงานด้วยกันก็จะดีไม่น้อยเพราะเขาเองก็รู้อยู่ว่าพงศธรเป็นคนมีความสามารถจริงๆ

   หลังจากรับประทานอาหารเสร็จได้สักพัก ภาณุก็ขอตัวกลับก่อนเพราะติดธุระคุยงานกับลูกค้าต่อ วิศรุตเองก็เอ่ยเป็นเชิงขอตัวกลับเช่นกันโดยอ้างว่าต้องกลับไปเคลียร์งานที่บริษัท แต่นภัทรก็นึกรู้ว่าวิศรุตคงไม่อยากนั่งเผชิญหน้ากับเขาแล้วก็พงศธรโดยปราศจากคนกลางอย่างภาณุมากกว่า

   เมื่อภาณุกับวิศรุตกลับไปแล้ว นภัทรก็ลองหยั่งเชิงถามพงศธรถึงเรื่องที่วิศรุตชวนไปทำงานที่บริษัททัดเทวา

   “นายตั้งใจจะไปทำงานที่บริษัททัดเทวาหรือเปล่าวะไอ้พงษ์?”

   “ไม่รู้สิ เอาจริงๆก็ไม่ค่อยอยากเท่าไหร่หรอก ฉันคงรู้สึกแปลกๆว่ะถ้าต้องไปเป็นลูกน้องในบริษัทของเพื่อน” พงศธรพูดไปตามความรู้สึก จริงอยู่ว่าบริษัททัดเทวานั้นเป็นบริษัทที่ใหญ่และมั่นคง แต่ถ้าเขาทำงานที่นั่นก็คงไม่แคล้วต้องถูกมองว่าอาศัยเส้นสายของวิศรุตเข้ามาแน่ๆ ซึ่งเขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย แม้ว่าลึกๆอีกใจหนึ่งก็อดเสียดายโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของวงการธุรกิจอสังหาฯที่เป็นความฝันในชีวิตการทำงานของวิศวกรหลายๆคนไม่ได้ ที่สำคัญคือเขารู้สึกว่าตัวเองยังติดหนี้วิศรุตอยู่ตอนที่ฝ่ายนั้นช่วยเหลือเรื่องคืนเงินกู้ให้พวกนักเลงตอนสมัยทั้งคู่ยังอยู่ม.ปลาย แม้ว่าวิศรุตจะไม่ได้ติดใจทวงคืนก็ตาม

   “เรื่องทำงาน นายก็ค่อยๆคิดไปแล้วกัน”
พงศธรตอบรับในคอก่อนเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาให้ความสนใจกับเรื่องของศรารัตน์ ผู้หญิงที่เขาหมายตาเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง

   “ว่าแต่ฉันลืมถามนายไปเลยว่าคุณศรารัตน์ประสบอุบัติเหตุอะไร? ทำไมเธอถึงต้องอยู่โรงพยาบาลนานขนาดนั้นด้วย นานจนมาสนิทกับคุณหมออย่างแกได้เนี่ย?”

   “อุบัติเหตุรถชนอย่างรุนแรง”

   “อ้าว อุบัติเหตุรถชนเหมือนกับน้องสาวของไอ้วินเลย ทำไมเดี๋ยวนี้มันฮิตรถชนกันเหรอวะ?” พงศธรพูดกลั้วหัวเราะกับประโยคสุดท้ายแต่คำตอบของนภัทรทำให้ชายหนุ่มต้องยิ้มค้าง

   “จะไม่ให้เหมือนกันได้ยังไงล่ะ ในเมื่อคุณศรารัตน์ที่นายตั้งใจจะจีบน่ะก็คือน้องสาวแท้ๆของวิศรุต” พงศธรมีสีหน้างงงวย ชายหนุ่มนึกว่าตัวเองหูฝาดไปแต่นภัทรก็พูดย้ำอีกครั้ง

   “ฉันตั้งใจจะบอกนายตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณศราเป็นน้องสาวของวิศรุต” หลังจากนั้นนภัทรก็เล่าเรื่องที่เจอกับวิศรุตโดยบังเอิญอีกครั้งที่โรงพยาบาลในตอนที่วิศรุตมาเยี่ยมศรารัตน์ในฐานะพี่ชายให้เพื่อนสนิทฟัง โดยไม่ลืมที่จะเล่าว่าวิศรุตแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกับเขาต่อหน้าศรารัตน์ ซึ่งมันเป็นเพราะเหตุใดชายหนุ่มเองก็ไม่รู้เช่นกัน เขาจึงได้แต่เออออตามน้ำไปกับวิศรุตด้วย
   “คุณศราเป็นน้องสาวของไอ้วินงั้นเหรอ” พงศธรทวนคำกับตัวเองเบาๆพร้อมกับหยิบนามบัตรของวิศรุตที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตขึ้นมาดูอีกครั้งอย่างเริ่มลังเล


จบบทที่9

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่10
«ตอบ #24 เมื่อ31-07-2012 11:45:56 »

บทที่ 10


   ภาณุเดินเข้ามาในผับหรูแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง ชายหนุ่มชอบที่นี่ด้วยเพราะมันเป็นไนท์คลับชั้นสูงมีระดับ ด้วยเพราะราคาค่าบริการที่ถูกเรียกเก็บเสียจนแพงหูฉี่ซึ่งเสมือนเป็นการสงวนเอาไว้เฉพาะสำหรับลูกค้าผู้มีฐานะและกำลังทรัพย์พอจะจ่ายค่าบริการที่คลับแห่งนี้ได้เท่านั้น

   วันนี้ที่นี่คนเยอะเป็นพิเศษ ภาณุคิดขณะที่เดินตัดผ่านบาร์เหล้าเพื่อจะไปยังโซนอีกฝั่งหนึ่งของคลับที่เพื่อนๆเขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ด้วยเพราะชายหนุ่มมาบ่อยจนเรียกได้ว่าเป็นแขกคนพิเศษของที่นี่ บริกรส่วนใหญ่จะคุ้นหน้าเขาและมักจะค้อมหัวเป็นเชิงทักทายเมื่อเขาเดินผ่านอยู่บ่อยครั้ง อันที่จริงเหตุผลที่พวกบริกรคุ้นหน้าเขาคงเป็นเพราะเขาเป็นคนมือเติบจ่ายทิปหนักให้พวกนั้นเสียมากกว่า

   ภาณุแวะสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่บาร์เหล้าก่อนสั่งให้บริกรเอาไปเสริ์ฟให้เขาที่โต๊ะอย่างที่เคยทำประจำทุกครั้งที่มาคลับแห่งนี้ จังหวะที่สั่งเครื่องดื่มเสร็จแล้วกำลังจะหมุนตัวออกจากบาร์ตรงนั้น ร่างสูงกลับปะทะกับร่างนุ่มนิ่มบอบบางของอีกคนที่มาอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แรงปะทะจากการชนทำให้อีกฝ่ายเซเสียหลักเกือบจะล้ม แต่ภาณุก็ยื่นมือออกไปช่วยประคองได้ทันตามสัญชาตญาณ กลายเป็นว่าตอนนี้ร่างบอบบางนั้นกำลังตกอยู่ในวงแขนแข็งแรงของชายหนุ่มทั้งตัวและที่สำคัญเขารู้สึกว่าของเหลวในแก้วเครื่องดื่มที่อีกฝ่ายถือมาด้วยจะหกรดเสื้อผ้าของคนที่ถือมาจนเกิดเป็นรอยด่างดวงขึ้นมาเสียแล้ว

   “ขอโทษครับ/ค่ะ” ทั้งคู่เอ่ยขอโทษออกมาพร้อมกัน จังหวะนั้นภาณุจึงสามารถเห็นใบหน้าของคนในอ้อมแขนได้ชัดเจน ผู้หญิงตรงหน้าเขาจัดได้ว่าอยู่ในขั้นที่หน้าตาสะสวยเลยทีเดียว ใบหน้าหวานซึ้งที่ตกแต่งไว้ด้วยเครื่องสำอางค์ราคาแพงก็กำลังพิจารณาที่ใบหน้าเขาเช่นกันก่อนที่สายตาคู่สวยของเธอจะไล่ลงมายังมือแกร่งที่โอบรอบเอวคอดของเธออยู่

   ภาณุยิ้มเก้อๆแล้วรีบปล่อยมือจากเอวของเธอทันทีแม้ว่าในใจจะนึกเสียดายไม่น้อยกับสัมผัสใกล้ชิดเมื่อครู่ ชายหนุ่มเอ่ยขอโทษเธออีกครั้งก่อนจะสังเกตเห็นว่าชุดเดรสสั้นสีโอลด์โรสของเธอบัดนี้ได้ถูกชโลมด้วยแชมเปญที่หกเลอะเพราะเหตุที่ชนกันเมื่อครู่

   “ขอโทษด้วยครับที่ทำชุดคุณเลอะ” ภาณุมองไปยังชุดเดรสตรงที่เลอะอย่างคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี

   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะฉันต่างหากที่ซุ่มซ่ามเอง” เมริษายิ้มให้อย่างไม่ได้คิดถือสาอะไรนัก เพราะเธอเองก็ผิดที่เดินมาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือจนมาชนเข้ากับชายหนุ่มตรงหน้า

   “แต่ชุดคุณเลอะหมดแล้วนะครับ ผมว่า...”

   “ช่างมันเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันค่อยไปจัดการที่ห้องน้ำก็ได้” ภาณุหันไปหาบริกรที่ยืนอยู่หลังบาร์เหล้าก่อนจะขอกระดาษทิชชู่เพื่อมาให้หญิงสาวใช้ทำความสะอาดชุดของเธอแก้ขัดไปก่อนแล้วจึงค่อยไปทำความสะอาดในห้องน้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่พอ ได้กระดาษทิชชู่มาแล้วและตั้งใจจะยื่นให้ด้วยความหวังดี อีกฝ่ายกลับหายไปเสียอย่างนั้น

   ภาณุมองไปรอบตัวอย่างสงสัย ผู้หญิงคนนั้นหายไปเร็วเสียจริง เลยทำให้เขาพลาดโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกับเธอเลย ชายหนุ่มคิดอย่างเสียดายเล็กน้อยที่ตัวเองน่าจะรั้งร่างบางเอาไว้ให้ได้นานกว่านี้ อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้รู้จักชื่อของเธอก่อนก็ยังดี




   “ทำไมหายไปนานจังเลยครับคนสวย?” ภาคินถามเสียงนุ่มก่อนที่มือหนาแข็งแรงจะรั้งเอวบางของเมริษาให้ล้มลงมานั่งเกยที่หน้าตักของตน

   “พอดีว่าเมเดินชนกับใครก็ไม่รู้ ก็เลยทำแก้วแชมเปญหกเลอะชุดตัวเอง เมเลยแวะไปทำความสะอาดชุดในห้องน้ำก่อน ก็เลยมาช้าน่ะค่ะ” เมริษาอธิบายสาเหตุที่เธอหายไปจากโต๊ะนาน แต่ดูเหมือนว่าภาคินจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพราะกำลังวุ่นวายอยู่กับการใช้มือหนาไล้ไปตามผิวเนียนละเอียดของร่างในอ้อมแขน

   ภาคินก้มลงสูดความหอมจากซอกคอขาวผ่องของเมริษา ตอนนี้มือหนาก็เริ่มซุกซนไล้ไปตามต้นขาเปลือยอย่างไม่สนใจเสียงครางประท้วงของอีกฝ่าย เขารู้ดีว่าเธอเองก็รู้สึกดีกับสัมผัสแบบนี้เช่นกัน

   “อย่าเพิ่งที่นี่เลยค่ะ เรายังมีเวลาอีกเยอะ” เมริษาประท้วงเสียงอ่อน สัมผัสของภาคินทำให้เธอเริ่มจะควบคุมอารมณ์หวามหวานในอกไม่ได้ หญิงสาวเชยคอรับสัมผัสจากเขาอีกครั้งก่อนจะทิ้งตัวลงพิงกับโซฟานุ่มพร้อมกับที่ภาคินทาบกายทับลงมา
   ก่อนที่อารมณ์ของทั้งคู่จะเตลิดไปมากกว่านั้น เมริษากลับเป็นฝ่ายหยุดภาคินไว้ในขณะที่ชายหนุ่มจะพยายามบดเบียดริมฝีปากเข้ากับกลีบปากแดงระเรื่อของเธอ

   “ไหนคุณบอกว่ามีธุระจะคุยกับเมไงคะ? พูดธุระมาก่อนสิ”

   “เรื่องนั้นไว้ก่อนก็ได้ ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่านั้นที่ต้องทำ” ภาคินตาปรือเพราะแรงพิศวาสหญิงสาวตรงหน้า เขาไม่อยากจะพูดธุระอะไรแล้ว สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดในตอนนี้ก็คือกลืนกินร่างงามตรงหน้าเข้าไปทั้งตัว

   “เรามาคุยธุระกันก่อนดีกว่า ยังไงคืนนี้เมก็อยู่กับคุณทั้งคืนอยู่แล้ว” ภาคินต้องยอมจำนนกับเหตุผลของเมริษาในที่สุดแม้ว่าจะอดเสียดายไม่น้อยที่จะต้องหยุดความสุขของตนเอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน ชายหนุ่มบอกตัวเองว่าคืนนี้เมริษาจะต้องโดนทำโทษทั้งคืนอย่างแน่นอน เขาจะเอาให้ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว

   “ว่าไงคะ ธุระอะไรที่คุณจะคุยกับเม? ขอเดาว่าต้องเป็นเรื่องของคุณวินแน่ๆ” มองจากสีหน้าของภาคิน เมริษาก็รู้ได้ว่าตัวเองเดาถูก “มีเรื่องอะไรเหรอคะ หรือว่าคุณวินไม่ยอมรับเมเข้าทำงาน?”

   “ก็ไอ้วินมันไม่ยอมให้เมไปทำงานแทนเลขามันน่ะสิ มันบอกว่าถ้าเมอยากทำที่ทัดเทวามันจะหาตำแหน่งอื่นให้”
เมริษารับฟังด้วยใบหน้าครุ่นคิด หากว่าเธอไม่ได้ทำงานในตำแหน่งเลขาของวิศรุต เธอจะทำงานที่ทัดเทวาหรือไม่ก็คงไม่ได้มีความหมายอะไรอยู่ดี เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงที่เธอวางแผนกับภาคินและวันชัยเอาไว้ก็คือการตีสนิทกับวิศรุตโดยต้องทำให้ฝ่ายนั้นหลงรักเธอให้ได้และการแอบขโมยข้อมูลลับของบริษัททัดเทวามาให้กับวันชัย

   “แล้วคุณพ่อคุณว่ายังไงคะ?”

   “พ่อบอกให้รอไปก่อน เพราะถ้าเราไปทำอะไรเลขาไอ้วินตอนนี้ เดี๋ยวมันจะสงสัยเราได้” เมริษาเห็นด้วยกับความคิดของวันชัย โอกาสที่เธอจะได้เจอกับวิศรุตยังมีอีกเยอะ นั่นหมายความว่าตอนนี้ยังไม่ต้องรีบเดินหน้าสานสัมพันธ์กับอีกฝ่ายมากนักเพราะจะดูเป็นการตามตอแยเขาจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่นิสัยของเธอเลย เพราะสุดท้ายวิศรุตก็ต้องมาติดเบ็ดที่เธอเกี่ยวเหยื่อล่อเอาไว้อยู่แล้ว เมริษาคิดอย่างมั่นใจในฝีมือของตัวเอง

เมื่อนึกว่าในอนาคตเธอจะได้ใช้นามสกุลทัดเทวาร่วมกับวิศรุตในฐานะภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เมริษาก็อดยิ้มด้วยแววตาหมายมาดไม่ได้ การได้ใช้คำต่อท้ายชื่อว่าทัดเทวาจะส่งผลต่อเธอมากมาย หนึ่งในนั้นคือการช่วยพยุงให้ฐานะทางบ้านของเธอได้กลับมาเชิดหน้าชูตาในวงสังคมได้อีกครั้งหลังจากที่ตอนนี้บ้านของเธอกำลังจะถูกธนาคารฟ้องล้มละลายเพราะฐานะทางการเงินของบริษัทธุรกิจที่ครอบครัวเธอเป็นเจ้าของอยู่ไม่สู้จะดีนัก ภาคินก็เป็นตัวเลือกหนึ่งของเธอ ตอนแรกเธอหมายตาเอาไว้ว่าจะต้องจับชายหนุ่มคนนี้เอาไว้ให้ได้ แต่พอได้ฟังข้อเสนอที่ภาคินยื่นให้เพื่อแลกกับการที่เธอต้องมาร่วมลงเรือร่วมมือกับแผนการเจ้าเล่ห์ของเขามันก็ออกจะคุ้มดีอยู่ไม่น้อย ที่สำคัญวิศรุตก็รวยกว่ามากนักเมื่อเทียบกับภาคินที่ไม่ใช่ทายาทของทัดเทวาโดยสายเลือด   

ภาคินจุดยิ้มที่มุมปากอย่างนึกรู้ว่าเมริษากำลังคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเสนอแผนการนี้ให้กับวันชัยเอง เพราะเห็นว่าหากสำเร็จไปตามแผน ฝ่ายเขากับเมริษาจะมีแต่ได้กับได้เท่านั้น ด้วยเพราะหากเมริษาทำให้วิศรุตหลงรักจนยอมแต่งงานด้วยได้ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม เธอก็ย่อมมีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของวิศรุตด้วยครึ่งหนึ่งในฐานะภรรยา ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันก็ตกมาเป็นของเขากลายๆนั่นเอง วิศรุตไม่มีทางรู้หรอกว่าเมริษากับเขามีสถานะสัมพันธ์กันลึกซึ้งถึงขั้นไหนต่อไหนกันแล้ว อีกทั้งวิธีนี้ก็จะช่วยให้วันชัยผู้เป็นพ่อเข้ามาแทรกแซงอำนาจในทัดเทวาที่เป็นของวิศรุตได้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมด ถ้าสุดท้ายแล้ววิศรุตรู้ว่าตัวเองโดนเมริษาหลอกก็คงจะกระอักเลือดตายด้วยความแค้นใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มันจะต้องมาใช้ผู้หญิงที่เหลือเดนต่อจากเขาอีกที

“จากนี้ผมว่าเมต้องพยายามหาทางใกล้ชิดไอ้วินมันบ่อยๆแล้วล่ะ ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ามันจะกลับเมืองนอกเลยหรือเปล่าหลังจากที่น้องสาวของมันออกจากโรงพยาบาล ทางที่ดีเมต้องรีบหาทางรั้งมันเอาไว้ที่นี่ก่อน” ภาคินเสนอแต่เมริษาลอบถอนหายใจเฮือก สำหรับวิศรุตแล้ว เธอก็แค่คนที่เคยเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว แล้วอย่างนี้เธอจะเอาอะไรไปรั้งวิศรุตไม่ให้บินไปเมืองนอกได้ล่ะ ตอนนี้เธอยังไม่ได้สนิทสนมกับเขาถึงขนาดเป็นคนใกล้ชิดที่บอกอะไรแล้ววิศรุตจะต้องทำตามทุกอย่างเสียหน่อย แต่หญิงสาวก็ฉลาดพอที่จะไม่พูดความคิดที่อยู่ในใจของเธอให้ภาคินฟัง

“ค่ะ แล้วเมจะลองหาวิธีดูแล้วกัน” ภาคินยิ้มพึงใจก่อนจะรวบร่างของเมริษาเข้ามากอดอีกครั้งแล้วระดมจูบไปทั่วดวงหน้าสวยหวาน

“ถ้าคุยเรื่องงานกันเสร็จแล้ว ผมว่าเราไปกันเถอะ จะได้ไปทำเรื่องอย่างอื่นกันต่อ” ภาคินพูดเสียงกรุ้มกริ่ม ส่วนเมริษาก็ช้อนตามองเขาด้วยประกายตาเชื่อมหวานอย่างยั่วเย้า

“ที่ไหนคะ?”

“ผมจองห้องเอาไว้แล้ว” ชายหนุ่มหมายถึงห้องด้านบนเหนือคลับหรูแห่งนี้ ที่ทางคลับเปิดเอาไว้สำหรับให้บริการลูกค้าวีไอพีเท่านั้น ชายหนุ่มไม่อยากเสียเวลาขับรถไปหาโรงแรมอื่นอีก เขากระหายอยากจะชิมความหอมหวานเย้ายวนจากร่างตรงหน้าเร็วๆโดยไม่อยากปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์แม้เพียงนาทีเดียว

ภาคินจัดการเช็คบิลเรียบร้อยแล้วก็โอบเอวเมริษาเดินออกจากบริเวณผับไปยังด้านนอกเพื่อขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพักส่วนตัวที่จองเอาไว้เป็นพิเศษสำหรับค่ำคืนนี้

ทั้งภาคินและเมริษาไม่ได้สังเกตเลยว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาคู่หนึ่งที่เฝ้ามองดูตั้งแต่ที่ทั้งคู่ก้าวออกมาจากตัวผับแล้วตระกองกอดกันเข้าไปในลิฟต์อย่างเงียบๆ 

ภาณุแสยะมุมปากกับภาพที่เห็น บังเอิญว่าชายหนุ่มออกมาคุยโทรศัพท์ที่ด้านนอกพอดีจึงได้เห็นว่าผู้หญิงหน้าตาสวยซึ้งที่เขาอยากจะรู้จักคนนั้นกำลังเดินโอบประคองกับผู้ชายอีกคนเข้าไปในลิฟต์ซึ่งเขาเองก็เดาได้อย่างไม่ยากเลยว่าจุดหมายปลายทางของทั้งคู่ก็คงไม่พ้นห้องพักสุดหรูด้านบน และที่สำคัญผู้ชายคนนั้นก็คือภาคิน ทัดเทวา ญาติของเพื่อนสนิทเขานั่นเอง แม้ว่าจะเจอภาคินไม่บ่อยแต่ภาณุก็รู้จักฝ่ายนั้นเป็นอย่างดีด้วยเพราะกิตติศัพท์ที่วิศรุตชอบเอามาเล่าสู่เขาฟังบ่อยๆตั้งแต่สมัยยังเรียนม.ปลาย ซึ่งมันก็มักจะเป็นเรื่องที่ออกไปในแนวแง่ลบเสียด้วย เช่นว่าภาคินชอบใช้นามสกุลทัดเทวามาเป็นเครื่องมือหลอกฟันพวกผู้หญิงหน้าเงินที่อยากจะจับเขาเพื่อยกระดับฐานะตัวเอง และครั้งนี้ภาณุก็เดาว่าภาคินก็คงจะทำอย่างนั้นเช่นกัน

“เธอมันก็แค่พวกผู้หญิงหน้าเงินทั่วไปที่หวังจะใช้ความสวยของตัวเองเพื่อจับพวกเศรษฐีสินะ” ภาณุแค่นเสียงดูถูก ความประทับใจแรกเห็นเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ตอนที่หญิงสาวผู้นั้นเดินมาชนเขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ในความรู้สึกอีก เมื่อภาณุได้เห็นเธอเดินขึ้นลิฟต์ไปกับภาคินด้วยสองตาของตนเอง





วันนี้วิศรุตทำหน้าที่พี่ชายที่ดีในการไปรับศรารัตน์กลับจากโรงพยาบาลเพื่อมาพักฟื้นต่อที่บ้าน ตลอดทางขากลับระหว่างที่นั่งอยู่ในรถ ศรารัตน์เมินหน้าไม่ยอมพูดอะไรกับวิศรุตซักคำด้วยเพราะยังไม่หายโกรธพี่ชายถึงเรื่องที่ทั้งสองทะเลาะกันในวันนั้น ตอนแรกวิศรุตคิดว่าจะเอาใจน้องสาวด้วยการพาไปทานอาหารกลางวันที่ร้านโปรดของเธอ แต่เมื่อเห็นท่าทางเย่อหยิ่งเย็นชาที่ศรารัตน์แสดงออกต่อเขา ชายหนุ่มก็ชักเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาบ้างแล้ว ดังนั้นการรับประทานอาหารนอกบ้านก็เป็นอันต้องล้มเลิกไปและเปลี่ยนเป็นตรงดิ่งกลับบ้านในที่สุด

“ใจคอเธอจะไม่พูดอะไรกับฉันสักคำเลยเหรอ?” วิศรุตพูดไล่หลังศรารัตน์ขณะที่อีกฝ่ายกำลังเดินลิ่วเข้าบ้าน เท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดหินอ่อนขัดมันชะงักแล้วหันมาพูดสั้นๆ

“เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีกหรอก”

   “ก็เพราะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่หมอนภัทรอะไรนั่น” ชื่อบุคคลที่สามที่ถูกพาดพิงทำให้ศรารัตน์ต้องถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายกับเรื่องนี้ที่ยังคงโต้เถียงอย่างไม่จบไม่สิ้นเสียที

   “หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ววิน ยังไงฉันก็ยังยืนยันคำเดิมว่านายไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องฉันกับหมอกานต์” ศรารัตน์เน้นเสียงหนักก่อนจะเดินขึ้นบ้านไปทันที ไม่สนใจว่าวิศรุตจะมีสีหน้าที่ขัดเคืองกับคำพูดของตนเองมากเพียงใด

   เมื่อวิศรุตเดินตามศรารัตน์เข้ามาในตัวบ้านเพื่อตั้งใจจะมาคุยเรื่องนภัทรต่อ แต่ภายในห้องรับแขกไม่ได้มีแต่ศรารัตน์เพียงคนเดียว ชายหนุ่มกลับพบแขกที่มาเยือนบ้านทัดเทวาอีกคน...ภาคิน

   “มาทำอะไรที่นี่ภาคิน?” วิศรุตถามเสียงห้วน เมื่อวันชัยไม่อยู่เขาก็ไม่จำเป็นต้องปั้นหน้ารักษามารยาทกับคนๆนี้อีกต่อไป

   “ทำไมนายต้องทำหน้ายักษ์อย่างนั้นด้วยล่ะวิน? ฉันก็แค่แวะมาเยี่ยมศราเพราะรู้ว่าวันนี้จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็เท่านั้น” ภาคินยื่นดอกไม้ช่อโตในมือให้กับศรารัตน์ที่รับไปพร้อมเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายแล้วบอกว่าไม่น่าลำบากเอามาให้เธอเลย “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี” ภาคินเอ่ยพร้อมส่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่มให้ศรารัตน์ หญิงสาวลอบเบ้หน้าคลื่นไส้ ในใจก็รู้สึกสะอิดสะเอียนกับสายตาที่เหมือนจะโลมเลียเธอไปทั้งตัวแบบนี้

   “ถ้าหมดธุระแล้วก็กลับไปสิ” เมื่อเจอเจ้าของบ้านไล่แบบไม่ไว้หน้าเช่นนี้ ภาคินเลยต้องจำใจกลับ แต่ก่อนไปยังไม่วายหันไปเอ่ยลาศรารัตน์อีกครั้ง

   “งั้นผมไปก่อนนะครับศรา เอาไว้เจอกันที่บริษัท” ศรารัตน์ยิ้มฝืดๆให้ภาคินก่อนจะรีบเดินหนีขึ้นไปยังชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนส่วนตัวของเธอ ทิ้งให้วิศรุตเผชิญหน้ากับภาคินสองคน

   “ฉันขอพูดตรงๆเลยแล้วกันนะ” วิศรุตพูดเสียงกร้าวขณะสบตากับภาคินที่มองมาด้วยแววตาที่เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างไม่แพ้กัน

“ถ้าไม่มีธุระอะไรสำคัญจริงๆ ฉันไม่อยากให้นายมาวุ่นวายที่บ้านของฉันบ่อยๆ หวังว่าที่พูดนี่นายคงจะเข้าใจ”

   “ท่าทางนายจะหวงบ้านนี้จริงนะ หรือว่ากลัวว่าซักวันมันจะต้องตกไปเป็นสมบัติของคนอื่น”

   “สมบัติของฉัน ถ้าฉันไม่ยกให้ ใครหน้าไหนก็อย่าหวังได้เลย” วิศรุตสวนกลับอย่างรวดเร็ว เขาไม่เคยเห็นภาคินอยู่ในสายตาอยู่แล้ว คำพูดนั้นทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร ไม่มีทางเสียหรอกที่บ้านทัดเทวาจะตกไปอยู่ในมือทายาทนอกสายเลือดอย่างแก วิศรุตคิดในใจอย่างเย้ยหยัน

   ภาคินพยายามกดอารมณ์โกรธที่พลุ่งพล่านเมื่อถูกอีกฝ่ายย้อนเข้าให้ ก่อนจะกัดฟันเอ่ยขอตัวกลับบ้านทันที

   “เดี๋ยวก่อน” วิศรุตเรียกไว้ ภาคินจึงหยุดแล้วหันมามองว่าคนเรียกต้องการจะพูดอะไรกับเขาอีก “ฉันได้อ่านรายงานที่ทางแผนกการเงินประเมินงบสำหรับโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่แล้ว ฉันว่าตัวเลขมันดูสูงผิดปกตินะ” ภาคินชะงักทันที หรือว่าวิศรุตจะพบอะไรผิดปกติในยอดงบโครงการบ้านจัดสรรที่เขาเสนอไป

   “ถ้านายไม่พอใจ เดี๋ยวฉันจะให้พวกลูกน้องเอากลับมาแก้ใหม่อีกรอบก็ได้”

   “มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วเพราะมันเป็นหน้าที่ของนายโดยตรงนี่นา ฉันขอเตือนนะว่าโครงการนี้เป็นโครงการใหญ่ ฉันไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาดแม้แต่อย่างเดียว” วิศรุตสำทับเสียงหนัก ชายหนุ่มตั้งใจจะใช้โครงการนี้เป็นผลงานเพื่อพิสูจน์ตัวเองกับบรรดาผู้บริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัท อย่างน้อยก็ก่อนที่เขาจะกลับไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกตามเดิม เขาก็อยากจะแสดงให้ทุกคนที่เคยดูถูกในความสามารถของเขาได้รู้ว่าวิศรุต ทัดเทวาไม่ได้เป็นคนไม่เอาถ่านอย่างที่บรรดากรรมการบริษัทหลายๆคนเคยปรามาสเอาไว้โดยเฉพาะคุณมงคล

   ภาคินรับคำในคอก่อนรีบเดินออกไปเพราะไม่อยากให้วิศรุตสงสัย เห็นทีกลับไปเขาจะต้องเตือนลูกน้องตนให้ตกแต่งงบการเงินในแนบเนียนกว่านี้ เพราะวิศรุตเกือบจะจับได้แล้วว่ายอดเงินที่เสนอให้อนุมัติโครงการมีความผิดปกติ เพราะถ้าหากโดนจับได้ คนที่ซวยที่สุดก็หนีไม่พ้นเขาอยู่ดีและวิศรุตก็คงไม่ปล่อยโอกาสในการเขี่ยเขาออกจากทัดเทวาให้หลุดมือไปแน่ๆ


จบบทที่10

Aislin : สวัสดีค่ะ มาอัพเพิ่มให้แล้วนะคะ ขอบคุณมากๆเลยสำหรับการตอบรับที่ดีค่ะ ตอนแรกนึกว่าจะไม่มีติดตามอ่านเสียแล้ว เปิดมาได้เห็นคอมเม้นท์หลายๆคอมเม้นท์ก็ใจชื้นขึ้นมาอีกมากโข ยังไงก็ฝากติดตามต่อไปเรื่อยๆด้วยนะคะ ช่วงแรกอาจจะเป็นการปูพื้นเนื้อเรื่องไปคร่าวๆก่อน แต่กลางๆเรื่องเป็นต้นไปรับรองว่าเข้มข้นและจัดเต็มแน่นอน!!

มีนักอ่าน (คุณYร้าย) คอมเม้นท์เข้ามาว่าตัวอักษรเล็กเกินไป ครั้งนี้เราเลยปรับให้เป็นขนาด18pt ไม่รู้ว่าจะทำให้อ่านง่ายขึ้นหรือเปล่า แหะๆๆ ถ้าเกิดมีอะไรอยากแนะนำหรือติชมก็คอมเม้นท์บอกกันได้นะคะ คอมเม้นท์ชมก็ถือเป็นกำลังใจที่ดี ส่วนคอมเม้นท์ติเราก็จะนำไปปรับปรุงกับงานเขียนเรื่องอื่นๆ (เพราะเรื่องนี้คงแก้ไม่ทันแล้ว เพราะพิมพ์รวมเล่มไปแล้วจ้า) ถ้ายังไงแวะไปกดlikeแล้วพูดคุยกันได้ในหน้าFB Fanpageนิยายเรื่องนี้กันนะคะ :))

ขอบคุณสำหรับการตอบรับที่อบอุ่นจากนักอ่านในเล้าเป็ดค่ะ เดี๋ยวมาอัพให้ใหม่เน้อ (นิยายมี39ตอนจบ)

ปล. ทิ้งท้ายด้วยปกนิยายเรื่องนี้แล้วกันเน้อ ส่วนตัวแล้วเราชอบมากเลย ก็เลยอยากอวด 555


ออฟไลน์ eern

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 615
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-5
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-10
«ตอบ #25 เมื่อ31-07-2012 12:07:02 »

หนังสือเล่มเท่าไหร่

ออฟไลน์ moredee

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-8
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-10
«ตอบ #26 เมื่อ31-07-2012 12:10:33 »

:L2:สนุกชวนอ่านตาม

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-10
«ตอบ #27 เมื่อ31-07-2012 12:14:02 »

หนังสือเล่มเท่าไหร่

เล่มละ 310บาท (361หน้า) ถ้าสนใจยังไงตามอ่านรายละเอียดจากในfb fanpage ได้เลยนะคะ (ในบอร์ดไม่ให้เปิดเผยเมลล์ด้วยน่ะสิ เหอๆ)

ขอบคุณที่ให้ความสนใจในนิยายเรื่องนี้ค่ะ :))

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-10
«ตอบ #28 เมื่อ31-07-2012 13:47:49 »

อื่มแล้วแมื่อไรวินจะเข้าไปทำงานจริงๆซักทีอะ :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ปล่ยอให้สองพ่อลูกโกงเงินอยู่นั้นละ :m16: :m16:

รออ่านตอนต่อไปจ้า :bye2: :bye2:ขอบคุณนะที่นำนิยายสนุกๆมาให้อ่านกัน :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-10
«ตอบ #29 เมื่อ31-07-2012 14:02:21 »

ชอบเรื่องนี้จังเลยอ่ะ เนื้อหาเข้มข้น แล้วก็สมจริงมาก ><
อ่านแล้วหน่วงๆไปกับวิศรุตตลอดเลย เศร้าอ่ะ ไม่รูหมอนภัทรคิดไงกันแน่ด้วย แต่ไม่เห็นหนทางที่จะมาบรรจบกันได้เลยอ่ะ ฮืออออออออ
เป็นพี่น้องที่ทะเลาะกันตลอดเลย -*- พูดอะไรก็กลายเป็นทะเลาะกันไปได้ น่าเหนื่อยใจแทนจริงๆ
ส่วนพงศกรก็ขอให้จีบศราสำเร็จนะ ^^

รอตอนหน้าค่า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด