...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]  (อ่าน 171553 ครั้ง)

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
เราชอบเรื่องนี้สุดๆเลย
มาต่อบ่อยๆนะ

เป็นเรื่องที่สนุกมากๆเลยล่ะ

อยากจะอ่านเรื่องราวความรักของแก้วกับคุณพระนายอีก

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
...อสงไขย...
...กาลที่๗...








“พี่รักเจ้า  แก้วตา”  เจ้าของคำพูดกระชับอ้อมกอดแน่นเข้า  ครั้นเมื่อคนถูกกอดไม่ตอบคำเขาจึงเอ่ยถามซ้ำ  “บอกพี่หน่อยได้ไหมว่าน้องเองก็คิดเช่นเดียวกัน  ไม่ได้หรือ?”  ชายหนุ่มถอนหายใจ  เขายังไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากคนตรงหน้าสักครั้ง

“แค่ที่แสดงออกยังไม่พออีกหรือไง?”  เสียงแหบหวานเอ่ยแผ่วเบา  เจ้าของริมฝีปากสีชาดก้มหน้าซ่อนแก้มแดงระเรื่อของตนจนคางชิดอก

“ถึงจะรู้  แต่พี่ก็ยังอยากได้ยินจากปากของแก้วตาอยู่ดี  พูดให้พี่ฟังหน่อยซิ?”  น้ำเสียงออดอ้อนเอ่ยชิดริมหู  ปลายจมูกโด่งเฉียดผ่านแก้มเนียนให้ร้อนผ่าวยิ่งขึ้น

“ถ้ากลับมา...”

“หืม?”

“ถ้ากลับจากราชการคราวนี้จะบอก  จะพูดให้ฟัง”

“จริงรึ?”  เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายิ้มกว้างด้วยความดีใจก่อนจะคว้าร่างเล็กเข้ามากอดแน่น  ทีแรกตั้งใจจะเลิกหวังเพราะไม่อยากบังคับ  แค่มีแก้วตาอยู่ในอ้อมกอดเขาแบบนี้ก็เพียงพอแล้ว  ถึงไม่ได้ยินคำว่ารักตอบกลับมาก็ไม่เป็นไร

“อืม”

“สัญญานะ  กลับมาจากราชการคราวนี้พี่จะได้ยินคำนั้นจากน้อง”  ชายหนุ่มเอ่ยขอคำสัญญา  คนในอ้อมแขนยิ้มกว้างซบใบหน้ากับอกแกร่ง

“สัญญา  ถ้าคุณใหญ่กลับมาแก้วจะพูดให้ฟัง”


จะพูดคำว่ารักให้ฟัง...
จะบอกว่ารักอีกฝ่ายมากเพียงใด...
สัญญา...

**********


“อะไรนะครับ?”

“อาจารย์กิตติลาออกไปแล้ว”
  ประโยคบอกเล่านั้นถูกเอ่ยอีกครั้งให้คนฟังถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น

“แก้ว!”  เด็กสาวถลาเข้าประคองเพื่อนรักอย่างตกใจ  ใบหน้าซีดเผือดของเพื่อนกับข่าวการลาออกของอาจารย์ประจำภาค  เธอไม่เข้าใจว่าทำไมแก้วตาถึงตกใจมากขนาดนั้น

“ไม่จริง  ล้อเล่นหรือเปล่า”  เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธสิ่งที่ได้ยิน  “ภาพของผมล่ะ  รูปภาพของผม...”

“เสียใจด้วยนี่เป็นเรื่องจริง  จดหมายลาออกของอาจารย์กิตติถูกส่งมาที่มหาวิทยาลัยเมื่อวันก่อน  เราไปตามหาอาจารย์ที่บ้านแต่ไม่พบใคร  บ้านหลังนั้นไม่มีอะไรเลยแม้แต่รูปสักใบ  ภาพสักผืนก็ไม่มี”  อาจารย์สาวย้ำกับนักศึกษาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ขอที่อยู่ของอาจารย์ให้ผมได้ไหมครับ  ผมจะไปตามภาพของผมกลับมา”  แก้วตาลุกขึ้นยืนโดยมีเพื่อนสาวพยุง  เขาเอ่ยขอร้องด้วยน้ำเสียงแหบโหย

“ก็บอกแล้วไงว่าเราไม่เจอภาพสักภาพที่บ้านอาจารย์น่ะ!”

“แต่ผมต้องการภาพนั้นคืน!”  เด็กหนุ่มตะคอกกลับ  ฤดีตะลึงตาค้างมองเพื่อน  เพราะเธอไม่เคยเห็นแก้วตาในลักษณะนี้มาก่อนรวมถึงอาจารย์ตรงหน้าเองก็ด้วย

สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ได้ที่อยู่ของอาจารย์กิตติมา  ฤดีไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแก้วตาถึงต้องการภาพนั้นมากขนาดนี้ในเมื่อแก้วตาอยากจะวาดอีกเมื่อไหร่ก็ได้  และมากได้ตามต้องการ

หลังจากออกจากโรงพยาบาลแทนที่แก้วตาจะตรงกลับเรือนขาว  เขากลับลากเพื่อนตรงมามหาวิทยาลัยทันที  และวันนี้เป็นวันเปิดภาคเรียนวันแรก  พวกเขาไม่พบอาจารย์กิตติอย่างที่หวัง  ตลอดทางที่นั่งรถมาแก้วตาคิดว่าหากเขาได้ภาพคืน  เขาจะแกล้งทำเป็นลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น  และหากกิตติขอโทษเขา  เขาก็จะให้อภัยถ้ากิตติจะสัญญาว่าไม่ทำอะไรเขาอีก  แต่สิ่งที่ได้รับรู้ทำให้เขาเข่าอ่อน  ในหัวขาวโพลน  ในอกวูบโหวงแล้วแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายคนนั้นกล้าดีอย่างไรถึงเอาภาพของเขาไป!
ขโมย  เขา  ไปจากเขาได้อย่างไร!

“แก้ว?”  ฤดีแตะแขนเพื่อนแผ่วเบา  ห้องโล่งว่างเปล่าตรงหน้าทำให้แก้วตากำหมัดแน่น  ริมฝีปากสีเข้มเม้มเป็นเส้นตรง

“อยู่ไหน...” เสียงสั่นพึมพำจากริมฝีปากสั่นระริกนั้น

“ไม่เป็นไรหรอกนะแก้ว  ภาพน่ะวาดใหม่ก็ได้”  ฤดีพยายามปลอบ

“ไม่  เธอไม่เข้าใจหรอก”  แก้วตาส่ายหน้ากับคำพูดของเพื่อน  ฤดีไม่เข้าใจหรอกว่าภาพนั้นสำคัญกับเขามากเพียงใด 

รอยยิ้มเศร้าของคนในความฝัน  ใบหน้าเลือนรางไม่แจ่มชัด  หากแต่ไม่รู้ทำไมเขาจึงสามารถวาดภาพใบหน้าเต็ม  รวมถึงดวงตาโศกคู่นั้นออกมาได้ชัดเจน  ผู้ชายที่แก้วตามั่นใจว่าไม่เคยเห็นหน้า  แต่เขาคุ้นเคยกับรอยยิ้มนั้น  คุ้นชินกับดวงตาคู่นั้น   ราวกับรอยยิ้มเป็นของเขา  สายตาอบอุ่นนั้นจ้องมองเขา  เขาวาดภาพนั้นออกมาด้วยความรู้สึกท่วมท้นในอกอันไม่รู้ที่มา
แก้วตารักรอยยิ้มนั่น  รักดวงตาคู่นั้นของคนในภาพซึ่งไม่มีตัวตนอยู่จริง  กว่าเขาจะตัดใจใช้ภาพนั้นส่งอาจารย์ก็ใช้เวลาร่วมอาทิตย์  เขาลองพยายามวาดภาพคนอีกครั้งหากแต่ไม่เคยเสร็จสักภาพ  ใบหน้าเลือนรางในความฝัน  มีเพียงเขาเท่านั้นที่แก้วตาวาดได้

“กลับเรือนขาวเถอะขอรับคุณแก้ว”  เสียงทุ้มทางด้านหลังเรียกให้เด็กหนุ่มตื่นจากภวังค์  แก้วตาเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มร่างสูงอย่างแปลกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายที่นี่

“แสน?”

“กลับเรือนเถอะนะขอรับ”  แสนพูดคำเดิมอีกครั้ง

“นั่นซิแก้ว  กลับบ้านก่อนเถอะนะ  แล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะหาภาพนั้นได้ยังไง”  ฤดีสนับสนุน  เธอจ้องมองแสนอย่างไม่เข้าใจว่าแสนตามพวกเธอมาที่นี่ถูกได้อย่างไร

“กระผมไปรับคุณแก้วที่โรงพยาบาล  คุณแม่ของคุณบอกว่าคุณไปมหาวิทยาลัยกระผมเลยตามไปเพราะเป็นห่วงเลยรู้ว่ามาที่นี่”  แสนอธิบาย  ฤดีพยักหน้ารับรู้ก่อนจะคลายคิ้วที่ขมวดโดยไม่รู้ตัวนั้นออก




ตั้งแต่วันนั้นแก้วตาก็เอาแต่เฝ้าคิดว่าจะตามหาตัวกิตติได้ที่ไหน  เขาอยากได้รูปคืน  ยิ่งลองพยายามวาดใหม่ปลายนิ้วยิ่งไม่ขยับ  เลยหงุดหงิดหนักจนฤดีแทบไม่กล้าพูดเล่นด้วยอย่างเคย  เวลาเรียนเสร็จก็เอาแต่นั่งเหม่อ  กลับเรือนก็เอาแต่นั่งนิ่งหน้าผืนผ้าใบว่างเปล่า

“แก้ว  ลูกไปใส่บาตรกับแม่ไหม?”  เพ็ญจันทร์เอ่ยถามบุตรชาย  ใบหน้าเศร้าสร้อยของลูกทำให้เธอถอนหายใจ

“อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฒาปะจายิโน  จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง”  สิ้นคำให้พรของหลวงพ่อ  แก้วตายกมือขึ้นจรดศีรษะ  ช่วงที่กำลังลุกขึ้นยืนก็ให้ต้องแปลกใจเมื่อหลวงพ่อยังคงยืนอยู่

“โยม  วันนี้ถ้าว่าง  ก่อนเพลช่วยไปที่วัดหน่อยนะ”

“ครับ?”  เด็กหนุ่มรับคำอย่างงุนงง  สายตาห่วงใยกับอาการถอนหายใจของหลวงพ่อทำให้เพ็ญจันทร์หันมามองหน้าบุตรชาย

“ถ้าอย่างนั้นแม่จะไปเตรียมของถวายเพลหลวงพ่อด้วย”

หลังจากแก้วตาและมารดาเดินกลับเข้าเรือน  สายลมสะท้านเยือกพัดวูบให้พระคุณเจ้าชะงักเท้าก่อนจะหันกลับไปยังเรือนขาวแล้วเอ่ยปาก

“โยมเองจะไปคุยกับอาตมาก็ได้นะ  คุณพระนาย”
.
.



“บ่วงกรรมติดตามมาเพราะถ้อยคำสัญญา”

“เจ้าคะ?”  เพ็ญจันทร์มองพระคุณเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านเอ่ย

“ลูกชายของโยม  สร้างกรรมโดยไม่รู้ตัว”

“แก้วตาน่ะหรือเจ้าคะ?”  เพ็ญจันทร์เอ่ยถามย้ำเพื่อความแน่ใจ  ตอนแรกแก้วตาจะมาพร้อมกันหากแต่เพราะปวดหัวเธอเลยให้บุตรชายนอนพัก

“เขาเฝ้ารอคอย  ติดตามห่วงหวงเพราะสิเน่หา”

“?”  เพ็ญจันทร์ยังไม่รู้ว่าพระคุณเจ้าเอ่ยถึงใคร  แต่เธอเป็นห่วงบุตรชายยิ่งนัก  เธอมีลูกเพียงคนเดียวเพ็ญจันทร์จึงยิ่งรักยิ่งหลงลูกมาก  ได้ยินอย่างนั้นก็พาให้ใจเธอหวาดหวั่น  “แล้วแก้วจะเป็นอย่างไรเจ้าคะหลวงพ่อ  เขาจะเป็นอันตรายอะไรหรือไม่เจ้าคะ?”

“ลูกชายของโยมน่ะไม่เป็นอะไรดอก  เขาไม่ได้มาร้าย  เขารักของเขามานานจึงคอยดูแลปกป้อง  แต่สิ่งที่ลูกชายของโยมเคยพูดไว้เมื่ออดีตชาตินั้นมันผูกมัดเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้”

“กับใครหรือเจ้าคะ?”

“เนื้อคู่ของเขา”

“แล้วอีฉันต้องทำอย่างไรเจ้าคะ?”

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าลูกชายของโยมจะตัดถ้อยวจีกรรมนั้นหรือไม่?  คราวหน้าพาลูกชายของโยมมาหาอาตมาก็แล้วกัน”   

“เจ้าค่ะ”  เพ็ญจันทร์ลาพระคุณเจ้า  พลางครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อช่วยเหลือลูกชายของเธอได้บ้าง  ถึงพระคุณเจ้าจะบอกว่าลูกชายของเธอไม่มีอันตรายอะไรแต่ใครจะชอบให้มีสิ่งที่  ไม่ใช่คน  คอยติดตามกันล่ะ





   “ท่านจะทำอะไรขอรับคุณหลวงเสนาะ  ไม่ซิ  พระคุณเจ้า”  ร่างเลือนรางโปร่งแสงแทบมองไม่เห็นของชายหนุ่มนัยน์ตาโศกเอ่ยถาม

“โยมติดอยู่ในบ่วงนี้มานานเท่าใดแล้ว?  ทั้งโยมทั้งบริวารที่ทำเพื่อโยมทั้งสองดวง”  พระคุณเจ้ายกน้ำชาขึ้นจิบแล้วเป็นฝ่ายถามกลับร่างตรงหน้าแทน 

“กระผมเลิกที่จะนับแล้วขอรับ”

“อย่างนั้นหรือ?  แล้วโยมทรมานหรือไม่”

“กระผมไม่เคยคิดว่าการรอคอยคนที่รักจะทรมาน”

“แต่ก็เป็นทุกข์  ทุกข์เพราะรัก  ทุกข์เพราะหวัง  ทุกข์เพราะยึดติด”

“พระคุณเจ้าเคยเป็นคนบอกกระผมเองไม่ใช่หรือขอรับ  ความรักไม่เคยมีพรมแดน  ไม่มีสิ่งใดห้ามหัวใจรักได้  เพราะกระผมรักมากจึงตามมาและรอคอยเนิ่นนานถึงเพียงนี้!”

“หากเพราะสิ่งที่อาตมาเคยเอ่ยเอาไว้ในอดีตชาติทำให้โยมต้องติดอยู่ในห้วงทุกข์เช่นนี้อาตมาก็ขออโหสิกรรมให้กันเถอะนะ  อย่าได้ทนทุกข์เช่นนี้อีกต่อไปเลย”

“ไม่ขอรับ!  กระผมรอมานานถึงเพียงนี้  อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นเขาก็จะจำได้แล้ว!”

“คุณพระนาย ตอนนี้โยมและเขาอยู่กันคนละภพละชาติ”

“แล้วอย่างไร?”

“ตัดใจเสียเถิด”

“ไม่...”  น้ำเสียงเจ็บปวดรวดร้าวเอ่ยปฏิเสธถ้อยคำที่ยังไม่จบประโยคของพระคุณเจ้าแล้วเงียบหายไป  เหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า  ทิ้งให้สงฆ์ชราถอนหายใจ

“ถ้าเช่นนั้นคงต้องให้คนในภพนี้เป็นฝ่ายตัดกรรมเองเสียกระมัง”






“แล้วจะทำเช่นไรดีขอรับ?”

“...ฉันรอมานานแล้วแสน  นานจนเลิกนับ  ฉันปรารถนาเพียงแค่ได้พบเขาได้รักเขาและเขาก็รักฉันตอบกลับมาเช่นอดีต”

“ใช่ขอรับ  เรารอกันมานานเหลือเกิน”

“ฉันควรถอดใจเช่นนั้นหรือแสน?  แล้วฉันควรจะทำเช่นไรดี?”  น้ำเสียงเศร้าของผู้เป็นนายช่างบาดหูนัก  แสนมองเสี้ยวหน้าหม่นหมองนั้นก็ยิ่งให้สงสาร สายตาคมของคุณใหญ่ที่จับจ้องร่างเล็กของคนด้านล่างในสวนหน้าเรือนก็ยิ่งหม่นเศร้า 
เมื่อไหร่อีกฝ่ายจะรับรู้ตัวตนของคุณใหญ่เสียทีหนอ

“กระผมคิดว่าควรทำให้คุณแก้วเธอได้เข้าไปที่ห้องนั้น”

“แต่...”

“ถ้าเกิดพระคุณเจ้าอยากให้คุณใหญ่จากไปแบบนี้  น่ากลัวว่าเราคงไม่มีเวลาเหลือมากนัก”

“แล้วถ้าแก้วตาจำไม่ได้เล่าแสน  ฉันไม่ยิ่งเจ็บปวดมากกว่านี้ดอกหรือ?”  เท่าที่ผ่านมาแม้จะเพียรพยายามให้แก้วตาฝันถึงเรื่องราวในอดีตเท่าไหร่  แก้วตาคิดแต่เพียงว่าเป็นความฝันแล้วก็เลือนรางไม่จดจำ

“จะเจ็บกว่าหากคุณใหญ่ต้องมาเสียใจภายหลังเช่นกาลก่อน  เหตุใดไม่ลองดูล่ะขอรับ?”



**********


“แม่จะไปกี่วันหรือจ๊ะ?”  เด็กหนุ่มเอ่ยถามพลางช่วยมารดาจัดผ้าใส่กระเป๋าใบเล็ก

“คงไม่กี่วันหรอกจ้ะ  เห็นแม่มะลิว่าต้องขึ้นเหนือไปอีกหน่อย”

“ไปไหว้พระกันเสียไกลเชียว”  แก้วตาเอ่ยเย้ามารดาแกล้งว่าคงเพราะมารดาอยากจะไปเที่ยวเสียมากกว่า

“น่าเสียดายที่ลูกไปด้วยไม่ได้”

“คงไม่เหมาะถ้าลูกจะหยุดเรียนหลายวันตั้งแต่เปิดเทอม”

“แต่แม่เป็นห่วง...”

“แสนกับนมแย้มก็อยู่ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ  แม่ไปไหว้พระเถอะแล้วเอาบุญมาฝากแก้วเยอะๆล่ะ”  เด็กหนุ่มออดอ้อน

“จ้ะ”  เพ็ญจันทร์ยิ้ม  พลางลูบกลุ่มผมนุ่มของบุตรชายอย่างรักใคร่  เธอไม่ได้บอกแก้วตาเกี่ยวกับที่พระคุณเจ้าท่านบอก  เธอลองไปปรึกษากับเพื่อนร่วมตลาดที่สนิทกันดูเลยได้คำแนะนำให้ไปไหว้พระขอพร  ทำพิธีกับพระทางเหนือที่แม่มะลิว่าศักดิ์สิทธิ์หนักหนา  ใจหนึ่งก็ห่วงแต่ยังมีแสนและนมแย้มอยู่ด้วยเธอเลยวางใจได้เปลาะหนึ่ง  “แล้วแม่จะรีบกลับนะจ๊ะ”




V
V
V

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3

ตะวันลับขอบฟ้าไปไม่เท่าไหร่  ภายในเรือนขาวกลับมืดจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด  มือเล็กควานหากล่องไม้ขีดก่อนจุดเทียนขึ้นเมื่อหลุดจากภวังค์และผ้าใบสีขาวว่างเปล่าตรงหน้า  เหลียวมองรอบตัวก็ให้แปลกใจนักที่วันนี้ไม่มีทั้งนมแย้มและแสนมาเรียกไปช่วยงานในครัวเช่นทุกที

แก้วตาละจากผ้าใบว่างเปล่า  หยิบเชิงเทียนขึ้นห้องนอนเพื่อหาเสื้อผ้าเปลี่ยนอาบน้ำ  ตั้งใจไม่ไปกินข้าวเย็นเพราะไม่รู้สึกหิว  เงาวิบไหวจากแรงเทียนอันน้อยนิดก่อร่างภาพชวนหวาดหวั่น  ผสมกับความเงียบซึ่งดูเหมือนวันนี้จะเงียบกว่าทุกวันที่ผ่านมาก็ชวนให้เด็กหนุ่มอดประหวั่นไม่ได้  พลางนึกในใจว่าวันนี้ช่างเงียบเหลือเกิน

กลิ่นดอกกุหลาบจากพวงมาลัยสดข้างหัวเตียงลอยแตะจมูก  แก้วตายิ้มพลางคิดว่านมแย้มช่างขยันเสียจริงที่เปลี่ยนพวงมาลัยทุกวันแบบนี้  จุดเทียนตรงโต๊ะหน้ากระจกเพิ่มความสว่างในห้องก่อนหยุดยืนนิ่งมองเงาสะท้อนของตัวเองแล้วยิ้มเศร้า  หลายวันมานี้ฤดีบอกว่าสีหน้าของเขาไม่แช่มชื่นก็ให้เห็นจริงอย่างเพื่อนว่า   มือขาวยกลูบหน้าตัวเองพลางถอนหายใจ  จังหวะที่หันหลังให้กระจกหางตาพลันเห็นเงาขยับไหวจากระเบียง  แก้วตาหันกลับไปมองม่านผืนบางที่ขยับตามแรงลมแล้วขมวดคิ้วว่าตนลืมปิดประตูหรืออย่างไร  ถ้าอย่างนั้นน่ากลัวว่าคืนนี้ยุงคงชุมเป็นแน่  เท้าขยับจะไปปิดประตูก็พลันชะงัก  ชายกางเกงผ้าแพรสีม่วงอ่อนโผล่ออกมาจากหลังประตูนอกระเบียง  โครงร่างสูงสง่าหันหน้าออกนอกระเบียงนั้นดูไม่ชัดเจนท่ามกลางความมืด

“แสน?”  แก้วตาเอ่ยเรียกหากร่างนั้นไม่หันกลับมา  หนำซ้ำยังนิ่งราวกับไม่ได้ยินเสียงของเขา  เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย  เพียงไม่กี่ก้าวก่อนถึงตัว  แสงสว่างจากเทียนในห้องถูกดับลงเพราะลมแรงพัดโบกจนผ้าม่านสะบัดตีกันจนได้ยินเสียงฟึ่บฟั่บชวนสะท้าน   เขาเพ่งมองท่ามกลางความมืดอาศัยความคุ้นชินเดินออกไปนอกระเบียงกวาดสายตามองก็ไม่เห็นร่างของคนที่ตนเอ่ยชื่อเมื่อครู่

“แสน?”  หรือเขาจะตาฝาด?  เด็กหนุ่มคิด  “แสน?”  แก้วตาเอ่ยชื่อนั้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าแสนอยู่ด้านล่างตรงใต้ระเบียงนั่นเอง

“ทำอะไรน่ะ?”  เขาถาม  ชายหนุ่มด้านล่างยกตะเกียงจ้าวพายุขึ้นสูง  ใบหน้าคร้ามของแสนดูสลัวลางไม่ชัดเจนทั้งๆที่ตะเกียงดวงนั้นใหญ่และสว่างมากแท้ๆ  ร่างสูงไม่ตอบคำแล้วหันหลังเดินจากไป

“แสน  เดี๋ยว!”  ท่าทางไม่ปรกติของชายหนุ่มทำให้แก้วตาเป็นห่วง  เด็กหนุ่มเดินกลับเข้าห้อง  ควานหาไม้ขีดจุดตะเกียงแล้วออกไป  ระหว่างเดินลงบันไดด้วยความรีบร้อน  ท่ามกลางความเงียบสงัดเสียงฝีเท้าสะท้อนดังชัดเจน  เสียงนั้นดังซ้อนสองจังหวะราวกับมีคนวิ่งตามหลังให้เขาขมวดคิ้ว  ชะงักฝีเท้าหยุดนิ่งหันหลังกลับไปมองก็พบเพียงความว่างเปล่า  ความรู้สึกหนาวยะเยือกทำเอาเด็กหนุ่มขนลุกชัน  ลังเลว่าควรหันหลังกลับหรือวิ่งลงไปด้านล่างต่อไปดี

อะไรกัน?  ความรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียวแบบนี้...

สวบ!  เสียงฝีเท้าห่างออกไปทำให้แก้วตานึกเป็นห่วงแสน  เด็กหนุ่มตัดสินใจวิ่งลงไปต่อ  เห็นแผ่นหลังกว้างของแสนไวๆหายไปทางด้านหลังเรือนขาว

“แสน!”  เหมือนอีกฝ่ายอยากให้เขาตามไปแต่ก่อนที่เขาจะได้วิ่งตามอย่างใจนึกพลันสายตาก็เหลือบเห็นร่างสูงของใครบางคนทางด้านข้างเสียก่อน

ร่างสูงสง่าในชุดเสื้อสีขาว  สวมผ้าม่วง….

 แก้วตาไล่สายตาจากเรียวขายาวขึ้นไปยังเอวสอบ  อกแกร่งภายใต้ผ้าเนื้อดี  บ่ากว้างตั้งตรง  คางเรียวได้รูป  ริมฝีปากอิ่มสีเข้ม  เจ้าของรอยยิ้มที่อยู่ในความฝันอันเลือนราง  ดวงตาเรียวไล่ขึ้นกวาดมองใบหน้านั้น...หากเจ้าของร่างกลับหันหลังเดินหนี

เขารู้จักคนคนนั้น!

“คุณ!  เดี๋ยว!”  เด็กหนุ่มผวาวิ่งตาม  เขาลืมไปแล้วว่าตัวเองคิดจะตามแสนไป  เขาลืมว่าเมื่อครู่เขาหวาดกลัวความมืดในเรือนขาว  ร่างนั้นเดินหายไปทางเรือนซ้อมรำปิดตายที่แสนเคยบอกว่าจะพาเขาไปดูเมื่อถึงเวลา  แก้วตาไม่ได้เอะใจว่าตัวเองซึ่งวิ่งจนเหนื่อยเหตุใดจึงตามอีกฝ่ายที่เดินช้าๆไม่ทัน

เด็กหนุ่มหยุดยืนหอบหายใจหน้าเรือนหลังเล็กที่ปิดตาย  ประตูซึ่งเคยถูกล่ามโซ่ใส่กุญแจเอาไว้  บัดนี้กลับไม่มีสิ่งนั้นอยู่  หนำซ้ำยังเปิดอ้าน้อยๆคล้ายเชิญชวนให้เขาเข้าไปด้านใน  แก้วตาผลักบานประตูบานนั้นให้เปิดกว้าง...

เขาคนนั้นอยู่ในนี้หรือ?
.
.

‘เห็นไหมขอรับ  คุณแก้วเธอเลือกจะตามคุณใหญ่มากกว่าจะตามกระผมไป’

‘........’

‘คราวนี้  ขอให้เธอจำได้เสียทีนะขอรับ’

‘แต่ฉันกลัว  แสน  กลัวเหลือเกิน...’  ทั้งๆที่ตั้งใจจะรออย่างใจเย็น  ค่อยๆให้แก้วตาจำเขาได้  ค่อยๆให้แก้วตากลับมารักเขาอีกครั้ง...แต่แบบนี้จะรอต่อไปได้อีกหรือ?  ถ้าต้องถูกทำให้พลัดพรากจากกันอีกครั้งเล่า...คราวนี้หัวใจของเขาคงแตกสลายแน่แท้...

ต้องทำให้แก้วตาจำเขาได้เร็วๆ!

**********


“แม่หญิง  แม่หญิงฉุยฉาย” เสียงร้องเรียกจากคนด้านหลังทำเอาเขากลอกตาขึ้นฟ้า  มือเล็กกำหมัดแน่นอย่างข่มอารมณ์

“แม่หญิง  เป็นเพราะแม่หญิงนะขอรับคุณใหญ่เธอถึง...  โอ๊ะ!”  ประโยคยังไม่ทันเอ่ยจบ  ร่างสูงก็ชะงักเท้า  เอนตัวไปด้านหลังหลบหมัดเล็กๆจากคนด้านหน้าที่จู่ๆก็หยุดเท้าแล้วหันกลับมาเหวี่ยงหมัดใส่

“ยังไม่เข็ดใช่ไหม?”  น้ำเสียงแหบหวานเอ่ยลอดไรฟัน  แสนยิ้มแหยพลางถอยห่างออกมาอีกสองก้าว  รอยช้ำตรงเบ้าตาขวาเป็นเครื่องยืนยันคำพูดของเด็กหนุ่มร่างเล็กได้ดีว่า  ขืนอีกฝ่ายร้องเรียกเขาว่า แม่หญิงๆ  อีกครั้งละก็  เขาจะประเคนรอยช้ำไปยังเบ้าตาซ้ายให้เท่าเทียมกันเป็นแน่

“อ่า  ไม่เรียกแม่หญิงก็ได้”  แสนว่า  แก้วตาพยักหน้ารับอย่างพอใจกับคำกล่าวนั้น  “แต่คุณแก้วต้องไปหาคุณใหญ่นะขอรับ”

“เหตุใดข้าต้องไป!”  คนตัวเล็กตวาดแหว

“อ้าว  ก็เป็นเพราะคุณแก้วคุณใหญ่ของกระผมถึงต้องนอนซมเพราะพิษไข้  คุณแก้วไปเยี่ยมเธอก็เป็นเรื่องที่ถูกแล้วนี่ขอรับ”

“หาได้เป็นเพราะข้าไม่  คุณพระนายของเอ็งต่างหากที่ทำตัวเอง”  เด็กหนุ่มไม่ยอมแพ้  จะยกให้เป็นความผิดของเขาอย่างนั้นหรือ  ฝันไปเถอะ!

“ถ้าไม่เพราะคุณแก้วทำท่าจะกระโจนลงสระบัวให้คุณใหญ่เห็น  มีหรือเธอจะรั้งตัวคุณมาแล้วลงไปเก็บบัวที่คุณอยากได้”

“ใครใช้ให้คุณพระนายของเอ็งลงไปแทนล่ะ”  แก้วตาลอยหน้าลอยตาตอบ  ว่าพลางกอดอกอย่างไม่รู้สึกผิด

“ก็จริง  แต่เพราะคุณใหญ่อยากเก็บดอกบัวให้แม่หญิง  เอ้ย  คุณแก้วนะขอรับเพราะแบบนั้นเลยป่วย  คุณแก้วน่าจะไปเยี่ยมเธอสักนิด”  แสนเองก็ไม่ยอมแพ้  ตั้งใจจะลากให้แม่หญิงฉุยฉายไปเยี่ยมคนเป็นนายให้ได้

“...ฉันไม่ไป”  เสียงแหบหวานนั้นเอ่ยปฏิเสธแผ่วเบา  ก่อนเจ้าของร่างจะหันหลังเดินไปยังเรือนซ้อมรำ  ทิ้งให้แสนหน้ามุ่ยที่ทำไม่สำเร็จ


แก้วตาทิ้งตัวลงนั่งข้างดอกแก้วที่กำลังเกล้าผมอยู่หน้ากระจก  ดวงหน้าน่ารักมุ่ยยู่จนคนข้างๆอดเอ่ยปากถามไม่ได้

“เป็นกระไรของเอ็งเจ้าแก้ว?”

“เปล่า”

“ฉันได้ข่าวว่าคุณพระนายเธอป่วย”

“แล้วอย่างไร?”  ประโยคนั้นทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งนั่งหลังตรงแน่วด้วยเหมือนมีชนักติดหลังก็ไม่ปาน

“ก็ก่อนหน้านี้หายหน้าไปพักหนึ่ง  กลับมาแค่สอง-สามวันแล้วกลับไปนอนซมเพราะไข้รุมอีก  ไอ้พวกฉันที่จะได้เห็นหน้างามๆของคุณพระนายให้กระชุ่มกระชวยหัวใจพลอยเหี่ยวเฉาไปตามๆกัน”  หลายคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของดอกแก้ว

“งามอะไรกัน  ถ้าอยากเห็นคนงามฉันก็งามไม่แพ้คุณพระนายนั่นดอก!”  แก้วตาเอ่ยเสียงดังอย่างไม่พอใจ  ดอกแก้วส่งค้อนประหลับประเหลือกมาให้เด็กหนุ่ม

“เออ  เอ็งก็งาม  แต่งามคนละอย่างกับคุณพระนายเธอ  แล้วอีกอย่างงามอย่างเอ็งพวกฉันเห็นมาตั้งแต่เอ็งตีนเท่าฝาหอยแต่งามอย่างคุณพระนายน่ะหาดูยากนักพวกฉันก็ต้องอยากเห็นแบบหลังมากกว่าน่ะซิ”

“เชอะ!”

“รึเอ็งอิจฉาคุณพระนาย?”  ดอกแก้วกระเซ้า  หากแก้มเนียนของแก้วตาพลันแดงเรื่อให้บรรดาพี่สาวต่างหัวเราะคิกคักเอ็นดู  ท่าทางเจ้าแก้วจะอิจฉาคุณพระนายจริงดังคำของดอกแก้วว่า

“ใครจะไปอิจฉากัน...”  เด็กหนุ่มพึมพำ  พลางนึกถึงสาเหตุของอาการป่วยของชายหนุ่มที่...แก้วตารู้อยู่แก่ใจว่าเพราะใคร 



ขณะเดินเข้าเขตเรือนของท่านลุง  แก้วตาที่หลายวันมานี้หงุดหงิดด้วยสาเหตุอะไรบางอย่างซึ่งแม้แต่ตัวเองยังไม่เข้าใจพลันชะงักเท้าเมื่อสายตาเหลือบเห็นรถคุ้นตาของใครบางคนที่จอดเทียบชานเรือน

“อ้าว  เจ้าแก้ว  ไงเอ็ง  แม่พยอมดีขึ้นหรือยัง?”  หลวงเสนาะชะโงกหน้าออกมาถามจากชานเรือน  เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองแล้วยกมือไหว้

“ดีขึ้นแล้วจ้ะ  ไม่มีไข้แล้ว  ยาของท่านลุงได้ผลชะงัดนัก”

“ดีๆ  มา  ขึ้นมาข้างบนนี่มา”

“แต่...”  เด็กหนุ่มลังเล  อาการใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ  พลันระรัวในอกเมื่อคิดว่าใครอยู่กับหลวงเสนาะด้านบน

“ข้าจะให้เอ็งขึ้นมาลองดูเพลงที่องค์สมเด็จฯท่านทรงพระราชนิพนธ์ใหม่นี่หน่อย”  ไม่มีข้ออ้างให้แก้วตาปฏิเสธ  เพราะเด็กหนุ่มเป็นเด็กหัวไว  ฟังอะไรเพียงรอบเดียวเขาก็สามารถจำได้  ดังนั้นพวกบทละครคำฉันท์ใหม่ๆแก้วตาจึงถูกหลวงเสนาะเรียกตัวไปฟังด้วยทุกครั้ง  แล้วให้เขารับผิดชอบคอยสอนพี่ๆในเรือน

“คราวนี้เรื่องอะไรหรือจ๊ะ?”

“ศกุนตลา”  หลวงเสนาะตอบพลางยื่นหนังสือส่งให้เด็กหนุ่มอ่าน  ก่อนจะร้องให้ฟังหนึ่งรอบเพื่อเป็นตัวอย่าง


พอได้ประสบพบเนตร                 ทรงเดชโปรพเป็นใหญ่
เหมือนศรศักดิ์มาปักกลางหทัย     ดวงใจจอดอยู่ที่ภูบาล
งามทรงเหมือนองค์เทวราช          องอาจสมชายชาติทหาร
ซ้ำเสนาะเพราะรสพจมาน           อ่อนหวานชื่นใจไม่จืดจาง


ไม่รู้เพราะเหตุใดหลวงเสนาะจึงให้แก้วตาขึ้นมานั่งร้องเพลงบนเรือนใหญ่ทั้งๆที่ทุกทีจะต้องไปร้องกับวงพาทย์เพื่อดูจังหวะ  หากเด็กหนุ่มก็ได้แต่นั่งนิ่งขยับปากร้องไปตามคำสั่ง ช่วงแรกเขาก็ยังคงร้องได้ไม่ขัดเขิน  ผ่านไปครู่ใหญ่ไอ้อาการนิ่งๆที่ตั้งใจไว้ก็พลันล่มเพราะสายตาของใครบางคนที่มันพราวระยับจับจ้องไม่วางตา  ปากร้องแต่สายตาของเด็กหนุ่มจึงตวัดมองคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจ

“โอ๊ย  ฉันร้องต่อไม่ได้แล้วท่านลุง!”  เด็กหนุ่มโวย  หันมาจ้องหน้าชายหนุ่มผู้เป็นแขกของหลวงเสนาะแบบเต็มตาแล้วถลึงตาใส่

“กระไรของเอ็ง?”  เหมือนแกล้งไม่รู้  หลวงเสนาะเลิกคิ้วมองเด็กในปกครองพอเห็นท่านั้นของแก้วตาก็ให้หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่

“ฉันไม่ร้องแล้ว!”  แก้วตาว่าพลางลุกขึ้นแล้วลงเรือนไปอย่างรวดเร็ว  คุณพระนายเห็นอย่างนั้นก็หน้าเสียจนหลวงเสนาะหัวเราะร่าเสียงดังก่อนพยักหน้าให้ชายหนุ่มลุกตามใครอีกคนไป

แก้วตาที่ตั้งใจจะหนีไปเรือนซ้อมรำ  ครั้นเห็นว่ามีคนตามมาจึงเปลี่ยนใจเลี้ยวออกจากเรือนเพื่อกลับบ้านแทน  เสียงฝีเท้าแผ่วเบาด้านหลังบอกให้แก้วตารู้ว่าอีกฝ่ายตามมา  ริมฝีปากสีเข้มยกยิ้มบางเบา  จังหวะในอกที่เคยระรัวตอนก้าวขาขึ้นเรือนท่านลุงกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง  ดวงตาเรียวพราวระยับซุกซน  อารมณ์หงุดหงิดก่อนหน้าไม่รู้บินหายไปไหนหมด  เหลือบมองข้างทางเห็นต้นมะขามต้นใหญ่ที่เคยชอบแอบปีนบ่อยๆคราวยังเล็กแล้วคิดแผนการบางอย่างขึ้นมา  เด็กหนุ่มแวะเด็ดดอกไม้ริมทางพลางวิ่งเล่นเหมือนไม่รู้ว่าถูกแอบตาม  จนเมื่อทิ้งระยะห่างพอควรเขาจึงแอบหลบแล้วปีนหนีใครบางคนขึ้นต้นมะขามข้างทางนั่นเอง

ร่างสูงหยุดยืนนิ่ง  หันซ้ายแลขวามองหาร่างเล็กก็ให้ขมวดคิ้วเมื่อไม่เห็นแม้เงา  เขาทอดถอนใจเพราะดูเหมือนจะโดนแกล้งเข้าให้เสียแล้ว  คุณพระนายหนุ่มกอดอกแล้วส่ายหน้าพลางยิ้มอ่อน  โดยหารู้ไม่คนที่ตัวเองตามมานั้น  บัดนี้นอนเท้าแขนบนกิ่งใหญ่ของต้นมะขามมองลงมาพร้อมรอยยิ้ม

และดูเหมือนจากวันนั้นก็ยังคงเป็นอย่างเดิมอีกหลายเพลา  แก้วตานั่งกัดฝักมะขามอ่อนในมือเล่นแล้วหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจเมื่อใครคนนั้นทำหน้าตาหม่นหมองหลังจากตามเขาไม่สำเร็จ  แต่วันนี้แปลกนักที่คนด้านล่างไม่ยอมหันหลังกลับเสียที  เด็กหนุ่มละของกินในมือพลางยื่นหน้ามองร่างสูงอย่างพินิจไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว  ใบหน้าเกลี้ยงเกลา  ผิวขาวดั่งงาช้าง  คิ้วเรียวเข้มวาดพาดผ่านรับกับดวงตาสวยซึ้ง  ริมฝีปากอวบอิ่ม  ปลายจมูกโด่ง  งามสมที่บรรดาผู้หญิงทั้งพระนครจะลุ่มหลงอยู่ดอก...  แก้วตาย่นจมูกใส่ทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่เห็น  พลันหัวใจของเขาก็กระตุกวูบเมื่อเจ้าของใบหน้านั้นเงยขึ้นมา

“อ๊ะ!”  อารามตกใจ  มือขาวละสิ่งยึดเหนี่ยว  ร่างเล็กเสียการทรงตัวหล่นลงจากกิ่งมะขามให้คนด้านล่างเบิกตากว้างผวารับแทบไม่ทัน

“อึ่ก!”  ถึงจะไม่เจ็บตัวเท่าที่คิดแต่ก็จุกจนพูดไม่ออก  ร่างเล็กคร่อมอยู่ด้านบน  เรือนผมสีขนกาแตะแก้มกร้านของคนด้านล่างด้วยเลื่อนหลุดจากกิ่งไม้เล็กๆที่เคยใช้เก็บมวยผม  ปลายจมูกมนอยู่ห่างปลายจมูกโด่งสวยของอีกฝ่ายเพียงนิ้วมือกั้น  ริมฝีปากแตะแผ่วสัมผัสอุ่นซ่าน  แขนแกร่งตระกองกอดเอวเล็กแนบแน่นทั้งสองแขนเหมือนกลัวอีกฝ่ายหลุดหาย  ไออุ่นจากเรือนกายแกร่งพาให้หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นระรัวลั่นในอก  ดวงตาเรียวเบิกกว้างก่อนจะยันกายลุกขึ้น  หากแต่ติดว่าแขนแข็งแรงคู่นั้นไม่ยอมปล่อยเอวเขาง่ายๆ

“ปล่อยนะ!”  เสียงหวานขู่ฟ่อ  ร่างกายถูกรั้งให้แนบชิดอีกครั้ง

“อย่าเพิ่งขยับซิพี่เจ็บจนลุกไม่ขึ้นอยู่แล้ว”  เสียงทุ้มออดอ้อนข้างใบหู  แววตาหวานกวาดมองแก้มเนียนที่ขึ้นสีปลั่งของคนในอ้อมแขน  ไหล่เล็กสะท้านสั่นกับท่าทางนั้น  อากาศยามพลบค่ำเย็นบาดผิวหากแต่แก้วตากลับรู้สึกร้อนไปทั้งหน้าลามไปจนถึงปลายนิ้ว

“บอกให้ปล่อย!”  ดวงตาเรียววาววับ

“ใจร้ายจริงเชียว  พี่รับแก้วตาที่ตกต้นไม้เลยต้องมาเจ็บแบบนี้  รอให้ทุเลาก่อนไม่ได้หรือ?”  เขาถามซ้ำทั้งๆที่สีหน้าไม่ได้บอกว่าเจ็บปวดอย่างคำอ้างเอ่ย

“ท่าน!”

“ก็ได้ๆ  ถ้าน้องยอมให้พี่เดินไปส่งถึงเรือนพี่จะปล่อย”  แก้วตาจ้องคนด้านล่างที่ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเขาให้เป็นอิสระอย่างไม่พอใจ  ริมฝีปากสีเข้มยกยิ้มก่อนจะโน้มใบหน้าลงใกล้ให้คุณพระนายหนุ่มใจเต้นไม่เป็นส่ำ  แล้ว...

“โอ๊ย!!!”  ความรู้สึกเจ็บแปลบตรงไหล่ขวาทำเอาคุณพระนายเผลอผ่อนแรงให้คนในอ้อมแขนได้ทีลุกหนีจนสำเร็จ  แก้วตาหันหลังเดินหนีจากไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้ชายหนุ่มสำรวจว่าอาการเจ็บเมื่อครู่คงเกิดจากอาวุธในปากของร่างเล็กนั่นเอง  ฟันคมนักนะ!

เขาเร่งฝีเท้าให้ทิ้งห่าง  เพราะขืนยังอยู่ใกล้อีกฝ่ายน่ากลัวว่าหัวใจในอกของเขาคงเต้นทะลุออกมาอยู่ข้างนอกเป็นแน่ 

“คนอะไรไร้ยางอายที่สุด!”  ปากเล็กพึมพำ  นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ให้แก้มร้อนผ่าวจนถึงใบหู  ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำท่าทางแบบนั้นกับเขา  เสียงฝีเท้าวิ่งตามหลังมาให้ต้องตีหน้าเคร่ง  ก่อนจะรวบผมขึ้นมวยด้วยกิ่งไม้ที่ดึงจากต้นไม้ข้างทางเมื่อครู่ 
 
คนหนึ่งเดินหนี  คนหนึ่งเดินตาม  ไม่มีเสียงพูดคุยนอกจากเสียงฝีเท้าแผ่วเบา  ตะวันกำลังลับขอบฟ้าแล้วส่งพระจันทร์ขึ้นมาแทน  อากาศยามค่ำเย็นบาดผิวหากแต่คนด้านหลังกลับไม่รู้สึกหนาวสักนิด  รอยยิ้มอิ่มวาดประดับบนใบหน้าหล่อเหลา  ก่อนชะงักเท้ามองตามสายตาคนด้านหน้าก็เห็นดอกบัวลอยเต็มสระ  แก้วตาเดินไปริมสระบัว  ก่อนจะถอดรองเท้าเตรียมลงน้ำ  แขนเล็กก็พลันถูกรั้งให้ต้องหันไปมอง

“ปล่อย”

“แก้วตาจะเก็บดอกบัวหรือ?”  เขาถามพลางเงยหน้ามองฟ้าที่เริ่มมืด

“อย่ามายุ่ง!”

“มืดแล้ว  ค่อยมาเก็บพรุ่งนี้เถอะ”  คนหวังดีไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆตามคำสั่ง

“พรุ่งนี้วันพระแล้ว  เก็บพรุ่งนี้จะทันไหว้พระหรือไง?”  เด็กหนุ่มขมวดคิ้วว่า  ดึงแขนออกจากฝ่ามือใหญ่   แล้วนั่งลงตรงท่าน้ำก่อนยื่นเท้าลงไป

ต๋อม!  ยังไม่ทันที่เท้าของเขาจะแตะน้ำ  ร่างสูงของใครบางคนก็หย่อนกายไปเสียก่อน  แก้วตาเบิกตากว้างไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลงสระไปทั้งตัวแบบนี้  น้ำในสระนั้นเย็นหนำซ้ำยังลมหนาวนี่อีก  บ้าไปแล้วหรืออย่างไร!

“ทำอะไรน่ะ!”  ร่างเล็กยืดตัวลุกขึ้นยืน  ตวาดถามอย่างตกใจ

“ก็พี่จะเก็บดอกบัวให้น้อง”  คนในน้ำลอยคอหันมาตอบ  มือแกร่งพลางดึงดอกบัวที่ยังตูมอยู่ไม่หยุด

เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น   อีกฝ่ายจะรู้หรือไม่ว่าเขาแกล้งทำท่าอยากได้ดอกบัวไปอย่างนั้นเอง  เขาก็แค่แกล้งเพราะอยากรู้ว่าถ้าเขาทำท่าจะโดดลงสระอีกฝ่ายจะทำอย่างไร  ดอกบัวไหว้พระรึ?  เขาเก็บตั้งแต่เช้าแล้ว  แน่นอนว่าพายเรือไปเก็บกับแม่สองคนไม่งี่เง่าขนาดลอยคอไปเก็บแบบนี้ด้วย

“พอแล้ว  เก็บแค่นั้นพอ!”

“พอแล้วหรือ?”  ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม  ร่างเล็กพยักหน้าตอบก่อนรับดอกบัวมาถือไว้  ร่างเปียกโชกยันกายขึ้นบนฝั่ง  ลมเย็นพัดปะทะให้หนาวสั่น  ผิวขาวซีดและเสียงฟันกระทบกันให้ได้ยิน  ทั้งอย่างนั้นก็ยังส่งยิ้มให้ร่างเล็กตรงหน้าไม่หยุด

“ส่งแค่นี้ก็พอ”  เสียงแหบหวานเอ่ยก่อนจะหันกายวิ่งจากไป

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-10-2013 19:25:51 โดย sine »

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3


แก้วตาไม่รู้ว่าหลังจากนั้นอีกฝ่ายกลับเรือนไปอย่างไร  แต่เช้าวันรุ่งขึ้นเขานำดอกบัวนั้นไปไหว้พระโดยมีมารดามองอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมจึงไม่ใช้ดอกบัวที่เขาไปเก็บมาเมื่อวาน



“เจ้าแก้ว”

“ขอรับ?”  เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์ลุกขึ้นยืนเมื่อหลวงเสนาะเดินเข้ามาใกล้  หลังจากดอกแก้วว่าเขาอิจฉาคุณพระนายที่รูปงามกว่าเสร็จก็หนีไปซ้อมรำ  ทิ้งให้เขานั่งเหม่อจนท่านลุงลงมาเห็น

“ถ้าไม่คิดจะซ้อมก็ไปธุระกับข้า”

“ไปไหนหรือขอรับ?”  แก้วตารับกระเช้าขนมและหม้อโถยามาถือไว้เสียเองเมื่อคนครัวยกตามมาด้านหลังหลวงเสนาะ

“ไม่ต้องถาม  ไปกับข้าก็พอ”  เด็กหนุ่มขึ้นรถพลางนึกว่ามีใครป่วยให้ท่านลุงต้องไปเยี่ยม  ก็พลันนึกถึงคำพูดของดอกแก้วที่ว่า  คุณพระนายรูปงามป่วยมาสองวันแล้ว  แก้วตาซึ่งนั่งคู่กับคนขับหันมามองหลวงเสนาะพลางเอ่ยปากถาม

“ท่านลุง  ฉันไม่ไปได้ไหม?”

“กระไรของเอ็ง  นั่นถึงเรือนท่านพระยาพอดี”

“!”

“เอ็งเอาโถยาให้นมแย้มไป  ประเดี๋ยวข้าขึ้นไปคุยธุระกับท่านพระยาเสร็จจะลงมา”  แก้วตาพยักหน้ารับ  ก่อนเดินไปหาร่างสูงของแสนที่ยิ้มร่ารอรับ

“ไหนว่าไม่มาไงขอรับ?”  แสนกระเซ้า  ก่อนรับโถยาไปถือเอง

“ฉันโดนบังคับให้มาหรอก!”

“งั้นรึ?  คุณแก้วขึ้นไปบนเรือนเถอะขอรับ  กระผมจะเอายานี่ไปใส่ถ้วยให้คุณใหญ่เอง”  แก้วตาไม่ต่อคำ  เขาเดินขึ้นเรือนไปก็เห็นนมแย้มนั่งร้อยมาลัยอยู่ก่อนจะยกมือไหว้

“ไหว้พระเถอะพ่อ”  นมแย้มยิ้มทักทายพลางพินิจใบหน้านวลของเด็กหนุ่มรุ่นลูกแล้วก็ให้เห็นแจ้งว่าเพราะเหตุใดคุณพระนายถึงพร่ำเพ้อนักหนา  แม้ยามหลับก็หลับไม่เต็มตา  ยามกินรึก็เอาแต่นึกถึงใครบางคน    น่ารักน่าใคร่อยู่ดอกในเมื่องามถึงเพียงนี้

“ประเดี๋ยวท่านลุงคงลงมาขอรับ”  แก้วตาว่า  พลางรับขันน้ำฝนจากเด็กสาวข้างกายขึ้นดื่ม  พอดีกับแสนยกถาดยาขึ้นมาพอดี

“นม  ยาสมุนไพรที่ต้มไว้ไม่รู้ว่าได้ที่หรือยัง  นมไปดูให้หน่อยได้ไหมจ๊ะ?”  แสนกล่าว 

“ข้าจะไปดูเอง”  นมแย้มละมือจากงานตรงหน้าแล้วลุกลงเรือนไป  พลางยิ้มกับแสนคล้ายรู้กัน

 “จริงซิ  คุณแก้วฝากหน่อยนะขอรับ  กระผมลืมซื้อกระษัยยามาให้นมแย้ม”  แสนทำท่าตกใจก่อนจะวางถาดยาลงตรงหน้าแก้วตาแล้ววิ่งลงเรือนไปอีกคน  เด็กหนุ่มไม่ทันท้วงได้แต่นั่งมองถ้วยยาที่มีควันลอยกรุ่นแล้วขมวดคิ้ว  ...ยาต้มถ้าเย็นจะกินยากเพราะขม  ทางที่ดีต้องกินตอนร้อนถึงจะดี...  แล้วเอามาวางให้ตรงหน้าเขาแบบนี้...คนป่วยคงได้กินหรอก!

เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนลุกขึ้นถือถาดยาเข้าไปในเรือน  ด้วยเข้าใจแล้วว่าถูกคนเจ้าเล่ห์ทั้งหัวดำหัวหงอกหลอกเอาเสียแล้ว  เสียงไอดังมาจากห้องที่ปิดไม่สนิท  แก้วตาลังเลอยู่ชั่วครู่ว่าควรเข้าไปข้างในดีหรือไม่ก็พลันสะดุ้งเมื่อเสียงทุ้มแหบจากด้านในดังขึ้น

“แสน?  เอาน้ำให้ฉันหน่อย”  แก้วตาจึงเปิดประตูเข้าไป  ชายหนุ่มร่างสูงที่เคยถือวิสาสะเดินตามไปส่งเขาถึงเรือนบัดนี้นอนหลับตาคิ้วขมวดแน่น   พลางไอออกมาอีกสอง-สามที  เด็กหนุ่มวางถาดยาลงบนตั่งข้างเตียงก่อนจะเข้าไปช่วยพยุงร่างคนป่วยให้นั่งพิงหัวเตียงแล้วหันมาหยิบถ้วยยาป้อนให้

“ขม!”  มือแกร่งผลักถ้วยยาออกทั้งๆยังหลับตา

“ขมก็ต้องกิน!”  เขาเอ่ยดุคนป่วย  คุณพระนายลืมตาโพลงอย่างตกใจก่อนจะจ้องหน้าเด็กหนุ่มอยู่อย่างนั้น

“...พี่ฝันอยู่อย่างนั้นรึ?”  สายตาคมยังคงจับจ้องดวงหน้าเนียนไม่ละไปไหน

“ใช่  ฝันละเมอ  เพ้อเพราะพิษไข้!  กินยาเข้าไปซะ!”  แก้วตายัดเยียดถ้วยยาจ่อริมฝีปากอิ่มอีกครั้ง  คราวนี้คุณพระนายยอมดื่มมันแต่โดยดี  ถึงจะขมแต่เขากลับรู้สึกถึงรสหวานทั่วโพรงปากเท่านั้นในตอนนี้  ดูเอาเถอะ  ถึงยาขมแค่ไหนถ้ามีคนน่ารักป้อนแบบนี้เขาจะกินให้หมดหม้อเลยเชียว

หลังจากจัดท่านอนคนป่วยแก้วตาก็เตรียมลุกขึ้นหากมือแกร่งร้อนผ่าวกลับคว้าข้อมือเล็กเอาไว้  เขาหันไปมองก็ให้ยืนนิ่งเพราะสายตาเว้าวอนของคนบนเตียงทำเอาขยับขาไม่ออก

“อยู่แบบนี้ก่อนได้ไหม?”

“จะไปตามนมแย้มมาให้”

“เป็นเจ้าที่อยู่ไม่ได้รึ?”

ในที่สุดก็ต้องยอมแพ้เพราะจนใจ  จะให้ขัดใจคนป่วยก็ไม่กล้าจึงปล่อยให้คนป่วยกุมมืออยู่อย่างนั้นจนหลับ  เด็กหนุ่มดึงมือออกจากการเกาะกุมเมื่อเห็นคนบนเตียงหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้วก่อนจะยกถ้วยยาเพื่อเอาไปเก็บ  พลันประตูห้องก็ถูกเปิดออกโดยแรง
“หล่อนเป็นใคร!”  ผู้มาใหม่ยืนนิ่งพิจารณาร่างเล็กที่ยืนกลางห้อง  ใบหน้าแฉล้มนวลผ่อง  เรือนผมสีดำขลับถึงเกล้าเก็บเรียบร้อยกระนั้นลูกผมที่ล้อมกรอบใบหน้ายิ่งชวนพิศ  ริมฝีปากสีชาด  ดวงตาเรียวเล็กสีเดียวกับเรือนผมสวย  นั่นทำให้เธอไม่พอใจอย่างรุนแรงเมื่อเห็นว่า หล่อน  มาอยู่ในห้องของชายที่รัก

 “เอ่อ...”   

“ผู้ชายหรอกรึ?  ข้าไม่เคยเห็นหน้า  แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ในห้องคุณพี่แบบนี้!”  สายตาคู่นั้นกวาดมองแก้วตาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น  เสียงขยับตัวของคนบนเตียงทำให้เด็กหนุ่มต้องหันไปมองอย่างเป็นห่วงก่อนตวัดสายตากลับมามองผู้ที่ส่งเสียงดังอย่างไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว

“กระผมแค่มาป้อนยาคุณพระนาย  ตอนนี้เธอหลับอยู่คุณหนูไม่ควรส่งเสียงดังรบกวนเธอ”  ไหล่เล็กตั้งตรง   แก้วตาเอ่ยตอบคนตรงหน้าเสียงนิ่ง

“เอ็ง!”

“อ้าว  แม่หนูโสภี?”  เสียงทักจากด้านหลังทำให้หญิงสาวหันไปมองก่อนจะยกมือไหว้

“คุณหลวง?”

“พอดีฉันมาเยี่ยมพ่อใหญ่น่ะ  เห็นว่าป่วยจนไปราชการไม่ได้เลยเป็นห่วง”  ผู้อาวุโสเหลือบมองคนบนเตียงซึ่งหลับอยู่ก็กวักมือเรียกเด็กในปกครองให้เดินออกมา  “หลับอยู่รึ?”  หลวงเสนาะหันมาถามเด็กหนุ่มข้างกาย แก้วตาพยักหน้ารับ

“เด็กนี่เป็นคนของคุณหลวงหรือเจ้าคะ?”

“อ้อ  ใช่  เจ้าแก้วเป็นเด็กในปกครองของฉันเอง  เอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานน่ะ  นี่คงเอายามาให้คุณพระนายตามที่ข้าบอกซินะ?”  ประโยคสุดท้ายคุณหลวงหันไปถามเด็กหนุ่ม  แก้วตาพยักหน้ารับอีกครั้ง

“ไป  กลับกันเถอะ วันหลังค่อยมาเยี่ยมใหม่  อ้อ  แม่โสภี  ทางที่ดีปล่อยให้คนป่วยได้นอนพักแบบนั้นนั่นแหละเดี๋ยวก็หาย  แม่ไปส่งฉันขึ้นรถหน่อยซิ”

“แต่ว่า...”  หญิงสาวอิดออด  หันกลับไปมองชายหนุ่มที่หลับอยู่ก็ให้คิดว่าควรมาใหม่ตอนอีกฝ่ายตื่นจะดีกว่า  จึงยอมไปส่งหลวงเสนาะขึ้นรถ  ไม่วายก่อนหันหลังกลับยังส่งสายตาไม่พอใจให้แก้วตาแบบไม่คิดปิดบังอีกด้วย


“เด็กนั่นเป็นใครกัน?”

“เป็นพวกนักละครของกรมปี่พาทย์ที่หลวงเสนาะดูแลอยู่เจ้าค่ะ”  บ่าวสาวข้างกายตอบ  โสภีขมวดคิ้วมุ่นแล้วจู่ๆความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างก็ทำให้เธอเหลือบมองห้องของคุณพระนายหนุ่มแล้วเอ่ยเสียงเครียด

“ข้าไม่ชอบหน้ามันเลย!”

**********


กลิ่นบุหงาลอยแตะจมูกถึงกระนั้นก็ยังได้กลิ่นสาบสางบางอย่างเจือปนมาด้วย  มือขาวยกตะเกียงขึ้นส่องไล่ความมืดมิดพลางย่างเท้าเข้าไปด้านในช้าๆ

“แสน?  คุณ?”  แก้วตาเอ่ยเรียก  ก่อนจะหยุดยืนกลางห้อง  ความรู้สึกเย็นยะเยือกทำให้เขากวาดตามองรอบห้องอย่างหวาดๆ  ความรู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวจู่โจมอีกครั้งให้หวาดหวั่นแต่ยังทำใจกล้ายกตะเกียงขึ้นอีกครั้ง  แล้วต้องเบิกตากว้างกับสิ่งที่เห็น  เด็กหนุ่มถลาไปยังผนังห้องด้านหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงสั่น

“ภาพนี้...  ของเรา?”  แก้วตาดีใจก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าภาพของเขาโดนกิตติขโมยไปแล้วจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร  เขายกตะเกียงขึ้นจ่อภาพนั้นใกล้ๆ  ยิ่งดูก็ยิ่งมั่นใจว่าลายเส้นนั้นเหมือนของตัวเองไม่มีผิด  ตัวกระดาษเก่าเหลืองหากเพราะถูกเก็บรักษาใส่กรอบอย่างดีลายเส้นจึงดูชัดเจนและคมชัด  แก้วตายกนิ้วแตะภาพนั้นแผ่วเบาความรู้สึกคุ้นเคยทำให้เขาเผลอจ้องภาพนั้นไม่วางตา   

ความรู้สึกบอกว่าภาพนี้เป็นของเขา...  ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลา  เจ้าของดวงตาโศก... ภาพเดียวกันกับที่เขาวาด!

“แสน?”  เสียงฝีเท้าทำให้เด็กหนุ่มละความสนใจจากภาพตรงหน้าหันกลับไปมองทั่วห้องอีกครั้ง  ที่นี่คงเป็นเรือนซ้อมรำที่แสนเคยพูดเอาไว้เพราะมีทั้งระนาดซึ่งถูกผ้าคลุมไว้  และซอที่แขวนบนผนัง

‘แก้วตา’  เสียงเรียกแผ่วเบาให้เด็กหนุ่มเหลียวมองรอบห้อง  เห็นขาตั้งภาพ  รวมทั้งกล่องสี่เหลี่ยมใบยาวแคบตั้งชิดผนังอีกด้านหนึ่งท่ามกลางความสลัวเท่านั้น

“นั่นใคร  แสนหรือ?”  เขาเอ่ยถาม  เสียงผ้าสะบัดดังฟึ่บฟั่บผสานเสียงแผ่วเบานั้นทำให้ต้องก้าวถอยหลัง  ไหล่เล็กสั่นน้อยๆ  ความรู้สึกเย็นยะเยือกกระนาบสันหลังจนถึงต้นคอให้ขนลุกชัน  ผ้าจะปลิวสะบัดได้อย่างไรในเมื่อไม่มีลม!

แก้วตาถอยจนแผ่นหลังชนเข้ากับบางอย่าง   เขาสะดุ้งหันหลังกลับมามอง  กล่องสี่เหลี่ยมยาวที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว...  เขาถอยจนถึงผนังอีกฝั่งเลยอย่างนั้นหรือ?  เด็กหนุ่มคิด   หางตาเห็นเหมือนร่างของใครบางคนยืนอีกมุมห้องหนึ่งก็ให้ขนลุก  ใจเต้นรัว  เหงื่อเริ่มไหลซึมขมับเนียน  แวบแรกในหัวที่ผุดขึ้นมาคือต้องหนีออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด  พลันผ้าขาวที่คลุมกล่องสี่เหลี่ยมตรงหน้าก็พลันปลิวสะบัดหลุดออกราวกับมีใครกระชากออกไป

“!”  แสงจากตะเกียงสว่างพอจะทำให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน  เพราะมันคือโลงแก้ว!

แก้วตาตกใจถอยหลังสะดุดขาตัวเองล้มลงกับพื้น  แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวดับวูบลง  มีเพียงแสงจากดวงจันทร์สลัวลางข้างนอกเท่านั้นที่ส่องลอดเข้ามา  เขาขยับถอยหลัง  สัมผัสถึงฝุ่นหนาใต้ฝ่ามือ  ความรู้สึกเจ็บตรงข้อมือทำเอานิ่วหน้า  แต่เหนืออื่นใดสิ่งที่อยู่ในโลงนั่นต่างหากที่ทำให้เขากลัว!

มีศพเหี่ยวแห้งนอนอยู่ในนั้น!

เสียงฝีเท้าดังสะท้อนก้อง  แก้วตาแทบหายใจไม่ออก  เงาร่างมุมห้องนั้นขยับเข้ามาใกล้เขามากขึ้นๆ  ช้าๆ...  ‘แก้วตา’

เงานั่นเรียกเขา...

ความหวาดกลัวจู่โจม  ริมฝีปากสีเข้มสั่นระริก ลมหายใจหอบกระชั้น  มือเย็นเฉียบแทบไม่รู้สึก  เขาอยากละสายตาจากศพในโลงแก้วนั้นแต่ทำไม่ได้  หนำซ้ำสายตากลับไล่ไปยัง  ร่างทั้งสองที่สวมกอดกันในโลง  นั้นช้าๆ...

ร่างในอ้อมกอดที่นิ้วนางข้างซ้าย...แหวนทองสลักลายที่แสนเคยเอามาให้เขา  เคยบอกว่ามันเป็นของเขาตอนนี้มันอยู่ที่นิ้วของศพนั่น!  แก้วตาจำได้ว่าเขาเก็บใส่ซองเอกสารแล้วให้มารดาเก็บไว้  แล้วมันมาอยู่บนนิ้วนั้นได้อย่างไร!

อีกร่างที่กอดสวมชุดเสื้อสีขาวกับผ้าม่วงสีเขียวขี้ม้าคุ้นตา  ผู้ชายในภาพวาดของเขา!  ผู้ชายในความฝันคนนั้น!

‘แก้วตา’  ขนในกายลุกชันจนถึงหนังศีรษะ  ร่างนั้นย่อตัวลงนั่งเคียงข้างเขา  ลมเย็นเป่ารินรดข้างแก้มมาพร้อมกลิ่นบุหงา  แก้วตากลั้นหายใจไม่กล้าหันไปมอง  น้ำตารื้นคลอหน่วยอย่างห้ามไม่อยู่ 

เขากลัว!

‘แก้วตา’  ปลายนิ้วขาวยื่นหวังแตะแขนเด็กหนุ่ม  หากร่างเล็กกลับสั่นระริก

“ไม่!”  แก้วตากลั้นใจลุกขึ้นวิ่งหนีด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีออกไปด้วยความหวาดกลัว

‘แก้วตา!’  เสียงแหบโหยนั้นสั่นสะท้าน  แต่เขากลัวมากเกินกว่าจะใส่ใจ  แก้วตาตั้งใจจะวิ่งหนีกลับชะงักเท้าเมื่อผลักบานประตูออกไป  ร่างของแสนยืนขวางเอาไว้ด้วยสีหน้านิ่งเฉย

“จะไปไหนหรือขอรับคุณแก้ว?” 

“แสน   ช่วยด้วย!”  เด็กหนุ่มร้องขอความช่วยเหลือแผ่วเบา  หากคนตรงหน้ากลับยิ้มเย็นส่งมาให้

“กลัวอะไรขอรับคุณแก้ว?  คุณใหญ่รอคุณมานานขนาดนี้”  ใบหน้าคมเข้มดุดันไหววูบ  ดวงตาแดงก่ำและรอยยิ้มกว้าง...

“!”  แก้วตาก้าวถอยหลัง  ทำไมเขาไม่เคยรู้ว่าก่อน  ว่าแสนน่ากลัวขนาดนี้!












เสียงสะอื้นร่ำไห้โหยหวนราวกับจะขาดใจกระตุกใจคนได้ยินให้สั่นไหวไล่ตามหลัง  น้ำตาอุ่นจัดจากความหวาดกลัวไหลผ่านแก้มร่วงหล่นยามเมื่อขาก้าววิ่งจากมา  ลมเย็นสะท้านแม้แต่ขนบนหนังศีรษะยังลุกชัน   เสียงเห่าหอนของสุนัขขานรับเสียงร้องไห้นั้นระงมจนทั่วทั้งซอยถนน

แก้วตาไม่รู้ว่าตัวเองเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน   เขาวิ่ง   วิ่งหนีจนสุดชีวิตออกจากที่นั่น  ออกจากเรือนขาวของคุณพระนายที่ยืนร่ำไห้ปริ่มจะขาดใจในห้องซ้อมรำนั้น...ทิ้งเรือนขาวอันมืดสนิทแสนวังเวงเอาไว้เบื้องหลัง


‘แก้วตา  อย่าไป!’

‘เจ้าไม่รักพี่แล้วหรือ?’

‘แก้วตา!’

‘แก้ว....’

ถ้อยคำตัดพ้อต่อว่า  ร่ำร้องเรียกชื่อให้หวนกลับไปหา.... 
...หรือดวงใจของเขาจะแหลกสลายอีกครา.... 




เจ้าของแผ่นหลังเล็กวิ่งห่างออกไปท่ามกลางความมืดหากเขาไร้เรี่ยวแรงจะเหนี่ยวรั้ง  ดวงตาหวาดกลัวและถ้อยคำปฏิเสธนั้นของแก้วตาราวกับมีดปักลงกลางอกของเขา  เสียงโหยไห้สะท้านก้องท่ามกลางความมืดมิด...เรือนขาวถูกปกคลุมไปด้วยความหม่นหมองเฉกเช่นครั้งอดีต....   
.
.





ไกลออกไป...
คนที่วิ่งจากมานั่งซุกตัวจมลงไปในเบาะนุ่มของรถคันหรู  เสียงร้องไห้ที่ได้ยินนั้นทำให้เขาน้ำตาไหลอาบแก้ม  แขนขาวยกขึ้นกอดไหล่สั่นระริกของตัวเองไว้แน่น

เสียงร้องไห้นั้น  ราวกับคนที่ถูกควักดวงใจออกไปทั้งเป็น...


*********






โปรดติดตามกาลต่อไป

TBC.

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
«ตอบ #124 เมื่อ17-10-2013 19:52:33 »

คุณทรายมาแล้ว ^^
เดี๋ยวมาอ่านค่ะ ไปเก็บโต๊ะกินข้าวก่อน

....................

คุณพระนายอดทนไว้ค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-10-2013 21:11:56 โดย cinquain »

ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
«ตอบ #125 เมื่อ17-10-2013 20:33:53 »

โธ่ อ่านแล้วสงสารคุณใหญ่จังเลย แก้ววิ่งหนีไปแล้ว คงเจ็บปวดทั้งคู่เป็นแน่

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
«ตอบ #126 เมื่อ18-10-2013 11:54:43 »


สนุกจัง---เหมือนดูหนังเลยอ่ะ
มีตัดตอนสลับไปมาด้วย
อ่านแล้วอินสุดๆ

+ เป็ดจ้า

ออฟไลน์ bebe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 672
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-5
Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
«ตอบ #127 เมื่อ18-10-2013 20:24:04 »

อ่านเพลินมากเลย เจ้าค่ะ มากต่อเร็วๆนะเร็วๆนะเจ้าคะ อิฉันจะคอย

carenaka

  • บุคคลทั่วไป
Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
«ตอบ #128 เมื่อ19-10-2013 00:43:50 »

อิช้นเฝ้ารอมาหลายเพลา เป็นบุญยิ่งนักที่ไก้อ่านวันนี้

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
«ตอบ #129 เมื่อ19-10-2013 09:01:56 »

จะร้องไห้ตามคุณพระนาย เศร้าจังเลยค่ะ :hao5:
เป็นใครก็กลัวอ่ะ ยิ่งมาทั้งเสียง กลิ่น ภาพ จัดเต็มมาก แก้วสติไม่แตกก็เก่งมาก :mew6:
แต่คุณพระนายน่าสงสารมาก ทำยังไงดี อยากให้กลับมารักกันแต่อยู่ในภพเดียวกันอ่ะ แบบนี้ทรมานเกินไป :mew4:
มาต่ออีกนะคะ :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
« ตอบ #129 เมื่อ: 19-10-2013 09:01:56 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bebe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 672
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-5
Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
«ตอบ #130 เมื่อ30-10-2013 19:57:40 »

รอนะเจ้าคะ นี้ก็หายไปหลายเพลาแล้ว รีบมาต่อเถอะเจ้าคะ

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
«ตอบ #131 เมื่อ22-11-2013 03:14:21 »



...อสงไขย...
...กาลที่ ๘...






เฮือก!     

ไหล่เล็กสะดุ้งเฮือก
เมื่อเสียงใบไม้ไหวตามแรงลมดังซู่ซ่า  ม่านสีขาวสะบัดปลิวเปิดจนเห็นเงาต้นไม้ไหวเอนยิ่งพาให้ขวัญผวา

“แก้ว  ไปสวดมนต์ที่ห้องพระเสียหน่อยไหม?”  เด็กสาวข้างกายเอ่ยถาม  แก้วตาพยักหน้าโดยไม่รอให้จบประโยค  ตั้งแต่เมื่อคืนจนรุ่งเช้าเวียนมาพลบค่ำของอีกวันเขายังไม่ได้ปิดเปลือกตาหลับเลยสักงีบ     แค่หลับตาใบหน้าของคนคนนั้นก็เข้ามาในความคิดจนหลับไม่ได้
.
.
   “เกิดอะไรขึ้นที่เรือนหลังนั้นหรือแก้ว?”  แก้วตาเหลือบสายตาขึ้นมองเมื่อเพื่อนเอ่ยถาม  ดวงตาเรียวสั่นไหวเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี

   “อะไรทำให้แก้วต้องวิ่งออกมากลางค่ำกลางคืนแบบนั้นกันครับ?”

“นั่นซิ  รู้ไหมว่าเรากับพี่ชายตกใจแทบแย่ตอนเห็นเธอวิ่งร้องไห้ออกมาแบบนั้น”   เมื่อคืนวานแก้วตาวิ่งออกมาจากเรือนขาวด้วยความหวาดกลัว  ท่ามกลางซอยมืดเงียบสงัด  เสียงสะอื้นไห้ลอยแว่วตามหลังมาทำให้ก้าวขาแทบไม่ออก  โชคดีฤดีกับพี่ชายแวะเวียนไปหาจึงได้พบเขาที่กำลังวิ่งออกมา  เขาทิ้งตัวซุกกายลงบนเบาะหลังรถ  กอดไหล่สั่นสะท้านของตัวเองเอาไว้แน่น  น้ำตาที่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรไหลอาบแก้มจนเปียกชุ่ม  ก่อนฤดีจะพาเขากลับมาบ้านด้วย

“มีอะไรที่พวกเราพอจะช่วยแก้วได้หรือเปล่าครับ?”  น้ำเสียงอ่อนโยนของชายพาให้แก้วตารู้สึกอบอุ่นขึ้นมา  ...เมื่อก่อนใครคนนั้นก็ใช้น้ำเสียงแบบนี้กับเขา...  เด็กหนุ่มสะบัดหัวไล่ความนึกคิดนั้นออกไป

“ฤดี  เธอเคยบอกว่ากลัว สะ แสน  ใช่ไหม?”  ยามเมื่อเอ่ยชื่อนั้นออกไป  เสียงแหบหวานสั่นเครือจนอีกสองคนจับได้  ฤดีพยักหน้ารับหากไม่เอ่ยถามต่อ

“พี่ชายเคยถามว่าที่เรือนหลังนั้นยังมีใครคนอื่นในเรือนอีกไหม”  ชายพยักหน้ารับ  แก้วตาอึกอักที่จะเอ่ยหากแต่ก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดต่อ  “มีคนอื่นอยู่ในเรือนขาวจริงๆ”

“คนอื่น?”  ฤดีเอ่ยรั้งอย่างสงสัย

“ไม่  ไม่ใช่คน  ฮึก!”  เอ่ยจบแก้วตาก็น้ำตาไหลพราก  ภาพโลงแก้วและสิ่งที่อยู่ในนั้นพลันผุดขึ้นมาในหัว  ความรู้สึกหนาวสะท้านจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่   เขากลัว...

“แก้วครับ!”  ชายผวา  ทิ้งกายลงนั่งเคียงข้างรั้งร่างเล็กของเพื่อนน้องสาวเข้ามากอด  แค่ใบหน้าอมทุกข์ของคนตรงหน้าก็ทำให้เขาร้อนรุ่มจะแย่  นี่ถึงกับร้องไห้  เขาจึงอดไม่ได้ที่จะปลอบประโลม

“ผม...”  เด็กหนุ่มผลักอกกว้างออกห่าง  ก่อนจะขยับกายออกให้พ้นวงแขนนั้นเพื่อไม่ให้ใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมากนัก  ถ้าเขาเห็นว่ายอมให้คนอื่นกอด  เขาจะเสียใจแค่ไหนกัน?  โดยไม่รู้ตัว  ความนึกคิดของแก้วตามักจะมีใครคนนั้นแทรกอยู่เสมอ  คราแรกหวาดกลัว  ...แล้วแฝงด้วยห่วงหา   

“พวกเราพอจะช่วยอะไรได้ไหม?”  ชายเก็บสีหน้าผิดหวังแล้วยิ้มอ่อนเอ่ยถาม  แก้วตาจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานให้เพื่อนและพี่ชายฟังอย่างละเอียด  ยกเว้นเรื่องความฝันเลือนรางซึ่งมักจะมีผู้ชายคนนั้นอยู่ด้วย

“แบบนี้ซิเขาถึงเรียกว่าผีหลอกของจริง!”  ฤดีเอ่ยเสียงดัง  เหมือนๆกลัวแต่ก็ปนโมโหเอาไว้ด้วย

“เอ่อ”

“ผีไม่อยู่ส่วนผี  มาหลอกให้เราเข้าไปอยู่ในเรือนนั้นได้ยังไง  นายแสนนะนายแสน!”

“ฤดี!”  ไม่รู้ทำไมแก้วตาถึงไม่อยากได้ยินใครเอ่ยตำหนิการกระทำของแสน  เพราะที่ผ่านมาถึงแสนจะทำให้เขาไปอยู่เรือนขาวจริงแต่แสนก็ไม่เคยทำอะไรร้ายๆหรือสิ่งอันตรายให้เขากับมารดาเลยสักนิด

“ก็มันจริงนี่  ถ้าเธอไม่เข้าห้องนั้นไปโดยบังเอิญป่านนี้เราก็ยังคงโดนผีหลอกอยู่!”  ไอ้ที่โวยวายอยู่นี่เพราะฤดีเป็นห่วงเพื่อน  อีกทั้งเธอเองก็กลัวเรื่องทำนองนี้ด้วย

“แต่เขาไม่ได้ทำร้ายเราเลยนะฤดี  หนำซ้ำยังคอยดูแลเรากับแม่อย่างดีอีกต่างหาก!”  แก้วตาเถียงกลับไป  รู้สึกเดือดดาลอย่างไม่เข้าใจเหตุผล  ฤดีหน้าเสียก่อนจะยอมเงียบเสียงลง

 “คืนนี้ให้เราไปนอนเป็นเพื่อนไหม?”  ฤดีเอ่ยถามทั้งๆที่เกาะแขนพี่ชายเอาไว้แน่น

“จะบ้าหรือ  เป็นผู้หญิงยิงเรือมานอนห้องเดียวกับผู้ชายได้อย่างไร”  เด็กหนุ่มเอ็ดเพื่อนเข้าให้

“ถ้าอย่างนั้นแก้วมานอนห้องพี่ชายก็ได้”  ฤดีเสนอทางเลือก

“แต่...”

“เราไม่อยากให้แก้วนอนคนเดียวเลย  เธอเองก็กลัวไม่ใช่หรือถ้าอย่างไรมานอนห้องพี่ชายน่ะดีที่สุดแล้ว  มีอะไรจะได้ช่วยกันได้”

“พี่จะให้เด็กเอาเครื่องนอนขึ้นไปไว้บนห้องอีกชุดหนึ่ง  แก้วไม่ต้องห่วงหรอกครับ”  ชายเสนอขึ้นให้แก้วตาหมดทางปฏิเสธ  เพราะอย่างไรเสีย  เขาก็กลัวอย่างฤดีว่าจริงๆนั่นแหละ

แสงจากหลอดไฟจ้าเสียจนแสบตาเมื่อเทียบกับตอนอยู่เรือนขาวเพราะบ้านของฤดีนั้นถือว่าร่ำรวยจึงมีการติดตั้งไฟฟ้าเข้ามา  แก้วตาผ่อนลมหายใจโล่งอก  อย่างน้อยถ้ามีแสงสว่างก็ลดความกลัวของเขาลงไปได้บ้าง

“แก้วนอนบนเตียงเถอะ”  ชายเอ่ยขณะตวัดผ้าห่ม

“แต่ว่า...”

“แก้วเป็นแขกจะให้นอนเตียงรับรองได้อย่างไร”

“แต่พี่ชายเป็นเจ้าบ้านจะให้นอนเตียงรับรองได้อย่างไร”  แก้วตาใช้ประโยคเดียวกันเอ่ยกลับไป  ชายหัวเราะแผ่วพลางส่ายหน้า

“ดื้อเหมือนกับฤดีไม่มีผิด”

“ถ้ารายนั้นมาได้ยินพี่ชายพูดแบบนี้จะงอนเอานะครับ”  แก้วตายิ้มตอบ  เขาผ่อนคลายขึ้นเยอะเมื่อมีแสงสว่าง

“ช่างเถอะๆ  พี่จะนอนแล้วนะ”  ว่าแล้วชายก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงรับรองที่เพิ่งยกขึ้นมาแล้วคลุมโปงหนีเพื่อตัดบท  แก้วตาส่ายหัวน้อยๆกับการกระทำนั้น  ดูเอาเถอะว่าน้องสาวดื้อ  พี่ชายก็ไม่ต่างกันนักหรอก





.........    น่ารักเอย                        น่ารักดรุณ
                       เหมือนแรกจะรุ่น                จะรู้เดียงสา
                       เจ้ายิ้มเจ้าแย้ม                   แก้มเหมือนมาลา
                      จ่อจิตติดตา                        เสียจริงเจ้าเอย ฯ


เสียงขับร้องลอยแว่วหวาน  ความคุ้นเคยนั้นพร้อมจะให้แขนขาขยับตามท่วงทำนองราวกับเขาเป็นส่วนหนึ่งของบทเพลง  เคยได้ยินเคยได้ร้อง  แก้วตายิ้มพลางคิดว่าคราวหน้าจะมีบทละครใหม่เรื่องใดให้เขาต้องฝึกอีกหนอ  พลันบทเพลงก็หยุดชะงักเพราะประโยคที่แทรกผ่านมา  เสียงนั้นเบา...แผ่วเบาลอยมาตามลมให้เขาต้องเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

‘แก้วตา  กลับมาเถอะนะ’

‘เจ้าไม่รักพี่แล้วหรือ?’

‘แก้วตาพี่’

ร่างบนเตียงขยับไปมาเหมือนอึดอัด  เหงื่อผุดซึมตามขมับเนียนเปียกชุ่มไรผมราวกับตอบรับเสียงร้องเรียกนั้น  ริมฝีปากอิ่มสีเข้มขยับเอ่ยแผ่วเบา

“คุณใหญ่”

อากาศในห้องพลันเย็นขึ้นทันตาเมื่อสิ้นเสียงตอบรับ  ม่านหน้าต่างปลิวสะบัดเสียงดัง  แสงจันทร์แหว่งเว้ายังคงส่องแสงสว่างบางเบาให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ท่ามกลางความมืดนอกตัวบ้านได้ชัดเจน  ร่างของคนบนเตียงที่ยังหลับตาเมื่อครู่บัดนี้ตื่นขึ้นลุกเดินมายืนชิดริมหน้าต่างไร้ความง่วงงุนให้เห็น  เขาหยุดเท้ามองฝ่าความมืดไปยังเบื้องล่างซึ่งมีใครบางคนยืนอยู่

‘แก้วตา’

เจ้าของดวงตาโศกเงยขึ้นมองเขาเอ่ยร้องเรียก  เสียงทุ้มเจือแววสะอื้นไห้ให้คนฟังใจอ่อนยวบ  มือขาวกำขอบหน้าต่างแน่น...  เขาคุ้นเคยกับเจ้าของดวงตาคู่นั้น  เขาโหยหาอ้อมกอดจากคนคนนั้น

อยากกลับไปหา
กลับไป...
คุณใหญ่...


 
“แก้วครับ!”

“!”  เสียงเรียกด้วยความตระหนกของใครบางคนทำให้เขาลืมตาขึ้นมอง  ใบหน้าของพี่ชายเพื่อนที่ดูวิตกกังวลและแสงสว่างของแดดยามรุ่งอรุณ  แก้วตาหันไปมองรอบกายก่อนจะเข้าใจว่าทั้งหมดเมื่อครู่     เขาฝันไป…

“แก้วเป็นอะไรหรือเปล่าครับ  พี่เห็นเราละเมอแล้วก็เรียก....”

“เรียก?  เรียกอะไรหรือครับ?”  แก้วตาลุกขึ้นนั่งพลางถามกลับ

“คุณใหญ่”  ชายไม่ใคร่อยากจะตอบมากนักหากแต่เมื่อนึกถึงความปลอดภัยของคนที่อยู่ตรงหน้าก็ต้องเอ่ยออกไปอย่างเสียไม่ได้  เขารู้สึกไม่อยากได้ยินชื่อนั้นเอ่ยออกมาจากปากของแก้วตาเลย  ...เพราะมันเต็มไปด้วยความรัก  อ่อนโยนและคะนึงหาอย่างเปี่ยมล้น...

“ผมฝัน”  แก้วตาเอ่ย  พลางหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง  แววตาคู่สวยเหม่อมองไปไกล

“ฝัน?”  ไม่รู้ว่าแววตาของแก้วตามองไปที่ใด  หากแต่ในใจของชายเจ็บแปลบเหลือเกิน  เขาเพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่ากำลังตกหลุมรักเพื่อนของน้องสาวเข้าแล้วอย่างไม่อาจถอนตัว  เขาปรารถนาที่จะปกป้องอีกฝ่าย  อยากให้เสียงแหบหวานนั้นเอ่ยเรียกชื่อเขาอย่างที่เอ่ยร้องเรียกคุณใหญ่คนนั้น  อยากให้แววตามองมายังเขา  อยากให้แก้วตารักเขาอย่างที่เขารัก...

“ช่างเถอะครับ  ผมว่าเราลงไปใส่บาตรพระกันดีกว่า”  ในที่สุดใบหน้าน่ารักก็หันมามอง  รอยยิ้มที่มักไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักถูกส่งมาให้

“ครับ”  ก่อนออกจากห้อง  ชายเหลือบมองดอกจำปาลาวสีขาวข้างหมอนของแก้วตาอย่างแปลกใจ  หรือเมื่อคืนเขาจะลืมสังเกตว่าอีกฝ่ายเอามันเข้ามาตอนไหน

“แก้ว  จะไปไหนหรือ?”  ฤดีเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนเตรียมตัวออกไปข้างนอกแต่เช้า

“ไปรับแม่ที่ท่าเรือน่ะ”

“หืม?”

“ถ้าแม่กลับมาแล้วตรงไปที่นั่นคงตกใจแย่”

“อ้อ  อืม  เอายังไงดีนะ  เราอยากไปเป็นเพื่อนเธอนะแต่ว่าต้องไปทำธุระกับพี่ชายด้วยเหมือนกัน”

“ฤดีไปกับพี่ชายเถอะเราไปคนเดียวได้”  แก้วตาบอกพลางยิ้มว่าตนเองไม่เป็นไร  อันที่จริงแล้วเขาอยากจะคิดอะไรคนเดียวเงียบๆมากกว่า

“เอาอย่างนั้นก็ได้  ถ้ายังไงเราจะแวะไปหาที่ท่าเรือถ้าธุระของพี่ชายเสร็จแล้ว”  ฤดียังอดเป็นห่วงไม่ได้  ถ้าผีสองตนนั้นตามเพื่อนของเธอไปเล่าจะทำอย่างไร

“จ้ะ”


**********



ทำไมเขาถึงลืม?
ความฝันที่มักจะฝันเสมอ
เสียงดนตรี  เสียงหัวเราะ  เสียงพูดคุยต่อล้อต่อเถียง
เขาเคยฝัน  พอลืมตาตื่นก็มักจะลืมและเพราะเรื่องต่างๆในชีวิตก็ทำให้เขาไม่มีเวลามานั่งนึกถึงความฝันที่จำไม่ได้ยามเมื่อลืมตาตื่นในตอนเช้า

เริ่มฝันตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
อ้อ  ตั้งแต่วันที่ได้เจอกับแสนครั้งแรกที่บ้านเก่า  ใช่ตอนนั้นเขาฝันเห็นป่าสีเขียว  ความรู้สึกเจ็บแสบ  หิวกระหายและหวาดกลัว  ในความฝันนั้นเขาร้องเรียกหาใครสักคน  ทั้งรัก  ทั้งไม่เข้าใจ  ทั้งโกรธแค้น  สุดท้ายก็เจ็บปวดจนน้ำตาอาบแก้มเปียกหมอนเมื่อตื่นลืมตา

“คุณใหญ่...”  เจ้าของริมฝีปากสีเข้มเอ่ยพึมพำ  ยามนี้ดวงหน้าใสไม่มีร่องรอยความหวาดวิตกเหลือเท่าวันก่อนแล้ว  นั่นเพราะแก้วตาเพิ่งรู้สึกตัวเดี๋ยวนี้เองว่าเขาคุ้นเคยกับวิญญาณสองดวงในเรือนขาวนั้น  ไม่ใช่แค่หนึ่งเดือนหรือสองเดือน  หากแต่เป็นเมื่อนานมาแล้ว

“แก้ว?”  เสียงเรียกของมารดาทำให้เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์  เขามานั่งรอมารดาตั้งแต่เช้าเพราะต้องการเวลาในการคิดทบทวนสิ่งต่างๆเงียบๆคนเดียว  เขาจึงปฏิเสธเพื่อนไป

“แม่”

“มีอะไรหรือเปล่าลูก  ทำไมถึงมารอแม่ที่นี่ล่ะ?”

“แม่จ๊ะ  แก้วมีเรื่องอยากจะคุยกับแม่น่ะ”

“แล้วทำไมไม่รอที่เรือนล่ะลูก?”

“กลับไปไม่ได้  ตอนนี้กลับไปที่เรือนขาวไม่ได้หรอกจ้ะ”

“?”  แก้วตาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มารดาฟัง  เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองและลูกจะอยู่ร่วมชายคากับสิ่งไม่มีชีวิตมานานถึงเพียงนี้  หนำซ้ำยังเหมือนถูกหลอกให้มาอยู่เสียด้วยซ้ำ  อ้อ  ก็ถูกหลอกจริงๆนั่นแหละ   ผีหลอกของจริงเลยเชียว

“เราจะทำยังไงดีจ๊ะแม่?”

“เขาไม่ได้ทำอะไรลูกใช่ไหม?”  แก้วตาส่ายหน้าให้คนเป็นแม่ถอนหายใจโล่งอก  “แล้วเขายังตามมาอยู่ไหม?”

“มาจ้ะ  เมื่อคืน”

“ตายจริง!”

“แต่เขาไม่ได้มาทำอะไรแก้วหรอกนะจ๊ะ  เพียงแต่...  เพียงแค่พูดให้ลูกกลับไปหาเขา”

“กลับไปหาอย่างนั้นหรือ?”

“จ้ะ”  เพ็ญจันทร์ขมวดคิ้วเมื่อได้ฟัง  ก่อนจะนึกออกว่าเธอไปทำบุญ  นั่งสมาธิถึงอยุธยาเพื่ออะไร  “แก้ว  ไปหาพระคุณเจ้ากับแม่เร็ว!”  พวกเขาเจอกับฤดีตอนออกจากท่าเรือก่อนทั้งหมดจะไปวัดด้วยกัน
.
.

“ในที่สุดก็เลือกแบบนี้รึ?”

“?”  บุคคลทั้งสามจ้องหน้ากัน  เพราะไม่เข้าใจว่าพระคุณเจ้าตรงหน้าพูดถึงเรื่องอะไร

“เขาคือคนที่ตามลูกของโยมมาจากอดีตชาติที่อาตมาเคยบอกเอาไว้”  เพ็ญจันทร์พยักหน้ารับ  เธอจำได้ดีว่าวันนั้นท่านพูดอะไรบ้าง

“อดีตชาติหรือเจ้าคะ?”  ฤดีเอ่ยถามเพราะยังไม่เข้าใจดีนัก

“โยม  โยมสัญญากับเขาเอาไว้เขาถึงรอ”

“สัญญา?”

“โยมอยากจะตัดวจีกรรมนั้นหรือไม่?”  พระคุณเจ้าเอ่ยถาม  แก้วตาขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

“ตัดวจีกรรม?”

“ใช่  ตัดถ้อยสัญญาเพื่อให้เขาหลุดพ้นไปจากชาตินี้  ทั้งโยมและเขาจะได้ไม่มีพันธะสัญญาผูกพันกันอีก”

ไม่มีพันธะสัญญาผูกพันกันอีกอย่างนั้นหรือ
ไม่พบเจอกันอีกในชาตินี้
จากกัน...ตลอดไป?

ไม่!


“ไม่ครับ!”

“แก้ว! / ลูก!”

“ผมสัญญาอะไรไว้  ทำไมเขาถึงต้องมาทรมานขนาดนี้?  ทำไมผมถึงเจ็บปวดเมื่อเห็นเขาเจ็บ...ผมไม่เข้าใจเลยครับหลวงพ่อ?  ที่เขาต้องทุกข์ทรมานแบบนี้เป็นเพราะผมใช่หรือเปล่าครับหลวงพ่อ?  ทำไมเขาถึงต้องรอ  ผมอยากรู้”  น้ำตาร่วงผ่านแก้มเนียนยามเมื่อนึกถึงสายตาเจ็บปวดและเสียงร่ำไห้นั้น  เจ้าของเสียงทุ้มที่เอ่ยร้องเรียกเขาราวจะขาดใจของคนคนนั้น

“โยมอยากรู้อย่างนั้นรึ?”

“ครับ  หลวงพ่อ  ผมอยากรู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ทำไมเขาถึงร้องไห้  ทำไมเขาถึงมีแววตาที่เจ็บปวดขนาดนี้  ทำไมถึงมองผมด้วยสายตาแบบนั้น  ทำไมผมถึงฝันเห็นเขา  ทำไมผมถึงลืม  ฮึก!”

“แก้ว”  ฤดีแตะแขนเพื่อน  เธอสงสารแก้วตาที่ตอนนี้ร้องไห้สะอื้นจนตัวโยน  เธอไม่รู้หรอก
ว่าความจริงแล้วเรื่องราวเป็นอย่างไร  ทำไมแก้วตาถึงอยากรู้เรื่องอะไรของผีตนนั้นนักหนา  ทำไมเพื่อนของเธอถึงร้องไห้  เธอรู้แต่เพียงในน้ำเสียงนั้นของแก้วตามันทั้งเศร้า  ทั้งเจ็บปวดและปะปนด้วยความคิดถึงจนเธอเจ็บปวดตามไปด้วย

“ผมรู้สึกว่าเขารักผมมาก  และผมก็คงเคยรักเขามากเช่นกัน”

“ลูก...”  เพ็ญจันทร์ใจหาย  เธอเคยรู้สึกเหมือนจะสูญเสียลูกรักไปจากอกเมื่อก่อนย้ายมาเรือนขาว   หลายวันก่อนเธอรับรู้ว่ามีวิญญาณตามลูกชายของเธอมาจากอดีตและตอนนี้ลูกชายของเธอกำลังจะหาคำตอบของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้

“เฮ้อ  ถ้าอย่างนั้นวันพรุ่งนี้ให้โยมกับโยมแม่มาหาอาตมาที่นี่อีกครั้งก็แล้วกันอาตมาจะช่วยโยมเอง”

“ครับ”

“แต่ว่านะ  ตอนนี้โยมรีบกลับไปที่เรือนหลังนั้นเถอะ  ก่อนจะสายเกินไป  หรืออย่างไรสีกา?”

“?”  แก้วตาเอียงคออย่างไม่เข้าใจ  หากฤดีที่นั่งข้างๆสะดุ้งตกใจเมื่อพระคุณเจ้าหันมาทางเธอ

“เอ่อ  แก้ว   คือว่า...”

“มีอะไรหรือฤดี?”

“เมื่อเช้า ที่เราไปทำธุระกับพี่ชาย  ตอนนี้  เอ่อ  คงมีหมอผีไปที่เรือนหลังนั้น...”

“!”  แก้วตาลุกพรวดขึ้นอย่างตกใจหลังจบคำพูดของเพื่อน  เขาวิ่งออกไปสุดฝีเท้า  เขากลัวเหลือเกิน    จะต้องจากกันไปทั้งอย่างนี้อีกครั้งอย่างนั้นหรือ?



******
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-11-2013 03:20:27 โดย sine »

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
«ตอบ #132 เมื่อ22-11-2013 03:16:22 »

.
.
.
.
.

“หืม?  เรือนหลังนี้หรอกรึ?”

“คุณรู้จักหรือ?”

“ข้าได้ยินมานาน  เรือนขาวที่ไม่เคยมีใครกล้าเดินผ่าน  เสียงร่ำไห้เหมือนจะขาดใจและความมืดวังเวงทำให้พื้นที่รอบข้างไม่มีใครกล้ามาปลูกบ้านอยู่  นึกไม่ถึงว่าจะมีผีเจ้าของบ้านจริงๆ”

“เจ้าของบ้าน?”

“คุณไม่ได้อยากได้พื้นที่แถบนี้หรอกรึถึงจ้างให้ข้ามาปราบผีน่ะ?”  ชายสูงวัยในชุดขาวหันกลับมาถาม  ข้าวของอุปกรณ์ถูกยกออกมาวางเพื่อทำพิธี

“ผมไม่ได้อยากได้ที่อะไรทั้งนั้น!  ผมแค่ต้องการให้เขาออกไปจากชีวิตของคนที่ผมรัก!”  ชายตะโกนเสียงดัง  พร้อมกับลมกรรโชกแรงขึ้น  เศษใบไม้แห้งที่เคยร่วงหล่นปลิวไหวคละฝุ่นคลุ้งจนต้องหลับตา

“จะอยากได้หรืออยากปกป้องอะไรของคุณก็ช่าง  ตอนนี้ดูเหมือนพวกมันจะโกรธซะแล้ว”

“!”  ชายร่างกำยำยืนหน้าตาถมึงทึงจ้องมายังพวกเขาสองคนด้วยสายตากร้าวแดงก่ำราวกับเลือด  นั่นคือแสนที่ชายคุ้นหน้าดียามมาเรือนหลังนี้  ส่วนอีกคนอยู่ด้านหลัง  เขาสวมเสื้อราชประแตนสีขาวกับผ้าม่วงสีเขียวขี้ม้า  ดวงตาโศกมองมาทางเขานิ่ง  ผู้ชายที่ชายเคยเห็นบนระเบียงห้องนอนของแก้วตาคราวเมื่อมาเรือนขาวครั้งแรกนั่นเอง

‘เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง  กล้าเอาหมอผีมาถึงเรือนขาวเชียวรึ?’  แสนชี้หน้าตวาดเสียงดัง

“เพราะพวกคุณเข้ามายุ่งวุ่นวายกับแก้วก่อนต่างหาก”

“เจ้าต่างหากที่เข้ามายุ่งวุ่นวาย!  คุณแก้วกำลังจะนึกเรื่องของคุณใหญ่ออกอยู่แล้ว!”

“ผมทำเพื่อปกป้องเขา  พวกคุณเป็นผีก็อยู่ส่วนผีซิ  มายุ่งวุ่นวายกับคนทำไม!”  ชายตะโกนตอบกลับ  แสนก้าวเท้าเข้าหาด้วยโมโห  หากแต่ต้องล่าถอยเพราะหมอผีที่ชายพามาด้วยตวัดบางอย่างในมือออกไป

ขวับ!  มีดหมอที่วาดกลางอากาศสร้างรอยไหม้ยาวน่ากลัวตรงต้นแขนขวาถึงกลางอกของแสนซึ่งไม่ทันระวังตัว  หากเขาก็ไม่ร้องออกมาสักนิดทำแค่เพียงกัดฟันแน่นเท่านั้น  ก่อนจะถอยไปยืนหน้าคุณพระนายแล้วกางแขนออกเพื่อไม่ให้ใครทำอะไรผู้เป็นนายที่อยู่ด้านหลังตนได้

“ดุนักใช่ไหม  แบบนี้แหละมันน่าเอาไปใช้นักแล”  หมอผีชราท่าทางดีใจ  ก่อนจะร่ายคาถาต่อแล้วฟาดฟันไปยังร่างวิญญาณทั้งสองดวงอย่างบ้าระห่ำ  แสนที่พะวงปกป้องคนเป็นนายจะถลาเข้าทำร้ายคืนก็กลัวว่าคุณพระนายจะได้รับบาดเจ็บ

‘พอเถอะแสน’

‘ไม่ขอรับ!  กระผมจะไม่ให้พวกมันทำร้ายคุณใหญ่!’  ฮ่าส์!!!!  แสนตอบก่อนจะอ้าปากคำรามใส่ฝ่ายตรงข้ามราวกับเสือ  ดวงตาแดงก่ำคล้ายเลือดดูน่ากลัวให้คนมองอดผวาไม่ได้  ลมแรงราวกับพายุพัดเสียจนชายทรงตัวแทบไม่ไหว  ขายาวก้าวถอยหลังไปหลายก้าว  ส่วนหมอผีที่เตรียมรับมืออยู่แล้วทรุดลงและพยายามลุกขึ้นใหม่    บริกรรมคาถาฟังไม่ได้ศัพท์อีกครั้ง  ดูเหมือนคราวนี้จะแรงกว่าบทก่อนๆเพราะเมื่อหมอผีฟาดมีดหมอกลางอากาศก็เกิดสิ่งที่ทำให้แสนตะลึงลาน

‘อึก!’

‘คุณใหญ่ขอรับ!  อ้าก!!!!!’  ต้นแขนขวาที่เคยมีเพียงรอยไหม้คราวนี้ขาดกระเด็น  หนำซ้ำแรงนั้นยังเลยไปถึงคุณพระนายซึ่งอยู่ด้านหลังอีกด้วย  เสื้อสีขาวถูกฟันจนเห็นผิวเนื้อด้านใน  ผิวขาวซีดเกิดรอยไหม้อย่างเช่นที่เกิดกับแสนเหมือนก่อนหน้า  ใบหน้าหล่อเหลานิ่วลงเพราะความเจ็บปวดกระนั้นก็ไม่ได้ส่งเสียงใดออกมาเพียงแค่ใช้มือข้างที่ไม่บาดเจ็บกดแผลเอาไว้แน่น  ชายมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา  พลันวูบหนึ่งในใจเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

หรือเขากำลังทำเกินไป?

‘เขาบอกคุณให้มาทำร้ายฉันอย่างนั้นหรือ?’  เสียงทุ้มเอ่ยถาม  สายตานั้นจ้องมองมายังคนที่ยืนด้านหลังหมอผีชรา  ชายสะดุ้งเฮือกเพราะไม่คิดมาก่อนว่าผีจะมาพูดคุยด้วยแบบนี้

“?”

‘แก้วตา  เขาบอกให้คุณมาทำอย่างนี้รึ?’

“ไม่ใช่”

‘ถ้าอย่างนั้นทำไม?  ฉันกับคุณไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมิใช่หรือ?’

“ผมรักแก้วตา”  คำตอบที่ได้ยินทำเอาคุณพระนายนิ่ง

‘อย่างนั้นรึ?’

‘คุณ ใหญ่ขอรับ!’  แสนถลามาขวางหน้าร่างสูงอีกครั้ง  แม้คราวนี้สภาพที่เป็นอยู่จะไม่เอื้อให้เขาเป็นผู้ปกป้องก็ตาม

‘พอเถอะแสน  พอเถอะ’

‘คุณใหญ่....’

‘จนถึงป่านนี้แล้ว  เขาคงลืมไปหมดแล้ว...’

‘ไม่หรอกขอรับ  คุณแก้วไม่มีทางลืมหรอก  อีกเดี๋ยวคงนึกออกแน่ๆขอรับ!’  แสนสะอื้นไห้อยู่แทบเท้าคนเป็นนาย

“ลืมอะไร  แก้วกับพวกคุณรู้จักกันหรือ?”  ชายถาม  พลางคว้าไหล่ของหมอผีชราเอาไว้เมื่อฝ่ายนั้นกำลังเงื้อแขนจะฟันทั้งสองอีกครั้งให้เสร็จสิ้นไปเสียทีเพราะไม่อยากมานั่งเสียเวลาคุยกับผีที่คิดจะเอาไปรับใช้

‘คุณแก้วกับคุณใหญ่เป็นคนรักกันมาก่อน  แต่คุณแก้วแค่ลืมไปเท่านั้น  ตอนนี้คงใกล้จะจำได้แล้ว’

“คนรักอย่างนั้นหรือ?”  ชายพึมพำคำที่แสนเอ่ยบอก  หัวใจของเขาหล่นร่วงวูบโหวงในอก

“ผีก็อยู่ส่วนผี  คนก็อยู่ส่วนคน!”  หมอผีชราฉวยจังหวะที่ชายตกใจเผลอผ่อนแรง  กระชากไหล่ออกจากการเกาะรั้งแล้วยกแขนขึ้นเพื่อตวัดฟาดสุดแรง

“อย่า!”  คุณพระนายที่หลับตาลงพร้อมรับความเจ็บปวดลืมตาขึ้นมองและแสนซึ่งลุกขึ้นเอาตัวบังนายไว้ตะลึงลานจ้องคนที่เข้ามาขวางอย่างไม่เชื่อสายตา

‘แก้วตา?’

“ห้ามทำอะไรพวกเขานะ!”  แก้วตากางแขนออกกั้น  แรงฟาดฟันจากมีดอาคมไม่มีผลต่อกายเนื้อของผู้มีชีวิต  เด็กหนุ่มจ้องมองหมอผีชราอย่างไม่พอใจก่อนจะเบนสายตาไปยังพี่ชายของเพื่อน

 “พี่ชาย  พาเขากลับไปได้ไหมครับ  อย่าทำอะไรคุณพระนายกับแสนเลยนะ  ผมขอร้อง...”  น้ำเสียงนั้นของคนตรงหน้าทำเอาหัวใจของชายกระตุกวูบจนเจ็บแปลบ

“แก้ว....”

“นะครับ  อย่าทำอะไรพวกเขาเลย”  ชายกลั้นสะอื้นในอก  เขารู้ตัวตั้งแต่ตอนที่แก้วตาวิ่งเข้ามาขวางแล้วว่าตัวเองคงไม่มีวันได้เข้าไปยืนอยู่กลางใจของอีกฝ่ายเป็นแน่  แต่ไม่คิดว่าจะเจ็บปวดถึงขนาดนี้เลย

“พอเถอะครับ  ผมจะจ่ายค่าจ้างให้คุณตามที่ตกลงกันไว้  ไม่ต้องทำอะไรพวกเขาแล้ว”  ชายหันไปบอกหมอผีชราอย่างหมดแรง

“ได้ยังไงกัน  ข้าเป็นหมอผีมีหน้าที่ปราบผีนะโว้ย!  จะให้ข้าหยุดง่ายๆอย่างนั้นรึ?”  หมอผีเฒ่าเอะอะเพราะไอ้ที่ตั้งใจไว้พังง่ายๆแบบนี้มันขายหน้าใช่เล่น!

“ผมจะเพิ่มค่าจ้างให้แต่เลิกยุ่งกับพวกเขา!”  ชายตวาดเสียงดัง  คนโดนตวาดเงียบเสียงพลางนึกว่าอย่างน้อยจับผีไปเป็นข้ารับใช้ไม่ได้แต่ได้เงินเพิ่มก็พอถูไถทดแทนกันได้จึงยอมเลิกราโดยง่าย

เพ็ญจันทร์ถลามาเกาะแขนบุตรชายด้วยความเป็นห่วงและฤดีวิ่งเข้ามายืนหลังพี่ชายพลางชะโงกหน้ามองภาพตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว

‘แก้วตา  จำได้แล้วรึ?’  เจ้าของดวงตาโศกเอ่ยถาม  แววตาและน้ำเสียงแสดงความดีใจล้นเหลือไม่ปิดบัง

“ไม่ครับ”  คำตอบนั้นราวกับมีดผ่าลงกลางใจของคุณพระนาย  ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดจากเดิมซึ่งซีดขาวยิ่งหม่นแสงเสียจนน่ากลัว  เหมือนคราวที่แก้วตาเคยวิ่งหนีไปคืนนั้น  เด็กหนุ่มถอยหลังกรูดพร้อมมารดาออกไปเสียหลายก้าว

‘อ้าว?’  แสนที่นิ่งเงียบยิ้มแฉ่งลืมความเจ็บตอนโดนฟันแขนขาดหุบยิ้มแทบไม่ทัน

“แต่  แต่ผมจะจำให้ได้  คุณ...จะรอได้ไหม?”  เสียงหวานสั่นเอ่ยถามแผ่วเบาอย่างกลัวๆกล้าๆ  ไอ้ที่วิ่งเข้ามาขวางเมื่อครู่เพราะลืมตัวเป็นห่วงอีกฝ่าย  พอคลายความรู้สึกนั้นแล้วความกลัวก็กลับมาอีกจนได้

‘ทำไมจะไม่ได้ล่ะ  พี่รอน้องมาได้ตั้งนาน  อีกแค่นิดเดียวจะเป็นไรไป’  รอยยิ้มสวยทำเอาคนกลัวผีเผลอลืมความกลัวไปชั่วขณะ  ใบหน้าหล่อเหลาพลันสดใสขึ้นทันตา  ความน่ากลัวถูกพัดพาหายไปด้วยรอยยิ้มสว่างไสว  แก้วตารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกเพราะในความฝันที่เขาเห็นอีกฝ่ายมักจะมีสีหน้าอมทุกข์อยู่เสมอ  หากว่าเขาสามารถทำให้ฝ่ายนั้นยิ้มได้งดงามแบบนี้เขาก็อยากจะเห็น...ตลอดไป

“เอ่อ  แสน!  แขนนาย !”  แก้วตาดึงสติกลับมาเมื่อรอยยิ้มล้อเลียนจากร่างสูงใหญ่ข้างกายของคุณพระนายส่งมาให้เขา  ไอ้บาดแผลฉกรรจ์ทำเอาแก้วตาตกใจ    จะพาไปโรงหมอดีไหม?

‘ไม่เป็นไรหรอกขอรับ  เจ็บเพราะมีดอาคมคงหายยากแต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว’  แก้วตาไม่รู้ว่าแสนโกหกหรือเปล่าเพราะอีกฝ่ายเป็น  ‘ผี‘  ไอ้เขาเป็นคนเลยไม่รู้ว่าเวลาโดนมีดอาคมแล้วจะเจ็บแค่ไหน  แต่เมื่อไม่มีเลือดไหลออกมาจากแผลให้เห็นเขาก็เบาใจ  เหลือบมองแผลที่พาดเฉียงบนอกแกร่งของคุณพระนายก็พลันยอกในอก

‘พี่เองก็ไม่เป็นไรดอก  แค่นี้เอง’  เมื่อทั้งสองบอกว่าไม่เป็นอะไรเขาเลยพูดอะไรไม่ออกอีก  ชายเดินเข้ามาหาพร้อมกับฤดีที่มองไปทางคุณพระนายอย่างหวาดๆแต่ไม่มองหน้าแสนเลยสักนิดเดียว

“กลับไปที่บ้านพี่ก่อนไหมครับแก้ว?”

“ครับ”

‘อ้าว  คุณไม่กลับมาอยู่เรือนขาวหรือขอรับ?’  แสนเอ่ยถามอย่างตกใจ  เหลือบมองใบหน้าที่เหี่ยวลงของคุณใหญ่ของเขาแล้วอดสงสารไม่ได้

“ฉัน...  ขอฉันไปทำใจก่อนเถอะนะ  จะให้อยู่ร่วมกับ  เอ่อ  มันก็อดกลัวไม่ได้”  แก้วตาหลบตาพูดเสียงเบาจึงไม่ทันเห็นแววตาหม่นแสงของร่างสูงซึ่งมองมา

‘นั่นซิ  พี่เป็นผีนี่นะ  จะให้อยู่ร่วมชายคากับคนได้อย่างไร’  เสียงนั้นแฝงความน้อยใจเมื่ออีกฝ่ายยังไม่เลิกกลัวเขาเสียทีทั้งๆที่ไปให้เห็นในความฝันออกจะบ่อยถึงเพียงนั้นแล้วแท้ๆ

‘ก็อยู่ร่วมชายคาเดียวกันมาตั้งนาน...’  แสนแกล้งบ่นเสียงเบาให้คุณพระนายถลึงตามองเพราะกลัวแก้วตาจะได้ยิน

“ขอโทษนะครับ”

‘จะขอโทษไปไย  ไปเถอะ  ค่ำแล้วแก้วตาคงมีเรื่องให้คิดอีกมาก’  กลายเป็นร่างสูงเสียเองที่ช่วยตัดบทให้  เขาไม่อยากเร่งรัดแก้วตาให้ลำบากใจมากไปกว่านี้  แค่อีกฝ่ายยอมเดินกลับมาหาเขาแค่นี้ก็มากเพียงพอแล้ว

แก้วตาหันกลับไปมองร่างเลือนรางในความมืดสลัวสองร่างนั้นแล้วรีบหันกลับก่อนจะรีบก้าวขึ้นรถตามหลังฤดีโดยมีชายเป็นคนสุดท้าย  ถึงอย่างไรเขาก็ยังกลัวอีกฝ่ายอยู่    ถึงจะรู้ว่าเขาไม่ได้มาร้ายก็เถอะ  ก็นั่นไม่ใช่คนนี่นา!  อีกอย่างไอ้ที่อยู่ในเรือนซ้อมรำนั่นแหละที่ทำให้เขาหวาดวิตก!  เขาไม่กล้าคิดต่อหรือแม้แต่จะถามด้วยซ้ำว่าร่างสองร่างที่อยู่ในโลงแก้วนั้นเป็นร่างของใคร  เขากลัวคำตอบ...


******


“เวลาเท่ากับธูปหนึ่งดอกเท่านั้นนะโยม  อย่าเกินนั้น”

“ครับ”  เด็กหนุ่มรับห่อธูปมาถือไว้  มือของเขาชื้นเหงื่อเย็นเชียบ  หันไปมองมาราดาซึ่งมองมาอย่างเป็นห่วงก็ให้ยิ้มอ่อนปลอบโยน

“แก้วไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะ  พี่ชายเองก็จะไปด้วยแม่ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ”

“ครับ  คุณน้า  พอธูปหมดดอกผมจะพาแก้วกลับบ้านแน่นอนครับ”  ชายรับปากเป็นมั่นเหมาะ  เขาอาสาเป็นคนคอยเฝ้าแก้วตาระหว่างที่อีกฝ่ายทำในสิ่งที่ต้องการด้วยความเป็นห่วง  อย่างน้อยขอเป็นคนคอยดูแลไม่ให้เป็นอันตรายก็เบาใจ

“แม่ฝากแก้วด้วยนะจ๊ะ  ชาย”

“ครับ”  เมื่อคืนเขานอนคิดทั้งคืน   เขาเจ็บเมื่อได้รู้ว่าคุณพระนายคนนั้นและแก้วตาเคยเป็นคนรักกันมาก่อน  หากแต่ตอนนี้  ชาตินี้เขาทั้งสองอยู่คนละภพกันแล้วเพราะฉะนั้นเขายังไม่หมดโอกาสที่จะหวัง...เพราะเขายังมีชีวิต  เขายังมีเลือดเนื้อมีลมหายใจ  เขาจึงหวังว่าตัวเองจะได้เป็นคนดูแลหัวใจของแก้วตาต่อจากคุณพระนายที่ตายไปแล้วคนนั้น
.
.

เรือนขาวสูงตระหง่านยามเมื่อแหงนหน้ามองจากด้านล่างแบบนี้  กลิ่นดอกบุหงาส่าหรีโชยอ่อน  ต้นดอกจำปาลาวหน้าเรือนไหวเอนตามแรงลมให้ดอกสีขาวร่วงหล่นส่งกลิ่นสู้ดอกบุหงาส่าหรีอย่างไม่ยอมแพ้   แก้วตาก้มลงหยิบดอกนั้นขึ้นพิศ  พลันอากาศโดยรอบก็เย็นลง  เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังระเบียงห้องนอนแล้วเผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าว

เขาอยู่บนนั้น...

เจ้าของรอยยิ้มอ่อน  ใบหน้าหล่อเหลาและแววตาโศกมองมายังร่างเล็กซึ่งยืนเบียดกับใครอีกคนด้วยใจหม่นหมอง 

เขาทำให้คนที่รักหวาดกลัวเสียแล้วอย่างนั้นหรือ?




ภายในเรือนขาวยังคงสะอาดเอี่ยมแม้ว่าแก้วตาจะไปจากที่นี่หลายวันแล้วก็ตาม  เงาร่างงองุ้มเงาหนึ่งเดินออกมาจากห้องครัวด้านหลังให้เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงเผลอเกาะแขนคนข้างๆแน่น

“นมแย้ม?”

“กลับมาแล้วรึ?  คุณใหญ่รอเอ็งนานเชียว”  เสียงยานคางทำเอาทั้งแก้วตาและชายขนลุกซู่  ก่อนหน้านั้นไม่เห็นอีกฝ่ายจะทำให้รู้สึกกลัวแบบนี้เลยนี่นา 
หรือจะโกรธกันที่เราออกไปจากที่นี่?  แก้วตาคิดแต่ก็ยังทำใจกล้าตอบกลับไปโดยไม่มองหน้า

“จ้ะ”

“ห้องข้างบนข้าทำความสะอาดไว้รอแล้ว”

“ขอบคุณจ้ะนม”  เด็กหนุ่มยกมือไหว้ก่อนจะลากแขนชายขึ้นไปยังชั้นบน  ได้ยินเสียงนมแย้มบ่นแว่วตามหลังด้วยเสียงแหบคางเย็นยะเยือกประมาณว่า  กล้าลากแขนผู้ชายคนอื่นเข้าห้องที่คุณใหญ่สร้างให้เอ็งเชียวรึ  หรือ  หยามหน้าคุณใหญ่มากไปแล้วนะเอ็ง  อะไรเทือกนั้นให้หนาวสันหลังวาบเล่นๆ



“ผมมาแล้วครับคุณใหญ่”  สิ้นเสียงแหบหวาน  ร่างโปร่งที่ยืนนิ่งก็หันมายิ้มเต็มวงหน้า  กระจ่างสดใสด้วยความสุขเปี่ยมล้น

‘แก้วตาของพี่’



...แจ่มจันทร์ขวัญฟ้า     ขอเทพเทวาเป็นพยาน
วันดีศรีสุข                  สองเราสมัครสมาน
พี่ขอรักนงคราญ    จวบจนรักนั้น     นิรันดร์กาลเอย
ดอกเอ๋ย     เจ้าดอกจำปาลาว    ตัวพี่รักเจ้าเท่าท้องนภาเอย... 


.
.
.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-11-2013 03:21:24 โดย sine »

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
«ตอบ #133 เมื่อ22-11-2013 03:19:08 »





...อสงไขย...
...กาลที่๙...




เสียงเพลงเรือแว่วมาให้ได้ยินตั้งแต่หัวค่ำหากแขกผู้มาเยือนก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเพราะเจ้าของเรือนนั้นไม่มีทีท่าว่าจะเตรียมตัวออกไปเที่ยวงานแต่อย่างใด  หนำซ้ำยังใจเย็นทำงานในมือไม่รู้ร้อนรู้หนาว  ไม่สะทกสะท้านต่อสายตาของมารดาที่มองมาอย่างไม่ชอบใจ

ร่างเล็กเม้มริมฝีปากแน่นพลางเอื้อมมือคว้าดอกบัวขึ้นมาพับกลีบ  เหมือนไม่คิดอะไรหากแต่คิ้วเรียวขมวดมุ่นให้คนมองถอนหายใจอีกคำรบ

“ไปเถอะแก้ว  ประเดี๋ยวแม่จะทำเอง”

“ลูกจะทำให้จ้ะ  แม่ไปนอนเสียเถอะเดี๋ยววันพรุ่งจะลุกไม่ไหว  อ้อ  สำรับข้าวพระลูกเตรียมไว้แล้วเดี๋ยวลูกจะตื่นขึ้นมาหุงหาเองแม่ไม่ต้องทำหรอก  เข้าใจไหม?”  เด็กหนุ่มตอบพลางส่งยิ้มหวานให้มารดา ริมฝีปากสีชาดเอ่ยเจื้อยแจ้วก่อนจะลุกขึ้นพยุงมารดาเข้ามุ้งนอน

“เสเปลี่ยนเรื่องอีกแล้วนะลูกคนนี้”

“เปลี่ยนเรื่องอะไรกัน”

“คุณพระนายเธอมารอตั้งแต่หัวค่ำแล้วนะ”

“ใครใช้ให้มารอล่ะ  ลูกไม่ได้อยากออกไปเที่ยวเสียหน่อย”

“ประเดี๋ยวเถอะ!  ถ้าลูกไม่คิดจะออกไปเที่ยวงานวัดแล้วไยไม่ออกไปบอกคุณพระนายเธอล่ะว่าไม่ไป  ปล่อยให้เธอรอเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน”

“ก็ลูกไม่ได้บอกให้รอ...”

“เฮ้อ  แก้ว  ตอนนี้น่ะดึกมากแล้วนะลูก  น้ำค้างแรงนักไม่รู้ว่าป่านนี้คุณพระนายจะหวัดกินไปหรือยัง”

“แม่นอนเถอะนะจ๊ะ  ไม่ต้องรอลูก!”  เด็กหนุ่มฉุดร่างผอมของมารดาเข้ามุ้งนอน  กดไหล่มารดาลงบนฟูกอย่างรวดเร็ว  คว้าผ้าห่มผืนหนาคลุ่มให้จนถึงคางเพราะคืนนี้อากาศหนาวนักอย่างคำมารดาว่า  เด็กหนุ่มจึงผลุนผลันออกจากมุ้งไปรวดเร็ว  ทิ้งให้คนเป็นแม่ส่ายหน้ายิ้มอ่อนใจกับท่าทางเร่งรีบนั้น

นับแต่วันไปเยี่ยมไข้  หลวงเสนาะก็ให้แก้วตาคอยไปส่งยาหม้อให้ทุกวันมิได้ขาด  ทั้งๆที่เด็กหนุ่มคอยท้วงว่าคนป่วยนั้นมีหมอฝรั่งคอยดูแลอยู่แล้วหากแต่คุณหลวงก็ยังไม่เบาใจ  อ้างติดงานบ้าง  ไม่มีเวลาไปเยี่ยมคุณพระนายหนุ่มบ้าง  ดังนั้นทุกอย่างจึงถูกโยนมาให้แก้วตาดูแลทั้งหมด  แล้วหลังจากหายไข้ดูเหมือนคุณพระนายรูปงามจะไปเรือนซ้อมรำของคุณหลวงแทบทุกวันไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน  ขอเพียงได้เห็นหน้าใครบางคนแม้เพียงนาทีก็ชื่นใจ  ถึงจะถูกคนตัวเล็กว่ากระทบบ้าง  ด่าทอบ้างหรือหาเรื่องตีต่อยกับคนสนิทของคุณพระนายอยู่เนืองๆก็ไม่อาจทำให้คุณพระนายเข็ดหลาบเลยสักนิด
       
ร่างสูงยืนถูฝ่ามือเพื่อเพิ่มความอบอุ่น  แม้จะมีเสื้อคลุมตัวหนาอยู่แล้วก็ยังไม่อาจลดทอนความหนาวลงได้  เขาอดทนนั่งรอเจ้าของเรือนมาตั้งแต่หัวค่ำด้วยหวังว่าหากอีกฝ่ายเสร็จงานเมื่อไหร่จะชวนออกเที่ยวงานวัดด้วยกันเสียหน่อย  หากคนตัวเล็กที่พอทำงานอย่างหนึ่งเสร็จก็คว้าอย่างอื่นมาทำต่อ จนพระจันทร์ดวงโตจะค่อนฟ้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จงานง่ายๆ  กระทงใบโตที่เขานั่งหลังแข็งทำจนโดนนมแย้มดุไปเสียหลายรอบยังคงอยู่ในมือเจ้าแสนที่นั่งหลับรอเป็นเพื่อนเขา  คุณพระนายหนุ่มซึ่งเพิ่งหายไข้ไม่นานมานั่งตากลมอยู่บนแคร่ใต้ต้นดอกจำปีหน้าเรือนหลังเล็กบัดนี้เริ่มท้อใจเมื่อเห็นคนที่เขาเฝ้ารอพามารดาเข้านอนไปแล้วครู่ใหญ่คนน่ารักก็ยังไม่ยอมออกมาจากเรือนเสียที  นับหนึ่งจนถึงร้อยก็ยังไม่เห็นหน้ายิ่งพาให้ใจเสีย  ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะปลุกแสนให้ตื่น

“ขอรับ”

“กลับเถอะ”  ร่างสูงกระชับเสื้อคลุมแน่นมองกระทงในมือคนที่นั่งอยู่แล้วยิ้มเศร้า

“แต่ว่า...”

“ฉันดื้อด้านมานั่งเฝ้ารอเขา  แต่เขาไม่ได้บอกฉันเสียหน่อยว่าจะไปลอยกระทงด้วยกัน”

“คุณใหญ่อุตส่าห์ทำ”  คนถือกระทงหน้าม่อยไม่อยากลุก

“เอ็งเอาไปลอยเถอะแสน  ฉันไม่อยากลอยแล้ว....”

“แต่ฉันจะลอย!”

“แม่หญิงฉุยฉาย!”  แสนยิ้มดีใจผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงมองหน้าคุณพระนายของตัวที่ตอนนี้หันไปมองเจ้าของเรือนด้วยสายตาตกใจก็ให้อดหัวเราะไม่ได้

“กระทงนี่ถ้าคุณพระนายไม่ลอยแล้วขอให้กระผมได้หรือไม่ขอรับ  พอดีว่ากระผมไม่ได้ทำ...”

“ได้สิ!  พี่รอให้แก้วตาไปลอยกระทงด้วยกันอยู่!”  คุณใหญ่รีบตอบรับคำพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า  บัดนี้หัวใจเขาฟูฟ่องเต็มคับอกระรัวเร็วดีใจเสียจนแทบจะพูดไม่เป็นคำ

“ไหนบอกว่าไม่อยากลอยแล้ว”

“ถ้าให้พี่ลอยคนเดียวพี่ไม่อยากลอย”  คุณพระนายหนุ่มเอ่ยอย่างขัดเขิน  ท่าทางประหม่าทำเอาคนตัวเล็กอ้าปากค้าง  “ดังนั้นพี่ถึงมารอแก้วตาไปลอยกระทงด้วยกัน”

“ใครจะไปรู้  เห็นมายืนถือกระทงยิ้มเหมือนคนบ้าก็นึกว่าทำมาเอาไว้ดูเฉยๆ”  เสียงแหบหวานว่าใส่ไม่เบานัก  เล่นเอาแสนซึ่งเป็นคนถือกระทงตั้งแต่แรกอ้าปากพูดไม่ออกเพราะเขาเป็นคนถือกระทง    งั้นคนบ้าคงเป็นเขาไม่ใช่คุณพระนาย!

“แม่หญิงนี่ร้ายนัก  ปล่อยให้คุณใหญ่ของกระผมที่เพิ่งหายไข้มายืนตากลมรอเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน!”  แสนซึ่งถูกกล่าวหาว่าบ้า  จงใจเอ่ยเรียกสรรพนามอีกฝ่ายว่าแม่หญิงออกมาเสียงดังทั้งๆที่รู้ว่าเสี่ยงต่อการโดนชกปากแตกก็ตาม

“บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกข้าว่าแม่หญิง!”

“โกรธง่ายอย่างนี้ไงเล่าแสนมันถึงได้เอามาล้อว่าเป็นแม่หญิง”  คนกลางเอ่ยขึ้นให้กลายเป็นฝ่ายโดนถลึงตามองเสียแทน

“ท่าน!”

“อย่าโกรธแสนมันเลยนะ  มันก็แค่หยอกเจ้าเล่นเท่านั้นดอก”

“ฮึ!”  ไอ้เสียงนุ่มๆกับยิ้มน้อยๆนั่นทำเอาคนโกรธถึงกับไม่กล้ามองเพราะกลัวจะใจอ่อนยอมพยักหน้ารับคำจึงได้แต่กอดอกฮึดฮัดหันหนีไปทางอื่นแทน

“ไปลอยกันกระทงกันเถอะ  จันทร์จะเลยกลางฟ้าแล้วนะ”  รอยยิ้มสวยพาให้คนโกรธถึงกับโกรธไม่ลง  แก้วตาเดินนำออกมาก่อนจึงไม่ทันได้เห็นแววตารักใคร่ของคนด้านหลังที่ส่งมา   ถึงคืนนี้ดวงดาวจะน้อยเพราะถูกแสงจันทร์กลบหากแต่ดาวในดวงตาของคุณพระนายหนุ่มกลับงามนักเมื่อความสุขนั้นเผยออกมา

ถึงแม้จะดึกค่อนคืนหากร้านรวงทั้งหลายยังคงมีลูกค้าเต็มร้าน  บรรดาหนุ่มสาวยังไม่ได้ลอยกระทงเพราะกำลังเที่ยวชมงานซึ่งคราวนี้มีร้านค้าจากพ่อค้าต่างชาติเพิ่มเข้ามา  แต่ที่ดูเหมือนจะได้ความนิยมมากสุดเห็นจะเป็นร้านยาดองที่ลูกค้านั่งติดไม่ยอมไปไหน  บ้างร้องรำบ้างคุยสรวลเสเฮฮา  เสียงเพลงเรือยังแว่วร้องมาให้ได้ยินจากท่าน้ำเป็นระยะ  ส่วนบนเวทีเพลงฉ่อยนั้นเงียบไปแล้วก่อนหน้า  แก้วตายืนปรบมือพลางหัวเราะเมื่อได้ฟังป้าคนหนึ่งร้องเพลงเกี้ยวฝ่ายชาย  ฝ่ายโดนเกี้ยวไม่น้อยหน้าร้องเพลงเกี้ยวกลับบ้างค่อนขอดบ้างให้อายม้วนต้วนกันไปข้าง  คุณใหญ่เองก็หัวเราะเมื่อได้ฟัง  ชายหนุ่มไม่ได้ออกมาเที่ยวงานแบบนี้บ่อยนักเพราะงานรัดตัว  เขาเหลือบมองร่างเล็กที่ยังปรบมือไม่หยุดกับกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งร้องเพลงเรือเกี้ยวกันอย่างไม่ยอมแพ้

“โอ้  เจ้าคนงามตรงนั้นมาลอยกระทงกับพี่เอาไหม?”  เสียงใครคนหนึ่งฝั่งชายเอ่ยร้องแซวเมื่อเห็นแก้วตา  คุณใหญ่ที่คราแรกยืนห่างจึงขยับกายเข้าชิดให้ไหล่ตัวเองซ้อนกับไหล่คนตัวเล็กจากด้านหลัง  เมื่อมองจากที่ไกลๆจึงเหมือนชายหนุ่มโอบเอวแก้วตาเอาไว้

“โอ๊ะ  มีคนรักมาด้วยก็ไม่บอกกัน  เฮ~”  เมื่อคนแซวเห็นว่ามีชายหนุ่มแสดงท่าทางหึงหวงจึงแซวต่อให้ฝ่ายหญิงเฮรับเป็นลูกคู่หัวเราะกันครื้นเครง  หากแก้วตาที่รู้สึกแปลกๆจึงหันมามองร่างสูงตาขวาง

“ทำอะไรน่ะ!”

“เปล่านี่”  คุณพระนายหนุ่มแกล้งยกมือขึ้นเกาจมูกพลางมองซ้ายมองขวาไม่รู้ไม่ชี้

“อย่าให้รู้นะว่าแกล้งอะไรกัน!”  แก้วตาขู่ฟ่อก่อนจะกระแทกเท้าเดินออกไป

“อื้อหือ  นี่ขนาดไม่รู้ว่าโดนแกล้งยังดุขนาดนี้เลยนะขอรับ”  แสนว่า ให้คุณใหญ่หัวเราะลงคอก่อนจะใช้หลังมือตีท้องแสนแรงๆเสียทีหนึ่งก่อนจะวิ่งตามแก้วตาไป

“แก้วตานี่อร่อยนะ”  คุณพระนายยื่นไม้พุทราเชื่อมสีสวยให้ร่างเล็กซึ่งกำลังมองหาร้านที่ยังเหลือและเปิดขายของ

“รู้น่ะว่าอร่อย  กระผมกินออกจะบ่อยขอรับ”  ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่มือเล็กก็รับมาถือไว้

“อย่างนั้นรึ?  ถ้าอย่างนั้นแก้วตาแบ่งพี่กินบ้างได้รึไม่?”

“ถ้าอยากกินแล้วคุณพระนายซื้อมาทำไมแค่ไม้เดียวล่ะ?”

“...ไม่แบ่งก็ไม่เป็นไร”  คุณใหญ่ทำหน้าหมองยอมแพ้ให้คนมีพุทราเชื่อมในมือใจแป้ว

“กินซิ..! ”  แก้วตายื่นไม้พุทราเชื่อมให้หากร่างสูงกลับไม่รับ  คุณใหญ่ยิ้มก่อนจะก้มลงงับพุทราลูกโตออกไปทันทีที่ได้รับอนุญาต

“อืม~  หวาน”  คุณพระนายหนุ่มเคี้ยวพุทราเชื่อมพลางยิ้มแก้มตุ่ย

แก้วตานิ่งอึ้ง  มองคนข้างกายที่ท่าทางมีความสุขแล้วพูดอะไรไม่ออก  ยกไม้พุทราเชื่อมขึ้นจ่อปากก่อนจะงับพุทราเชื่อมลูกต่อไปแล้วเดินออกห่าง



พระจันทร์เลยกลางฟ้าไปแล้วครู่ใหญ่  อากาศเย็นยามดึกทำให้ต้องกระชับผ้าคลุมเพิ่มความอบอุ่น  แก้วตาที่เดินทั่วงานจนเริ่มเมื่อยเดินนำไปท่าน้ำ  ไต้จำนวนมากถูกจุดให้ความสว่างไปทั่วทั้งงานวัด  ท่าน้ำซึ่งบัดนี้มีแสงไฟจากกระทงริบหรี่ทั่วคุ้งนั้นดูงามราวกับดวงดาวบนม่านฟ้าราตรีไม่มีผิด

“สวยจริง”  เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง  พลางก้าวลงไปรอยังท่าน้ำ

“ใช่  สวยเสียจริง”  คุณใหญ่ตอบรับหากสายตากลับจดจ้องร่างเล็กตรงหน้า  ดวงหน้าขาวแย้มยิ้มช่างดูน่ารัก  เรือนผมสีขนกาที่ถูกเกล้าเก็บด้วยปิ่นไม้ทำมือแสนธรรมดากลับดูเข้ากันกับเรือนผมสวย  จมูกมนรั้นน่าเอ็นดูกับริมฝีปากสีชาดช่างจำนรรจา  ทุกสิ่งล้วนพาให้หัวใจของเขาเต้นระส่ำ  แต่เหนือสิ่งอื่นใด...ที่ทำให้คุณพระนายหนุ่มหลงรัก  คือดวงตาแสนดื้อรั้นนั่นต่างหาก

“มองอะไร!”  นั่นประไรเล่า  เผลอมองเข้าหน่อยเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มก็ส่งสายตาขุ่นเคืองมาให้

“มองแก้วตา”  ตอบพาซื่ออย่างใจคิด  คนน่ารักยกแขนเท้าเอวทันที

“กระผมไม่ใช่พวกจำอวดนะขอรับ  เห็นทีคุณพระนายจะมองผิดที่!”

“แต่พี่อยากมองแค่แก้วตานี่”

“!”  คำตอบที่ส่งมาพลันให้แก้มเนียนขึ้นสีเรื่ออย่างไม่อาจห้าม  ไอ้คำพูดที่ตั้งใจจะต่อว่าพลันหาย  บางสิ่งในอกเต้นระรัวเร็วเสียจนต้องหลบสายตา

“ไม่ได้หรือ?”

“มีอะไรน่ามองกัน!  กระผมก็เป็นผู้ชายเช่นเดียวกับคุณพระนายนั่นแหละ  หาใช่แม่หญิงที่ไหนไม่!”  เสียงหวานเอ่ยตอบนั้นสั่นประหม่า  หากคนฟังถึงกับพูดไม่ออกเพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขาพยายามมองข้ามมาตลอด   

“นั่นซินะ  ทั้งพี่ทั้งแก้วตาต่างก็เป็นชายเช่นเดียวกัน...”  น้ำเสียงเศร้าสร้อยของคุณพระนายทำให้แก้วตาต้องหันมามอง  ใบหน้าหล่อเหลาหม่นหมองนั้นทำให้เด็กหนุ่มถึงกับไม่รู้จะพูดอะไรต่อ  ดวงตาคู่สวยแสนเศร้าเหม่อมองไปยังคุ้งน้ำไม่ได้จับจุดอยู่ที่ใด

“นี่  กระทงน่ะจะลอยหรือเปล่า?”  เพราะดวงตาคู่นั้นแก้วตาจึงโพล่งถามออกไป  ไม่ถามเปล่า  เขาคว้ากระทงใบโตมาจากมือของแสนซึ่งยืนมองคนเป็นนายสลับกับแม่หญิงฉุยฉายเป็นระยะจากด้านหลังมาไว้ในมือ  แล้วจุดธูปเทียน  พลางยกกระทงขึ้นจรดหน้าผากเพื่อขอขมาพระแม่คงคาและอธิฐานสิ่งที่อยู่ในใจ  “เอ้า  คุณพระนายก็มาขอขมาพระแม่คงคาแล้วอธิฐานเสียซิ”  มือเล็กยื่นส่งกระทงไปให้พร้อมรอยยิ้ม

“...ขอบใจนะ”  คุณใหญ่รับกระทงมาถือไว้แล้วยิ้มตอบก่อนหลับตาลง  กระทงถูกยกค้างเพื่อรอให้คนด้านข้างเอื้อมมือแตะเพื่อปล่อยกระทงลงน้ำด้วยกัน  ไม่มีเสียงพูดคุยหลังจากนั้น  ระยะทางจากท่าน้ำจนถึงเรือนนั้นแสนสั้นเมื่อมองจากมุมของชายหนุ่ม  เขาอยากให้ค่ำคืนนี้ยาวนานขึ้นอีกนิดหรือระยะทางที่เดินกลับมานั้นไกลขึ้นอีกหน่อยเพื่อที่เขาจะได้อยู่กับแก้วตานานๆ  หากพระจันทร์ก็เลยครึ่งฟ้าไปนานแล้ว

“ขอบใจนะ  ที่แก้วตาไปลอยกระทงกับพี่”

“อืม”

“น้องเข้าเรือนเถอะ  พี่จะกลับแล้ว”  คุณใหญ่ยิ้มเศร้าเตรียมจะหันหลังกลับ

“เอ่อ”

“?”

“ขอบคุณที่พาไปลอยกระทง  เอ่อ  แล้วก็พุทราเชื่อมอร่อยมาก!”

“!”  ไม่ทันให้คุณพระนายได้เอ่ยสิ่งใดออกมาร่างเล็กก็วิ่งเข้าไปในเรือนเสียแล้ว  หนำซ้ำยังดับตะเกียงมืดไปทั้งเรือนอีกต่างหาก  เสียงร้องโอดโอยและเสียงอะไรบางอย่างล้มโครมครามทำเอาคุณพระนายที่เบิกตากว้างเพราะประโยคเมื่อครู่ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา  ดูเหมือนแก้มเนียนนั้นจะแดงมาก...มากๆเลย

“แสน  พุทราเชื่อมน่ะอร่อยมาก...จริงๆ”

“ขอรับ”




แก้วตากุมเท้าตัวเองที่เจ็บจนน้ำตาเล็ดเอาไว้แน่น  ตอนแรกก็ร้อนหน้าไปหมดเพราะดันเผลอพูดอะไรน่าอายออกไปแต่ความเจ็บเพราะเตะเอาตั่งวางของล้มโครมนั่นแหละความรู้สึกนั้นเลยลอยหายวับ

“บ้าจริง!  เราต้องทำท่าน่าอายแน่ๆ”  แก้วตาพึมพำน้ำตาคลอ  คืนนี้เผลอทำตัวใจดีกับฝ่ายนั้นไปตั้งเยอะ!  ก็ใครใช้ให้คนที่เพิ่งหายไข้มานั่งตากลมรอเขากันเล่า  ช่างไม่เจียมสังขารเอาเสียเลย  ที่เขายอมออกไปลอยกระทงด้วยเพราะกลัวว่าฝ่ายนั้นจะไข้กลับหรอกนะไม่ได้อยากไปลอยกระทงอะไรนั่นสักหน่อย!  ว่าแต่คุณพระนายนั่นจะอธิฐานขออะไรนะ?
เพราะสีหน้าเศร้าสร้อยของฝ่ายนั้นไอ้ที่ตั้งใจจะอธิฐานขอพรให้ตัวเองดันเผลอขอให้คนข้างๆไปเสียหมด  ก็แววตาโศกคู่นั้นมันช่างดูเจ็บปวดเหลือเกิน

ขออย่าให้รอยยิ้มของคนคนนี้หายไปเลยนะพระแม่คงคา  ขอให้รอยยิ้มของคุณใหญ่คงอยู่ตลอดไป


********



“บอกข้ามานะว่าอีหน้าไหนที่มันไปกับคุณพี่ของข้า!”  ไม่มีใครเอ่ยตอบเจ้าของคำถามร่างระหงซึ่งบัดนี้ใบหน้างามกำลังเกรี้ยวกราด  ดวงตาเรียวกวาดมองบรรดานางรำที่ออกมายืนดูว่ามีใครส่งเสียงดังอยู่หน้าเรือน  โสภีโมโหจนแทบบ้า  เมื่อวานเธอนั่งทำกระทงจนมือเจ็บ  เฝ้ารอให้คุณพระนายหนุ่มกลับมาจากทำงานด้วยใจจดจ่อเพราะอยากจะไปเที่ยวงานวัด  ชมเพลงเรือและลอยกระทงด้วยกัน  หากแต่ค่ำก็แล้ว  ดึกจนจันทร์เกือบกลางฟ้าคุณพี่ของหล่อนก็ยังไม่กลับเรือน  หล่อนผุดลุกผุดนั่งด้วยร้อนใจเป็นกังวล  ให้บ่าวไพร่ไปดูถึงที่ทำงานก็ไม่มีใครเหลืออยู่  เธอเฝ้ารอ  รอจนดึกดื่นค่อนคืนก็ยังไม่เห็นแม้เงาของคนที่รัก  กระทงที่อุตส่าห์ตั้งใจทำถูกปาทิ้งอย่างไม่เหลือดี  โสภีร้องไห้  เธอร้องไห้เพราะไม่ได้ดั่งใจ  คุณพี่เคยตามใจเธอคอยดูแลอย่างอบอุ่น  หากนานวันเข้าสิ่งเหล่านั้นค่อยๆเลือนหายไปอย่างช้าๆ  ตั้งแต่วันที่เธอบอกว่าอยากจะแต่งงานกับเขา  คุณพี่ก็ไม่เคยอ่อนโยนใกล้ชิดกับเธออีกเลย

“มีเรื่องอะไรกันรึแม่โสภี?”  เจ้าของเรือนเดินลงมาพร้อมร่างเล็กของแก้วตา หยุดยืนหน้าหญิงสาวคราวลูกอย่างโสภีพร้อมคำถาม

“สวัสดีเจ้าค่ะท่านลุง”

“สวัสดี  ลุงได้ยินเสียงโวยวายขึ้นไปถึงบนเรือน  มีเรื่องอะไรกัน?”

“ก็นางรำของท่านลุงน่ะซิเจ้าคะ  ไม่รู้ว่าใครที่มันกล้าบังอาจไปเที่ยวงานลอยกระทงกับคุณพี่ของหลานเมื่อคืน”  โสภีตอบทั้งยังไม่ละสายตากวาดมองไปรอบๆเพื่อจะดูว่าใครที่เผยท่าทางพิรุธออกมาให้เห็น

“แล้วทำไมรึ  พ่อใหญ่จะไปเที่ยวกับใครแล้วเหตุใดแม่โสภีต้องมาอาละวาดเช่นนี้ด้วยเล่า?”  หลวงเสนาะถามกลั้วเสียงหัวเราะ

“ท่านลุง!  ใครๆต่างก็รู้ว่าคุณพี่เป็นคู่หมายของหลาน  ดังนั้นจึงไม่สมควรให้เหล่านังไพร่พวกนี้มาเสนอตัวยุ่งเกี่ยวกับคุณพี่ของหลานน่ะซิเจ้าคะ!”

“ลุงว่าแม่โสภีไปถามเอากับพ่อใหญ่เองไม่ดีกว่าหรือ  มาเที่ยวคาดคั้นเอากับแม่พวกนี้คงไม่ดีหรอกกระมัง  อีกอย่างถ้าพ่อใหญ่ไปเที่ยวกับนางรำของลุงจริงก็คงมีคนแสดงตัวแล้วล่ะ”

“แต่มีคนมาบอกหลาน...”

“ใครเล่าที่มันไปบอก  มันไม่บอกชื่อมาด้วยเลยล่ะแม่โสภี  หลานจะได้ไม่ต้องยุ่งยากมาเที่ยวถามหาแบบนี้  ลุงว่าแม่โสภีกลับไปก่อนเถอะนะ  มาเอะอะอย่างนี้ดูไม่งามเลย  แล้วถ้าลุงรู้ว่านางรำคนนั้นเป็นใครลุงจะสั่งสอนให้เองไม่ต้องให้ถึงมือแม่โสภีหรอก  คนในปกครองลุงแค่แม่โสภีมาบอกลุงให้ลุงจัดการก็พอ”

“ก็ได้เจ้าค่ะ!”  โสภีตอบรับอย่างไม่พอใจ  หากจังหวะที่กำลังหันหลังกลับก็สะดุดตาเข้ากับใบหน้าเนียนของคนที่ยืนนิ่งหลังหลวงเสนาะเข้า  พลันหล่อนก็ฉุกคิดขึ้นมา  “ถ้าหากท่านลุงรู้ตัวว่าใครมันบังอาจมายุ่งเกี่ยวกับคุณพี่ของหลานแล้วช่วยแจ้งด้วยนะเจ้าคะเผื่อว่าหลานจะได้จับตาดูไม่ให้มันมาเกาะแกะคุณพี่ของหลานอีก!”  หลวงเสนาะถอนหายใจ  โสภีพูดกับเขาหากสายตาจับจ้องอยู่ที่เด็กแก้วตาเขม็งอย่างไม่พอใจก่อนจากไป

“เอ็งมีอะไรจะพูดหรือไม่  เจ้าแก้ว?”

“ไม่ขอรับ”



หลังจากวันนั้นแก้วตาก็พยายามจะไม่พบหน้าของคุณพระนายอีก  ตั้งแต่วันที่คุณโสภีมาอาละวาดถึงเรือนคุณหลวงเหล่านางรำก็ไม่ได้พากันพูดคุยถึงคุณพระนายรูปงามมากนัก  เสียงรถม้าหยุดหน้าเรือนบอกว่ามีแขกสำคัญมาหาคุณหลวง  แก้วตาชะโงกหน้ามองก่อนจะผลุบหายหลบหลังหน้าต่าง

“ใครมารึเจ้าแก้ว?”  หลวงเสนาะเงยหน้าจากงานขึ้นถามเด็กหนุ่มที่นั่งอ่านเพลงอยู่ข้างๆ

“...คุณพระนายขอรับ”

“ไปเอาน้ำเอาขนมมาไป๊”

“กระผมจะบอกให้พี่ลำดวนยกมาขอรับ”  แก้วตาตอบก่อนจะรีบออกไป  หากเพียงแค่พ้นประตูไม่ถึงสองก้าวก็ต้องหยุดเท้า  เด็กหนุ่มยกมือไหว้ผู้มาเยือนแล้วเบี่ยงกายหลบ

“แก้วตา  เหตุใดจึงเหมือนเจ้าหลบหน้าพี่?  พี่มาหลายครั้งไม่เคยเจอน้องเลย”

“กระผมมีงานอื่นต้องรีบไปทำขอรับ  คุณพระนายช่วยปล่อยมือด้วย”  แก้วตาปรายตามองมือแกร่งที่จับแขนเขาเอาไว้แน่น  ไม่อยากเงยหน้ามองอีกฝ่าย  เพราะหากถ้าทำอย่างนั้นเขาคงเผลอพูดคุย  ทะเลาะหรือโต้เถียงกับอีกฝ่ายอย่างที่ผ่านมาเป็นแน่

“ไม่  แสนเข้าไปบอกคุณหลวงทีว่าฉันขออภัยแต่คงเข้าไปคุยธุระด้วยไม่ได้แล้ว”

“ขอรับ”  แก้วตาเงยหน้าขึ้นมองว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกันแน่ก็ต้องหันหนีเพราะดูเหมือนว่าร่างสูงไม่ได้ละสายตาไปจากหน้าของเขาสักเพียงนิด

แขนเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว  หากความรู้สึกเหมือนถูกบีบด้วยมือแกร่งนั้นยังคงอยู่  แก้วตายกมือแตะบริเวณนั้นแผ่วเบาก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก  พยายามเร่งความเร็วฝีเท้าเพื่อหนีห่างจากคนด้านหลังให้มากที่สุด  แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลนัก

“เหตุใดคุณพระนายต้องตามกระผมมาด้วยล่ะขอรับ?”  เมื่อทนไม่ไหวแก้วตาจึงต้องหันไปเอ่ยถาม

“แล้วเหตุใดน้องจึงหลบหน้าพี่เล่า?”  คนตามไม่ละความพยายาม  เร่งความเร็วให้เดินเคียงไปพร้อมกับเด็กหนุ่ม  ร่างสูงก้มลงมองเสี้ยวหน้าของคนตัวเล็กด้วยความรู้สึกสับสน

“หลบหน้า?  คุณพระนายคงเข้าใจผิด”

“ไม่หรอก  พี่ไม่ได้เข้าใจผิด  แก้วตาหลบหน้าพี่  เพราะหากเป็นเมื่อก่อนยามเห็นพี่น้องคงมองด้วยความไม่พอใจหรือหาเรื่องแกล้งพี่ไปแล้ว”

“...ในสายตาของคุณพระนาย  กระผมคงจะทำตัวไม่มีมารยาทมากซินะขอรับ?”  เด็กหนุ่มหยุดเท้า  ประโยคเมื่อครู่ทำให้ในอกของเขารู้สึกปวดแปลบ  เหมือนมีบางอย่างหายไป...แต่ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด

“พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น  เพียงแต่...”

“?”

“แบบนี้ไม่เหมือนแก้วตาเลย”

“ไม่เหมือน?  แล้วคุณพระนายคิดว่ารู้จักกระผมมากพอแล้วอย่างนั้นหรือขอรับ?”

“เพราะยังไม่รู้จักมากพอพี่ถึงอยากขอโอกาสอย่างไรเล่า  ขอให้พี่ได้รู้จักแก้วตามากกว่านี้  ไม่ได้หรือ?”

“เพื่ออะไรล่ะขอรับ?”  จากที่พยายามหลบสายตาแก้วตาเงยขึ้นสบดวงตาคู่โศกของร่างสูง  เขาหวังว่าจะเห็นคำตอบของตัวเองในนั้นเช่นกัน

“เพื่อให้พี่ได้ระ...” 

โครม!  เสียงบางอย่างล้มกระแทกพื้นได้ยินมาถึงด้านนอก  แก้วตาซึ่งเดินหนีอีกฝ่ายไม่รู้ว่ากลับมาถึงเรือนตั้งแต่เมื่อไหร่หันไปมองด้านในตัวเรือนก่อนจะเบิกตากว้าง

“แม่!”  ร่างผอมของพยอมฟุบบนพื้นเรือน  รอบกายมีของล้มระเนระนาด  ใบหน้าซีดขาวของมารดาทำให้แก้วตาใจหาย  เด็กหนุ่มพยายามช้อนร่างมารดาขึ้นมาหากแต่มือแกร่งของคุณพระนายรั้งไว้ก่อนจะเป็นฝ่ายอุ้มร่างไร้สติของพยอมขึ้นมาเสียเอง

“พี่จะพาไปหาหมอฝรั่ง”

.
.
.

.
.

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
«ตอบ #134 เมื่อ22-11-2013 03:26:07 »

.
.
.




“แต่...”

“ไม่มีแต่  น้องออกไปหารถม้าซิ  แถวนี้พอจะมีบ้างไหม?”  ร่างสูงเอ่ยขัดให้เด็กหนุ่มวิ่งออกไปดูว่าพอจะมีสิ่งใดช่วยพามารดาของเขาไปหาหมอได้บ้างหรือไม่แต่ก็ไม่พบ

“ไม่มีเลย  จะทำอย่างไรกันดี?”

“พี่จะแบกไปเอง”  ไม่คิดนาน  คุณพระนายหนุ่มวางร่างของพยอมลงก่อนจะเปลี่ยนเป็นแบกร่างผอมนั้นขึ้นหลังแทน

แก้วตารู้สึกเหมือนเส้นทางไปหาหมอนั้นช่างยาวไกลนัก  พวกเขาวิ่งโดยไม่หยุดพักแม้สักนิด  เขาได้แต่มองเสี้ยวหน้าซีดขาวของมารดาที่อยู่บนหลังของคุณพระนายด้วยความร้อนรน  หวาดกลัวจับจิต...

“หมอ!”  เสียงทุ้มตะโกนก้องร้องเรียกหมอฝรั่งให้ออกมาดูอาการ 

“อาการแย่นัก  กระโพมจะตามมิชชั่นนารีคนอื่นๆมาช่วย”  สำเนียงแปลกแปร่งเอ่ยบอกชายหนุ่มหลังตรวจอาการของพยอมอยู่ครู่หนึ่งแล้วให้คนมาเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้าไปด้านในเพื่อรักษาต่อ

“แม่!”  แก้วตาผวาตามหากร่างสูงรั้งร่างเล็กเอาไว้เพื่อไม่ให้ไปขัดขวางการรักษา

“แก้ว  หมอฝรั่งจะดูแลแม่พยอมต่อเอง  อย่าเพิ่งเข้าไปเลยนะ  แม่พยอมจะปลอดภัย  หมอฝรั่งเขาเก่งนักเชื่อพี่เถอะ”

“ฮึก!”  ริมฝีปากสีชาดเม้มแน่นขอบตาแดงเรื่อ  หากกระนั้นกลับไม่มีน้ำตาหยดลงมา  ชายหนุ่มคว้าร่างเล็กของอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่น  เขาก็แค่อยากช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดนั้นของแก้วตาให้เบาบางลงแม้สักนิดก็ยังดี

“ร้องเถอะ  พี่ไม่แอบมองเจ้าดอก”  น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นช่างอ่อนโยนนัก  ราวกับสายน้ำเย็นที่ชโลมลงบนหัวใจอันแห้งผาก  ราวกับแสงแดดอุ่นโอบไล้รอบกาย  มือเล็กยกขึ้นกอดเอวหนาแล้วปล่อยสะอื้นโฮ

แก้วตายกมือขึ้นปาดน้ำตาเมื่อรู้สึกว่าร้องไห้พอแล้ว  เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนที่กอดเขาไว้ก็พลันให้นึกอายที่มัวแต่นึกถึงตัวเองจนลืมอีกคน  ร่างเล็กผละออกจากอ้อมกอดนั้นแล้วล้วงผ้าเช็ดหน้าของตนส่งให้

“ขอโทษขอรับที่กระผมทำตัวน่าอาย”

“ไม่เป็นไรดอก”  ชายหนุ่มรับผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อ  หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

“ที่จริงแล้วท่านลุง  เอ่อ  คุณหลวงมักหาหยูกยามาให้แม่อยู่บ่อยๆแต่ไม่รู้ทำไมคราวนี้ถึงเป็นหนักนัก”  แก้วตาไม่รู้ว่าควรจะพูดคุยกับอีกฝ่ายเรื่องอะไรดีจึงไว้ใจเอ่ยเรื่องของมารดาขึ้นมา  อาจเพราะตอนนี้เขาต้องการใครสักคนที่จะรับฟังความวิตกกังวลของเขา

“ปีนี้อากาศเย็นหนักกว่าทุกปี  อาการของแม่พยอมเลยแย่ลง”  คนตัวเล็กพยักหน้ารับก่อนจะเงียบ  “พี่จะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าแม่พยอมจะดีขึ้น”

“?”

“หรือให้แสนอยู่จะดีกว่า?”  คุณพระนายเสนอทางเลือกใหม่เมื่อเห็นสีหน้าของคนตัวเล็ก  เขาเสนอตัวโดยไม่ถามความเห็นอีกฝ่ายแบบนี้ไม่รู้ว่าแก้วตาจะไม่พอใจหรือเปล่า

“คุณพระนายอยู่ก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่ขอรับ”

“...งั้นรึ?”  ร่างสูงยกยิ้ม  เขาไม่ได้พูดอะไรอีกได้แต่นั่งเงียบๆเป็นเพื่อนคนตัวเล็กไปเรื่อยๆ...

“ยาของหมอฝรั่งได้ผลดีชะงัดนัก  สีหน้าแม่พยอมดูดีขึ้นแล้ว”

“ขอรับ”  แก้วตายิ้มกับคำกล่าวนั้น 

หลวงเสนาะมาตรวจเยี่ยมดูอาการมารดาเขาทุกวัน  ต่างกับอีกคนที่พาเขามาส่งตั้งแต่วันนั้นก็ยังไม่เจอหน้าอีกเลย  แก้วตารอจะเอ่ยคำขอบคุณพลางอดนึกเป็นห่วงไม่ได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะไข้กลับเพราะอากาศหนาวเย็นช่วงนี้

“ต้องขอบคุณพ่อใหญ่ซินะที่จัดการเป็นธุระให้”

“ขอรับ”

“นี่ก็ยุ่งเรื่องงานราชการมิได้พักเลยตั้งแต่วันนั้น”  เหมือนจะรู้ใจ  คุณหลวงเอ่ยประโยคยาวขึ้นมาอีกหน่อยเมื่อเห็นท่าทางของเด็กในปกครองซึ่งคอยเอาแต่ชะเง้อชะแง้จนน่ากลัวว่าคอจะยืด

“คุณพระนายเขายุ่งรึไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับกระผมด้วยล่ะขอรับ”  แก้วตาผลุบหัววิ่งเข้ามานั่งข้างเตียงมารดาอย่างร้อนรนหากนั่นกลับทำให้คุณหลวงหัวเราะร่าชอบใจ

“เจ้าเด็กปากไม่ตรงกับใจเอ้ย!”  คุณหลวงพึมพำไม่ให้อีกฝ่ายได้ยินเพราะกลัวเด็กหนุ่มจะตวาดเขาคืนจึงได้แต่หัวเราะเสียงดังแทน
.
.


“เป็นเอ็งจริงๆซินะ!”

“!”  แรงกระชากจากด้านหลังทำให้แก้วตาเซถอยก่อนจะมองเจ้าของมือนั้นอย่างไม่เข้าใจ  เขากลับเรือนเพื่อมาอาบน้ำหลังเฝ้าไข้มารดาที่เรือนรักษาพยาบาลของหมอฝรั่งแล้วจะไปเรือนซ้อมรำของคุณหลวงต่อ

“ข้ารึนึกตั้งนานว่าอีนังผู้หญิงคนไหนที่มันกล้ามายุ่งกับคุณพี่ของข้า  ที่แท้ก็ไอ้คนวิปริตผิดเพศนี่เอง”  น้ำเสียงเสียดสีอีกทั้งแววตาดูถูกส่งมาให้เด็กหนุ่มอย่างไม่ปิดบัง  คนโดนคุกคามฉุนขาดปัดมือที่จับไหล่ของเขาออกโดยแรง  แก้วตาจำไม่ได้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้คุณหนูโสภีไม่พอใจจนมาหาเรื่องระรานเขาแบบนี้

“คุณหนูโสภี  พูดอะไรระวังหน่อยซิขอรับ  ประเดี๋ยวคนอื่นมาได้ยินจะหาว่าคุณหนูมิได้รับการอบรมสั่งสอน”

“เอ็ง  ไอ้ขี้ข้าโสโครก!”  โสภีถึงกับหน้าชา  หล่อนผลักอกเด็กหนุ่มตรงหน้าจนล้มลงกับพื้นด้วยแรงโทสะ

“อย่ามาเรียกกระผมว่าขี้ข้า!”

“ทำไม?  เป็นแค่ลูกพ่อค้าต่างแดนกับนางรำส่ำส่อนคิดจะมาเผยอกับข้ารึ!  ช่างไม่เจียมกะลาหัว”

“อย่ามาว่าร้ายพ่อกับแม่ของกระผม!”

“ข้าจะว่า  ทำไม?  เอ็งจะทำร้ายข้ารึ?  ไอ้คนวิปริต!”  ถ้อยคำร้ายกาจบริภาษออกมาไม่หยุด  แก้วตากำหมัดแน่นเพราะรู้ว่าเขาไม่สามารถทำอะไรคนตรงหน้าได้  ซ้ำร้ายทางฝ่ายโสภียังพาบ่าวผู้ชายร่างสูงใหญ่มาด้วยอีกสองคนซึ่งพร้อมจะทำร้ายเขาหากโสภีเอ่ยปาก

“กระผมไม่ได้วิปริต!”

“เอ็งใช้มารยายั่วยวนคุณพี่ของข้ายังว่าไม่วิปริตอีกรึ?  เอ็งใช้อะไรหลอกคุณพี่ของข้าล่ะ  บอกเขาว่าตัวเองเป็นผู้หญิง?  หรือใช้เสน่ห์เล่ห์กลอันใด!”

“กระผมไม่ได้หลอกหรือใช้เสน่ห์เล่ห์กลอันใดทั้งนั้น”

“ไอ้โกหก!  ถ้าไม่ใช่เพราะเอ็งเหตุใดคุณพี่ต้องออกจากเรือนทุกคืน  เหตุใดจึงไปเรือนของหลวงเสนาะทุกวี่วัน  แล้วเหตุใดคุณพี่ต้องคอยให้คนส่งเงินส่งส่วยให้หมอฝรั่งรักษาแม่เอ็ง!”

“ไม่ใช่...”

“เพราะเอ็งทำให้คุณพี่ของข้าเสื่อมเสีย  ทั่วพระนครลือกันให้ทั่วว่าเจ้าหมื่นเสมอใจราชมาหลงนางรำจนไม่เป็นอันทำการทำงาน”  ใบหน้างามของโสภีบิดเบี้ยว  หล่อนเจ็บปวดใจกับข่าวลือไม่เท่าเห็นกับตาตัวเอง  บ่าวที่หล่อนให้คอยแอบตามชายหนุ่มบอกกับหล่อนว่าเห็นคุณพระนายแบกร่างนางรำผอมแห้งไปส่งหาหมอฝรั่ง  ทีแรกหล่อนไม่อยากจะเชื่อว่านางรำแก่คราวแม่จะมีสิ่งใดให้คุณพี่ของหล่อนหลงใหลแต่เมื่อตามไปดูจึงได้เห็น  สีหน้าอ่อนโยนและแววตารักใคร่ยามที่ชายหนุ่มกอดใครอีกคนไว้ในอ้อมแขน...ไม่ใช่นางรำร่างผอมแห้งแก่คราวแม่หากเป็นเด็กหนุ่มรูปงามผู้เป็นลูกต่างหาก  นั่นทำให้โสภีอิจฉาจนแทบบ้า!

“กระผม...”

“เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ๆเหตุใดเอ็งจึงล่อลวงคุณพี่ของข้า!  เอ็งไม่ใช่แม่หญิงสักหน่อย!”  โสภีตะโกนด่าทอไม่หยุด  แก้วตานิ่งงันไม่ใช่เพราะข้อกล่าวหาหากแต่สิ่งที่โสภีเอ่ยออกมานั้นคือความจริง  ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองและอีกฝ่ายเป็นชายเช่นเดียวกันแต่เขาก็เผลอใจเต้นแรงยามที่ได้ใกล้ชิด  เผลอดีใจยามได้เห็นรอยยิ้มสวย เผลอมองหายามเมื่อไม่เห็นหน้าแล้วอยากได้ความอ่อนโยนมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายโอบกอดเขาเอาไว้  ใช่  เขาผิด…
เพราะเขาเป็นชายไม่ใช่หญิง

“จับมันไว้”  สิ้นเสียงของโสภี  บ่าวสองคนที่พามาต่างก็จับยึดไหล่แก้วตาไว้คนละข้าง

“คุณหนูจะทำอะไร?”

“ฮึ  กลัวรึ?”  โสภีสาวเท้าเข้าใกล้  ก่อนจะพิศมองใบหน้าของร่างที่ถูกตรึงไว้  เด็กหนุ่มร่างสูงกว่าหล่อนไม่กี่มากน้อยอาจจะแค่คืบเท่านั้น  ผิวขาวเนียนละเอียดเพราะมีเชื้อสายคนจีน  ดวงตาเรียวกับนัยน์ตาสีดำพราวระยับบัดนี้สั่นไหว  ริมฝีปากสีชาด  เรือนผมยาวสีขนกา
งาม    งดงามยากที่จะหาใครเหมือนได้ง่ายๆ  เพราะแบบนั้นหล่อนถึงได้ชังหน้ามันตั้งแต่เห็นคราแรก!

“เอ็งใช้ใบหน้านี้รึ?  หรือเรือนผมที่ยาวเหมือนแม่หญิงของเอ็ง?  ถ้ามันไม่มีทั้งสองอย่างนี้ล่ะ  เอ็งว่าคุณพี่ของข้าจะตาสว่างขึ้นรึไม่?”  หญิงสาวดึงปิ่นไม้ออกจากมวยผมอีกฝ่ายปล่อยให้เรือนผมสีขนกากระจายทิ้งตัวยุ่งเหยิง  เพี๊ยะ!  เสียงฝ่ามือกระทบแก้มเนียนดังสนั่นบ่งบอกว่าเจ้าของแรงตบนั้นโกรธมากมายนัก  ซีกหน้าของแก้วตาขึ้นสีบวมเป่งขึ้นทันทีหลังสิ้นเสียง

“คุณหนูโสภี?”  เด็กหนุ่มมองสิ่งที่อยู่ในมือด้วยแววตาหวาดหวั่น  โสภีจิกกระชากผมของเขาจากทางด้านหลังโดยแรง

“เพราะผมนี่ใช่ไหม?” 

“อย่า!”  แก้วตาร้องห้ามเสียงหลงแต่โสภีตวัดใบมีดคมตัดเอาเส้นผมซึ่งเคยยาวถึงกลางหลังให้ขาดแหว่งหายไปแล้ว

“ผมนี่สำคัญใช่ไหม  ในเมื่อเอ็งก็เป็นนางรำนี่นะ?  งั้นข้าจะโกนผมเอ็งแล้วก็กรีดหน้าให้เอ็งไม่มีวันกล้าออกไปพบใครอีกเลย!”   

“หยุดนะ!”  เสียงทุ้มห้าวเอ่ยห้ามก่อนที่โสภีจะได้ลงมือ  หญิงสาวหันไปมองต้นเสียงอย่างไม่พอใจ

“ไอ้แสน!”

“คุณหนูโสภีจะทำอะไรหรือขอรับ?”  แสนถาม  ไม่ได้ก้าวเข้ามาใกล้หากสายตากลับจ้องไปยังร่างของแก้วตาที่ยังโดนตรึงอยู่

“เอ็งไม่เกี่ยว  อย่ามาแส่!”

“แต่คุณหนูกำลังระรานคนอื่นอยู่มิใช่หรือขอรับ?  นี่หาใช่สิ่งที่ลูกสาวท่านเจ้าพระยาควรกระทำไม่”

“อ้อ~  เป็นสิ่งที่ข้าไม่ควรกระทำเช่นนั้นรึ?  ถ้าอย่างนั้น...ไอ้แม้น!  ถลกหนังหัวไอ้คนวิปริตนั่นมาให้ข้า!”

“อย่านะ!”  แสนถลาไปคว้าแขนแกร่งของแม้นที่กำลังกระชากผมของแก้วตาตามคำสั่งของโสภี

“ถอยไปไอ้แสน!”

“ไม่ขอรับ!  คุณหนูโสภีเหตุใดจึงทำเช่นนี้ขอรับ?”

“ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องบอกเอ็ง”

“อย่าทำเช่นนี้เลยขอรับ”  แสนมองแก้วตาซึ่งถูกรั้งแขนไว้โดยบ่าวอีกคน  ร่างเล็กทรุดลงนั่งกับพื้นหากดวงตาปริ่มน้ำใสจ้องมองไปยังโสภีอย่างไม่ยอมแพ้  “ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้คงถึงหูคุณใหญ่เป็นแน่”

“เอ็งขู่ข้ารึไอ้แสน?”  โสภีหรี่ตามองคนสนิทของคุณพระนายอย่างไม่พอใจ  หล่อนรู้ว่าชายหนุ่มนั้นรักแสนเหมือนน้องชายแท้ๆและเขาคงจะฟังคำพูดของแสนทุกคำแน่

“กระผมไม่ได้ขู่ขอรับ”  แสนจ้องตาตอบเพื่อบอกว่าเขาจะทำเช่นนั้นจริงหากโสภียังไม่หยุดทำร้ายแก้วตา

“กลับ!”  โสภีจ้องมองคนบนพื้นอย่างแค้นเคืองก่อนจะยอมถอยกลับไป    ร่างเล็กถูกแสนพยุงเข้ายังตัวเรือน  แสนปล่อยให้แก้วตานั่งนิ่งอยู่ครู่จึงเอ่ยไล่ให้เด็กหนุ่มไปอาบน้ำ  ใบหน้าบวมเป่ง  ปากแตก  เส้นผมยุ่งเหยิงขาดแหว่งทำให้แสนถอนหายใจ  ถ้าหากคุณใหญ่มาเห็นแก้วตาในสภาพนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“ไปอาบน้ำเถอะขอรับ  กระผมจะรอไปส่งที่เรือนคุณหลวง  อย่างไรเสียคืนนี้ก็นอนที่นั่นเถอะนะขอรับ”

“....”  เด็กหนุ่มไม่ตอบคำแต่ลุกไปอาบน้ำเงียบๆคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่างกับตัวเอง  หากดวงตาคู่สวยนั้นกำลังเศร้า...




แก้วตาหยุดเท้าที่กำลังก้าวขึ้นเรือนของคุณหลวงมองคนที่ขวางหน้าเขานิ่ง

“เกิดอะไรขึ้น  เหตุใดเจ้าจึงมีสภาพเช่นนี้?”  ร่างสูงขยับกายขวางแก้วตาซึ่งพยายามเบี่ยงกายหลบ  เขาเร่งทำงานจนไม่ได้พัก  หลายวันมานี้เขาแทบไม่มีสมาธิเพราะมัวแต่พะวงว่าแก้วตาจะเป็นอย่างไร  หายกังวลเรื่องมารดาหรือยัง  กินข้าวได้อยู่ไหม  ยังไปซ้อมรำอยู่หรือเปล่า  เขาจึงให้แสนไปหาแก้วตาที่เรือนก่อนเผื่อว่าเด็กหนุ่มจะต้องการความช่วยเหลืออย่างอื่น  แสนจะได้ช่วยเหลือและอยู่เป็นเพื่อน  แต่บัดนี้ใบหน้าที่เขาแสนคิดถึงนั้นหมองเศร้า  แก้มช้ำไปทั้งซีก  หนำซ้ำเรือนผมสลวยก็ไม่เป็นเช่นเดิม  คุณพระนายหันไปหาคนสนิทเพื่อรอคำตอบเพราะเห็นทีร่างเล็กคงไม่ยอมบอกเขาเป็นแน่ 

“คุณหนูโสภีขอรับ”

“โสภีทำร้ายเจ้ารึ?”  ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะแก้มข้างที่บวมช้ำแผ่วเบา  แก้วตาเม้มริมฝีปากแน่นไม่ยอมเงยหน้ามองเขาสักนิด  เขาอยากจะรั้งร่างตรงหน้าเข้ามากอดเพื่อปลอบประโลมให้หายตกใจ  อยากระซิบบอกว่าเขาขอโทษที่ทำให้แก้วตาต้องเจอเรื่องแบบนี้  เขารู้...รู้ว่าสักวันหากโสภีรู้ว่าเขามีใจให้ใคร  คนคนนั้นคงโดนโสภีตามราวีทำร้ายเป็นแน่แต่เขาก็หยุดหัวใจตัวเองไม่ได้...เขาห้ามใจไม่ให้รักแก้วตาไม่ได้...

โสภียึดติดเขา  ต้องการให้เขาเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว  หากความรักที่เขามีให้โสภีเป็นเพียงความรักฉันท์พี่น้องซึ่งไม่เคยเปลี่ยนจากอดีต  เขาไม่สามารถรักโสภีเช่นเดียวกับที่โสภีรักเขาได้

“ทำไมขอรับ?”

“?”  ร่างสูงลดมือที่แตะแก้มของแก้วตาลงเมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมคำถาม

“ทำไมคุณพระนายถึงต้องเข้ามายุ่งวุ่นวายกับกระผมด้วย?”

“แก้วตา?”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่?  หรือวันที่เสด็จออกขุนนางวันนั้น?”  ดวงตาคู่สวยจ้องมองร่างสูงสั่นไหวยามเอ่ยปาก  วันนั้นแก้วตาออกไปรำฉุยฉายแทนมารดา  เขาเห็น...คุณพระนายหนุ่มแห่งพระนครที่สาวๆร่ำลือกันนั่งอยู่ตรงหน้า  รูปงามนักยามฝ่ายนั้นหัวเราะยิ้มแย้มกับคนรอบข้างหรือแม้ยามนั่งนิ่งเฉย  เขาแทบลืมท่ารำ  แทบสะดุดลมหายใจเมื่อคุณพระนายคนนั้นมองมาที่เขา  สายตานั้นคล้ายมีบางอย่างที่ทำให้แก้วตาเหมือนหายใจไม่ออก  แต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร...

“...อาจจะใช่”  ร่างสูงตอบเสียงเบา  ท่าทางของแก้วตาคล้ายแก้วบางที่กำลังจะแตกอย่างไรอย่างนั้น

“คุณพระนายสายตาไม่ดีรึ?  ไม่รู้รึว่ากระผมไม่ใช่แม่หญิง?”

“วันนั้นพี่ไม่รู้”

“แล้วหลังจากที่รู้ล่ะ?”  เสียงแหบหวานสั่นเครือ  หยาดน้ำใสคลอหน่วยจวนเจียนจะหยด  “เมื่อรู้ว่ากระผมเป็นชายหาใช่แม่หญิงอย่างที่คุณพระนายเข้าใจไม่  ทำไมคุณพระนายยังคอยมาที่นี่อยู่อีก?”

“เพราะ...”

“เพราะกระผมเหมือนแม่หญิงอย่างนั้นหรือขอรับ?”  แก้วตายกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา  ริมฝีปากเม้มแน่น  ยามเมื่อเอ่ยถามประโยคนั้นออกไป  เหตุใดหัวใจของเขาจึงเจ็บปวดเหมือนจะขาดเยี่ยงนี้หนอ

“ไม่...”

“เพราะใบหน้านี้หรือเพราะเรือนผมนี้?”

“แก้วตา?”

“เพราะรูปลักษณ์นี้จึงทำให้คุณพระนายเข้าใจผิด?”

“ไม่ใช่นะ”

“แล้วเพราะอะไร  เพราะอะไรหรือขอรับ?”

“เพราะพี่ระ...”

“หากสิ่งที่คุณพระนายเห็นมันทำให้คุณพระนายเข้าใจผิด”

“แก้วตาฟังพี่”

“ถ้าอย่างนั้น...”

“น้องจะทำอะไร?”  ร่างสูงเอ่ยถามเมื่อแก้วตารวบผมยาวตัวเองไว้ในกำมือ  ชายหนุ่มมองมีดเล่มเล็กในมือคนตรงหน้าด้วยใจหวาดหวั่น

“กระผมจะทำให้คุณพระนายเห็นเสียทีว่ากระผมไม่ใช่แม่หญิง!”  หยาดน้ำตาร่วงผ่านแก้มเนียนพร้อมกับมีดเล็กในมือที่ตวัดลงบนเส้นผมยาวสลวยด้วยมือเจ้าของ

“แก้วตา!”

“กระผมไม่ใช่แม่หญิง  คุณพระนายเห็นรึไม่ขอรับ?”

“แก้ว...”  คุณใหญ่มิอาจกลั้นน้ำตาของตัวเองได้  เขามองคนตรงหน้าด้วยสายตาร้าวราน  เขาเจ็บปวดที่ทำให้แก้วตาร้องไห้

“...เป็นชายไม่ใช่แม่หญิง...”  ร่างเล็กเดินขึ้นเรือนไปอย่างเชื่องช้า  ทิ้งไว้เพียงเส้นผมสีขนกาที่เคยงดงามบนหลังของเขาให้อยู่บนพื้น



คุณพระนายหนุ่มมองเส้นผมที่เขารักนักหนาด้วยสายตาเจ็บปวดก่อนจะทรุดกายลงหยิบปอยผมนั้นขึ้นแนบอก 

“คุณใหญ่ขอรับ!”  แสนถลามาประคองไหล่แกร่ง  บัดนี้ไหล่กว้างที่เคยตั้งตรงกลับงองุ้มเพราะความทุกข์ใจ

“แก้ว...”  เส้นผมของแก้วตา  ความเจ็บปวดของแก้วตา  เขาไม่กล้าหันไปมองด้านหลังของแก้วตา  เขากลัวว่าหากเห็นไหล่เล็กๆนั่นสั่นไหวเพราะแรงสะอื้นเขาคงจะละทิ้งความคิดทั้งหมดทั้งมวลแล้วคว้าร่างนั้นมากอด   ถ้าทำแบบนั้นแก้วตาจะเจ็บปวดขึ้นอีกรึเปล่า?
ภาพแผ่นหลังเล็กพร่าเลือนเพราะเขามองผ่านม่านน้ำตา

“แก้วตา..”

“แก้ว...”



แก้ว...


“แก้ว”





“แก้วครับ!”

“?” 
เปลือกตาบางลืมขึ้นมอง  ใบหน้าที่ชะโงกลงมานั้นพร่าเลือน  “คุณพระนาย?”

“ไม่ใช่ครับแก้ว  นี่พี่เอง  พี่ชาย”

“พี่ชาย?”  เด็กหนุ่มเหลียวมองรอบกายก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้อยู่บนเรือนซ้อมรำของคุณหลวง

“เวลาธูปหนึ่งดอกหมดแล้วครับ”  ชายยิ้มอ่อนพลางพยุงเด็กหนุ่มให้ลุกนั่ง

“ผ่านไปเร็วจังนะครับ”  ชายมองใบหน้าเนียนที่ซีดขาวอย่างเป็นห่วง  ก่อนเหลียวมองรอบห้องตามสายตาของแก้วตา  “คุณพระนายล่ะครับ?”

“ไม่รู้ซิ  พี่ไม่เห็นเขาตั้งแต่แก้วหลับตาแล้วล่ะ”

“งั้นหรือครับ?”

“กลับกันเถอะครับ  ถ้าค่ำกว่านี้เดี๋ยวน้าเพ็ญจันทร์จะเป็นห่วง”  ชายบอกเวลาให้แก้วตารู้ว่าเย็นค่ำมากแล้วและพวกเขาไม่ควรรั้งอยู่ที่นี่นานนัก  แก้วตายอมกลับตามคำของชายแต่โดยดี  หากในใจกลับพะวงถึงใครบางคนที่เขาอยากเห็นหน้า  ภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่ก่อนลืมตาทำให้หัวใจของเขาแปลบปร่า

แก้วตาคนนั้นกับเขา  เป็นคนเดียวกันอย่างนั้นหรือ?
แล้วเหตุใด  เขาและคุณพระนายถึงตายจากกัน?
...ทั้งๆที่รักมากถึงขนาดนั้น

แก้วตาอยากได้เวลามากกว่านี้  ธูปหนึ่งดอกในหนึ่งสัปดาห์มันน้อยเกินไป  เขาอยากรู้เรื่องราวต่างๆโดยเร็วแต่พระคุณเจ้าคงไม่ยอมเป็นแน่  ท่านกลัวว่าเขาจะได้รับอันตราย 
อ่า...ไม่เป็นไร    เด็กหนุ่มบอกให้ตัวเองอย่าใจร้อน  ยังมีเวลาอีกมากให้เขาได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด  ค่อยๆเป็นค่อยๆไปให้เขาได้รู้ความรู้สึกทุกอย่างของแก้วตาคนนั้นและตัวเขารวมทั้งผู้ชายคนนั้น    คุณพระนาย
ถ้อยคำสัญญาระหว่างพวกเขา
สิ่งที่คุณพระนายเฝ้ารอ
.
.



เงาร่างสูงยืนมองส่งคนทั้งสองขึ้นรถออกไปจากระเบียงชั้นสองด้วยสายตาโหยหา  หากกระนั้นบนใบหน้าก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่  คุณใหญ่ไม่ได้ปรากฏตัวตอนที่แก้วตาลืมตาตื่นแล้วถามหาเขา  เพราะถ้าหากทำอย่างนั้นเขาคงจะห้ามตัวเองไม่ได้...ที่จะทำให้แก้วตาหลับไปอีกครั้งเพื่อที่แก้วตาจะได้นึกถึงเรื่องราวของเขาให้ได้มากที่สุด

“คุณใหญ่ขอรับ”

“แสน?”  เขาไม่ได้หันมามองคนสนิทเพราะจิตใจของเขายังคงอยู่ที่คนเพิ่งจากไปเมื่อครู่

“คุณใหญ่ขอรับ”

“มีอะไ...แสน!  เหตุใดร่างกายเอ็งจึงเป็นเช่นนี้?”  ชายหนุ่มถลาประคองร่างคนสนิทที่บัดนี้เหลือแขนเพียงข้างเดียวจากเหตุการณ์คราวก่อน  ส่วนอีกข้างที่เหลือลางเลือนแทบมองไม่เห็นตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงข้อมือ

“ดูเหมือนจะเพราะมีดอาคมของไอ้หมอผีคนนั้นขอรับ”  คุณใหญ่นิ่งงัน  เขายกมือของตัวเองขึ้นดูด้วยสายตาหวาดหวั่น   ผิวขาวซีดดูเหมือนจะซีดมากกว่าเดิมคล้ายเป็นสีเทาทำให้ร่างสูงนิ่งมองเนิ่นนาน  “คุณใหญ่ขอรับ?”

“ไปหาคุณหลวงกันเถอะแสน”

“พวกเราจะเหลือเวลาอีกกี่มากน้อยขอรับคุณใหญ่?”

“เอ็งกลัวรึแสน?”  เสียงทุ้มเอ่ยถามแผ่วเบา  หากแสนก็ยังจับกระแสความเศร้าที่แฝงมาในน้ำเสียงนั้นได้

“ไม่ขอรับ  ขอแค่ได้ไปพร้อมกับคุณใหญ่กระผมไม่กลัวสิ่งใดขอรับ”

“ขอบใจนะแสน  ขอบใจเอ็งนักที่คอยอยู่เคียงข้างฉันมาตลอด”  ชายหนุ่มตบบ่ากว้างของแสนอย่างซาบซึ้ง

“กระผมก็ขอบพระคุณคุณใหญ่ขอรับที่รักกระผมเหมือนน้องชายแท้ๆ”  แสนยิ้มกว้างเพื่อแสดงว่าเขาดีใจมากแค่ไหน

“ไปเถอะ  ไปหาคุณหลวงกันก่อนที่พวกเราจะสูญสลายหายไปจนไม่สามารถไปเกิดได้อีก”

เสียงลมหวีดหวิวพร้อมเงาร่างทั้งสองที่หายวับไป  ทิ้งเรือนขาวที่มืดสนิทไว้ด้านหลัง  ความวังเวงยังคงครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณกั้นเป็นอาณาเขตไว้ไม่ให้ใครเข้าไปได้แม้แต่เพียงคนเดียว
...เรือนขาวที่รอเจ้าของกลับคืน...



********



โปรดติดตามกาลต่อไป





พูดคุย :

 ขอโทบที่หายไปนานนะคะ^^ ยุ่งๆกับงานอยู่ค่ะเลยไม่ค่อยมีเวลา  น้อมรับความผิดเจ้าค่ะ^^
เหมือนเดิม  หากมีข้อผิดพลาดประการใดข้ออภัยด้วยนะคะ  สามารถชี้แนะ ติ-ชมกันได้ค่ะเพื่อจะได้พัฒนาฝีมือกันต่อไป
หวังว่าจะชอบเรื่องนี้กันนะคะ

มือใหม่กับการมาแนวนิยาย  ฝากตัวด้วยค่ะ^^

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
คุณทรายมาต่อแล้ว ดีใจ ขอบคุณมากค่ะ  :กอด1:
อ่านตอนนี้แล้วสงสารทั้งแก้ว คุณพระนาย คุณใหญ่และแสนที่แสนดีด้วย
(น้ำตาซึมเลยตอนอ่าน แหะๆ)
เอาใจช่วยทุกตัวละครและเป็นกำลังใจให้คุณทรายเสมอค่ะ ^^

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
มาต่อแล้วดีใจมากเลย  รอตอนต่อไปนะครับ ชอบมากเลย
เขียนได้ดีและน่าติดตามมากๆ

ออฟไลน์ someone0243

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
เมื่อไหร่เขาจะได้อยู่ด้วยกันซักที  :hao5:
อ่านตอนนี้แล้วอยากกระชากโสภีมาตบจริงๆค่ะ คนอะไรจะหน้าด้านหน้าทนได้ปานนั้น
รอตอนต่อไปนะคะ  :katai5:

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4

ได้อ่านยาวจุใจเลย----สนุกมากกกกก

ว่าแต่แล้วจะรักกันได้ยังไง
คงต้องรอไปเกิดใหม่ชาติหน้าทั้งคู่ล่ะมั้ง

+  1 + เป็ดจ้า

ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
มาต่อแล้ว ขออ่านให้แบบจุใจกันไปเลย  ตอนนี้ก็ยังน่าสงสารทุกคนอยู่ดี เมื่อไรคุณใหญ่กะแก้วจะสมหวังกันสักทีนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ...อสงไขย...กาลที่๘-๙ ...[22-11-2556...หน้า๕]
« ตอบ #139 เมื่อ: 22-11-2013 18:32:47 »





ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
โสภีร้ายมากเลย สงสารคุณพระนายกับแสนมาก
อยากให้มากเกิดทันกันกับแก้วตาในภพนี้จัง
แก้วตารีบคืนความจำมาเร็วๆนะ คุณพระนาย แสน กับนมแย้มจะได้ไปเกิดซะที

ออฟไลน์ bebe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 672
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-5
อ่านไปน้ำตาไหลไปสงสารคุณใหญ่ จังเลยนะเจ้าคะ

ออฟไลน์ YaoTJi

  • เพราะชีวิต ขาดวายไม่ได่้
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เรื่องนี้สนุกมาก ชอบการบรรยาย เหมือนย้อนอดีตด้วยเลย

พล็อตดีจังค่ะ อดีตที่อยู่ในอดีต คุณหลวงกับแก้วน่ารักมาก

มาต่อไวๆนะคะ ก่อนหน้านี้นึกว่าคนเขียนจะทิ้งซะแล้ว  :mew2:

ออฟไลน์ 9nawKIHAE

  • ♥BJYX~
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ฮึก...กกก..ก ติด...ติดใจเรื่องนี้
ฮืออออออ มาต่ออีกนะคะ
รออ่ะรอ ชอบมาก แก้วตาของคุณพระนายยย  :hao5:

carenaka

  • บุคคลทั่วไป
สนุกมากคะ รอติดตามนะคะ

ออฟไลน์ tiamo1717

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านไปร้องไห้ไป TT สงสารคุณใหญ่
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ ^_^

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
...อสงไขย...
....กาลที่๑๐...






เสียงขีดเขียนหยุดลงพร้อมรอยยิ้มของคนวาด  เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อผลงานเป็นที่น่าพอใจ  เขาคิดว่าวันนี้คงพอเท่านี้ก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยลงสีอีกที  เขาค่อยๆเก็บอุปกรณ์วาดรูปลุกขึ้นปลดภาพเตรียมเข้าบ้านก็ต้องชะงักเท้าเมื่อหันมาเจอคนไม่คุ้นหน้าที่ยืนจ้องเขาเขม็ง

“เอ่อ?”

“เธอ?”

“อ้าว  น้าโสภีอยู่ที่นี่เอง  แก้วด้วย”

“ฤดี?”  แก้วตาทักเพื่อนหากสายตายังจับจ้องสตรีสาวสวยตรงหน้า

“แก้ว  นี่คุณน้าโสภีเป็นญาติห่างๆของเราเอง  คุณน้านี่เพื่อนของฤดีค่ะแก้วตาเขาจะมาพักที่นี่สักระยะ”  ฤดีแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน  แก้วตายกมือไหว้ตามมารยาทฝ่ายนั้นก็รับไหว้แล้วยิ้มสวยเป็นมิตรส่งมาให้

“แก้วตา?  ฉันเห็นเธอวาดรูป  สวยนะ”

“ขอบคุณครับ”  เด็กหนุ่มกระชับรูปในแขนก้มศีรษะรับคำชมนั้น

“คุณน้าชอบภาพวาดหรือคะ?  ถ้าอย่างนั้นไปแกลลอรี่ของพี่ชายซิคะที่นั่นมีภาพวาดเยอะแยะเลย”  ฤดีเสนอดูท่าว่าญาติสาวของเธอจะสนใจภาพเอามากๆเพราะจ้องสิ่งที่อยู่ในมือแก้วตาไม่วางตา

“ภาพของแก้วตา?”

“อ้อ  ที่นั่นก็มีค่ะ  แก้วเขาวาดภาพส่งแกลลอรี่พี่ชายด้วยมีแต่สวยๆทั้งนั้น”

“เธอวาดรูปคนด้วยหรือเปล่า?”  โสภีถามเด็กหนุ่มโดยไม่รอให้ฤดีพูดจบ  เด็กสาวเบ้หน้าเพราะเดิมทีก็ไม่ค่อยชอบหน้าของญาติสาวคนนี้นัก

“ไม่ครับ  ผมไม่วาดภาพคน”

“อย่างนั้นหรือ?  แล้วเคยวาดบ้างไหมก่อนหน้านี้น่ะ”

“ก็เคยครับ  ...ครั้งเดียว”

“อย่างนั้นรึ?”  โสภียิ้มกว้าง  เขยิบเท้าเข้าใกล้เด็กหนุ่มตรงหน้าอีกนิด  “เธอวาดรูปใครรึ?”

“?”

“ฉันก็แค่สงสัยน่ะว่าใครเป็นคนโชคดีคนนั้นที่เธอยอมวาดรูปเขาเพียงคนเดียว”

“ทำไมหรือครับ”

“เอ่อ  ฉันก็แค่อิจฉาน่ะ”

“อิจฉาหรือครับ?”  แก้วตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ  เขาดูเธอไม่ออกว่าเธอคิดอะไรอยู่เพราะแววตาครั้งแรกที่เขาเห็นมันเหมือนว่าเธอเกลียดเขามากต่อมาก็กลายเป็นยิ้ม  เฉยชา  แล้วก็เป็นมิตร  อีกทั้งคำพูดหยอกล้อ  มันดูขัดกันไปหมด

“บอกตรงๆนะฉันชอบภาพวาดของเธอมาก  เลยคิดอยากจะให้เธอวาดรูปเหมือนฉันบ้างแต่เธอบอกว่าไม่วาดรูปคนฉันก็เลยอิจฉาคนที่เธอยอมวาดรูปเขาน่ะซิ”  โสภีว่าพลางยิ้มเสียดายบอกว่าเธอเสียใจจริงๆ

“อย่างนั้นหรือครับ?”  แก้วตาผ่อนลมหายใจลดอาการเกร็งลงเมื่อได้ยินคำตอบ  สงสัยเขาจะคิดมากไปเอง

“แล้วพอจะบอกได้ไหมว่าใครเป็นนายแบบให้เธอน่ะ”

“เอ่อ  คือ...”

“ว่าแต่คุณน้าโสภีนี่ดูท่าจะชอบแก้วมากเลยนะคะ  เพิ่งเจอกันครั้งแรกแท้ๆ”  ฤดีเอ่ยขัดเพราะเห็นท่าทีอึดอัดของเพื่อนแล้วทนไม่ไหว  จึงยอมเสียมารยาทเอ่ยแทรกขึ้นมา

“น้าเคยเห็นเขาอยู่กับฤดีน่ะ  แล้วก็ตอนไปเยี่ยมอาจารย์กิตติที่มหาวิทยาลัย”

“คุณรู้จักกับอาจารย์กิตติหรือครับ!”  แก้วตาโพล่งถามเสียงดัง  โสภีเลิกคิ้วแปลกใจก่อนจะยิ้มหวาน

“ใช่  มีอะไรหรือจ๊ะ?”

“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนหรือครับ?”

“มีเรื่องอะไรกัน?  เขาเป็นอาจารย์ก็ต้องอยู่มหาวิทยาลัยไม่ใช่หรือ?”  โสภีถามกลั้วหัวเราะ

“ไม่ค่ะ เขาไม่ได้อยู่  เขาหายตัวไปค่ะคุณน้า...เขาขโมยภาพของแก้วแล้วหนีไป”  ฤดีเฉลยข้อข้องใจให้น้าสาวฟัง  โสภีหันมามองหน้าแก้วตาอีกครั้งแล้วเอ่ยถาม

“ภาพ?  เขาขโมยภาพอะไรไปจากเธอหรือ?”  สายตาที่มองไปยังเด็กหนุ่มนั้นรอคอยและคาดหวัง

“ภาพ  ภาพคน  ภาพเขา...”  แก้วตาตอบเสียงเบา  มือเล็กกำแน่นเมื่อนึกถึงวันนั้นซึ่งภาพของเขาถูกขโมยไป

“ภาพเขา?”  โสภียิ้มเย็นจ้องมองแก้วตาด้วยสายตาเย็นชา  “แล้วทำไมเธอไม่วาดใหม่ล่ะ?”

“ผม...”

“เธอมีแบบอยู่แล้วนี่  เขาคงไม่ว่าหรอกหากเธอจะขอให้เขาเป็นแบบอีกครั้ง  จริงไหม?”

“เขา...เอ่อ..”

“ให้ฉันไปคุยให้ไหม  ฉันโน้มน้าวใจคนเก่งนะ”  โสภีคว้ามือข้างที่ว่างของแก้วตาไปกุมไว้  “เขาเป็นใครล่ะ?  อยู่ที่ไหน?”

“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกครับ  แล้วก็...คุณคงไปคุยกับเขาไม่ได้  ขอโทษครับที่ผมเสียมารยาทแต่ขอตัวก่อน”  แก้วตาดึงมือกลับก่อนจะเดินจากไป  ฤดีเองก็วิ่งตามเพื่อนเข้าไปในบ้านเพราะไม่อยากเสวนากับญาติผู้นี้มากนัก  ทิ้งให้หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ที่เดิม  รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆจางหายไปจนเหลือแต่ความบึ้งตึง  มือสวยกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อหันไปมองด้านหลังของเด็กหนุ่มอย่างแค้นเคือง

“ไอ้คนโกหก!  ฉันรู้ว่าเขาต้องอยู่กับแก  ไม่อย่างนั้นแกจะวาดรูปเขาออกมาได้ยังไง!”  ริมฝีปากสวยบิดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจ  โสภีอุตส่าห์ลงทุนสืบหาว่าคนที่วาดรูปชายในฝันของเธอเป็นใครหากแต่จุดใต้ตำตอแท้ๆเพราะเธอเพิ่งรู้ว่าคนคนนั้นคือเพื่อนสนิทของฤดีญาติสาวซึ่งเธอไม่ชอบหน้านัก  เธออยากจะรู้ว่าเหตุใดเด็กแก้วตาจึงวาดรูปนั้นออกมาและเขาคนนั้นอยู่ที่ไหนเธอจึงยอมมาแวะเยี่ยมเยียนบ้านหลังนี้
โสภียอมทนนั่งเบื่อพูดคุยกับพ่อของฤดีอยู่เป็นนานกว่าจะขอตัวออกมาเดินเล่น  แล้วโชคก็เข้าข้างเธอเพราะขณะที่คิดว่าจะถามฤดีอย่างไรเพื่อจะได้เจอเด็กนั่น  โสภีก็เห็นว่าคนที่ต้องการจะเจอนั่งวาดรูปอยู่ในสวนนี้เอง!
ลายเส้นนั่นโสภีจำได้เพราะว่าเธอนั่งมองรูปนั้นทั้งวันทั้งคืนไม่เป็นอันทำอะไรอยู่แรมเดือน  เด็กแก้วตาเป็นคนวาดรูปเขาและจะต้องรู้จักเขาแน่ๆโสภีมั่นใจ!  เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าเขาอยู่ที่ไหนหากแต่โชคดีไม่ได้เข้าข้างเธอนานนักเพราะดูเหมือนเด็กแก้วตานั่นจะไม่ชอบใจหล่อนนักและไม่ยอมเผยเรื่องราวของเขาคนนั้นออกมาสักนิดเดียว
คิดหรือว่าคนอย่างโสภีจะยอมแพ้  ไม่มีทาง!  เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าชายในความฝันของเธอ  คุณใหญ่   ผู้ชายคนนั้นอยู่ที่ไหน!




เขาเกือบจะหลุดปากออกไปแล้วว่าคนในภาพนั้นไม่มีตัวตนอยู่จริง   ใช่ว่าแก้วตาจะไม่อยากวาดรูปคนคนนั้นขึ้นมาใหม่  แต่เพราะแก้วตาอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงวาดรูปคนอื่นไม่ได้นอกจากภาพของเขาคนนั้นคนเดียว  จนกว่าจะหาคำตอบที่ชัดเจนได้เขาจะไม่วาดภาพของคุณพระนายคนนั้นอีก  แก้วตาถอนหายใจค่อยๆวางภาพในมือลงบนขาตั้งแผ่วเบา  ....ภาพเรือนขาว....  เขานึกถึงสายตาของโสภีเมื่อครู่แล้วสะท้านจนต้องยกมือขึ้นลูบแขนโดยไม่รู้ตัว  สายตานั่นมีทั้งความชิงชัง  คาดหวังและกระหายหาบางอย่าง  ซึ่งนั่นอาจไม่ใช่สิ่งดีหรือเรื่องที่เขาต้องการแน่แก้วตาคิดเช่นนั้น  เขาจึงดึงมือออกจากการเกาะกุมของเธอทันที

แก้วตาอยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆเพราะเขาจะได้กลับไปที่นั่นอีกครั้ง  เขาอยากรู้ว่าหลังจาก  แก้วตาคนนั้น  ตัดผม...ตัดสัมพันธ์เช่นนั้นแล้วคุณพระนายทำอย่างไรต่อไป
เวลาที่แก้วตาได้มา  ธูปหนึ่งดอกในหนึ่งสัปดาห์  นั่นคือวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดของชายและมารดาของเขาไม่ยอมให้ไปเรือนขาวคนเดียว  ในช่วงที่เขาหลับเพื่อรับรู้ถึงเรื่องราวในอดีตจะต้องมีชายไปด้วยเสมอ  นั่นคือคำขอร้องจากมารดาผู้ซึ่งห่วงใยเขามากมาย  เมื่อธูปหมดดอกชายจะต้องปลุกเขาทันทีตามคำบอกของพระคุณเจ้า
.
.



ในที่สุดวันเสาร์ก็มาถึง  แก้วตาไปรับธูปที่วัดพร้อมทั้งทำบุญใส่บาตรให้คุณพระนาย  แสนและนมแย้ม  พระคุณเจ้าเพียงแค่ย้ำว่าเขาควรใช้เวลาแค่ธูปหนึ่งดอกเท่านั้นอย่าให้เกินแล้วไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากจ้องหน้าแก้วตาแล้วถอนหายใจ

“หลวงพ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“...อาตมาบอกโยมไม่ได้หรอก”

“ครับ”

“อ้อ  โยมพอจะมีเวลามานั่งวิปัสสนาบ้างไหมช่วงนี้?”

“ทำไมหรือครับหลวงพ่อ?”  ชายเอ่ยถามเพราะเห็นสีหน้าเป็นกังวลของพระคุณเจ้าท่านเขาจึงเป็นห่วงแก้วตาขึ้นมา  กลัวว่าเด็กหนุ่มจะมีอันตรายอื่นใดอีก

“อาตมาอยากจะให้โยมแก้วตาเขาได้ทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวรของเขาเท่านั้นดอกไม่ได้มีเคราะห์ร้ายอันใด”  พระคุณเจ้ายิ้มบางตอบคำถาม

“ผมจะหาเวลามาครับ  ทุกวันศุกร์น่าจะไม่มีปัญหา”  แก้วตาตอบรับหลวงพ่อ  ในใจของเขาเกิดความกังวลอย่างบอกไม่ถูก

“ถ้าอย่างนั้นพี่จะมาด้วย”  ชายว่า  ก่อนทั้งสองจะกราบลาพระคุณเจ้าแล้วไปยังเรือนขาวโดยไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนแอบตามพวกเขาสองคนไปอย่างเงียบๆด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจ



**********






สายลมเอื่อยยามค่ำช่วยดับความร้อนยามกลางวันให้เบาบางลง  ผิวน้ำไหวเป็นระลอกคลื่นเล็กๆให้ใบบัวขยับไหว  หากเจ้าของใบหน้าขาวก็ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน  แขนเล็กโอบกอดเข่าสองข้างของตนเองไว้

ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่ได้เจอหน้าคุณพระนายอีกเลย  เวลาเกือบเดือนที่ไม่เห็นแววตาคู่นั้น  ที่ผ่านมาอาจจะเป็นการเข้าใจผิดจริงๆก็ได้ในเมื่อคุณพระนายเห็นและเข้าใจแล้วว่าเขาไม่ใช่แม่หญิง  แล้วเหตุใดในอกของเขามันถึงเจ็บแปลบไม่หายเสียที  เจ็บจนน้ำตาแทบไหล  เจ็บจนเหมือนหัวใจจะหลุดออกมานอกอกอย่างนี้  มือเล็กยกขึ้นกดอกด้านซ้ายของตัวเองแน่น  ดวงตาเรียวหม่นหมองก่อนจะเลื่อนมือขึ้นแตะปลายผมของตัวเองซึ่งบัดนี้มันยาวเพียงระต้นคอเท่านั้น

ดีแล้ว

เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว....

ใบหน้าเล็กซุกลงหว่างเข่านึกถึงเหตุการณ์วันนั้น  หลังจากที่แก้วตาอาจหาญตัดผมตัวเองพอหลวงเสนาะเห็นเข้าก็แทบล้มทั้งยืนก่อนเขาจะโดนโบยน่องลายไปหลายแผล  เพราะนางรำผมสั้นจะต้องรอให้ผมยาวเสียก่อนจึงจะแต่งตัวออกงานได้  ดังนั้นแก้วตาจึงต้องระเห็จตัวเองไปนั่งร้องเพลงให้บรรดาพี่สาวรำเสียแทน  หนำซ้ำดูเหมือนหลวงเสนาะจะโกรธจนไม่ยอมเรียกแก้วตาไปรับใช้เหมือนที่ผ่านมา  นอกเสียจากจะมีงานในวังเด็กหนุ่มจึงจะได้เข้าไปนั่งบีบนวดเอาใจหลวงเสนาะให้หายโกรธ


“ไอ้แก้ว?”  เสียงทุ้มคุ้นหูของใครบางคนเอ่ยเรียกให้เด็กหนุ่มหันไปมองอย่างแปลกใจ

“พี่ก้านรึ?”  แก้วตาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจเพราะอีกฝ่ายเล่นเอาผ้าคลุมมิดไปเสียทั้งหัวทั้งตัวแบบนั้น  แล้วยิ่งมืดๆแบบนี้ยิ่งดูไม่รู้เข้าไปใหญ่ว่าเป็นใคร

“เออ  ข้าเอง  แล้วนั่นเอ็งมานั่งทำอะไรอยู่นั่นมืดค่ำไม่รู้จักกลับเรือน”

“แล้วพี่เล่ามืดค่ำแล้วไปที่ใดมา?  พาใครมาด้วยรึ?”  แก้วตาพยายามจะมองลอดผ้าเมื่อมองใบหน้าคนที่พี่ก้านพามาด้วย

“ข้าไปทำธุระให้ท่านมา  ว่าแต่เอ็งเถอะรีบกลับเรือนไป๊  มานั่งท่าน้ำมืดๆค่ำๆแบบนี้ระวังเถอะ  ประเดี๋ยวผีพรายจะมาลากเอ็งลงน้ำ”  พี่ก้านว่าพลางขู่ให้แก้วตาเหลียวกลับไปมองท่าน้ำแล้วรีบวิ่งไปหาคนทัก

“พี่อย่ามาทักแบบนี้ซิ!  ไม่รู้ล่ะพี่ก้านไปส่งฉันที่เรือนด้วย!”

“อุวะ!  เอ็งนี่ทำตัวเป็นเด็กไปได้  ไม่รู้ล่ะข้าเสียเวลากับเอ็งมากแล้ว  ไปเถอะขอรับ”  ประโยคสุดท้ายก้านหันไปบอกคนด้านหลังให้เดินออกไป  แก้วตาเองก็วิ่งตามไปอย่างร้อนรน  เขามองร่างที่สูงกว่าเขาเกือบศอกภายใต้ผ้าคลุมนั้นอย่างสงสัย

“ท่านลุงกลับมาแล้วรึพี่ก้าน?”  แก้วตาชวนคุย

“อือ  คุณหลวงท่านเพิ่งกลับมาเมื่อตอนเย็นนี่เอง  แต่ไม่รู้ทำไมจึงให้ข้าวิ่งไปตามหมอฝรั่งมาตอนดึกๆแบบนี้?”

“ท่านลุงเจ็บไข้รึ?”

“เอ  ไม่นะ  ข้าเห็นท่านสบายดี  เฮ้ย  เจ้าแก้วอย่าบอกใครนะว่าข้าพาหมอฝรั่งมา  คุณหลวงท่านไม่ให้ใครรู้!”

“?”  ถึงจะสงสัยแต่เด็กหนุ่มก็พยักหน้ารับก่อนจะตามพี่ก้านกลับเรือนคุณหลวงไปด้วยเพราะเป็นห่วง       พอไปถึงเรือนทุกคนก็ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในห้องยกเว้นหมอฝรั่งเพียงคนเดียวจนได้ยินเสียงเรียกหาน้ำร้อนนั่นแหละแก้วตาจึงวิ่งเร็วจี๋กว่าใครนำมันเข้าไปในห้องหลวงเสนาะ   ทันทีที่เข้าไปคุณหลวงมองหน้าเด็กหนุ่มเหมือนตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับหม้อน้ำร้อนนั่นส่งให้หมอฝรั่ง

“เอ็งออกไปได้แล้ว”  คุณหลวงสั่งหากเด็กหนุ่มยังลังเลจนโดนเอ็ดเข้าอีกรอบก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นร่างสูงคุ้นตาของใครบางคนที่ยืนหน้าซีดบังร่างคนเจ็บบนเตียงไว้จนมิด

“แสน?”  เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่?

“ข้าบอกให้เอ็งออกไปก่อนไงเจ้าแก้ว!”  คุณหลวงดุให้เด็กหนุ่มสะดุ้ง  แก้วตายอมเดินออกจากห้องแต่โดยดี  หากใจของเขากระหวัดนึกถึงสีหน้าของแสนเมื่อครู่ก็ให้ใจสั่นหวั่นไหวด้วยความวิตกกังวล  ...หรือคนที่เจ็บจะเป็นเขา?

ผ่านไปค่อนคืนหมอฝรั่งจึงออกมาจากห้อง  มีพี่ก้านออกไปส่งเช่นตอนมาโดยมีผ้าคลุมมิดทั้งตัว  แก้วตามองตามหากไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด  เด็กหนุ่มนั่งรอหน้าห้องคุณหลวงจนฝ่ายนั้นออกมา  คุณหลวงมองเด็กหนุ่มแล้วถอนหายใจ

“ท่านลุงมีสิ่งใดจะใช้หรือไม่ขอรับ?”  แก้วตายิ้มตอบ

“ไปนอนเสียเถอะไป๊”  หลวงเสนาะไล่พลางเดินหนี  ก่อนจะชะงักเท้าเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มที่ท่านเอ็นดูเหมือนลูกหลาน

“คนเจ็บ...ใครหรือขอรับ?”

“เอ็งจะถามให้ได้สิ่งใด?”  แก้วตาก้มหน้าหลบ  เขาก็แค่อยากให้แน่ใจเพราะตลอดเวลาที่นั่งอยู่ตรงนี้มันกังวลจนเหมือนจะเป็นบ้าเสียให้ได้  คนในห้องจะเจ็บมากน้อยเพียงใด  จะปลอดภัยดีหรือไม่

“กระผม...”

“เอ็งเลือกอย่างนี้เองไม่ใช่รึ?  เขาจะเป็นจะตายไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเอ็งดอกเจ้าแก้ว”

“ใช่ขอรับ  ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับกระผม  แต่เหตุใดหัวใจของกระผมมันจึงเจ็บมากมายเหมือนจะขาดเพียงแค่คิดว่าคนที่นอนเจ็บอยู่นั่นเป็นเขาล่ะขอรับ?”  ดวงตาคู่สวยมีหยาดน้ำเอ่อคลอจ้องมองผู้อาวุโสอย่างไม่เข้าใจ

“…อย่าให้ใครรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่”  หลวงเสนาะถอนหายใจก่อนจะหันออกไป

ร่างสมส่วนนอนเหยียดยาวไม่รู้สติบนเตียงโดยมีอีกคนคอยเช็ดตัวให้  ฝ่ายนั้นหันมามองก่อนจะเช็ดตัวคนบนเตียงต่อ  มือเล็กเลิกมุ้งผืนบางออกเพื่อให้ภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น  ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียว  ไหล่ขวามีร่องรอยถูกทำร้ายใส่ยาและพันผ้าไว้  กระนั้นก็ยังมีเลือดซึมออกมาให้เห็น

“ทำไม?”

“งานน่ะขอรับ”  แสนตอบก่อนจะลุกเอาผ้าออกไปผึ่งตรงมุมห้อง  แก้วตาหยุดยืนข้างเตียงเขาไม่ได้เข้าไปใกล้มากกว่าเดิม  “โดนลูกปืนไฟของพวกกบฏน่ะขอรับ  พวกมันหนีไปได้ตอนนี้เลยพาคุณพระนาย
กลับไปที่เรือนท่านเจ้าพระยาไม่ได้เพราะฝ่ายนั้นยังไม่รู้ว่าคุณพระนายเธอปลอมตัวไปสืบราชการลับ”

“แล้วเจ็บหนักเลยรึ?”

“ก็เอาการอยู่  เห็นทีคงต้องพักอยู่ที่นี่อีกหลายเพลากระผมรู้สึกเพลียนัก  คุณแก้วจะช่วยอยู่เฝ้าไข้แทนสักครู่ได้รึไม่”

“เอ่อ”

“ถ้าไม่มีคนเปลี่ยนเห็นทีกระผมคงจะล้มตามคุณพระนายไปอีกคน  คราวนี้คงลำบากคุณหลวงหาคนมาเฝ้า...”

“จะนอนก็นอนไปเถอะ  แต่แค่สองชั่วยามเท่านั้นนะ!”

“ขอรับ  แค่สองชั่วยามให้แม่หญิงฉุยฉาย  เอ้ย  คุณแก้วปลุกกระผมได้เลยขอรับ!”  แสนยิ้มกว้างก่อนจะบิดกายไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบแล้วคว้าผ้าห่มปูลงนอนข้างฝานั่นเอง

แก้วตาทิ้งกายลงนั่งข้างคนเจ็บซึ่งหลับไปเพราะฤทธิ์ยาและบาดแผล  มือเล็กยกแตะแก้มสากที่ซูบตอบลงอย่างเห็นได้ชัดเจนแผ่วเบา  แค่รู้ว่าอีกฝ่ายปลอดภัยในอกเขาก็ปลอดโปร่งขึ้นมาส่วนหนึ่ง  ที่หายหน้าไปเพราะทำงานอย่างนั้นหรือ?  แล้วในอกเขาจะเต้นแรงไปทำไมในเมื่อไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเขา  แก้วตาดึงมือกลับผินกายนั่งหันหลังให้

เขาหวังสิ่งใดในเมื่อเขาเลือกแบบนี้  ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเหตุใดอีกฝ่ายจึงเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเขานัก  คอยยิ้ม  คอยตามติดและเขาก็ไม่เคยปฏิเสธอย่างจริงจัง  แต่มันไม่ถูกต้องไม่ใช่หรือ?  อย่างที่คุณหนูโสภีพูดนั่นแหละ  คุณพระนายคงแค่เข้าใจผิด
ในเมื่อเขาไม่ใช่แม่หญิง...

“แค่ก!  น้ำ...  แสนขอน้ำให้ฉันหน่อย”  เสียงทุ้มแหบพร่า  คุณพระนายหนุ่มเอ่ยขอน้ำทั้งที่ยังไม่ลืมตา  ความรู้สึกเจ็บและพิษไข้ทำให้เปลือกตาเขาหนักอึ้ง  มือที่พยายามประคองลุกนั่งนั้นดูไม่แข็งแรงเท่าที่เคย  ก่อนความเย็นของขันน้ำจะแตะริมฝีปากให้เขาดื่มเข้าไปอย่างกระหาย  เขาลืมตา  ยิ้มบางกับภาพตรงหน้า  พึมพำแผ่วเบาก่อนหลับตาลง

“แก้วตา  พี่ฝันอีกแล้วหรือ?”

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแต่แก้วตาไม่ได้ปลุกแสนในเวลาสองชั่วยามอย่างที่บอกเอาไว้  เขาปล่อยให้ฝ่ายนั้นหลับจนล่วงเข้าวันใหม่โดยเขานั่งพิงผนังฝั่งตรงข้ามคอยลุกไปดูคนบนเตียงเป็นระยะๆ  หากช่วงใดมีไข้ก็หยิบผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้  และหลังจากนั้นดูเหมือนจะหลับยาวไม่ได้เรียกหาน้ำอีก  จนเมื่อแสนขยับตัวเหมือนจะตื่นแก้วตาก็ลุกขึ้นยืน  เขาเหลือบมองคนเจ็บอีกครั้งก่อนจะเปิดประตูออกไป  แสนนั่งมองประตูที่เพิ่งปิดลงพลางส่ายหัวแล้วลุกไปดูคนเป็นนาย  เห็นสีหน้าสดใสกว่าเมื่อคืนก็ยิ้มออก

“แสน?”

“ตื่นแล้วหรือขอรับ  ยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่ขอรับ?”

“อืม...”

“เดี๋ยวกระผมไปเอาน้ำมาให้ล้างหน้าล้างตานะขอรับ”

“เมื่อคืนดูเหมือนว่าฉันจะฝันดี”  คุณพระนายเอ่ยขณะถูกประคองให้นั่งพิงหัวเตียง  ใบหน้าหล่อเหลาซูบเซียว  ไรเคราเริ่มยาวให้เห็นสีเขียวรำไรเพราะห่างหายจากการดูแลมาพอสมควรหากกระนั้นกลับเพิ่มความคมเข้มให้ใบหน้าหล่อเหลานั้น  ยิ่งยิ้มบางเบาก็ยิ่งดูงามมากขึ้นจนแสนอดคิดไม่ได้ว่าหากบรรดาสาวๆมาเห็นคุณพระนายของเขาตอนนี้คงพากันเสนอตัวมาดูแลกันทั้งพระนคร

“ฝันหรือขอรับ  เอ  หรือว่าเรื่องจริงกันนะ?”  เว้นไว้หนึ่งคนที่นับรวมกับสาวๆทั่วพระนครไม่ได้ก็แล้วกัน  แสนยิ้มกับความคิดของตัวเอง

“จะเป็นเรื่องจริงไปได้อย่างไรกัน  ฉันฝันอย่างนี้มาหลายคืนพอตื่นก็มีแต่ความว่างเปล่า”

“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้คุณพระนายลองไข้ขึ้นดูซิขอรับ”  แสนยิ้มเผล่ก่อนจะออกไปเอาสำรับข้าวและยา

“?”  ชายหนุ่มเลิกคิ้วไม่เข้าใจกับคำพูดนั้น  จะให้เขาไข้ขึ้นคืนนี้อย่างนั้นรึ?  จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่ออาการเขาดีขึ้นมากแล้ว  ดูท่าวันพรุ่งคงจะกลับเรือนได้ด้วยซ้ำ

“เป็นอย่างไรล่ะพ่อใหญ่?”  หลวงเสนาะทักพลางยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเองได้แล้ว

“ดีขึ้นแล้ว...”

“อ้อ  ยังเจ็บมากอยู่รึ?”  หลวงเสนาะพูดเสียงดังกลบคำพูดของชายหนุ่มที่ยังไม่จบประโยคนั้นจนคุณพระนายอ้าปากค้าง

“เอ่อ  กระผม...”

“ไปๆ  ไปนอนพักเสีย  ประเดี๋ยวฉันจะให้แสนมันเอายามาเพิ่ม!”  ยิ่งพูดทำไมเสียงหลวงเสนาะจึงฟังดูดังมากขึ้นก็ไม่รู้  ชายหนุ่มลังเล    จะให้เขานอนพักอีกอย่างนั้นหรือ?

“โอ๊ย!”  ไม้เท้าของหลวงเสนาะที่ไม่รู้ว่าท่านไปทำอีท่าไหนมันจึงควงขึ้นแล้วฟาดใส่เข่าชายหนุ่มเต็มแรงให้ร้องโอดโอยทรุดลงกับพื้น

“คุณพระนายขอรับ!”  แสนซึ่งไปเอาสำรับข้าวมาวิ่งตาเหลือกวางสำรับถาดแทบไม่ทัน

“ใครอยู่ข้างนอกมาช่วยไอ้แสนมันพยุงคนเจ็บหน่อยซิ”  เงียบ  ไม่มีเสียงตอบรับ  แสนเงยหน้ามองหลวงเสนาะทีมองหน้าคุณพระนายที  “หลังข้าก็ไม่ค่อยจะดีเสียด้วย...”  หลวงเสนาะพูดไม่จบประโยคก็กระหยิ่มยิ้มเมื่อเห็นว่าใครเดินเข้ามา  หากคนเจ็บกลับเบิกตากว้าง  ส่วนแสนน่ะรึกลั้นยิ้มเอาไว้แทบไม่อยู่แต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้

“!”  มือเล็กคว้าแขนข้างที่ว่างของเขาไปคล้องไหล่เพื่อพยุงเขาลุกจากพื้นไปยังเตียงนอน  ทั้งไหล่ทั้งเข่าที่เจ็บอยู่เมื่อครู่เหมือนหายเป็นปลิดทิ้งเสียอย่างนั้น  คุณพระนายจ้องเสี้ยวหน้าของคนที่อยู่ในความฝันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา  เป็นเจ้าจริงๆหรือ  แก้วตา?

“กระผมบอกแล้วอย่างไรล่ะขอรับว่าคืนนี้คุณพระนายต้องไข้ขึ้น”  แสนยิ้ม  ก้มกระซิบเสียงเบาพลางยื่นถ้วยยาให้เมื่อพ้นร่างเล็ก

“อ้อ”  คุณพระนายยิ้ม  ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจหรือบอกสิ่งที่อยู่ในใจของเขาให้แก้วตารับรู้เพราะเรื่องงานราชการลับซึ่งตามสืบอยู่  น้ำตาของแก้วตาทำให้เขาเจ็บปวด  สิ่งที่บีบคั้นจนกระทั่งแก้วตาต้องตัดผมตัวเองทิ้งล้วนเป็นเพราะเขาทั้งสิ้น

ยิ่งเห็นแก้วตาเจ็บเท่าใดเขาก็ยิ่งปวดใจมากเท่านั้น  แต่จะให้เลิกรักแก้วตาชายหนุ่มทำไม่ได้  เคยคิดจะตัดใจหากยิ่งได้ใกล้ชิด  ได้เห็นรอยยิ้ม  ได้เห็นแววตาคู่นั้นมองเขา  เขาก็ยิ่งอยากรักแก้วตาให้มากขึ้น  อยากปกป้อง

ไม่อยากให้แก้วตาต้องร้องไห้  แม้ตัวเขาเองจะต้องเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม
...เขาแค่อยากจะรักแก้วตาเท่านั้นเอง...







ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
.
.
.

“อื้อ  เจ็บ!”  เสียงร้องของคนบนเตียงทำให้คนที่นั่งพิงผนังลุกขึ้นไปดูด้วยความตกใจ  ดูเหมือนแผลจะแยกเพราะเลือดซึมเปื้อนผ้าเป็นวงกว้าง

“แสน!”  แก้วตาเขย่าไหล่คนตัวโตให้ตื่นมาดูคนเป็นนายทั้งๆที่แสนเพิ่งจะได้นอนเพราะเมื่อครู่เขาเป็นคนดูแลตลอดจนแก้วตามาเปลี่ยนให้เขานอนนั่นแหละ  แสนเบิกตากว้างก่อนจะหันไปคว้าถาดยากับผ้ามา

“แย่จริง  ยาหมด...  คุณแก้วแกะผ้าพันแผลออกก่อนนะขอรับเดี๋ยวกระผมจะไปบดยาเพิ่ม”  แสนบอกก่อนจะวิ่งออกไป  แก้วตาพยุงคนเจ็บขึ้นพิงหัวเตียง  เอื้อมมือปลดผ้าพันแผลออกอย่างยากลำบากเพราะต้องคอยโอบให้คนตัวโตพิงเขาเป็นระยะๆหนำซ้ำดูเหมือนว่าคุณพระนายจะไม่รู้สึกตัวเสียด้วย  เด็กหนุ่มใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดรอบๆแผลอย่างเบามือ  ด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่ายทำให้เขาลืมสังเกตว่าแผลนั้นค่อนข้างแห้งเกินกว่าจะมีเลือดออกเพิ่ม

“แก้วตา?”  เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆเปิดขึ้น  ดวงตาสีอ่อนมองคนตรงหน้านิ่ง  “พี่ฝันอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?”  เด็กหนุ่มนั่งนิ่งไม่กล้าขยับไม่กล้าส่งเสียง  หากคุณพระนายละเมอจะได้ไม่ต้องตื่นขึ้นมารู้ว่าเขานั้นคือแก้วตาตัวเป็นๆไม่ใช่ฝัน

“พี่คิดถึงเจ้านัก”  มือกร้านยกขึ้นแตะแก้มเนียนแผ่วเบา  ไอร้อนจากอุ้งมือใหญ่พาให้หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นระรัว  แก้วตาก้มหน้าหลบสายตาไม่กล้าเงยขึ้นสบนั่นจึงเปิดโอกาสให้ปลายจมูกโด่งเลื่อนแตะผิวแก้ม  ร่างเล็กตกใจคิดจะหันมาต่อว่ากลับกลายเป็นว่าริมฝีปากของเขาห่างจากอีกฝ่ายแค่ลมหายใจกั้น

“แก้วตา  เจ้าไม่คิดถึงพี่หรอกหรือ?”  เด็กหนุ่มนั่งนิ่งตัวแข็งไม่กล้าขยับหากแต่คุณพระนาย
กลับเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้  ชายหนุ่มก้มลงแตะริมฝีปากสีชาดของคนในห้วงคำนึงของเขามาตลอดช่วงเวลาเกือบเดือนที่ไม่ได้เห็นหน้า

“ริมฝีปากเจ้าอุ่นเหมือนไม่ใช่ความฝัน”  ใบหน้าคมสันผละห่างเพียงครู่แล้วเลื่อนเข้าใกล้อีกครั้ง  คราวนี้แก้วตาผงะถอยหลังอย่างตกใจ

“!”  ร่างหนาเคลื่อนกายตาม  หากแก้วตาที่เคลื่อนตัวหนีกลับเสียหลักล้มลงบนเตียงโดยมีชายหนุ่มคร่อมทับอยู่ด้านบน  แขนแกร่งข้างหนึ่งเท้าคร่อมเหนือศีรษะได้รูป  อีกข้างตามแตะไล้แก้มเนียนไม่ห่าง

ปลายจมูกโด่งแตะลงบนหน้าผากเกลี้ยงเกลานั้นแผ่วเบา  คุณพระนายหนุ่มถอยใบหน้าออกเพียงนิดเพื่อจ้องสบดวงตาสีนิลที่ระริกสั่นไหวของคนตรงหน้า  คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันคล้ายสงสัยบางอย่าง  จมูกมนรั้น  ริมฝีปากสีชาดเม้มแน่นคล้ายกลัวว่าจะถูกเขากลั่นแกล้ง  เรือนผมสีขนกาที่เคยยาวถึงกลางหลังบัดนี้สั้นระบ่าเล็กเท่านั้น  ตั้งแต่วันนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่คุณพระนายหนุ่มได้มองอีกฝ่ายเต็มตาแบบนี้  หากทุกสิ่งล้วนก่อให้เกิดความคิดคำนึงหา

“คิดถึงเหลือเกิน”  คิ้วเรียวคลายออกจากกันจ้องสบดวงตาสีอ่อนของอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะผลักไหล่ข้างที่มีแผลให้คุณพระนายร้องโอยลั่นห้อง

“โอ๊ย!”  ร่างสูงสะดุ้งเฮือก  ความเจ็บแล่นริ้วเสียจนแทบกลิ้งตกเตียง  แก้วตาผลักคนด้านบนให้ถอยห่างก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงด้วยท่าทางโมโห

“คุณพระนาย!  คุณแก้วเกิดอะไรขึ้นขอรับ?”  แสนผงะถอยเมื่อแก้วตาเปิดประตูเต็มแรง  เขาเอ่ยถามหากได้สายตาถมึงทึงเป็นคำตอบจากร่างเล็กเสียแทน  เด็กหนุ่มกระแทกไหล่แสนอย่างแรงแล้วเดินออกไป  “แผลเปิดจริงๆหรือขอรับ?”  แสนเลิกคิ้วมองแสร้งทำเป็นตกใจให้คนเป็นนายส่งค้อนมาให้

“อย่ามาแกล้งถาม!”  คุณพระนายเอ็ดเสียงเบา

“ฮื้อ  โดนจับได้ล่ะซิท่า”  แสนเอ่ยล้อพลางวางถาดยาเตรียมพันผ้าให้คนเจ็บ

“ไอ้แสน!”  ถึงจะทำเสียงเข้มดุคนในปกครองหากใบหน้าหล่อเหลากลับมีรอยยิ้มกว้างอย่างที่แสนไม่ได้เห็นมานานก็พาให้หัวเราะตาม

“ว่ากระไรขอรับ?”

“เห็นทีพรุ่งนี้คงต้องกลับเรือนเสียแล้วกระมัง  อยู่นานกว่านี้เห็นทีคงโดนยาเบื่อเป็นแน่”

“ไปทำอีท่าไหนให้เขารู้ตัวว่าโดนหลอกล่ะขอรับ?”

“...จูบ”  แก้มกร้านพลันขึ้นสีเรื่อให้แสนอ้าปากค้าง  เบิกตามองอย่างไม่เชื่อสายตา

“ไม่ใช่แค่นั้นกระมังขอรับ  ใครที่ไหนจะเชื่อว่าคนเพ้อจะจับคนเฝ้าไข้กดติดเตียงแบบนั้น”  แสนว่ายังไม่หยุดมือที่พันผ้า

“เอ็งเห็น?”

“ขอรับ  หลวงเสนาะก็เห็นนะขอรับ”

“....”

“คุณพระนายขอรับ?”  แสนร้องเรียกคนเป็นนายที่นั่งตัวแข็งเป็นหินไปแล้ว

“กลับเรือน...  กลับเรือนเดี๋ยวนี้เลย!”  คุณพระนายหนุ่มว่าพลางลุกขึ้นหาเสื้อมาสวม

“เดี๋ยวขอรับ!  กลับตอนนี้ไม่ได้นะขอรับ!  รอวันพรุ่งเถอะ  โธ่  คุณพระนาย!!”


เสียงเอะอะโครมครามนั้นไม่ได้ยินมาถึงใครอีกคนที่นั่งซุกตัวอยู่หน้าเรือนซ้อมรำเพราะตอนนี้ในอกของเขากำลังมีบางอย่างเต้นเร่าราวกับจะหลุดออกมานอกอก  แก้มรึก็ร้อนเหมือนโดนไฟนาบ  น้ำเสียงทุ้มนุ่มข้างหูอีกทั้งสายตาทั้งความร้อนจากริมฝีปากคู่นั้นยังชัดเจนไม่จางหายจนต้องยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง

คนเพ้อเพราะพิษไข้แบบไหนกันถึงมีเรี่ยวแรงตรึงเขาให้อยู่กับที่แบบนั้น  ทั้งสัมผัสที่ดูตั้งใจทั้งท่าทางที่ไม่เหมือนคนเจ็บนั่นอีก!  รู้แบบนี้น่าจะตีให้แผลนั่นเปิดจนเลือดไหลอาบท่วมตัวเสียก็ดีหรอก!  เด็กหนุ่มฮึดฮัดพลางยีหัวตัวเองที่เสียรู้ให้คนตัวโตมารังแกกันแบบนี้

มือเล็กที่แตะผมตัวเองชะงักพลางลูบเรือนผมเรื่อยมาจนถึงปลาย...  ก่อนจะทิ้งตัวพิงระเบียงอย่างหมดแรง
ทำไมเขาจึงลืมตัวดีใจยามเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายแบบนี้เล่า?
ไม่ใช่แม่หญิง  ทั้งตัวเองและเขาต่างก็รู้แล้วมิใช่รึ?

แต่จะทำอย่างไรเมื่อหัวใจยังเต้นแรงยามที่ได้เห็นหน้า  เจ็บในอกเมื่อไม่ได้ยินเสียง  ทั้งๆที่รู้ว่าไม่สมควรไม่ใช่เรื่องเหมาะสมแต่เขาก็ห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้  ห้ามไม่ให้มันยินดีที่ยังเห็นว่าเขาคนนั้นยังยิ้มมาให้  ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง  ...ห้ามไม่ได้จริงๆ




**********



“วันนี้คุณพี่ก็ไม่อยู่รึ?”  เสียงหวานตวาดแหวให้บ่าวไพร่ก้มหน้างุดกันเป็นแถวเว้นเสียแต่นมแย้มซึ่งยังเอ่ยตอบหญิงสาวไม่สะทกสะท้านเหมือนไม่ใส่ใจ

“อิฉันบอกคุณหนูแล้วมิใช่หรือเจ้าคะว่าคุณพระนายเธอไปราชการไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อใด”

“แต่นี่มันหลายวันแล้วนะนมแย้ม  จะเกือบเดือนอยู่แล้วที่ฉันไม่เห็นหน้าคุณพี่!”

“ทำไมคุณหนูโสภีไม่เห็นเดือดร้อนยามไม่เห็นหน้าคุณพร้อมเป็นแรมเดือนบ้างเล่าเจ้าคะ  ในเมื่อคุณพร้อมเองก็หายหน้าไปเกือบเดือนเช่นกัน?”

“นมแย้ม!”  โสภีตวาดแหวหากแต่ไม่กล้าลงไม้ลงมือเพราะอีกฝ่ายนั้นได้รับความรักจากคุณพี่ราวแม่แท้ๆ

“เจ้าค่ะ  อิฉันอยู่ใกล้แค่นี้คุณหนูไม่ต้องตะโกนเรียกก็ได้”

“!”  หญิงสาวกำหมัดแน่นก่อนจะฮึดฮัดเดินจากเรือนไป

“ไม่มีคนเห็นคุณพระนายไปที่เรือนของคุณหลวงเลยเจ้าค่ะ”

“เป็นเรื่องจริงงั้นรึ?”

“เจ้าค่ะ”

 “...ช่างเถอะ”   



“พี่พร้อม?”  โสภียกมือไหว้พี่ชายคนรองที่เดินขึ้นบันไดเรือนมาก่อนจะหันหลังเข้าเรือนไม่คิดไต่ถามแต่ต้องชะงักเท้าเมื่อเห็นร่างโปร่งของใครอีกคน  “คุณพี่!”

“โสภี?  พร้อม?”  ร่างสูงเอ่ยทักน้องทั้งสอง  และมีเพียงโสภีคนเดียวที่ยิ้มดีใจยามเมื่อเขามาเรือนนี้

“คุณพี่หายไปไหนมาเจ้าคะ  น้องไม่เห็นหน้าเกือบเดือนเป็นห่วงนัก”

“พี่ไปทำงานน่ะ”  เขาตอบเพียงเท่านั้นพร้อมกับเสียงไม่พอใจจากชายหนุ่มอีกคน

“ทีพี่เชื้อแท้ๆไม่เห็นถามดันไปถามไอ้คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า!”

“พี่พร้อม!”  โสภีหันไปแหวใส่พลางเกาะแขนอีกคนแน่น

“พี่ไปหาเจ้าคุณพ่อก่อนนะ”  คุณพระนายแกะมือโสภีออกก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปไม่ตอบโต้


**********


แก้วตากลอกตาขึ้นฟ้าคล้ายระอาใจหากกระนั้นก็มิได้ชะลอฝีเท้าให้ช้าลงแต่อย่างใด  หนำซ้ำเขากลับเร่งให้เร็วขึ้นเสียด้วยซ้ำ  คนที่เพิ่งหายเจ็บไม่ถึงเดือนช่างไม่เจียมสังขาร  คุณพระนายหนุ่มไม่รอให้แผลตกสะเก็ดเพราะทนเสียงหัวใจตัวเองไม่ไหวจึงต้องหอบแผลมานั่งรอคนน่ารักถึงโรงหมอเพราะอีกฝ่ายเอาแต่หลบหน้าไม่ยอมพูดคุย   

“โธ่  เดินช้าๆหน่อยเถอะขืนเร่งแบบนี้แผลพี่คงระบม”  เสียงโอดครวญจากคนที่เดินตามหลังทำให้เด็กหนุ่มหยุดเท้าหากไม่ได้เกิดจากความสงสาร  นอกเสียจาก...

“ใครใช้คุณพระนายเดินตามกระผมมาเล่าขอรับ”  เสียงหวานเอ่ยเชือดเฉือน  แก้วตาเพิ่งกลับจากเยี่ยมไข้มารดา  ...ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในโรงหมอก็เจออีกฝ่ายนั่งยิ้มเผล่คุยกับคนป่วยอยู่ก่อนแล้ว  จะให้หันหลังเดินออกมาหรือก็ไม่ใช่ที่  เขาจึงต้องจำใจทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามเพื่อไม่ให้มารดารู้สึกผิดสังเกต  แต่ไอ้ที่เขานั่งเงียบจนน้ำลายแทบบูดก็คงพอทำให้มารดารู้สึกอะไรอยู่บ้างหรอกถึงออกปากไล่ให้เขากลับเรือนทั้งๆที่นั่งไม่ถึงครึ่งชั่วยาม 

“ก็ถ้าพี่ไม่เดินตามแล้วจะได้คุยกับแก้วตารึ?”

“ก็ไม่ต้องคุย!”

“คุยซิ  ต้องคุย!”  ชายหนุ่มดื้อดึงแฝงแววตายั่วเย้าในที

“กระผมไม่มีอะไรจะคุยกับเจ้าหมื่นเสมอใจราชหรอกนะขอรับ”  สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้ชายหนุ่มนิ่งงัน  เพราะถึงอีกฝ่ายจะโกรธเขามากแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยเรียกนามเขาด้วยความห่างเหินเช่นนี้มาก่อนเลย  “กระผมคิดว่าท่านจะเข้าใจทั้งหมดแล้วเสียอีก?”

“แก้วตาจะให้พี่เข้าใจสิ่งใด?”  ร่างสูงเอ่ยถามเสียงเบา

“เรื่อง...ที่ท่านเข้าใจผิด  ท่านเห็นแล้วมิใช่รึว่ากระผมไม่ใช่แม่หญิงเหตุใดจึงตามตอแยไม่เลิกอีก!”

“แก้วตารังเกียจพี่อย่างนั้นรึ?”  เสียงทุ้มเอ่ยถามนั้นสั่นพร่า  “เพราะพี่เป็นชายอย่างนั้นหรือ?”

“เพราะเราต่างเป็นชายต่างหากล่ะขอรับ  นั่นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ...”

“ความรักน่ะรึน่ารังเกียจ?”

“!”  แก้วตาเบิกตากว้างมองคนพูดอย่างไม่เชื่อสายตา  เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดออกมาตรงๆแบบนี้

“เจ้าไม่รู้จริงๆรึว่าพี่รู้สึกต่อเจ้าเช่นไร?  แก้วตาไม่รู้จริงๆรึว่าพี่รักแก้วตา?”  ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าใกล้มองใบหน้าเนียนซึ่งหันหนีเขาเหมือนไม่อยากฟังสิ่งที่เขาบอก

“รู้แล้วอย่างไรเล่า?”  เด็กหนุ่มพยายามควบคุมไม่ให้เสียงตัวเองสั่น  จู่ๆขอบตาก็ร้อนเหมือนน้ำตาจะไหล  “...กระผมไม่ได้รักท่านด้วยเสียหน่อย”  ทำไมยามเมื่อเอ่ยออกไปหัวใจของเขามันถึงเจ็บเหมือนจะขาดแบบนี้หนอ?

“ถ้าไม่รักก็มองตาพี่แล้วพูดซิ”  ร่างสูงไม่ยอมแพ้  เขาไม่เชื่อหรอกว่าแก้วตาพูดออกมาจากใจ  หากอีกฝ่ายรังเกียจเขาจริงดั่งปากว่าคงไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ตั้งแต่แรกหรอก  หากแก้วตาไม่มีใจให้เขาจริงอย่างปากพูดคงไม่มีสีหน้าราวกับจะร้องไห้แบบนี้  และเพราะไม่จริงอย่างปากพูดแก้วตาจึงไม่อาจเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้าได้

“พี่รักแก้วตา”  ร่างสูงคว้ามือขึ้นมากุมไว้  มือของแก้วตาสั่นหากแต่เขาจะกุมมือของแก้วตาเอาไว้แบบนี้เพื่อให้รู้ว่าหัวใจของเขานั้นหนักแน่นไม่สั่นไหว

“แต่...”  เด็กหนุ่มเงยขึ้นสบดวงตาสีอ่อนของคุณพระนายในที่สุด

“ต่อให้แก้วตาเป็นผู้ชายไม่ใช่แม่หญิงพี่ก็ยังยืนยันคำเดิม”  คุณพระนายเอ่ยยังไม่จบประโยคชายหนุ่มก็ผลักร่างเล็กออกห่างเพื่อหลบสิ่งที่ฟาดลงมา  ร่างสูงชักดาบออกจากฝักทันทีด้วยความรวดเร็วก่อนจะงัดดาบที่เพิ่งแยกเขากับแก้วตาออกจากกันเมื่อครู่

“!”  ร่างเล็กถูกผลักจนเซถอยตกใจจนเกือบร้องโวยหากแต่ภาพที่เห็นทำให้เด็กหนุ่มได้แต่ยืนอึ้ง  กลุ่มผู้ชายปกปิดใบหน้าจำนวนไม่น้อยกว่าห้าคนล้วนแต่มีดาบอยู่ในมือต่างก็เข้าฟาดฟันชายหนุ่มแบบไม่ออมแรง  หนักหน่วงแทบไม่เว้นช่องว่างให้หายใจ  แก้วตาซึ่งถูกอีกฝ่ายผลักให้ออกจากวงล้อมถอยมาซ่อนตัวหลังต้นไม้ใหญ่เพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วงหรือเกะกะอีกฝ่าย  เขาได้แต่ยืนกลั้นหายใจมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ  ใครหนอช่างบังอาจนักที่มาทำร้ายเจ้าหมื่นเสมอใจราชแห่งวังหลวงโดยไม่กลัวอาญาแบบนี้

ร่างสูงเงื้อดาบขึ้นรับแล้วพลิกตัวหนีอีกดาบที่ฟาดลงมา  หากแต่จำนวนต่างกันมากเกินไปทำให้เกิดช่องโหว่  จังหวะก้าวถอยหลบ  ดาบจากด้านหลังก็แทงเข้ามาโชคดีที่เขาเบี่ยงตัวหลบทันจึงแค่ถากต้นแขนไปเท่านั้น

“คุณพระนายระวัง!”  คนที่รอจังหวะอยู่แล้วกระโจนเข้าหาร่างสูงที่บาดเจ็บ  ชายหนุ่มจะยกดาบขึ้นกันด้านข้างก็เสือกดาบเข้าหา

เคร้ง!  เสียงกระทบกันของดาบจากผู้มาใหม่ทำให้แก้วตาถอนหายใจโล่งอก  แสนพุ่งมารับดาบที่ฟันเข้าหาผู้เป็นนายอย่างแม่นยำก่อนจะใช้แรงกระแทกอีกฝ่ายออกไป  “ไม่เป็นไรนะขอรับ?”

“อื้อ!”  ร่างสูงรับคำ  จำนวนคนที่เพิ่มพาให้กำลังใจคุณพระนายหนุ่มเพิ่มขึ้น  หากไม่ถึงอึดใจหัวใจเขาก็ร่วงไปอยู่ตาตุ่มเมื่อหนึ่งในคนซึ่งล้อมวงเขาอยู่หันเป้าไปทางคนที่หลบอยู่หลังต้นไม้!  “แก้วตา!”

“!”  คุณพระนายกระโจนไปหาเด็กหนุ่มทันที  โชคยังดีที่ร่างเล็กนั้นว่องไวพอจะหลบดาบเมื่อครู่ได้แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ  คุณพระนายยังไม่สามารถเอาตัวเข้าบังแก้วตาได้เขาจึงฟาดฟันรุนแรงเพราะร้อนใจ  กลุ่มคนทั้งห้าแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม  สองคนรุมแสนไว้ทางหนึ่ง  อีกสองหันมาทางคุณพระนายกลายเป็นสาม  หนึ่งหลอกล่อหนึ่งจ้วงแทงหนึ่งฟาดฟัน  แล้วคนที่หลอกล่อจึงถอยออกไป  จังหวะที่คุณพระนายปัดดาบแล้วแทงอีกให้อีกฝ่ายล้มลงไปกองกับพื้นเป็นจังหวะเดียวกับแก้วตาถูกเงื้อดาบใส่อีกครั้ง

“แก้วตา!”  ฉัวะ!  หยาดสีแดงสาดกระเซ็นจากแผ่นหลังกว้างที่ใช้ตัวเข้าบังร่างเล็กเอาไว้ในอ้อมแขน   ความเจ็บปวดแล่นริ้วหากความห่วงนั้นมีมากกว่า  ชายหนุ่มกอดแก้วตาไว้ในอ้อมแขนแน่นอีกข้างจับดาบมั่นเพื่อปกป้อง

“พี่ขอโทษนะเจ้าที่ทำให้น้องต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”  เด็กหนุ่มส่ายหน้าเพื่อจะบอกว่าไม่เป็นอะไรเพราะตอนนี้แก้วตาเป็นห่วงคุณพระนายเหลือเกิน  เลือดมากมายที่ไหลออกมาส่งกลิ่นคาวคลุ้งให้สั่นกลัว  แก้วตาเหลือบมองไปทางแสนซึ่งดูเหมือนจะจัดการกับสองคนนั้นได้สำเร็จแล้วและตอนนี้ก็หันมาโจมตีสองคนที่ล้อมคุณพระนายเอาไว้  แก้วตาพยุงร่างสูงให้ถอยห่างออกมา

“คุณแก้วพาคุณพระนายหนีไปขอรับ!”  แสนหันมาตะโกนสั่ง  เมื่อครู่ตอนที่เขาเห็นคนเป็นนายโดนฟันเขาก็แทบจะบ้า  ออกแรงฟาดฟันคนที่ขวางทางให้ล้มลงไปเพื่อมาช่วยคุณพระนายหนุ่ม

“แต่...”  แก้วตาลังเลเพราะดูเหมือนแสนเองก็จะตึงมืออยู่ไม่น้อย

“รีบไปซิขอรับ!”  แสนตะโกนอีกรอบ

“แสนจะปลอดภัยเชื่อพี่”  ร่างสูงพูดกับคนที่ประคองเขาก่อนจะเงยหน้าขึ้นตะโกนบอกคนสนิท  “แสน  อย่าให้พวกมันที่จ้องทำร้ายแก้วตาเหลือรอดแม้แต่คนเดียว!”

“ขอรับ!”  แสนรับคำเอากายเข้าขวางไม่ให้อีกฝ่ายตามคุณพระนายของเขาและแก้วตาได้ 
 

แม้ต้องแลกด้วยชีวิตเขาก็จะปกป้องคุณพระนายและคุณแก้วเอาไว้ให้ได้!






ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3


...อสงไขย...
...กาลที่๑๑...


















เสียงสวบสาบจากใบไม้แห้งถูกย่ำดังเป็นจังหวะร้อนรนผสานเสียงหอบหายใจอันตื่นตระหนกของเจ้าของฝีเท้าและกลิ่นคาวคลุ้งพาให้ใจหวั่น  ความเร่งรีบทำให้ร่างสูงสะดุดเซล้มพาให้คนพยุงล้มตาม

“คุณพระนาย!”

“ไม่..พี่ไม่เป็นไร”  เสียงทุ้มขาดห้วง  ความเจ็บปวดจากบาดแผลเก่าและใหม่โจมตีให้ลมหายใจกระชั้นถี่หากกระนั้นเจ้าของดวงหน้าซีดเซียวก็ยังคงฝืนยิ้มเพื่อให้อีกคนสบายใจแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลนัก

“เรากลับไปที่เรือน...”

“ไม่!  เราจะกลับไปที่เรือนไม่ได้  ไม่ว่าจะที่ใด”

“แต่..  จะทำอย่างไรดีเล่าเลือดออกมากขนาดนี้”  เสียงหวานสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ให้คนเจ็บยิ้มอ่อนเอ็นดู

“อย่าร้องไห้  แก้วตา”  มือแกร่งยกขึ้นแตะแก้มเนียนเย็นชืดของเด็กหนุ่มเพื่อปลอบประโลมหากแต่ต้องนิ่วหน้าเพราะความเจ็บไม่เจือจาง

“กระผมไม่ได้ร้องเสียหน่อย!”  เด็กหนุ่มตวาดแหวพลางรีบเช็ดน้ำตาที่จวนเจียนจะหยดอย่างรวดเร็ว

“ชู่~  อย่าเสียงดังไป”  ร่างสูงแตะริมฝีปากสีชาดให้เงียบเสียงพลางมองไปรอบๆ  รอบตัวมืดมิดมองไม่เห็นสิ่งใดนั่นทำให้พวกนั้นอาจหาพวกเขาเจอง่ายขึ้นหากส่งเสียงดัง  เด็กหนุ่มเม้มปากแน่นพลางสอดส่ายสายตาตาม  “เราต้องเข้าไปในป่า”

“อะไรนะ?”

“เข้าไป...”

“แต่คุณพระนายเจ็บเยี่ยงนี้จะเข้าในนั้นได้อย่างไร?”  เด็กหนุ่มลังเล  เขามองใบหน้าหล่อเหลาซึ่งบัดนี้ซีดเผือดสลับกับความมืดในป่าแล้วส่ายหน้าไม่เห็นด้วย  อย่างน้อยถ้ากลับไปที่เรือนหลวงเสนาะน่าจะปลอดภัยกว่า

“ทางด้านตะวันออก  ที่นั่นมีเพิงพักที่พี่กับแสนทำไว้พักยามออกสืบราชการลับอยู่  เราจะปลอดภัยกว่าการกลับไปที่เรือนเพราะพวกนั้นจะต้องตามหาพี่อยู่เป็นแน่หากไม่เห็นศพ”

“!”  ประโยคนั้นทำให้แก้วตาตกใจกลัว  อีกฝ่ายถึงขนาดจะฆ่าแกงกันให้ตายเชียวหรือ

เพราะไม่มีทางเลือกดีกว่านี้และสิ่งที่คุณพระนายหนุ่มพูดมานั้นเป็นจริงทุกอย่างแก้วตาจึงต้องพยุงอีกฝ่ายเข้าไปในป่าทางด้านตะวันออกตามที่ชายหนุ่มต้องการ  พวกเขาเดินฝ่าความมืดมิดโดยอาศัยดาวเหนือนำทางจนผ่านไปครู่ใหญ่เมื่อมั่นใจว่าหนีห่างคนที่ตามล่าคุณพระนายหนุ่มจึงถอดเสื้อตัวเองออกมาพันกับท่อนไม้เพื่อใช้จุดไฟ  มีหลายครั้งที่ร่างสูงเข่าอ่อนเกือบทรุดลงกับพื้นและแก้วตาเสนอให้นั่งพักแต่ก็ถูกปฏิเสธด้วยน้ำเสียงระโหย  การนั่งพักในป่ามืดโดยมีดาบเล่มเดียวเป็นอาวุธนั้นอันตรายเด็กหนุ่มรู้แต่เขาเป็นห่วงร่างสูงมากกว่า

“อีกไม่ไกล...”  น้ำเสียงทุ้มแหบโหย  คุณพระนายใช้มือแตะต้นไม้  ความอบอุ่นจากแสงแดดที่อาบไล้ในเนื้อไม้นั้นเจือจางและถูกแทนที่ด้วยความเย็นเยียบของอากาศหนาว  จันทร์คืนแรมลอยผ่านไปค่อนฟ้าแก้วตาจึงเห็นเงาร่างของกระท่อมเล็กหลังหนึ่งตั้งหลบซ่อนใต้เงาไม้ใหญ่เพื่อบังสายตา  เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีกนิดเพราะดูเหมือนแรงทิ้งกายพิงเขานั้นจะมากขึ้นเรื่อยๆจนเมื่อขึ้นถึงชานกระท่อมร่างสูงของคุณพระนายก็ทิ้งตัวล้มตึงหมดสติอยู่ตรงนั้นเอง


ร่างเล็กหอบแฮ่กเมื่อจัดการทั้งลากทั้งแบกให้ชายหนุ่มเข้าไปในกระท่อมจนสำเร็จหลังจากเมื่อครู่ที่ร่างสูงทำให้เขาตกใจด้วยกันล้มตึงหมดสติอยู่ชานเรือน  แก้วตาตกใจแทบประคองสติไม่อยู่  เขาลนลานไม่รู้ว่าควรจะเริ่มอะไรอย่างไรอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยสงบแล้วก้มลงเอาหน้าแนบกับอกแกร่ง  ครั้นยังได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเต้นความรู้สึกโล่งอกก็พลันตีตื้นให้น้ำตาร่วง  ริมฝีปากสีชาดแย้มยิ้ม  เสียงหัวเราะแผ่วเล็ดลอดก่อนจะถลันกายลุกขึ้นแล้วพยายามพาร่างไร้สติของคุณพระนายเข้าไปในกระท่อม 

แก้วตารีบหาตะเกียงก่อนเป็นอันดับแรกเพราะเสื้อที่คุณพระนายสละเป็นเชื้อเพลงนั้นหมดไปนานแล้ว  กว่าจะหาสิ่งที่ต้องการเจอเขาก็ทำสิ่งของต่างๆร่วงไปหลายอย่างท่ามกลางความมืด  เด็กหนุ่มวิ่งวุ่นไปคอยก่อไฟต้มน้ำ  หาผ้าห่มมาคลุมร่างแกร่งแล้วค้นหาหยูกยาที่น่าจะพอมีเก็บเอาไว้อย่างรวดเร็ว 

ฟ้าเริ่มสาง...  แก้วตาหยุดมือที่เช็ดคราบเลือดเมื่อเห็นว่าสะอาดดีแล้วจึงนำยาสมุนไพรมาทาแผลไว้  ถึงจะไม่รู้ว่ามันคือยาอะไรแต่ก็น่าจะพอมั่นใจได้ว่ามันคงไม่ใช่ยาพิษเพราะไม่อย่างนั้นคุณพระนายคงไม่เก็บเอาไว้บนชั้นยาหรอก  เด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าคมสันซึ่งยังคงซีดเซียวนั้นแล้วแตะหน้าผากกว้างเมื่อเห็นว่าไม่มีไข้เขาจึงถอนหายใจ  ตอนนี้เองที่แก้วตารู้สึกว่าร่างกายเขาถวิลหาการพักผ่อน  เนื่องจากอ่อนล้าเพราะต้องหนีมาทั้งคืน  ไหนจะความรู้สึกกดดันที่ต้องคอยดูแลคนเจ็บตอนนี้เมื่อทุกอย่างดูคล้ายจะปลอดภัยเขาจึงโล่งอกและเริ่มหมดแรง  ร่างเล็กกระชับผ้าห่มให้คนบนฟูกก่อนจะนั่งฟุบหลับไปข้างๆนั่นเอง

“แก้วตา”  เสียงทุ้มเอ่ยเรียกคนที่นั่งหลับอย่างห่วงใย  เขาพยายามดันกายลุกขึ้นนั่งหากความเจ็บที่แล่นริ้วทำให้เขาล้มเลิกความตั้งใจ

“คุณพระนาย?”  ใบหน้าน่ารักยู่ยี่เงยขึ้นมอง  ดวงตาเรียวเล็กหยีปรือ  ริมฝีปากน่ารักยู่ลงก่อนจะเปิดหาว

“เหตุใดจึงไปนั่งหลับแบบนั้นเล่า?”  ทำไมไม่มานอนด้วยกัน

แก้วตาขมวดคิ้ว  เพราะเพิ่งตื่นเขาจึงยังไม่เข้าใจคำถามของอีกฝ่าย  “พี่หมดสติไปนานเท่าใด?”  ชายหนุ่มเสเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของอีกฝ่าย  เขายังไม่อยากทะเลาะกับคนตัวเล็กเร็วนัก   คนถูกถามลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างให้แสงสว่างลอดเข้ามาก่อนจะคาดคะเนเวลา

“ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาเที่ยงแล้ว”  เด็กหนุ่มบิดกายไล่ความเมื่อยขบ  “เดี๋ยวกระผมจะไปเอาน้ำมาให้คุณพระนายเช็ดตัวนะขอรับ”  เด็กหนุ่มบอกก่อนจะเดินออกไป  ทิ้งให้ชายหนุ่มก้มลงสำรวจบาดแผลที่ตอนนี้มียาทาอยู่  เขาขมวดคิ้วพลางนึกสงสัยว่าคนตัวเล็กไปเอายาสมุนไพรมาจากไหน  ก่อนจะเหลือบไปเห็นข้าวของระเกะระกะมากมายรอบห้องและห่อยาสมุนไพรที่เปิดอ้า

คุณพระนายมองห่อยาสลับกับแผลตัวเองแล้วก็ห่อยาอยู่อย่างนั้นสามรอบแล้วจึงนิ่งอึ้งด้วยพูดอะไรไม่ออกก่อนจะยิ้มเซียว  อย่าบอกนะว่าแก้วตาเอายานั่นมาใส่แผลให้เขา?

ชายหนุ่มยิ้มไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เมื่อคิดว่าสิ่งนั้นเป็นไปได้มากทีเดียว  แก้วตากลับเข้ามาพลางเลิกคิ้วสงสัยเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของอีกฝ่ายหากชายหนุ่มกลับบอกออกมาเสียก่อนว่าไม่มีอะไร

“ที่นี่มีของกินเก็บไว้บ้างหรือไม่ขอรับ?  คุณพระนาย?”

“หืม  อะไรนะ?”  เขาถามกลับเพราะไม่ได้ยินว่าคนตัวเล็กถามว่าอะไร  เนื่องจากชายหนุ่มเอาแต่มองดวงหน้านวลของคนตรงหน้าไม่วางตา  เรือนผมสีนิลยาวเคลียบ่าถูกนิ้วเรียวรั้งขึ้นเหน็บใบหู  แพขนตาทาบทับปรางเนียน  จมูกมนรั้น  ริมฝีปากสีชาด...

“กระผมถามว่าที่นี่มีของกินอยู่บ้างหรือไม่”  คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อต้องพูดซ้ำ  อีกทั้งเพราะสายตาวิบวับที่จ้องมองมาของคนตรงหน้ามันทำให้แก้วตาใจเต้นแปลกๆเลยตะเบ็งเสียงกลบเสียงที่ดังอยู่ในอกตัวเอง

“อ้อ...  น่าจะมี”

“น่าจะ?”  คราวนี้แก้วตารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาจริงๆแล้ว  ไหนคุณพระนายบอกว่ากระท่อมนี้มักจะใช้เวลาสืบราชการลับบ่อยๆไม่ใช่หรือ  แล้วเหตุใดจึงไม่มีสิ่งของจำเป็นเตรียมพร้อมไว้เล่า?

“คือ...จากงานที่แล้วพี่เพิ่งกลับไปจากที่นี่  ยังไม่ถึงเดือนเลยกระมัง?”  ร่างสูงลนลานตอบเมื่อเห็นสายตาน่ากลัวจากคนตัวเล็ก  แต่นั่นดูเหมือนจะไม่ใช่คำตอบที่ทำให้แก้วตาพอใจนักเพราะแขนขาวยกขึ้นเท้าเอวทันทีเมื่อจบคำ

“แล้วไม่เคยเตรียมหรือเติมเลยหรือขอรับ?”

“ทุกทีแสนจะเป็นคนจัดการให้  แต่ช่วงนี้ยุ่งๆ”

“ให้ตายเถอะ!”  คนตัวเล็กสบถก่อนจะถอนหายใจ  “กระผมจะไปหาอะไรมาให้คุณพระนายกินก็แล้วกัน”

“ประเดี๋ยว!”  ร่างสูงคว้าแขนเล็กของแก้วตาไว้ก่อนที่เด็กหนุ่มจะลุกออกไป  “เจ้าจะไปหาที่ใด?  ที่นี่ไม่มีรึ?”

“ถ้ามีกระผมจะถามคุณพระนายหรือขอรับ”  เด็กหนุ่มถลึงตาใส่

“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปด้วย”

“เจ็บจนจะนั่งไม่ไหวอยู่แล้วแท้ๆอย่ามาทำปากเก่งนะ!”  แก้วตาเอ่ยเสียงเย็นพร้อมสายตาดูถูกให้คุณพระนายหนุ่มนิ่งขึงไม่กล้าเอ่ยปากขอตามไปด้วยอีกเมื่อเด็กหนุ่มลุกเดินออกไป

ถึงจะรู้ว่าคนป่วยจำเป็นต้องกินอาหารดีๆเพื่อบำรุงร่างกายแต่แก้วตาหาสิ่งดีที่สุดได้เพียงผลไม้และหัวเผือกหัวมันเท่านั้น  และเขาคิดว่าหากคุณพระนายยังเจ็บจนลุกไม่ไหวนานเกินห้าวัน  เห็นทีพวกเขาสองคนคงอดตายเป็นแน่

“พี่ไม่เป็นไรจริงๆนะ  ที่จริงแล้วกินผลไม้ก็ดีจะได้ไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไง”    ร่างสูงยิ้มกว้างพลางชูกล้วยในมือแล้วกินด้วยท่าทางอร่อยนักหนา  เมื่อไม่มีคำตอบจากคนตัวเล็กที่นั่งเล็มมันเผาในมือชายหนุ่มก็เลยต้องเงียบตาม

“กระผมจะไปตักน้ำ”

“พี่ไปด้วย!”  คราวนี้ไม่มีเสียงพูดจากระทบกระเทียบจากเด็กหนุ่มมีเพียงสายตาดูแคลนเท่านั้นที่ส่งมาให้  คุณพระนายยิ้มแย้มก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน  “ให้พี่ไปเป็นเพื่อนเถอะพี่พอจะเดินไหว  นี่ก็เย็นแล้ว  อีกอย่างในป่าอันตรายนักพี่ไม่อยากให้น้องไปคนเดียว”

“ทำราวกับว่าถ้าไปด้วยกันสองคนจะปลอดภัยอย่างนั้นแหละ”

“ก็ถ้ามีอันตรายพี่ไม่อยากให้แก้วตาต้องตกอยู่ในอันตรายคนเดียว  หากจะมีอันเป็นไปพี่ก็พร้อมจะไปกับแก้วตา”

 ถ้อยคำลึกซึ้งนั้นไม่รู้ว่าแก้วตาควรจะดีใจดีหรือไม่เพราะเขาไม่ได้คิดเลยไปถึงอันตรายหรือการจะมีอันเป็นไปอย่างที่อีกฝ่ายว่า  เขาไม่พร้อมจะละทิ้งแม่ที่ป่วยแล้วจากไปหรอก  อีกอย่างคนที่น่ามีอันตรายจากคนปองร้ายคืออีกฝ่ายไม่ใช่หรืออย่างไร

แก้วตาตีมือแกร่งแรงๆไปเสียทีเมื่อฝ่ายนั้นคิดจะช่วยเขาตักน้ำ  หนำซ้ำยังคิดสอดส่ายสายตาหาผลหมากรากไม้เพื่อประทังชีวิตสำหรับมื้อต่อไปอีกด้วย  สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าแผลที่เขาอุตส่าห์เอายาสมุนไพรมาทาไว้นั้นปริแตกแล้วไข้ก็ขึ้นจนแก้วตาโมโหหนัก

เด็กหนุ่มวางผ้าผืนเล็กลงบนหน้าผากกว้างแล้วถอนหายใจ  คราวนี้ไม่รู้ทำไมถึงเหนื่อยนักเมื่อเทียบกับการเฝ้าไข้ครั้งก่อน  อาจจะเป็นเพราะไม่มีสิ่งจำเป็นพร้อมสรรพหรือเพราะคนป่วยดื้อด้านก็ไม่รู้

ฟึ่บ!

แก้วตาผวาลุกขึ้นนั่งตัวตรงเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆจากด้านนอกกระท่อม  เขาคว้าดาบของคุณพระนายมากำไว้แน่นก่อนจะเลื่อนกายมาบังร่างของคนบนเตียง  หากอีกฝ่ายเข้ามาเขาก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคุณพระนายให้ได้  ถึงแม้ว่าตอนนี้มือของเขากำลังสั่นและใจเขากำลังหวาดกลัวอย่างที่สุดก็ตาม

เหมือนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน  เสียงฟึ่บฟาบดังเข้าใกล้มาเรื่อยๆ  เด็กหนุ่มหันคมดาบไปทางประตู  ดาบนั้นสั่น    แก้วตาไม่กล้าแม้แต่กะพริบตาด้วยซ้ำ  ครั้นประตูถูกกระแทกเปิดเด็กหนุ่มก็กระโจนฟันดาบในมือออกไปทันที!

“โอ๊ะ!”  เสียงทุ้มคุ้นหูอุทานขึ้น  ก่อนที่ร่างเล็กจะล้มไม่เป็นท่าเมื่ออีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบได้ทันอย่างรวดเร็ว  “อันตรายๆ”

“อ๊ะ!”  แก้วตาหันมามองเจ้าของเสียงอย่างตกใจแล้วจึงค่อยแปรเปลี่ยนเป็นโล่งใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“คุณแก้วลงไปทำอะไรอยู่ตรงนั้นหรือขอรับ?”  แสนเอ่ยทักกลั้วหัวเราะ  หากกระนั้นก็ยังเดินเข้ามารั้งแขนร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืน

“ลงไปนอนเล่น!”  แก้วตาถลึงตามองตอบเสียงห้วน  อดจะยอมรับในใจไม่ได้ว่าเขารู้สึกดีใจนักเมื่อได้เห็นคนตรงหน้า

“ข้างนอกอากาศหนาวนัก  กระผมว่าคุณแก้วเข้ามานอนข้างในดีกว่านะขอรับ  อ้อ  ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรไปนอนตรงนั้นจะได้อบอุ่นนะขอรับ”  แสนชี้ไปยังพื้นที่ว่างข้างกายคุณพระนายหนุ่มด้วยแววตาซุกซน   หากแก้วตาชูดาบในมือชี้หน้าร่างสูงพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“อย่ามาพูดดีนะ!  ทำไมมาไม่ให้สุ่มให้เสียงนี่ถ้าฉันเก่งดาบกว่านี้  เอ็งไม่ตายคาดาบไปแล้วหรอกรึ?”

“ก็เพราะรู้น่ะซิว่าคุณแก้วไม่มีฝีมือทางด้านดาบกระผมถึงได้กล้าเปิดประตูอย่างไรล่ะขอรับ”  แสนยิ้มเผล่  หากตอนนี้แก้วตาอยากจะเงื้อดาบใส่อีกฝ่ายจริงๆเขาก็ไม่มีแรงเหลือแล้ว  หลังจากนั้นแสนเป็นฝ่ายรับหน้าที่คอยดูแลคนเจ็บต่อจากคนตัวเล็ก  เขาแบกอาหารแห้งเครื่องนุ่งห่มและยาสมุนไพรอีกจำนวนหนึ่งมาด้วย  รุ่งสางแสนขอตัวจากไปเพราะดูเหมือนว่าเขาจะวางแผนให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าคุณพระนายยังอยู่สบายดีไม่บาดเจ็บตรงไหนโดยปลอมตัวเป็นคุณพระนายคอยเข้าออกเรือนหลวงเสนาะ

“หืม  ทำไมห่อยานี้ถึงเปิดล่ะ?”  แสนเอ่ยถามเมื่อเห็นห่อยาซึ่งเปิดอ้าอยู่

“อ้อ  ฉันเอามาใส่แผลให้คุณพระนายเองแหละ  นั่นเป็นสมุนไพรไม่ใช่รึ?”

“คุณแก้วเอามาทำอะไรนะ?”

“เอามาใส่แผลให้คุณพระนาย...”  แสนไม่รอให้แก้วตาพูดจบเขาก็วิ่งไปดูอาการของคุณพระนายทันทีพร้อมเปิดดูบาดแผล  ทั้งคลำชีพจร  ฟังเสียงลมหายใจ  เมื่อไม่เห็นสิ่งใดผิดปรกติเขาจึงถอนหายใจโล่งอก  ก่อนจะเฉลยคำตอบก่อนจากไปให้ร่างเล็กอ้าปากค้างและหัวใจหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มว่า  สิ่งที่แก้วตาเข้าใจว่าเป็นยาแล้วเอามาใส่แผลให้คุณพระนายนั้นแท้จริงแล้ว  เป็นสมุนไพรไล่ยุง...
.



.
“โธ่~  ป้อนพี่หน่อยไม่ได้รึ?”  คนป่วยออดอ้อนเสียงอ่อนชวนให้น่าสงสาร  หากคนฟังกลับถลึงตามอง

“มือคุณพระนายไม่ได้เจ็บเสียหน่อย!”

“แต่พี่เจ็บแผลเวลาขยับแขนขึ้นลงนี่นา~”

“โกหกหรือเปล่าเนี่ย?”

“เปล่านะ  พี่ไม่ได้โกหก!”  คุณพระนายรีบเอ่ยปฏิเสธรวดเร็วด้วยท่าทางมีพิรุธ  ดวงตาเรียวของเด็กหนุ่มหรี่ลงอย่างจับผิดให้หัวใจของเขาเต้นตุ้มๆต่อมๆก่อนจะยอมถอดใจไม่อ้อนต่อ

“จะยอมให้แค่ช่วงนี้เท่านั้นนะ!”  มือเล็กคว้าช้อนมาถือไว้แล้วตักข้าวด้วยท่าทางไม่พอใจ  หากกลับอ่อนโยนนักเมื่อริมฝีปากสีชาดเป่าข้าวร้อนๆให้เย็นลงแล้วจ่อริมฝีปากชายหนุ่ม  คุณพระนายเคี้ยวพร้อมอมยิ้มแก้มตุ่ยให้คนมองหมั่นไส้หนัก

“ข้าวมื้อนี้อร่อยนัก”

“ข้าวกับเนื้อเค็มนี่น่ะหรือ?”  แก้วตาเลิกคิ้วมองสำรับข้าวที่มีเพียงเนื้อเค็ม  น้ำพริกและผักต้มไม่กี่อย่างเท่าที่เขาหาได้

“ต่อให้เป็นข้าวเปล่าถ้าได้กินด้วยกันกับน้องก็อร่อยที่สุดในโลกอยู่ดี”  ถึงจะทำเหมือนไม่พอใจหากแก้มเนียนกลับขึ้นสีเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่  ให้คนหยอดคำหวานแทบอยากจะกระโจนคว้าร่างคนตัวเล็กเข้ามากอดด้วยความรักความเอ็นดู

.
.

“พี่ลงไปอาบด้วยไม่ได้รึ?”

“คุณพระนายว่าอะไรนะ?”  ถึงจะถามเหมือนไม่ได้ยินประโยคเมื่อครู่แต่ดวงตากลับวาววับน่ากลัว

“พี่เองก็อยากลงไปอาบน้ำตรงนั้นเหมือนกันนี่!”  ชายหนุ่มดื้อดึงราวกับเด็กไม่รู้ประสีพลางถอดเสื้อออกอย่างรวดเร็วเตรียมจะกระโจนลงน้ำ

“หยุดเลยนะ!”  เด็กหนุ่มตวาดแหวลุกขึ้นยืนเท้าเอวมองอย่างไม่พอใจ  “ถ้าเกิดแผลเปียกแล้วอักเสบขึ้นมาอีกรอบจะทำเยี่ยงไร!”

“แต่...”  คุณพระนายอยากเถียงแต่คนตรงหน้าน่ากลัวนัก

“ไม่มีแต่!  กระผมจะรีบอาบแล้วไปเช็ดตัวให้คุณพระนายทีหลัง!”  เด็กหนุ่มว่าก่อนเดินลงไปในลำห้วยหลังมั่นใจว่าชายหนุ่มจะยอมเชื่อฟังแล้วนั่งรออยู่เงียบๆ

คุณพระนายหนุ่มนั่งหน้าง้ำเพราะถูกขัดใจ  เขาก็แค่อยากจะอาบน้ำให้สดชื่นเพราะถูกเช็ดตัวมาตลอดหลายวันก็เท่านั้นเอง  ความคิดทั้งมวลหยุดชะงักเมื่อผิวขาวของใครบางคนโผล่พ้นผิวน้ำ  เรือนผมสวยเปียกน้ำลู่ลงระลำคอระหงชวนมอง  บ่าเล็กไม่กว้างดั่งชายชาตรีทั่วไปเหมือนเช่นเขาหรือแสน  แขนเรียวกลมกลึงยกขึ้นไล้ขัดไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย  เอวขอดหากไม่กิ่วเล็กเช่นหญิงสาวนั้นก็พาให้ใจเต้นไม่เป็นส่ำ  ชายหนุ่มสะบัดหน้าหนีด้วยใจที่เต้นแรงแล้วเปลี่ยนเป็นนั่งหันหลังให้คนตัวเล็ก  ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถสลัดภาพเหล่านั้นออกไปจากหัวได้  หนำซ้ำยังชัดเจนจนใจเขาไม่อาจสงบได้เลย

“คุณพระนาย”

“!”  ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือเย็นแตะลงบนบ่าก่อนจะหันไปมองคนตัวเล็กอย่างกลัวๆกล้าๆแล้วจึงถอนหายใจโล่งอกเมื่อแก้วตาอยู่ในชุดแห้งสะอาดเรียบร้อยแล้ว

“กระผมจะเช็ดตัวให้นะขอรับ  ไปนั่งใกล้ๆนั่นเถอะ”  ถึงอย่างนั้น  ทำไมหัวใจเขายังเต้นแรงเหมือนกลองวงพาทย์อย่างนี้เล่า!
.
.

ถึงอากาศยามดึกจะหนาวนัก  หากบานหน้าต่างเล็กยังคงถูกเปิดเอาไว้ให้แสงจันทร์ที่เริ่มกลมโตสาดแสงเข้ามาภายใน  บนฟูกนอนว่างเปล่าเย็นเยียบไร้ร่างคนเจ็บซึ่งควรอยู่บนนั้น  แต่บนพื้นที่ปูผ้าบรรเทาความหนาวเย็นกลับมีร่างสองร่างเมื่อมองดูผิวเผินเหมือนจะมีเพียงร่างเดียว

“อืม~”  เสียงพึมพำแผ่วเบาก่อนจะซุกกายเข้าหาความอบอุ่นให้คนแปลงกายเป็นผ้าห่มอย่างเต็มใจยกยิ้มเอ็นดู  มือแกร่งยกขึ้นไล้เรือนผมนิ่มอย่างรักใคร่แผ่วเบา  ตั้งแต่อาการบาดเจ็บเริ่มทุเลาและเขาเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่อง  นี่จึงไม่ใช่คืนแรกที่เขาแอบย่องลงมานอนกับคนบนพื้น  ที่นี่มีฟูกอันเล็กเพียงอันเดียวและแก้วตายกมันให้คนเจ็บอย่างเขานอน  แต่คนอย่างคุณพระนายน่ะหรือจะยอมนอนอุ่นสบายคนเดียวแล้วปล่อยให้คนที่เขารักต้องนอนบนพื้นแข็งๆเย็นเยียบแบบนี้  ชายหนุ่มเอ่ยปากชวนให้คนตัวเล็กขึ้นไปนอนบนฟูกเดียวกันหรือยกฟูกนอนให้ฝ่ายนั้นแต่อีกฝ่ายก็ดื้อด้านไม่ยอมทำตามเลยกลายเป็นว่าคุณพระนายต้องย่องลงมานอนกอดคนตัวเล็กให้หายหนาวแทบทุกคืน  แล้วพอรุ่งสางชายหนุ่มก็จะค่อยลุกขึ้นไปนอนบนฟูกก่อนที่เด็กหนุ่มจะตื่น  หากแต่คราวนี้ดูเหมือนชายหนุ่มจะหนีไม่ทันเมื่อเจ้าของดวงตาเรียวลืมตาขึ้นมาทั้งๆที่เขายังไม่คลายอ้อมแขนที่กอดเอวเล็กเอาไว้  เหตุเพราะมัวแต่มองหน้าน่ารักนั่นแท้ๆ!

“เอ่อ”  แก้วตานอนตัวแข็งเมื่อตื่นเต็มตา  คราแรกเขานึกว่าตัวเองฝันไปเพราะอากาศหนาว  แต่เจ้าของความอบอุ่นนั้นกำลังจ้องตากับเขาห่างเพียงแค่ปลายจมูกเท่านั้น

“คือ  พี่กลัวแก้วตาหนาว”

วูบหนึ่งในอกของคนตัวเล็กวาบโหวงเมื่อแขนแกร่งทำท่าจะเลื่อนออกจากเอวเขา  น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนดูละล้าละลังหากแววตาสวยซึ่งมองมากลับคาดหวังบางอย่าง  ไม่รู้ว่ามุมใดในหัวใจของแก้วตาที่มันกำลังเรียกร้องหาความอบอุ่นนั้นและเด็กหนุ่มต้องการให้มันคงอยู่ต่อไป  แม้จะเพียงชั่วครู่เดียวก็ตาม

คุณพระนายเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อเมื่อแก้วตาหลับตาลงอีกครั้งและร่างเล็กขยับกายซุกเข้าหาไออุ่นจากเขา

“...กระผมยังไม่ได้ตื่นนะขอรับ...”  เสียงหวานที่เอ่ยบอกนั้นอู้อี้เพราะใบหน้าน่ารักซุกกับอกแกร่งของเขา  คุณพระนายหนุ่มคลายคิ้วที่ขมวดแน่นออกก่อนจะยิ้มกว้าง  รวมไปถึงดวงตาที่สุกไสวเพราะความสุขล้นปรี่  หัวใจของเขาเต้นระรัวเร็วเสียจนน่ากลัวว่าคนในอ้อมแขนคงได้ยินเสียงมันอย่างชัดเจน  หากชายหนุ่มกลับไม่กลัว  เขาต้องการให้คนตัวเล็กได้ยินทุกสิ่งที่อยู่ในใจของเขา  ทั้งหมดนั้นเขาอยากให้แก้วตาได้ฟัง

คุณพระนายกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น  เขาไม่อยากให้ความหนาวเหน็บกล้ำกรายคนในอ้อมแขน...แม้เพียงสักนิด
.
.







ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
.
.
.

นี่เขาทำบ้าอะไรลงไป!

เด็กหนุ่มสบถลั่นในใจ  หลังจากลืมตัวทำท่าออดอ้อนอีกฝ่ายไป  เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็สายโด่งแล้วและเขายังคงอยู่ในอ้อมแขนของคุณพระนายเช่นเดิม!  แก้วตางัดแขนแกร่งออกจากเอวแล้วหนีออกมานั่งอยู่ริมลำธารคนเดียว  จนบ่ายเขาก็ยังไม่กล้ากลับไปที่กระท่อมเลย  จนในที่สุดคุณพระนายก็อดรนทนไม่ไหวจนต้องออกมาตาม

“แก้วตา?”  เด็กหนุ่มไม่ได้ขานรับเขายังคงนั่งนิ่ง  แก้มเนียนพลันร้อนขึ้นสีระเรื่อเมื่อร่างสูงทิ้งกายลงนั่งข้างๆ  “เจ็บตัวครานี้ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก  น้องว่าอย่างนั้นไหม?”

“จะไม่เลวร้ายได้อย่างไร  คุณพระนายเจ็บปางตายนะขอรับ!”  คนตัวเล็กหันมาตวาดแหวส่งผลให้ชายนุ่มยิ้มกว้างเมื่อเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่ายได้สำเร็จ

“เอ้า  อย่างน้อยพี่ก็มีแก้วตาคอยดูแล”
“เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ต่างหาก”

“อย่างนั้นรึ?  งั้นอย่างน้อยพี่ก็ได้รู้ว่าแก้วตาเป็นห่วงพี่มากมายแค่ไหน”

“นั่น”

“น้องจะบอกว่าเป็นเรื่องช่วยไม่ได้อีกอย่างนั้นรึ?  พี่ไม่เชื่อหรอก”  คุณพระนายยิ้มล้อเลียนเมื่อจบคำ  เพราะแก้มเนียนของคนน่ารักแดงเรื่อเถียงไม่ออก  ด้วยสิ่งที่เขากล่าวมานั้นเป็นจริงทุกอย่าง

“กระผม...”

“แก้วตา  พี่อยากให้เราเป็นเหมือนอย่างตอนนี้ในวันข้างหน้า”  น้ำเสียงหวาดหวั่นทำให้เด็กหนุ่มต้องหันไปมองคนพูดในที่สุด  ดวงตาสวยหวานซึ้งหากระคนความเศร้าฉาบไล้  “พี่อยากพูดคุยกับแก้วตาทุกเมื่อเชื่อวัน  อยากตื่นขึ้นมาเห็นหน้าแก้วตาตอนเช้าและเห็นเจ้ายิ้มให้พี่ก่อนนอน  อยากกินข้าวด้วยกันทุกมื้อ  อยากมีแก้วตาไว้ในอ้อมแขน  อยากดูแลแก้วตาไปจนชั่วชีวิต”

“...มันคงเป็นไปไม่ได้”

“พี่เคยบอกแล้วใช่หรือไม่  ว่าต่อให้แก้วตาเป็นผู้ชายไม่ใช่แม่หญิงพี่ก็จะยังคงรักเจ้าต่อไป  พี่รักที่แก้วตาเป็นแก้วตาแบบนี้  ไม่ใช่แก้วตาในแบบที่พี่ต้องการหรือใครต้องการให้เป็น”  ชายหนุ่มเอ่ยขัดประโยคของคนตัวเล็ก  บัดนี้ไหล่กว้างสั่นสะท้านเพราะความรู้สึกภายในอันท่วมท้น  ความเศร้าความทุกข์ใจ  “พี่อยากอยู่กับเจ้า  ให้เราได้หัวเราะด้วยกันได้มีความสุขและคอยดูแลกันและกันแบบนี้”  แก้วตาไม่ได้ตอบกลับไป  เขาไม่อาจโกหกตัวเองได้ว่าตลอดเวลาสิบกว่าวันที่ผ่านมานั้นไม่มีความสุข  ทุกวันที่ได้โมโหใส่อีกฝ่ายได้คอยดูแลได้ใกล้ชิด  ได้เห็นข้อดีข้อเสียของอีกคนและความรู้สึกอุ่นซ่านในหัวใจ... 

“แผล...ยังเจ็บอยู่ไหม?”

“?”

“ถ้ากลับไปแล้วคงต้องให้หมอฝรั่งดูอีกที”

“แก้วตา?”

“คุณพระนายจะเดินทางกลับเลยหรือไม่  วันนี้หรือพรุ่งนี้”

“แก้วตา  พี่บอกแล้วว่าพี่จะไม่มีวันเลิกรัก!”  เสียงทุ้มตวาดก้อง ร่างสูงคว้ามือเล็กของแก้วตามากุมไว้แน่น ใบหน้าหล่อเหลานั้นแลดูเจ็บปวด  ชายหนุ่มรั้งมือเล็กให้แตะแก้มกร้านของตนแล้วเอ่ยอ้อนวอน  “รักพี่ไม่ได้หรือแก้วตา?”

“กระผม...”

“พี่รู้ว่าเจ้ากลัว  พี่เองก็เคยกลัวแต่พอพี่มองไปไม่เห็นเจ้าในวันที่พี่พยายามตัดใจ  พี่เหมือนจะตาย  หัวใจของพี่แทบขาด  พี่พยายามแล้ว  มันเจ็บปวดตรงนี้ที่หัวใจของพี่”  มือแกร่งเลื่อนให้เจ้าของมือเล็กทาบทับตรงตำแหน่งหัวใจของเขา 

“หากแก้วตาไม่ต้องการมัน  ก็ทำให้มันหยุดเต้นไปเสียเดี๋ยวนี้เถอะ”

“เจ็บ...”  เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง  ดวงตาเรียวอาบไล้ไปด้วยหยาดน้ำตา  ร่างสูงเบิกตากว้าง  มือของแก้วตาอีกข้างวางลงตรงอกด้านซ้ายของตัวเอง

“แก้วตา?”

“กระผมเองก็เจ็บที่ตรงนี้ขอรับ  เจ็บมากเหลือเกิน...ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ควรแต่หัวใจมันกลับดื้อด้านนัก  ทั้งๆที่พยายามแล้วแท้ๆ”

“แก้ว...”

“แต่มันก็ยังเจ็บอยู่ดี”

“แก้วตาของพี่  พี่ขอโทษนะแต่พี่รักน้องจริงๆ”  คุณพระนายยกมือเกลี่ยหยาดน้ำตานั้นแผ่วเบา  ใบหน้าอ่อนใสหลับตาลงซึมซับความอบอุ่นของฝ่ามือนั้นอย่างอ่อนล้า  เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะลืมตาขึ้นสบ  “ให้พี่รักแก้วตาได้ไหม?”

“อืม”  เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ  ในวินาทีนั้นแก้วตาก็ได้เห็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา






   
       ขวัญเอย...อย่าร้างไป              อยู่ในหัวใจอยู่เป็นจอมขวัญ
        ขวัญของใจ อย่าต้องไกลห่างกัน        ขอจงอยู่คู่ฉันดั่งลมหายใจ 





**********


เสียงร้องเรียกอย่างตระหนกตกใจแว่วเข้าหู  เขาพยายามยกเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมองว่าใครคือเจ้าของเสียง  แต่แล้วความมืดก็เข้าปกคลุมอีกครั้งพร้อมสติการรับรู้ดับลง

“ทำไมยังไม่ตื่นเสียทีนะ?”  เสียงแหบพร่าจากความสูงวัยเอ่ยอย่างวิตกกังวล

“หมอบอกว่าไม่มีอันตรายอะไร  คุณน้าทำใจดีๆก่อนนะคะ”  เสียงที่เอ่ยตอบนั้นอ่อนวัยกว่า  เขาเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเพื่อรอดูว่าจะมีเสียงของใครอื่นอีกไหม  หากแต่ก็มีเพียงเสียงถอนหายใจเท่านั้นเขาจึงเปิดเปลือกตาขึ้นก่อนจะหลับลงอีกครั้งเมื่อแสงสว่างจ้าบาดตาแล้วค่อยหรี่เปลือกตาช้าๆเพื่อปรับตัว

“แก้ว!”  เสียงที่เรียกเขาคือเสียงเด็กสาวตามด้วยอีกเสียง  เด็กหนุ่มไม่ตอบคำเขาเหลือบตามองไปรอบๆค่อยระลึกได้ว่าตนอยู่ที่ใด

“เป็นอย่างไรบ้างลูก  รู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างไหม?”  เพ็ญจันทร์เอ่ยถามร้อนรนเมื่อเห็นท่าทางบุตรชาย

“แม่  ฤดี”   แก้วตาเอ่ยตอบด้วยเสียงแหบพร่า  เขามองลอดหน้าต่างห้องออกไปจึงได้รู้ว่านี่เป็นตอนกลางวันและเขาอยู่ที่โรงหมอ  เด็กหนุ่มพยุงร่างอ่อนแรงขึ้นพิงหัวเตียงโดยมีฤดีช่วย

“ทำไมลูกถึงทำแบบนี้!”  หลังจากความรู้สึกกังวลผ่านพ้นไปก็แทนที่ด้วยความรู้สึกโกรธจนแทบร้องไห้  เธอนึกไม่ถึงเลยว่าลูกชายแสนเรียบร้อยของเธอจะทำในสิ่งที่เธอคิดไม่ถึง

“ทำอะไรหรือจ๊ะแม่?”

“อย่ามาแกล้งไขสือนะ  ลูกเอาอะไรให้คุณชายดื่มเธอถึงได้หลับเป็นตายจนปล่อยให้ธูปหมดดอกจนค่ำมืด!  นี่ถ้าฤดีไม่เอะใจตามไปที่เรือนขาวป่านนี้ลูกไม่หลับตายไปแล้วหรอกรึ!”

“ก็แค่  ชาชุมเห็ดเทศเองจ้ะ”  เด็กหนุ่มตอบเสียงอ่อยไม่กล้าสบตามารดา

“ชาชุมเห็ดเทศ!  นี่  นี่ลูก!”

“โธ่  แม่จ๋าลูกไม่คิดนี่ว่าจะทำให้พี่ชายหลับลึกไปแบบนั้น  ลูกก็แค่หวังดี  เห็นพี่ชายนั่งเฝ้าลูกเหงาๆลูกก็เลยทำชาให้ดื่มตอนที่นั่งอ่านหนังสือรอธูปหมดดอก...”  คำแก้ตัวนั้นดูเหมือนจะทำให้เพ็ญจันทร์โกรธมากกว่าเดิม  เธอมองลูกชายอย่างไม่เชื่อสายตา  แววตาและท่าทางซุกซนแบบนี้ของลูกชายเธอแทบไม่เคยเห็นเลยตั้งแต่เขาโตเกินสิบขวบปี  มันมีทั้งความดีใจ  ความโมโหและความเป็นห่วงตีกันอยู่ในอก

“แล้วชาชุมเห็ดเทศมันทำไมหรือจ๊ะน้า?”  ฤดีเอ่ยถามเพราะไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวข้องกับที่พี่ชายเธอหลับไปได้อย่างไร

“มันก็ทำให้ตาชายหลับลึกอย่างที่พวกเราไปเจอนั่นอย่างไรล่ะ”  คราวนี้ฤดีเข้าร่วมกับเพ็ญจันทร์ถลึงตามองแก้วตาอย่างโกรธเคือง

“โธ่  ลูกขอโทษคราวหน้าลูกจะไม่ทำอย่างนี้แล้ว  นะจ๊ะแม่  นะฤดี”  ท้ายประโยคเขาหันไปขอโทษเพื่อนสาวพลางทำตาละห้อยน่าสงสาร

“ลูกควรไปขอโทษคุณชายด้วย  ตอนนี้เธอรู้สึกผิดที่ปล่อยให้ลูกหลับนานเกินไปจนเป็นอันตราย”

“จ้ะ!”  เด็กหนุ่มรับคำก่อนจะโดดลงเตียงหากแต่ก็เข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

“ประเดี๋ยวค่อยไปเถอะ  ลูกหลับนานข้ามวันแบบนี้คงยังไม่ค่อยมีแรง  กินข้าวกินปลาเสียก่อนแล้วค่อยไป”  เพ็ญจันทร์เอ่ยอย่างอ่อนใจ  แก้วตาเงยหน้าขึ้นยิ้มเผล่ให้มารดาแล้วยอมกลับมานั่งบนเตียง  ทานข้าวอย่างว่าง่ายรวดเร็ว  ครั้นเมื่อมีแรงเขาจึงเดินไปหาอีกคนที่เขาควรต้องขอโทษ

“พี่ชาย”  ชายหนุ่มสะดุ้งตกใจหันมามองเด็กหนุ่มครู่หนึ่งก่อนหันหนีไปอีกทางให้คนมีชนักติดหลังถึงกับหน้าจ๋อย  “ผมขอโทษนะครับ”  แก้วตากระพุ่มมือไหว้ขอโทษ

“...อย่าทำแบบนี้อีก  แก้วก็รู้ว่าพวกเราทุกคนเป็นห่วงแก้วมากแค่ไหน”

“ครับ” 

“สัปดาห์หน้าจะไม่มีการไปที่เรือนขาว” 

“เอ๋?”

“เพราะพี่กับน้าเพ็ญจันทร์ปรึกษากันแล้วว่าจะลงโทษที่แก้วทำแบบนี้”

“ไม่ได้นะครับ!”  แก้วตาโวยลั่น  พลางคิดหาข้ออ้างมาโน้มน้าวอีกฝ่ายแต่สีหน้าจริงจังของชายนั้นบ่งบอกว่าเขาเอาจริงและจะไม่ยอมใจอ่อนอย่างแน่นอน

“อย่าได้คิดแอบไปเรือนขาวคนเดียวเด็ดขาด  อ้อ  แล้วก็เลิกคิดหายานอนหลับมาให้พี่กินด้วยเพราะพี่จะไม่ดื่มหรือกินอะไรที่แก้วยื่นให้อีกแล้ว”  ชายพูดจบก็เดินจากไป  ทิ้งให้เด็กหนุ่มอ้าปากพะงาบๆมองตามแผ่นหลังกว้างของชายด้วยไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร  หลังจากดึงสติกลับมาได้แก้วตาก็ตั้งใจมั่นว่าเขาจะต้องหาตัวยาใหม่ให้ชายกินและหลับนานกว่าเดิมให้ได้!


ชายทิ้งตัวนั่งอย่างหมดแรง  ตอนเห็นแก้วตาเดินเข้ามาขอโทษ  เขาทั้งโล่งอกทั้งโกรธอีกฝ่ายที่ทำราวกับไม่ใส่ใจความเป็นห่วงที่เขามีให้  ถ้าฤดีไม่ฉุกใจคิดเขาก็คงยังหลับลึกต่อไปและปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ในอันตราย  เขาพลาดเองที่ไม่ทันสังเกตว่าแก้วตาต้องการรู้เรื่องราวในอดีตมากขึ้นเรื่อยๆทุกที  ถึงขนาดทำให้เขาหลับไปแบบนั้น  ตอนลืมตาตื่นแล้วเห็นร่างขาวซีดของแก้วตาในอ้อมแขนของน้าเพ็ญจันทร์หัวใจเขาแทบปลิดปลิว  เขาโกรธขึ้งโทษคุณพระนายคนนั้นว่าต้องการให้เด็กหนุ่มตายตกไปตามกันเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป  จนเมื่อสติกลับมาหลังแก้วตาอยู่ในความดูแลของหมอนั่นแหละชายจึงคิดได้ว่าเขาไม่ควรโทษคุณพระนายคนที่มีสายตาเศร้าสร้อยและเปี่ยมไปด้วยความรัก  อาลัยอาวรณ์คู่นั้นที่เขาเห็นไม่มีทางทำร้ายแก้วตาอย่างแน่นอน 
.
.

แก้วตานั่งกระสับกระส่ายต่อหน้าพระคุณเจ้าซึ่งส่งสายตาคาดโทษมาให้  หากกระนั้นในความคิดของเขาก็ยังคงเตรียมหาข้ออ้างมากมายมาโต้แย้งหากโดนห้ามไม่ให้ไปเรือนขาวจริงๆ

“...เหมือนเข้าไปทุกที”

“อะไรนะครับ?”

“เปล่าหรอก”  พระคุณเจ้าถอนหายใจก่อนจะยกชาขึ้นจิบ

“เอ่อ  หลวงพ่อไม่คิดจะห้ามไม่ให้ผมไปที่เรือนขาวหรือครับ?”  เด็กหนุ่มเอ่ยถาม

“แล้วเอ็งจะเชื่อคำห้ามนั้นหรือเปล่า?  เพราะข้ารู้น่ะซิว่าห้ามไปก็ไร้ประโยชน์  นิสัยดื้อดึงนี้ของเอ็งน่ะต่อให้ข้ามชาติมาเกิดใหม่มันก็ไม่หายไปง่ายๆหรอกนะ”  พระคุณเจ้าเอ่ยแล้วถอนหายใจอีกรอบให้เด็กหนุ่มยิ้มแหย

“เอ่อ”

“มีอะไรอีก?”

“ตั้งแต่คราวนั้นผมไม่เห็นคุณพระนายกับแสนเลย  พวกเขา...”  พวกเขายังอยู่บนโลกใบนี้ไหม

“เอ็งจะมานั่งวิปัสสนากรรมฐานเมื่อไหร่?”

“เอ๋?”  แก้วตาเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ  เขากำลังเป็นฝ่ายถามอยู่ไม่ใช่หรือแล้วทำไมกลายเป็นว่าเขาต้องเป็นฝ่ายตอบเล่า  หลังกลับจากเรือนขาวคราวนั้นก็ผ่านไปเกือบครบสิบวันแล้วและดูเหมือนชายจะทำอย่างที่บอกไว้จริงๆว่าไม่ยอมให้เขาไปที่นั่น  โดยให้มารดากับฤดีเปลี่ยนกันมาเฝ้าเขาเอาไว้  และนั่นทำให้เขาไม่ได้เจอคุณพระนายกับแสนอีกเลย  อาจจะเป็นก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ

“ว่าอย่างไร?”  พระคุณเจ้าถามซ้ำ

“วันพรุ่งเลยก็ได้ครับหลวงพ่อ”  อย่างน้อยเขาก็จะได้ทำบุญให้คุณพระนาย  แสนแล้วก็นมแย้ม

“ดี!  ถ้าอย่างนั้นอีกไม่กี่เพลาพวกเขาก็จะมาหาเอ็งเองนั่นแหละ”  พระคุณเจ้าหรือหลวงเสนาะยกยิ้มชอบใจ   






    
ฯ                     แต่โรครักนี้แรงหาน้อยไม่
ร้ายยิ่งกว่าโรคคาอย่างใด ๆ       ยิ่งกว่าไข้จับหนาวร้าวราญครัน
แม้มิได้ชื่นชมให้สมจิต              เหมือนเพลิงพิษเผาอุราแทบอาสัญ
ไม่เห็นหน้าคู่รักเพียงสักวัน         จิตก็พลันร้อนผ่าวราวอัคคี





**********




ที่นั่น...

เขาอยู่ที่นั่นหรือ?
หญิงสาวนั่งคิดพลางจ้องภาพวาดตรงหน้าราวกับคนในนั้นจะตอบคำถามของเธอได้  ดวงตาสวยวาววับแล้วริมฝีปากจึงวาดยิ้ม  เธอจะต้องไปที่นั่น...

วันรุ่งขึ้นโสภีแทบจะอดใจรอไม่ไหว  เธอลางานก่อนขับรถไปเรือนขาวหลังจากที่เห็นเด็กแก้วตาและชายเข้าไปที่นั่นทุกวันเสาร์  หญิงสาวเชื่อว่าชายในฝันของเธอจะต้องอยู่ที่นี่แน่นอน  มือสวยผลักประตูรั้วเข้าไปเชื่องช้าก่อนคิ้วเรียวจะขมวดมุ่นเมื่อตัวเรือนนั้นดูทรุดโทรมกว่าที่เธอคิด  ต้นไม้รกครึ้มเหมือนไม่รับการดูแล  โดยรอบเงียบเหงาวังเวงราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากโสภีเพียงคนเดียว

“คุณ  คุณพี่คะ?”  หญิงสาวร้องเรียก  เธอเชื่อว่าเขาจะต้องหลบซ่อนอยู่ที่นี่  หากแต่นอกจากเสียงลมพัดหวีดหวิวก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา  โสภีเดินดูรอบๆ  ประตูเรือนซึ่งถูกปิดสนิทถูกทุบถูกเขย่าจนแทบพังหากเธอก็ไม่สามารถจะเข้าไปข้างในได้  ทั้งๆที่ตัวเรือนดูทรุดโทรมคล้ายจะพังมิพังแหล่ทำไมถึงได้เปิดยากเปิดเย็นนัก!  โสภีก้าวถอยหลังเงยหน้ามองขึ้นไปชั้นบน  ตรงระเบียงห้องห้องหนึ่งซึ่งเปิดอ้าไว้มีม่านสีขาวปลิวสะบัดคล้ายยั่วเย้าเธอว่า  ขึ้นมาให้ได้ซิ  อย่างไรอย่างนั้น

“หรือว่ากุญแจจะอยู่กับไอ้เด็กนั่น?”  โสภีครุ่นคิด  มันจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆเพราะมันมาที่นี่ทุกวันเสาร์และเข้าไปข้างใน  ถ้าอย่างนั้นเธอก็แค่รอให้ถึงวันเสาร์หน้าแล้วค่อยเข้ามาอีกครั้งก็ได้นี่นา!  ไม่  ไม่ใช่แค่วันเสาร์  แต่เธอจะต้องตามติดเด็กคนนั้นทุกฝีก้าว!

โสภีกลับไปพร้อมรอยยิ้มเมื่อคิดแผนการต่อไปออก  เบื้องหลังคือเรือนขาว  ที่กลับมางดงามเช่นเดิมราวกับสิ่งที่โสภีเห็นก่อนหน้าเป็นเพียงภาพลวงตา  บนระเบียงชั้นสองมีเงาร่างสูงสมส่วนของเจ้าของเรือนยืนมองส่งหญิงสาวจากไป

‘ดูเหมือนคุณโสภีเธอจะหาเจอแล้วนะขอรับ’

‘ฉันอยากไปหาแก้วตา’

‘?’

‘ฉันกลัวว่าโสภีจะทำร้ายเขาเหมือนที่ผ่านมาอีก’

‘คืนนี้พวกเราคงได้เจอเธอขอรับ’

‘....’

ตั้งแต่โสภีย่างเท้าเข้ามาในเขตเรือนขาว  ชายหนุ่มและแสนพยายามใช้พลังที่เหลืออยู่สร้างภาพบังตาและกันไม่ให้โสภีเข้ามาในเรือนขาวได้สำเร็จ  แต่หลังจากนี้เขาคงไม่มีพลังเพียงพอที่จะปกป้องแก้วตาได้     คุณพระนายเหม่อมองไปยังท้องฟ้าสว่างยามบ่ายอย่างหวั่นใจ  เขาไม่อยากให้ประวัติซ้ำรอยเดิมที่ไม่สามารถปกป้องคนรักเอาไว้ได้อีกครั้ง  ดังนั้นเขาต้องมีพลังมากกว่านี้.
.





“คืนนี้ก็จะไปนอนที่วัดอีกหรือ?”

“ใช่  เราจะทำบุญให้คุณพระนาย  ให้แสนแล้วก็นมแย้มด้วย”  แก้วตาตอบเพื่อนพลางยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงฝันเมื่อคืน  ถึงจะไม่ได้เห็นภาพเรื่องราวในอดีตแต่อย่างน้อยเขาก็ได้พูดคุยกับคุณพระนาย

“เธอไม่กลัวพวกเขาแล้วรึ?”

“กลัว?  ไม่แล้วล่ะ  เพราะเรารู้ว่าอย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่มีทางทำร้ายเราหรอก” 

“แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คน”

“แล้วอย่างไรเล่าฤดี?”

“เปล่า...”  ฤดีปฏิเสธไม่เต็มเสียง  เธอไม่กล้าบอกความกังวลของตัวเองให้เพื่อนรู้  กลัวว่าเพื่อนจะไม่พอใจที่เธอเข้าไปยุ่มย่าม  แก้วตามองสีหน้าแปลกๆของเพื่อนแล้วยิ้มกว้าง

“ยิ้มแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน?”  ฤดีเลิกคิ้วมองเพื่อนอย่างแปลกใจ  เธอไม่เคยเพื่อนเห็นยิ้มกว้างขนาดนี้มาก่อนเลย  ยิ้มทั้งปากทั้งตาแบบนี้

“เมื่อคืนเราฝันเห็นคุณพระนาย”

“แล้ว?”

“เขาบอกว่าดีใจที่ฉันเริ่มรู้เรื่องราวที่เขาอยากบอก  แล้วก็มาขอบคุณ”

“ขอบคุณเรื่องอะไร?”  ถึงแก้วตาจะทำท่าดีใจ ฤดีกลับไม่ชอบใจเอาเสียเลย  อย่างไรเสียฝ่ายนั้นก็เป็นผี  ถึงจะหล่อเหลามากมายขนาดไหนแต่ก็ไม่ใช่คนเสียหน่อย!

“ก็เรื่องที่เราทำบุญไปให้เขาไง”

“เอาเถอะ  เราไปเข้าเรียนกันได้แล้ว!  อ้อ  เธอรู้หรือยังว่ามีอาจารย์คนใหม่มาสอนแทนอาจารย์กิตติแล้วนะ”

“งั้นหรือ?”   แก้วตาไม่อยากนึกถึงกิตติอีก  ตอนนั้นเขาโกรธมากที่โดนขโมยภาพไป  แต่เมื่อคืนคุณพระนายบอกเขาว่าถ้าอยากจะวาดภาพเขาอีกก็ปล่อยกิตติไปเสีย  ถึงอย่างไรภาพนั้นก็จะกลับมาหาเขาอยู่ดี  อีกอย่างตอนนี้เขาสามารถวาดภาพของคุณพระนายได้โดยไม่ติดขัดอะไรอีกแล้ว  มือเขาขยับเคลื่อนไหวราวกับเคยชินกับการวาดภาพอีกฝ่าย


เสียงอื้ออึงตามทางเดินเรียกทั้งสองต้องหันไปมองก่อนจะคว้าแขนเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเอาไว้เมื่อเธอวิ่งไปทางกลุ่มที่ส่งเสียงดังก่อนหน้า

“มีเรื่องอะไรกันอย่างนั้นหรือ?”  ฤดีเป็นคนถาม

“อาจารย์ที่มาใหม่น่ะซิ  มาแล้ว”

“แล้วทำไมต้องเสียงดังกันด้วยล่ะ”

“ก็เขาหล่อมากเลยนะ!”  เพื่อนคนนั้นตอบก่อนจะแกะมือของฤดีออกแล้ววิ่งไปทางนั้น  แก้วตาส่ายหัวกับอาการกรี๊ดกราดของบรรดาสาวๆ

“จะหล่อสักแค่ไหนกันเชียว?”  เด็กหนุ่มบ่นก่อนจะเดินไปทางห้องเรียน

“ก็อาจจะหล่อมากๆ  มากกว่าคุณพระนายของเธอก็ได้นะแก้ว”  ฤดีตอบ

“คุณพระนายของเราอะไรกัน...”  แก้มเนียนขึ้นสีเรื่อเอ่ยปฏิเสธแผ่วเบา

“แก้ว  เราขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม?”

“ว่ามาซิ”

“เธอรักคุณพระนายอะไรนั่นอย่างนั้นหรือ?”

“เธอถามทำไม?”  น้ำเสียงแหบหวานเอ่ยห้วน  เพราะน้ำเสียงของฤดีที่ใช้ถามนั้นเหมือนจะไม่ชอบใจและไม่อยากให้เขารู้สึกอย่างนั้นกับคุณพระนาย

“เราก็แค่  แค่ไม่อยากให้เธอสับสน”  นี่เป็นความกังวลที่รบกวนจิตใจของหญิงสาวมาตลอด  หากเพื่อนของเธอไม่สามารถแยกความฝันกับความจริงออกจากกันได้จะเป็นอย่างไร

“สับสน?”

“ตัวเธอในตอนนี้กับตัวเธอในความฝันน่ะไม่ใช่คนเดียวกันนะ!”

“ขอโทษนะฤดี  เรายังไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ตอนนี้”

“แก้ว!”  แววตาวูบไหวของแก้วตาที่เธอเห็นทำให้เธอตกใจนัก

จังหวะที่เด็กหนุ่มหันกายหนีเพื่อนก็พอดีกับอาจารย์คนใหม่เดินมาถึงที่พวกเขาสองคนยืนอยู่พอดี  ฤดีเบิกตากว้างมองผู้มาใหม่อย่างไม่เชื่อสายตา  มือขาวคว้าแขนแก้วตาแล้วบีบแน่น

“ฤดี?”

“เขา!”  ฤดีชี้ไปทางด้านหลังของเพื่อนด้วยนิ้วอันสั่นระริก    แก้วตาหันไปมองตามนิ้วของหญิงสาวก่อนจะเบิกตากว้างตามไปด้วยอีกคน


















“คุณพระนาย!”














โปรดติดตามกาลต่อไป











พูดคุย

 
ก่อนอื่นต้องขอโทษที่หายไปนานนะเจ้าคะ :hao5:
ทรายจะพยายามลงทีเดียวหลายๆตอนเพื่อชดเชยกับการหายไปนานนะคะทุกท่าน
เรื่องนี้ตามที่วางไว้แค่สิบกว่าตอนก็จบแล้วค่ะทุกท่าน :hao3:

หวังว่าจะยังติดตามให้กำลังใจกันต่อไปนะคะ  ขอบคุณค่ะ
เช่นเคย  ติ-ชมกันได้ตลอดนะคะเพื่อการปรับปรุงค่ะ^^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด