ในตอนรุ่งเช้า ผมตื่นขึ้นเพราะแสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ้าม่านเข้ามาแยงตา และรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเต้ที่รดอยู่บริเวณต้นคอ แขนของเขาพาดอยู่บนหน้าอกของผม และหน้าของเขาก็ซุกห่างอยู่จากต้นคอของผมแค่ไม่กี่นิ้ว ผมนอนลืมตามองเพดานด้วยความรู้สึกอบอุ่นและตักตวงช่วงเวลาแห่งความสุขนี้อยู่อีกครู่ใหญ่ๆ ผมรู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่ชีวิตผมขาดหายไปนานมากแล้วเหลือเกิน ความใกล้ชิด ความห่วงใย และความรักที่บริสุทธิ์... อย่างน้อยๆ ความรักที่เต้มีให้ผมมาตลอดก็เป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่สุดที่ผมเคยได้รับจากใครมาจริงๆ เขาไม่เคยเรียกร้องให้ผมรักเขาและไม่เคยกังขาในความรักที่เรามีต่อกันเลย
อีกพักหนึ่ง เต้ก็ขยับตัวและลุกออกจากเตียง เขาเดินออกไปเข้าห้องน้ำ เสียงน้ำที่ไหลจากฝักบัวดังขึ้น และเมื่อเสียงนั้นเงียบลง เขาก็เดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมกับเริ่มแต่งตัว จากนั้นเขาจึงเห็นว่าผมกำลังนอนลืมตามองเขาอยู่พอดี
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ รู้สึกยังไงบ้าง พีพี” เขายักคิ้วและยิ้มกวนๆ
“ก็ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะครับ เตเต้”
เขาหัวเราะ “เออ ดีแล้ว วันนี้มึงจะโอเครึเปล่าวะ เพราะกูต้องไปสอนแล้วน่ะ”
“ไปเหอะ ไม่ต้องห่วงกูหรอก วันนี้กูก็ต้องออกไปธุระที่ธนาคาร จัดการเรื่องพินัยกรรมของพ่อต่ออีกเหมือนกัน”
“มึงยังไม่รีบกลับกรุงเทพฯ เร็วๆ นี้ใช่มั้ย”
“ยังอะ กูลางานไว้ 2 อาทิตย์เลย ใช้แม่งทุกวันลาเท่าที่มี เพราะงั้นกูก็คงอยู่ที่นี่ต่ออีกอาทิตย์กว่าๆ นั่นแหละ”
“โอเค งั้นคืนนี้มึงไปกินข้าวที่บ้านกูอีกมั้ย”
“อืมมม... กูเกรงใจแม่มึงว่ะ กูว่าชวนแม่มึงมากินที่นี่บ้างดีกว่า อาหารที่ได้มาก็ยังเหลืออีกเพียบเลย”
“โอเค แต่กว่ากูจะกลับถึงบ้านก็ประมาณหกโมงเย็นนะ”
“ตามสบายเลยเพื่อน” ผมลุกออกจากเตียงเพื่อที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่เมื่อผมเดินผ่านกระจกบานใหญ่ตรงปลายเตียง ผมก็ต้องหัวเราะเสียงดังออกมา
“อะไรวะ” เต้ถามก่อนที่จะทันเดินออกไปจากห้อง
“มึงดูสารรูปกูซิเนี่ย” ผมหันไปหาเขา ให้เขาเห็นสภาพของผมว่าเละเทะขนาดไหน ทั้งผมเผ้าที่ชี้โด่เด่ ทั้งรอยแดงเล็กๆ ตรงไหปลาร้า และที่สำคัญ กระดุมกางเกงบ็อกเซอร์ของผมยังถูกปลดออกอีกด้วย “นี่เมื่อคืนมึงทำอะไรกูวะเนี่ย”
เต้หน้าแดงและหันไปทางอื่น “ครวยเหอะ กูจะไปทำอะไรมึงวะ กูพนันหมื่นนึงเลยว่ากระดุมบ็อกเซอร์มันหลุดของมันเอง และรอยที่คอมึงนั่นก็คงเป็นรอยที่ยุงหรือไม่ก็แมลงกัดตอนที่เรานั่งกินเบียร์กันเมื่อคืนเหอะว่ะ”
น้ำเสียงที่จริงจังของเขาทำให้ผมใจแป้วและรู้สึกผิดที่ดันพูดเล่นแบบนั้นออกไป ผมจึงพยายามกลบเกลื่อนเพื่อให้เขารู้ว่าผมแค่ล้อเล่นเท่านั้น
“ค่อยยังชั่ว ดีนะที่มึงไม่ได้เอาความบริสุทธิ์ของกูไปน่ะ” ผมเดินตรงเข้าไปตีก้นเขาเบาๆ
เต้ดูเหมือนจะกลับมายิ้มได้อีกครั้ง “ทะลึ่งแล้วมึง!”
“กับมึงคนเดียวแค่นั้นแหละ” ผมยักไหล่ “และถ้ามึงจะเอาความบริสุทธิ์กูไป กูก็คงโอเคมั้ง อย่างน้อยก็เป็นมึงล่ะวะ เอ้า”
เขาส่งยิ้มแปลกๆ ให้กับผม ก่อนจะหันไปเปิดประตูห้องออก “โอเค งั้นเดี๋ยวคืนนี้เจอกันเว้ย ถึงจะมีเวลาแค่อาทิตย์กว่าๆ แต่กูก็ดีใจที่มึงกลับมานะ ไอ้พี กูอยากให้มึงกลับมาอยู่ที่บ้านเรานี่ถาวรจริงๆ นะเว้ย”
ผมเดินตรงเข้าไปกอดเขาและบอกเขาว่าผมก็คิดถึงเขามากเหมือนกัน ปกติเวลาเรากอดกัน เราจะกอดกันแบบเพื่อน เป็นกอดที่แนบแน่น กระชับ และไม่ได้แนบลำตัวติดกันเสียทีเดียว แต่ครั้งนี้ผมกอดเขาแบบแทบจะหลอมรวมร่างกายของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ไอ้น้องชายของผมก็เบียดเข้าที่ต้นขาของเขา เขาตบหลังผม 2-3 ทีและจุ๊บลงบนต้นคอของผมเบาๆ ก่อนจะดันตัวผมออก ผมรีบยกมือขึ้นแตะตรงตำแหน่งที่เขาเพิ่งจุ๊บผมตามสัญชาติญาณทันที เขาส่งยิ้มแปลกๆ แบบนั้นให้ผมอีกครั้ง ส่วนผมก็ได้แต่ยืนมองหน้าเขางงๆ
“กูต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านจริงๆ แล้วว่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะสาย เอาไว้ค่อยเจอกันอีกทีเย็นนี้นะเว้ย”
“อ... เออ”
เขาเดินออกจากห้องไปได้แค่สองก้าวแล้วก็ต้องหมุนตัวกลับมาหาผมอีกครั้ง “เอ้อ กูลืม มึงจะให้ข้าวไอ้มอมเองหรือจะให้กูพามันกลับไปที่บ้าน แม่กูเค้ารักมันจะตาย เค้าไม่ว่าอะไรหรอกนะเว้ยถ้ามึงจะฝากเค้าเลี้ยงสักพักน่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวกูดูแลมันเอง”
เขายิ้มให้ผมและพยักหน้าน้อยๆ “ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”
อีกไม่กี่นาทีถัดมาผมก็ได้ยินเสียงประตูบ้านเปิดและปิดลง ผมรีบเดินไปที่หน้าต่างและเลิกผ้าม่านออกดูเห็นว่าเต้กำลังเดินเข้าไปในบ้านของตัวเองพอดี ผมนึกถึงตอนที่เรากอดกันเมื่อกี้และตอนที่เขาจูบลงบนต้นคอของผมแล้วก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้น ผมอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่ามันจะดีขนาดไหน ถ้าหากว่าที่จริงแล้วเต้เองก็รักผมแบบเดียวกับที่ผมรักเขา ตลอดชีวิตที่เรารู้จักกัน เราบอกรักกันมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว แต่สิ่งที่ผมต้องการจริงๆ ก็มีแค่เพียงคำว่า ‘รัก’ คำนั้นคำเดียวเท่านั้นเอง ถ้าหากว่าเขารักผมแบบนั้นจริงๆ ชีวิตผมจะมีความสุขมากขนาดไหนกันนะ
ไม่สิ ผมจะคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด ผมต้องไม่ลืมที่จะย้ำเตือนตัวเองไว้ว่าเขาเป็นชายแท้ ไม่ได้ชอบผู้ชายเหมือนผม ตั้งแต่มัธยมต้นแล้ว เขามีแฟนมาตั้งไม่รู้กี่คน และยังเคยแต่งงานจนเกือบมีลูกมาแล้วเลยด้วยซ้ำ ผมต้องหยุดคิดฟุ้งซ่านสักทีเพื่อตัวของผมเอง