เกมชิง Special Booklet จากนิยายเรื่อง"ทัณฑ์กามเทพ" (นิยายทัณฑ์กามเทพบทที่1-จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เกมชิง Special Booklet จากนิยายเรื่อง"ทัณฑ์กามเทพ" (นิยายทัณฑ์กามเทพบทที่1-จบ)  (อ่าน 74829 ครั้ง)

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่22
«ตอบ #60 เมื่อ03-08-2012 08:40:33 »

บทที่ 22


   เมื่อภาณุมาถึงโรงพยาล ชายหนุ่มก็รีบตรงไปยังห้องไอซียูทันทีก่อนจะพบว่าวิศรุตกำลังนั่งหน้าเครียดอยู่หน้าห้องขณะรอฟังผลอาการของศรารัตน์

   “ไอ้วิน เกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมศราถึงได้รถคว่ำได้ล่ะ?” ภาณุยิงคำถามขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าเพื่อนรัก

   “ฉันผิดเองไอ้โอม เพราะฉันเอง ศราก็เลยต้องมารถคว่ำแบบนี้ ฉันมันไม่ดีเอง” ภาณุยึดข้อมือวิศรุตที่กำลังทำท่าจะดึงทึ้งศีรษะของตัวเองเอาไว้ก่อนจะบอกให้ชายหนุ่มตั้งสติให้ดีก่อนแล้วจากนั้นค่อยเล่ามาว่าเรื่องมันไปมายังไงกันแน่

   “แกใจเย็นๆนะเว้ยไอ้วิน ศราจะต้องไม่เป็นอะไร น้องสาวของนายดวงแข็งจะตาย เธอจะต้องปลอดภัย”

   “แต่ฉันกลัวว่ะโอม ตำรวจบอกว่ายัยศราขับรถเร็วมากแถมถนนก็ลื่นเพราะฝนตกหนัก รถก็เลยเบรกไม่อยู่จนแหกโค้งแล้วก็พลิกคว่ำอย่างรุนแรง แล้วศราก็...” วิศรุตเงียบไปเพราะพูดไม่ออก ตอนที่รู้เรื่องจากตำรวจ เขาก็รีบมาที่โรงพยาบาลทันทีแล้วก็ทันได้เห็นร่างโชกเลือดของศรารัตน์ถูกเข็นเข้าไปในห้องไอซียู ภาพที่เห็นทำให้เขายิ่งรู้สึกกลัว เขากลัวว่าศรารัตน์จะเป็นอะไรไป

   “แกตั้งสติก่อนนะวิน หมอที่นี่เก่งๆทั้งนั้น เค้าต้องช่วยน้องสาวแกอย่างสุดความสามารถแน่ๆ เชื่อฉันสิ”

   “เพราะฉันไม่ดีเอง ฉันไม่น่าไปพูดแบบนั้นกับศราเลย เธอคงจะรับไม่ได้แล้วก็คงจะโกรธฉันมากถึงได้ผลุนผลันขับรถออกไปด้วยความเร็วขนาดนั้น”

   “แกทะเลาะกับศรางั้นเหรอ?” วิศรุตพยักหน้าด้วยใบหน้าซีดเผือดก่อนตัดสินใจเล่าให้เพื่อนสนิทฟัง

   “ศรารู้เรื่องทุกอย่างแล้ว ทั้งเรื่องที่ฉันกับนภัทรเคยรู้จักกันมาก่อน แล้วก็เรื่องที่ฉันชอบนภัทร” ภาณุอุทานออกมาด้วยความตกใจ ชายหนุ่มอึ้งไปนาน เขาเข้าใจความรู้สึกของศรารัตน์ดี เพราะถ้าหากเขาเป็นเธอ เขาเองก็คงจะรับไม่ได้เช่นกันกับความจริงที่ว่าพี่ชายตัวเองเป็นเกย์แถมยังมาชอบผู้ชายคนเดียวกับที่ตนหลงรักด้วย

   “มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด ถ้าฉันไม่บอกศราไปว่าฉันชอบนภัทร เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น” วิศรุตซบหน้าลงกับฝ่ามือก่อนที่จะร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้นในใจ ศรารัตน์ไม่สมควรจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เลยซักนิด ภาณุมองเพื่อนรักด้วยความสงสาร ชายหนุ่มเข้าไปกอดปลอบวิศรุตที่กำลังตัวสั่นเทาเพราะความพยายามกลั้นเสียงสะอื้น มือหนาลูบหลังเพื่อนรักแบบที่เคยทำประจำยามที่ต้องการจะส่งผ่านกำลังใจไปให้กับคนในอ้อมแขนตน

   ผ่านไปหลายชั่วโมงกว่าหมอจะออกมาจากห้องไอซียู วิศรุตรีบปาดคราบน้ำตาก่อนจะถลาเข้าไปถามถึงอาการของ
ศรารัตน์ซึ่งหมอที่ทำการรักษาก็คือนภัทรนั่นเอง

   “ศราเป็นยังไงบ้าง? เธอปลอดภัยดีหรือเปล่า?” นภัทรเม้มริมฝีปากแน่นกับคำถามนั้นก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าแต่ว่าชัดเจน

   “เราช่วยรักษาชีวิตคุณศราไว้ได้ แต่ว่า...” คุณหมอหนุ่มหยุดเว้นวรรคไปนิดหนึ่งอย่างลำบากใจที่จะเอ่ย ในขณะที่วิศรุตและภาณุกำลังกลั้นหายใจรอคำตอบ “ผลจากการชนและการกระแทกอย่างรุนแรงตามร่างกายทำให้อวัยวะบางอย่างภายในฉีกขาด แต่นั่นก็ไม่เท่ากับผลของการที่รถพลิกคว่ำจนตกขอบทางทำให้สมองของเธอได้รับการกระทบกระเทือนอย่าง รุนแรง จนบางทีแม้ว่าจะรักษาชีวิตของเธอเอาไว้ได้ แต่เธออาจจะกลายเป็น...เจ้าหญิงนิทรา”

   “อะไรนะ ศราจะต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอย่างนั้นเหรอ?” นภัทรพยักหน้ารับก่อนจะบอกว่าเธอยังมีโอกาสหายจากการเป็นเจ้าหญิงนิทราได้แต่จำเป็นจะต้องใช้เวลาพักฟื้น ซึ่งเขาก็บอกไม่ได้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย

   คำพูดของนภัทรทำให้วิศรุตเข่าอ่อนเหมือนกับจะทรงตัวไม่อยู่ ชายหนุ่มลำคอแห้งผากด้วยความที่พูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกผิดก็ยิ่งเกาะกุมหัวใจ เพราะเขาศราก็เลยต้องเป็นแบบนี้ เพราะเขาคนเดียว

   นภัทรมองวิศรุตด้วยความสงสารจับใจ ตอนที่เขาเห็นสภาพของศรารัตน์ที่ถูกหน่วยกู้ชีพนำส่งโรงพยาบาล หญิงสาวอาการหนักมากเสียจนเขากลัวว่าจะไม่สามารถยื้อชีวิตเธอเอาไว้ได้ แต่ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เขารั้งเธอไว้ได้แม้ว่าเธอจะต้องมีสภาพกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราที่นอนนิ่งไม่รู้สึกตัวเลยก็ตาม

   “ใจเย็นๆก่อนเถอะนะ ฉันบอกแล้วไงว่าคุณศรายังมีโอกาสหาย ไม่ต้องห่วงนะ ฉันสัญญาว่าจะพยายามเต็มที่ให้ดีที่สุดเพื่อคุณศราแล้วก็เพื่อ...นาย” นภัทรบีบไหล่วิศรุตเบาๆอย่างให้กำลังใจก่อนจะขอตัวเดินไปจากตรงนั้นทันทีเพราะไม่อยากเห็นน้ำตาของวิศรุตอีกแล้ว น้ำตาของฝ่ายนั้นทำให้เขารู้สึกปวดยอกในใจอย่างประหลาดราวกับว่าหัวใจของเขาก็กำลังหลั่ง
น้ำตาอยู่เช่นกัน





   หลังจากนั้นไม่นานศรารัตน์ก็ถูกย้ายไปยังห้องพักฟื้นพิเศษ ตามร่างกายและใบหน้าของหญิงสาวยังคงเป็นแผลบวมช้ำที่เกิดจากการกระแทกตอนรถชน ตอนนี้เธอต้องใส่เครื่องช่วยหายใจเอาไว้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเพราะชีพจรเธอเต้นอ่อนแรง มาก และระบบทางเดินหายใจยังไม่เป็นปกติ  วิศรุตมองสภาพของศรารัตน์ด้วยความสงสารและความรู้สึกผิดที่จู่โจมเข้ามาในใจตลอดเวลา มือหนาของชายหนุ่มเอื้อมไปลูบปอยผมของหญิงสาวอย่างแผ่วเบาพลางกัดฟันแน่นข่มใจไม่ให้ตัวเองแสดงความอ่อนแอออกมาอีกครั้ง

   “ไอ้วิน ฉันมีเรื่องสำคัญที่จำเป็นจะต้องบอกแก” ภาณุเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาเบาๆในขณะที่วิศรุตยังคงนิ่ง “เรื่องเอกสารหลักฐานที่จะเอาผิดญาติของแกนั่นแหล่ะ” เรื่องนี้ทำให้วิศรุตหันขวับมาจ้องภาณุทันที

   “แกตั้งใจจะพูดอะไรไอ้โอม?” ภาณุถอนหายใจแรงก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่เขาบังเอิญเห็นเมริษาแอบเข้าไปขโมยข้อมูลจากโน้ตบุ๊คส่วนตัวของวิศรุตให้เจ้าตัวฟัง

   “แต่แกไม่ต้องห่วงนะ ข้อมูลที่ยัยนั่นได้ไป ฉันตามไปทำลายทิ้งแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่ายัยนั่นจะได้พวกเอกสารต้นฉบับอื่นๆให้ห้องทำงานแกไปหรือเปล่าน่ะสิ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยุ่งเลย” วิศรุตมีสีหน้าไม่ยี่หระกับเรื่องที่ภาณุบอก ก่อนจะยอมเฉลยให้เพื่อนสนิทฟัง

   “ฉันคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าสักวันเมริษาจะต้องทำแบบนี้ ดังนั้นฉันก็เลยจัดการซ้อนแผนเอาไว้ตั้งนานแล้ว” เมื่อเห็นสีหน้าฉงนของภาณุ วิศรุตก็อธิบายต่อ “ฉันเอาเอกสารต้นฉบับที่สำคัญทั้งหมดไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัยตั้งนานแล้ว จากนั้นก็ให้คุณอิงอรที่ตอนนี้เริ่มหายจากอาการป่วยเข้ามาช่วยทำเอกสารปลอมเพื่อตบตาสองพ่อลูกนั่นรวมถึงเมริษาด้วย ยัยนั่นคงไม่ทันได้เฉลียวใจว่าคนอย่างวิศรุต ทัดเทวามีหรือจะยอมปล่อยทิ้งเอกสารสำคัญเอาไว้ในตู้ห้องทำงานโดยไม่ได้ล็อคกุญแจอะไรเลย”

   “นี่ก็หมายความว่าถึงเมริษาทำลายเอกสารทิ้งไป นายก็ไม่เดือดร้อนใช่ไหม?” วิศรุตพยักหน้าก่อนจะบอกว่าพวกข้อมูลในคอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน ถึงเมริษาจะลบทิ้งไปก็ไม่เป็นไรเพราะเขามีสำรองเอาไว้อีกเยอะ

   ภาณุมองวิศรุตอย่างชื่นชมในความรอบคอบ เพื่อนของเขาวันนี้ชักจะเหมือนนักธุรกิจผู้เก่งกาจเข้าไปทุกวัน ไม่เหลือเค้าเด็กหนุ่มตอนสมัยม.ปลายที่เคยใช้ชีวิตแบบเสเพลไปวันๆเลยซักนิด

   เสียงมือถือของวิศรุตดังขึ้น ชายหนุ่มรับก่อนจะกรอกเสียงลงไป ปลายสายที่โทรมาคือตำรวจที่ดูแลคดีรถคว่ำของศรา รัตน์

   “อะไรนะครับ คุณตำรวจแน่ใจหรือครับ? ถ้าอย่างนั้นผมต้องรบกวนด้วย ติดต่อผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ” วิศรุตมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีหลังจากวางสายไปจนภาณุอดถามไม่ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

   “ตำรวจโทรมาว่ายังไงบ้างไอ้วิน?”

   “ตำรวจเค้าโทรมาบอกว่าเค้าสงสัยว่าเรื่องที่เกิดกับศรามันอาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการจงใจฆาตกรรมเพื่ออำพรางคดี” ภาณุอุทานออกมาอย่างตกใจในขณะที่ใบหน้าของวิศรุตซีดเผือด “เค้าบอกว่าหลังจากที่ตรวจสอบรถคันที่ชนอย่างละเอียดแล้วก็พบว่าสายเบรกถูกตัด”

   “อย่างนี้ก็หมายความว่า...”

   “ใช่ มีคนต้องการให้ศราประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต” วิศรุตตาวาว ในใจก็พยายามจะปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด ศรารัตน์ไม่น่าจะมีศัตรูที่ไหนและเขาก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นพวกคู่แข่งธุรกิจที่ถึงขนาดต้องตามเอาชีวิตกันแบบนี้ คนที่ศรารัตน์ไปขัดใจด้วยจนถึงขั้นเกิดแรงจูงใจที่จะนำไปสู่การวางแผนฆาตกรรมก็คือ...

   “แกคิดว่าใครวะที่กล้าคิดร้ายกับศราขนาดนี้น่ะ?”

   “อาวันชัยกับไอ้ภาคิน” สองชื่อที่หลุดออกจากปากวิศรุตทำให้ภาณุถึงกับสะดุ้ง เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสองคนนั้นจะกล้าทำแบบนี้กับศรารัตน์ เพราะทั้งศรารัตน์และวิศรุตต่างก็เป็นหลานแท้ๆของวันชัย ฝ่ายนั้นคงไม่น่าจะทำแบบนี้ได้

   “แกคิดมากไปหรือเปล่าวะ? บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้” ในใจภาณุไม่อยากจะเชื่อเท่าใดนัก

   “แกรู้จักสองพ่อลูกนี้น้อยไปไอ้โอม เค้าทำได้แน่ถ้ามีใครมาขัดผลประโยชน์ แกก็รู้นี่นาว่าศรารัตน์เป็นคนเปิดโปงความชั่วของสองคนนั้น บางทีพวกนั้นอาจจะแค้นแล้วก็อยากฆ่าปิดปากศราก็ได้ หรือไม่บางทีฉันก็อาจจะเป็นเป้าหมายต่อไปของมัน” ภาณุคิดตาม ถ้าหากเป็นอย่างที่วิศรุตพูดจริง สองพ่อลูกคู่นี้ก็ดูจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว

   วิศรุตหันไปมองศรารัตน์ที่นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราบนเตียงอีกครั้ง ชายหนุ่มสัญญากับตัวเองในใจว่าเขาจะต้องหาหลักฐานมาเอาผิดกับวันชัยและภาคินให้ได้ เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับศรารัตน์






   ในขณะที่วิศรุตกับภาณุกำลังปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับเรื่องอาการป่วยของศรารัตน์  ในทางตรงกันข้าม
วันชัย ภาคินและเมริษากลับกำลังดื่มฉลองให้กับความสำเร็จที่สามารถกำจัดศรารัตน์ให้พ้นทางได้ในที่สุด ถึงแม้ว่าคราวนี้
ศรารัตน์จะดวงแข็งรอดตายอย่างหวุดหวิดมาได้อีกครั้งก็ตาม

   “ตอนนี้ศราก็นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ที่โรงพยาบาล คงจะลุกขึ้นมาแฉเรื่องของเราไม่ได้อีกแล้วนะครับพ่อ” ภาคินพูดพร้อมรอยยิ้มเย็นชา ใจจริงเขาก็ไม่ได้อยากทำร้ายศรารัตน์แบบนี้หรอก แต่ช่วยไม่ได้ที่หญิงสาวดันมารู้เรื่องที่ไม่สมควรจะรู้มากจนเกินไป

   “แต่ครั้งนี้ก็พลาดอีกจนได้ หลานสาวของฉันคนนี้ช่างตายยากเสียจริง” วันชัยแค่นเสียงในคอเมื่อนึกถึงว่าหลายครั้งที่ตนพยายามจะกำจัดศรารัตน์ แต่หญิงสาวก็รอดมาได้เสียทุกครั้ง “น่าเสียดายที่ลูกน้องฉันทำพลาด ไม่ทันได้ตัดสายเบรกรถของไอ้วินด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้ตายกันทั้งพี่ทั้งน้อง” ความเลือดเย็นที่ฉายชัดให้เห็นในดวงตาของวันชัยทำให้เมริษารู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา พลางคิดในใจว่าเธอไม่น่าจะยอมร่วมมือกับพ่อลูกคู่นี้ในการโกงสมบัติของทัดเทวาเลย ตอนแรกเธอเพียงแค่หวังอยากสบายทางลัดเท่านั้นเพราะหากวิศรุตชอบเธอขึ้นมาจริงๆ เธอมีหวังได้ใช้ชีวิตแบบสุขสบายบนกองสมบัติมหาศาลของทัดเทวาไปตลอดชาติในขณะที่วันชัยและภาคินก็จะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการเช่นกัน  แต่จนแล้วจนรอดวิศรุตก็ไม่เห็นจะออกอาการว่าสนใจเธอเลยสักนิด ทั้งที่ตลอดเวลาที่เธอมาทำงานเป็นเลขาให้ชายหนุ่ม เธอเองก็พยายามงัดมารยาหญิงร้อยเล่มเกวียนมาใช้แทบจะทุกกลเม็ดแต่มันก็ยังไม่ได้ผลจนเธอเริ่มจะถอดใจแล้ว

   “คิดอะไรอยู่เหรอเม?” เมริษาสะดุ้งและหลุดออกจากภวังค์เมื่อภาคินหันหน้ามาถามตน หญิงสาวปฎิเสธพร้อมรอยยิ้มหวานก่อนจะเฉไฉแกล้งดื่มไวน์ที่ถืออยู่ในมือจนหมดแก้ว ในขณะที่สายตาก็ไม่ละจากภาคินเพราะกลัวชายหนุ่มจะจับสังเกตได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

   “เรื่องที่อาขอให้หนูเมไปทำ เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” วันชัยหมายถึงเรื่องที่ให้เมริษาแอบเข้าไปขโมยข้อมูลหลักฐานมาจากวิศรุตเพื่อที่ว่าวิศรุตและศรารัตน์จะได้ไม่มีหลักฐานในการมายืนยันกับบรรดากรรมการผู้บริหารในการเอาผิดกับเขาและภาคิน

   เมริษาลอบกลืนน้ำลายลงคอ จะให้หญิงสาวบอกได้อย่างไรว่าเธอทำงานนี้พลาดทั้งๆที่เกือบจะสำเร็จอยู่แล้วถ้าไม่ บังเอิญภาณุมาเจอเสียก่อนแล้วชิงทำลายแผ่นซีดีข้อมูลที่เธออุตส่าห์แอบเอามาจากโน้ตบุ๊คของวิศรุตทิ้ง แถมเธอยังมาพลาดท่าเสียทีให้ผู้ชายอย่างภาณุอีก แค่นึกถึงเรื่องนี้เมริษาก็อดเจ็บใจไม่หายกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้น แต่หญิงสาวอย่าง
เมริษาก็ฉลาดพอที่จะบอกวันชัยไปว่าเธอขโมยข้อมูลมาทั้งเอกสารและข้อมูลในโน้ตบุ๊คของวิศรุตและได้ทำลายทุกอย่างไปหมดแล้ว ให้วันชัยกับภาคินวางใจได้ เมริษากลัวหากไม่โกหกวันชัยไปแบบนี้ และหากว่าวันชัยรู้ว่าเธอทำงานพลาด เธอก็อาจจะต้องกลายเป็นเหยื่อของแผนการครั้งนี้อีกคนเหมือนกับศรารัตน์ก็ได้ ถึงแม้ว่าภาคินจะหลงไหลในตัวเธอมากขนาดไหนก็ตาม เธอรู้นิสัยของภาคินดี เขาไม่เคยรักใครจริงนอกจากตัวเองและหากว่าเธอไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาแล้ว สองพ่อลูกนี้ก็ไม่น่าจะปล่อยเธอเอาไว้เช่นกัน ยิ่งคิดเมริษายิ่งเจ็บใจตัวเองที่ดันไปเข้าร่วมกับแผนการบ้าๆแบบนี้

   “ถ้าหนูเมทำลายหลักฐานไปแล้วอาก็วางใจ” สองพ่อลูกมองหน้ากันอย่างกระหยิ่มในใจที่ทุกอย่างเป็นไปในแบบที่ตนต้องการ ตอนนี้วิศรุตก็ไม่มีหลักฐานอะไรจะมาเอาผิดพวกตนได้อีกแล้ว ทีนี้ก็เหลือเพียงแค่ให้พยานปากสุดท้ายที่นอนรอความตายอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างศรารัตน์หมดลมหายใจไปก็เท่านั้น

   เมริษาลอบมองวันชัยกับภาคินด้วยความรู้สึกหวั่นใจลึกๆ ก่อนจะทำเนียนแกล้งจัดเสื้อคลุมของตัวเองให้เข้าที่แล้วจึงอาศัยจังหวะที่ภาคินกับวันชัยชนแก้วฉลองกันโดยไม่ได้สนใจเธอ ค่อยๆใช้ปลายนิ้วกดปิดเครื่องอัดเสียงตัวจิ๋วที่เธอแอบซ่อนไว้ภายในเสื้อคลุมด้านใน เมริษาจำเป็นต้องทำแบบนี้เพื่อเป็นหลักประกันให้ตัวเอง เธอไม่ได้โง่ถึงขนาดจะให้สองคนนี้หลอกใช้ไปตลอดที่พอหมดประโยชน์ก็เขี่ยทิ้งง่ายๆ บางทีการที่เธอมีหลักฐานที่จะแฉความชั่วของพ่อลูกคู่นี้อยู่ในมือ มันอาจจะทำให้สถานการณ์ของเธอพลิกกลับมาเป็นต่อก็ได้ใครจะรู้


จบบทที่ 22

ปล. อ่านไปอ่านมาเดี๋ยวจะนึกชอบเมริษาขึ้นมาไม่รู้ตัว (หลายคนที่เคยอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบเค้าบอกเอาไว้อย่างนั้น) ส่วนวันชัยกับภาคิน อย่าให้พูดเล้ยยย....


ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
«ตอบ #61 เมื่อ03-08-2012 08:43:13 »

บทที่ 23


   วันชัยกับภาคินแสร้งทำทีว่ามาเยี่ยมอาการศรารัตน์ที่โรงพยาบาล ถึงแม้ว่าวิศรุตจะค่อนข้างมั่นใจว่าสองพ่อลูกคู่นี้อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับน้องสาวของตน แต่ชายหนุ่มก็ได้แต่เจ็บใจที่ตอนนี้ยังไม่สามารถหาหลักฐานเพื่อมาเอาผิดทั้งคู่ได้ เขาจึงเลือกที่จะสงบนิ่งไม่แสดงพิรุธอะไรออกมาเพราะไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่นในตอนนี้ และหลังจากที่วันชัยกับภาคินกลับไปแล้ว ภาณุจึงเสนอให้วิศรุตไล่เมริษาออกจากการเป็นเลขาส่วนตัวเพราะการปล่อยให้ผู้หญิงอย่างเมริษาอยู่ใกล้ก็เสมือนว่าเลี้ยงงูเห่าไว้ข้างตัวไม่มีผิด

   “ไอ้วิน ฉันว่าแกหาเลขาใหม่มาแทนเมริษาเถอะ แกก็เห็นอยู่ว่ายัยนั่นน่ะอันตรายแค่ไหน” ภาณุเสนอขึ้นในขณะที่วิศรุตมีสีหน้าเครียดเมื่อคิดถึงเรื่องที่เมริษาแอบขโมยข้อมูลลับของบริษัทไปให้วันชัย แต่โชคดีที่เขารอบคอบจึงจัดการซ้อนแผนโดยการทำเอกสารปลอมเอาไว้ตบตาเมริษาก่อนหน้านี้แล้ว

   “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้คุณอิงอรก็หายดีแล้ว เธอก็คงจะมาทำงานในตำแหน่งเลขาของฉันเหมือนเดิม ส่วนเรื่องเมริษาแกยิ่งไม่ต้องห่วงเพราะฉันคิดแผนเตรียมเอาไว้แล้ว” เมื่อเห็นสีหน้าแสดงความสงสัยของภาณุ วิศรุตจึงเฉลย “บางทีถ้าเมริษายอมหันมาร่วมมือกับเรา เรื่องมันก็อาจจะง่ายขึ้นก็ได้”

   “แกอย่าบอกนะไอ้วินว่าแกตั้งใจจะดึงยัยนั่นมาเป็นพวกเดียวกับเราน่ะ จะไว้ใจได้เหรอวะ?” วิศรุตเองก็ยักไหล่ก่อนจะบอกว่าตนเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถ้าหากสำเร็จและเมริษายอมช่วยเราล่ะก็ งานนี้เราจะได้พยานปากเอกเพิ่มมาอีกหนึ่งคน รับรองว่าวันชัยและภาคินดิ้นไม่หลุดแน่

   “แกว่าแผนนี้มันมีทางที่จะสำเร็จไหมล่ะไอ้โอม?” ภาณุส่ายหัวไม่แน่ใจ วิศรุตมองสีหน้ากลัดกลุ้มของคู่สนทนาก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ตอนนี้เมริษาเองก็รู้ตัวแล้วว่าความลับที่เธอเป็นสายให้กับวันชัยและภาคินโดนพวกเราจับได้ ถ้าให้ฉันเดานะ ผู้หญิงฉลาดอย่างเมริษาก็คงจะไม่โง่ไปบอกสองพ่อลูกนั่นหรอกว่าตอนนี้ความลับแตกแล้ว เพราะถ้าหากสองพ่อลูกนั้นรู้ว่าเธอทำงานไม่สำเร็จแล้วล่ะก็ ตัวเธอนั่นแหล่ะที่อาจจะเป็นอันตรายได้ ตอนนี้เมริษาไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีไปกว่าการยอมหันมาร่วมมือกับพวกเราอีกแล้วล่ะ”

   “แกก็อย่าเพิ่งมั่นใจไปเลย ยัยเมริษานั่นเป็นผู้หญิงเห็นแก่เงินนะ ฉันว่าที่เธอยอมทำทุกอย่างก็เพื่อหวังที่จะเกาะภาคินรวยทางลัดหากว่าฝ่ายนั้นแย่งสมบัติของทัดเทวาไปจากแกได้สำเร็จ แล้วถ้ามันสำเร็จจริงๆ ยัยนั่นก็จะสบายบนกองเงินกองทองไปทั้งชาติ แกคิดเหรอว่าผู้หญิงหน้าเงินอย่างนั้นจะยอมเปลี่ยนใจมาร่วมมือกับแกง่ายๆ” วิศรุตคิดตามคำพูดของภาณุ สักพักจึงยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

   “ถ้าเมริษาเป็นพวกผู้หญิงหน้าเงินอย่างที่แกพูด บางทีเรื่องนี้ก็อาจจะง่ายกว่าที่คิดนะ”

   “ถ้าแกมั่นใจอย่างนั้น เอาไว้เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจะจัดการให้เอง” ภาณุคิดถึงบุคคลที่สามด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วย
ความเครียด





   วิศรุตเดินทอดอารมณ์ไปตามโถงทางเดินที่ทอดยาวไปยังลานจอดรถของโรงพยาบาล ในใจชายหนุ่มกำลังคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องของศรารัตน์ซ้ำไปมา ภาพเหตุการณ์วันนั้นที่เขาทะเลาะกับศรารัตน์ยังคงแจ่มชัดในความรู้สึก ยิ่งคิด ความรู้สึกผิดก็ยิ่งเอ่อล้นในใจของชายหนุ่ม อาการของศรารัตน์ยังไม่ดีขึ้นถึงแม้ว่าหมอจะอนุญาตให้ออกจากห้องไอซียูได้แล้ว แต่ร่างกายของศรารัตน์ก็ยังไม่มีอาการตอบสนองอะไรเลย แถมยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา ทุกครั้งที่วิศรุตมองเห็น
ศรารัตน์ในสภาพของเจ้าหญิงนิทรา ชายหนุ่มจะรู้สึกผิดและโทษตัวเองทุกครั้งที่เป็นต้นเหตุทำให้ศรารัตน์ต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้ ถ้าหากเขาไม่รักหมอนภัทร ถ้าเขาไม่บังเอิญรักผู้ชายคนเดียวกับน้องสาวตัวเอง ถ้าเขาไม่แกล้งทำเป็นไม่รู้จักกับนภัทร เรื่องแบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น

   “คิดอะไรอยู่?” น้ำเสียงทุ้มลึกพร้อมกับมือหนาที่วางลงบนไหล่ของตนทำให้วิศรุตสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปพบว่าคนที่เรียกเขาไว้คือนภัทร คนที่เขากำลังคิดถึงอยู่นั่นเอง “กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?” นภัทรถามอีกรอบด้วยน้ำเสียงที่วิศรุตรู้สึกได้ว่ามันอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง

   “เปล่าหรอก ไม่มีอะไรเสียหน่อย ว่าแต่นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?” วิศรุตฝืนยิ้มกลบเกลื่อนแต่นภัทรเดาได้ไม่ยากจากสีหน้าและแววตาของอีกฝ่าย

   “ฉันเดินตามนายมานานแล้ว ไม่รู้ตัวเลยเหรอ” วิศรุตยิ้มเก้อๆ ก่อนจะบอกว่าตนเองกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ก็เลยไม่ทันได้สังเกต “นายกำลังคิดเรื่องคุณศราอยู่ใช่ไหม?” นภัทรพูดพร้อมกับใช้สองมือดันไหล่ของวิศรุตให้ฝ่ายนั้นหันมาเผชิญหน้ากับตนก่อนจะจ้องลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลโศกของอีกฝ่ายอย่างต้องการค้นหาคำตอบในแววตาคู่นั้น

   “ฉันกำลังคิดว่าเป็นเพราะฉันแท้ๆ ศราก็เลยต้องมาประสบอุบัติเหตุนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราแบบนี้” วิศรุตเม้มปากแน่นก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าจับอารมณ์ความรู้สึกหวั่นไหวของตัวเองในตอนนี้ได้

   “นายอยากเล่าให้ฉันฟังไหมว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น?...คืนที่คุณศราประสบอุบัติเหตุ” นภัทรตัดสินใจถามขึ้น ที่จริงเขาก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นคนนอกไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเรื่องในครอบครัวของฝ่ายนั้น แต่ลางสังหรณ์มันบอกเขาว่าเรื่องนี้จะต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวพันกับเขาแน่ๆ และเมื่อดูจากสีหน้าของคู่สนทนาที่เปลี่ยนเป็นซีดเผือด คุณหมอหนุ่มก็ค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าตัวเองเดาถูก “ถ้าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับฉัน ฉันเองก็สมควรที่จะรู้ไม่ใช่เหรอ?” วิศรุตเงยหน้ามองสบตาสีถ่านคู่นั้นด้วยความไม่แน่ใจ แต่ในที่สุดก็ยอมเอ่ยออกมาช้าๆด้วยน้ำเสียงที่เจ้าตัวพยายามบังคับไม่ให้สั่น

   “ศรารู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว รวมถึงเรื่องที่...ฉันชอบนาย” นภัทรอึ้งไปกับคำบอกเล่าของคู่สนทนา มือหนาค่อยๆคลายจากการเกาะกุมไหล่ลาดของวิศรุต ในขณะที่อีกฝ่ายพูดต่อ “คืนนั้นฉันกับศราเราทะเลาะกันรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ศราคงตกใจและเสียใจมากที่รู้ว่าฉันเป็นพวกวิปริตผิดธรรมชาติแถมยังมาชอบผู้ชายคนเดียวกันกับเธออีก เธอก็เลยผลุนผลันขับรถออกไปจนประสบกับอุบัติเหตุรถคว่ำในที่สุด” นภัทรตัวชาเมื่อได้รู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากของวิศรุต เรื่องนี้เขามีส่วนผิดเต็มๆเพราะเป็นต้นเหตุให้สองพี่น้องทัดเทวาต้องทะเลาะกันจนถึงขั้นแตกหักและทำให้ศรารัตน์ต้องมารถคว่ำนอนเป็น เจ้าหญิงนิทราไม่รู้สึกตัวแบบนี้ คุณหมอหนุ่มเม้มปากแน่นพร้อมกับความรู้สึกผิดที่ท่วมท้นอยู่เต็มหัวใจ ไม่ว่าจะผิดต่อศรารัตน์หรือผิดต่อวิศรุตก็ตามที

   “นายไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นต้นเหตุมันเป็นเพราะฉันเอง คนที่ผิดก็คือฉัน” วิศรุตเน้นเสียงหนักในประโยคสุดท้ายพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆรินไหลออกมาจากดวงตาหวานโศกเงียบๆ ความกดดันในใจของวิศรุตกำลังถูกระบาย ออกมาเป็นน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าพร้อมๆกับเจ้าตัวที่พยายามกัดฟันกลั้นเสียงสะอื้นให้ลงคอ

   นภัทรมองภาพนั้นด้วยความเสียใจ เขาสัมผัสได้ว่าวิศรุตกำลังปวดใจแค่ไหนกับเรื่องที่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสามคนมันเหมือนเป็นปัญหาที่หาทางออกไม่เจอ คุณหมอหนุ่มสูดลมหายใจลึกพลางใช้มือข้างหนึ่งดันเบาๆให้ศีรษะของวิศรุตเอนมาซบที่ไหล่ตน อย่างน้อยการทำเช่นนี้ก็ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ได้เห็นวิศรุตกำลังหลั่งน้ำตาอยู่เพราะมันทำให้เขารู้สึกปวด ใจตามไปด้วยแม้ว่าจะรู้สึกได้ถึงความเปียกชุ่มของเสื้อกราวน์บริเวณหัวไหล่ก็ตามที





   สุดท้ายแล้วก็ลงเอยด้วยการที่นภัทรขับรถมาส่งวิศรุตที่บ้านทัดเทวา ด้วยเพราะคุณหมอหนุ่มเกรงว่าวิศรุตจะร้องไห้จนไม่มีแรงขับรถกลับบ้านและตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกมากแล้วซึ่งเขาเองก็ออกเวรพอดีจึงอาสาพาอีกฝ่ายมาส่งถึงบ้าน แม้ว่าฝ่ายนั้นจะประท้วงในตอนแรกว่าตนขับรถกลับบ้านไหวก็ตาม แต่ถึงอย่างไรนภัทรก็ไม่ไว้ใจให้วิศรุตกลับเองอยู่ดีจนอีกฝ่ายต้องยอมแพ้

   ตลอดทางไปบ้านทัดเทวา ทั้งคู่แทบจะไม่ได้พูดอะไรกันเลย ต่างคนต่างเงียบเหมือนกับมีเรื่องอะไรอยู่ในใจทั้งสองฝ่าย และเมื่อรถของนภัทรมาจอดภายในบ้านทัดเทวาแล้ว วิศรุตจึงตัดสินใจเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา

   “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ดีๆนายมาทำดีกับฉันอย่างนี้ทำไม แต่ฉันก็อยากจะบอกให้รู้ว่า ฉันมีความสุขมากนะ ถึงแม้ว่าวันพรุ่งนี้เมื่อฉันตื่นขึ้นมาแล้วมันอาจจะกลายเป็นเพียงแค่ความฝันก็ตาม” วิศรุตฝืนยิ้มเศร้าๆให้นภัทรก่อนจะเอื้อมมือปลดล็อคประตูรถฝั่งที่ตนนั่งและเตรียมจะลงจากรถ หากแต่นภัทรกลับหยุดเขาไว้ด้วยคำพูด

   “นายไม่ได้ฝันหรอก มันคือเรื่องจริง” วิศรุตชะงักมือก่อนจะหันไปสบตาอีกฝ่ายเต็มสองตา

   “ถ้าอย่างนั้นมันเป็นเพราะอะไรล่ะ? นายมาทำดีกับฉันเพราะอะไรกันแน่นภัทร?” วิศรุตกลั้นใจรอคำตอบของอีกฝ่าย เขาอยากให้นภัทรตอบว่าที่ชายหนุ่มมาทำดีกับตนก็เพราะนภัทรชอบตนหรือว่าอะไรก็ได้ที่ทำให้เขารู้สึกดีกับคำตอบของฝ่ายนั้นแต่ดูเหมือนว่าวิศรุตจะหวังมากเกินไปเพราะคำตอบที่ได้คือ

   “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...บางทีอาจเพราะนายเป็นเพื่อนฉันยังไงล่ะ” วิศรุตยิ้มขื่นอย่างสมเพชตัวเองที่ต้องมาเจอกับคำตอบแบบนี้จากนภัทรซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   “นายรู้ไหม? บางทีฉันก็อยากจะอยู่ในโลกแห่งความฝัน เพราะโลกแห่งความฝันมันทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดน้อยกว่าการตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับความจริงและความหวังที่สุดท้ายฉันก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้” พูดจบวิศรุตก็เปิดประตูรถลงไปเลย ชายหนุ่มเดินเข้าบ้านทัดเทวาโดยไม่หันกลับมามองนภัทรอีก หากเพียงแต่ถ้าวิศรุตเหลียวมองกลับมาซักนิดคงจะได้เห็นถึงสีหน้าและแววตาที่แปลกไปของนภัทร คุณหมอหนุ่มมองตามวิศรุตจนลับสายตาในใจก็กำลังนึกสับสนกับคำตอบของตัวเองว่าแท้จริงแล้วในตอนนี้เขายังมองวิศรุตแค่เพียงในฐานะเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้นจริงๆน่ะหรือ?





   หลังจากที่ภาณุรับอาสาวิศรุตมาจัดการเรื่องของเมริษา ชายหนุ่มก็ได้ให้ลูกน้องคนสนิทของตนไปสืบประวัติเมริษามาอย่างละเอียดจึงได้รู้ว่าฐานะทางบ้านของเธอกำลังย่ำแย่จนเกือบถึงขั้นถูกฟ้องล้มละลาย ชายหนุ่มจึงค่อนข้างจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเมริษาจึงต้องหวังเกาะผู้ชายรวยๆอย่างภาคินเพื่อยกระดับฐานะตัวเองที่กำลังตกต่ำลง เมริษาคงรับไม่ได้หากว่า สถานภาพคุณหนูที่เธอเคยใช้ชีวิตอย่างสุขสบายวันหนึ่งจะต้องกลายมาเป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลย

   ภาณุตัดสินใจไปหาเมริษาอีกครั้งที่คอนโดส่วนตัวของหญิงสาว เมื่อฝ่ายนั้นเห็นว่าผู้มาเป็นใครกลับไม่ยอมเปิดประตูให้แถมยังไล่ภาณุไปให้พ้นหน้าเธอก่อนที่เธอจะโทรเรียกรปภ.ให้มาจับตัวเขาออกไป หากแต่ภาณุก็ใช้มือหนายันประตูเอาไว้ได้ทันก่อนที่เมริษาจะปิดมันใส่หน้าเขา ชายหนุ่มออกแรงดันประตูอย่างแรงและในที่สุดเขาก็เข้าไปในห้องหญิงสาวได้สำเร็จเพราะถึงอย่างไรผู้หญิงบอบบางอย่างเมริษาก็สู้แรงของบุรุษเพศไม่ได้อยู่ดี

   “ฉันบอกให้แกออกไปไง ถ้าพูดไม่เชื่อฉันจะโทรเรียกรปภ.จริงๆนะ” เมื่อเห็นว่าภาณุไม่มีทีท่าจะเชื่อคำพูดของเธอ เมริษาจึงวิ่งไปยังโทรศัพท์แล้วยกหูหมายจะกดเรียกรปภ.อย่างที่ขู่อีกฝ่ายเอาไว้ แต่ทว่าโทรศัพท์กลับถูกภาณุแย่งไปและตัดสายไปก่อน

“จะทำอะไรน่ะ? ปล่อยฉันนะไอ้บ้า” เมริษาตวาดเสียงดังพร้อมกับออกแรงขัดขืนเมื่อภาณุใช้มือหนาของเขามากระชากตัวเธอแล้วเหวี่ยงไปปะทะยังโซฟาตัวกว้างกลางห้องรับแขก

   “ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้นึกพิศวาสคุณนักหรอก ที่มาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณเท่านั้น” ภาณุเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงยังโซฟาอีกด้านด้วยท่าทางไม่ยี่หระกับสีหน้าเดือดดาลของหญิงสาวอีกคนในห้อง

   “มีอะไรก็พูดมา พูดให้จบๆแล้วจะได้รีบกลับไปเสียที ฉันไม่อยากเห็นหน้าคนเลวอย่างแก”

   “คนเลวอย่างผมถึงยังไงก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีของคุณก็แล้วกัน ถึงแม้ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นสามีคนที่เท่าไหร่ของคุณ” คำพูดเชือดเฉือนของภาณุทำให้เมริษาโมโหจนร้องกรี๊ด หญิงสาวระดมปาหมอนอิงที่อยู่ใกล้มือเข้าใส่ภาณุไม่ยั้งโทษฐานที่เขามาพูดจาดูถูกเธอแบบนี้ ส่วนภาณุก็หัวเราะในลำคอก่อนจะใช้สองมือรับบรรดาหมอนที่ถูกปามาที่เขาได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องออกแรงมากนัก ตรงข้ามกับเมริษาที่เริ่มเหนื่อยจากการอาละวาดใส่ชายหนุ่มและหมดแรงในที่สุด

   “ตกลงที่มานี่ก็เพื่อจะยั่วโมโหฉันใช่ไหม?” ภาณุยักไหล่ก่อนจะเริ่มพูดธุระที่ทำให้ตนต้องมาหาเมริษาที่คอนโดในวันนี้

   “ตอนนี้ไอ้วินรู้แล้วว่าเธอแอบขโมยข้อมูลหลักฐานที่จะเอาผิดวันชัยกับภาคินมาจากโน้ตบุ๊คของมัน” คำพูดของภาณุทำให้เมริษาอดหน้าถอดสีไม่ได้ ทั้งๆที่เธอก็เดาได้อยู่แล้วตั้งแต่แรกว่าหากงานนี้เธอทำพลาดวิศรุตก็คงไม่ปล่อยเธอเอาไว้เช่นกัน

   “พูดมาตรงๆดีกว่าว่าแกต้องการอะไร ไม่ต้องเสียเวลาอ้อมค้อมหรอกฉันขี้เกียจฟัง” ภาณุยิ้มสมใจขณะเดียวกันก็อดจะชื่นชมในความฉลาดของเมริษาไม่ได้ อีกอย่างการพูดไปตรงๆก็ดีเหมือนกันเพราะเขาเองก็ไม่อยากเสียเวลาพูดอ้อมค้อมเท่าใดนัก

   “วินยอมจ่ายเงินก้อนโตให้เธอเพื่อแลกกับการเป็นพยานปากสำคัญในการที่จะเอาผิดวันชัยกับภาคิน”

   “หมายความว่าจะให้ฉันหักหลังสองคนนั้นน่ะเหรอ?” ภาณุพยักหน้าพร้อมกับพูดจาหว่านล้อมต่อ

   “ขอเพียงแค่เธอตกลงแล้วกลับใจมายอมร่วมมือกับเรา ไอ้วินสัญญาว่าจะไม่เอาเรื่องเธอแถมยังกันตัวไว้เป็นพยานพร้อมกับของแถมเป็นเงินจำนวนมหาศาลอีกด้วย”

   “แล้วถ้าฉันไม่ตกลงล่ะ?” เมริษาลองหยั่งเชิงอีกฝ่ายซึ่งภาณุก็ตอบกลับเสียงเย็น

   “เธอก็คงจะต้องพลอยซวยติดร่างแหไปด้วย เธอเองก็น่าจะรู้ดีว่าคนอย่างสองพ่อลูกนั่นไม่มีวันจะยอมปล่อยเธอให้รอดไปง่ายๆหรอก” เมริษานิ่งคิดกับคำขู่และข้อเสนอของภาณุด้วยความหนักใจไม่น้อย





   วันนี้หลังจากเลิกงานที่บริษัท วิศรุตก็มาเยี่ยมศรารัตน์ที่โรงพยาบาลเหมือนเช่นทุกวัน แต่เมื่อเข้ามาในห้องผู้ป่วยก็พบกับพงศธรที่มาเยี่ยมศรารัตน์เช่นกัน วิศรุตทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบางก่อนจะเดินอ้อมไปยังอีกด้านของเตียงผู้ป่วย

   “มานานแล้วเหรอ?” วิศรุตถามพงศธร ซึ่งคู่สนทนาก็ตอบว่าตนมาได้สักพักแล้ว วิศรุตจึงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

   “ตอนนี้อาการคุณศราเป็นยังไงบ้าง?” พงศธรถามเสียงอ่อน เท่าที่ชายหนุ่มเห็นศรารัตน์อาการไม่ดีขึ้นเลย ยังไม่รู้สึกตัวและยังต้องใส่เครื่องช่วยหายใจตลอด

   “อาการไม่ได้แย่ลงแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น หมอบอกว่าศราอาจจะต้องอยู่ในสภาพของเจ้าหญิงนิทราแบบนี้ตลอดไป” วิศรุตพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น ในขณะที่พงศธรมองร่างคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความสงสารจับใจ ศรารัตน์ไม่น่าจะต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้เลยสักนิด

   “นภัทรบอกว่านายมาเยี่ยมศราบ่อยๆ ขอบใจนายมากเลยนะ” พงศธรส่ายหัวเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยปากขออนุญาตวิศรุตเพื่อให้ตนได้มาเยี่ยมศรารัตน์บ่อยๆเพราะถึงอย่างไรวิศรุตก็มีศักดิ์เป็นพี่ชายแท้ๆของศรารัตน์ ส่วนวิศรุตเมื่อเห็นสายตาของพงศธรที่ทอดมองไปยังศรารัตน์ก็นึกรู้ว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ เขาไม่ขัดข้องหากว่าพงศธรจะรู้สึกพิเศษกับศรารัตน์เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีและจริงใจกับน้องสาวของตน เพราะแม้ยามที่ศรารัตน์เจ็บหนักอาการเป็นตายเท่ากัน พงศธรก็ไม่เคยคิดทิ้งหญิงสาว แต่ตรงกันข้ามกลับมาเยี่ยมและคอยดูแลเสมอไม่ได้ขาดจนวิศรุตเองก็อดที่จะซึ้งใจกับการกระทำของอีกฝ่ายไม่ได้

   “แล้วเรื่องโครงการบ้านจัดสรรใหม่ของทัดเทวา นายจะเอายังไงต่อไป? ตอนนี้งานก็คืบหน้าไปมากแล้ว ฉันคิดว่าโครงการน่าจะเสร็จทันกำหนดแน่นอน” วิศรุตนิ่งไปอย่างใช้ความคิด ช่วงนี้เขาเองก็มัวแต่ยุ่งๆเรื่องหลักฐานเอาผิดวันชัยกับภาคินแถมศรารัตน์ยังมานอนป่วยแบบนี้อีก ชายหนุ่มเลยไม่ค่อยได้สนใจติดตามความคืบหน้าโครงการที่ตนรับผิดชอบมากนักทั้งๆที่ตอนแรกเขากะว่าจะลุยงานนี้ด้วยตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อพิสูจน์ความสามารถให้บรรดาผู้บริหารเห็น แต่เห็นทีเขาคงต้องพักเรื่องนี้ไปก่อนเพราะว่ายังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่านั้นมาก ในที่สุดวิศรุตก็ตัดสินใจเอ่ย

   “ตอนนี้ฉันเองคงไม่ได้มีเวลาไปคุมโครงการนั้นอีกแล้ว ดังนั้นฉันก็เลยอยากจะฝากโครงการที่ทำค้างอยู่ไว้ให้นายเป็นคนรับผิดชอบส่วนที่เหลือทั้งหมด ฉันรู้ว่านายเป็นคนที่ฉันสามารถไว้ใจได้และที่สำคัญคือฉันมั่นใจในฝีมือของนาย” วิศรุตพูดด้วยเสียงมั่นคงที่แสดงถึงความมั่นใจในคำพูดของตนอย่างเต็มเปี่ยมซึ่งพงศธรเองก็รับปากว่าตนจะพยายามสุดฝีมือเพื่อไม่ให้วิศรุตผิดหวังเช่นกัน


จบบทที่ 23

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่24
«ตอบ #62 เมื่อ03-08-2012 08:46:45 »

บทที่ 24


   การสอบสวนเรื่องคดียักยอกเงินของบริษัททัดเทวายังคงดำเนินไปเรื่อยๆ โชคดีที่วันชัยกับภาคินมีเส้นสายและพรรคพวกในบริษัทเยอะทำให้ทั้งคู่เอาตัวรอดจากการสอบสวนไปได้อย่างหวุดหวิด อีกทั้งหลักฐานที่วิศรุตมีในตอนนี้ก็ยังอ่อนเกินไปที่จะเอาผิดกับคนทั้งคู่ แต่นั่นก็ทำให้ภาคินยิ่งนึกแค้นใจวิศรุตกับศรารัตน์เพราะถึงจะรอดพ้นจากคดีนี้มาได้ แต่ว่าบอร์ดผู้บริหารก็มีมติให้พักงานของตนชั่วคราว เหตุผลเพราะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อยอดเงินที่หายไปจากบริษัทในฐานะที่ตนเป็นผู้จัดการฝ่ายการเงิน แม้ว่าภาคินจะมีการแต่งหลักฐานปลอมมายืนยันกับบรรดากรรมการบริหารถึงแหล่งใช้ไปของเงินทุนก็ตาม ดังนั้นภาคินจึงเก็บความแค้นนี้ไว้และตั้งใจจะไปลงกับวิศรุต แต่ว่าหลังจากที่ศรารัตน์ประสบอุบัติเหตุ วิศรุตก็เริ่มระวังตัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อนและในบางครั้งวิศรุตก็เลือกที่จะไม่กลับบ้านทัดเทวาแต่เปลี่ยนไปนอนค้างที่คอนโดส่วนตัวแทน

   เมื่อแก้แค้นที่วิศรุตไม่ได้ ภาคินเลยเปลี่ยนเป้าหมายมายังศรารัตน์ที่กำลังนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราแทนผู้เป็นพี่ชาย ชายหนุ่มเดินก้าวยาวๆออกจากลิฟต์โรงพยาบาลแล้วเดินตรงไปยังห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เวลาดึกแบบนี้ที่เคาเตอร์ติดต่อประจำวอร์ดมีพยาบาลอยู่เวรไม่มากนัก ภาคินตวัดหางตาเหลือบมองพยาบาลสาวคนหนึ่งที่กำลังหันหลังและก้มหน้าก้มตาค้นหาแฟ้มจากลังเอกสารใบโตอยู่ ส่วนพยาบาลอีกสองคนก็กำลังสุมหัวกันอ่านนิตยสารเล่มโปรดอยู่อีกมุมหนึ่งโดยที่ไม่ได้สนใจว่าใครเดินผ่านไปมาบ้าง ชายหนุ่มจุดยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินผ่านเคาเตอร์ไปอย่างเงียบเชียบและในที่สุดก็เข้าไปยังห้องพักของศรารัตน์ได้อย่างง่ายดาย

   ภาคินจ้องร่างศรารัตน์ที่กำลังนอนหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่บนเตียงด้วยแววตาโชนแสงก่อนจะเปลี่ยนเป็นแววตาเหี้ยมเกรียมและไร้ความรู้สึก ชายหนุ่มเดินไปใกล้ร่างที่นอนอยู่ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงเย็นชาทว่าที่ริมฝีปากกลับประดับไว้ ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ

   “ฉันไม่ได้อยากจะใจร้ายกับเธอหรอกนะศรา ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเธอเองกับไอ้วินที่ชอบแส่ไม่เข้าเรื่อง” ภาคินเหยียดยิ้มอย่างร้ายกาจก่อนจะค่อยๆดึงสายน้ำเกลือออกจากแขนของศรารัตน์ตามด้วยการเอื้อมมือไปถอดเครื่องช่วยหายใจ ออก พลางมองร่างบนเตียงที่มีศักดิ์เป็นน้องสาวห่างๆของตนที่กำลังเริ่มชักกระตุกอย่างรุนแรง ภาคินมองจังหวะการเต้นของชีพจรศรารัตน์จากเครื่องวัดที่ตั้งอยู่ตรงข้างเตียงอย่างสะใจ ชีพจรของหญิงสาวกำลังอ่อนลงทุกทีๆพร้อมกับอาการกระตุกเกร็งตลอดทั้งร่าง

   แต่เหมือนโชคจะเข้าข้างศรารัตน์ เพราะในจังหวะที่ชีพจรของศรารัตน์กำลังอ่อนแรงเต็มที ภาคินกลับหูแว่วได้ยินเสียงพูดคุยกันอยู่บริเวณโถงทางเดินด้านนอกและเสียงพูดคุยนั้นเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพักผู้ป่วยนี้เอง ชายหนุ่มจำได้แม่นว่าหนึ่งในนั้นเป็นเสียงของวิศรุต ภาคินสบถเบาๆอย่างเจ็บใจก่อนที่จะกวาดตามองไปรอบตัวอย่างรวดเร็ว เขาต้องหาที่ซ่อนก่อนที่วิศรุตจะเข้ามาในห้องนี้แล้วพบว่าเขาทำอะไรกับร่างของศรารัตน์ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ไม่อย่างนั้นคนที่จะตายแทนศรารัตน์ก็อาจจะเป็นตัวเขานี่แหล่ะ ในที่สุดภาคินก็เลือกที่จะไปซ่อนตัวอยู่ที่ระเบียงด้านนอกห้องพัก ชายหนุ่มดึงผ้าม่านหนาหนักมาบังประตูที่เป็นกระจกใสเอาไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อพรางตัวในขณะที่วิศรุตกับนภัทรก็เปิดประตูห้องเข้ามาพอดี

   ภาคินได้ยินบทสนทนาในห้องอย่างชัดเจน เป็นเสียงของวิศรุตที่อุทานอย่างตกใจเมื่อเข้ามาแล้วได้เห็นอาการของศรารัตน์ที่กำลังชักกระตุกอยู่บนเตียงในสภาพที่ถูกถอดเครื่องช่วยหายใจออก จากนั้นก็เป็นเสียงผู้ชายอีกคนหนึ่งที่กดกริ่งเรียกพยาบาลก่อนจะรีบเข้ามาดูอาการของศรารัตน์พร้อมกับจัดการต่อเครื่องช่วยหายใจให้กับคนป่วยตามเดิม ภาคินได้ยินวิศรุตเรียกชื่อฝ่ายนั้นว่านภัทร คงจะเป็นหมอ ภาคินคิดในใจ

เพียงไม่นานนักอาการของศรารัตน์ก็สงบลงและชีพจรก็กลับมาเป็นปกติตามเดิม ทำให้วิศรุตต้องระบายลมหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก ถ้าเขาไม่บังเอิญมาหานภัทรเพื่อปรึกษาเรื่องอาการป่วยของศรารัตน์ในเวลาดึกแบบนี้ หากว่านภัทรไม่ชวนเขามาเยี่ยมศรารัตน์ด้วยกัน และหากว่าทั้งคู่มาช้ากว่านี้เพียงนิดเดียว ป่านนี้ศรารัตน์คงตายไปแล้ว

   “ทำไมอยู่ดีๆถึงเป็นแบบนี้ไปได้?” วิศรุตถามออกมาเมื่อนางพยาบาลออกไปจากห้องหมดแล้ว เหลือเพียงเขากับ นภัทร

   “ตอนนี้คุณศรายังหายใจเองไม่ได้มากนัก การที่ถูกถอดเครื่องช่วยหายใจอาจจะทำให้ร่างกายมีการตอบสนองโดยการชักกระตุกแบบเมื่อครู่นี้” นภัทรหันไปมองเครื่องวัดชีพจรก่อนจะหันมาบอกคู่สนทนา “นายไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้เธอปลอดภัยแล้ว” วิศรุต
พยักหน้าช้าๆก่อนจะถามต่อ

   “แล้วอยู่ดีๆทำไมเครื่องช่วยหายใจถึงถูกถอดออกล่ะ? สายน้ำเกลือก็ด้วย” วิศรุตกับนภัทรมองหน้ากันเป็นเชิงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับศรารัตน์นี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ เพราะอยู่ดีๆเครื่องช่วยหายใจจะหลุดออกมาเองได้อย่างไรหากไม่มีคนจงใจถอดออกเพื่อต้องการให้ศรารัตน์ตาย และทั้งวิศรุตกับนภัทรก็มีคำตอบในใจแล้วว่าคนที่น่าสงสัยที่สุดคือใคร “ต่อไปนี้ฉันอยากจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลศราตลอด24ชั่วโมงเลย” วิศรุตเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับนภัทรที่ถอนใจยาวด้วยความเครียดก่อนจะรับปากว่าเขาจะช่วยติดต่อเรื่องพยาบาลให้

   “นายโอเคหรือเปล่าวิน?” คำพูดของนภัทรทำให้วิศรุตอึ้งไป ไม่ใช่เพราะคำพูดที่แสดงถึงความเป็นห่วงของฝ่ายนั้น แต่เป็นเพราะสรรพนามที่ใช้เรียกชื่อเขาต่างหาก เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมาที่นภัทรเรียกชื่อเล่นเขาออกมาตรงๆแบบนี้ วิศรุตสบตาสีถ่านของอีกฝ่ายก่อนส่งเสียงอืมในลำคอ แต่สีหน้าที่แสดงถึงความกังวลที่ปิดไม่มิดของวิศรุตทำให้นภัทรรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโกหก “นี่ก็ดึกแล้ว ฉันว่านายกลับบ้านไปพักก่อนเถอะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจะดูแลเอง”

   “เรื่องนี้ฉันเป็นคนผิดตั้งแต่ต้น ทำไมคนที่นอนอยู่นี่ไม่กลายเป็นฉันล่ะ? ทำไมถึงกลายเป็นศราไปได้” วิศรุตพูดออกมาเบาๆขณะยืนอยู่ข้างเตียงของน้องสาว มือชายหนุ่มเอื้อมไปปัดปอยผมของศรารัตน์อย่างแผ่วเบา “ถ้าฉันห้ามใจตัวเองได้ เรื่องก็คงจะไม่กลายเป็นแบบนี้ ถ้าฉันไม่ยอมรับกับศราไปว่าตัวเองเคยชอบนายมาก่อน ศราก็คงจะไม่เสียใจแล้วผลุนผลันขับรถออกไปท่ามกลางฝนที่ตกหนักแบบนั้น ถ้าหากว่าฉัน...”

   “พอเถอะ นายหยุดโทษตัวเองได้แล้ว” นภัทรเอ่ยเสียงหนัก ชายหนุ่มไม่อยากให้วิศรุตเอาแต่โทษตัวเองอีกแล้วเพราะถึงจะโทษตัวเองอย่างไรก็ไม่ทำให้ศรารัตน์อาการดีขึ้นมา แต่วิศรุตไม่ยอมฟังยังคงพูดไปเรื่อยๆราวกลับไม่ได้ยินคำพูดของ
นภัทร

   “คืนวันนั้นศราเห็นหนังสือรุ่นตอนม.ต้นของฉัน เธอจึงรู้ว่าโดนหลอกเรื่องที่ฉันเคยรู้จักกับนายมาก่อน ศราคงจะเสียใจมากยิ่งเมื่อรู้ว่าตัวเองดันมาหลงรักผู้ชายคนเดียวกับที่พี่ชายตัวเองแอบรักมาตลอด 13 ปีเต็ม สุดท้ายเธอคงจะยอมรับไม่ได้
เรื่องที่ฉันเป็นเกย์” วิศรุตกัดฟันแน่นพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกภายในใจ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีครั้งไหนที่เขารู้สึกเกลียดตัวเองได้เท่านี้มาก่อน ถึงแม้ว่าเขากับศรารัตน์จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด แต่ลึกๆแล้วเขาก็เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองรักและเป็นห่วงน้องสาวคนนี้มากแค่ไหน ถึงแม้ว่าตอนนี้ศรารัตน์อาจจะไม่อยากนับเขาเป็นพี่ชายก็ตาม

   “นายไม่ได้ผิดทั้งหมดหรอก เรื่องนี้ฉันเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน” ถ้าเขาบอกศรารัตน์ไปตั้งแต่แรกว่าตัวเองคิดกับเธอแค่น้องสาว ศรารัตน์ก็คงจะไม่ตั้งความหวังและก็คงไม่เจ็บปวดกับความรักถึงขนาดนี้ นภัทรยิ้มขื่นให้กับตัวเอง “อย่าเอาแต่โทษตัวเองเลยวิน ทำแบบนี้คุณศราก็ไม่ได้อาการดีขึ้นมาหรอก” คุณหมอหนุ่มพูดพร้อมกับเอามือไปแตะไหล่อีกฝ่ายแต่วิศรุตกลับสะบัดออกพร้อมทั้งระเบิดอารมณ์ความรู้สึกที่อัดแน่นในใจมานานจนเขาทนไม่ไหว น้ำเสียงชายหนุ่มดังจนเกือบจะ กลายเป็นตะโกนใส่หน้านภัทร
   “ตั้งแต่เกิดเรื่อง ทุกครั้งที่ฉันหลับตาก็นึกถึงแต่เรื่องนี้ ฉันผิดมากนักเหรอที่เกิดมาเป็นพวกชอบเพศเดียวกัน ผิดมากเหรอไงที่เลือกรักผู้ชายคนเดียวกับน้องสาวตัวเอง ฉันไม่ได้อยากจะทำร้ายศรา ฉันไม่ได้อยากจะให้เป็นแบบนี้ ฉัน...” วิศรุตทนพูดต่อไปไม่ไหวเพราะสะดุดก้อนแข็งๆในลำคอ น้ำตาชายหนุ่มค่อยๆร่วงลงมาทีละหยดจนกลายเป็นไหลพรากในที่สุด

ชายหนุ่มไม่ได้อยากร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นเลย เขาไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอของเขาโดยเฉพาะหากคนๆนั้นคือนภัทร

   “แล้วนายคิดว่าทำแบบนี้แล้วมีประโยชน์อะไรล่ะ? ไม่คิดบ้างเหรอว่าทำแบบนี้นายเองนั่นแหล่ะที่จะยิ่งรู้สึกเจ็บปวด ฉันรู้ว่านายเสียใจกับเรื่องนี้มาก เสียใจจนอยากจะให้คนที่นอนอยู่บนเตียงนี้กลายเป็นนายเสียเอง แต่นายจะทำอะไรได้ล่ะ เรื่องมันเกิดไปแล้ว นายสามารถย้อนไปแก้ไขมันได้เหรอ นายสามารถย้อนเวลาเพื่อกลับไปโกหกน้องสาวได้เหรอว่าตัวเองไม่ได้ชอบฉันแล้ว นายทำอย่างนั้นได้ไหมล่ะวิศรุต ตอบฉันมาสิว่านายทำได้ไหม?” ยิ่งพูดเสียงคุณหมอหนุ่มก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆตามแรงอารมณ์ “ทุกครั้งที่ฉันเห็นนายเจ็บปวด เห็นนายเอาแต่โทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา เห็นนายต้องมาเสียน้ำตาเพราะเรื่องนี้ที่ฉันเป็น ตัวต้นเหตุแต่แรก นายรู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง? ไม่ใช่แค่นายที่เสียใจหรอกวิน ฉันเองก็เสียใจเหมือนกัน ยิ่งเห็นนายเอาแต่โทษตัวเองอยู่แบบนี้ฉันก็ยิ่งเสียใจ...เสียใจที่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง แม้กระทั่งการปลอบใจนายฉันก็ยังทำไม่ได้เลย” ดวงตาของนภัทรก็ฉ่ำน้ำเช่นกัน คุณหมอหนุ่มหันหลังให้วิศรุตก่อนพยายามเงยหน้าเพื่อกลั้นไม่ให้น้ำใสๆไหลออกมาจากดวงตาสีถ่านคู่นั้น

   คำพูดที่พรั่งพรูออกจากปากของคู่สนทนาทำให้วิศรุตถึงกับอึ้งไป ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออกซักพัก ผ่านไปเนิ่นนานคำพูดแรกที่หลุดออกมาจากปากวิศรุตก็คือ “ขอโทษนะ” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้พูดจบ นภัทรก็ดึงอีกฝ่ายเข้าไปกอดราวกับว่าถ้าไม่กอดคนตรงหน้าเอาไว้ให้แน่นๆวิศรุตก็จะหนีหายไป

   “วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงนายแค่ไหน” แม้จะยังตั้งตัวไม่ทันกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของนภัทร แต่วิศรุตก็รู้สึกดีที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของฝ่ายนั้น อ้อมกอดที่เขาฝันจะได้รับจากนภัทรมาตลอดระยะเวลา13ปี เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนสำคัญที่ฝ่ายนั้นรู้สึกเป็นห่วงเป็นใย ถ้าเขาสามารถอยู่ในอ้อมกอดนี้ไปได้ตลอดก็คงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ที่สุดวิศรุตก็รู้ว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้อยู่ดี

   คำพูดและการกระทำทั้งหมดของสองคนในห้องไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของภาคิน ชายหนุ่มค่อยๆลดมือปล่อยให้ม่านปิดสนิทราบไปกับกระจกใสของประตูระเบียงตามเดิม ถ้าเขาไม่อยู่ที่ระเบียงนี้แล้วคอยแอบดูความเป็นไปภายในห้องแล้วล่ะก็ เขาก็คงจะไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังของวิศรุต ทัดเทวาปิดบังความลับอะไรเอาไว้ แถมเรื่องนี้ยังเป็นต้นเหตุทำให้วิศรุตกับศรารัตน์สองพี่น้องผิดใจกันอีกต่างหาก และถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะจัดการกับศรารัตน์ไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาได้รู้จุดอ่อนของวิศรุตแล้ว และเขาก็จะใช้จุดอ่อนเรื่องที่วิศรุตเป็นเกย์นี้แหล่ะมาทำลายศัตรูหมายเลขหนึ่งของตนให้ตายทั้งเป็นเลยทีเดียว





   ภาคินไล้สายตาไปตามตัวอักษรบนกระดาษในมือ นี่เป็นข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างวิศรุตกับนภัทรที่เขาให้นักสืบมืออาชีพไปตามสืบมาให้ ชายหนุ่มยิ้มร้ายเมื่อข้อมูลพื้นฐานที่อยู่ในมือเขาตอนนี้มันช่างสอดคล้องกับข้อมูลที่เขาเพิ่งรู้มาจากการแอบฟังวิศรุตกับนภัทรคุยกันที่โรงพยาบาลเมื่อคืนวาน...ผู้ชายคนที่ไอ้วินแอบรักชื่อว่านภัทร อิสรีย์ ทั้งคู่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน และปัจจุบันคนๆนี้ก็เป็นคนเดียวกับนายแพทย์นภัทร อิสรีย์ ไม่มีทางผิดตัวแน่

   “ตามสืบเรื่องนี้ต่อไป ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะให้นายสะกดรอยตามดูด้วยว่าวันนึงไอ้วินมันไปทำอะไรที่ไหนบ้าง โดยเฉพาะถ้าหากว่ามีหลักฐานมาให้ฉันได้ว่าไอ้วินกับหมอนภัทรมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน ฉันก็จะตกรางวัลให้อย่างงามเลย” นักสืบรับคำก่อนจะขอตัวกลับไปทำงานต่อ เมื่อนักสืบออกจากห้องไปแล้ว ภาคินจึงหันไปพูดกับวันชัยที่กำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โซฟาใกล้ๆกัน

   “เพราะว่าไอ้วินเป็นเกย์ มิน่าล่ะไม่ว่าเมริษาจะยั่วยวนหรือว่าหาโอกาสทอดสะพานให้บ่อยๆ มันก็ยังไม่สนใจ ที่แท้ก็เป็นพวก
วิปริตชอบเพศเดียวกันนี่เอง” ภาคินยิ้มเหยียดเมื่อพูดถึงบุคคลที่สามที่ตนเกลียดชังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

   “แกแน่ใจได้ยังไงเรื่องที่มันมีรสนิยมชอบผู้ชาย นักสืบพวกนี้เชื่อได้เหรอ?”

   “แน่ยิ่งกว่าแน่อีกครับพ่อ เพราะผมได้ยินไอ้วินมันคุยเรื่องนี้กับหมอนภัทรอะไรนั่นมากับหู และที่ผมจ้างนักสืบมาสืบเรื่องนี้ให้ก็เพราะอยากจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมได้ยินมามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง” วันชัยพยักหน้าก่อนจะถามว่าภาคินจะเอายังไงต่อกับเรื่องนี้ ภาคินจึงบอกแผนการของตนออกไปให้ผู้เป็นพ่อได้รับรู้ซึ่งวันชัยเองก็ยิ้มอย่างพอใจในแผนการแต่ก็ไม่วายเตือนภาคิน

   “แผนการก็ดีเลยทีเดียว แต่ตัวอันตรายอย่างวิศรุต ถ้ามีโอกาสแล้วก็ควรจะรีบกำจัดแต่เนิ่นๆ ไม่ควรปล่อยเอาไว้นานเพราะนับวันวิศรุตจะยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆและก็อาจจะทำให้เราเดือดร้อนได้”

   “พ่อหมายความว่าจะกำจัดมันทิ้งเหมือนอย่างที่เคยทำกับศราเหรอครับ?” วันชัยไม่พูดอะไรแต่แสยะยิ้มเหี้ยมให้ภาคินแทนคำตอบ





   วันนี้วิศรุตทำงานที่บริษัทจนดึก ชายหนุ่มตรวจดูโครงการบ้านทัดเทวาที่ตนดูแลอยู่ทุกขั้นตอนอย่างละเอียด การไว้ใจให้พงศธรคุมงานที่โครงการแทนระหว่างที่เขากำลังยุ่งอยู่กับอาการป่วยของศรารัตน์ถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดเลย พงศธรเป็นคนมีฝีมือ ทำงานละเอียดถี่ถ้วนและที่สำคัญคือเป็นคนที่เขาไว้ใจได้ ไม่ใช่พวกเส้นสายหรือว่าลูกน้องของอาวันชัยกับภาคิน พอชายหนุ่มเหลือบมองเวลาจากนาฬิกาข้อมือหรูก็พบว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว เขาจึงปิดโน้ตบุ๊คก่อนจะเก็บเอกสารทั้งหมดเข้าที่ วันนี้เขาเหนื่อยมากจึงตัดสินใจกลับบ้านทัดเทวาเลยหลังจากที่ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะแวะไปเยี่ยมศรารัตน์ก่อน

   ระหว่างทางกลับบ้านทัดเทวา วิศรุตสังเกตเห็นมอเตอร์ไซค์ขับตามหลังรถเขาตลอดเวลา ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นจึงตัดสินใจเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้นอีกเพื่อต้องการสลัดให้พ้นจากการถูกตาม ฝ่ายมอเตอร์ไซค์คันนั้นเมื่อเห็นว่ารถเป้าหมายคันข้างหน้าตนเหยียบคันเร่งเร็วขึ้นจึงรีบบิดเครื่องเร่งไล่ตามทันที คนขับแกล้งปาดซ้ายขวาทำให้รถของวิศรุตเริ่มเซจนในที่สุดมอเตอร์ไซค์ก็อ้อมมาดักหน้ารถของชายหนุ่มได้สำเร็จ ในขณะที่มือปืนที่ซ้อนท้ายมาด้วยกันก็ชักปืนออกมายิงยางล้อรถสปอร์ตคันหรูจนแตก ทำให้คนที่อยู่ในรถหมดทางหนี

   วิศรุตตระหนักได้ถึงอันตรายที่กำลังเข้ามาประชิดตัว รอบตัวเขาในตอนนี้มีแต่ความมืดด้วยเพราะถนนเส้นนี้เป็นทางเปลี่ยว นานๆทีจึงจะมีรถผ่านมา วิศรุตกัดกรามแน่นก่อนหยิบปืนที่ซ่อนไว้ใต้เบาะเก้าอี้คนขับออกมาแล้วถือแอบไว้ด้านหลัง โชคดีที่เขาพกปืนเอาไว้เพราะสังหรณ์ใจว่าซักวันต้องเจอเรื่องแบบนี้ ยังดีหน่อยที่มันมากันแค่สองคน ชายหนุ่มเชื่อว่าด้วยความสามารถของเขาคงจะจัดการพวกมันได้ไม่ยากนัก วิศรุตคิดก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถ

   “พวกแกเป็นใครแล้วต้องการอะไร?” วิศรุตตวาดถาม ดวงตาคมเริ่มหรี่ลงอย่างระวังตัวเต็มที่

   “ต้องการชีวิตแกยังไงล่ะ” มือปืนตรงหน้าเหนี่ยวไกปืนเตรียมยิงแต่วิศรุตไวกว่า อาศัยโอกาสเสี้ยววินาทีตวัดตัวเตะปืนของคนร้ายทิ้งไปก่อนใช้ปืนในมือยิงจนอีกฝ่ายล้มลง

   มือปืนอีกคนที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์มาด้วยกันรีบชักปืนขึ้นมายิงวิศรุตทันที แต่โชคดีที่ชายหนุ่มหลบทันกระสุนจึงแค่ถากที่บริเวณหัวไหล่เท่านั้นแต่ก็ทำให้มีเลือดออกจนเปียกชุ่มเสื้อเชิ้ตราคาแพง วิศรุตกัดฟันแน่นมองรอยแผลที่บริเวณหัวไหล่ตนก่อนจะยิงสวนไปอีกหนึ่งนัด กระสุนเจาะเข้าที่หน้าอกอย่างแม่นยำทำให้คนร้ายล้มลงขาดใจตายทันที

   “วางปืนลงเถอะคุณวิศรุต ทัดเทวา” เสียงมือปืนคนแรกดังขึ้นด้านหลังวิศรุต พร้อมกับปืนสีดำที่จ่ออยู่ที่ขมับเตรียมจะลั่นไก วิศรุตเหลือบมองปืนที่จ่ออยู่ แม้จะหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบออกมาแต่ชายหนุ่มก็พยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น

   “ใครใช้ให้พวกแกมา?” ชายหนุ่มพยายามถ่วงเวลา อย่างน้อยเขาก็ภาวนาในใจให้มีใครผ่านมาทางนี้บ้าง

   “ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าวันนี้แกต้องตายก็พอ วางปืนในมือลงเดี๋ยวนี้” ประโยคสุดท้ายเปลี่ยนเป็นสั่งเสียงเข้ม วิศรุตค่อยๆวางปืนในมือลงกับพ้นถนน ก่อนที่ปืนซึ่งเป็นอาวุธเพียงหนึ่งเดียวของเขาจะถูกคนร้ายเตะไปไกล

   “บอกลาโลกนี้ได้เลย” วิศรุตอาศัยจังหวะที่คนร้ายเผลอใช้ท่อนแขนซัดไปที่หน้าอกของฝ่ายตรงข้ามโดยแรง ทำให้ปืนกระเด็นหลุดจากมือของฝ่ายนั้น วิศรุตรีบถลาเข้าไปจะหยิบปืนแต่คนร้ายที่ไวกว่ากลับคว้าไปได้ก่อน ชายหนุ่มจึงต้องกลายมาเป็นเป้านิ่งอีกครั้ง คราวนี้คนร้ายสบถอย่างหัวเสีย บริเวณหน้าอกที่โดนวิศรุตซัดอย่างเต็มแรงยังคงจุกไม่หาย มือหยาบกร้านจึงใช้สันปืนตบบริเวณขมับของวิศรุตอย่างแรงจนอีกฝ่ายเซ ก่อนจะเลื่อนปลายกระบอกปืนมาเล็งตรงตำแหน่งหัวใจ วิศรุตหลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรม วูบหนึ่งชายหนุ่มนึกถึงหน้านภัทร...ลาก่อน

   เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของคนร้าย วิศรุตลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว เขายังไม่ตาย ชายหนุ่มหันไปประสานสายตากับคนที่มาช่วยเขาเอาไว้ แววตาสีดำสนิทราวถ่านเป็นประกายโชนแสงกล้าตัดกับความมืดมิดรอบกายจนวิศรุตอดอุทานออกมาไม่ได้

   “นภัทร” วิศรุตเบนสายตาไปมองปืนในมือของนภัทรก่อนจะหันไปมองคนร้ายที่กำลังกุมต้นขาบริเวณที่โดนนภัทรยิงเมื่อครู่ ชายหนุ่มหันมองนภัทรด้วยความมึนงงกับการปรากฏตัวของอีกฝ่าย มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อคุณหมอหนุ่มเข้ามาประคองร่างของตนแล้วบอกว่าให้รีบหนีก่อน แต่คนร้ายก็ไม่ปล่อยให้วิศรุตหนีไปง่ายๆ มันใช้มือหนึ่งกดหน้าขาเพื่อห้ามเลือดเอาไว้ก่อนจะใช้มือข้างที่เป็นอิสระเล็งปืนไปยังร่างของวิศรุต มันรู้ดีว่าถ้าหากวันนี้มันทำงานไม่สำเร็จ เจ้านายก็คงไม่ปล่อยมันเอาไว้แน่ บางทีการเลือกจัดการกับสองคนนี้อาจจะเป็นทางรอดเพียงหนึ่งเดียว

   ‘ปัง’

ด้วยความที่วิศรุตเร็วกว่าจึงชิงแย่งปืนจากมือนภัทรแล้วใช้มือผลักอีกฝ่ายให้พ้นจากวิถีกระสุนก่อนจะยิงไปที่คนร้ายทันที ผลจากกระสุนนัดนั้นทำให้คนร้ายล้มลงและร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนที่ร่างจะแน่นิ่งไป

   “นายเจ็บมากไหม?” นภัทรถามขึ้นหลังจากที่ประคองวิศรุตมาพิงที่รถของตนที่จอดอยู่ใกล้ๆกัน “ให้ฉันดูแผลที่หัวไหล่นายหน่อย”

   “แค่โดนถากๆน่ะ ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก” วิศรุตฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายแล้วขอบคุณที่นภัทรมาช่วยตนไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงได้กลายเป็นผีเฝ้าถนนแน่ “ว่าแต่นายมาได้ยังไงกันเนี่ย?”

   “บังเอิญว่าฉันเพิ่งกลับจากงานสัมมนาที่ต่างจังหวัดน่ะ ต้องผ่านถนนเส้นนี้พอดี แล้วพอขับรถผ่านมาก็เห็นรถของนายจอดอยู่ข้างทางก็เลยคิดว่าคงมีเรื่องแน่ ยังดีที่ฉันพกปืนมาด้วย” ถ้าเขาไม่ได้พกปืนติดไว้ในรถเผื่อไว้ป้องกันตัว มีหวังเขาคงได้กลายเป็นผีชะตาขาดพร้อมกับวิศรุตแน่นอน “นายเดินไหวหรือเปล่า? มาเถอะ เดี๋ยวฉันพาไปทำแผลก่อน” นภัทรช่วยพยุงวิศรุตไปยังรถของตัวเองก่อนจะตัดสินใจพาชายหนุ่มไปทำแผลที่บ้านของตนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก อย่างน้อยก็ใกล้กว่าหากว่าจุดหมายคือบ้านทัดเทวาของวิศรุต





   ระหว่างที่ขับรถอยู่ มือถือของนภัทรก็ดังขึ้น ชายหนุ่มเหลือบมองหน้าจอก็พบว่าปลายสายคือพงศธรที่โทรเข้ามาจึงกดรับ

   “ว่าไงไอ้พงษ์?” นภัทรทักไปแต่ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน

   “ไอ้กานต์ ตอนนี้แกพอจะรู้ไหมว่าจะติดต่อกับไอ้วินได้ยังไง? ฉันโทรหาวินเป็นร้อยรอบได้แล้วแต่ก็โทรไม่ติดสักครั้ง ถามใครก็
ไม่มีใครรู้ว่าไปไหน แม้แต่ไอ้โอมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

   “ตอนนี้วินอยู่กับฉัน พอดีว่าเกิดเรื่องแล้ววินก็บาดเจ็บ เดี๋ยวเอาไว้เล่าให้แกฟังวันหลัง นี่ฉันเองก็กำลังจะพาไปทำแผลที่บ้านอยู่เนี่ย” พูดได้แค่นั้นเสียงปลายสายก็ถูกตัดไป นภัทรถอนหายใจเฮือกเพราะมือถือเจ้ากรรมดันมาแบตหมดเอาตอนนี้

   “เกิดอะไรขึ้น?” วิศรุตถามขึ้นเมื่อได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ของนภัทร มันคงจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเขาอย่างแน่นอน

   “เมื่อกี้ไอ้พงษ์โทรมา มันบอกว่าโทรหานายแล้วไม่ติด มันก็เลยโทรมาหาฉันถามว่ามีวิธีอื่นอีกไหมที่จะสามารถติดต่อนายได้ แต่แบตมือถือฉันก็ดันหมดก่อน” วิศรุตพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ แล้วบอกว่ามือถือของเขาลืมทิ้งเอาไว้ที่รถ ไม่รู้ว่าพงศธรจะมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าถึงได้โทรมาดึกดื่นแบบนี้ ในขณะที่นภัทรก็ยักไหล่เป็นเชิงว่าเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน



จบบทที่24

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่25
«ตอบ #63 เมื่อ03-08-2012 08:56:48 »

บทที่ 25


   นภัทรพาวิศรุตมาที่บ้านของเขา บรรยากาศบ้านสวนของชายหนุ่มในเวลานี้เงียบสงบเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะตอนนี้เป็นเวลาค่อนคืนแล้ว บ้านช่องบริเวณใกล้เคียงต่างปิดไฟเข้านอนกันหมด เหลือแต่เพียงแสงสลัวสีขาวนวลจากไฟตรงถนนที่ตัดผ่านบริเวณหน้าบ้านของชายหนุ่ม นภัทรเปิดประตูรั้วก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปจอดในบ้าน จากนั้นจึงเดินอ้อมมาช่วยเปิดประตูรถให้กับวิศรุต

   “ฉันมารบกวนหรือเปล่า?” วิศรุตเกรงใจเพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว อันที่จริงแผลที่หัวไหล่ก็ไม่ได้ใหญ่มากมายนัก แต่คุณหมอหนุ่มยืนยันที่จะให้วิศรุตรีบทำแผลให้เรียบร้อยก่อนที่แผลจะเกิดการติดเชื้อ สุดท้ายจึงลงเอยด้วยการที่นภัทรขับรถพาเขามาทำแผลที่บ้านนี่แหล่ะ “ฉันเกรงใจ เผื่อว่ามากวนเวลาพักผ่อนของพ่อแม่นาย”

   “ไม่ได้รบกวนอะไรหรอก อีกอย่างสองสามวันมานี้พ่อกับแม่ฉันไปเที่ยวพักผ่อนกันที่หัวหิน นายมาก็ไม่ได้รบกวนอะไร” นภัทรยิ้มบางๆก่อนจะรั้งแขนแล้วเดินนำวิศรุตเข้าไปยังตัวบ้านก่อนจะพาคนเจ็บไปยังห้องด้านบนซึ่งเป็นห้องส่วนตัวของเขา

   “นี่ห้องของนายเหรอ? น่าอยู่ดีนะ” วิศรุตเอ่ยชมห้องนอนที่ถูกตกแต่งไว้อย่างเรียบๆด้วยเฟอร์นิเจอร์จำเป็นเพียงไม่กี่ชิ้น ที่มุมด้านหนึ่งเป็นตู้หนังสือขนาดย่อม บ่งบอกถึงนิสัยรักการอ่านของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังมีโมเดลการ์ตูนเป็นของสะสมอีกมากมาย นภัทรมองตามสายตาของวิศรุตก่อนจะอมยิ้มแล้วพูดขำๆ

   “คงสู้ห้องนายที่คฤหาสน์ทัดเทวาไม่ได้หรอก” วิศรุตยิ้มบางๆ จริงอยู่ว่าการตกแต่งของห้องนี้ถ้าเทียบกับห้องของเขาที่บ้านทัดเทวาแล้วจะสู้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ขนาดความกว้างห้องนี้ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของห้องนอนเขาเสียด้วยซ้ำ หากแต่สิ่งหนึ่งที่มีเหนือกว่าก็คือห้องนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นมากกว่าห้องที่กว้างขวางโอ่อ่าในบ้านทัดเทวาหลังนั้น หรือไม่บางทีอาจเป็นเพราะคนที่กำลังยืนอยู่ข้างตัวเขาต่างหากที่ทำให้วิศรุตรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้

   “ฉันว่านายไปอาบน้ำก่อนเถอะ จะได้มาทำแผลที่ไหล่ ว่าแต่อาบได้ใช่ไหม?” ท้ายประโยคนภัทรหันมาถามวิศรุตเป็นเชิงเย้า หากแต่คุณหมอหนุ่มแหย่ผิดคนแล้วเพราะวิศรุตตอบกลับไปว่า

   “ถ้าฉันอาบเองไม่ได้ แล้วนายจะมาอาบให้หรือไง?”

   “แล้วจะให้ฉันอาบให้หรือเปล่าล่ะ?” คำพูดที่ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วของนภัทรทำให้สีหน้าของวิศรุตเข้มขึ้นเล็กน้อยด้วยเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่านภัทรจะต่อปากต่อคำเก่งขนาดนี้ ถ้าหากเขาสองคนหยอกล้อกันเล่นแบบนี้ได้ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ก็คงจะดี อย่างน้อยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนภัทรก็คงจะไม่ออกแนวอิหลักอิเหลื่อเหมือนเช่นในตอนนี้

   “เอาเป็นว่านายอาบน้ำไปก่อนแล้วกัน มีผ้าขนหนูอยู่ในห้องน้ำแล้ว ส่วนชุดนอนก็อยู่ในตู้เสื้อผ้า หยิบได้ตามสบาย  เลย” นภัทรพูดตัดความเงียบขึ้น ก่อนจะขอตัวลงไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลขึ้นมาเพื่อเตรียมทำแผลให้วิศรุต

   หลังจากที่นภัทรลงไปแล้ว วิศรุตจึงเข้าไปอาบน้ำเพื่อชำระร่างกายให้สะอาดเพราะเนื้อตัวของเขาเต็มได้ด้วยคราบ สกปรกและพวกฝุ่นที่ติดตามตัวเมื่อตอนสู้กับมือปืนสองคนนั้น ชายหนุ่มต้องขบกรามแน่นเมื่อน้ำเย็นไหลผ่านบาดแผลที่โดน กระสุนถากบริเวณหัวไหล่ แต่ใช้เวลาไม่นานนักก็อาบน้ำเสร็จ

   วิศรุตเดินออกจากห้องน้ำตั้งใจจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้ แต่ทว่าดวงตาคมก็หันไปเห็นอะไรบางอย่างที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ อ่านหนังสือของนภัทร เป็นกรอบรูปที่ใส่ภาพถ่ายคู่กันของเด็กวัยรุ่นม.ต้นสองคน หนึ่งในนั้นเขาจำได้ว่าคือนภัทร แต่ผู้หญิงอีกคนที่ยืนคู่กันเขาเองก็ไม่แน่ใจ เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องจากด้านหลัง วิศรุตจึงรีบวางกรอบรูปลงที่เดิมก่อนจะหันมาหาเจ้าของห้อง

   “ยังไม่ต้องใส่เสื้อก็ได้ เดี๋ยวรอทำแผลเสร็จก่อน” นภัทรพูดเมื่อเห็นว่าวิศรุตกำลังหยิบเสื้อนอนที่เขาเตรียมไว้ให้ขึ้นมาทำท่าว่าจะสวมใส่ วิศรุตส่งเสียงตอบรับในลำคอก่อนจะเดินมานั่งที่ปลายเตียงเพื่อรอให้คุณหมอหนุ่มทำแผลให้แต่โดยดี

   นภัทรจัดการใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เพื่อล้างแผลให้วิศรุต จากนั้นก็ทำแผลให้จนเรียบร้อยซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานนัก ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากจนนภัทรได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากสบู่ที่โชยออกจากกายของอีกฝ่ายซึ่งก็ทำให้คุณหมอหนุ่มเคลิ้มไปชั่วขณะ ก่อนสติจะถูกดึงกลับมาเมื่อวิศรุตถามว่าตนจะใส่เสื้อผ้าได้หรือยัง?

   คุณหมอหนุ่มหยิบเสื้อที่วางอยู่ปลายเตียงใกล้ๆกันขึ้นมาแล้วตั้งใจจะช่วยสวมให้เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงทำได้ไม่ค่อยถนัดเพราะคงจะยังเจ็บที่หัวไหล่อยู่ แต่วิศรุตบอกว่าตนทำได้ ชายหนุ่มพยายามสอดแขนเข้าไปในแขนเสื้อนอนแต่ว่าก็ทำได้อย่างลำบาก ในที่สุดก็ต้องให้คนตรงหน้าช่วยอยู่ดี นภัทรช่วยวิศรุตใส่เสื้อก่อนจะช่วยติดกระดุมให้ทีละเม็ดอย่างอ่อนโยน

   “นายติดกระดุมไม่ตรงแถวกันนะ” วิศรุตเอ่ยเสียงเบาขณะที่มือเลื่อนไปตั้งใจจะปลดกระดุมออกจากรังดุมที่ติดผิด แต่นภัทรจับมือเขาเอาไว้เสียก่อน

   “เอ๊ะ” วิศรุตอุทานเสียงเบากับสัมผัสจากมือนภัทร ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนจากฝ่ามือของคนตรงหน้า พลันวิศรุตเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาคมกริบสีถ่านคู่นั้น ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวอีกที เลนส์แว่นของนภัทรก็มาสัมผัสกับใบหน้าเขาเสียแล้ว...เขากำลังถูกคนตรงหน้าจูบอย่างแผ่วเบาแต่ทว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกร้อนแรงเหลือเกิน

   เมื่อนภัทรถอนจูบออก ทั้งคู่สบตากันนิ่งเหมือนว่าเวลาหยุดหมุนอยู่เพียงแค่นี้ ก่อนที่นภัทรจะค่อยๆเอื้อมมือมาดึงแว่นตาไร้กรอบของตนให้พ้นจากใบหน้าหล่อคม จากนั้นก็ค่อยๆโน้มตัวลงมาประทับริมฝีปากของวิศรุตอีกครั้ง แค่ครั้งนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกนุ่มนวลชวนให้ลุ่มหลงเสมือนกับนายพรานที่วางบ่วงดักสัตว์เอาไว้รอให้เหยื่อมาติดกับ และตอนนี้วิศรุตก็ยินดีแม้ว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นเหยื่อของนภัทรก็ตาม

   วิศรุตใช้แขนข้างที่ไม่บาดเจ็บโน้มต้นคอของนภัทรให้ต่ำลงแล้วจึงประทับจูบที่ปลายคางสากของอีกฝ่ายก่อนจะเชย ลำคอของตนขึ้นสูงกว่าเดิมเพื่อให้นภัทรได้ใช้ริมฝีปากและปลายลิ้นละเลียดชิมความหอมหวานจากลำคอเพรียวสวยราวอิสตรีของตน ริมฝีปากของนภัทรไล่สำรวจเรือนกายของร่างข้างใต้ไปทั่วตั้งแต่ใบหน้างดงามราวเทวดารังสรรค์ ลำคอระหง สร้างรอยรักไว้ที่ไหปลาร้าสองข้าง จนกระทั่งไล่ไปถึงยอดอกสีระเรื่อที่ถูกคุณหมอหนุ่มดูดดุนแล้วขบเม้มจนเป็นรอยแดง วิศรุตแอ่นกายด้วยความเสียวซ่านที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

   นภัทรไม่หยุดแค่นั้น ชายหนุ่มใช้สองมือเคลื่อนไหวไปพร้อมกับริมฝีปากที่ทำหน้าที่สำรวจทุกซอกมุมของร่างอันสวยงามเบื้องหน้า มือหนาที่คุ้นชินกับการจับมีดผ่าตัดตอนนี้กลับกำลังไล่ปลดกระดุมเสื้อนอนของวิศรุตที่ตนเพิ่งจะติดให้กับเจ้าตัวด้วยมือของตนเองเมื่อครู่นี้ เพียงไม่นานร่างกายเนียนสล้างที่ปราศจากอาภรณ์ห่อหุ้มของวิศรุตก็ปรากฏสู่สายตาของนภัทร แต่วิศรุตก็ไม่ยอมขาดทุนให้คุณหมอหนุ่มจ้องตนแต่เพียงฝ่ายเดียว ชายหนุ่มชันขาขึ้นก่อนจะอยู่ในท่าคุกเข่าในขณะที่มือก็ไล่แกะกระดุมเสื้อของนภัทรไปด้วย พร้อมๆกับนภัทรที่ปลดซิปกางเกงแสล็คของตนแล้วค่อยๆถอดมันออกแล้วโยนเอาไว้ที่พื้นห้องอีกด้านหนึ่ง ตอนนี้นภัทรเกือบจะเปลือยเปล่าเหมือนกับเขา จะต่างกันก็ตรงที่ว่าฝ่ายนั้นยังมีกางเกงชั้นในเป็นปราการด่านสุดท้าย แต่ถึงอย่างนั้นวิศรุตก็ไม่ได้สนใจ ชายหนุ่มเคลื่อนตัวเข้าหานภัทรเพราะรู้ดีว่าคนตรงหน้าคงจะไม่เคยกับเรื่องของการร่วมรักระหว่างชายกับชาย แต่คืนนี้เขาจะช่วยสอนฝ่ายนั้นเอง

   เมื่อวิศรุตขยับกายเข้ามาใกล้ นภัทรก็รั้งร่างคนตรงหน้าเข้าไปจูบทันที คราวนี้ฝ่ายนั้นส่งปลายลิ้นเข้ามาพัวพันหยอกเย้า ตักตวงความหวานในโพรงปากของวิศรุต ซึ่งชายหนุ่มเองก็ตอบสนองไปอย่างเร่าร้อนเช่นกัน เขาเบียดกายเข้ามาใกล้นภัทรมากยิ่งขึ้น ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน ก่อนที่นภัทรจะเกาะกุมสะโพกเนียนของวิศรุตและรั้งให้แนบชิดขึ้น จนวิศรุตรู้สึกได้ถึงแก่นกายที่แสดงถึงสัดส่วนความเป็นบุรุษเพศที่เริ่มร้อนผ่าวของคนตรงหน้า...เขารู้ดีว่าตอนนี้นภัทรต้องอะไรอะไร เพราะตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน

   มือของวิศรุตเริ่มรูดกางเกงชั้นในของอีกฝ่ายให้พ้นทาง ก่อนจะใช้มือเรียวค่อยๆสัมผัสและลูบไล้ยังแก่นกายของนภัทรอย่างช้าๆ ซึ่งชายหนุ่มเองก็จับมือของนภัทรมาสัมผัสที่แก่นกายอันร้อนผ่าวที่ค่อยๆแข็งขึงของตนเองเช่นกัน นภัทรในตอนแรกมีท่าทีเงอะงะแต่พอผ่านไปได้ซักพักทุกอย่างก็เริ่มที่จะดำเนินไปได้ด้วยดี ตอนนี้นภัทรพลิกตัวมาซ้อนด้านหลังแทน คุณหมอหนุ่มรั้งร่างของวิศรุตให้เอนมาซบตน ทำให้บั้นท้ายนวลเนียนของวิศรุตสัมผัสกับความแข็งขึงจากสัดส่วนบุรุษของนภัทรอย่างเลี่ยงไม่ได้ วิศรุตตาปรือด้วยอารมณ์เสน่หาในรสรักที่นภัทรบรรจงป้อนให้ มือของชายหนุ่มอ้อมไปเกี่ยวกระกวัดรอบคอด้านหลังของนภัทรก่อนจะเอี้ยวหน้าไปแลกจูบกับฝ่ายนั้นอย่างดูดดื่มราวกลับจะกลืนกินฝ่ายตรงข้ามเข้าไปทั้งตัว

   จังหวะรักที่เริ่มนุ่มนวลในตอนแรกๆเริ่มเปลี่ยนเป็นร้อนแรงตามดีกรีอารมณ์ที่ทะยานขึ้นสูงของคนทั้งคู่ ตอนนี้ทั้งนภัทรและวิศรุตต่างลืมเลือนไปแล้วทั้งสิ้นว่าทั้งคู่เคยมีความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานกันมากแค่ไหน นภัทรในตอนนี้นึกอะไรไม่ออกแล้วนอกจากความสุขแทบล้นทะลักที่ได้รับจากวิศรุตแม้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นคนที่เขาเคยเกลียดแสนเกลียดและขยะแขยงกับพฤติกรรมรักร่วมเพศก็ตาม แม้ว่าสติลึกๆจะบอกว่าความรักแบบนี้มันผิดครรลองของธรรมชาติ แต่ ณ วินาทีนี้ นภัทรไม่อยากจะสนใจอะไรทั้งนั้น เขาอยากจะสลัดเหตุผลทุกอย่างออกไปให้หมด อยากให้เหลือเพียงแค่การกระทำที่ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจเท่านั้น...ความรู้สึกที่เขาพยายามปฎิเสธมานาน

   นภัทรใช่ฝ่ามือดันให้วิศรุตนอนลงราบไปกับเตียงนอนหลังกว้างในขณะที่ร่างสูงของตนก็ตามมาทาบทับอีกฝ่ายแทบจะทันที วิศรุตบิดกายเล็กน้อยเพื่อให้ร่างสมส่วนตามแบบบุรุษเพศของนภัทรแนบชิดกับร่างของตนให้มากขึ้น ชายหนุ่มประสานสายตากับเจ้าของดวงตาสีถ่านด้วยแววตาลึกซึ้ง ปราศจากซึ่งคำพูดใดๆ วิศรุตหวังเหลือเกินว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่ง แต่ชายหนุ่มก็รับรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นเรื่องจริงเมื่อรู้สึกได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่กำลังล่วงผ่านเข้าไปในร่างกายของตน

   “อ๊าาา” วิศรุตครางเสียงสั่นเมื่อนภัทรจัดการแยกขาของเขาออกกว้างก่อนจะสอดนิ้วเข้าไปยังช่องทางคับแคบของตนและยิ่งครางหนักขึ้นเมื่อฝ่ายนั้นเพิ่มจำนวนนิ้วที่สอดเข้าไป นภัทรมองวิศรุตที่บิดตัวเร่าเพราะดวามเสียวซ่านอย่างพอใจก่อนจะถอนนิ้วทั้งหมดออกแล้วแทนที่ด้วยแก่นกายแข็งขึงที่แสดงสัดส่วนความเป็นบุรุษเพศตน นภัทรเสือกแก่นกายเข้าไปทางช่องทางคับแน่นจนมิด ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเสียวซ่านที่เพิ่มสูงขึ้นของตัวเองเนื่องมาจากการถูกตอดรัดอย่างรุนแรงจากช่องทางที่คับแน่นนั้น ในขณะที่วิศรุตเงยหน้าสูดลมหายใจลึกแล้วพยายามผ่อนคลายร่างกายของตนให้มากที่สุด จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ชายหนุ่มรู้ดีกว่าการทำเช่นนี้จะช่วยบรรเทาความเจ็บจากการถูกรุกล้ำช่องทางเบื้องล่างได้มากเลย ทีเดียว เพียงไม่นานความเจ็บปวดที่เคยรู้สึกเมื่อครู่ก็กลับเป็นความสุขสมจากเพศรสอันร้อนแรง

   วิศรุตโยกสะโพกหนั่นแน่นของตนขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเริ่มส่ายวนเป็นจังหวะเนิบๆเพื่อสร้างความรู้สึกรัญจวนให้กับทั้งตัวเองและนภัทร ฝ่ายคุณหมอหนุ่มก็ตอบรับโดยการเร่งจังหวะการสอดใส่แก่นกายเข้ากับร่างข้างใต้ให้เร็วและถี่กว่าเดิม ร่างหนาขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง ชายหนุ่มมองสีหน้าของร่างในอ้อมแขนด้วยความรู้สึกที่ดื่มด่ำ วิศรุตกำลังหวีดร้องออกมาด้วย ความสุขสมเมื่อร่างทั้งสองต่างสอดประสานแนบชิดสนิทหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ชายหนุ่มขบฟันเข้ากับไหล่กำยำของ  นภัทรด้วยความเสียวซ่านภายในช่องท้องที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นภัทรเองก็ไม่ไหวแล้ว ชายหนุ่มครางเสียงหนักๆก่อนที่ความต้องการทั้งหมดจะถูกระเบิดออกมาในรูปของเหลวสีขาวขุ่นที่ไหลเปรอะไปตามแก่นกายและช่องทางเบื้องล่างของวิศรุต ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ในสมองของนภัทรตอนนี้มีแต่ความขาวโพลนและความสุขสมที่กระจายไปทั่วจากการร่วมรักเมื่อสักครู่

   วิศรุตรู้ว่าอีกฝ่ายถึงจุดสุดยอดแล้ว แต่ตัวเขากลับทรมานเพราะความรู้สึกเมื่อครู่ยังครึ่งๆกลางๆอยู่ และดูเหมือนว่า
นภัทรเองก็รู้เช่นกันว่าวิศรุตยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางเหมือนอย่างเขา

   “ช่วยฉันหน่อย ฉันไม่ไหวแล้ว” วิศรุตครางเสียงแผ่วอย่างอ้อนวอนร่างหนาหนักที่กำลังโถมทับตัวเองอยู่ พร้อมกับเอามือของนภัทรมาสัมผัสยังแก่นกายตนที่ยังคงเต็มไปด้วยความปรารถนาอันร้อนแรงที่ยังไม่ได้ถูกระบายออก เพียงเท่านี้นภัทรก็รู้ว่าวิศรุตต้องการอะไร คุณหมอหนุ่มไล้มือไปตามแก่นกายของฝ่ายนั้นอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆรูดขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะช้าๆ

   “อือ...อา....อืมมม” วิศรุตเสียงกระเส่าด้วยพายุอารมณ์ที่โหมพัดฮือ ก่อนชายหนุ่มจะเบิกตากว้างขึ้นเมื่อความรู้สึกจากการถูกสัมผัสส่วนนั้นด้วยมือ บัดนี้ได้กลายเป็นอย่างอื่นแทน แก่นกายของเขากำลังถูกนภัทรอมไว้ในโพรงปากอุ่นของฝ่ายนั้น

   “อ๊าาาา” วิศรุตจิกผ้าปูที่นอนอย่างแรง ความสุขสมกำลังเอ่อล้นจนเขาแทบจะสำลักความสุขที่ฝ่ายตรงข้ามมอบให้ นภัทรกำลังอมส่วนปลายแก่นกายของเขาก่อนจะใช้ลิ้นเลียแล้วดูดดุนเป็นจังหวะเข้าออก วิศรุตแอ่นกายเยียดตรงก่อนใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บสอดเข้าไปขยุ้มกลุ่มผมของนภัทรด้วยความรัญจวน ไม่นานนักวิศรุตก็ถึงจุดสูงสุดของอารมณ์พร้อมกับหลั่งหยาดน้ำรักออกมาจนเต็มปากของอีกฝ่าย ซึ่งฝ่ายนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจแต่อย่างใด กลับกลืนมันลงไปอย่างหน้าตาเฉย

   คนที่เพิ่งถึงจุดหมายนอนหอบหายใจสะท้าน ดวงตาสีน้ำตาลโศกปรือตามองนภัทรด้วยแววตาเชื่อมแสง เขาไม่ อยากจะเชื่อเลยว่าตนกับนภัทรจะมีวันนี้ได้ วันที่เขาสองคนมีความสัมพันธ์ทางกายกันอย่างลึกซึ้งแบบนี้...วันที่เขาและนภัทรต่างเป็นของกันและกัน

   นภัทรไม่หลบตาวิศรุตที่กำลังมองมาที่ตน ชายหนุ่มยิ้มบางๆก่อนจะยกมือของฝ่ายนั้นมาจูบไล่ทีละปลายนิ้ว วิศรุตเองก็รู้ใจนภัทรว่าคุณหมอหนุ่มยังไม่พอใจกับการปลดปล่อยแค่เพียงครั้งเดียว เขายิ้มมุมปากแล้วค่อยๆโน้มหน้าฝ่ายนั้นลงมาซุกไซร้ซอกคอตนก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งและดำเนินไปเรื่อยๆตลอดทั้งคืน

   พงศธรขบกรามแน่นเมื่อเห็นภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตา เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายสองคนที่กำลังกอดรัดและร่วมรักกันอย่างสุขสมเบื้องหน้าก็คือเพื่อนสนิทกับเจ้านายของตน มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน? เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นแล้วค่อยๆใช้มือดึงบานประตูห้องที่เปิดแง้มไว้ให้ปิดลงตามเดิม ก่อนที่จะเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างเงียบเชียบด้วยสมองที่ยังคงอื้ออึงกับสิ่งที่ได้เห็นเมื่อครู่นี้





   วิศรุตเท้าแขนกับระเบียงด้านนอกห้องนอนของนภัทร จากตรงนี้สามารถมองเห็นบริเวณรอบๆบ้านได้อย่างชัดเจน บ้านของนภัทรปลูกต้นไม้เอาไว้เยอะมากไม่ว่าจะเป็นไม้ดอกหรือไม้ประดับซึ่งก็สร้างบรรยากาศอันน่าร่มรื่นให้กับบ้านหลังนี้ได้มากเลยทีเดียว ชายหนุ่มสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าเข้าปอด ในสมองก็กำลังนึกถึงเรื่องระหว่างเขากับนภัทรที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เขาไม่รู้ว่าที่นภัทรทำอย่างนั้นเพราะเหตุผลอะไร รู้แต่ว่าเขาเองมีความสุขมากที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของฝ่ายนั้น ได้สัมผัสเรือนกายที่เขาเฝ้าฝันถึงตลอด13ปีเต็ม และที่สำคัญคือการได้รู้ว่านภัทรเองก็มีความสุขเหมือนอย่างที่เขามีเช่นกัน

   “คิออะไรอยู่เหรอ?” วิศรุตสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดอบอุ่นจากด้านหลัง ชายหนุ่มเหลียวหน้าไปสบตากับเจ้าของห้องก่อนจะตอบว่า

   “คิดเรื่อยเปื่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” วิศรุตคลี่ยิ้มให้ก่อนจะถามว่าอีกฝ่ายตื่นนานแล้วเหรอยัง แต่นภัทรก็บอกว่าตนเพิ่งตื่น แต่พอตื่นมาก็ไม่เห็นวิศรุตแล้ว

   “นึกว่าหนีกลับบ้านไปแล้วซะอีก” คุณหมอหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะเบนมาถามอีกเรื่อง “ยังเจ็บอยู่รึเปล่า?”

   “อ้อ แผลที่หัวไหล่เหรอ ไม่ค่อยเจ็บแล้วล่ะ” นภัทรส่ายหน้าก่อนจะบอกว่าไม่ใช่แผลที่หัวไหล่ แต่เป็นที่อื่นต่างหาก อาการยิ้มเจ้าเล่ห์ของฝ่ายนั้นทำให้วิศรุตหน้าร้อนวาบเมื่อนึกขึ้นได้ว่านภัทรกำลังพูดเรื่องอะไร เมื่อคืนเขากับนภัทรร่วมรักกันหลายครั้งมาก ทำให้วันนี้ตอนเช้าตื่นขึ้นมาเขาจึงมีอาการปวดยอกที่เอวพอสมควร

   “แล้วเพราะใครล่ะ?” นภัทรทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะคลายอ้อมกอดแล้วบอกให้วิศรุตไปอาบน้ำได้แล้ว เขาจะขับรถไปส่งชายหนุ่มที่บ้านทัดเทวาเอง

   “เดี๋ยวก่อนกานต์” วิศรุตตัดสินใจเรียกขึ้นขณะที่นภัทรกำลังหมุนตัวแล้วเดินเข้าไปในห้อง ชายหนุ่มสูดลมหายใจเฮือกก่อนตัดสินใจเอ่ยถามสิ่งที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจมานาน “เรื่องเมื่อคืน...ฉันอยากรู้ว่าเพราะอะไร?”

   วิศรุตมองนภัทรที่นิ่งเงียบไปอย่างน้อยใจลึกๆ เขาอยากให้ฝ่ายนั้นพูดออกมาตรงๆว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับเขากันแน่ อยากให้นภัทรบอกเหตุผลการกระทำของตนว่าเรื่องเมื่อคืนมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ความเหงา? หรือเพราะ...วิศรุตไม่กล้าคิดต่อ

   “จากคนที่นายไม่เคยชอบหน้า คนที่นายเคยรังเกียจและขยะแขยง แต่สุดท้ายคนๆนั้นก็กลับกลายมาเป็นคนที่นายมีความสัมพันธ์ทางกายด้วย ฉันแค่อยากรู้ว่าตอนนี้นายรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่?”

   “ถ้าเราสองคนต่างก็มีความสุขกับเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วคำตอบของฉันมันสำคัญด้วยเหรอ?” คนที่ถูกถามเอ่ยทำลายความเงียบที่เข้าปกคลุมคนทั้งคู่ นภัทรก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เช่นกันว่าทำไมเขาถึงไปมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับคนที่ตัวเองเคยเกลียดแสนเกลียดได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้นึกเกลียดขี้หน้าฝ่ายนั้นแล้วก็ตาม อีกทั้งคนที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยก็ยังเป็นผู้ชายเหมือนกันกับเขา ลึกๆในใจบางทีเขาอาจจะหาคำตอบได้แล้ว แต่ทว่ายังไม่อยากจะยอมรับเท่านั้นเอง

   “ช่างเถอะ ถือว่าฉันไม่ได้ถามก็แล้วกัน” วิศรุตยิ้มกลบเกลื่อนก่อนจะมองแผ่นหลังของนภัทรที่เดินกลับเข้าห้องไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ชายหนุ่มเคยคิดไว้ว่าหากได้มีความสัมพันธ์ทางกายกับนภัทรจริงๆเขาคงจะมีความสุขมาก แต่พอวันที่เขาฝันไว้มาถึง เขากลับไม่ได้มีความสุขเท่าที่เคยวาดฝันเอาไว้ตั้งแต่ต้น แต่เขากลับรู้สึกยิ่งทรมาน...ทรมานกับการต้องนึกจินตนาการไปต่างๆนานาว่านภัทรรู้สึกอย่างไรกับตนกันแน่ ชายหนุ่มยิ้มเศร้ากับตัวเองพลางทอดสายตาไปเบื้องหน้า แดด
อบอุ่นยามเช้าไม่ได้ช่วยบรรเทาความเหน็บหนาวในใจของวิศรุตในตอนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย


จบบทที่25

Aislin : สวัสดีค่ะ มาอัพต่อให้เหมือนเคยแล้วเน้อ ขอบคุณทุกคนสำหรับการติดตามมากๆค่ะ อย่างน้อยก็ติดตามมาจนถึงตอนที่25แล้ว และก็หวังว่าคงไ้ด้รับการติดตามต่อไปเรื่อยๆจนจบเรื่องเลยเน้อ
           ตอนที่แล้ว นักอ่านหลายๆท่านบ่นเสียดายภาณุว่าไม่น่าคู่กับเมริษา แต่เราอยากบอกว่าคู่ภาณุหลังๆนี่ก็แอบมีอะไรให้ลุ้นเหมือนกันนะึคะ ไอ้ที่คิดๆเดาๆพล็อตเอาไว้ในใจอาจจะผิดก็ได้เน้อ อิอิ ส่วนภาคินกับวันชัยก็อยากจะบอกว่าความเลวของสองพ่อลูกคู่นี้แปรผันตรงกับจำนวนบทที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆค่ะ ยิ่งหลังๆนี่แบบไม่ต้องพูดถึงเลย เลวได้ใจมากๆ เพราะตอนนี้ภาคินก็รู้แล้วว่าวินชอบผู้ชาย เรื่องมันก็จะเข้มข้นขึ้นทุกขณะ ต่างฝ่ายต่างก็มีแผนการอยู่ในใจเพื่อจ้องจะเอาชนะฝ่ายตรงข้าม เดี๋ยวก็มาลุ้นต่อตอนหน้าแล้วกันเน้อว่าแต่ละคนจะตัดสินใจยังไง พงศธรอีกด้วย...เห็นฉากตำตาขนาดนั้น จะเป็นยังไงต่อไปล่ะเนื่ย ส่วนน้องศราก็เดี้ยงไปแล้ว วินก็ทำท่าจะแย่ทั้งเรื่องงานและก็เรื่องความรักที่ยังคลุมเครือ...เรื่องนี้ก็ยังต้องเกาะขอบจอติดตามกันต่อไป


ปล. ไหนใครอยากอ่านต่อช่วยคอมเม้นท์แสดงความคิดเห็นหน่อยเร้ววววว เราได้อ่านคอมเม้นท์ของทุกคนแล้ว อยากบอกว่าอ่านไปก็ยิ้มไป เออเนอะ...มีคนอ่านนิยายแล้วอินตามมันก็ถือเป็นความสุขอย่างนี้นี่เอง  :impress2:


ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
«ตอบ #64 เมื่อ03-08-2012 09:15:45 »

สรุปว่า มาม่าต้มทั้งเรื่อง?  :monkeysad:

เหอะๆๆๆๆๆ จะรอตอนต่อไปน๊า!!!

ออฟไลน์ พี่วันเสาร์

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +282/-3
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
«ตอบ #65 เมื่อ03-08-2012 10:47:42 »

อ่านรวดเดียวถึงตอนที่ 25
อยากบอกว่าเขียนได้สนุกและน่าอ่านมากๆ o13
อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่ามีวินคนเดียวที่ดราม่าตลอด
ตั้งแต่แอบรักจนกระทั้งมีอะไรกัน
ดีใจกับวินที่หมอกานต์ดูเหมือนจะรักและเห็นใจบ้างแล้ว
ส่วนสองพ่อลูกจอมโกงนั้นน่ารังเกียจมากโกงแบบหน้าด้านๆ :angry2: :z6:
++จ้า  :L2:

ออฟไลน์ Still_14OC

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2041
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-7
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
«ตอบ #66 เมื่อ03-08-2012 11:54:24 »

พงษ์ไม่น่าจะตกใจนะ น่าจะแค่แปลกใจที่เห็นกานต์ กับวินมากกว่า เพราะสมัยมัธยมก็อยู่ห้องเดียวกันต้องรู้เห็นอะไรบ้างแหละ

ออฟไลน์ U_Ton

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
«ตอบ #67 เมื่อ03-08-2012 12:26:20 »

 :sad4: อ่านทีเดียว 25 ตอน อืม... ความรักของวินรุนแรงนะ แต่มันก็คือ ความจริงใจ...

ไม่ใช่กีดกัดศราเพราะเกลียดน้อง แต่แค่ไม่อยากเห็นตำตาก็แค่นั้น... รักมากก็หวงมาก

ตอนที่ 25 นี่ไม่รู้ว่าพงษ์จะว่ายังไง... ถ้าพงษ์ได้ดูจนจบ(ยันเช้าน่ะ) คงรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่เห็นทั้งหมด

คงสงสารวินอย่างที่โอมรู้สึก... เหมือนหมอกานต์เห็นวินเป็นอะไร... ไม่ตอบเเบบนี้ มีประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

แบบนี่ มันหมายถึงคู่นอนนะ... หมอฉลาด แต่ไม่เฉลียวเลย ว่าอีกฝ่ายจะต้องเจ็บแค่ไหนกับคำตอบแบบนี้

คนนึงรัก อีกคนเหมือนแค่ทำธุรกิจร่วมกันอ่ะ (ถึงหมอจะไม่ได้คิดอย่างนั้นก็ตาม)... คนที่รัก เค้าเจ็บตายชักเลย

รู้สึกว่าวินเจอศึกหลายด้านเกินไปอ่ะ จะทนได้นานแค่ไหน... กำลังใจมันมีนะ แต่มันก็เติมเต็ม แต่ก็ถูกบั่นทอนด้วย

มันถมไม่มีทางเต็มอ่ะแบบนี้... :เฮ้อ: วินนนนนนน... ไอ้ภาคินเตรียมเล่นงานอยู่อีก ขอให้เมคิดได้เหอะ...

สงสารวินเกินไปแล้ววว :กอด1:

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
«ตอบ #68 เมื่อ03-08-2012 13:13:09 »

หลังจากนี้คนอ่านคงซัดมาม่ากันโฮกๆๆๆ  :z3: ความจริงอิคนที่ผิดแล้วสมควรจะสำนึกผิดอ่ะคือสองพ่อลูกนั่นต่างหาก ถ้าเป็นเราเราคงเอาปืนไปยิงแล้ว
อ่านมา 25 ตอน ศราเข้าโรงบาลตั้งสามรอบแล้วน้า  :o12: ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของนภัทรกับวินก็ยังคลุมเครือเรื้อรัง สงสารวินมากมาย หลายเรืองอ่ะตอนนี้ ที่เครียดสุดคือภาคิณดันรู้แล้ว ส่วนพงไม่รู้ว่ารู้แล้วจะเป็นยังไงนะ แว้กกกก  :serius2:
ส่วนเมริษา ที่จริงเราชอบผู้หญิงคนนี้ที่สุดในเรื่องล่ะ 555 (เอ๊ะเรื่องนี้ผู้หญิงมีกี่คน) แสบดี ไม่ได้บ้าเงินอย่างโง่ๆหน้ามืดตามัว แต่ฉลาดเอาตัวรอดอ่ะ ^^

รอต่อปายยยยย  :L2:

mrt

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
«ตอบ #69 เมื่อ03-08-2012 14:03:32 »

ในที่สุดหลังจากที่อ่านมา 25 ตอนคำตอบก็เฉลยออกมาแล้ว
ฮ่าฮ่า ดีใจครับ คนเขียนคงงง ว่ามีคำถามตรงไหน

ตั้งแต่อ่านเรื่องนี้มา เป็นเรื่องที่ให้ความรู้สึกคลุมเครือมาก เนื้อหาอ่ะชัดเจน
แต่ที่ไม่ชัดมาโดยตลอดก็คือ ใครเป็นคือนายเอก พระเอกกันแน่ครับ
วิเคราะห์กันเมามันมาก อ่านตอนต้นเห็นว่า วิศรุต เอ้อ ชื่อนี้หล่อน่าจะพระเอกมั้ง
เมื่อเทียบกับณภัทร ชื่อนี้เป็นชื่อนายเอกหลายเรื่องแล้วเหมือนกัน แต่ยังไม่เคยอ่านเจอว่าเรื่องไหนนายเอกชื่อวิศรุต
ก็เลยโอนเอนไปทางวิศรุตเป็นพระเอก  โดยมีทฤษฎีสนับสนุนว่า พระเอกมักจะ ล.ร.ล. หล่อ รวย เลว
อ้าว เข้าทางวิศรุตเลยเนี่ย เจ้าชู้ เพลย์บอยด้วยนี่ ไหนจะเป็นนักธุรกิจอีก รวยอีก  วิศรุตเป็นฝ่ายไปชอบณภัทรก่อนด้วย
รุกเข้าไปสารภาพรักก่อน มีการจับต้องณภัทรก่อนด้วย ไหนโชว์กับรุ่นน้องในห้องสมุดอีก
 ขณะเดียวกันก็มีทฤษฎีสนับสนุนฝั่งนภัทรให้เป็นนายเอกเหมือนกัน เป็นต้นว่า เรียนดี กีฬาเด่น กิจกรรมเลิศ
กรรมการนักเรียน โดยเฉพาะเป็นหมอด้วยหลายเรื่องหมอมักจะเป็นนายเอก รวมๆณภัทรเป็นนายเอกในอุดมคติได้เลย   

แต่อ่านไปๆก็เริ่มมีประเด็นขึ้นมาค้านเพราะไม่เจอซีนไหนเลยที่ ณภัทรจะอ่อนไหวแบบนายเอกออกมา
แบบที่ควรจะเป็นเห็นมีแต่วิศรุตร้องไห้ แถมตะหงิดใจตอนต้นเรื่องที่บรรยายซีนในห้องกรรมการนักเรียนว่า
นภัทรหุ่นแบบนักกีฬาไหล่กว้างกว่าวิศรุต อ้าวเอายังไงแล้วล่ะเนี่ย ว่านายเอกจะล่ำกว่าพระเอกหรอเรื่องนี้
เท่าที่ผ่านมาหลายตอนหลังวิศุรตจากกลับจากอังกฤษ นภัทรดูท่าจะเงียบๆนิ่งๆด้วย ขัดกับวิศุรตที่ค่อนข้างแสดงออก
มาตอนหลังเหมือนบทสลับกัน นภัทรเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาและเริ่มต้นคุยมากขึ้น ความเป็นผู้นำเริ่มออก

จนมาถึงเลิฟซีนนี่เอง คำตอบถึงออกมาชัดเจน นพ.นภัทร อิสรีย์ คุณเป็นพระเอก
พึ่งวาดภาพนภัทรในใจได้ชัดๆตอนนี้เองว่าเป็นหมอใส่แว่น หุ่นล่ำหน้าตาคมเข้ม
รีบลบภาพหมอหนุ่มหน้าใส ใส่แว่น ผอมบาง เดิมที่คิดไว้ออกไปเลย

ชอบเรื่องของคุณมากๆครับ ขอบคุณมากๆ ที่อย่างน้อยก็ทำให้อ่านแล้วมีความสุข
 ถ้ามีเกมส์อยากขอเล่นด้วยคนครับ ไม่อยากพลาดอ่านตอนพิเศษ  :bye2:
 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
« ตอบ #69 เมื่อ: 03-08-2012 14:03:32 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
«ตอบ #70 เมื่อ03-08-2012 14:12:00 »

:เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

 :เฮ้อ:สงสารวินจังลยอะ :m15: :m15: :m15:

ไอ้สองพ่อลูกนั้นเมื่อไรกรรมจะตามทันซักทีอะ :angry2: :angry2: :angry2:

ได้กันแล้วแต่ภัทรก็ยังปากแข็งเหมือนเดิมสงสารวินจังเลย :m15: :m15: :m15:

รอตอนต่อไปจ้า :bye2: :bye2: :bye2:

ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
«ตอบ #71 เมื่อ03-08-2012 17:32:49 »

ผิดคาดแฮะ นภัทรเป็นรุกเหรอ ที่ผ่านมานึกว่าเป็นวิศรุตซะอีก
แต่พอมีอะไรกันเสร็จ นภัทรกลับไม่มีคำตอบให้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคืออะไร
ทำเหมือนเป็น one night onlyแค่นั้น ถ้าเป็นแบบนั้นจริงวิศรุตน่าสงสารมากเลยนะ
โดนมรสุมทั้งธุรกิจและความรัก หรือว่านี่จะป็นบทลงโทษเพลย์บอยหนุ่ม

ออฟไลน์ GUNPLAPLASTIC

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
«ตอบ #72 เมื่อ03-08-2012 18:13:10 »

สงสารวิสรุตอ่ะ :m15: :m15: :m15:
นภัทรน่าจะรู้ใจตัวเอง เเละให้คำตอบกับวินเร็วๆ
ศราคู่กับพงษ์นะ! รีบๆฟื้นซะล่ะ :mc4:
รอๆๆๆๆ ตอนต่อไปนะฮ๊าฟ ฟฟฟฟ
 :call: :call: :call:

ออฟไลน์ lidelia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
«ตอบ #73 เมื่อ03-08-2012 20:17:18 »

สงสารวินจัง กานต์น่าจะรู้ใจตัวเองได้แล้วนะ  :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
«ตอบ #74 เมื่อ03-08-2012 22:07:44 »

แวะมาบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้แวะมาอัพ26-30ให้ค่ะ
 อ่านหลายๆคอมเม้นท์แล้วปลื้มใจหลายๆ ยิ้มแก้มแทบปริแล้วเนี่ย ดีใจที่ชอบกันนะคะ
อ่านแล้วฝากเม้นท์หน่อยเน้อ แบบว่าอยากรู้ฟีดแบ็คอ่าจ้า อิอิ

ปล. ว่าแล้วว่ามีหลายๆคนคาใจเรื่องใครเป็นรุกเป็นรับ คงกระจ่างแล้วเน้อ เอ้อ หากมีอะไรฝากคำถามเอาไว้ได้เลยจ้า เดี๋ยวมาตอบให้


ออฟไลน์ Ak@tsuKII

  • Honeymoon
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3845
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-3
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
«ตอบ #75 เมื่อ03-08-2012 22:18:58 »

โอ้ว ในที่สุดก็ชัดเจนสินะ  :pighaun:

ที่จริงตอนเริ่มอ่านแรกๆ นึกว่าวินรุก กานต์รับซะอีก  ดูอะไรหลายๆอย่าง คุณหลอกดาวสินะ กร๊ากกกก 

แต่พอหลังกลับจากเมืองนอก ดูวินจะหนีกานต์อยู่พอสมควร ทำไมรุกไม่พุ่งชนหารับหว่า  แล้วลักษณ์นิสัยก็เผยว่าเป็นเคะมากขึ้น(นิดๆ) แ

เช่นมีความอ่อนไหว ร้องไห้ กานต์ก็ดูจะเข้าหาวินมากขึ้นแล้วดูเป็นผู้นำ มีความเป็นเมะนั่นเอง ฮ่าๆๆ  แต่ก็เกือบหลงทางไอ้เราก็
เอ๊ะ คือกานต์จะเป็นเคะมีมาดแมนพอๆกับวิน

โอเคตอนนี้ชัดเจน  กานต์รุก วินรับก็โอเคดี น่ารักดี ฮ่าๆๆ กานต์ หลังจากได้เขาเป็นเมียแล้วก็น่าัจะเริ่มแน่ใจอะไรมากขึ้น
และต่อไปกานต์ก็คงจะแสดงออกกับวินมากขึ้น เป็นสามีเ้ค้าแล้วนี่น่า น่าจะหวง ห่วง หึง ฮ่าๆๆๆ

แต่ตอนนี้ก็แอบสงสารวินเหมือนกันนะ กานต์ใจร้ายชะมัดว่ะ เดี๋ยวเหอะ ไม่ยอมรับใจตัวเองไวๆ จะเสียวินไปไม่รู้ตัว
วินเจ็บปวดมากๆ จนทนรอความชัดเจน รอความรักจากกานต์ไม่ไหว วินหนีไป แล้วจะสมน้ำหน้า

ส่วนเมริสา ไม่ชอบอย่างแรง และก็คงไม่ชอบต่อไป และไม่มีทางเปลี่ยนมาชอบได้แน่ๆ (ที่จริงถ้าเป็นนางนกต่ออย่างเดียวหรืออาจจะเคยผ่านผู้ชายมาแต่ไม่มีการเน้นมากนัก คงจะพอทำใจ ที่จริงก็ไม่จำเป็นว่า ญ สาวที่จะคู่กับภาณุต้องเป็นสาวบริสุทธิ์ เหมือนกับสมมุติถ้าภาณุคู่กับศราซึ่งที่จริงศราอาจจะไม่ใช่ ญ สาวบริสูทธิ์ก็ได้ อาจจะเคยมีแฟนมาก่อน แต่ก็คือยังรับได้ นึกออกปะ (แต่ศราก็คู่กับพงษ์ก็โอเครับได้ เหมาะสมกันดี) แต่นี่ชีเคยนอนกับภาคิน(มีบทบาทในเรื่อง)ด้วยไง และค่อนข้างชัดเจนในบท เลยรู้สึกว่าชีไม่เหมาะกับภาณุอย่างแรง )ยิ่งมาเล่นบนเล่นตัวกับภาณุ แิอร๊ยย ไม่อิน เพราะงั้นสำหรับตัวเองคงตัดคู่นี้ออกจากสารบบ ไม่สนใจคู่นี้ ไม่งั้นเดี๋ยวจะไม่มีอารมณ์อ่ีานต่อ เอิ้กกก เสียดายภาณุเบาๆ ไม่น่าเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-08-2012 22:28:32 โดย Ak@tsuKII »

ออฟไลน์ vascular

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-2
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
«ตอบ #76 เมื่อ03-08-2012 22:21:17 »

...อ่าว กรรม ตอนแรกเข้าใจว่า วิศรุต นี่รุก แล้วหมอกานต์ เป็นรับ สลับขั้วสุดๆ  :oo1:

ออฟไลน์ boworange

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 537
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
«ตอบ #77 เมื่อ03-08-2012 22:46:49 »

 :mc4: :mc4:  มาม่ารสหมูสับ   :mc4: :mc4:

  o18 งานนี้แอบมีสลับขั้ว  :laugh: อย่างงี้คนเขียนต้องเปลี่ยนชื่อเรื่อง เป็นสลับขั้วมาลุ้นรัก  :m20:

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-25
«ตอบ #78 เมื่อ04-08-2012 05:40:58 »

สงสารวินที่สุดเลย
ไอ้ภาคินมันรู้แล้วว่าวินเป็นเกย์
มันต้องมีแผนชั่วๆอีกแน่ๆ
กานต์แกน่าจะรู้ใจตัวเองได้แล้วมันมาถึงขนาดนี้แล้ว

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่26
«ตอบ #79 เมื่อ04-08-2012 09:14:34 »

บทที่ 26

   
พงศธรจอดรถเอาไว้ที่หน้าบ้านของนภัทรก่อนที่เจ้าตัวจะรีบลงมากดออดหน้าบ้านของเพื่อนสนิท เขาเห็นรถของนภัทรจอดอยู่ก็แสดงว่าเพื่อนของเขาต้องกลับมาถึงบ้านแล้ว และแน่นอนว่านภัทรพาวิศรุตมาด้วยแต่พงศธรก็ไม่แน่ใจนักว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับวิศรุตเพราะว่าสัญญาณโทรศัพท์มือถือถูกตัดไปก่อนเนื่องจากมือถือของนภัทรแบตหมด พงศธรยืนกดออดอยู่สองสามครั้งแต่ก็ไม่เห็นว่าเจ้าของบ้านจะมาเปิดประตูให้เสียที สงสัยออดจะเสีย ชายหนุ่มคิดอย่างหงุดหงิด เขายิ่งมีเรื่องสำคัญเสียด้วย ออดเจ้ากรรมก็ดันมาเสียเอาวันนี้ พงศธรลังเลเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจปีนข้ามรั้วเข้าไปในตัวบ้านทันที

   คืนนี้ชายหนุ่มถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์กลางดึกจากลูกน้องที่โทรมารายงานว่าโครงการก่อสร้างบ้านจัดสรรของทัดเทวาที่วิศรุตให้ตนรับหน้าที่เป็นวิศวกรดูแลอยู่กลับถูกไฟไหม้วอดวายเสียหายไปเยอะพอสมควร เขายังไม่รู้อย่างแน่ชัดนักว่านี่เป็นอุบัติเหตุหรือการลอบวางเพลิงเพราะตอนนี้ตำรวจกำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุอยู่ แต่ที่แน่ๆคือเขาจำเป็นต้องรายงานวิศรุตให้รู้โดยด่วน ซึ่งเขาก็โทรติดต่อฝ่ายนั้นเกือบจะเป็นร้อยครั้งแล้วแต่ก็ยังติดต่อไม่ได้ ถามใครก็ไม่มีใครรู้ว่าวิศรุตไปไหน ยามที่บริษัทก็บอกว่าวิศรุตออกมานานแล้ว ที่บ้านทัดเทวาก็บอกว่าวิศรุตยังไม่กลับมาบ้านเลย พงศธรก็ยิ่งร้อนใจ แต่ในที่สุดก็โชคดีที่เขาติดต่อกับนภัทรได้ ฝ่ายนั้นบอกว่าตนอยู่กับวิศรุตและกำลังจะกลับบ้าน ดังนั้นพงศธรจึงรีบมาหาวิศรุตที่นี่เพื่อบอกข่าวสำคัญ

   ไฟชั้นล่างห้องรับแขกถูกปิดเกือบหมดเหลือเพียงไฟตรงบันไดที่ทอดขึ้นชั้นสองเพียงดวงเดียวที่ยังคงสว่างอยู่ พงศธรคิดว่าทั้งคู่คงอยู่ด้านบน ชายหนุ่มจึงรีบสาวเท้ายาวๆจนเกือบจะเป็นวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านทันที แต่เมื่อมาถึงชั้นสอง ชายหนุ่มกลับได้ยินเสียงแปลกๆที่ดังมาจากห้องนอนของเพื่อนรัก พงศธรขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะเอื้อมมือผลักประตูให้เปิดออกเล็กน้อยอย่างไม่แน่ใจในความคิดของตน

   ภาพเบื้องหน้าที่สะท้อนเข้าสู่สายตาทำให้พงศธรแทบกลั้นหายใจ ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตา เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายสองคนที่กำลังกอดรัดและร่วมรักกันอย่างสุขสมเบื้องหน้าก็คือเพื่อนสนิทกับเจ้านายของตน มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน? เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นแล้วค่อยๆใช้มือดึงบานประตูห้องที่เปิดแง้มไว้ให้ปิดลงตามเดิม ก่อนที่จะเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างเงียบเชียบด้วยสมองที่ยังคงอื้ออึงกับสิ่งที่ได้เห็นเมื่อครู่นี้




   พงศธรมาเยี่ยมศรารัตน์ที่โรงพยาบาล ชายหนุ่มมองร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความสงสารจับใจ ศรารัตน์ไม่น่าจะมาเจอเรื่องแบบนี้เลย ทั้งเรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของนภัทรกับพี่ชายของเธอเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเฝ้ามองเธออย่างเงียบๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าศรารัตน์ชอบนภัทรมากเพียงใด ตลอดเวลาที่อยู่กับเขา หญิงสาวกลับชอบเอ่ยถึงแต่นภัทร ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเพื่อนของเขา ศรารัตน์จะให้ความสำคัญกับมันเสมอจนบางครั้งเขาเองยังแอบอิจฉานภัทรอยู่ลึกๆ

   พงศธรไล้ฝ่ามือไปตามใบหน้าของศรารัตน์ที่ซีดเซียวจนแทบไม่มีเลือดฝาด ในใจก็นึกว่าถ้าหากตอนนี้หญิงสาวได้รู้ว่านภัทรคนที่เธอหลงรักมาตลอดดันไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบผิดธรรมชาติกับวิศรุตพี่ชายแท้ๆของเธอ ศรารัตน์จะรู้สึกเสียใจแค่ไหนกันนะ เธอจะรับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้หรือเปล่า แล้วเธอจะยังทำใจรักนภัทรต่อไปได้อีกไหม ตอนนี้พงศธรไม่กล้าคิดเลยจริงๆ

   หลังจากเยี่ยมอาการศรารัตน์ได้สักครู่หนึ่ง พงศธรก็ตั้งใจจะไปหานภัทรที่ห้องทำงานของฝ่ายนั้น แต่ก่อนที่จะออกไปชายหนุ่มไม่ทันได้สังเกตเลยว่านิ้วมือของศรารัตน์มีการกระดิกตอบสนองเล็กน้อย




   “อ้าวไอ้พงษ์ วันนี้ว่างเหรอ ทำไมมาถึงที่นี่ได้วะ?” นภัทรถามพร้อมรอยยิ้มเมื่อพบว่าคนที่เข้ามาในห้องทำงานเขาคือเพื่อนรักของตน ปกติพงศธรไม่ค่อยได้มาหาเขาที่โรงพยาบาลมากนัก ส่วนมากจะนัดเจอกันข้างนอกมากกว่า คุณหมอหนุ่มงุนงงกับท่าทีที่แปลกไปของอีกฝ่ายก่อนจะถามขึ้นว่าเอาแกแฟไหม? แต่พงศธรก็ส่ายหน้าแล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง

   “แกรู้เรื่องโครงการบ้านจัดสรรของทัดเทวาที่โดนไฟไหม้แล้วใช่ไหม?” นภัทรพยักหน้าก่อนบอกว่าเห็นแล้วเพราะข่าวลงพาดหัวใหญ่หน้าหนึ่งเลยทีเดียว โดยเขาเพิ่งจะรู้เมื่อเช้านี้เอง

   “ที่ฉันโทรไปหาแกเมื่อคืนก็เพราะเรื่องนี้แหล่ะ ตอนนั้นที่เกิดเรื่องฉันติดต่อวินไม่ได้เลย แต่ก็โชคดีที่แกอยู่กับวิน” พงศธรยิ้มแต่หน้ายังคงนิ่งสนิทพร้อมกับพูดต่อไปเรื่อยๆ “ฉันคิดว่าเรื่องนี้รอไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจไปหาแกที่บ้านเมื่อคืน”

   นภัทรอึ้งไปซักพักก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ฉันไม่รู้ว่าแกมาที่บ้านด้วย” พงศธรจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก ก่อนจะเอ่ยช้าๆแต่ทว่าชัดเจน

   “ฉันกดออดแต่แกไม่มาเปิดประตู ก็เลยปีนรั้วเข้าไปแทน แต่แกกับวินไม่ได้อยู่ที่ห้องรับแขก ฉันก็เลยขึ้นไปหาที่ชั้นสอง”

   “แกเห็น...” นภัทรมือเย็นเฉียบ ก่อนใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นไร้สีเลือดเมื่อพงศธรพยักหน้ารับว่าสิ่งที่นภัทรคิดนั้นถูกต้องแล้ว

   “ฉันเห็นแกกับวินสองคนกำลัง เอ้อ ทำอะไรกัน” ความเงียบเข้าปกคลุมห้องทำงานทันทีที่พงศธรพูดจบ นภัทรไม่รู้ว่าตอนนี้ตนควรแสดงสีหน้ายังไง และในใจก็ยิ่งกลัวกับสิ่งที่ตนกำลังคิดอยู่ลึกๆ

   “แกรังเกียจฉันหรือเปล่า?” นภัทรถามถึงเรื่องที่เขาไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน

   “เปล่าหรอก เราเป็นเพื่อนกันมานาน ฉันไม่มีเหตุผลที่จะรังเกียจแกเลยไอ้กานต์ เพียงแต่ตอนนี้ฉันแค่ยังทำตัวไม่ถูก” พงศธรเองก็ตอบไม่ได้ว่าตนควรจะรู้สึกยังไงเพราะเรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วจนเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน

   บรรยากาศรอบตัวทั้งคู่มีแต่ความเงียบอีกครั้ง ทั้งคู่ต่างจมอยู่กับภวังค์ความคิดของตัวเอง แต่แล้วเสียงเคาะประตูห้องทำงานของนภัทรก็ดังขึ้นทำลายความเงียบนั้น คุณหมอหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาได้

   “คุณหมอคะ ตอนนี้คนไข้ห้อง517 เริ่มมีอาการตอบสนองแล้วค่ะ” เมื่อพยาบาลพูดจบ นภัทรก็เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางพงศธรที่มองมาที่ตนเช่นกัน...ห้อง517…ศรารัตน์





   วิศรุตเดินหน้าเครียดออกจากห้องประชุมบอร์ดบริหาร ชายหนุ่มเพิ่งรู้เรื่องไฟไหม้โครงการบ้านจัดสรรของทัดเทวาเมื่อเช้านี้เอง และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาต้องเข้าประชุมด่วนกับบรรดาผู้บริหารตลอดทั้งบ่ายเพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหานี้ เดิมทีเขาตั้งใจที่จะใช้โครงการนี้พิสูจน์ฝีมือของตนให้บรรดาผู้ถือหุ้นและกรรมการบริหารบริษัทได้เห็น แต่สุดท้ายมันกลับมาล้มอย่างไม่เป็นท่า เหตุเพราะมาจากอุบัติเหตุหรือไม่ก็การลอบวางเพลิงที่ตำรวจเองก็ยังต้องสืบสวนต่อไป ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า ตอนเช้าเขาต้องไปให้การกับตำรวจเรื่องการถูกลอบฆาตกรรมเมื่อคืนก่อน ส่วนตอนบ่ายก็ต้องมารับมือกับปัญหาเรื่องไฟไหม้อีก ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เขาจะต้องเจออะไรอีกบ้าง

   “ถึงกับถอนหายใจยาวเลยเหรอหลานรัก?” เสียงวันชัยที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้วิศรุตหันกลับไปมองอย่างไม่ชอบใจนัก “เจอแค่นี้ถึงกับหมดสภาพเลยทีเดียว” ชายหนุ่มกัดฟันแน่นทนฟังคำถากถางของผู้เป็นอา หลักฐานเรื่องการยักยอกเงินที่เขามีตอนนี้ยังอ่อนเกินไปที่จะเอาผิดกับวันชัยและภาคิน ทำให้ทั้งคู่ดิ้นหลุดไปได้ ถึงแม้ว่าภาคินจะต้องรับผิดชอบกับยอดเงินในฐานะผู้จัดการฝ่ายการเงินที่ต้องโดนลงโทษโดยการพักงานก็ตาม แต่วันชัยผู้เป็นพ่อก็ได้กลับเข้าสู่ตำแหน่งงานตามปกติ วิศรุตมองยิ้มเหี้ยมเกรียมของคนตรงหน้าที่มีศักดิ์เป็นอาแท้ๆของตนแล้วสังหรณ์ใจ

   “อย่าบอกนะว่าอาอยู่เบื้องหลังเรื่องไฟไหม้แล้วก็เรื่องที่ผมถูกตามฆ่าเมื่อคืนนี้?” วันชัยยังคงยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร ซึ่งนั่นก็ทำให้วิศรุตเดาได้ทันทีว่าคำตอบก็คือใช่ ชายหนุ่มกำหมัดแน่นด้วยความแค้นก่อนจะบอกว่าถ้าหากตนหาหลักฐานได้เมื่อไหร่รับรองว่าจะไม่ปล่อยอากับไอ้ภาคินเอาไว้แน่

   “ถ้าอย่างนั้นก็รีบๆไปหาหลักฐานมาเถอะ ต่อให้หาจนตายก็ไม่แน่ว่าจะหาเจอหรือเปล่า” วันชัยหัวเราะร่วนก่อนจะจ้องหน้าวิศรุตแล้วพูดเน้นเสียง “ฉันไม่หยุดแค่นี้แน่และที่สำคัญก็คือความลับของเธอที่ซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ ระวังเอาไว้เถอะว่าวันหนึ่งมันจะถูกเปิดเผย”

   “อาตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่?” วันชัยไม่ตอบคำถามนั้นแต่กลับเดินจากไปด้วยความสะใจ ทิ้งให้วิศรุตงงกับคำพูดของฝ่ายนั้น ความลับอะไรกัน?

   “ท่านประธานคะ” วิศรุตหันไปตามเสียงเรียกของคุณอิงอร เลขาส่วนตัวที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา ตอนนี้เขาย้าย
เมริษาไปทำแผนกอื่นแทนการเป็นเลขาให้เขาโดยให้เหตุผลว่าคุณอิงอรเลขาคนเดิมหายดีและกลับมาทำหน้าที่ต่อได้แล้ว ทั้งที่ความจริงก็คือวิศรุตไม่ต้องการให้ผู้หญิงอันตรายอย่างเมริษาเข้าใกล้เพื่อล้วงความลับจากเขาอีกต่อไปเพราะแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วจริงๆ

   “มีอะไรครับคุณอิงอร ผมต้องเข้าประชุมอะไรต่อหรือเปล่า?”

   “ไม่มีประชุมแล้วค่ะ เพียงแต่ตอนท่านประธานเข้าประชุมอยู่ ทางโรงพยาบาลโทรมาบอกว่าตอนนี้คุณศรารัตน์รู้สึกตัวแล้วค่ะ”





   เมื่อรู้ว่าจากอิงอรว่าศรารัตน์ฟื้นแล้ว วิศรุตจึงรีบมาที่โรงพยาบาลทันที ชายหนุ่มเปิดประตูเข้ามาในห้องก่อนจะพบว่านอกจากศรารัตน์ที่กำลังอยู่ในอิริยาบถกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงแล้ว ในห้องยังมีนภัทรกับพงศธรอยู่ด้วย

   “ฟื้นแล้วเหรอศรา เป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” วิศรุตปราดเข้าไปข้างเตียงแล้วยกมือของผู้เป็นน้องสาวมากุมเอาไว้ ใบหน้าชายหนุ่มประดับยิ้มด้วยความยินดีที่เห็นว่าศรารัตน์ฟื้นแล้วจริงๆแม้ว่าเจ้าตัวจะยังมีท่าทางอิดโรยและซูบซีดก็ตาม

   ศรารัตน์จับจ้องมองผู้มาใหม่อย่างเย็นชาก่อนจะค่อยๆดึงมือออกจากการเกาะกุมของมือใหญ่ ท่าทีเย็นชาของหญิงสาวทำให้วิศรุตอึ้งไปเล็กน้อยก่อนเจ้าตัวจะปั้นยิ้มแล้วพูดต่อ

   “นอนหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราไปตั้งนาน ทิ้งงานที่บริษัทให้ฉันรับผิดชอบจนกองแฟ้มงานจะทับตัวฉันแล้วเนี่ย”

   “นายคงผิดหวังล่ะสิที่ฉันยังไม่ตาย” ศรารัตน์เอ่ยขึ้นมาเบาๆแต่ทว่าเจือด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเย็นชาอย่างชัด    เจนจนแม้แต่นภัทรกับพงศธรก็ยังตกใจ

   “เธอพูดอะไรของเธอ ฉันจะอยากให้เธอตายทำไมกัน?”

   “นายก็รู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องอะไร” ศรารัตน์ปรายตามองไปที่นภัทรแวบหนึ่ง ซึ่งพงศธรก็สังเกตเห็นสายตานั้นเช่นกัน ชายหนุ่มยิ่งปวดหนึบที่หัวใจ นภัทรอีกแล้วเหรอ?

   “ว่าแต่ทำไมอยู่ดีๆคุณศราถึงประสบอุบัติเหตุได้ล่ะครับ?” พงศธรรีบเปลี่ยนประเด็นทันทีเมื่อเห็นสีหน้าแปลกๆของทั้ง
นภัทรและวิศรุต

   “คืนนั้นฉันขับรถเร็วมากน่ะค่ะ มารู้อีกทีก็เบรกไม่อยู่ซะแล้ว จากนั้นก็ไม่รู้ตัวอีกเลย” ศรารัตน์เลือกที่จะไม่บอกพงศธรว่าที่เธอขับรถออกจากบ้านด้วยความรวดเร็วแบบนั้นเพราะเหตุผลอะไรซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ แต่คนที่พูดแทนคือวิศรุต

   “เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเธอมันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการวางแผนฆาตกรรม” สีหน้าศรารัตน์มีแววตื่นตระหนกเมื่อได้ฟังคำพูดนั้น ชายหนุ่มสันนิษฐานต่อ “ฉันเดาว่าต้องเป็นฝีมือของสองพ่อลูกคู่นั้นแน่”

   “แล้วเค้าจะทำไปเพราะอะไรล่ะ?” พงศธรถาม ศรารัตน์ก็มองหน้าวิศรุตอย่างต้องการคำตอบเช่นกัน

   “ก็คงเพราะยัยศราไปเปิดโปงแผนยักยอกเงินบริษัทล่ะสิ” สีหน้าของศรารัตน์มีแววเคร่งเครียดขึ้นมาทันที นภัทรถอนหายใจเฮือกก่อนจะพูดตัดบทเพราะไม่อยากให้คนไข้ของตนเกิดความเครียดในตอนนี้ อีกอย่างศรารัตน์เองก็ยังเพิ่งจะฟื้นจากการเป็นเจ้าหญิงนิทรามานาน การต้องมารับรู้เรื่องหนักๆอาจจะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของเธอได้

   “ฉันเรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยต่อวันหลังเถอะ ตอนนี้ขอให้คุณศราได้พักผ่อนก่อน ร่างกายเธอยังไม่ฟื้นตัว ฉันไม่อยากให้เธอคิดเรื่องเครียดๆน่ะ” ทั้งพงศธรและวิศรุตต่างก็พยักหน้าก่อนทั้งสามคนจะขอตัวกลับ ศรารัตน์ยิ้มบางๆให้กับนภัทรและพงศธรแต่กลับมีท่าทีเฉยชากับวิศรุตจนอีกฝ่ายถึงกับสะอึกเพราะไม่คิดว่าศรารัตน์จะโกรธจนถึงกับไม่ยอมมองหน้าตนเลย




   “เดี๋ยวก่อนวิน” นภัทรเรียกขึ้นเมื่อทั้งสามคนออกมาจากห้องพักผู้ป่วยแล้ว วิศรุตหันไปประจันหน้ากับคนเรียกก่อนจะส่งสายตาเป็นเชิงถามว่ามีอะไร คุณหมอหนุ่มอึกอักเล็กน้อยก่อนจะเหลียวหน้าไปมองพงศธรที่ยืนอยู่ด้วยกันซึ่งฝ่ายนั้นก็เข้าใจดีว่านภัทรคงมีเรื่องอยากจะคุยกับวิศรุตตามลำพัง ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากขอตัวกลับก่อน

   นภัทรมองตามหลังพงศธรที่เดินไปไกลแล้วก่อนจะหันมาพูดกับวิศรุตที่ยังยืนอยู่ที่เดิม “เรื่องที่บริษัทเป็นยังไงบ้าง? เมื่อคืนนี้ที่ไฟไหม้โครงการบ้านจัดสรรของบริษัทนาย”

   “ก็หนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่เท่าไหร่หรอกถ้าเทียบกับเรื่องของศรา” วิศรุตสบตาสีดำสนิทของอีกฝ่ายแล้วพูดต่อ ในน้ำเสียงเจือไว้ด้วยความเสียใจอย่างปิดไม่มิด “เมื่อกี้นายเห็นหรือเปล่าที่ศราพูดประชดฉันเรื่องที่อยากให้เธอตาย? แถมยังทำท่าทางเย็นชาแบบนั้นใส่ฉันอีก หน้าฉันยังไม่อยากจะมองเลย”

   “ฉันว่านายเองควรจะให้เวลาคุณศราหน่อย นายก็รู้นี่นาว่าเรื่องแบบนี้มันก็ทำใจให้ยอมรับลำบากนะ” นภัทรหมายความถึงเรื่องที่ศรารัตน์รู้ว่าวิศรุตชอบเพศเดียวกันแถมยังมาชอบเขาอีกด้วย

   “ฉันรู้ แต่นิสัยศราเป็นคนใจแข็ง ฉันกลัวว่าเธออาจจะไม่มีวันยอมรับแล้วก็ไม่มีวันให้อภัยฉันเลย” จากน้ำเสียงของ
คนตรงหน้าทำให้นภัทรรู้สึกเศร้าไปด้วย คุณหมอหนุ่มกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะปลอบ

   “เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง ฉันเชื่ออย่างนั้นนะ” นภัทรลูบหลังมือเบาๆอย่างให้กำลังใจ วิศรุตสบตาอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่หลากหลายทั้งรู้สึกอบอุ่นและอยากขอบคุณในเวลาเดียวกัน

   “วันนี้นายจะค้างที่ไหน?” นภัทรถามขึ้นเสียงเบา วิศรุตสังเกตผ่านแว่นเลนส์บางของอีกฝ่ายก่อนจะพบว่าในดวงตาสีถ่านคู่นั้นมีแววไหววูบและพราวระยับอย่างประหลาด ชายหนุ่มยกยิ้มบางก่อนจะบอกว่าวันนี้ตนคงทำงานอยู่ที่บริษัทจนถึงค่ำๆจึงจะกลับ

   “ถ้าอยากเจอก็ไปหาฉันที่คอนโดก็แล้วกัน” วิศรุตล้วงกุญแจห้องที่คอนโดออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วส่งให้อีกฝ่ายที่รับไปพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน

   “คืนนี้เจอกัน” นภัทรพูดเสียงค่อยจนเกือบกระซิบที่ข้างหูวิศรุตก่อนเจ้าตัวจะเดินผละไปจากตรงนั้น ทิ้งให้อีกคนมองตามด้วยจิตใจที่พองโตจนคับอก ทว่าซอกมุมที่อยู่ลึกเข้าไปนั้นกลับเต็มไปด้วยความสงสัยไม่แน่ใจ ด้วยเพราะวิศรุตไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองไปมากกว่านี้ เขาอยากจะได้ยินชัดๆจากปากของนภัทรโดยตรงมากกว่าแค่การคิดไปเองฝ่ายเดียว



จบบทที่ 26

ปล. ศราฟื้นแล้ว มาม่าตามมาอีกเป็นกระบุงแน่นอน เตรียมตัวให้พร้อมเน้อออ ^ ^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่26
« ตอบ #79 เมื่อ: 04-08-2012 09:14:34 »





ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่27
«ตอบ #80 เมื่อ04-08-2012 09:29:01 »

บทที่ 27


   นภัทรละมือจากการอ่านฟิล์มเอกซ์เรย์คนไข้เมื่อเห็นว่าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานดังขึ้น ชายหนุ่มเดินไปหยิบมาดูและเห็นว่าหน้าจอขึ้นชื่อว่าวิศรุตโทรเข้ามา คุณหมอหนุ่มกดรับทันทีก่อนจะกรอกเสียงลงไป

   “ฮัลโหล มีอะไรเหรอวิน?”

   “คืนนี้ว่างหรือเปล่า?” วิศรุตเว้นจังหวะไปเล็กน้อยก่อนจะพูดเข้าประเด็นถึงจุดประสงค์ที่ตนโทรมา “ไปกินข้าวกันไหม?” นภัทรอมยิ้มก่อนจะถาม

   “โอกาสพิเศษอะไรล่ะ?”

   “วันคล้ายวันเกิดของนายไง” คำตอบของวิศรุตทำให้คนฟังยิ้มกว้างพร้อมถามว่ายังจำวันเกิดของตนได้อยู่อีกเหรอ? วิศรุตหัวเราะน้อยๆก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง “วันเกิดของนายทั้งที จะลืมได้ยังไงล่ะ” เขาไม่เคยลืมวันเกิดของนภัทรเลย สมัยตอนเรียนทุกปีที่ครบรอบวันเกิดของนภัทร เขาอยากจะให้ของขวัญฝ่ายนั้นเหมือนอย่างเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆบ้าง แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่กล้าอยู่ดีนั่นแหล่ะ

   หลังจากต่อปากต่อคำกับวิศรุตสองสามประโยค คุณหมอหนุ่มก็ถามถึงสถานที่นัดพบซึ่งวิศรุตก็บอกชื่อโรงแรมแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมืองและนัดเวลาให้แน่นอนก่อนที่จะวางสายไป




   ตอนประมาณสามทุ่ม นภัทรไปที่โรงแรมตามที่วิศรุตบอก พนักงานต้อนรับพาชายหนุ่มขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นดาดฟ้าของตึกก่อนจะเดินนำไปยังลานกว้างที่รอบๆดาดฟ้าในตอนนี้ถูกประดับตกแต่งด้วยเทียนหอมมากมาย ที่ใจกลางของลานนั้นมีโต๊ะอาหารสำหรับสองที่ตั้งอยู่และวิศรุตเองก็กำลังนั่งรอเขาอยู่เงียบๆ

   บริกรขยับเก้าอี้ให้นภัทรนั่งลง ก่อนจะล่าถอยไปยืนรอรับคำสั่งอยู่ห่างๆ นภัทรมองไปรอบตัวอย่างชอบใจระคนแปลกใจ ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้เองว่ามีแกรนด์เปียโนตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งที่ตนนั่งมากนัก วิศรุตมองสีหน้า
นภัทรที่เต็มไปด้วยความสงสัยก่อนถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง

   “ฉันลงทุนเหมาสกายบาร์ของโรงแรมนี้ทั้งชั้นเลยนะ ชอบหรือเปล่า?” นภัทรหันมายิ้มให้แล้วก็บอกว่าอันที่จริงไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ เพราะท่าทางวิศรุตคงจะสิ้นเปลืองไปกับงานนี้เยอะพอดู “ฉันแค่อยากทำให้นายพอใจ” คำพูดของฝ่ายนั้นทำให้นภัทรต้องหลบตา

คุณหมอหนุ่มมองไปรอบตัวอีกครั้ง สกายบาร์ของโรงแรมนี้เป็นห้องอาหารกลางแจ้งแบบเปิดโล่ง ทำให้ในยามค่ำคืนสามารถที่จะเห็นวิวใจกลางมหานครกรุงเทพฯที่เต็มไปด้วยแสงสีของความทันสมัยได้อย่างชัดเจน ห้องอาหารที่หรูหราระดับนี้ท่าทางจะแพงมาก การที่วิศรุตยอมปิดเหมาทั้งชั้นแบบนี้แสดงว่าอีกฝ่ายคงเตรียมเอาไว้เพื่อเขาจริงๆ นภัทรมองวิศรุตเต็มตาก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายก็มองมาเช่นกัน

   “ฉันให้เขาเตรียมอาหารเอาไว้ให้แล้ว อาหารที่นี่อร่อยหลายอย่าง รับรองว่านายจะต้องติดใจแน่นอน” วิศรุตหันไปส่งสัญญาณให้บริกรนำอาหารขึ้นเสิร์ฟ จากนั้นอาหารหน้าตาน่ารับประทานหลายชนิดก็ทยอยถูกส่งขึ้นมาบนโต๊ะจนหมด ก่อนที่บริกรอีกคนจะเดินเข้ามารินไวน์ให้กับแขกวีไอพีทั้งสอง

   หลังจากที่ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว วิศรุตก็ทำสัญญาณให้บริกรทั้งหมดออกไปจากสกายบาร์ได้ ตอนนี้ชายหนุ่มต้องการความเป็นส่วนตัวเพื่ออยู่กับนภัทรเพียงสองคนเท่านั้น ทั้งคู่นั่งทานอาหารกันอย่างเงียบๆท่ามกลางแสงเทียนและบรรยากาศยามค่ำคืนที่แสนจะโรแมนติค

   “ลองทานนี่ดูสิ” วิศรุตพูดพร้อมกับตักกุ้งแม่น้ำตัวโตใส่จานให้นภัทร “กุ้งแม่น้ำย่างซอสเทอริยากิเป็นอาหารขึ้นชื่อของ ที่นี่เลยนะ” คุณหมอหนุ่มเอ่ยขอบคุณเบาๆ ดูเหมือนว่าวันนี้วิศรุตจะตั้งอกตั้งใจเอาใจเขาเป็นพิเศษ ซึ่งนั่นก็ทำให้นภัทรรู้สึกเต็มตื้นในใจอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มมองวิศรุตนิ่งด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวันหนึ่งเขากับวิศรุตจะกลับกลายจากคนที่ไม่ชอบหน้ามาเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแบบนี้ อันที่จริงเขาควรจะนึกรังเกียจและปฎิเสธในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ทำไม่ได้ด้วยเพราะลึกลงไปในใจแล้วนภัทรเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าความรู้สึกไหววูบที่ตนกำลังเผชิญอยู่มันคืออะไรกันแน่ บางทีอาจเป็นเพราะเขารักวิศรุตขึ้นมาจริงๆ

   “มองอะไรเหรอ?” วิศรุตถามเมื่อเห็นว่านภัทรไม่ยอมถอนสายตาไปจากใบหน้าของตนเสียที ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายทักขึ้นมาก็ทำเอาคุณหมอหนุ่มหลุดจากภวังค์ก่อนรีบปฎิเสธว่าไม่มีอะไร โชคดีที่วิศรุตไม่ถามซักไซ้ต่อ ไม่อย่างนั้นเขาเองก็คงไม่รู้ว่าจะตอบคำถามอีกฝ่ายว่าอย่างไรเช่นกัน

   หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ววิศรุตก็สั่งให้บริการจัดการเก็บโต๊ะให้เรียบร้อย ระหว่างรอเก็บโต๊ะ นภัทรหันไปมองรอบตัวอีกครั้งอย่างต้องการซึมซับบรรยากาศยามค่ำคืน ชายหนุ่มไม่ได้กินเลี้ยงวันเกิดมื้อหรูหราแบบนี้บ่อยครั้งนัก เพราะว่าเมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดของตนทีไร ชายหนุ่มก็จะแค่ทำบุญใส่บาตรกับครอบครัวในตอนเช้าและทานอาหารเย็นร่วมกันเท่านั้น แต่ปีนี้พิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมาเพราะ...วิศรุต

   “วันเกิดของฉันทั้งที นายจะไม่ให้อะไรเป็นของขวัญหน่อยเหรอไง?” คุณหมอหนุ่มพูดเสียงกระเซ้า ที่จริงเขาไม่ได้ต้องการของขวัญมีค่าจากวิศรุตหรอกเพราะที่อีกฝ่ายทำให้เขามันก็มากจนเกินพอแล้ว

   วิศรุตยิ้มกับอาการทวงของขวัญของคุณหมอหนุ่มก่อนจะแกล้งถาม “แล้วนายอยากได้อะไรล่ะ?”

   “ให้อะไรมาฉันก็ชอบทั้งนั้นแหล่ะ” คำพูดของนภัทรเรียกความอุ่นวาบให้กับใบหน้าหล่อเหลาของวิศรุต ชายหนุ่มหันไปมองยังแกรนด์เปียโนใกล้ๆนั้นก่อนจะหันมองหน้านภัทร ดวงตาโศกสีน้ำตาลจ้องลึกลงไปในดวงตาสีดำสนิทราวถ่านแล้วเอ่ย

   “อันที่จริง ฉันก็มีบางอย่างที่อยากจะให้นายเหมือนกัน” นภัทรมองตามวิศรุตเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเบนสายตาไปยังด้านหลังตน ชายหนุ่มเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าที่นี่ยังมีเปียโนตั้งอยู่ด้วยหนึ่งหลัง นภัทรหันกลับมายังวิศรุตอีกครั้งด้วยใบหน้า ที่เต็มไปด้วยคำถามซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบแต่กลับเดินไปยังเปียโนสีขาวแล้วนั่งลง ตอนนี้คุณหมอหนุ่มพอจะเดาออกแล้วว่าวิศรุตจะให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดเขา

   “ฉันอยากจะเล่นเพลงนี้ให้เป็นของขวัญแด่นาย...ผู้ชายที่ฉันรักจนหมดหัวใจ” วิศรุตยิ้มก่อนจะเริ่มเล่นเพลง Falling for you again* พร้อมกับร้องคลอไปกับทำนองด้วย ถึงแม้ว่าเสียงของฝ่ายนั้นจะไม่ได้ไพเราะถึงขั้นนักร้องมืออาชีพ แต่เพลงนี้ก็ทำให้นภัทรถึงกับยิ้มออกมาได้แบบไม่รู้ตัว

http://www.youtube.com/watch?v=H3Dczqg0bME (ฟังไปด้วยจะได้อารมร์มากกว่าเดิมค่ะ อิอิ)

There’s this one song that I sang once for you.

But can you still reminisce it like I do?

Night turns to day as time takes its own turn

but I'm still hanging on to those words


* That speaks of love oh so deep that makes my heart weep

and still makes my day every time I start singing it

Do you remember when we first met long ago?


** I cherish this song just like a gift.

To let you know my heart won’t ever drift … far away

Even though years may pass,

and my love for you is here to last

through heaven’s gate or hell’s wrath

I won't ever ever give it up, yes it's true.

There could just be an only you

my only you and you alone

that my heart really truly belong

I pledge my life to, to love you

without asking anything in return.


As time turns its page and seasons may change

It can turn around those feelings inside

as Night turns to day as time takes its own turn

but I'm still hanging on to those words


All I want is to spend all my life loving you

I just wanna grow old with you

I love you....


…Forever I’ll save my heart just for you…


(*เพลง Falling For You Again ของแชมป์ ศุภวัฒน์ ; Loveis)


“ขอบคุณนะ” นภัทรเอ่ยเบาๆเมื่อวิศรุตเล่นจนจบเพลง เนื้อหาในเพลงนี้สื่อความรู้สึกในใจของวิศรุตได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงไรแต่ความรู้สึกที่วิศรุตที่มีต่อเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

   “นายอยากจะลองเล่นดูสักเพลงไหมล่ะ?” วิศรุตเงยหน้าจากเปียโนแล้วถามนภัทรที่ยืนอยู่ใกล้ๆกัน

   “ไม่ล่ะ ฉันเล่นดนตรีไม่เป็น” คุณหมอหนุ่มพูดเก้อๆในขณะที่วิศรุตขำพรืด “นี่นายขำอะไรเนี่ย?” นภัทรอดสงสัยไม่ได้ว่าการที่เขาเล่นดนตรีไม่เป็น ทำไมมันน่าหัวเราะมากขนาดนั้นเลยเหรอ? วิศรุตจึงขำแบบเอาเป็นเอาตายเช่นนี้

   “ป่าวหรอก ฉันแค่นึกว่านายคงไม่ค่อยได้สนใจเรื่องดนตรีเท่าไหร่ ฉันเห็นมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว วันๆนายเอาแต่บ้าอ่านตำราอยู่นั่นแหล่ะ นอกจากเล่นกีฬากับอ่านหนังสือแล้วฉันไม่เห็นว่านายจะสนใจทำอย่างอื่นเลย สงสัยว่าเครื่องดนตรีที่นายเล่นได้ก็คงมีแต่พวกตีฉิ่งล่ะมั๊ง” พูดจบวิศรุตก็อดขำอีกไม่ได้ ชายหนุ่มมองนภัทรที่เริ่มหน้าแดงเพราะคำพูดของเขา เพื่อนๆสมัยมัธยมต่างก็รู้ดีว่านภัทร อิสรีย์ที่เก่งแสนเก่งคนนี้ มีจุดบอดเพียงอย่างเดียวก็คือเรื่องดนตรีเนี่ยแหล่ะ เครื่องดนตรีที่ฝ่ายนั้นพอจะเล่นได้ก็มีแค่การตีฉิ่งประกอบจังหวะเท่านั้น แต่บางครั้งนภัทรก็ยังตีคร่อมจังหวะอยู่เลย

   “หนอยแน่ นี่นายดูถูกฉันมากไปแล้วนะ อย่างนี้ต้องโดนจัดการซะให้เข็ด มานี่เลย” นภัทรแกล้งตีหน้ายักษ์ดุอีกฝ่ายที่ยังหัวเราะไม่หยุดพร้อมกับถลาเข้าหาวิศรุตอย่างต้องการจะจับฝ่ายนั้นมาทำโทษให้ได้จริงๆ

   “จ้างให้ก็จับไม่ได้หรอกหน่า” วิศรุตยิ้มยั่วก่อนจะรีบวิ่งหนีไปจากเปียโนทันที เขาไม่ยอมให้ฝ่ายนั้นจับได้ง่ายๆหรอก

   ทั้งคู่วิ่งเล่นไล่จับกันเหมือนเด็กๆ ใบหน้าของนภัทรและวิศรุตต่างก็ประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้ทั้งคู่ลืมเลือนหมดทุกอย่างว่าตัวเองเป็นใครและกำลังทำอะไรกันอยู่ ไม่มีทั้งศัลยแพทย์หนุ่มชื่อดังอนาคตไกล ไม่มีทั้งนักธุรกิจอสังหาฯรายใหญ่ของประเทศ จะมีก็เพียงแค่ชายหนุ่มสองคนที่กำลังเล่นหยอกล้อกันภายใต้ท้องฟ้าที่สุกสกาวไปด้วยดวงดาวยามค่ำคืนเท่านั้น

   “เฮ้อ ไม่ยักรู้ว่าไล่ตามจับนายแล้วมันเหนื่อยอย่างนี้” นภัทรหอบหายใจแบบหมดแรง ในที่สุดเขาก็จับฝ่ายนั้นได้ คุณหมอหนุ่มฉุดมือวิศรุตให้นอนแผ่ยังพื้นปูนซีเมนต์แข็งๆของดาดฟ้าเหมือนกันกับตน

   “เข้าใจแล้วหรือยังล่ะว่าการต้องไล่ตามนายมันเหนื่อยแค่ไหน” คำพูดแฝงนัยของวิศรุตทำให้นภัทรพูดไม่ออก เมื่อเห็นว่าคุณหมอเงียบไป วิศรุตจึงแกล้งเปลี่ยนเรื่องพูดเพราะถึงยังไงวันนี้ก็เป็นวันเกิดของนภัทร เขาเองก็ควรจะทำให้นภัทรมีความสุขมากที่สุดไม่ใช่มัวแต่เอาเรื่องเก่าๆมากระแนะกระแหนฝ่ายนั้น “เอ้อ ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะถามนายตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีโอกาสเสียที” นภัทรเหลียวหน้ามาถามว่าเรื่องอะไร? วิศรุตมองตอบอย่างลังเลแต่ในที่สุดก็ยอมถามถึงสิ่งที่ยังคาใจอยู่

   “ตอนที่ฉันไปห้องนายวันนั้น ฉันเห็นบนโต๊ะอ่านหนังสือมีรูปตอนเด็กของนายที่ถ่ายคู่กับเด็กผู้หญิงอีกคน ฉันก็เลยอยากจะรู้ว่าเธอ เอ้อ เป็นใครเหรอ?” ท้ายประโยควิศรุตถามอ้อมแอ้มแบบไม่เต็มเสียง ส่วนนภัทรก็ขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบ
นิ่งจนคนฟังเดาอารมณ์ไม่ถูก

   “นายหึงเหรอไง?”

   “ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ฉันมีสิทธิ์ที่จะหึงหวงนายด้วยเหรอ?” คำพูดนี้หลุดออกจากปากของวิศรุตอย่างรวดเร็วราวกลับเป็นเรื่องที่ชายหนุ่มคิดใคร่ครวญเอาไว้แล้วหลายรอบก่อนที่จะพูดออกมาแบบไม่ต้องเปลืองเวลาคิดเช่นนี้ นภัทรถอนใจเฮือกเมื่อมองเห็นเค้าความน้อยใจเล็กๆผ่านแววตาสีน้ำตาลโศกคู่นั้นก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว

   “ฉันไม่ได้อยากจะให้นายรู้สึกแบบนั้น”

   “ช่างมันเถอะ ว่าแต่นายจะบอกฉันได้หรือเปล่าว่าเธอคนนั้นเป็นใคร?” นภัทรเหลียวหน้ามาสบตาวิศรุตก่อนตัดสินใจเล่าในที่สุด

   “น้ำหวานเป็นรักครั้งแรกของฉัน” เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนนั้นชื่อน้ำหวานนั่นเอง วิศรุตคิดในใจในขณะที่นภัทรเล่า ต่อไปเรื่อยๆ

“เรารู้จักกันเพราะบ้านเราสองคนอยู่ไม่ไกลกันนัก ด้วยวัยที่ไล่เลี่ยกันเราทั้งสองจึงเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก  น้ำหวานเป็นคนอ่อนแอและขี้โรคอยู่แล้ว ดังนั้นฉันก็เลยต้องทำหน้าที่ทั้งเพื่อนและพี่ชายในการที่จะดูแลเธอ หลังๆพอโตขึ้นมา และอยู่ในช่วงวัยที่พอจะรู้จักกับความรู้สึกพิเศษบางอย่าง เราทั้งคู่ก็เริ่มจะเข้าใจว่าสิ่งเล็กๆที่กำลังก่อตัวและเติบโตหยั่งรากลึกในใจของเรามันก็คือสิ่งที่เรียกว่าความรักนั่นเอง เราสองคนจึงตัดสินใจคบกันตามประสาวัยรุ่น แถมยังวาดฝันว่าอนาคตเราจะแต่งงานมีความสุขและอยู่กินกันจนแก่เฒ่า แต่แล้ววันหนึ่งน้ำหวานก็ป่วยหนักจนถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล”

   “เธอเป็นอะไร?” วิศรุตถามเสียแผ่วเมื่อเห็นว่านภัทรเงียบไป คุณหมอหนุ่มเงยหน้ามองดาวบนฟ้าพลางยิ้มเศร้า

“หมอบอกว่าเธอป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว ป่วยมานานแล้ว แต่เธอก็เก็บเงียบไว้โดยไม่บอกอาการป่วยของเธอให้ใครได้รับรู้แม้กระทั่งครอบครัวของตัวเอง อาการของน้ำหวานทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว ฉันยังจำได้ดีเลยว่าวันนี้เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ฉันอยู่ม.2 ฉันไปเยี่ยมน้ำหวานที่โรงพยาบาล น้ำหวานที่เคยเป็นเด็กผู้หญิงน่ารักในตอนนั้นกลับซูบซีดลงไปมาก ฉันรู้ดีว่าเธอกำลังพยายามต่อสู้กับโรคร้ายเพื่อรอเวลาที่จะได้เจอกับฉันในวันนั้น...เป็นครั้งสุดท้าย”

   “หมายความว่า...”

   “ในที่สุดเธอก็จากไปในวันนั้นเอง...วันคล้ายวันเกิดของฉัน สิ่งสุดท้ายที่เธอให้ไว้เป็นของขวัญวันเกิดก็คือกรอบรูปพร้อมรูปถ่ายคู่กันของฉันกับน้ำหวาน กรอบรูปที่นายถามถึงนั่นแหล่ะ” ท้ายประโยคนภัทรเหลียวหน้ามาบอกกับวิศรุตที่กำลังมองมาที่ตนด้วยความรู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก

   “จำได้ไหมว่าตอนม.5 เราเคยติดอยู่ในตึกเรียนด้วยกัน ตอนนั้นฉันถามนายว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร นายตอบว่าหมอ พอฉันถามหาเหตุผล นายก็ไม่ยอมบอก เรื่องของน้ำหวานคงจะเป็นเหตุผลที่นายเลือกอยากจะเป็นหมอสินะ” นภัทรพยักหน้ารับก่อนจะบอกว่าเขาอยากใช้ความรู้ความสามารถของตนในการที่จะช่วยชีวิตคนอื่น เพื่อที่จะได้ช่วยต่อลมหายใจให้กับผู้คนจำนวนมาก ให้เขาเหล่านั้นได้มีชีวิตอยู่ต่อไปและอยู่กับคนที่ตัวเองรักได้นานๆ

   “เล่าเรื่องของนายบ้างสิ ทำไมนายถึงเลือกเรียนต่อด้านเศรษฐศาสตร์ ทำไมตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึงไม่เลือกเรียนทางด้านสายวิทยาศาสตร์เหมือนตอนม.ปลายล่ะ?” นภัทรเปลี่ยนเรื่องพูดโดยการเป็นฝ่ายถามวิศรุตกลับบ้าง เรื่องของเขารังแต่จะทำให้เกิดบรรยากาศหดหู่เปล่าๆ

“ก็ฉันคิดว่าเศรษฐศาสตร์มันน่าสนใจดี เรียนแล้วก็ได้อะไรเยอะแยะ แต่เหตุผลจริงๆก็คือฉันไม่ได้ชอบพวกวิชาวิทยาศาตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วน่ะ” วิศรุตยิ้มแหยๆเมื่อคิดถึงพวกวิชาเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยาสมัยม.ปลายที่ตนทำคะแนนได้ย่ำแย่ทุกครั้ง
นภัทรอมยิ้มขำกับท่าทางฝ่ายตรงข้ามก่อนถามว่าถ้าไม่ชอบแล้วจะยอมมาเรียนวิชาพวกนี้ให้เหนื่อยเปล่าทำไมกัน? วิศรุตเปลี่ยนเป็นยิ้มเขินเล็กน้อยก่อนตัดสินใจสารภาพ

   “ที่ฉันลงทุนมาเรียนสายวิทย์ทั้งๆที่เกลียดเคมี ฟิสิกส์ ชีวะอย่างกับอะไรดี ทั้งหมดก็เพราะนายนั่นแหล่ะ” เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของนภัทร วิศรุตก็อธิบายต่อ “คะแนนม.ต้นฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ฉันก็ยังอยากจะเรียนสายวิทย์เพราะอยากจะตามไปอยู่ใกล้ๆนาย ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ชอบอะไรด้านวิทยาศาสตร์นี้เลย เชื่อไหมว่าฉันลงทุนให้พ่อจ้างครูมาสอนพิเศษถึงบ้านเพื่อช่วยติวเพิ่มคะแนนสอบให้ฉันเลยนะ ตอนนั้นยังแอบคิดเลยว่าถ้าคะแนนไม่ถึงสายวิทย์จริงๆ ฉันจะอาศัยเส้นสายของพ่อให้ช่วย” นภัทรส่ายหัวระอากับความคิดของวิศรุตแต่อีกใจหนึ่งก็อดขำไม่ได้ เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าวิศรุตจะยอมทนนั่งเรียนติวไปได้อย่างไรในเมื่อตอนสมัยเรียนวิศรุตไม่เคยจะมีทีท่าสนใจการเรียนเลยซักครั้ง ทั้งหมดนี้ก็เพราะเขางั้นเหรอ?

   “ฉันเองก็ยังแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ในตอนนั้นทำไปได้ยังไง” วิศรุตพูดขึ้นมาราวกับอ่านความหมายจากดวงตาสีถ่านออก
“แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันก็เลือกที่จะทำอย่างนั้นอยู่ดี”

   “ถึงแม้จะรู้ว่าสักวันหนึ่ง เรื่องราวมันจะลงเอยในรูปแบบนี้น่ะเหรอ?” วิศรุตพยักหน้าช้าๆแต่ประกายตาสะท้อนชัดถึงความหนักแน่น เขาไม่มีวันเลิกรักนภัทรเด็ดขาด...ไม่มีวัน

   “แต่ฉันกลับไม่แน่ใจว่านอกจากน้ำหวานแล้ว ตัวเองยังจะสามารถมอบความรู้สึกแบบนั้นให้กับคนอื่นได้อีกหรือ เปล่า” วิศรุตมองนภัทรที่เงียบไป ในใจของชายหนุ่มปวดยอกไปหมดเมื่อได้ฟังคำพูดจากปากฝ่ายนั้น หัวใจของเขากำลังร้องไห้กับความรักที่ยังหาทางออกไม่เจอแต่วิศรุตก็เลือกที่จะซ่อนความขมขื่นไว้ภายใต้รอยยิ้มเมื่อยามอยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย

   “วันเกิดทั้งที ขนาดน้ำหวานยังให้กรอบรูปนายเลย ฉันก็คิดว่าตัวเองสมควรจะให้ของขวัญกับนายบ้างเหมือนกัน” วิศรุตไม่ตอบสีหน้าที่แสดงถึงความงุนงงนั้น ชายหนุ่มบอกให้นภัทรหลับตาแล้วยื่นมือออกมาข้างหน้าซึ่งฝ่ายตรงข้ามก็ทำตามอย่างว่าง่ายทั้งที่ในใจก็ยังไม่รู้ว่าวิศรุตกำลังจะทำอะไรกันแน่

   วิศรุตค่อยๆล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง ของที่อยู่ในมือของชายหนุ่มเป็นแหวนทองคำขาววงหนึ่ง ภายในตัวแหวนเขาได้ให้ช่างสลักอักษรเอาไว้ วิศรุตพลิกมือของอีกฝ่ายให้คว่ำลงก่อนจะค่อยบรรจงสวมแหวนให้กับนภัทรที่ นิ้วนางข้างซ้าย

   “ลืมตาสิ” วิศรุตบอกเมื่อแหวนไปอยู่บนนิ้วมือของนภัทรเรียบร้อยแล้ว “ของขวัญพิเศษสำหรับนายคนเดียว” นภัทร
มองดูแหวนที่นิ้วตนเองอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักแต่คุณหมอหนุ่มก็รับรู้ได้ว่านี่เป็นของขวัญที่อีกฝ่ายตั้งใจจะให้เขาจริงๆ ยิ่งวิศรุตทำดีกับเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดมากเท่านั้น

   “อันที่จริงนายไม่จำเป็นต้องให้ก็ได้”

   “แหวนวงนี้ฉันเลือกเองกับมือ ด้านหลังของแหวนก็สลักเอาไว้เป็นชื่อของนาย ‘กานต์...ผู้เป็นที่รัก’ ดังนั้นถ้านายไม่รับไว้ฉันคงจะเสียใจมาก” นภัทรพูดไม่ออกอีกครั้งด้วยความรู้สึกหลากหลายที่อัดแน่นอยู่ในใจ พลันน้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลออกมา จากดวงตาสีถ่านของตน เป็นน้ำตาของความตื้นตันใจกับความรักที่วิศรุตมอบให้เขามาตลอด13ปีเต็ม

   นภัทรและวิศรุตนอนมองดวงดาวบนฟ้าแล้วกุมมือกันอยู่อย่างนั้นโดยปราศจากคำพูดใดๆ ทั้งคู่ต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง มีเพียงกระแสความอบอุ่นที่ส่งผ่านทางฝ่ามือของคนทั้งคู่และแสงจากลำเทียนที่ยังคงไม่มอดดับไปเท่านั้น



จบบทที่27

ปล. วินลงทุนมากค่ะ อุตส่าห์อดทนเรียนสายวิทย์ทั้งที่ไม่ชอบก็เพื่อ...นภัทร (กานต์...ผู้เป็นที่รัก)

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่28
«ตอบ #81 เมื่อ04-08-2012 09:32:18 »

บทที่ 28

   
ตอนเช้าก่อนไปทำงาน วิศรุตแวะมาเยี่ยมศรารัตน์ตามปกติ อาการโดยรวมของศรารัตน์ดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินได้เพราะเธอหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราไปนานพอสมควร ดังนั้นกล้ามเนื้อขาจึงยังคงอ่อนแรงอยู่เนื่องจากไม่ได้ใช้การมานาน หญิงสาวจึงต้องอาศัยการนั่งรถเข็นในระหว่างที่กำลังรักษาตัวโดยการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวิศรุตเปิดประตูเข้ามาในห้องก็พบว่าหมอนภัทรกำลังตรวจอาการของศรารัตน์อยู่พอดี

   “อ้าว นายเองเหรอ” นภัทรหันไปทักทายวิศรุตในขณะที่ฝ่ายนั้นก็ยิ้มตอบกลับมาก่อนถามถึงอาการของน้องสาวตน “คุณศราดีขึ้นมากแล้ว อาการบาดเจ็บภายในก็หายเกือบหมด แต่ว่าช่วงนี้คงต้องทำกายภาพฟื้นฟูกล้ามเนื้อไปอีกซักระยะหนึ่ง ถ้าอาการป่วยหายดีวันดีคืนแบบนี้ หมอเชื่อว่าอีกไม่นานก็คงกลับบ้านได้แล้วล่ะ” ท้ายประโยคหันไปพูดกับศรารัตน์ที่ยิ้มออกมาบางๆเมื่อได้รู้ว่าอีกไม่นานตนก็จะได้กลับบ้านเพราะเธอเบื่อการนอนเฉยๆอยู่ที่โรงพยาบาลเต็มทนแล้ว

   “มาที่โรงพยาบาลทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือไงวิน?” ศรารัตน์ถามเสียงเรียบ รอยยิ้มเมื่อครู่ที่มีให้กับนภัทรเลือนหายไปจากใบหน้าของหญิงสาว วิศรุตถอนหายใจเบาๆ จนบัดนี้แล้วศรารัตน์ก็ยังคงไม่เลิกมีท่าทีเย็นชาใส่เขาเสียที

   “ไม่เบื่อหรอก ก็ฉันมาเยี่ยมเธอไง”

   “งั้นเหรอ นึกว่าอยากมาที่นี่เพราะจุดประสงค์อื่นเสียอีก” วิศรุตเม้มปากสะกดกลั้นอารมณ์กับคำพูดเสียดสีของศรารัตน์ ถ้าเป็นปกติเขาไม่มีทางยอมให้ฝ่ายนั้นมาพูดจากับเขาแบบนี้แน่ แต่เพราะศรารัตน์กำลังป่วยและสาเหตุสำคัญก็มาจากเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายเงียบ

   “เอ่อ เอาเป็นว่าคุณศราทำตามที่หมอแนะนำก็แล้วกันนะครับ พักผ่อนเยอะๆแล้วก็ขยันทำกายภาพด้วย” นภัทรเป็นฝ่ายพูดทำลายความอึดอัดภายในห้องลง คุณหมอหนุ่มมองหน้าวิศรุตอย่างสงสารและเข้าใจความรู้สึกอีกฝ่าย ตั้งแต่ศรารัตน์ฟื้นขึ้นมา หญิงสาวพูดจากับวิศรุตแทบจะนับครั้งได้และทุกอย่างที่เธอพูดก็มักจะเป็นคำถากถางเย็นชาที่ทำเอาวิศรุตต้องหน้าเสียไปทุกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหมอขอตัวก่อนนะครับ เชิญพวกคุณตามสบาย” นภัทรเอ่ยปากขอตัวกับทั้งคู่ก่อนจะตัดสินใจเดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้น ในห้องจึงเหลือแต่วิศรุตกับศรารัตน์เพียงสองคน

   “ฉันมีเรื่องอยากจะพูดกับนาย” ศรารัตน์เอ่ยหลังจากที่เห็นว่านภัทรออกไปจากห้องแล้ว หญิงสาวหันหน้ามาสบตากับวิศรุต “เรื่องหมอกานต์”

   “ฉันขอโทษ” คำพูดง่ายๆสั้นๆของวิศรุตไม่ได้ทำให้ศรารัตน์พอใจ หญิงสาวเหยียดยิ้มเย็นชาก่อนจะถามต่อว่าวิศรุตพูดได้แค่ขอโทษเพียงคำเดียวอย่างนั้นเหรอ? “ฉันรู้ดีว่าฉันทำผิดกับเธอมาก แต่ฉันหยุดตัวเองไม่ได้ ที่สำคัญคือฉันห้ามความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อนภัทรไม่ได้”

   “แม้นายจะรู้อยู่แก่ใจว่าสุดท้ายแล้วมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดีอย่างนั้นน่ะเหรอ?” ความจริงที่น่าเจ็บปวดนี้ทำให้วิศรุตต้องเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาสีน้ำตาลโศกมีแววไหวระริกในขณะที่ศรารัตน์พูดต่อ “ถึงนายจะรักหมอกานต์แค่ไหน แต่ความรักที่ผิดธรรมชาติ ผิดประเพณีแบบนี้ สังคมทั่วไปเค้าจะรับได้เหรอ นายอย่าลืมนะว่าตัวเองเป็นใคร นายคือวิศรุต ทัดเทวา เจ้าของ
บริษัอสังหาฯยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย เป็นหนุ่มสังคมรูปหล่อที่ใครๆก็จับตามอง ส่วนหมอกานต์ก็เป็นศัลยแพทย์อนาคตไกล ถ้าหากว่ามีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ผิดศีลธรรมแบบนี้ นายคิดบ้างหรือเปล่าว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง?”

   “แต่ว่า...”

   “ถึงนายจะบอกว่าตัวเองไม่แคร์กับขี้ปากคนอื่น แต่หมอกานต์ล่ะ หมอกานต์ยังจะรับได้เหรอ? ทั้งครอบครัวของเขาอีก นายคิดว่าพ่อแม่ของหมอกานต์จะรู้สึกอย่างไรที่ลูกชายของตนกลายเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันทั้งๆที่พ่อแม่เลี้ยงเขามาก็เพื่อหวังให้เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ เรียบจบ แต่งงานมีครอบครัวกับผู้หญิงดีๆสักคน จากนั้นก็มีลูกไว้สืบสกุลต่อ แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะพังทลายเพราะความรักของนายคนเดียว” ความจริงที่วิศรุตพยายามจะปฎิเสธตลอดมากำลังพรั่งพรูออกจากปากของศรารัตน์ ชายหนุ่มกัดฟันแน่น ไม่มีคำพูดตอบโต้กลับไปแม้เพียงสักคำเดียวราวกับว่าเขาได้กลายเป็นคนบื้อใบ้ไปแล้ว ศรารัตน์มองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายตัวเองด้วยแววตาเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก หญิงสาวเลือกที่จะเห็นแก่ตัวมองข้ามความรู้สึกเจ็บปวดของวิศรุต ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวของเธอเอง

   “เธอต้องการจะพูดอะไรกับฉันกันแน่?” วิศรุตตัดสินใจเอ่ยถามออกมาตรงๆ ชายหนุ่มเชื่อว่าลองศรารัตน์มาพูดกดดันเขาแบบนี้ หญิงสาวคงจะมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างในใจแน่นอนและเขาเองก็ไม่อยากจะเสียเวลาอ้อมค้อมอีกต่อไป

   “ฉันต้องการให้นายเลิกยุ่งกับหมอกานต์ เพราะถึงอย่างไรรักแบบนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดี” พอศรารัตน์พูดตรงๆบ้าง วิศรุตกลับเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งไปทันที ในสมองของชายหนุ่มตอนนี้กำลังสับสนและจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าตนควรจะทำอย่างไรดี ในใจของวิศรุตลึกๆกำลังดื้อดึงไม่ยอมรับกับคำพูดของหญิงสาว แต่ทว่าริมฝีปากของเจ้าตัวกลับไม่มีแรงปฏิเสธคำพูดของศรารัตน์แม้แต่น้อย

“ฉันรู้ว่านายโทษตัวเองมาตลอดถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับฉัน ฉันจะยอมยกโทษให้นายก็ต่อเมื่อนายสัญญาว่าจะตัดใจและเลิกยุ่งเกี่ยวกับหมอกานต์อีกนับจากนี้เป็นต้นไป”

   “ฉันยังมีทางเลือกด้วยเหรอ?” วิศรุตยิ้มขื่นก่อนจะพูดเสียงแหบ “ในเมื่อเธอมีคำตอบให้ฉันอยู่แล้วนี่นาศรา”

   “สัญญากับฉันสิ แล้วฉันจะลืมเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด” นานทีเดียวกว่าวิศรุตจะตัดสินใจได้

   “ฉันสัญญา ฉันจะตัดใจและเลิกยุ่งกับนภัทร จากนี้ไปเราสองคนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันนอกจากแค่คำว่าคนรู้จักเท่านั้น” ศรารัตน์ยิ้มพอใจกับคำสัญญาจากปากวิศรุต

   “อันที่จริงฉันไม่ได้บังคับนายนะ นายเองต่างหากที่เลือกจะให้เรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ววิน” วิศรุตกำมือแน่นพร้อมกับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ชายหนุ่มกำลังซ่อนความเสียใจไม่ให้ศรารัตน์เห็นทั้งที่ในใจของตัวเองกำลังหลั่งน้ำตา อย่างเจ็บปวด แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มีทางเลือกอยู่ดีได้แต่ปล่อยให้เรื่องระหว่างเขากับนภัทรต้องจบลงด้วยความเศร้าแบบนี้





   นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วิศรุตก็มีท่าทีห่างเหินกับนภัทรและคอยหลบหน้าฝ่ายนั้นอยู่เสมอ ชายหนุ่มไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมศรารัตน์ที่โรงพยาบาลเหมือนก่อนเพราะกลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับนภัทรต่อหน้าศรารัตน์ เขายังทำใจไม่ได้นักกับเรื่องข้อเสนอของน้องสาว ถ้าหากต้องเจอหน้ากันจริงๆเขาคงเป็นฝ่ายทำอะไรไม่ถูกและที่สำคัญคือเขากลัวใจตัวเองเหลือเกิน

   นภัทรโทรหาเขาหลายครั้ง แต่เขาก็พยายามเลี่ยงที่จะไม่รับโทรศัพท์จากฝ่ายนั้น หรือไม่บางทีถ้าหากปฏิเสธไม่ได้จริงๆชายหนุ่มก็เลือกที่จะคุยให้น้อยที่สุดก่อนจะพยายามตัดบทโดยอ้างว่างานยุ่ง วิศรุตคิดว่าบางทีการไม่เจอกับนภัทรอาจจะทำให้ตนคลายความเจ็บปวดลงได้บ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงคิดถึงนภัทรอยู่ดีไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น แต่เขาทรยศต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับศรารัตน์ไม่ได้

   ฝ่ายนภัทรก็แปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของวิศรุต คุณหมอหนุ่มรู้สึกได้ว่าหมู่นี้วิศรุตพยายามหลบหน้าตนตลอด มีบางครั้งที่เขาบังเอิญได้เจอกับฝ่ายนั้นตอนมาตรวจอาการของศรารัตน์ แต่วิศรุตก็ไม่ยอมสบตาเขาเลย พอโทรไปหาก็บอกว่างานยุ่งและไม่ว่างออกมาเจอเขา นภัทรเองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตงิดในใจลึกๆ เขาไม่รู้ว่าวิศรุตคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงทำอาการเฉยชาใส่เขาแบบนี้และที่สำคัญเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้วิศรุตเปลี่ยนไปจากคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก

   นภัทรตัดสินใจมาหาวิศรุตที่บริษัททัดเทวา คุณหมอหนุ่มแจ้งประชาสัมพันธ์ของบริษัทว่าตนมาหาวิศรุต ประชาสัมพันธ์จึงโทรขึ้นไปยังห้องประธานกรรมการบริษัท หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้วจึงหันมาบอกกับนภัทรว่าวิศรุตไม่อยู่ แต่สีหน้าอึกอักมีพิรุธของประชาสัมพันธ์สาวตรงหน้าทำให้คุณหมอหนุ่มไม่เชื่อก่อนจะเดินลิ่วตรงไปยังลิฟต์ทันทีท่ามกลางความตกใจของอีกฝ่าย ไหนๆก็มาถึงบริษัทแล้ว ยังไงวันนี้เขาต้องพูดกับวิศรุตให้รู้เรื่องให้ได้

   เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นบนสุดของตึก นภัทรก็เดินออกจากลิฟต์แล้วตรงไปตามทางเดินที่ปูพรมทอดยาวไปเรื่อยๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่บริษัททัดเทวาแห่งนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าห้องทำงานของวิศรุตอยู่ที่ไหน แต่เขาก็เดาเอาเองว่าห้องทำงานของผู้บริหารระดับสูงน่าจะอยู่ชั้นบนสุดของตึก และชายหนุ่มก็รู้ดีว่าตัวเองเดาถูกเมื่อเดินมาจนสุดทางเดิน ทางขวามือของเขามีห้องอยู่ห้องหนึ่ง ป้ายหน้าห้องบอกไว้ว่าเป็นห้องทำงานของประธานกรรมการบริษัท

   “เอ่อ คุณนภัทรใช่ไหมคะ?” อิงอรที่เป็นเลขาของวิศรุตรีบเดินจากโต๊ะทำงานที่อยู่หน้าห้องมาขวางหน้าคุณหมอหนุ่มไว้ทันทีเพราะเมื่อครู่ประชาสัมพันธ์ข้างล่างได้โทรขึ้นมารายงานเธอแล้ว ในขณะที่นภัทรพยักหน้าก่อนจะบอกว่าตนต้องการพบวิศรุต

“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ตอนนี้ท่านประธานไม่อยู่ ออกไปพบลูกค้าข้างนอกน่ะค่ะ เอาไว้ถ้าท่านกลับมาดิฉันจะเรียนให้นะคะว่าคุณนภัทรมาขอพบ” นภัทรมองหน้าอิงอรอย่างต้องการจับสังเกต แต่สีหน้าของเลขาสาวกลับไม่มีแววผิดปกติหรือลุกลี้ลุกลนให้เห็น คุณหมอหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆแล้วพูด

   “ถ้าอย่างนั้นขอผมเข้าไปรอในห้องได้ไหมครับ? ผมจะรอจนกว่าคุณวิศรุตจะกลับมา”

   “ต้องขอโทษด้วยจริงๆที่ดิฉันให้คุณเข้าไปรอในห้องนี้ไม่ได้ เพราะว่านี่เป็นห้องทำงานส่วนตัวของท่านประธานน่ะค่ะ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากท่านโดยตรง ไม่ว่าใครก็เข้าไปไม่ได้ค่ะแม้กระทั่งคุณศรารัตน์ก็ตาม” นภัทรเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจ้องที่ประตูห้องทำงานราวกับจะมองให้ทะลุว่าคนที่ตนอยากพบกำลังแอบหลบหน้าเขาอยู่ในห้องนี้หรือเปล่า แต่ในที่สุดนภัทรก็ยอมกลับไปโดยดี

   “ถ้าอย่างนั้นฝากบอกคุณวิศรุตด้วยนะครับว่าผมมาหา ให้โทรกลับหาผมด้วย” อิงอรรับคำก่อนจะยืนส่งนภัทรด้วยสายตา เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นจากไปแล้ว อิงอรจึงยกหูอินเตอร์โฟนเพื่อรายงานเจ้านายหนุ่มของตนทันที

   ภายในห้องทำงาน วิศรุตวางหูโทรศัพท์หลังจากที่ฟังอิงอรรายงานเรื่องที่นภัทรมาหาตนจนจบ ชายหนุ่มถอนหายใจบางๆ ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะหลบหน้านภัทรไปได้ แต่เขาจะหลบฝ่ายนั้นได้นานเท่าไหนกัน

   “แน่ใจนะที่จะทำแบบนี้?” ภาณุเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าของวิศรุต เขาเพิ่งรู้เรื่องทั้งหมดจากคนตรงหน้าเมื่อกลางวันนี้เอง ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ลึกล้ำของทั้งคู่แล้วก็เรื่องที่วิศรุตสัญญากับศรารัตน์ว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับ นภัทรอีก “หลบหน้าเขามันไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ถูกต้องเลยนะเว้ย”

   “ฉันรู้ แต่ฉันกลัวว่ะไอ้โอม ถ้าหากฉันกับเขายังเจอหน้ากันต่อไปเรื่อยๆ แล้วอย่างนี้ฉันจะตัดใจได้ยังไง”

   “แล้วตอนนั้นที่แกบินไปเรียนต่อที่อังกฤษ ไม่เจอหน้านภัทรตั้ง8ปี แกตัดใจได้ไหมล่ะ?” คำถามแกมประชดของภาณุทำให้วิศรุตนิ่งไป แต่นั่นก็คือเมื่อก่อนไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ตอนที่เขากับนภัทรมีความสัมพันธ์กันแบบนี้

   “แกว่าฉันโง่ไหมวะไอ้โอม?” จู่ๆวิศรุตก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ภาณุถอนหายใจเฮือกก่อนดึงเพื่อนรักมากอด หลวมๆแบบต้องการปลอบใจฝ่ายนั้น

   “โง่สิ แกมันเป็นคนที่โง่แล้วก็งี่เง่ามากที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยไอ้วิน” ภาณุยิ้มขื่นที่มุมปากด้วยความรู้สึกสงสารเพื่อนรักจับใจก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเพื่อถ่ายเทความอบอุ่นให้กับหัวใจที่กำลังหนาวเหน็บของวิศรุต





   หลังจากคุยกับวิศรุตอีกสักพักภาณุก็ขอตัวกลับ ชายหนุ่มเดินไปยังรถของตนที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถของบริษัท ก่อนจะพบว่ามีใครบางคนกำลังยืนอยู่ข้างๆรถตน เมื่อฝ่ายนั้นหันมาภาณุก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าคนที่มาดักรอเขาคือนภัทรนั่นเอง

   “นภัทร นาย...”

   “ตอนที่ฉันขึ้นไปหาวินที่ห้องทำงาน นายเองก็อยู่ในห้องนั้นด้วยใช่ไหม?” ภาณุไม่ตอบแต่แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยคำถามว่านภัทรรู้ได้อย่างไรว่าวิศรุตอยู่ในห้องทำงานเพียงแต่ไม่ยอมออกมาพบหน้าฝ่ายนั้น คุณหมอหนุ่มรู้ดีว่าภาณุสงสัยจึงยอมบอกแต่โดยดี “พอดีตอนฉันกำลังจะมาเอารถที่จอดไว้ บังเอิญเห็นรถของนายพอดี ฉันจำทะเบียนได้ก็เลยรู้ว่านายเองก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน”

   “แล้วนายมารอฉันแบบนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” ภาณุถามออกไปแม้ว่าจะเดาได้ไม่ยากเลยว่าจุดประสงค์ของนภัทรที่มาดักรอเขาคืออะไร

   “ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมหมู่นี้วินถึงพยายามหลบหน้าฉันตลอดเลย เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” สายตาคาดคั้นของนภัทรทำให้ภาณุอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเลือกได้เขาไม่อยากเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วยเลย แต่นี่เพราะเขาเลือกไม่ได้

   “ฉันไม่รู้ ถ้านายอยากรู้ก็คงต้องถามจากไอ้วินเอาเอง”

   “ฉันรู้ว่านายรู้ และถ้าหากฉันเอาคำตอบจากวินมาได้ ฉันก็คงไม่ต้องมาถามนายแบบนี้หรอก”

   “ถึงฉันรู้ฉันก็บอกนายไม่ได้อยู่ดี นายถอยไปเถอะฉันจะกลับแล้ว” ภาณุตัดบทก่อนจะใช้รีโมทปลดล็อครถแล้วเปิดประตูฝั่งคนขับ แต่นภัทรกลับยื้อประตูเอาไว้แล้วจ้องหน้าคู่สนทนา

   “ฉันรู้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้วินเปลี่ยนไปแล้วก็หลบหน้าฉันแบบนี้ ถ้านายยังเป็นเพื่อนรักของวินแล้วก็ยังอยากเห็นวินมีความสุข บอกฉันมาเถอะนะ ถึงแม้ว่าพอฉันรู้เรื่องแล้วฉันอาจจะช่วยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยการที่ต้องให้วินแบกรับความรู้สึกแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆคนเดียว นายคิดเหรอว่าแบบนี้วินจะมีความสุขได้?” คำพูดที่เอ่ยออกมาตรงๆพร้อมกับสายตามั่นคงของคนตรงหน้าทำให้ภาณุอึ้งไป ชายหนุ่มจ้องลึกลงไปในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นแล้วถอนใจ

   “ไปหาที่คุยกันเถอะ”





   วิศรุตเดินออกจากลิฟต์ตรงไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังห้องพักส่วนตัวของตน ชายหนุ่มเคยให้คุณอิงอรจัดการซื้อห้องที่คอนโดแห่งนี้เมื่อนานมาแล้ว จุดประสงค์เพื่อเป็นที่สำหรับพักผ่อนเวลาที่เขาไม่อยากกลับไปอยู่บ้านทัดเทวา ทันทีที่เดินเลี้ยวผ่านมุมตึก วิศรุตก็เห็นว่ามีใครคนหนึ่งกำลังยืนรอตนอยู่หน้าห้อง...คนที่ช่วงนี้เขาพยายามหลบหน้าฝ่ายนั้นมาตลอด

   “นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” วิศรุตถามเมื่อมายืนประจันหน้ากับฝ่ายนั้นที่หน้าห้อง ชายหนุ่มเสมองไปที่พื้นเพราะไม่อยากสบตาสีถ่านคู่นั้นที่กำลังจ้องเขม็งมาที่ตน

   “ทำไมนายต้องหลบหน้าฉันด้วย?” นภัทรถามทั้งที่ก็รู้คำตอบดี ภาณุเล่าให้เขาฟังหมดแล้วถึงเหตุผลที่วิศรุตหลบหน้าเขา แต่คุณหมอหนุ่มอยากฟังชัดๆจากปากเจ้าตัวมากกว่า อยากฟังให้แน่ว่านี่คือการตัดสินใจของวิศรุตจริงๆ

   “นายก็รู้ดีนี่นา ช่วงนี้ฉันยุ่งๆกับเรื่องไฟไหม้ของโครงการบ้านจัดสรร ไหนจะงานเยอะแยะที่บริษัทอีก”

   “งั้นเหรอ ฉันนึกว่าเป็นเพราะเรื่องที่นายคุยกับคุณศราเสียอีก” คำพูดของนภัทรทำให้วิศรุตตัวชาวาบ ชายหนุ่มเงยหน้าสบตาฝ่ายนั้นทันทีก่อนจะพบกับสายตาเรียบนิ่งของนภัทร

   “นายรู้ได้ยังไง?” น้ำเสียงของวิศรุตเบาหวิวแต่นภัทรไม่สนใจกลับใช้สองมือของตนกุมหัวไหล่ของคนตรงหน้าเอาไว้แล้วเอ่ยช้าๆทว่าชัดเจนทุกคำพูด

   “ฉันแค่อยากรู้ว่านายยอมทำตามที่คุณศราบอกอย่างนั้นเหรอ?” วิศรุตสูดลมหายใจลึกก่อนจะพยักหน้า นภัทรบีบหัวไหล่ของคู่สนทนาแน่น แววตาสีถ่านไหวระริก “พูดออกมาให้ฉันได้ยินจากปากของนาย”

   “ใช่ ฉันทำตามที่สัญญากับศราเอาไว้”

   “เพราะอะไร...นายทำแบบนั้นทำไมวิน นายทำร้ายตัวเองแบบนั้นทำไมกัน?” นภัทรพยายามคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น วิศรุตตัวเซไปตามแรงมือที่เขย่าตัวเขาอย่างแรงก่อนคลี่ยิ้มเย็นชา ที่เขาทำไปแบบนั้นก็เพื่อต้องการจะจบเรื่องราวความ
สัมพันธ์ระหว่างตนกับนภัทรเสียที จริงอย่างที่ศรารัตน์พูดทุกอย่าง เรื่องระหว่างเขากับคนตรงหน้ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถึงนภัทรจะรับได้ แต่คนรอบตัวของทั้งเขาและฝ่ายนั้นจะรับได้จริงเหรอ? แล้วเขายังจะมีหน้ามาใช้ความรักเหนี่ยวรั้งนภัทรเอาไว้อีกทำไม ทั้งๆที่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่นภัทรมีให้เขามันคืออะไรกันแน่ นภัทรไม่เคยบอกมันออกมาแม้สักครั้ง

   “ถึงฉันจะทำแบบนั้นมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย เพราะถึงยังไงนายก็ไม่เคยนึกรักฉันอยู่แล้ว ที่บังเอิญเรามีความสัมพันธ์ทางกายกันแบบในคืนนั้นก็เพราะว่านายแค่เหงาและเพราะรู้สึกสงสารฉันมากกว่า จริงๆแล้วในใจนายไม่ได้รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำนภัทร” ใจจริงวิศรุตอยากจะยื้อนภัทรเอาไว้ ชายหนุ่มไม่อยากปล่อยมือจากคนตรงหน้านี้เลย เขาไม่ได้นึกอยากเสียสละคนที่ตัวเองรักหมดหัวใจให้กับศรารัตน์เลยสักนิด แต่มันจะมีประโยชน์อะไรหากว่านภัทรไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับเขา

   นภัทรค่อยๆปล่อยมือออกจากการเกาะกุมไหล่ของวิศรุตเมื่อฝ่ายนั้นพูดจบ คุณหมอหนุ่มอึ้งไปเมื่อได้ฟังคำพูดที่พรั่งพรูออกมาจากส่วนลึกในใจของคนตรงหน้า

   “ให้เรื่องทุกอย่างมันจบแค่นี้เถอะนะ ไม่ว่าจะพยายามฝืนแค่ไหน สุดท้ายเรื่องระหว่างเรามันก็ลงเอยด้วยคำว่าเป็นไปไม่ได้อยู่ดี” ดวงตาสีน้ำตาลโศกฉ่ำคลอไปด้วยน้ำใสที่เอ่อล้นเต็มเบ้าตา นภัทรชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปเช็ดน้ำตาให้คน ตรงหน้าก่อนเจ้าตัวจะหันหลังให้วิศรุตแทน น้ำตาของวิศรุตทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปด้วยกันกับชายหนุ่มเสมอ นภัทรแข็งใจไม่ หันหน้ากลับไปมองพร้อมกับเอ่ยออกมาเบาๆแต่วิศรุตได้ยินชัดเจนทุกคำพูด

   “การที่เรามีความสัมพันธ์กันในคืนนั้น คิดเหรอว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับนายเลย? แล้วความรู้สึกนั้นมันก็ไม่ใช่ทั้งความเหงาและความสงสารอย่างที่นายเข้าใจด้วย” วิศรุตเกือบหยุดหายใจ ก่อนเจ้าตัวจะกลั้นใจถามออกไป

   “นาย...หมายความว่ายังไง?” นภัทรมองสีหน้าของวิศรุตพร้อมกับส่งยิ้มขมขื่นให้ฝ่ายนั้น

   “ช่างเถอะ ความรู้สึกของฉันตอนนี้มันคงไม่สำคัญแล้วเพราะนายเป็นคนบอกเองว่าถึงอย่างไรเรื่องระหว่างเราก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดี ถ้านายอยากให้ฉันดูแลคุณศรามากนักล่ะก็ ฉันก็จะทำอย่างที่นายต้องการ” นภัทรข่มความน้อยใจเอาไว้ก่อนจะค่อยๆเดินไปจากตรงนั้นโดยทิ้งอีกคนไว้เบื้องหลัง วิศรุตจึงไม่ทันได้เห็นน้ำตาที่ไหลรินออกจากดวงตาสีถ่านอย่างเงียบๆ

...ฉันจะทำแบบที่นายต้องการนะวิศรุต ถึงแม้ว่าสิ่งที่ฉันกำลังจะทำมันจะเป็นการฝืนความรู้สึกของตัวเองก็ตามที...

...ฉันรู้ดีว่านายกำลังเจ็บปวด ฉันเองก็อยากจะบอกให้นายรู้ไว้เช่นกันว่าตัวเองก็ไม่ต่างจากนาย...เพียงแต่ฉันไม่กล้าเท่านั้น...


จบบทที่ 28

ปล. ต้มมาม่าจนอืดแล้วเนี่ย เหอะๆๆ

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่29
«ตอบ #82 เมื่อ04-08-2012 09:36:29 »

บทที่ 29

   
“เหม่ออะไรอยู่คะหมอ?” ศรารัตน์แตะหลังมือนภัทรอย่างแผ่วเบาเมื่อเห็นว่าคุณหมอหนุ่มกำลังเหม่ออยู่และก็คงไม่ได้ฟังสิ่งที่เธอเพิ่งพูดไปเมื่อครู่

   “เอ้อ คุณศราว่ายังไงนะครับ?” เสียงเรียกของหญิงสาวทำให้นภัทรหลุดออกจากภวังค์ก่อนจะหันมายิ้มเก้อๆให้กับคู่สนทนา

“พอดีว่าเมื่อกี้ผมคิดอะไรเพลินๆอยู่พอดี ก็เลยไม่ทันได้ฟังที่คุณศราพูด”

   “คือฉันบอกว่าตรงนี้เริ่มร้อนแล้วล่ะค่ะ เราเปลี่ยนไปนั่งเล่นตรงด้านนั้นดีกว่า” ศรารัตน์ชี้มือไปยังอีกฝั่งหนึ่งของสนาม วันนี้เธอขอให้นภัทรพาออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้างเพราะไม่อยากจะทนอุดอู้นอนพักอยู่แต่ในห้อง แต่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันหญิงสาวก็สังเกตได้ไม่ยากเลยว่านภัทรมักจะทำตัวแปลกไป คุณหมอหนุ่มกลายเป็นคนที่พูดน้อยและเงียบขรึมกว่าเดิมทั้งๆที่แต่ก่อนเขามักจะชอบเล่าเรื่องตลกให้เธอฟังแก้เบื่ออยู่เสมอระหว่างที่กำลังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล

   ท่าทีแปลกประหลาดของนภัทรเป็นมาได้ช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ศรารัตน์สังเกตว่าคุณหมอหนุ่มมักจะใจลอยคิดอะไรคนเดียวอยู่เสมอเหมือนกับกำลังมีเรื่องในใจบางอย่าง แต่ศรารัตน์เองก็พอจะเดาได้ลางๆว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไร ซึ่งเรื่องนี้ก็เดาได้ไม่ยากเช่นกันว่าจะต้องเป็นเรื่องที่เธอเคยพูดกับวิศรุตให้ชายหนุ่มเลิกยุ่งกับนภัทรแน่นอน อีกทั้งเมื่อวานนี้คุณอิงอรก็โทรมาหาเธอแล้วรายงานว่าช่วงนี้วิศรุตเองก็ดูแปลกไป ฝ่ายนั้นเอาแต่หมกตัวทำงานอยู่ที่ออฟฟิสจนดึกดื่น อาหารก็ไม่ค่อยได้ทานตรงเวลาเท่าไหร่ คุณอิงอรเองก็ยังอดเป็นห่วงในสุขภาพของเจ้านายหนุ่มไม่ได้

   “อีกไม่นานฉันก็จะได้กลับบ้านแล้วใช่ไหมคะ?” ศรารัตน์ถามขึ้นเมื่อทั้งคู่ย้ายมานั่งยังอีกฝั่งหนึ่งของสนามแล้ว “ฉันเบื่อโรงพยาบาลจะแย่อยู่แล้ว”

   “ร่างกายคุณศราแข็งแรงขึ้นมากจนเกือบจะเป็นปกติแล้ว ผมคิดว่าอีกไม่นานก็น่าจะกลับบ้านได้สมใจคุณแล้วล่ะครับ”

   “คงต้องขอบคุณคุณหมอนั่นแหล่ะค่ะ ถ้าไม่ได้หมอคอยช่วยชีวิตเอาไว้ ป่านนี้ฉันคงจะตายไปตั้งนานแล้ว อีกอย่างคุณหมอก็ช่วยดูแลฉันมาตลอดเป็นอย่างดีด้วย” นภัทรเพียงแค่ยิ้มรับแต่ไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้ในใจของคุณหมอหนุ่มกำลังคิดถึงแต่เรื่องของวิศรุต ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไม่เคยมีวันไหนที่เขาจะลืมฝ่ายนั้นได้เลยซักครั้ง ยิ่งคิดนภัทรก็ยิ่งเจ็บแปลบในใจ

   “คุณหมอเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? เห็นเหม่ออีกแล้ว”

   “ขอโทษครับ พอดีว่าช่วงนี้ผมมีเรื่องเครียดๆนิดหน่อย” นภัทรฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายแต่ศรารัตน์ก็เห็นว่าในดวงตาสีถ่านคู่นั้นไม่ได้มีรอยยิ้มเจืออยู่เลยแต่กลับแทนที่ไว้ด้วยความเศร้าลึกๆจนหญิงสาวอดเอ่ยออกมาไม่ได้

   “คุณหมอดูแลฉันมามากแล้ว คราวนี้ให้ฉันเป็นฝ่ายดูแลคุณหมอบ้างได้ไหมคะ?” นภัทรเข้าใจความหมายโดยนัยของคำพูดนั้นดี คุณหมอหนุ่มก็รู้ดีว่าศรารัตน์รู้สึกอย่างไรกับตน ซึ่งเขาเองก็ตื้นตันใจกับความรู้สึกลึกซึ้งที่หญิงสาวตรงหน้ามอบให้เขา แต่ทว่าเขาเองกลับเป็นฝ่ายที่ไม่สามารถตอบสนองความรู้สึกแบบเดียวกันให้กับศรารัตน์ได้ และคราวนี้นภัทรก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ควรจะต้องบอกกับศรารัตน์ตรงๆเสียที

   “คุณศรา...”

   “หมอได้โปรดฟังฉันให้จบก่อนนะคะ” คำพูดที่ขัดขึ้นมาทำให้นภัทรต้องเงียบไป เมื่อศรารัตน์เห็นว่าอีกฝ่ายเงียบเธอจึงเอ่ยต่อ

“ฉันรู้ว่าหมออาจจะยังไม่ได้รักฉัน แต่อย่างน้อยก็ขอแค่ให้หมอเปิดใจให้ฉันบ้างก็พอ ให้ฉันได้เข้าไปอยู่ในใจ ในความทรงจำ ในความนึกคิดของของหมอบ้างก็ยังดี แม้ว่าข้างในนั้นจะมีคนอื่นอยู่แล้วก็ตาม”

   “ทั้งที่คุณเองก็รู้คำตอบของผมดีอยู่แล้ว ทำไมถึงยังพูดแบบนี้อีกล่ะครับ?” ศรารัตน์ยิ้มในหน้ากับคำถามนั้นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ

   “ก็เพราะรู้ยังไงล่ะค่ะว่าถึงอย่างไรเรื่องระหว่างหมอกับคนๆนั้นก็ไม่มีทางเป็นไปได้” คุณหมอหนุ่มขบกรามแน่นอย่างต้องการสะกดกั้นอารมณ์ก่อนจะหันไปอีกทางหนึ่ง เขาไม่อยากให้ศรารัตน์เห็นสีหน้าของตนในเวลาแบบนี้เลย “จำได้ไหมคะที่ฉันเคยบอกว่าถ้าหากคุณหมอคิดจะเปิดใจให้ใคร อย่าลืมนึกถึงฉันเป็นคนแรก”

   “ขอโทษครับ ผมทำอย่างนั้นไม่ได้จริงๆ ผมคิดกับคุณศราแค่น้องสาวเท่านั้น” คำตอบที่แทบจะเรียกว่าไร้เยื่อใยของ นภัทรทำให้กระบอกตาของศรารัตน์เริ่มร้อนผ่าวก่อนที่น้ำใสๆจะไหลรินออกมาจากดวงตาคู่สวยอย่างเงียบเชียบ หญิงสาวกลั้น สะอื้นก่อนตัดสินใจถามออกมาตรงๆ

   “แล้วกับวินล่ะค่ะ...หมอรู้สึกยังไงกับวินกันแน่?” นภัทรเบือนหน้าไปอีกทางและไม่ยอมตอบคำถามนั้นจนศรารัตน์ต้องถามย้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่ชายหนุ่มเลือกที่จะถามกลับ

   “คำตอบของผมมันสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอครับ ในเมื่อตอนนี้ผมก็อยู่ข้างๆคุณแล้ว?”

   “ตัวคุณหมออยู่ตรงนี้ แต่หัวใจกลับไปอยู่ที่คนอื่น” ศรารัตน์มองหน้านภัทรด้วยความน้อยใจที่เอื้อล้นจนเต็มอก นภัทรใช้ปลายนิ้วปาดคราบน้ำตาที่แก้มเนียนอย่างเบามือแต่สีหน้าแฝงไว้ด้วยความเศร้า

   “แต่คุณศราก็เลือกที่จะให้มันลงเอยอย่างนี้ไม่ใช่เหรอครับ?” ศรารัตน์ปล่อยให้น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไหลรินออกมา อย่างไม่ขาดสาย ตอนนี้ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยแบบเดียวกับวิศรุตกำลังพร่ามัวด้วยหยดน้ำตาก่อนที่เจ้าตัวจะพยายามเอ่ย บางอย่างออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ

   “ถ้าอย่างนั้นฉันคงไม่จำเป็นต้องถามแล้วใช่ไหมคะว่าหมอรู้สึกยังไงกับวิน?”

   “ถ้าคุณศราหมายถึงการที่ตัวผมอยู่ที่นี่ข้างๆคุณ แต่ในหัวใจกำลังคิดถึงแต่คนๆนั้น มันก็คงจะเป็นแบบเดียวกับที่คุณกำลังคิด ผม...คงจะรักผู้ชายที่ชื่อวิศรุต ทัดเทวาขึ้นมาจริงๆ” คำพูดที่ได้ยินตรงๆจากปากของนภัทรทำให้ศรารัตน์ยิ่งเสียใจ หญิงสาวเอนตัวพิงพนักโต๊ะม้าหินอย่างหมดแรง แววตาที่เคยทอประกายหวานซึ้งกลับแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาไร้ความรู้สึก ไม่มีน้ำตาแม้สักหยดที่จะรินไหลออกมาอีก ราวกับว่าศรารัตน์กำลังต่อสู้อยู่กับความคิดของเธอเองว่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินจากนภัทรมัน ไม่ใช่เรื่องจริง

   พงศธรแอบมองทั้งคู่อยู่ด้านหลังพุ่มไม้ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก การที่ชายหนุ่มได้ยินบทสนทนาทั้งหมดอย่างชัดเจนยิ่งทำให้เขานึกสงสารศรารัตน์เพราะเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวดีว่าการมอบหัวใจให้กับคนที่เขาไม่เคยนึกรักเราเลยมันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดยากที่จะบรรยาย ก็เหมือนกับเขาที่หลงรักศรารัตน์แม้จะรู้ว่าในสายตาของเธอมีเพียงแค่ผู้ชายที่ชื่อนภัทร อิสรีย์ก็ตาม พงศธรกัดฟันแน่นด้วยความสงสารศรารัตน์จับใจ ในขณะเดียวกันเขาก็กำลังนึกสงสารตัวเองด้วยที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ยังไม่สามารถตัดใจจากศรารัตน์ได้เลยสักครั้ง





   ภาคินเดินเข้ามาในร้านค็อฟฟี่ช็อปแห่งหนึ่งในห้างดังย่านใจกลางเมือง ชายหนุ่มกวาดสายตาคมกริบไปทั่วร้านก่อนจะพบคนที่เขาต้องการจะเจอกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะติดกระจกที่มุมด้านหนึ่ง ร่างสูงจึงรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาทันที

   หลังจากทักทายคนที่รออยู่ก่อนแล้ว ภาคินจึงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่งก่อนถามขึ้นอย่างไม่ต้องการเสียเวลาอ้อมค้อม

   “เรื่องที่ฉันให้ไปสืบ ได้เรื่องว่ายังไงบ้าง?”

   “ผมแอบสะกดรอยตามสองคนนั้นมานาน นี่เป็นหลักฐานที่น่าจะยืนยันได้ว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันครับ” นักสืบพูดพร้อมกับส่งซองเอกสารสีน้ำตาลให้กับภาคินที่รับไปเปิดดู ข้างในซองนั้นเป็นรูปถ่ายในหลายอิริยาบถของทั้งนภัทร   และวิศรุต ส่วนมากจะเป็นรูปตอนที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง หนึ่งในนั้นมีภาพที่นภัทรกำลังประคองกึ่งโอบกอดวิศรุตเข้าห้องพักที่คอนโดส่วนตัวด้วย ดูจากภาพแล้ว ไม่ว่าเด็กอมมือก็ล้วนแต่ดูออกทั้งนั้นว่าสองคนในภาพจะต้องมีความสัมพันธ์แบบไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

   ภาคินเหยียดยิ้มมุมปากกับหลักฐานที่เขาลงทุนไปจ้างคนให้มาตามติดสืบเรื่องความสัมพันธ์ของวิศรุตและนภัทร ชายหนุ่มเพ่งมือรูปถ่ายในมืออีกครั้งก่อนจะเอ่ยชมว่าอีกฝ่ายทำงานได้ดีมาก จากนั้นจึงล้วงเช็คที่เตรียมมาแล้วยื่นให้คนตรงหน้าที่รับไปเก็บไว้

   “คุณภาคินจะให้ผมตามสืบเรื่องสองคนนั้นต่อไปอีกหรือเปล่าครับ?”

   “ไม่ต้องแล้ว ขอบใจมาก” ภาคินตัดบทก่อนจะขยับเสื้อสูทให้เรียบร้อยเตรียมจะลุกจากไป แต่จังหวะที่ชายหนุ่มตวัดสายตามองผ่านกระจกใสไปยังด้านนอกกลับเห็นว่าเมริษากำลังเดินผ่านหน้าไปโดยที่หญิงสาวไม่ทันได้สังเกตว่าเขาอยู่ในร้านค็อฟฟี่ช็อปที่เธอเพิ่งเดินผ่านไปเมื่อสักครู่นี้

   ตอนแรกภาคินตั้งใจจะรีบลุกวิ่งตามเมริษาไป แต่ว่าเมื่อชายหนุ่มหันไปด้านหลังก็พบว่าเมริษากำลังเดินเข้ามาในร้านค็อฟฟี่ช็อปพอดี หญิงสาวเดินตรงไปยังโต๊ะอีกมุมหนึ่งของร้าน ห่างจากโต๊ะตรงที่ภาคินนั่งอยู่พอสมควร ภาคินเหลียวหน้ามองตามร่างระหงของเมริษาก่อนจะต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าเมริษาเดินไปหยุดอยู่ที่โต๊ะหนึ่งที่มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว

   “ภาณุ” ภาคินอุทานออกมาเบาๆ นี่เมริษาไปรู้จักกับภาณุที่เป็นเพื่อนสนิทของวิศรุตได้อย่างไร ที่สำคัญทำไมทั้งคู่ถึงต้องมานัดเจอกันสองต่อสองแบบนี้ด้วย ชายหนุ่มหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด หรือว่าทั้งคู่จะแอบคิดทำอะไรลับหลังเขา

   “นั่งสิ” ภาณุพูดเมื่อเห็นว่าเมริษามาถึงแล้วแต่ยังไม่ยอมนั่งเสียที

   “ไม่จำเป็นหรอก ฉันมาเพื่อเอานี่ให้คุณ เดี๋ยวก็จะกลับแล้ว” เมริษาเปิดกระเป๋าแบรนด์เนมของตนก่อนจะหยิบกล่องที่บรรจุซีดีแผ่นหนึ่งออกมาให้ภาณุที่รับไป

   “นั่งลงก่อนเถอะ บางทีเราอาจจะต้องคุยกันหลายเรื่อง” ภาณุยกกาแฟขึ้นจิบก่อนจะผายมือเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงยังเก้าอี้ด้านตรงข้ามซึ่งในที่สุดเมริษาก็ยอมนั่งลงแต่โดยดีเพราะขี้เกียจต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย

   “ที่ให้ไปมันเป็นคลิปที่ฉันแอบถ่ายตอนที่วันชัยกับภาคินวางแผนกันจะทำร้ายคุณวินกับคุณศราเพื่อฮุบสมบัติของทัดเทวา ฉันแอบถ่ายเอาไว้หลายครั้งรวมถึงพวกคลิปเสียงด้วย รับรองว่าเป็นหลักฐานเด็ดที่จะมัดตัวสองพ่อลูกนั่นได้แน่” ภาณุมองแผ่นซีดีด้วยประกายตาวาว คราวนี้ฝ่ายเขามีหลักฐานแน่นหนาขนาดนี้ รับรองว่าวันชัยกับภาคินต่อให้มีอีกสักสิบปากก็แก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้แน่นอน

   “ขอบใจเธอมากที่ยอมกลับใจมาช่วยเหลือพวกเรา รับรองว่าฉันจะไม่ยอมปล่อยให้เธอเดือดร้อนไปกับเรื่องนี้แน่”

   “ไม่ต้องมาขอบใจฉันหรอก ที่ฉันทำไปก็เพราะเห็นแก่เงินที่พวกคุณเสนอให้นั่นแหล่ะ ก็เหมือนกับที่คุณชอบดูถูกว่าฉันเป็นพวกผู้หญิงหน้าเงินยังไงล่ะ” คำเสียดสีของเมริษาทำให้ภาณุหลุบตาต่ำลงด้วยความละอายใจแวบหนึ่งที่สะท้อนออกมา   ผ่านทางสีหน้าและแววตาของตน ชายหนุ่มมองเมริษาที่กำลังตั้งท่าจะเดินไปจากตรงนั้น ก่อนที่สติจะระลึกรู้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ มือหนาก็เอื้อมไปฉวยข้อมือบางมากุมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

   “ทำอะไรของคุณน่ะ?” เมริษามองจ้องมือข้างที่ถูกอีกฝ่ายกุมไว้ด้วยสายตาเยียบเย็น

   “ผมอยากคุยกับคุณเรื่องคืนนั้น” ภาณุเอ่ยเสียงเบาแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากการเกาะกุมคนตรงหน้าอยู่ดี เมริษามองหน้าชายหนุ่มนิ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบ

   “แต่ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ สำหรับเรื่องในคืนนั้นฉันจะถือว่าให้ทานก็แล้วกัน” หญิงสาวใช้มืออีกข้างที่เป็นอิสระค่อยๆปลดมือของชายหนุ่มออกก่อนจะรีบเดินไปราวกับต้องการหนีไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยภาณุได้แต่ใช้สายตามองตามโดยที่ไม่กล้ารั้งหญิงสาวเอาไว้อีก

   ภาคินมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทั้งคู่พูดเรื่องอะไรกัน แต่ท่าทีที่แปลกไปของเมริษาทำให้ชายหนุ่มค่อนข้างที่จะปักใจได้ว่าเรื่องที่ภาณุนัดเจอกับเมริษานี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล ลางสังหรณ์ลึกๆบอกชายหนุ่มว่าจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับวิศรุตและแผนการของเขากับวันชัยอย่างแน่นอน หรือว่าเมริษาจะคิดหักหลังเขากับพ่อแล้วเปลี่ยนมาอยู่ฝั่งเดียวกับวิศรุตแทน ยิ่งคิดภาคินก็ยิ่งรู้สึกระแวงในตัวเมริษามากขึ้นเท่านั้น ไหนจะเรื่องซีดีที่เมริษาส่งให้ภาณุซึ่งเขาเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคือซีดีอะไร หากว่าหญิงสาวทำอย่างที่เขากลัวจริงๆ แน่นอนว่าเขาเองก็คงปล่อยเธอไปไม่ได้เช่นกันแม้ว่าจะนึกเสียดายคู่นอนที่ทั้งสวยและฉลาดคนนี้เพียงไรก็ตาม เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางยอมให้แผนการที่ตัวเองและผู้เป็นพ่ออุตส่าห์วางแผนมาเป็นนานปีต้องมาพังทลายลงเพราะผู้หญิงอย่างเมริษาเพียงคนเดียว




   วันนี้เป็นวันที่หมออนุญาตให้ศรารัตน์ออกจากโรงพยาบาลได้ ตอนแรกวิศรุตตั้งใจว่าจะไปรับศรารัตน์ด้วยตัวเองแต่เขาดันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีประชุมด่วนกับบอร์ดผู้บริหารถึงเรื่องแผนการซ่อมแซมโครงการบ้านจัดสรรทัดเทวาที่ถูกไฟไหม้พอดี ดังนั้นชายหนุ่มจึงมอบหมายให้ลุงมั่นเป็นคนไปรับศรารัตน์มาจากโรงพยาบาลแทนตน

   หลังจากที่ประชุมงานจนเสร็จ วิศรุตก็ได้รับโทรศัพท์จากลุงมั่นที่ได้โทรมาบอกว่าตอนนี้ศรารัตน์กลับมาถึงบ้านทัดเทวาเรียบร้อยแล้วโดยมีคุณหมอนภัทรรับอาสามาส่งด้วยตัวเอง ชื่อของใครคนนั้นทำให้วิศรุตนิ่งไปก่อนจะตัดสินใจบอกลุงมั่นไปว่าคืนนี้เขาคงจะกลับบ้านช้าหน่อยเพราะว่ามีธุระอื่นที่ต้องทำอีก ซึ่งจุดประสงค์ที่แท้จริงแล้วก็คือเขายังไม่อยากกลับไปที่บ้านทัดเทวาในตอนนี้นั่นเองด้วยเพราะกลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับนภัทรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งเห็นหน้าฝ่ายนั้น เขาก็ยิ่งเจ็บยอกในใจอย่างบอกไม่ถูก

   วิศรุตกลับมาถึงบ้านทัดเทวาตอนหัวค่ำ หลังจากที่จอดรถเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินอ้อมโรงรถแล้วเดินลัดสนาม หญ้าเพื่อเข้าไปยังตัวบ้าน ตั้งแต่เกิดเรื่องที่ศรารัตน์ยื่นข้อเสนอบ้าๆแบบนั้นให้เขา เขาเองก็แทบจะไม่ได้โผล่หน้าไปเยี่ยมหญิงสาวที่โรงพยาบาลอีกเลยเพราะไม่รู้ว่าเวลาต้องเผชิญหน้ากับนภัทรและศรารัตน์ เขาควรจะทำท่าทางหรือว่าแสดงสีหน้าอย่างไรดี เวลาหัวค่ำแบบนี้นภัทรก็คงกลับไปแล้ว อย่างน้อยเขาเองก็อยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าอาการของศรารัตน์ดีขึ้นจริงๆอย่างที่ฝ่ายนั้นเคยบอกกับเขา

   วิศรุตเดินใจลอย ในหัวกำลังคิดแต่เรื่องเดิมซ้ำไปมาทำให้ไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินออกจากตัวบ้าน    แล้วเดินมาทางเดียวกับตนพอดี มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อฝ่ายนั้นเดินเข้ามาใกล้เขาเสียแล้ว

   “กานต์” วิศรุตอุทานเสียงแผ่ว อุตส่าห์ตั้งใจจะหลบหน้าแล้วเชียวแต่สุดท้ายก็ดันต้องมาเจอกันอีกจนได้ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น ตอนนี้จะแกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วเดินหนีก็ไม่ได้แล้ว สิ่งที่ทำได้ก็คือการปั้นหน้าส่งยิ้มทักทายให้ฝ่ายนั้นด้วยรอยยิ้มที่ดูฝืดเต็มทน “นายจะกลับแล้วเหรอ?”

   นภัทรพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะมองคู่สนทนาด้วยแววตาเฉยชาไม่แสดงอารมณ์ “พอดีวันนี้ฉันออกเวรเร็ว ก็เลยอาสามาส่งคุณศราที่บ้านด้วยแล้วก็อยู่คุยเป็นเพื่อนเธอต่อ ตอนนี้ฉันก็กำลังจะกลับพอดี” วิศรุตเหลือบตามองดวงตาสีถ่านคู่นั้นก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่เจ้าตัวพยายามบังคับไม่ให้สั่น

   “ว่างๆนายก็แวะมาที่นี่อีกสิ” คำพูดนั้นทำให้ดวงตาสีถ่านมีแววไหววูบขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาแบบปกติเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของวิศรุต “ถ้านายแวะมาคุยกับศราบ่อยๆ เธอก็คงหายเหงาและก็คงดีใจที่นายมา”

   “รู้สึกว่านายจะเป็นห่วงคุณศรามากนะ เป็นห่วง...มากกว่าความรู้สึกของตัวเองเสียอีก” คำพูดของนภัทรทำให้วิศรุตต้องกัดฟันข่มใจ “ก็ศราเป็นน้องสาวฉันนี่นา”

   “แค่นั้นน่ะเหรอ?”

   “อีกอย่างถึงฉันจะอยากทำตามความรู้สึกของตัวเองแค่ไหน แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะถ้าความสุขของฉันต้องแลกมากับความทุกข์และคราบน้ำตาของน้องสาวตัวเอง” วิศรุตมองหน้าคู่สนทนานิ่งแล้วพูดต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ “ที่สำคัญคือ...คนที่ฉันรัก เค้าไม่เคยรู้สึกอะไรกับฉันเลยด้วยซ้ำไป”

   “วิน ฉัน...” นภัทรสูดลมหายใจลึก เขาไม่ได้นึกอยากให้เรื่องทุกอย่างต้องลงเอยแบบนี้เลย

   “พอเถอะ นายอย่าพูดอะไรอีกเลยกานต์ มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว” คำพูดที่ออกจากปากคนตรงหน้าทำให้คุณหมอหนุ่มชะงักไปแบบพูดอะไรไม่ออกอีก ความรู้สึกที่เหมือนกับตัวเองกำลังจะต้องสูญเสียคนที่รักไปทำให้นภัทรปวดหนึบในใจ เขามองวิศรุตที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างเต็มสองตา ผู้ชายคนนี้คือคนที่เขาเคยเกลียดขี้หน้ามาตลอดตั้งแต่สมัยเรียน พอเวลาผ่านไปเขาทั้งสองคนกลับมามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันโดยที่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเพราะเหตุผลอะไรเขาถึงได้ไปมีความสัมพันธ์ทางกายแบบนั้นกับวิศรุต แต่พอวันนี้...วันที่เขาเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว เข้าใจแล้วว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับฝ่ายนั้น แต่วันนี้กลับเป็นวันที่ทำให้เขาต้องปวดร้าวใจ ต้องเจ็บปวดกับความรักที่หาทางออกไม่ได้เช่นนี้

   “ทำไมนายต้องทรยศต่อความรู้สึกของตัวเองเพื่อคนอื่นด้วย?” นภัทรหยุดพูดพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้จนร่างกายของชายหนุ่มแทบจะสัมผัสเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิศรุต “ทำแบบนี้แล้วนายไม่รู้สึกเจ็บที่ตรงนี้บ้างเลยเหรอวิน?” คุณหมอหนุ่มยิ้มเศร้าขณะที่มือหนาที่คุ้นชินกับการจับมีดผ่าตัดอยู่เสมอตอนนี้กลับถูกเจ้าตัวยกขึ้นไปทาบทับอยู่ตรงหน้าอกด้านซ้ายของร่างตรงหน้า แสงจากดวงไฟรอบสนามหญ้าส่องกระทบแหวนที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของนภัทรเป็นประกาย วิศรุตมองแหวนวงนั้นนิ่งก่อนจะตัดใจเอ่ยพร้อมกับน้ำใสที่คลอเอ่ออยู่เต็มสองตา

   “ฉันไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด เพราะอะไรรู้ไหม?” ชายหนุ่มกลั้นเสียงสะอื้นลงคอแต่ทว่าทำได้ยากเกินทนไหว มือหนาของวิศรุตทาบทับไปกับมือของนภัทรก่อนที่จะค่อยๆดึงมือของฝ่ายตรงข้ามให้หลุดออกไปอย่างช้าๆ “เพราะว่าข้างในนี้มันไม่เหลือหัวใจเอาไว้สำหรับความเจ็บปวดอีกแล้ว ฉันมอบความรัก มอบหัวใจ และมอบคนที่รักที่สุดดั่งลมหายใจของตัวเองให้กับศราไปแล้ว นายเข้าใจที่ฉันพูดไหมกานต์?” ไม่มีหัวใจ ดังนั้นก็คงจะไม่เจ็บปวดอีก วิศรุตเคยคิดแบบนั้น แต่น่าแปลกที่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกินราวกับหัวใจตัวเองกำลังถูกมือที่มองไม่เห็นฉีกทึ้งจนแหว่งวิ่น “ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราไปเถอะนะ”

   “แล้วนายล่ะ นายลืมเรื่องทั้งหมดได้จริงๆน่ะเหรอ นายสามารถลืมความทรงจำตลอด13ปีได้หมดงั้นเหรอวิศรุต?”

   “ได้สิ กับการแค่ลืมเรื่องราวเกี่ยวกับคนเพียงคนเดียว มันไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเท่าไหร่หรอกสำหรับฉัน” วิศรุตโกหกออกไป ชายหนุ่มรู้ใจตัวเองดีว่าต่อให้ต้องตายเขาก็ไม่มีทางลืมเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายที่ชื่อนภัทร อิสรีย์ไปได้และเขาก็เลือกที่จะไม่ลืมด้วย เขาเคยสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่เลิกรักฝ่ายนั้นเด็ดขาดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม แต่ที่เขาต้องพูดออกไปแบบนั้นก็เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เรื่องของเขากับนภัทรมันก็เหมือนกับการเล่นเกมเดินวนอยูในเขาวงกต ทำอย่างไรก็หาทางออกไม่เจอเสียที “ฉันแค่หวังว่าต่อจากนี้นายจะดูแลศราให้ดี อย่าให้น้องสาวของฉันต้องเสียใจอีก”

   “ถ้านายต้องการแบบนั้น ฉันก็จะทำอย่างที่นายบอกให้ทำ”

วิศรุตพยักหน้าพร้อมน้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างกลั้นไม่ อยู่ ชายหนุ่มเลือกที่จะเดินหนีไปเพราะไม่อยากต้องติดอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้อีกต่อไปแล้ว

   “เดี๋ยวก่อนวิน” เสียงเรียกของนภัทรทำให้วิศรุตชะงักฝีเท้าก่อนจะหมุนตัวกลับมาประจันหน้ากับคู่สนทนาอีกครั้งหนึ่ง “ฉันขอ...กอดนายเป็นครั้งสุดท้ายจะได้ไหม?” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ นภัทรก็รั้งร่างของวิศรุตเข้ามากอดแน่นก่อนที่น้ำตาจะค่อยๆ หยดลงมาจากดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นอย่างช้าๆพร้อมกับคำพูดที่ทำให้วิศรุตทั้งดีใจและเจ็บปวดไปพร้อมกันเมื่อได้ยินคำที่เฝ้ารอคอยมาแสนนานจากปากของนภัทร “ที่ฉันอยากจะบอกก็คือ ฉันรักนายนะวิน ขอโทษด้วยที่ฉันรู้สึกตัวช้าไป”

   วิศรุตยิ้มออกมาทั้งน้ำตาพร้อมกับส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร เพียงแค่ได้ยินคำนี้จากปากของนภัทร เพียงเท่านี้เขาก็มี ความสุขมากแล้ว แม้ว่าในความเป็นจริงคนที่ได้สมหวังและครองคู่กันอย่างมีความสุขกับคนตรงหน้าจะไม่ใช่ตัวเขาแต่กลับกลายเป็นศรารัตน์ก็ตาม

   “ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง รวมถึงสิ่งที่นายจะทำเพื่อฉันด้วย” วิศรุตหมายถึงการดูแลศรารัตน์ในฐานะคนรัก แต่ก่อนเขาเคยคิดว่าไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรหรือว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม เขาจะต้องทำให้นภัทรมารักเขาให้จงได้และเขาก็จะไม่มีวันยอมเสียนภัทรให้กับคนอื่นด้วยแม้ว่าคนๆนั้นจะน้องสาวของตัวเอง แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ความเป็นพี่น้องที่ตัดไม่ขาดทำให้เขาตัดใจแย่งนภัทรมาจากศรารัตน์ไม่ได้ เขาไม่อยากทำให้น้องสาวของตนต้องเสียใจอีกรอบเพราะแค่เรื่องที่ทะเลาะกันจนเกิดอุบัติเหตุกับศรารัตน์เขายังจำฝังใจมาจนถึงวันนี้ ตั้งแต่เด็กจนโตเขามักจะไม่ยอมศรารัตน์ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม แต่คราวนี้เขากลับเลือกที่จะเสียสละคนที่รักให้กับฝ่ายนั้นเพียงเพราะคำๆเดียวที่ค้ำคออยู่ คำว่าพี่ชาย

   คนที่วิศรุตกำลังคิดถึงอยู่กลับกำลังมองมายังทั้งคู่ผ่านทางหน้าต่างห้องนอน บังเอิญว่าห้องนอนของศรารัตน์อยู่ชั้นสองตรงปีกด้านซ้ายของตึก ทำให้ระเบียงห้องหันออกไปด้านหน้าของสนามหญ้าพอดี หญิงสาวจึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดโดยบังเอิญเมื่อตอนที่มาแอบดูที่ริมระเบียงว่าคุณหมอนภัทรของเธอขับรถกลับไปหรือยัง แต่ทว่าภาพที่สองหนุ่มกอดกันกลมบริเวณริมสนามหญ้าทำให้ศรารัตน์หน้าตึงขึ้นมาทันที หญิงสาวมองภาพนั้นด้วยแววตาสงบนิ่งก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้องไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูกระจกตรงระเบียงให้สนิทดังเดิม


จบบทที่ 29

ปล. กว่าหมอกานต์จะรู้ใจตัวเอง เล่นเอานานเหมือนกันนะเนี่ย ว่าป่ะ?  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่30
«ตอบ #83 เมื่อ04-08-2012 10:03:23 »

บทที่ 30


   หลังจากที่นภัทรกลับไปแล้ว วิศรุตจึงไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะขึ้นไปหาศรารัตน์ที่ห้องนอนส่วนตัวของหญิงสาว เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าเจ้าของห้องกำลังนั่งเอนตัวอยู่ที่เตียงนอนหลังกว้าง ศรารัตน์เหลือบมองผู้มาใหม่แวบหนึ่งก่อนจะหันไปสนใจกับหนังสืออ่านเล่นในมือของตัวเองต่อจนวิศรุตต้องแกล้งกระแอมเสียงเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัว

   “มีอะไรเหรอ?” ศรารัตน์วางหนังสือลง คราวนี้หญิงสาวหันไปสบตาสีน้ำตาลโศกนั้นตรงๆ แววตาของผู้เป็นพี่ชายยังคงมีแววฉ่ำน้ำเหมือนกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มา แต่ทว่าเธอก็เลือกที่จะไม่ถามถึงเรื่องนี้ “ว่ายังไงล่ะ มีธุระอะไรหรือเปล่า?” หญิงสาวถามย้ำเมื่อเห็นว่าคู่สนทนานิ่งไป

   “ฉันแค่จะมาเยี่ยมเธอ เห็นว่าออกจากโรงพยาบาลวันนี้” ศรารัตน์พยักหน้าพร้อมกับบอกว่าคุณหมอกานต์เป็นคนมาส่งเธอด้วยตัวเอง ชื่อของนภัทรทำให้วิศรุตสะอึกพลางนึกถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นที่สนามหญ้าข้างล่างเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา

   “ถ้าจะมาเพราะเรื่องแค่นี้ นายก็กลับไปพักผ่อนเถอะเพราะอาการฉันตอนนี้ดีขึ้นมากจนเกือบจะเป็นปกติแล้วล่ะ ขอบใจที่เป็นห่วง” ศรารัตน์พูดกึ่งๆไล่แต่ว่าวิศรุตก็ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ยอมออกจากห้องไปเสียที

   “ฉันมีเรื่องสำคัญที่อยากจะพูดกับเธอ” วิศรุตพูดเสียงหนักแน่นในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลโศกมีแววเคร่งเครียดอย่าง
ปิดไม่มิด “อันที่จริงต้องเรียกว่าขอร้องเธอถึงจะถูก” เมื่อเห็นว่าศรารัตน์มีสีหน้าสงสัยในสิ่งที่ตนพูด วิศรุตจึงระบายลมหายใจบางก่อนจะตัดสินใจ ‘เล่า’ เรื่องราวบางอย่างให้ศรารัตน์ฟัง




   “คุณหนูเล็กครับ คุณภาคินมาครับ” เสียงเรียกแหบระโหยของลุงมั่นทำให้ศรารัตน์หลุดจากภวังค์ความคิดของตน หญิงสาวสะดุดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าคนที่มาหาเธอก็คือภาคิน ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวก่อน วิศรุตก็ห้ามเด็ดขาดไม่ให้ภาคินเข้าใกล้ตัวเธอ แต่วันนี้ฝ่ายนั้นกลับมาหาเธอถึงบ้าน ไม่รู้ว่าญาติผู้พี่ของเธอคนนี้จะมาไม้ไหนอีกกันแน่ ศรารัตน์นึกในใจก่อนจะบอกลุงมั่นว่าเดี๋ยวอีกสักพักเธอจะลงไปพบกับภาคินที่ห้องรับแขก

   ภาคินนั่งรอไม่นาน คนที่ชายหนุ่มต้องการพบก็ลงมาจากห้องนอนชั้นสอง ศรารัตน์ฝืนยิ้มทักทายผู้เป็นแขกเล็กน้อยตามมารยาทก่อนที่จะนั่งลงยังโซฟาฝั่งตรงข้าม เมื่อเด็กรับใช้ที่คลานเข่าเข้ามาเสิร์ฟน้ำออกไปแล้ว หญิงสาวถึงถามธุระการมา บ้านทัดเทวาของอีกฝ่าย

   “มาที่นี่มีธุระอะไรกับฉัน?” ภาคินยิ้มในหน้าก่อนจะบอกว่าเขาต้องการจะมาเยี่ยมอาการของศรารัตน์เพราะได้ข่าวมาว่าคุณหมออนุญาตให้เธอออกมาพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว

   “แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ ดูจากท่าทางก็คงเกือบจะหายดีแล้วสินะ? ฉันล่ะดีใจจริงๆที่เธอปลอดภัยครบสามสิบสอง” อาการที่เสแสร้งเป็นห่วงเป็นใยของภาคินทำให้ศรารัตน์ลอบเบ้หน้า หญิงสาวรู้ดีว่าภาคินไม่ได้ดีใจอย่างที่พูดออกมาหรอก ใจจริงคนตรงหน้าอยากจะให้เธอตายไปให้เสียพ้นๆด้วยซ้ำ

   “พูดธุระจริงๆของนายมาเถอะ ที่นายมาที่นี่ก็คงไม่คิดอยากจะมาเยี่ยมอาการฉันเพียงอย่างเดียวแน่” เมื่อสังเกตจากสีหน้าที่เปลี่ยนไปของภาคิน ศรารัตน์ก็รู้ว่าตนเดาถูกแล้ว

   “ก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่บังเอิญไปรู้อะไรบางอย่างมา ก็เลยคิดว่าเธอเองก็อาจจะอยากรู้ด้วย”

   “นายหมายถึงเรื่องอะไร?” ภาคินไม่ตอบแต่ยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้ศรารัตน์ที่รับไปเปิดดู ข้างในซองเอกสารที่ว่านั้นก็คือรูปของนภัทรกับวิศรุตที่นักสืบแอบถ่ายได้นั่นเอง ศรารัตน์ขมวดคิ้วเรียวสวยแทบจะติดชิดเป็นเส้นเดียวก่อนเงยหน้าถามว่า “นี่มันรูปอะไรกัน นายเอามาให้ฉันทำไม?”

   “ก็บังเอิญฉันรู้มาว่าเธอเองกำลังกิ๊กกั๊กปลูกต้นรักอยู่กับคุณหมอนภัทรอะไรนั่น แต่ก็น่าแปลกนะที่ทำไมคุณหมอ นภัทรหวานใจของเธอกลับไปทำท่าทางสวีทอี๋อ๋ออยู่กับวิศรุตได้ แถมยังมีการประคองกันเข้าห้องในคอนโดส่วนตัวของวิศรุตอีกต่างหาก” ภาคินเหยียดยิ้มสะใจกับสีหน้าซีดเผือดของศรารัตน์ก่อนจะเว้นจังหวะแล้วพูดต่อ “แต่ที่สำคัญก็คือทำไมเรื่องแบบนี้ถึงมาเกิดกับวิศรุตและคุณหมอนภัทร อิสรีย์ได้ ในเมื่อทั้งคู่ก็ต่างเป็น...ผู้ชายเหมือนกัน”

   “นี่นาย...” ศรารัตน์พูดไม่ออกเมื่อรู้ว่าเรื่องราวความลับที่วิศรุตเป็นเกย์แถมยังมามีความสัมพันธ์กับนภัทรจะถูกภาคินล่วงรู้จนได้ แต่ที่หนักที่สุดก็คือจากรูปถ่ายตรงหน้านี้ทำให้หญิงสาวถึงกับสะท้านเมื่อรู้ว่าคนทั้งคู่ที่อยู่ในภาพได้มีความสัมพันธ์ทางกายที่เกินเลยไปจนยากจะควบคุมแล้ว จากภาพที่ถ่ายตอนที่ทั้งคู่ซุกไซร้ซอกคอกันขณะที่กำลังเปิดประตูห้องคอนโดก็ทำให้ศรารัตน์ไม่มีทางคิดอย่างอื่นไปได้นอกเหนือจากนี้ หญิงสาวปารูปในมือทิ้งอย่างหมดแรงก่อนพยายามกลั้นน้ำตาที่ไหลริน ออกมาอย่างยากลำบาก ความรู้สึกของเธอในตอนนี้ช่างเหมือนหัวใจที่โดนมีดกรีดตรงจุดเดิมซ้ำๆจนเเกิดเป็นแผลบาดลึก

   “ตกลงว่าคนในรูปนี้ก็คือคุณหมอนภัทรคนรักของเธอจริงๆใช่ไหม? ตอนแรกฉันก็นึกว่าคนที่กำลังนัวเนียอยู่กับวิศรุตเป็นแค่คนหน้าเหมือนเสียอีก” น้ำเสียงที่แกล้งทำให้ดูเหมือนตกใจของภาคินทำให้ศรารัตน์ทนไม่ไหวอีกต่อไป

   “หยุดพูดเสียทีได้ไหม ฉันไม่อยากฟัง” เมื่อเห็นศรารัตน์เริ่มจะหมดความอดทน ภาคินก็ยิ่งได้ใจใหญ่ ชายหนุ่มแกล้งยิ้มยั่วก่อนจะพูดต่อ

   “เธอเห็นแบบนี้แล้วรู้สึกยังไงบ้างล่ะ? เจ็บใช่ไหมกับการถูกทรยศหักหลัง โดยเฉพาะคนที่ทำนั้นเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของเธอเอง”

   “นายต้องการอะไรก็บอกมาตรงๆเลยดีกว่าภาคิน” เมื่อศรารัตน์พูดแบบนี้ก็เข้าทางภาคินพอดิบพอดี ชายหนุ่มไม่ลังเลเลยที่จะพูดจาเป่าหูศรารัตน์ให้เกลียดวิศรุต เขาเชื่อว่าการเอานภัทรมาล่อเป้าแบบนี้จะต้องได้ผลอย่างแน่นอน เพราะโดยพื้นฐานแล้วศรารัตน์ก็ไม่ค่อยถูกกับวิศรุตเป็นทุนเดิมอยู่ก่อน พอมีเรื่องนภัทร ผู้ชายที่ศรารัตน์กำลังหลงใหลคนนั้นเข้ามาเป็นเครื่องกระตุ้น รับรองว่าถ้าศรารัตน์ไม่ยิ่งเกลียดวิศรุตเขาเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว

   “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าข้างในใจเธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ แต่ถ้าหากเป็นฉัน ฉันจะไม่มีวันยอมเสียคนที่ฉันรักให้คนอื่นไปง่ายๆแน่ และไอ้คนที่คิดจะเข้ามาแย่งชิง ฉันก็ไม่คิดจะปล่อยมันเอาไว้เหมือนกัน”

   “นายหมายความว่า...”

   “ทำลายวิศรุตซะ ถ้าไม่มีมันซักคน คราวนี้เธอก็หมดเสี้ยนหนามตำใจแล้วล่ะศรา” ภาคินพูดพร้อมกับแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมทำเอาศรารัตน์ถึงกับเสียวสันหลังวูบ

   “แต่ว่าฉันทำอย่างนั้นไม่ได้ ถึงยังไงวินก็เป็นพี่ชายฉันอยู่ดี” หญิงสาวส่ายหน้าอย่างแรงเป็นเชิงว่าเธอจะไม่ยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างเด็ดขาด ความผิดหวังเสียใจและสติความรู้ผิดชอบชั่วดีกำลังตีกันในหัวศรารัตน์จนทำให้หญิงสาวรู้สึกสับสนไปหมด

“นายรีบกลับไปเลยนะ แล้วก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก ไม่อย่างนั้นฉันจะบอกเรื่องทั้งหมดกับวินแน่” คำขู่ของศรารัตน์ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผลเมื่อภาคินทำท่ายักไหล่แบบไม่ยี่หระกับคำพูดของอีกฝ่าย

   “เธอก็ลองคิดดูดีๆก็แล้วกัน ผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่เธอรักหมดหัวใจ เธอจะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆเหรอ อีกอย่างถึงแม้ว่าเธอจะใจดีเป็นแม่พระปล่อยให้เขาไปมีความสุขกับไอ้วิน แต่เธอเองก็น่าจะรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วความรักผิดเพศแบบนี้มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ในโลกของความเป็นจริงอยู่ดี โดยเฉพาะคนที่อยู่ในสถานภาพที่เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในสังคมอย่างวิศรุตและหมอนภัทร” เมื่อปล่อยระเบิดลูกสุดท้ายไปแล้วภาคินก็เอ่ยขอตัวลา ชายหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าศรารัตน์ที่เจือแววสับสนในใจอย่างรุนแรง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าแผนของเขาจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน อีกไม่นานศรารัตน์จะต้องมาเป็นพวกเดียวกับเขาแน่ แล้วเขาจะใช้ศรารัตน์นี่แหล่ะเป็นไม้ตายทำลายและเหยียบย่ำผู้ชายที่ชื่อวิศรุต ทัดเทวาให้จมดินแบบไม่เหลือซากเลย ทีเดียว

   เมื่อภาคินกลับไปแล้ว ศรารัตน์ก็ยังคงนั่งเหม่อลอยจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่เป็นเวลานานหลายชั่วโมง เรื่องราวทุกอย่างประดังประเดเข้ามาในหัวของศรารัตน์จนเธอคิดอะไรไม่ออก หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อนึกถึงคำพูดของวิศรุตในคืนที่เธอประสบอุบัติเหตุ

“ฉันทนไม่ได้ที่จะเห็นว่ามีใครอยู่ข้างกายนภัทร และยิ่งทำใจไม่ได้ใหญ่ถ้าหากคนๆนั้นจะเป็นน้องสาวของฉันเอง ฉันจะบอกอะไรให้นะศรา ถ้าฉันไม่ได้ใครก็อย่าหวังว่าจะได้เลย และเธอเองก็อย่าหวังเลยว่าจะแย่งนภัทรไปจากฉัน ไม่อย่างนั้นเราคงได้เห็นดีกันแน่ศรารัตน์”

ถ้านายคิดแบบนี้ล่ะก็วิศรุต ฉันเองก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องแย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ นายเองก็รู้ดีแก่ใจไม่ใช่เหรอว่าฉันกับนาย...เราสองคนนิสัยเหมือนกันมาก 

ศรารัตน์สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างคนที่ตัดสินใจได้ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาเบอร์ของพงศธรแล้วก็กดโทรออก รอไม่นานปลายสายก็รับ ศรารัตน์จึงกรอกเสียงลงไป

“คุณพงษ์เหรอคะ รบกวนมาที่บ้านทัดเทวาหน่อยได้ไหมคะ พอดีว่าฉันมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือนิดหน่อย”





เสียงกริ่งออดคอนโดดังขึ้นขณะที่เมริษากำลังจะเข้าไปอาบน้ำพอดี หญิงสาวมองเวลาจากนาฬิกาที่แขวนไว้บนผนัง ห้อง ตอนนี้เกือบสี่ทุ่มแล้วซึ่งก็เธอว่าเป็นเวลาพักผ่อนส่วนตัว ใครกันนะที่มาเวลามืดค่ำแบบนี้
เมริษาเดินไปส่องช่องตาแมวที่ประตูก่อนจะยอมเปิดประตูให้เมื่อเห็นว่าคนที่มาหาเธอก็คือภาคิน

“ทำไมมาเอาป่านนี้ล่ะคะ? เมก็นึกว่าใครที่ไหนมาเคาะประตูเสียอีก” เสียงต่อว่าแบบไม่จริงจังนักของเมริษาไม่ได้ทำให้ภาคินรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มยิ้มกริ่มเมื่อเข้ามาในห้องของหญิงสาวเรียบร้อยแล้ว

“ที่มาหาก็เพราะคิดถึงเมน่ะสิ อยากจะนอนกอดเมให้หายคิด” ภาคินฝังจมูกเข้ากับแก้มเนียนของเมริษาฟอดใหญ่ ก่อนจะกวาดสายตามองเมริษาที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำด้วยแววตาหยาดเยิ้มซึ่งเมริษาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

“อย่าค่ะ เมยังไม่ได้อาบน้ำเลย” เมริษาบิดตัวออกจากอ้อมกอดของภาคินอย่างมีจริต ก่อนจะใช้สองมือยันอกฝ่ายนั้นออกห่างเล็กน้อยพร้อมทำท่าออดอ้อนยั่วยวน “รอแปปนึงนะคะ ขอเวลาเมอาบน้ำก่อน รับรองว่าจะให้คุณกอดจนหายคิดถึง    เลยทีเดียว” เมริษาหัวเราะน้อยๆก่อนจะผละตัวออกจากอ้อมกอดของมือแกร่งคู่นั้นซึ่งภาคินก็ยอมอย่างว่าง่าย หญิงสาวเดินไปหยิบผ้าขนหนูที่พาดเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

   ลับหลังเมริษา ภาคินก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มเยียบเย็น ชายหนุ่มยังจำตอนที่เห็นเมริษาไปนัดเจอกับภาณุที่ค็อฟฟี่ช็อปในห้างดังได้เป็นอย่างดี แถมเมริษายังส่งแผ่นซีดีอะไรก็ไม่รู้ให้กับฝ่ายนั้นไป ยิ่งคิดภาคินก็ยิ่งสงสัยในตัวเมริษา ดังนั้นจุดประสงค์การมาในวันนี้ของภาคินก็เพื่อต้องการที่จะมาหาหลักฐานว่าเมริษาหักหลังเขากับพ่อหรือเปล่า ถ้าหากว่ามีหลักฐานคาหนังคาเขา รับรองว่าเมริษาหมดทางแก้ตัวแน่และเขาเองก็คงปล่อยเธอเอาไว้ไม่ได้เช่นกันเนื่องจากเมริษารู้ความลับของเขากับพ่อมากจนเกินไปแล้ว

   ภาคินเดินไปรอบห้องรับแขกของเมริษาอย่างจับสังเกต ก่อนสายตาจะไปหยุดที่คอมพิวเตอร์ส่วนตัวของหญิงสาว ชายหนุ่มชั่งใจนิดหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปนั่งหน้าคอมแล้วถือโอกาสแอบเปิดดูข้อมูลที่ถูกเซฟไว้ในไดร์ฟต่างๆ เขาลองเปิดหาไปเรื่อยๆแต่ก็ไม่พบว่ามีไฟล์ไหนผิดปกติ ภาคินจึงถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจะปิดหน้าจอคอมลงตามเดิม

   ภาคินเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ห้องนอนของเมริษาแทน ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้องก่อนสายตาจะไปสะดุดกับกล่องอะไรบางอย่างบนชั้นวางของข้างๆโต๊ะเครื่องแป้ง ไวเท่าความคิด ภาคินรีบเดินไปหยิบกล่องน่าสงสัยนั้นขึ้นมาเปิดดูทันที

   “ทำอะไรคะภาคิน?” เสียงเมริษาที่เข้ามาในห้องพอดีทำให้ภาคินชะงักมือที่กำลังเตรียมจะเปิดกล่องออกดู หญิงสาวเองก็ดูเหมือนจะตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นถึงสิ่งที่อยู่ในมือของภาคิน “เอามานี่ค่ะ มันเป็นของเมเอง” เมริษารีบแย่งกล่องใบนั้นจากมือของภาคินไปซ่อนไว้ด้านหลังตน พฤติกรรมนั้นของหญิงสาวกลับยิ่งทำให้ภาคินเกิดความสงสัย

   “อะไรกันเม ในกล่องนั้นมีอะไรงั้นเหรอ? ทำไมแค่นี้เมต้องถึงกับปิดผมด้วย” ภาคินหรี่ตาลงอย่างจับผิดในขณะที่เมริษาลอบกลืนน้ำลายพลางแก้ตัว

   “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ มันไม่ได้สำคัญอะไรหรอก เมว่าเราอย่าไปสนใจมันเลยค่ะ ไหนว่าคิดถึงเมนักไม่ใช่เหรอคะ? เมเองก็คิดถึงคุณเหมือนกันนะ” หญิงสาวปั้นยิ้มก่อนเข้าไปกอดชายหนุ่ม แต่ทว่าอีกฝ่ายขืนตัวไว้แล้วใช้ความไวแย่งกล่องจากมือของเมริษามาได้สำเร็จ

   “นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงเป็น...” ภาคินอุทานออกมาเบาๆเมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องมีเพียงเนคไทเส้นหนึ่งเท่านั้น ทั้งที่เขานึกว่าข้างในกล่องนี้จะเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันได้ว่าเมริษาหักหลังเขาเสียอีก ภาคินมองจ้องเนคไทเส้นนั้นก่อนจะหันมาเป็นเชิงขอคำตอบจากเมริษา

   “คือว่าเมตั้งใจว่าจะซื้อเนคไทเส้นนี้ให้เป็นของขวัญวันเกิดคุณน่ะค่ะ แต่ไม่นึกว่าคุณจะมาเห็นก่อนจนได้” คำพูดของเมริษาทำให้ภาคินชะงักไป ที่แท้เขาก็เข้าใจผิดไปเองหรอกหรือเนี่ย ภาคินถอนหายใจบางก่อนจะเข้ามาคลอเคลียเอาใจอีกฝ่ายอย่างต้องการง้องอน

   “ขอโทษครับเม ผมนึกว่าเมซ่อนอะไรเอาไว้ไม่อยากให้ผมรู้เสียอีก” คำพูดของภาคินทำให้เมริษาสะท้านในใจ เป็นอย่างที่เธอเคยคิดไว้ไม่มีผิดว่าหากวันหนึ่งที่ภาคินเกิดรู้ระแคะระคายหรือสงสัยว่าเธอจะหักหลังเขาแล้วล่ะก็ เขาจะต้องไม่ปล่อยเธอไปแน่ ที่ชายหนุ่มแอบเข้ามาค้นห้องตอนที่เธอไม่อยู่แบบนี้ก็แสดงว่าเขาต้องกำลังนึกสงสัยอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ

   “นี่มันเรื่องอะไรกันคะเนี่ย? เมงงไปหมดแล้ว” ภาคินมองหญิงสาวที่กำลังตีหน้าซื่ออย่างต้องการลองใจคนตรงหน้า ในขณะที่ดวงตาคมกริบก็พยายามจับสีหน้าของอีกฝ่ายไปด้วย

   “พอดีวันนั้นผมไปธุระแล้วบังเอิญเดินผ่านร้านค็อฟฟี่ช็อปในห้าง มองเข้าไปก็เห็นเมนั่งอยู่กับคนๆนึง แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ตอนนั้นผมรีบมากก็เลยไม่ทันได้เดินเข้าไปทัก ไม่รู้ว่าคนๆนั้นจะเป็นกิ๊กคนใหม่ของเมหรือเปล่า ผมเองก็ไม่แน่ใจเลยอยากเข้ามาดูว่าเมซ่อนอะไรเอาไว้ในห้องหรือเปล่า?” คำพูดของภาคินทำให้เมริษาต้องลอบกลืนน้ำลาย ยังโชคดีที่ชายหนุ่มไม่รู้ว่า ผู้ชายที่นั่งกับเธอในร้านค็อฟฟี่ช็อปก็คือภาณุผู้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของวิศรุต ไม่อย่างนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลใดมาแก้ตัวดี

   “ที่คุณเห็นก็คงเป็นวันเดียวกับที่เมไปซื้อของขวัญให้คุณนั่นแหล่ะค่ะ พอดีเมไปแวะดื่มกาแฟที่ร้านนั้นก็เลยบังเอิญได้เจอเพื่อนเก่า แต่คุณไม่ต้องหึงไปหรอกนะคะเพราะเพื่อนเมคนนี้เค้าเป็นพวกผู้ชายนะยะ” คำพูดกลั้วหัวเราะของเมริษากลับทำให้ภาคินมีสีหน้าเครียดขึ้นทันที ฟังจากที่พูดเขาก็รู้เลยว่าเมริษากำลังโกหกเพราะวันนั้นเขาเห็นกับตาตัวเองว่าอะไรเป็นอะไร อีกอย่างเขาก็ไม่เคยได้ข่าวมาว่าภาณุเป็นพวกผู้ชายนะยะแบบที่เมริษาบอก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่มีวันเชื่ออยู่ดีว่าเมริษาจะไปเป็นเพื่อนเก่าของภาณุได้อย่างไรกัน ดังนั้นคำตอบจึงมีเพียงอย่างเดียวก็คือเมริษากำลังโกหกเขา

   เมื่อเห็นว่าภาคินท่าทางแปลกไปเมริษาจึงถามขึ้นว่า “คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? ดูหน้าเครียดจัง” ภาคินส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่เป็นไร ชายหนุ่มรวบร่างบอบบางของหญิงสาวมากอดไว้อย่างหลวมๆเพราะไม่อยากให้เธอเห็นประกายโชนแสงจากแววตากร้าวของเขา ในเมื่อเธอเลือกที่จะทรยศเขาแบบนี้ ก็อย่ามาหาว่าเขาใจร้ายก็แล้วกัน

   เมริษากอดตอบร่างสูงใหญ่ไว้อย่างหลวมๆเช่นกัน โชคดีที่หลังจากเธอเซฟข้อมูลลงแผ่นซีดีแล้วจัดการส่งให้ภาณุเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็จัดการลบไฟล์คลิปวีดีโอในคอมพิวเตอร์ทั้งหมดทิ้งทันทีเพื่อไม่ให้เหลือเป็นหลักฐานที่สาวมาถึงตัวเธอได้ ไม่อย่างนั้นภาคินไม่ปล่อยเธอไว้แน่ เพราะขนาดศรารัตน์และวิศรุตที่เป็นญาติสนิทเขายังกล้าวางแผนฆาตกรรมเลย แล้วนับประสาอะไรกับผู้หญิงที่เป็นแค่คู่นอนชั่วคราวอย่างเธอ ยิ่งคิดเมริษาก็ยิ่งหวาดหวั่นในใจกับความโหดเหี้ยมของภาคิน




   “นี่เป็นซีดีที่ได้จากเมริษา” ภาณุยื่นกล่องบรรจุซีดีที่เขาได้มาจากอีกคนให้กับวิศรุตที่รับไป “ฉันลองเช็คดูแล้ว ในแผ่นนั้นมีอยู่หลายคลิปเลยทีเดียว ทั้งคลิปภาพเคลื่อนไหวแล้วก็พวกคลิปเสียงอื่นๆที่ยืนยันได้ว่าสองพ่อลูกนั้นคิดจะฮุบทัดเทวาแล้วก็วางแผนจะฆ่าแกกับยัยศรา ถ้าบอร์ดบริหารได้เห็น รับรองว่าสองพ่อลูกนั่นได้จนมุมแน่” วิศรุตคลี่ยิ้มเยือกเย็น เขาปล่อยให้สองคนนั้นเล่นเกมกับเขามานานแล้ว คราวนี้แหล่ะที่เขาจะพลิกมาเป็นฝ่ายรุกบ้าง ที่เขายังไม่ทำอะไรกับสองพ่อลูกนั้นเสียทีก็เพราะว่าเกรงจะเป็นการเปิดช่องให้ทั้งคู่ไหวตัวได้เสียก่อน แต่คราวนี้มันจะเป็นทีของเขาบ้างแล้วที่จะเอาคืนอย่างสาสม

   “ขอบใจแกมากไอ้โอมที่คอยเป็นธุระเรื่องเมริษาให้” ภาณุตอบกลับว่าไม่เป็นไร อันที่จริงการได้พูดคุยติดต่อกับเมริษาหลายๆครั้ง ถึงแม้ว่าจะต้องมีการทะเลาะหรือกระแนะกระแหนกันบ่อยๆมันก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นอวลในใจอย่างบอกไม่ถูก จะบอกว่ามีความสุขที่ได้ทะเลาะกับฝ่ายนั้นบ่อยๆก็ไม่เชิง

   “แล้วแกจะจัดการเปิดโปงสองคนนั้นแล้วปิดเกมนี้เมื่อไหร่วะไอ้วิน?”

   “อีกไม่นานหรอก แกคอยดูไปเถอะ” วิศรุตยิ้มแบบมีเลศนัยให้กับภาณุในขณะที่อินเตอร์โฟนบนโต๊ะทำงานของวิศรุตก็ดังขึ้น เป็นคุณอิงอรที่โทรเข้ามาบอกว่าศรารัตน์มาขอพบเขา วิศรุตมองหน้ากับภาณุด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าศรารัตน์มีเรื่องอะไรกันแน่ถึงได้มาหาเขาถึงที่ทำงานแบบนี้ ท่านประธานหนุ่มเจ้าของทัดเทวานิ่งคิดก่อนจะบอกอิงอรว่าให้ศรารัตน์เข้ามาได้

   เมื่อศรารัตน์เปิดประตูเข้ามาก็เป็นจังหวะเดียวกับที่วิศรุตยัดกล่องซีดีลงไปในกระเป๋าเอกสารส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มทักศรารัตน์ในขณะที่หญิงสาวมีท่าทางเมินเฉยเย็นชา แต่ร่างบางก็ยอมเอ่ยทักทายภาณุตามมารยาทที่ดี

   “เป็นยังไงบ้างศรา? เห็นไอ้วินบอกว่าเธอหายดีแล้วนี่นา” ภาณุเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน

   “ก็เกือบปกติแล้วล่ะค่ะ” ศรารัตน์ยิ้มตอบภาณุก่อนจะหันไปพูดจุดประสงค์การมาของเธอกับวิศรุต “ที่ฉันมาก็เพื่ออยากจะมาถามความเห็นนายในบางเรื่อง”

   “เรื่องอะไรล่ะ? ว่ามาสิ”

   “ฉันอยากจัดงานเลี้ยงเล็กๆเพื่อเป็นการขอบคุณหมอกานต์ที่ได้ช่วยชีวิตฉันเอาไว้จากอุบัติเหตุถึงสองครั้ง นายเห็นว่าเป็นยังไงบ้าง?” วิศรุตหันไปสบตากับภาณุทันที ลำพังแค่เรื่องจัดงานเลี้ยงขอบคุณก็ไม่เห็นจำเป็นที่ศรารัตน์จะต้องมาบอกเขาเลยนี่นา ที่หญิงสาวมาหาเขาวันนี้ก็คงต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ

   “ก็เอาสิ ตามใจเธอ เพราะถึงยังไงฉันก็คงห้ามเธอไม่ได้อยู่แล้วนี่นา” ศรารัตน์ยิ้มเย็นก่อนจะบอกต่อว่างานเลี้ยงนี้เธอตั้งใจจะจัดขึ้นที่บ้านทัดเทวานั่นเอง

“ฉันอยากให้งานนี้ดูเป็นเหมือนเป็นงานเลี้ยงแบบอบอุ่น เชิญแขกที่เป็นคนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้น” หญิงสาวบอกรายละเอียดคร่าวๆให้วิศรุตกับภาณุฟัง

   “เธอกะจะชวนใครบ้างล่ะ?”

   “ก็มีที่แน่ๆคือหมอกานต์ คุณพงษ์ นาย แล้วก็เอ้อ ขอเชิญพี่โอมด้วยนะคะ” ศรารัตน์หันไปยิ้มให้ภาณุโดยไม่สนใจอาการของวิศรุตที่อึ้งไปเมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงอะไรนี้ด้วย จะให้เขาทำตัวอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนภัทรและศรารัตน์พร้อมกันแบบนี้ นี่ศรารัตน์จะแกล้งทำให้เขาต้องกระอักกระอ่วนใจไปถึงไหน ลำพังแค่การตัดใจจากนภัทรก็ยากมากพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาทนเห็นนภัทรอยู่กับศรารัตน์ แล้วแบบนี้เขาจะทนได้ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน





   วิศรุตเดินหน้าเครียดออกมาจากห้องประชุมบอร์ดบริหาร วันนี้ชายหนุ่มต้องเข้าประชุมเรื่องแผนการจัดงานประจำปีของบริษัททัดเทวาที่งานนี้จะถูกจัดขึ้นในอีกสามสัปดาห์ข้างหน้า เขาคงจะไม่ออกอาการเครียดแบบนี้เลยหากว่าคุณวันชัยไม่เสนอขึ้นกลางที่ประชุมว่าอยากจะให้ใช้งานนี้เป็นงานสำหรับการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่ของทัดเทวาที่วิศรุตเป็นคนรับผิดชอบมาตั้งแต่ต้น ซึ่งบรรดากรรมการบริหารส่วนใหญ่ต่างก็มีมติเห็นด้วยกับความคิดของวันชัย เพราะงานนี้เป็นงานใหญ่ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีและจะมีบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงอสังหาฯมาร่วมงานเป็นจำนวนมากรวมถึงนักข่าวมากมายจากหลากหลายสำนักด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการโปรโมตบริษัททัดเทวาไปในตัว แต่ปัญหาสำคัญที่ทำให้วิศรุตหนักใจก็คือโครงการบ้านจัดสรรที่เขารับผิดชอบนั้น ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงใหม่เกือบทั้งหมดเพราะเคยเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ ชายหนุ่มลุกขึ้นมาชี้แจงถึงปัญหาข้อนี้ที่อาจทำให้โครงการสำเร็จไม่ทันงานเลี้ยงประจำปีของบริษัท แต่วันชัยก็ได้โต้กลับแล้วให้เหตุผลว่าหากวิศรุตเป็นมืออาชีพจริง ลำพังปัญหาแค่นี้ก็ต้องจัดการได้อย่างแน่นอน อีกทั้งงานนี้ยังถือเป็นการแสดงศักยภาพให้คนทั่วไปได้ประจักษ์ว่าบริษัททัดเทวามีความเป็นผู้นำในด้านอสังหาริมทรัพย์หนึ่งเดียวของเมืองไทย

   “พวกเรารอดูโครงการนี้อยู่นะคุณวิศรุต” คุณมงคลที่เดินตามออกมาจากห้องเอ่ยขึ้นเมื่อก้าวตามวิศรุตจนทัน ผู้สูงวัยกว่ายิ้มเล็กน้อยอย่างต้องการให้กำลังใจ “หวังว่าคุณคงจะได้พิสูจน์ตัวเองว่าเหมาะสมกับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของทัดเทวาเพียงใด และผมก็ยังแอบเชื่อมั่นอยู่ลึกๆว่าคุณคงไม่ทำให้ผมผิดหวัง” วิศรุตยิ้มเครียดกับคำพูดนั้นโดยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

   หลังจากที่คุณมงคลขอตัวเดินไปแล้ว วิศรุตก็หันไปสั่งอิงอรว่าให้ตามพงศธรไปพบตนที่ห้องทำงานด่วนที่สุด ซึ่งผู้เป็นเลขาก็รับคำก่อนจะรีบไปจัดการตามคำสั่งของเจ้านายเพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้รอช้าไม่ได้อีกแล้ว



ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่30
«ตอบ #84 เมื่อ04-08-2012 10:04:36 »


   “คุณวิศรุตเรียกผมมีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอครับ?” พงศธรถามขึ้นเมื่อมาถึงห้องทำงานของวิศรุต เจ้าของห้องผายมือเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง หลังจากที่อิงอรออกไปจากห้องแล้ว วิศรุตก็บอกให้พงศธรพูดจาตามสบายแบบเดิมได้ ไม่ต้องพูดเป็นทางการมากนักแม้ว่าตนจะอยู่ในฐานะเจ้านายของฝ่ายนั้นก็ตาม

   “ที่ฉันเรียกนายมาก็เพราะเรื่องของโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่เนี่ยแหล่ะ” วิศรุตบอกเรื่องมติที่ประชุมที่อยากให้จัดโปรโมตโครงการบ้านจัดสรรนี้ในงานเลี้ยงประจำปีของบริษัทให้พงศธรได้ทราบก่อนที่จะถามความเห็นของอีกฝ่ายบ้าง

   “อย่างนี้แปลว่าเราต้องเร่งโครงการให้เสร็จภายในปลายเดือนนี้ใช่ไหม? เพราะงานจะมีขึ้นในต้นเดือนหน้าแล้ว” วิศรุตพยักหน้าด้วยแววตาเคร่งเครียด เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้นทำให้โครงการเสียหายไปมากทีเดียว แม้ว่าเขาจะพยายามเร่งปรับปรุงโครงการ
ใหม่ทั้งหมดมาตั้งแต่หลังที่เกิดเรื่องซึ่งงานก็คืบหน้าไปเยอะแล้ว แต่เมื่อมีเวลาเหลือเพียงแค่ไม่ถึงสามสัปดาห์เขาเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะทำมันได้สำเร็จหรือเปล่า

   “ถ้างานนี้เสร็จไม่ทัน ชีวิตฉันจบเห่แน่” วิศรุตสบถออกมาเบาๆอย่างเริ่มหัวเสีย ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคุณอาวันชัยต้องการแกล้งเขา ไม่อยากนั้นก็คงไม่เสนอความคิดบ้าๆแบบนี้กลางที่ประชุมบอร์ดบริหารหรอก “ว่าแต่ตอนนี้งานคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?” วิศรุตหันไปถามพงศธรที่มีสีหน้าเครียดเช่นกันหลังจากที่ได้ฟังเรื่องที่ตนเล่า

   “ตอนนี้ฉันกำลังเร่งให้พวกคนงานต่อเติมอาคารบางส่วนอยู่ คิดว่าถ้าหากเร่งมือกันจริงๆก็น่าจะเสร็จทันกำหนดพอดี ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาดนะ” คำตอบของพงศธรทำให้วิศรุตเริ่มคลายใจขึ้น ชายหนุ่มจึงสำทับไปว่า

   “นายช่วยบอกให้พวกคนงานเร่งมือด้วยหรือไม่ก็หาคนงานมาเพิ่มโดยด่วนเลย บอกว่าฉันยินดีจะจ่ายเงินเดือนเพิ่มให้เป็นค่าล่วงเวลา จำไว้ ไม่ว่าจะเสียเงินเท่าไหร่ฉันไม่สนใจ ขอเพียงแค่งานเสร็จตามกำหนดก็พอ” พงศธรพยักหน้ารับคำสั่งจากอีกฝ่ายก่อนขอตัวออกไปทำงานต่อ

   ตอนที่พงศธรหมุนลูกบิดประตูห้องทำงานเพื่อจะเปิดเดินออกไป ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อยว่าควรจะพูดดีหรือไม่ก่อนจะตัดสินใจหันหน้ามาเอ่ยกับคนที่นั่งพิงพนักอยู่ที่โต๊ะทำงาน

   “คุณศราเชิญฉันให้ไปงานเลี้ยงขอบคุณไอ้กานต์ในคืนพรุ่งนี้ด้วย” วิศรุตส่งเสียงตอบรับในคอเป็นเชิงว่าเขารู้อยู่แล้ว พงศธรมองวิศรุตด้วยสายตาสงบนิ่งก่อนเอ่ยต่อ “ฉันมีเรื่องอยากจะถามนายหน่อย”

   “อะไรล่ะ?”

   “ฉันแค่อยากรู้ว่า...ทำไมนายกับไอ้กานต์ถึงมีความสัมพันธ์แบบนั้นต่อกันได้?” วิศรุตตัวชาไปหลังจากที่ได้ฟังคำถามจากคู่สนทนา

   “นายรู้เหรอว่าฉันกับกานต์...” พงศธรพยักหน้าช้าๆแล้วบอกว่าเขาเห็นกับตาเพราะคืนนั้นที่บ้านจัดสรรเกิดไฟไหม้ เขาติดต่อวิศรุตไม่ได้ แล้วพอรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่กับเพื่อนรักของตน เขาจึงไปหาทั้งคู่ที่บ้านของนภัทรแล้วบังเอิญได้เห็นสิ่งที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น

   “ฉันสงสารคุณศรา” คำพูดที่เอ่ยออกมาลอยๆทำให้วิศรุตต้องเม้มริมฝีปากแน่น ชายหนุ่มรู้ดีว่าในสายตาใครต่อใครต่างก็เห็นว่าเรื่องความสัมพันธ์แบบชายรักชายมันเป็นเรื่องน่ารังเกียจและไม่คิดอยากยอมรับ ไม่เว้นแม้แต่ชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ วิศรุตหัวเราะเบาๆกับตัวเอง แต่เสียงหัวเราะนั้นกลับเจือไว้ด้วยกระแสความขมขื่นในใจ

   “ฉันก็สงสารศรา แต่ที่สงสารยิ่งกว่าก็คือตัวเอง พูดไปนายก็ไม่เข้าใจหรอก”

   “ฉันอาจจะไม่รู้ว่าความรักของนายที่มีต่อไอ้กานต์มันลึกซึ้งแค่ไหน แต่ฉันก็อยากจะเตือนนายเอาไว้ว่าบางทีความหวังกับความเป็นจริง มันก็เป็นสองสิ่งที่อยู่บนเส้นขนาน ซึ่งความจริงข้อนี้ ฉันว่านายเองก็น่าจะคิดได้อยู่แล้ว”

   “ฉันรู้ดี ขอบใจที่เตือนนะ แต่ว่าเรื่องของฉันกับกานต์มันจบไปแล้ว นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” วิศรุตหลุบตาลงต่ำเพื่อ ซ่อนสายตาที่แสดงถึงความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ให้พงศธรเห็น บางทีเรื่องของเขากับนภัทรอาจจะเรียกว่าจบแบบทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มเสียด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยการที่เขาได้ยินคำว่ารักจากปากของฝ่ายนั้น เขาก็มีความสุขมากแล้ว แม้ว่าสุดท้ายเขาจะต้องเป็นคน เอามือของนภัทรไปวางไว้ใส่มือของศรารัตน์ก็ตาม

   พงศธรมองวิศรุตด้วยความสงสารแกมเห็นใจ ผู้ชายที่เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติอย่างวิศรุต ไม่ว่าชายหนุ่มต้องการสิ่งใด เขาก็มักจะได้สิ่งนั้นมาครอบครอง หากแต่สิ่งเดียวที่วิศรุตอยากได้ก็คือผู้ชายที่ชื่อนภัทร อิสรีย์...ผู้ชายคนเดียวกับที่น้องสาวของคนตรงหน้าก็ต้องการที่จะครอบครองเช่นกัน

   “เดี๋ยวก่อน” เสียงเรียกดังขึ้นทำให้พงศธรต้องหยุด สายตาคมกริบเหลือบไปทางด้านหลังแล้วบังเอิญสบตากับดวงตาโศกสีน้ำตาลพอดี “นายรังเกียจหรือเปล่า?” วิศรุตหมายถึงเรื่องที่เขาเป็นพวกรักเพศเดียวกัน

   “ไม่หรอก” เป็นคำตอบสั้นๆของพงศธรก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกจากห้องไป


จบบทที่ 30




Aislin : สวัสดียามเช้านะคะ วันนี้ก็มาอัพให้5ตอนตามปกติ ขอบคุณสำหรับการติดตามมากๆเลย ดีใจมากๆเลยแหล่ะค่ะ มาว่าถึงตอนที่แล้วดีกว่า...หลายคนอึ้งไปเพราะว่าผิดที่คาดเดากันเรื่องใครเป็นพระเอก-นายเอก อันที่จริงเราก็ไม่ได้มีสูตรตายตัวนะคะว่านายเอกจะต้องออกแนวร่างบาง สูงโปร่งอะไรเทือกนั้น 555 ในความคิดของเราวินเป็นผู้ชายที่หุ่นเหมือนผู้ชายปกติที่เท่ห์ๆ หล่อๆ  ถึงขั้นหล่อมาก แต่ไม่ได้อ้อนแอ้นนะคะ เป็นคนหล่อที่แม้แต่ผู้ชายยังอิจฉา ส่วนหมอกานต์ก็ออกแนวหล่อคม (แต่ไม่ถึงกับเข้ม) ภายนอกดูเย็นชา แต่พอได้สัมผัสตัวตนจริงๆหมอกานต์จะออกแนวอ่อนโยนมากค่ะ (เดี๋ยวอ่านไปหลังๆจะหลงรักหมอกานต์โดยไม่รู้ตัว) ดังนั้นคาแร็ึคเตอร์ของพระเอกนายเอกเรื่องนี้อาจจะแตกต่างจากบุคลิคของพระเอกนายเอกทั่วไปนิดหน่อย แต่หวังว่าคุณผู้อ่่านน่าจะรับได้ค่ะ

             หลังจากตอนที่30เป็นต้นไป เนื้อหาจะทวีความเข้มข้นขึ้นไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงตอนจบเลยทีเดียวแหล่ะ ยังไงก็ฝากติดตามต่อไปเรื่อยๆด้วยนะคะ เพราะว่าเรื่องก็ใกล้จะจบแล้ว ค่อนข้างจบเร็วเลยทีเดียว ก็เราเล่นอัพวันละ5ตอนเลยนี่นา 555 :z1:

            มาดูและตามลุ้นกันว่าหลังจากนี้ศราจะทำอย่างไร ขอแง้มๆนิดๆว่าศราอาจจะทำอะไรที่คาดไม่ถึงนะคะ หลังๆเธอคนนี้มาแนวโหดพอสมควร แต่ก็นะ...บางทีคนเราก็ผิดเพราะรัก อันนี้ก็น่าเห็นใจทุกคนในเรื่อง ส่วนเรื่องแผนการของภาคินและวันชัยก็รอโอกาสที่จ้องจะทำลายวิศรุตอยู่เหมือนเดิม เราอ่่านคอมเม้นท์หลายๆคอมเม้นท์บ่นว่าสงสารวินมากๆ อันนี้ก็น่าสงสารจริงๆแหล่ะเพราะศึกหลายด้านเหลือเกิ๊นน!! แต่ก็ดีใจไปนิดนึงเรื่องที่ว่าหมอกานต์ยอมรับความรู้สึกตัวเองแล้วว่ารู้สึกยังไงกับวิน แต่ถึงอย่างไรมันก็เหมือนกันกับรักที่หาทางออกไม่ได้อยู่ดี เฮ้อ...

            แล้วอย่างนี้จะเป็นยังไงล่ะเนี่ย....อยากรู้ต้องตามอ่านต่อนะจ้ะ ไม่อยากเฉลยเดี๋ยวไม่หนุก  :laugh: เอ้อ มีข่าวอยากแจ้งนิดนึงค่ะ เพราะช่วงนี้มีนักอ่านถามเข้ามาค่อนข้างเยอะ นิยายทัณฑ์กามเทพล็อตรีปริ้นท์ใกล้หมดเต็มทีแล้วนะคะ ใครชอบและอยากมีเป็นรูปเล่มเก็บไว้ก็สามารถติดต่อเราไ้ด้เลยค่ะ (รายละเอียดอีเมลล์การติดต่ออยู่ในหน้า FB fanpage เน้อ) เดี๋ยวเราจะได้แจ้งรายละเอียดการโอนเงินกลับไปค่ะ แต่ถึงอย่างไร...ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไรนะคะ เราไม่ได้ซีเรียส และก็ยังสัญญาว่าจะอัพให้จนจบแน่นอนค่ะ คุณผู้อ่านจะได้ประหยัดและเก็บเงินไปซื้อนิยายที่ตัวเองชอบจริงๆดีกว่าเน้อ


อันนี้เป็น FB Fanpageค่ะ

http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E-YaoiBoys-love/201117953284062?ref=tn_tnmn

ปล1. ในเล่มไม่มีตอนพิเศษนะคะ (ตอนพิเศษจะต้องเล่นเกมแลกค่ะ เดี๋ยวกติกาหรือรายละเอียดอื่นๆจะมาแจ้งหลังจากเราโพสนิยายในเล้าเป็ดจนจบจ้า)

ปล2. อ่านแล้วช่วยคอมเม้นท์ให้หน่อยนะคะ เล็กน้อยก็ยังดี ถือว่ามาแชร์ๆและพูดคุยกันหนุกๆดีกว่าเน้อ หากมีข้อติก็ติได้ค่ะ เรารับฟังและจะนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้นในเรื่องอื่นๆต่อไป ส่วนคอมเม้นท์ชมก็สร้างกำลังใจให้ได้มากดโขอยู่  :3123:

ปล3. (สุดท้ายแล้วจริงๆ) หวังว่าคงได้รับมิตรภาพที่ดีจากนักอ่านในเล้าเป็ดที่ติดตามตลอดจนจบเรื่องนะคะ แล้วหากสงสัยอะไรสามารถทิ้งคอมเม้นท์เอาไว้ได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะหยิบยกมาตอบให้แน่นอนจ้า เจอกันตอนหน้าเน้อ:really2:

ขอบคุณด้วยที่อ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ เหอๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-08-2012 12:12:27 โดย Aislin »

ออฟไลน์ BBChin JungBB

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
«ตอบ #85 เมื่อ04-08-2012 10:59:08 »

เหนื่อยมั้ย วิน เฮ้อออ ผมเหนื่อยมาก อ่านแล้วแบบว่า สงสาร :เฮ้อ:

ออฟไลน์ U_Ton

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
«ตอบ #86 เมื่อ04-08-2012 11:39:48 »

 :เฮ้อ: อ่านแล้วหายใจไม่ออก... วินเคยเห็นแก่ตัวนะ... แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ

เพราะเห็นแก่ตัวกับน้องสาวและคนที่รักไม่ได้... ต่างกับศรา

 :m15: หมอกานต์ก็น่าเห็นใจกว่าจะรู้ตัว เวลามันผ่านไปนานแล้วอ่ะ...

ยังมีพงษ์เป็นตัวแปรที่ไม่รู้จะทำให้เกิดอะไรขึ้นอีก นอกเหนือจากภาคินน่ะนะ

เมื่อไหร่วินจะมีความสุขจริงๆกับเค้าบ้าง ไม่รู้มันเรื่องอะไรกันนักกันหนา :z3:

ขอให้แฮปปี้ดี้ด้าทีเถอะนะ :call:

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
«ตอบ #87 เมื่อ04-08-2012 12:44:11 »

 :เฮ้อ:
ขอให้ภายุลูกนี้ผ่านไปเร็วๆ อยากเห็นความสดใส บ้าง :L2:

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
«ตอบ #88 เมื่อ04-08-2012 13:01:25 »

สงสารวินมากๆ
เจอศึกหลายด้านเลย
แล้วศราคิดจะทำอะไร
เรื่องมันเข้มข้นขึ้นทุกที
มาม่าสุดๆ

ออฟไลน์ Still_14OC

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2041
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-7
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-30
«ตอบ #89 เมื่อ04-08-2012 13:38:11 »

ยิ่งอ่าน ยิ่งน่าติดตาม แต่ก็หมั่นไส้ ศราขึ้นเรื่อยๆ อ่านๆไปศรากลายเป็นคนหูเบา เห็นแก่ตัวไปเลย
ไม่ว่ายังไง วินก็เสียสละให้น้องแท้แต่ความรักของตัวเอง แต่ยัยศรานี่ซะ เป็นน้องเป็นนุ่งแม่งจะเตะตูดโด่ง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด