...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]  (อ่าน 171475 ครั้ง)

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
                                                               
                                                                            ...อสงไขย  กาลที่๕.๑...





“แม่ว่าถ้าแก้วช่วยแม่เสร็จแล้วกลับขึ้นไปนอนดีกว่าไหมลูก?”  เพ็ญจันทร์มองใบหน้าเนียนของบุตรชายนั้นดูซีดเซียวเหลือเกินจนหล่อนอดเอ่ยปากอย่างเป็นห่วงไม่ได้

“แก้วไม่เป็นอะไรมากหรอกจ้ะแม่”

“แต่ว่า...”

“ประเดี๋ยวนมแย้มจะออกไปเก็บดอกไม้มาทำน้ำอบอีก  แก้วว่าจะไปช่วยแกเสียหน่อยแล้วค่อยกลับไปนอน”  คนเป็นลูกต่อรอง  เพราะนมแย้มเองก็ต้องรีบเก็บดอกไม้ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นเพื่อทำน้ำอบและแป้งร่ำ  ซึ่งต้องใช้ดอกไม้จำนวนมากพอดูจะไม่ช่วยก็กระไรอยู่

“ถ้าอย่างนั้นแม่จะเตรียมยาเอาไว้ให้นะ  กินข้าวเสียก่อนก็ดี”

“จ้ะ”  เด็กหนุ่มรับคำแล้วนั่งลงรับชามข้าวมาจากมารดา  กินได้ไม่กี่คำก็อิ่มจึงยกหาบขนมขึ้นบ่าไปส่งมารดาในตลาดแล้วขอตัวกลับเรือนขาวเพื่อช่วยนมแย้มเก็บดอกไม้ต่อ  โดยมีแสนเป็นลูกมือของเขากับนมแย้มอีกที

“เอ้า  เจ้าแสน  หอบนี้เก็บไว้ร้อยมาลัย”  นมแย้มว่าก่อนจะวางดอกกุหลาบสีอ่อนลงในกระบุงสาน

“มาลัยสดบนเรือนขาว  นมแย้มร้อยเองหมดเลยหรือครับ”  แก้วตาถามพลางเด็ดดอกมะลิโดยให้ก้านติดมาด้วย

“ใช่  เมื่อครั้งกระโน้นก็มีคนช่วยร้อยอยู่ดอก  ตอนนี้ต้องร้อยเองคนเดียว”

“ถ้าอย่างนั้นแก้วจะช่วยนมแย้มร้อยดีไหม”  เด็กหนุ่มว่าพลางยิ้ม  พลางหันไปเด็ดดอกพิกุลด้านข้าง    นมแย้มลอบสบตากับแสนพร้อมรอยยิ้มพึงใจ

“ก็ดี  ไม่ทบทวนประเดี๋ยวจะร้อยไม่เป็น”

“ครับ?”

“เปล่า  จะบอกว่าหัดไว้ให้เป็นก็ดี  เป็นผู้ชายก็ทำได้ทั้งนั้นแหละไม่เสียหายหรอก”  แก้วตาพยักหน้ารับ  เขาไม่ได้ถือแบ่งว่างานใดผู้หญิงต้องทำและงานใดผู้ชายต้องทำ  หากงานไหนที่เขาสามารถทำได้และมันแบ่งเบาภาระคนรอบข้างเขาก็จะทำ  นั่นเป็นนิสัยที่นมแย้มชื่นชอบนักหนา  “เจ้าแสนป่นกำยานให้ข้าทีซิ”  นมแย้มยื่นให้คนด้านหลังรับไป  เมื่อแสนจัดการเสร็จแล้วจึงเรียกแก้วตาให้เข้าไปใกล้  แล้วสั่งให้เขาหยิบนู่นจับนี่  “มาดูใกล้ๆ  เอ็งจะได้ทำเป็น” 

“นมแย้มทำทำไมมากมายล่ะครับ?”

“ก็เอ็งต้องใช้”

“แก้วหรือ?”  เด็กหนุ่มชี้มายังตัวเองเชิงถาม

“อ้าว  หรือเอ็งจะออกไปซื้อให้เสียเงินเสียทอง  นี่น่ะ  แป้งร่ำทำเอง  เนื้อเนียนนักเชียว  ทั้งหอมทั้งดี  คุณพระนายท่านยังชอบนักหนา  ท่านว่าเวลาที่กลิ่นแป้งร่ำอยู่บนผิวแก้มเวลาหอมเวลาดมมันชื่นใจนัก”

“ทั้งแสนทั้งนมแย้มนี่เป็นลูกหลานที่รับใช้คุณพระนายเรือนนี้หรือครับ  เห็นพูดกันทีไรเหมือนคนใกล้ชิดทุกที”  แก้วตาว่าพลางรับถ้วยกำยานที่แสนป่นเสร็จแล้วมาถือไว้  จึงไม่ทันเห็นแสนและนมแย้มส่งสายตากัน    เมื่อเห็นว่าคนข้างกายไม่ตอบแก้วตาจึงเงยหน้าขึ้นเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ 

“แสน  เอ็งเอาตะคันนี่ไปเผาไฟ”  เมื่อแสนรับไป  นมแย้มจึงหันมาทางแก้วตาพลางว่า  “ทั้งข้าทั้งแสนต่างก็รับใช้คนเรือนนี้มานาน  เอ้า  แสนได้ที่แล้วเอาไปวางบนทวนนั่น  เจ้าแก้วเอ็งตักไอ้ที่ผสมนี่ลงไปใส่แล้วปิดฝาทิ้งไว้”  นมแย้มทั้งเล่าทั้งสอนผู้ฟังที่ดีอย่างแก้วตาก็ทำตาม

“หมดนี่เลยหรือครับ?”  แก้วตาหันไปถาม

“บ๊ะ  เอ็งนี่  สอนมาหลายทีแล้วไม่ใช่รึ?  ค่อยใส่ทีละน้อย ๔-๕ ครั้งไปจนหมดนี่แหละ แล้วหลังจากนั้นค่อยเอากลีบดอกไม้สดที่เตรียมมาอบทิ้งไว้ทั้งคืน” 





“นม  แก้วเพิ่งทำแป้งร่ำกับน้ำดอกไม้สดนี่กับนมครั้งแรกไม่ใช่หรือครับ?”  เด็กหนุ่มว่า

“เอ่อ  ข้าคงสับสนเองนั่นล่ะ  ทีนี้ก็เสร็จของส่วนนี้แล้ววันพรุ่งค่อยมาทำต่อ” ว่าแล้วพลางลุกหนีออกไปพร้อมแสน

“ครับ”  แก้วตารับคำพลางเก็บของให้เป็นระเบียบเรียบร้อย  ด้วยไม่อยากให้นมหรือแม่ต้องมาเก็บตามหลังให้เหนื่อย  ช่วงสายเกือบจะเพลแก้วตาจึงไปรับมารดากลับจากตลาดและแวะซื้อของทำขนมเพิ่ม  วันนี้มารดาของเขาอารมณ์ดีนักเมื่อขนมขายดีจนต้องคิดเพิ่มจำนวนในวันพรุ่งนี้




กลิ่นดอกพิกุลลอยมาตามลม  ร่างเล็กเดินอ้อยอิ่งคิดย้อนกลับไปยังเมื่อคืนอีกครั้ง  เขาฝันถึงใครบางคนที่ไม่รู้จักแต่กลับคุ้นเคยพยายามนึกว่าเป็นใครอย่างไรก็นึกไม่ออก  ในความฝันเขารู้สึกเหมือนโมโหใครคนนั้นนักหนา  ไม่นานจึงเปลี่ยนเป็นความคิดถึงและดูเหมือนว่าตัวเองก็กำลังถูกคิดถึงเช่นกัน  ในฝันนั้นอบอวลไปด้วยความรู้สึกอ่อนละมุน...

ลมแรงพัดปลายยอดไม้ไหวเอน  เส้นผมละใบหน้าจนต้องเกลี่ยออก  พอรู้ตัวอีกทีแก้วตาก็เดินมาถึงหน้าเรือนเยื้องกับซุ้มไม้ขาวซึ่งวันนี้นมแย้มนำดอกลำเจียก  ดอกพิกุลวางบนผ้าถักสีขาวใส่พานเล็กส่งกลิ่นหอมอ่อนๆมาวางไว้  พลันหางตาก็เห็นเหมือนเงาอะไรบางอย่างแล่นผ่านพอหันไปมองก็มีเพียงความว่างเปล่า  แก้วตาตัดสินใจเดินตาม  คล้ายมีบางสิ่งอยู่ด้านหลังต้นดอกโศก  มือเล็กยกยื่นแตะใบดอกโศกนั้น  ก้าวเท้าเชื่องช้า

“!”  แรงจับที่ไหล่ทำเอาแก้วตาสะดุ้งโหยงจนตัวแทบลอยหัวใจแทบหยุดเต้นเพราะตกใจ  หันมาด้านหลังคาดโทษเจ้าของมือและแรงตบนั้นอย่างเอาเรื่อง  “ฤดี!”

“ใช่น่ะซิ  แล้วเธอคิดว่าใคร?  เราเรียกอยู่ตั้งนานไม่เห็นออกมาเสียทีจนแม่เธอบอกว่าอยู่ในสวนข้างเรือน  เดินมาจนถึงนี่...”  หญิงสาวว่าพลางหันไปมองรอบด้วยสายตาแปลกๆ  “...เรือนนี้ดูน่ากลัวพิลึก”

“น่ากลัว?”

“ก็ใช่น่ะซิ  เรือนรึก็ใหญ่โตแต่มีกันอยู่แค่ ๔ คน  เธอไม่กลัวบ้างหรือไง  มันดูเงียบชอบกล”

“...ก็มีบ้าง”  จะบอกได้อย่างไรว่า กลัว  อาศัยเขาอยู่ถ้ากลัวแล้วจะไปมุดหัวอยู่ที่ไหน

“ไปนั่งตรงซุ้มด้านหน้าเถอะ  พี่ชายก็มาด้วย”  เพื่อนสาวชวน  ทั้งสองมาถึงซุ้มไม้ขาวที่ตอนนี้มีขนมใส่จานโดยฝีมือมารดาเขา ๒-๓ อย่างพร้อมน้ำมะตูมอีกเหยือกใหญ่  ชายลุกขึ้นยิ้มรับน้องสาวและเพื่อนก่อนหยิบขนมแบ่งใส่จานเล็กยื่นให้ทั้งสองคน

“คุณน้าเพ็ญทำขนมอร่อยมาก”

“ถ้าพี่ชายชอบ  ผมจะบอกให้แม่จัดใส่กระเช้าเล็กไปฝากคุณลุงคุณป้าด้วย”

“ขอบใจนะครับน้องแก้ว  เห็นทีพี่คงต้องแวะมาชิมขนมบ่อยๆเสียแล้วกระมัง”  คำพูดของชายทำให้แก้วตายิ้มแหย  หากฤดีกลับยิ้มกว้างชอบใจพลางว่าจะมาเป็นเพื่อนพี่ชายทุกเมื่อที่ต้องการเลยทีเดียว

“ภาพที่เอาไปถูกใจลูกค้าบ้างหรือเปล่าครับ?”

“อืม  พี่จะบอกแก้วอยู่พอดีเชียวว่าภาพพวกนั้นขายดีมาก  เห็นทีแก้วคงต้องวาดเพิ่มมากหน่อยล่ะ  ลูกค้าบอกว่าภาพของแก้วนั้นสื่ออารมณ์ได้ชัดเจนเสียจนอดจะมองซ้ำไม่ได้”

“ดีจังเลยนะแก้ว  คราวนี้ก็จะได้มีเงินมากขึ้นเพื่อเอาไปจ่ายค่ายาน้าเพ็ญแล้ว”  แก้วตายิ้มรับ

“ยังมีเหลือบนห้องอีก  ๒-๓ ภาพ  พี่ชายจะเอาไปเลยไหมครับ?”

“ก็ดีครับ”  แก้วตาลุกขึ้นยืนเพื่อจะไปนำภาพที่ว่ามาให้พี่ชายเพื่อน  หากเพียงก้าวลงจากซุ้มไม้ร่างเล็กก็พลันเซวูบลงจนชายถลามารับไว้อย่างตกใจ  มือแกร่งตระกองกอดไหล่เล็ก  แก้วตาอิงร่างซบอกกว้าง

“แก้วตา!”  ฤดีวิ่งมาดูเพื่อน  ใบหน้าซีดขาวของแก้วตาทำเธอตกใจล้นเหลือ

“แก้วครับ!”  ชายแตะมือลงแก้มเนียนเย็นชืดนั้น  เปลือกตาบางกระพริบพยายามลืมมอง  แล้วจู่ๆลมแรงก็พัดโหมขึ้น  ทั้งเศษใบไม้  ทั้งดอกสดร่วงหล่นตามแรงลม  ลมนั้นแรงจนต้องหลับตาเพื่อไม่ให้ฝุ่นผงเข้า   ชายยกแขนขึ้นป้อง  ก้มลงมองคนในอ้อมแขนอย่างเป็นห่วงแล้วจู่ๆก็เหมือนมีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นผลักร่างเขาจนหงายหลัง

“เฮ้ย!”

“ว้าย!”  ทั้งฤดีทั้งชายล้มไม่เป็นท่าพร้อมกับลมแรงนั้นหยุดนิ่งเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น  ชายก้มลงมองแขนว่างเปล่าของตัวเองก่อนเงยขึ้นมองปลายเท้าของร่างสูงที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่

“แสน?”  ชายหนุ่มร่างสูงอุ้มแก้วตาไว้ในอ้อมแขน  สายตาเย็นชาเหลือบมองเขาอย่างไม่พอใจ

“คุณแก้วเธอไม่สบาย  กระผมจะพาเธอขึ้นห้องไปพักผ่อน  ส่วนเรื่องภาพเอาไว้วันหลังนะขอรับ”

“เดี๋ยว!”  ชายลุกขึ้นยืน  เป็นห่วงเด็กหนุ่มในอ้อมแขนคนตรงหน้า  “ฉันจะขึ้นไปดูด้วย”

“ไม่ต้อง!”  แสนตวาดก้อง  ชายเลิกคิ้วอย่างไม่พอใจ

“ทำไม?”

“เรือนขาวไม่ให้คนแปลกหน้าขึ้นไป”  แสนเอ่ยห้วน

“แต่เขาไม่สบาย  และผมอยากแน่ใจว่าเขาจะได้พักผ่อนจริงหรือจะพาไปโรงพยาบาลก็ได้”  ชายกล่าว    ทุกครั้งที่มาเรือนนี้แสนทำเหมือนไม่ชอบหน้าเขา  ไม่พอใจและหวงแก้วตาออกนอกหน้านอกตาชัดเจนจนตะกอนความไม่พอใจถูกกวนให้ลอยคลุ้งขึ้นมาเสียทุกครั้ง  อย่างในวันนี้ก็เช่นกัน  เห็นอยู่ว่าแก้วตานั้นไม่สบายและเขาเป็นห่วงมากหากแต่แสนกลับทำแบบนี้

“ใช่ค่ะ  เราเป็นห่วงแก้วจริงๆนะคะ”  ฤดีเอ่ยขึ้นบ้าง 

“นมแย้มและน้าเพ็ญจะดูแลคุณแก้วเอง  เชิญพวกคุณทั้งสองกลับไปก่อนเถอะ”  ว่าแล้วแสนก็อุ้มแก้วตาหันเดินออกไปไม่รอคำตอบรับจากทั้งสองคน

ในที่สุดทั้งชายและฤดีก็ต้องจำยอมกลับออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก  ฤดีนั้นคอยเหลียวกลับไปมองบ่อยครั้งและชายเองก็นั่งนิ่งขณะเสียบกุญแจรถด้วยความไม่สบายใจ

“แสนทำเหมือนไม่อยากให้เราสองคนมาที่เรือนหลังนี้”

“ไม่รู้ซิคะ  ฤดีเจอแสนแค่ไม่กี่ครั้งเอง”

“เขาเป็นญาติฝ่ายไหนของแก้วอย่างนั้นหรือ?”  ชายถามน้องสาว

“เท่าที่รู้แก้วและน้าเพ็ญไม่มีญาติที่ไหนนะคะ  เพราะพ่อของแก้วเป็นพ่อค้าชาว  อะไรนะ...อืม  ต่างชาติน่ะค่ะเสียไปแล้วก็อยู่สองคนแม่-ลูกมาตลอด”

“แล้วเรือนหลังนี้ล่ะ  พวกเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

“เห็นแก้วบอกว่า จู่ๆแสนก็เอาโฉนดมาให้  บอกว่าเรือนหลังนี้เป็นของแก้ว”

“แก้วก็เชื่ออย่างนั้นรึ?”

“พอดีว่าช่วงนั้นบ้านที่เช่าอยู่โดนเจ้าของเขาไล่ประจวบกับน้าเพ็ญต้องเข้าโรงพยาบาลน่ะค่ะเลยต้องจำยอมมาอยู่ที่นี่ก่อน  มีอะไรหรือคะพี่ชาย?”

“พี่รู้สึกไม่ไว้ใจนายแสนนั่นเลย”

“แต่แก้วกับน้าเพ็ญก็อยู่มาได้สักพักหนึ่งแล้วนะคะ  ไม่เห็นมีอะไรเลย”

 “เมื่อครู่ตอนแก้วเป็นลม  จู่ๆลมแรงก็พัดมา...”

“นั่นซิค่ะ  น่ากลัวจังเลย”

“พี่เห็นใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งตอนที่พยายามลืมตามองฝ่าฝุ่นพวกนั้น”

“แสนหรือคะ!” 

“ไม่ใช่นายแสน  แต่เป็นคนที่พี่เคยเห็นบนระเบียงห้องของแก้วเมื่อคราวมาเรือนนี้ครั้งแรก”

“แต่แก้วบอกว่าไม่มีคนอื่นนอกจากแสนกับนมแย้ม”  ฤดียกมือทาบอก  ใบหน้าสวยเริ่มวิตกกังวลกับคำกล่าวของพี่ชาย

“พี่ตกใจมากเพราะหน้าของเขาจ่อชิดติดกับหน้าพี่  สายตาเขาไม่พอใจและดูโกรธมากพอพี่หลับตาแล้วลืมขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่เห็นเขาแล้ว”

“ตายจริง!”

“พี่ถึงถามไงล่ะมีคนอื่นอยู่ที่นั่นอีกไหม  แต่พี่คิดว่า...”

“คิดว่าอะไรหรือคะ?”

“พี่ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคน...”

“อะไรนะ!”

“ถ้าพี่เห็นเขา  ฤดีเองก็น่าจะเห็นไม่ใช่หรือ?  พี่เห็นเขามาสองครั้งแล้วแต่ทุกครั้งจะไม่มีใครรู้หรือเห็นว่าเขาอยู่ตรงนั้นเลย”

“พี่ชายจะบอกว่าเขาเป็น  ผะ  ผีหรือคะ”  เด็กสาวลูบแขนตัวเองเมื่อจู่ๆก็รู้สึกหนาวขึ้นมา

“พี่คิดว่าน่าจะอย่างนั้น”

“แล้วแก้วกับน้าเพ็ญ..”

“เขาอาจจะเป็นผีบ้านผีเรือน  หรือเจ้าของเก่าก็ได้และอีกอย่างเขาคงไม่ได้มาร้ายอะไร”  ชายบอกน้องสาวตามความรู้สึก  เพราะหากสิ่งที่เขาเห็นเป็น ผี อาจจะเป็นเจ้าของเรือนคนเก่าที่ยังไม่ไปเกิดก็ได้และท่าทางเศร้าสร้อยแบบนั้นคงไม่ใช่วิญญาณร้าย  “เอาอย่างนี้แล้วกัน  เดี๋ยวชวนแก้วทำบุญสักหน่อยดีกว่าไหม หรือจะนิมนต์พระมาก็ได้จะได้อุทิศส่วนกุศลให้กับเขา”  ชายเสนอและฤดีก็เห็นดีด้วย   

ทั้งสองไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกตนนั้นเข้าใจถูกเพียงแค่ครึ่งส่วนจากทั้งหมด  สิ่งที่ชายเห็นคือเจ้าของเรือนขาวจริงแท้  หากไม่ใช่ผีบ้านผีเรือน  และสิ่งที่เขาต้องการคือถ้อยคำสัญญาจากอดีตระหว่างคนที่รักหาใช่ส่วนบุญส่วนกุศลจากใครที่ไหนไม่  และตอนนี้เขารู้สึกเป็นกังวลกับอาการของแก้วตาไม่ต่างกัน




“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”  เสียงทุ้มเอ่ยถาม  เค้าความกังวลเจือมากับกระแสเสียงน่าฟังนั้น

“คงจะพักผ่อนไม่เพียงพอกระมังขอรับ  ช่วงนี้เห็นเธอเร่งวาดรูปเพิ่มเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นนำไปขายขอรับ”

“ถึงขนาดอ่อนเพลียแบบนี้เชียวรึ?”  เขาไม่พอใจที่ร่างตรงหน้าได้รับการดูแลไม่ดีพอ  แสนก้มหน้าไม่เอ่ยสิ่งใด  คุณพระนายหนุ่มเหลือบสายตามามองก่อนหันกลับไปยังดวงหน้าซีดเซียวของแก้วตาอีกครั้ง  ฝ่ามือแกร่งแตะแผ่ว  อีกข้างกุมมือเล็กเอาไว้ไม่ปล่อย  “อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก  ไปบอกให้นมแย้มกับแม่เพ็ญขึ้นมาดูเถอะ  เตรียมข้าวต้มปลาไว้ให้เขาด้วย”  สิ่งใดที่แก้วตาชอบทานหรือไม่ชอบ  ต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ยังจำได้ไม่เคยลืมสักอย่างเดียว

เพ็ญจันทร์ดูจะตกใจมากเมื่อแสนลงไปบอกว่าบุตรชายไม่สบาย  เธอทำข้าวต้มปลาของโปรดเวลาที่แก้วตาไม่สบายขึ้นไปให้  พร้อมนมแย้มซึ่งนำน้ำอุ่นลอยดอกมะลิหอมกรุ่นขึ้นไปเช็ดตัว  แก้วตาตื่นมากินเพียงไม่กี่คำก่อนจะหลับไปอีกครั้ง

ในความฝัน...แก้วตารู้สึกไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเมื่อมีความอบอุ่นบางอย่างห้อมล้อมเขาเอาไว้  ทั้งรอยยิ้มของใครบางคนและเสียงหัวเราะเบาๆอย่างมีความสุขนั้น  ทำให้เขาอยากจะฟังมันซ้ำแล้วซ้ำอีก  ถึงจะไม่เห็นใบหน้าเจ้าของเสียงหัวเราะก็ตาม  แค่นั้น   แก้วตาก็รู้สึกอยากจะหัวเราะตามและไม่อยากให้มันหายไป

สถานที่คุ้นเคย  อ้อมกอดคุ้นชิน  ลางเลือนไม่ปะติดปะต่อหากแก้วตาไม่ได้เร่งรัดให้ตัวเองจำได้  เขาแต่เพียงคิดว่า  ไม่เป็นไร...เพราะความสุขใจนั้นไม่ได้หายไปไหน  หนำซ้ำยังรู้สึกได้ว่ามันกำลังเพิ่มขึ้นทุกทีๆ

รอบตัวเขาไม่ได้ว่างเปล่า  ในความฝันเขารู้สึกได้ถึงความรักอันท่วมท้น  และเมื่อตื่นขึ้นมาคราใด..น้ำตาของเขาก็ยังคงเปียกหมอนอยู่บ่อยครั้ง  เพราะรับรู้ได้ถึงความโหยหาที่มีต่อตัวเขาจนต้องกลั่นเป็นน้ำตา...


จะมีใครที่ได้รับความรักมากมายเช่นเขาอีกไหม?









โปรดติดตามกาลต่อไป




พุดคุย--

หลังจากนี้คงมีเวลาได้มาลงบ่อยขึ้นนะคะ^^
หายไปนานเลย  ช่างกล้ามาก  - - //

ออฟไลน์ ๐DeAchieS๐

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0


มันเป็นเรื่องที่น่าติดตามมากครับ


แต่เสียดายยยยยย

หายไปนานมว้ากกกกกกกกกกก

 :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
อสงไขย  กาลที่๕.๒




ร่างสูงโปร่งเดินขึ้นเรือนเชื่องช้าคล้ายคนหมดแรงไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กหนุ่มที่เดินตามหลังมาด้วยกันอย่างแสน   

“ไอ้แสน!”  เสียงแหบสูงวัยเอ่ยเรียกรั้งเด็กหนุ่มให้หยุดชะงักหันมามอง  “เป็นกระไรของเอ็ง?”  ท่าทางเซื่องซึมไม่ผิดคนเป็นนายทำให้นมแย้มอดถามไม่ได้  พลางสายตาก็เลื่อนจับแผ่นหลังกว้างของคนที่ตนเลี้ยงมากับมืออย่างคุณพระนายซึ่งเดินพ้นหัวบันไดเรือนไปแล้ว

“นม?”

“เออ  ข้าน่ะซิเอ็งคิดว่าใคร?”  นมแย้มส่งค้อนให้ราวกับสาวน้อยแล้วลากแขนแสนออกไปด้วยกัน  “มีเรื่องอะไรรึ  เหตุใดคุณใหญ่ถึงได้คางช้ำมาแบบนั้น”  แสนเงยหน้าขึ้นมองคนที่เป็นเหมือนแม่ด้วยตาแดงๆ
“นมจำเรื่องที่กระผมเล่าให้ฟังได้ไหมขอรับ  เรื่องนางรำฉุยฉายคนนั้นที่คุณใหญ่ท่านปักใจนักหนา”  นมแย้มพยักหน้ารับ  ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมารอให้เด็กหนุ่มพูดต่อ  “ตอนแรกที่คุณใหญ่ซึมๆไปเพราะตามหาอย่างไรก็ไม่เจอ  แต่เมื่อเช้าตอนไปทำงาน  คุณใหญ่ท่านวิ่งลงจากรถตามหาใครสักคน  กระผมก็ไม่ทันรู้หรอกตอนนั้นแต่เมื่อเย็นท่านชวนให้ออกไปด้วยกันหลังกลับมาเปลี่ยนผ้าที่เรือน...”

“แล้วอย่างไร?”
“ท่านพาไปตามหาแม่หญิง  นางรำฉุยฉายคนนั้นขอรับ”  แสนสะดุดคำว่า  แม่หญิง  จนเกือบพูดไม่ออก

“แล้วเจอหรือไม่?”  นมแย้มทำท่าลุ้น  หากแสนเห็นกลับทำหน้าเบ้คล้ายจะร้องไห้

“เจอขอรับ”  แสนพยักหน้า  สีหน้าเหยเกจนนมแย้มขมวดคิ้ว

“อ้าว  ก็ดีแล้วนี่  ทำไมเอ็งทำหน้าอย่างนั้น?”

“ทั้งๆที่เจอตัวแล้วแท้ๆ  เธอน่ะงามเหมือนตอนรำฉุยฉายไม่มีผิด  น่ารัก  ผิวขาวตัวเล็ก  แต่...”

“แต่?”

“เฮ้อ~”

“บ๊ะ!  เอ็งจะอมพะนำท่ามากทำไมไอ้แสน!”  นมแย้มที่ลุ้นตัวโก่งอารมณ์เสียพลางยกเท้าเตรียมเมื่อแสนทำท่าทางจะเป็นจะตาย

“เธอ  แม่หญิงฉุยฉาย  เธอไม่ใช่แม่หญิงขอรับ”

“ไม่ใช่แม่หญิง?”

“ขอรับ  เธอเป็นผู้ชาย”

“อะไรนะ!  โอ๊ย  อกข้าจะแตก!”  นมแย้มอุทานยกมือทาบอก  แสนเองที่ตอนนี้ไม่รู้จะปั้นสีหน้าอย่างไรยิ้มแหย  จะหัวเราะรึก็ทำไม่ได้  จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก  สงสารแต่คุณพระนายของเขานั่นแหละ

“แล้วเหตุใดคุณใหญ่เธอถึงมีรอยช้ำที่คางได้”  นมแย้มชี้ๆแถวคางพลางถาม

“ก็คุณใหญ่น่ะซิ  เธอสงสัยเลยพิสูจน์ว่าแม่หญิงฉุยฉายเป็นหญิงจริงหรือไม่”

“พิสูจน์อย่างไรกันถึงได้เป็นอย่างนี้”

“ก็  คุณใหญ่ท่านเล่นทาบมือกับหน้าอกเขาน่ะซี”

“ว้าย  ตาเถร!”  นมแย้มตกใจคำรบสอง  จะหัวเราะที่ไปทำแบบนั้นกับผู้ชายก็หัวเราะไม่ออกเหมือนแสน  นึกอยู่ว่าถ้าเป็นแม่หญิงจริง  คุณพระนายคงได้ไปสู่ขอเขาเป็นแน่ 

“ไม่ตาเถรล่ะนม  คุณใหญ่ท่านเล่นทำแบบนั้นฝ่ายนั้นเลยตกใจต่อยคางเข้าให้น่ะซิขอรับ”  คราวนี้นมแย้มไม่อุทานแล้ว  หากแต่นิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน  ตั้งแต่เล็กจนโตที่เลี้ยงคุณพระนายมาเธอไม่เคยเห็นคุณพระนายของเธอมีเรื่องตีต่อยกับใครเขาสักที  ถึงแม้ว่าจะเรียนหมัดมวยตั้งแต่เล็กก็เถอะ  นี่ถึงขนาดโดนต่อยมาได้ตอนนั้นคงตกใจมากขนาดมีช่องว่างจนเจ็บตัวมาแบบนี้

ทั้งนมแย้มทั้งแสนต่างพร้อมใจกันมองขึ้นไปทางห้องของคุณพระนายแล้วถอนหายใจโดยไม่ได้นัดหมาย  ก่อนนมแย้มจะให้แสนนำลูกประคบสมุนไพรขึ้นไปบนเรือนเพื่อประคบคางคนเจ็บ

“คุณใหญ่ขอรับ”  แสนทิ้งตัวลงนั่งข้างเก้าอี้ทำงาน    เงยหน้าขึ้นมองรอยช้ำบริเวณคางก็ถอนหายใจ  หากคนเจ็บกลับนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน  ความเป็นห่วงเลยพุ่งขึ้นจนเด็กหนุ่มต้องยกมือไหว้ขอโทษคุณพระนายแล้วยืดตัวขึ้นแตะลูกประคบลงบนคางช้ำนั่น

“ไม่ต้องหรอกแสน”

“แต่นมแย้มให้เอามาประคบนะขอรับ  แค่นี้ยังช้ำวันพรุ่งคงจะเจ็บมากแน่ๆ”

“...ฉันประคบเอง”  มือใหญ่รับลูกประคบมาจากเด็กหนุ่มแล้วแตะนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น  แสนส่ายหน้าพลางคิดว่า  อีกเดี๋ยวจะลงไปต้มน้ำใบบัวบกให้คุณพระนายดื่มแก้ช้ำในเสียหน่อย 

แต่ไม่รู้ว่าจะแก้ช้ำในสิ่งไหนระหว่างคางกับหัวใจ  แสนคิดพลางยิ้มน้อยๆด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับสถานการณ์ตอนนี้  อกหักซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากคนคนเดียวกัน  เห็นทีคุณพระนายของเขาคงต้องตัดใจเสียแล้วเพราะแม่หญิงฉุยฉายที่คุณพระนายหลงรักคนนั้นไม่ใช่ผู้หญิง  หรือแม้เธอจะเป็นผู้หญิงจริงก็เป็นไปได้ยาก  เรื่องครองคู่นี่ยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้เสียอีก

“น้ำใบบัวบกเจ้าค่ะ”  นมแย้มชิงตัดหน้าแสนไปเสียแล้วเมื่อแก้วทรงสูงบรรจุน้ำสีเขียวสดของใบบัวบกถูกยกเข้ามาวางให้คุณพระนาย

“นม...”  ชายหนุ่มมองแก้วน้ำนิ่งก่อนจะเงยหน้ามองนมแย้มแล้วครางเสียงอ่อย

“แก้ช้ำในดีนักเชียวนะเจ้าคะ”

“แค่โดนชกคงไม่ต้องกินน้ำใบบัวบกกระมัง”  ชายหนุ่มว่า

“แค่คางเท่านั้นหรือเจ้าคะที่ช้ำ  หัวใจดวงน้อยๆของคุณพระนายของนมล่ะเจ้าคะช้ำหรือไม่?”นมแย้มยิ้มอ่อนพลางเดินเข้ามาใกล้แล้วลูบแก้มสากของชายหนุ่มตรงหน้าซึ่งเธอรักเหมือนลูกเบาๆปลอบใจ

“ช้ำหนักเหลือเกินจ้ะนม”  ร่างสูงวาดแขนกอดเอวหนาของคนสูงวัยแล้วซบหน้าลงกับอกที่ยังคงอบอุ่นเหมือนเช่นที่เขาเคยซบเมื่อครั้งยังเล็ก

“หืม  ถึงเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ  แค่เห็นหน้าไม่กี่คราน่ะนะ?”

“โธ่  นมจ๋า  หัวใจของฉันน่ะโดนขโมยไปเสียตั้งแต่วันแรกที่สบตาคู่นั้นแล้ว”
“แต่เพราะเธอไม่ใช่ผู้หญิงคุณใหญ่ของนมเลยช้ำใจ?”  ชายหนุ่มถอนหายใจผละออกจากอกอุ่นแล้วนั่งนิ่ง  “ไม่กี่เพลาแผลช้ำในคงจะดีขึ้น  คุณใหญ่ของนมเก่งอยู่แล้ว”  หลังจากนมแย้มจัดการปลอบใจคุณพระนายจบก็ลากแสนลงไปเรือนเล็กให้เตรียมน้ำเตรียมท่าให้คุณพระนายอาบเผื่อจะรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นบ้าง



จันทร์คืนแรมส่องแสงอันน้อยนิดให้ดวงดาวพากันแข่งความสว่าง  ดวงตาเศร้าของคุณพระนายหนุ่มยังคงจับจ้องไปยังความมืดมิดนั้น  หัวใจของเขายิ่งกว่าเหี่ยวเฉาเมื่อนึกถึงใบหน้ายามโมโหโกรธาของคนฝากรอยช้ำบนคางเขาก็ยิ่งหม่นเศร้า

“ฉันไม่ใช่แม่หญิงฉุยฉาย!”

“อ้าว?” แสนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาส่งเสียงแปลกใจเมื่อคนน่ารักเอ่ยปฏิเสธคำเรียกนั้น  เขาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงโกรธนักหนาเพียงแค่เอ่ยเรียกว่าแม่หญิง

“จะเรียกกระไรก็ช่าง  แต่มาเรียกแม่หญิงอย่างนี้มาต่อยกันเลยดีกว่า!”  แม่หญิงฉุยฉายของเขาทำท่าจะเข้ามาต่อยจริงๆ  มือเล็กถลกแขนเสื้อขึ้นเตรียมพร้อมหากแสนกลับรั้งไหล่เขามาบังพลางตอบโต้คนตัวเล็กต่อไป 


“กระผมเป็นผู้ชายจะไปต่อยกับแม่หญิงฉุยฉายได้อย่างไร” 

“หนอย~  ถ้าอย่างนั้นข้าจะเตะเอ็งก่อนก็แล้วกัน!” 

“เดี๋ยวๆ”  เขาทำใจกล้าเอ่ยขัด  ดูเหมือนจะโกรธจริงๆเสียด้วย  แต่มันเพราะเรื่องอะไรกันล่ะ  “เหตุใดจึงไม่ให้เรียก  แม่หญิง เล่า?”  กลั้นใจถามออกไป 


“ก็ฉันไม่ใช่แม่หญิง!”

“แล้ว...”  เขารู้สึกว่าน้ำลายในลำคอมันช่างหนืดนักเมื่อไล่สายตาไปตามโครงร่างของคนตรงหน้า  หัวใจเต้นระส่ำด้วยไม่อยากจะนึกถึงเหตุผลที่แม่หญิงฉุยฉายไม่ต้องการให้เรียกว่า  แม่หญิง...  และไม่ทันรู้ตัวเมื่อมือของเขานั้นไวเท่าความคิด

“!”  ดวงตาของเขาเบิกกว้างเช่นเดียวกับเจ้าของแผ่นอกราบเรียบใต้ฝ่ามือ  และไม่ทันตั้งตัว  หมัดเล็กๆนั่นก็ต่อยเข้าที่คางให้ล้มคะมำหน้าคว่ำแม้แต่แสนก็รั้งตัวเขาไว้ไม่ทัน

“คุณพระนาย!”  แสนถลามาคว้าศอกแล้วรั้งแขนเขาขึ้นอย่างตกใจ  เขาที่ตั้งตัวตั้งสติไม่ทันเบิกตาค้างจ้องใบหน้าน่ารักซึ่งบัดนี้จ้องตรงมายังเขา  แล้วมือเล็กก็คว้าคอเสื้อเขาเอาไว้


“เดี๋ยวแก้ว  ลูก!” /  “เดี๋ยวๆ  ขอรับ!”  แสนรีบเข้ามาขวางดึงเขามาอยู่ด้านหลังพลางยกมือห้ามไม่ให้คนตัวเล็กลงมือลงไม้อีก

“จำไว้  อย่ามาเรียกฉันว่าแม่หญิงอีก  ไม่เช่นนั้นจะชกให้ลุกไม่ขึ้นเลยเชียว!”  เสียงหวานตวาดย้ำ  จนเมื่อแสนลากเขาจากมาเขาก็ยังคงตกใจไม่หายกับสิ่งที่ได้รับรู้  ...จากการพิสูจน์ของตัวเอง


ตลอดทางกลับเรือนแสนไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมานอกจากเหลือบมองใบหน้าซีดขาวของคนเป็นนายด้วยความสงสาร  ท่าทางดีใจและรอยยิ้มกว้างยามเมื่อเห็นคนที่ตามหาอยู่ตรงหน้าถูกทำลายจนหมดสิ้น

แขนแกร่งยกก่ายหน้าผาก  ดวงตาคมยังไม่สามารถปิดลงเพราะหัวใจยังว้าวุ่นไม่หยุดนิ่ง  มืออีกข้างยกแตะคางก็ให้นิ่วหน้า  ดูเหมือนจะเจ็บมากขึ้นกว่าเดิม  เขาผุดลุกขึ้นนั่งถอนหายใจแล้วเลยลุกไปหยุดยืนริมหน้าต่าง  พระจันทร์ลับขอบฟ้าไปนานแล้วหากชายหนุ่มก็ไม่สามารถบังคับความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้เลยเมื่อมันยังคงเอาแต่คิดถึงเจ้าของหมัดหนักๆนั่น

“แก้วตา...”  ชื่อนั้นน่าจะเป็นผู้หญิงเสียมากกว่า   ดวงหน้าแฉล้มหวานล้ำเสียจนฝังลึกตรึงในความทรงจำ ทำอย่างไรจึงจะดึงมันให้หลุดออกหนอ  หัวใจของคุณพระนายหนุ่มกลัดกลุ้มเสียจนบางช่วงลืมคิดไปว่าไม่ควรจะมามัวนั่งกลุ้มใจเช่นนี้เมื่อคนคนนั้นเป็นชายหาใช่แม่หญิงไม่

อกอะไรจะเหมือนอกที่รกรัก      อกจะหักเสียด้วยใจอาลัยหา
ไม่เห็นพักตร์รักดิ้นในวิญญาณ์      จะเป็นบ้าเสียเพราะรักสลักพราง 
[/i]







เป็นเวลาหลายวันกว่าคุณพระนายจะทำให้ในหัวของเขาปลอดโปร่งแล้วกลับมาทำงานได้อย่างปรกติเช่นเคย  วันนี้ความรู้สึกทุกข์และเจ็บยอกในอกเบาบางลงบ้างหลังจากได้น้ำใบบัวบกของนมแย้มช่วยอยู่หลายเพลา
หากแต่เหมือนฟ้าแกล้งให้คุณพระนายหนุ่มต้องอกกลัดหนองซ้ำเมื่อเข้าในเขตวังหลวงแล้วพบคนที่อยากหลีกหนีให้ไกลสุดฟ้าคนนั้นอยู่ด้านหลังของผู้อาวุโสตรงหน้า  จะเดินหนีก็ไม่ได้เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่หากไม่ทักทายคงเป็นการกระทำอันไม่เหมาะไม่งาม

“สวัสดีขอรับคุณหลวง”  ชายหนุ่มยกมือไหว้สวยงามเมื่อหลวงเสนาะดุริยางค์เดินเข้ามาใกล้

“ไหว้พระเถอะพ่อ  เป็นอย่างไรบ้างคุณพระนาย  สบายดีหรือไม่?”  คุณหลวงทักชายหนุ่มรุ่นลูกพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนด้วยความเอ็นดู  เขาก็เหมือนกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนที่ชื่นชมคนตรงหน้านี้  เพราะฝีมืองานดีและนิสัยใจคอนั้นก็งดงามตามหน้าตาทุกคนจึงพากันอยากได้ตัว

หลวงเสนาะมัวแต่คุยมิได้รับรู้ว่าเด็กหนุ่มด้านหลัง  ที่ได้ยินบทสนทนาและเสียงทุ้มคุ้นหูจากที่ก้มหน้าก้มตาอยู่จึงเงยขึ้นมอง  แล้วดวงตาเรียวจึงเบิกกว้างอย่างตกใจ  ร่างสูงสง่าในชุดสวมเสื้อราชปะแตนและนุ่งผ้าม่วงเช่นเดียวกับหลวงเสนาะทำให้เขาตกใจจนมันร่วงไปอยู่ตาตุ่ม

“แย่แล้วดันไปชกกับพ่อขุนนางเข้ารึนี่”  แก้วตาพึมพำพลางก้มหน้าหนีหวังเพียงว่าร่างสูงจะจำเขาไม่ได้   หากดวงตาคู่สวยคู่นั้นกลับจ้องหน้าเขาไม่กระพริบ

“กระไรของเอ็งเจ้าแก้ว?”  ร่างเล็กสะดุ้งโหยงเมื่อหลวงเสนาะหันมาถามหลังได้ยินเสียงแว่วจับใจความไม่ได้ของแก้วตา

“ปะ  เปล่าขอรับ”  คุณหลวงส่ายหน้ากับเด็กในปกครองแล้วหันมาคุยกับชายหนุ่มต่อ

“เป็นอย่างไร  ท่านเจ้าคุณสบายดีไหมหมู่นี้ไม่ค่อยได้เจอหน้าสักเท่าไหร่”

“เจ้าคุณพ่อสบายดีขอรับ  วันก่อนเห็นว่าเพิ่งไปไหว้พระที่ทางเหนือกลับมา”  ชายหนุ่มดึงสายตากลับแล้วตอบผู้อาวุโสนอบน้อม

“อย่างนั้นรึ  แล้วเจ้าหมื่นศรีสรรักษ์น้องชายของคุณพระนายล่ะ?”  หลวงเสนาะถามเลยไปยัง พร้อม  ลูกชายคนเล็ก บุตรแท้ๆของเจ้าพระยานฤบดินทร์

“พร้อมเองก็ดูสบายดีขอรับ  เริ่มจะชินกับงานแล้วเหมือนกัน”

“อืม  งั้นรึ   เอ  ลุงมีเรื่องจะคุยด้วย  เราไปคุยกันที่อื่นดีไหม ลุงได้ยินข่าวมาว่าในวังหลวงมีการฉ้อพระราชทรัพย์....”  คุณหลวงกระซิบ  ร่างสูงพยักหน้ารับ  ถึงหน้าที่ของเขาจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงหากแต่เขาเองก็เป็นคนของสมเด็จฯจึงต้องปกป้องและดูแล  ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินตามผู้สูงวัยออกไปหากหางตากลับแต่จะคอยชำเลืองมองคนตัวเล็กด้านหลังอยู่เนืองๆ


ไม่รู้ทำไม  ทั้งๆรู้อยู่เต็มอกว่าคนคนนั้นเป็นชายเช่นเดียวกันกับตนหากแต่ร่างสูงก็ไม่สามารถละสายตาจากดวงหน้าหวานนั้นได้เลย  ริมฝีปากสีสดเม้มเข้าหากันแน่นและดวงตาเรียวที่เบิกกว้างเมื่อรู้ว่าเขาคือใครนั้นช่างน่าเอ็นดูนัก  มันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงเหมือนดั่งวันแรกยามเมื่อได้สบตาคู่นั้น  มือไม้พลันเกะกะจนไม่รู้จะทำอย่างไร  ปากพูดคุยกับหลวงเสนาะหากสมาธิกลับพุ่งไปหาอีกคนอย่างห้ามไม่อยู่  แล้วอย่างนี้มีหรือหัวใจของเขาจะหายชอกช้ำ

ยิ่งได้มาพบมาเจอ  ยิ่งได้อยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ยิ่งทำให้เขาพาลลืมความตั้งใจเมื่อหลายวันก่อนจนหมดว่าจะตัดใจ  ทั้งๆที่เคยคิดมันไม่ใช่เรื่องปรกติ  ไม่ใช่สิ่งถูกต้องกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น  ชายหนุ่มก็ลืมไปสิ้น

“แก้ว  เอ็งจะกลับเรือนซ้อมรำไปก่อนก็ได้นะข้าจะคุยธุระกับคุณพระนายเธอหน่อย”

“แล้วลุงจะให้แก้วไปซ้อมรำกับใครล่ะจ๊ะ  คนที่ร้องเพลงฉุยฉายได้ในตอนนี้นอกจากพระองค์ท่านแล้วก็มีแต่ลุงเท่านั้นนี่นา”  ใบหน้าน่ารักยู่ย่นถามกลับอย่างไม่พอใจ  ชายหนุ่มมองภาพนั้นแล้วยิ้มกว้าง  ดูเหมือนหลวงเสนาะจะเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้าอยู่มากโขถึงยอมให้เรียกว่าลุงเฉยๆหนำซ้ำยังยืนต่อปากต่อคำได้ด้วย

“เอาอย่างนี้แล้วกันขอรับ  วันพรุ่งกระผมจะไปหาคุณหลวงที่เรือนก็แล้วกัน  ห้องหับจะได้มิดชิดกว่านี้หน่อย”  คุณพระนายหนุ่มตัดบทด้วยไม่อยากขัดใจคนตัวเล็กตรงหน้า  แปลกใจตัวเองอยู่ครามครันว่าคงแพ้ทางเจ้าเด็กหมัดหนักเข้าเสียแล้ว

“เอาอย่างนั้นรึคุณพระนาย?”

“ขอรับ”  ชายหนุ่มพยักหน้ารับ  ยิ้มอ่อนจนหลวงเสนาะถอนหายใจแล้วจากไป  แก้วตาพอเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของร่างสูงก็ให้รู้สึกหมั่นไส้จนต้องเชิดคางใส่  แต่อีกฝ่ายก็ยังคงยิ้มอยู่นั่นเอง  เขาเลยถลึงตาขู่แล้ววิ่งตามหลังคุณหลวงออกไปหากก็ยังหูดีได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะแว่วตามหลังมา  เสียงหัวเราะนั้นพาให้ความร้อนแล่นฉีดขึ้นแก้มเนียนจนแดงเรื่อ  โมโหจนนึกอยากจะหันหลังกลับไปต่อยคางได้รูปนั้นให้ช้ำอีกสักรอบ

รอยยิ้มยังคงไม่จางหายไปจากใบหน้าหล่อเหลาของคุณพระนายแม้ตอนเดินกลับไปห้องทำงาน  ทำเอาแสนซึ่งรออยู่หน้าห้องมองแปลกใจ

“มีเรื่องอะไรดีๆหรือขอรับ  คุณใหญ่ถึงยิ้มไม่หุบอย่างนี้”  คำถามของเด็กหนุ่มทำให้ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองแล้วพลันหุบยิ้มเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่สมควรรู้สึกอย่างนั้นกับผู้ชายเหมือนกัน

“ไม่มีอะไร”  แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกินเมื่อในหัวใจของเขาไม่ได้  ไม่มีอะไร  อย่างที่เอ่ยปากบอกกับแสน  วันนั้นทั้งวันคุณพระนายทำงานพร้อมความสุขเล็กๆในหัวใจที่เขารู้ดีถึงสาเหตุ  ยิ่งพยายามสงบจิตใจยิ่งกลับนึกถึงใบหน้านั้นชัดเจนขึ้นทุกที
           .
           .
 บนเรือนใหญ่ของเจ้าพระยานฤบดินทร์  ชายหนุ่มนั่งนิ่งตรงหน้าของบิดา  เขากำลังรอความคิดเห็นจากคนสูงวัยด้วยความสงบ  คนเป็นพ่อมองใบหน้าหมดจดของคนที่ได้ชื่อว่าลูกอย่างภูมิใจ  หากในนั้นยังแฝงความหนักใจเอาไว้ส่วนหนึ่ง

“เรื่องนี้อย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไปหากไม่มีหลักฐานน่ากลัวว่าเจ้าจะโดนเล่นงานก่อน”

“ขอรับคุณพ่อ”  คุณพระนายหนุ่มพยักหน้ารับ

“แล้วนี่จะไปไหนล่ะ  ไม่ชวนแม่โสภีไปเที่ยวตลาดหรือไหว้พระบ้างรึ  เห็นรายนั้นทำท่าน้อยใจว่าเจ้ายุ่งกับงานจนแทบหาตัวไม่เจอ”   

“โสภีเพิ่งไปไหว้พระมากับเจ้าคุณพ่อไม่ใช่หรือขอรับ  อีกอย่างกระผมจะหาคุณหลวงเสนาะเธอก็เรื่องนี้นี่แหละ  และคงให้โสภีตามไปด้วยไม่ได้”  บิดาพยักหน้ารับเข้าใจก่อนจะอนุญาตให้บุตรชายออกไปทำธุระตามที่ตั้งใจเอาไว้

ร่างสูงเดินลงบันไดมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง  ไหนจะเรื่องงานไหนจะเรื่องส่วนตัว  ที่อย่างหลังนั้นแม้เขาอยากจะแก้อย่างไรก็หาทางไม่เจอ  พลันขาแกร่งชะงักหยุดเมื่อร่างสูงโปร่งของน้องชายเดินขึ้นเรือนมา

“มาหาคุณพ่อรึ?”  ไม่มีความรู้สึกใดในน้ำเสียงนั้น  แววตานิ่งเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ของคนตรงหน้ายังคงเหมือนเมื่อนานมาแล้วที่รู้ว่าเขาไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ

“พร้อม...  ใช่  พี่มาหาเจ้าคุณพ่อ”

“เรื่องอะไรล่ะคราวนี้?”  พร้อมหยุดยืนคุยตรงหัวบันไดนั่นเอง

“ก็ทั่วๆไปน่ะ  แล้วนี่ไปไหนมารึ?”  ทั้งๆที่ถามสารทุกข์สุขดิบเช่นคนในครอบครัวหากคำตอบที่ได้กลับมาทำเอาชายหนุ่มสะอึกในอก

“เกี่ยวอะไรด้วย  ฉันจะไปไหนรึไม่ไปหาใช่ธุระไม่  คุณพระนาย”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับหลังจากเรียกสติกลับมาได้  เขาเดินลงเรือนด้วยหัวใจเจ็บปวดที่มากกว่าเดิม  เมื่อครั้งยังเด็กพวกเขาสามพี่น้องยังเล่นด้วยกัน  กินด้วยกันโดยไม่เคยมีช่องว่าง  แต่พอความจริงเปิดเผยทุกอย่างก็หายวับไปกับตา  เขากลายเป็นคนนอก  เป็นคนอื่นสำหรับน้องทั้งสองคนไปเสียแล้ว

“คุณใหญ่  วันนี้จะไปเรือนหลวงเสนาะหรือขอรับ”  แสนถามพลางจัดกระเช้าขนมหวานที่นมแย้มเพิ่งทำเสร็จ

“ใช่  แล้วนี่นมแย้มจัดการให้เรียบร้อยใช่ไหม?”  คุณพระนายถามถึงขนมในมือเด็กหนุ่ม  เมื่อฝ่ายนั้นพยักหน้ารับเขาก็หยิบหมวกขึ้นสวมแล้วเดินนำออกไป



ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3

เรือนของหลวงเสนาะดุริยางค์กว้างขวางนักเพราะรวมเอาเรือนซ้อมรำมาอยู่ในเขตเรือนด้วย  เสียงเครื่องดนตรีดังแว่ว  มีนางรำบางคนที่เดินออกมาเมียงมองเมื่อเห็นรถไม่คุ้นตาจอดหยุดหน้าเรือน  พอรู้ว่าใครมาพวกเธอแทบเก็บอาการเขินอายเอาไว้ไม่อยู่ก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในเรือนซ้อมรำ  พูดคุยเสียงดังให้คนในเรือนชะโงกหน้าออกมาแอบดูคุณพระนายหนุ่มรูปงามแห่งวังหลวง  หวังว่าตนจะเป็นที่ต้องตาฝ่ายนั้นบ้าง    เด็กหนุ่มที่กำลังเก็บมวยผมเบ้หน้าเมื่อพี่สาวข้างกายกำลังทำท่าเคลิ้มฝันเช่นคนอื่นๆ

“แก้ว!  เอ็งดูซิ  คุณพระนายท่านงามนัก”  แรงรั้งแขนให้ต้องลุกตามพลางมองตามสายตานั้นแล้วถอนหายใจ

“แล้วอย่างไรล่ะพี่แก้ว  ฉันเป็นผู้ชายนะ  จะเห็นความงามของคุณพระนายนั่นไปทำไม?”

“เออ  จริงด้วย”  ว่าแล้วหล่อนก็ปล่อยแขนเด็กหนุ่มให้เป็นอิสระ  แก้วตาส่ายหน้าอ่อนใจแล้วกลับมายังหน้ากระจก  เก็บปรอยผมที่ร่วงลงมา  ขยับผ้านุ่งดูว่าแน่นดีแล้วจึงไปหยุดยืนหน้าเหล่าพี่ชายซึ่งเตรียมบรรเลงเครื่องดนตรีให้

“เอ็งไม่รอท่านลุงแล้วรึ?”  พี่ชายสูงวัยกว่าถาม

“ขืนรอฉันคงไม่ได้ซ้อมกันพอดีล่ะพี่  อีกอย่างแม่ก็ยังไม่ค่อยหายดีเห็นทีคงได้รำแทนอีกหลายงานอยู่” แขนขาวเตรียมยกตั้งวง  ขยับแขน-ขา  หากยังไม่ทันเริ่มก็ต้องหยุดเมื่อคนบนเรือนใหญ่วิ่งมาหาเขา

“เจ้าแก้ว  คุณหลวงท่านเรียกหา”

“เรียกหาฉันทำไมหรือพี่?”  คิ้วเรียวขมวดมุ่น

“โอ๊ย  มาเถอะ  เดี๋ยวข้าจะพูดให้ฟัง”  ว่าแล้วก็ลากแขนเล็กออกมาทันที  แก้วตาหันไปทางเพื่อนคนอื่นๆต่างพากันส่ายหน้าให้เขาหากพวกผู้หญิงกลับทำท่าอิจฉาที่เขาได้ขึ้นไปบนเรือนใหญ่  “คุณหลวงท่านให้เอ็งขึ้นไปคอยรับใช้อยู่หน้าห้อง” 

“อ้าว  แล้วพวกพี่ๆที่ทำอยู่ล่ะ”

“โอ๊ย  แม่พวกนั้นน่ะ  พอเห็นหน้าคุณพระนายท่านหน่อยมือไม้ก็สั่น  พากันจับกลุ่มแอบดูบ้างล่ะชะเง้อชะแง้จนคุณหลวงท่านคุยธุระไม่ได้ท่านเลยไล่ตะเพิดลงมาหมด”

“แล้วฉันจะไปช่วยอะไรได้ล่ะพี่?”  เด็กหนุ่มยังสงสัย  “พี่เองก็ทำได้ไม่ใช่รึ?”

“แล้วเอ็งคิดว่านังพวกนั้นมันกลัวข้ารึไง  แต่ถ้าเป็นเอ็ง  แค่ตวาดทีเดียวมันไม่กล้าลงไม้ลงมือกับเอ็งหรอก”  แก้วตาเข้าใจคำพูดของคนตรงหน้าดี  เพราะทุกคนในเรือนรักกันเหมือนครอบครัวและเขาเป็นน้องเล็กสุดในเรือน  อีกทั้งคุณหลวงท่านก็เอ็นดูอยู่มาก  เวลาใครมีเรื่องหรือมีความวุ่นวายในเรือนซ้อมรำจะกลายเป็นเด็กหนุ่มที่คอยจัดการทุกที  ก็ไอ้ความน่ารักและเสียงแปดหลอดนั่นแหละทำให้ใครๆไม่กล้าลงมือ

“ขอโทษทีนะพ่อใหญ่  นังสาวๆพวกนี้มันตื่นเต้นนานๆทีจะเห็นคนงามมาเรือน”
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ  กระผมต่างหากที่ต้องขอโทษที่ทำให้วุ่นวาย”  คุณหลวงโบกมือว่าไม่เป็นไรเช่นกัน
หลวงเสนาะเหลือบมองร่างเล็กที่คลานเข้ามาทั้งในชุดซ้อมรำ  เสื้อขาวโจงกระเบนแดงสดแล้วยิ้มเอ็นดู  บ่าวไพร่สาวๆบนเรือนพอเห็นว่าคุณพระนายหนุ่มรูปงามมาก็พากันทำงานไม่ได้  แล้วยังมาคอยแอบมองเมียงให้รำคาญจนต้องตามเด็กหนุ่มตรงหน้ามาช่วยทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่

“หยุดซ้อมสักประเดี๋ยวคงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหมเจ้าแก้ว?”  คุณหลวงก้มลงถาม

“แต่ถ้าหยุดบ่อยๆฉันรำไม่เป็นไม่คล่อง  ท่านลุงจะขายหน้าข้าราชบริพารคนอื่นๆนะจ๊ะ”  ช่างต่อปากต่อคำเถียงคำไม่ตกฟากจริงๆ  ชายหนุ่มผู้เป็นแขกคิดในใจ   

“บ๊ะ  เอ็งนี่!”  คุณหลวงดุไม่จริงจังนักอีกทั้งยังยิ้มในหน้าเมื่อเด็กหนุ่มยิ้มกว้างประจบ  “ไป  เอาขนมนี่ไปจัดใส่จานมาไป๊”  คุณหลวงยื่นกระเช้าขนมที่คุณพระนายนำมาฝากส่งให้เด็กหนุ่ม

ดวงตาเรียวเหลือบมองคนนั่งตรงข้ามคุณหลวงเพียงครู่เดียวแล้วตวัดสายตาไม่พอใจใส่ให้ชายหนุ่มผู้แอบมองถึงกับหน้าม้านแล้วก้มลงซ่อนดวงตาของตัวเอง

“เด็กมันปากกล้านักพ่อใหญ่อย่าถือสามันเลยนะ”

“ขอรับ”  ลับหลังร่างเล็กคุณพระนายจึงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง  กล่าวธุระที่ตั้งใจมาคุยด้วยความเคร่งเครียด  รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เอาแต่จ้องมองมือเล็กซึ่งกำลังยกจานขนมขึ้นวาง  ไล่สายตาไปตามลำแขนเพรียว  บ่าเล็กตั้งตรง  ลำคอระหง  เส้นผมยาวถูกรวบเก็บเรียบร้อยมีเพียงข้างแก้มเนียนที่เส้นผมสีนิลระล้อมกรอบโอบไว้ให้ชวนพิศ  ริมฝีปากสีเข้ม  จมูกมนรั้นสวย...แล้วต้องสะดุ้งตกใจกับดวงตาคู่เดิม

“ไอ้แก้ว!  เอ็งจ้องกระไรคุณพระนายเธอนักหนา!”  หลวงเสนาะตวาด  เด็กหนุ่มสะดุ้งพลางรู้สึกตัวว่าแสดงอาการมากไป

“กระผมไม่ชอบขอรับ”

“ไม่ชอบกระไรของเอ็ง?”

“ไม่ชอบ  กระผมไม่ชอบหน้าคุณพระนายขอรับ!”

“!”

“ไอ้แก้ว!”  คุณหลวงอุทานลั่นไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะพูดอย่างนั้นออกมา  หันกลับมามองใบหน้าซีดขาวของเด็กหนุ่มรุ่นลูกอีกคนก็แทบอยากจะเตะก้นเด็กในปกครองให้กระเด็นลงเรือนเสียเหลือเกิน

“พ่อใหญ่?”  คุณหลวงร้องเรียกเด็กหนุ่มที่นิ่งค้างจ้องมองแก้วตาเบาๆ

“กระ  กระผมว่า  วะ  วันนี้คงต้องขอตัวกลับก่อน”  น้ำเสียงทุ้มเอ่ยติดขัดเช่นดังลมหายใจของเขา  ในอกข้างซ้ายเหมือนมีมือมาบีบให้หัวใจของเขาเจ็บปวดแทบกระอัก  ใบหน้าเนียนใสนั้นยังคงเชิดขึ้นมองตรงมายังเขาให้ต้องเป็นฝ่ายก้มหลบเสียเอง

“ประเดี๋ยวก่อนเถอะพ่อใหญ่  เจ้าแก้วเอ็งจะไปซ้อมรำก็ไปเสียเถอะไป๊”  หลวงเสนาะไล่  เพราะเห็นทีว่าถ้าเจ้าเด็กไม่รู้กาลเทศะคนนี้อยู่ต่อคงไม่ได้คุยเรื่องงานกันจนได้

คุณพระนายลุกขึ้น  หากไม่ทันร่างเล็กที่หันออกไปก่อน  จังหวะนั้นไหล่เล็กนั่นก็ชนเข้ากับตู้เครื่องลายคารมสนั่นจนเซถอย  แรงกระเทือนทำเอาแจกันทรงเตี้ยบนหลังตู้สั่นคลอนก่อนจะหล่นลงมา

“ระวัง!”  ความห่วงใยแล่นปลาบลืมตัวว่าอีกฝ่ายไม่ชอบหน้าตนมากเพียงใด  ร่างสูงของคุณพระนายถลาคว้าแขนเล็กให้เจ้าของร่างซบอยู่กับอกกว้าง  แจกันใบเขื่องเฉียดหัวทุยไปเพียงนิดเดียวก่อนทั้งสองคนจะล้มลงเสียงดังสนั่นไม่แพ้เสียงแจกันแตกเลยทีเดียว
หากการล้มลงแล้วหัวกระแทกให้สติของเขาฟั่นเฟือน  อย่างนั้นเขาก็ขอให้สติของเขาฟั่นเฟือนต่อไปไม่ต้องหาย  เพื่อที่กลิ่นหอมอ่อนนั้นจะอยู่ข้างกายเขา  อ้อมแขนของเขาจะมีร่างนุ่มนิ่มของใครบางคนอยู่ในนั้นและหากได้สูดดมหอมแก้มเนียนตลอดไป

ปลายจมูกโด่งแตะปรางขาว  ริมฝีปากห่างกันเพียงลมหายใจกั้น  ดวงตาสองคู่มองสบกันนิ่งราวกับทุกสิ่งรอบกายหยุดการเคลื่อนไหว  เมื่อรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเจ้าของร่างเล็กจึงดีดกายลุกขึ้นรวดเร็ว  พลันแก้มเนียนจึงขึ้นสีเรื่อให้คนที่ถูกกระชากจิตใจหลุดลอยเพราะคำพูดก่อนหน้าให้กลับมาใจเต้นแรงสั่นไหวอีกครั้ง

ตลอดทางที่นั่งรถมาจนถึงเรือนของหลวงเสนาะ  เขาพยายามห้ามใจตัวเองอยู่แทบทุกนาทีหากหัวใจของเขากลับเต้นแรงยามเมื่อนึกถึงว่าจะได้เจอใครคนนั้น  จะได้ต่อปากต่อคำกับเจ้าของริมฝีปากสีชาดนั้นหรือไม่  หรือจะโดนอีกฝ่ายมองด้วยสายตาไม่พอใจอีกหรือเปล่า  แต่ไม่ว่าจะเจอกับอะไร  จะต้องโดนท่าทางไม่พอใจส่งมาให้เขาก็อยากจะมองดวงหน้านั้น  อยากจะเห็นดวงตาคู่สวยวาววับ  อยากจะมองวงแขนนั่นยกขึ้นร่ายรำ  อยากพบ...

ร่างสูงลุกขึ้นยืน  จ้องมองใบหน้าน่ารักตาไม่กระพริบ  กลิ่นหอมระรวยยังคงติดจมูกไม่คลาย  ความอุ่นนิ่มยามโอบกอดเมื่อครู่ทำให้คุณพระนายหนุ่มใจสั่น  และก่อนจะทันรู้ตัวหมัดเล็กจากคนเดิมก็พุ่งวาบเข้ามา

“ไอ้แก้ว!”

“คุณใหญ่ขอรับ!”  แสนวิ่งขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงโครมครามอุทานลั่นเมื่อภาพตรงหน้าซ้ำกับที่เคยเห็นเมื่อหลายวันก่อนราวกับเหตุการณ์เดียวกัน  แม่หญิงฉุยฉาย  สะบัดหน้ามาทางเขาก่อนจะชนไหล่เดินออกไปด้วยท่าทางหงุดหงิด  แสนวิ่งเข้ามารั้งร่างของคุณพระนายให้ลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ด้วยความเป็นห่วง

“เจ็บมากไหมขอรับ  รอยเก่าเพิ่งจะหายช้ำแท้ๆ”  แสนว่า  หลวงเสนาะแทบจะมุดหน้าหายเข้าไปในฝาเรือนกับการกระทำของเด็กในปกครอง   ท่านหันมาทางชายหนุ่มแล้วกล่าวขอโทษยกใหญ่  เห็นทีเย็นนี้ต้องมีโบยกันบ้างแล้ว  แต่สายตาของชายหนุ่มซึ่งมองตามหลังคนที่วิ่งออกไปพลางกุมคางด้วยความเจ็บปวดนั้นเรียกสายตาสงสัยจากคนสูงวัยทันที

หากคุณพระนายโกรธที่ถูกต่อยคงไม่ใช้สายตาอาวรณ์แบบนี้มองเจ้าของหมัด  หากคุณพระนายเคืองคนสร้างรอยช้ำคงไม่ทอดสายตาอาลัยเหมือนคนปวดใจ  แต่ในดวงตาคู่สวยยังแฝงความสับสนไว้ด้วย
“แสน  เอ็งพาพ่อใหญ่ลงไปห้องรับรองไป  ประเดี๋ยวข้าจะบอกให้นังอิ่มมันเอาลูกประคบมาให้”  แสนพยักหน้ารับ  พยุงร่างสูงของคุณพระนายด้วยความเป็นห่วง

แม่หญิงฉุยฉายต่อยคุณพระนายของเขาอีกแล้ว...




เจ้าของปรางแดงเรื่อ  หน้างอกุมแก้มกลับไปยังเรือนซ้อมรำ  บรรดาพี่สาวทั้งหลายต่างวิ่งเข้ารุมล้อมพลางถามเสียงดังถึงคุณพระนายหนุ่มกันยกใหญ่ 

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าแก้ว  คุณพระนายเธองามอย่างที่ใครๆเขาว่าจริงรึไม่?”

“ข้าเห็นเมื่อตอนเดินขึ้นเรือน  ผิวเธอนี้งามยิ่งกว่าข้าเสียอีก”

“ดูรูปร่างเธอซิ  สูงเชียว”

“จมูกก็โด่งงามนัก”

“ดวงตานั่นก็ด้วย”

“งามจริงรึไม่  เอ็ง?”  แต่ละคนแย่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์ซ้ำยังไม่ถามเปล่า หากจับแขนเล็กเขย่าไปมาให้หัวสั่นหัวคลอน 

“เออ  งาม!  งามมากเสียด้วย  งามกว่าพี่ๆที่เป็นผู้หญิงเสียอีก  ผิวก็ขาวกว่าพี่ที่ตัวดำเป็นเหนี่ยง  สูงกว่าพวกพี่ๆบางคนด้วย!”  ท้ายประโยคนิ้วเรียวยกขึ้นชี้บรรดาพี่ชายที่แอบฟังอยู่รอบๆให้สะดุ้งกันเป็นแถว  “พอใจรึยัง!”  คนอารมณ์ไม่ดีตวาดแหวจนแตกหึ่งคนละทิศละทาง

แก้วตาเดินมาล้างหน้า  มือขาวถูแก้มแรงๆจนแดงไปทั้งซีก  หากยิ่งถูไม่รู้ทำไมยิ่งรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นของอีกฝ่าย  แววตาโศกคู่สวยที่สะท้อนมองตรงมายังเขานั้นพาลพาให้สั่นไหว  ไหนจะอ้อมแขนแกร่งที่ประคองเขาเอาไว้อีกเล่า..อ้อมกอดที่สาวๆทั่วพระนครอยากได้นักหนาตวัดรัดเกี่ยวเอวเขาเอาไว้

พลันแก้มอีกข้างก็แดงไม่ต่างจากข้างที่ช้ำอยู่ก่อนหน้า

ใจเต้นแรงดังกลองของพี่ชมประจำวงพาทย์แล่นขึ้นในอกอย่างไม่เข้าใจ...แก้วตานึกหมายเอาว่าความรู้สึกนั้นคือความโกรธ...ที่มีให้เจ้าของจมูกโด่งสวยคนนั้น

ไม่พอใจเมื่ออีกฝ่ายใกล้ชิดถึงเพียงนั้น...
ไม่พอใจที่แขนแกร่งนั้นปกป้องเขาเอาไว้...
ไม่พอใจยามแก้มเนียนของตัวเองโดนเชยชม...
และที่ยิ่งไม่พอใจ...คือหัวใจของเขาเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็น...




หากอีกคนกลับสุขใจเหลือล้น  มือแกร่งยกแตะอกซ้าย  ข้างในนั้นหัวใจของเขาเต้นแรงเสียยิ่งกว่ากลองวงพาทย์

ดวงตาคู่งามสั่นไหว...

เพราะเขารับรู้ว่าตรงอกซ้ายของคนตัวเล็ก  เจ้าสิ่งนั้นก็เต้นแรงเร็วเช่นเดียวกันกับเขา





คุณพระนายถึงเรือนพร้อมรอยยิ้มกว้างเต็มใบหน้าหล่อเหลาขัดกับรอยช้ำบนคางรอยใหม่จนแสนซึ่งเดินตามหลังแอบส่ายหน้าด้วยรู้ว่าตอนนี้หัวใจของคนเป็นนายนั้นคงสุขยิ่ง  จะขัดให้ทุกข์ด้วยประโยคของเขาไปใย

รอยยิ้มสวยนิ่งค้างก่อนจะหายวับเมื่อพ้นบันไดเรือน  ชายหนุ่มหันมาทางแสนที่ก้มหน้าหลบ  ก่อนจะหันกลับไปมองคนที่นั่งยิ้มสวยส่งมาให้เขา

“โสภี...”

เสียงทุ้มเอ่ยเรียกอีกฝ่ายแผ่วเบา  หากภาพในหัวกลับมาเพียงเจ้าของแก้มเนียนเด่นชัดขัดกับภาพตรงหน้าสิ้นเชิง  ให้หัวใจของเขาพลันเจ็บปวดกับความจริงที่มองเห็น

   ลมเอย                       เพียงเชยกลับเลยพ้นผ่าน
   ให้ใจสะท้านหวั่นไหว     แล้วผ่านพ้นไป
   เหมือนนอนหลับฝัน      ฟื้นคืนไม่เจอหัวใจ
   ถึงเหงาเพียงใด           ข่มใจระทม

[/i]




โปรดติดตามกาลต่อไป


ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
กลับมาต่อแล้ว เย้ๆ :katai2-1:
น้องแก้วดื้ออะ แต่น่ารักน่าหยิกเป็นที่สุด คุณพระนานเลยตกหลุมรักชนิดปีนขึ้นไม่ได้ตลอดกาล
ตอนอดีตแสนหวาน แล้วทำไมต้องเกิดเรื่องร้ายๆกับคนทั้งคู่ด้วยนะ น้ำตาร่วงรอเลยได้ไหมเนี่ย :hao5:

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4

ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้ต่อ
ชอบตรงที่เล่าเรื่องสลับกันระหว่างอดีตกับปัจจุบันแล้วไม่งง

แต่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นหนทางที่สองคนนี้จะรักกันได้เลย

+ 1 + เป็ดจ้า

ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
คุณพระนายเพราะรักจึงยอมโดนชก ใช่ไหมนี่

ออฟไลน์ ๐DeAchieS๐

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0


+++++


คิดถึงงง มาเร็วๆนะครับ

 :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
 :L1: แก้วตามาแล้ว
คุณพระนายรักปักใจมากเลย อิจฉาแก้วตาจริงๆ
อย่าดื้อนักเลยสงสารคุณพระนายจังกว่าจะได้รักกัน

ออฟไลน์ zizits

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ภาษาคนเขียนดีมากๆ เราชมจากใจเลยนะ คุณทำให้เราเดาตอนต่อไปไม่ออกเลย แต่ถ้าเป็นในภาคอดีตที่มัเริ่มเผยปมเรื่อยๆนี่เราพอจะเดาว่า พอแก้วกับคุณใหญ่รักกันแล้วคุณใหญ่ก็ไม่แต่งกับโสภี ยอมเป็นคนอกตัญญู สร้างเรือนขาว แล้วรอให้แก้วมาอยู่ด้วยกัน
แต่ก็ไม่ทันได้อยู่เพราะแก้วโดนโสภีส่งคนไปข่มขืนแล้วฆ่าตาย? คุณใหญ่รอแล้วรอเล่าแก้วก็ไม่กลับมา พอรู้ว่าแก้วตายก็เสียใจมาก ได้แต่เฝ้ารอให้แก้วกลับมา จนตายอยู่ในเรือน ไม่ยอมไปเกิดเพราะยังคงรอแก้วอยู่? จนตอนนี้แก้วกลับมาแล้ว เรายังเดาตอนจบไม่ถูกเลย อาจแบ่งได้สองทางคือจบแบบแฮปปี้แอน แก้วกับคุณหลวงได้อยู่ด้วยกันตลอดไป หรือตอนสุดท้ายคุณใหญ่ก็ได้ไปเกิด คือเราเดาไว้ว่ามันอาจจะจบแบบแบดเอนดิ้ง คือคุณใหญ่ไปเกิดมากกว่า เฮ้อ อยากให้ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกันจัง แต่มันก็คงยากเพราะตอนนี้คุณใหญ่ยังเป็นวิญญาณอยู่นี่นา จะเป็นคนมาอยู่กะแก้วได้ไงใช่ปะ คิดแล้วเศร้าจนไม่อยากตามต่อให้เสียใจเลย แต่เอาว่ะ!! เราจะตามจนจบนะเรื่องนี้ สู้ๆคะคนแต่ง คุณทำได้ดีมาก เราเป็นกำลังใจให้ #เนื้อเรื่องนี่เราเดาเอาเองมั่วๆตามที่เราเพ้อนะ ถ้าไม่ใช่ก็โปรดอภัยจ้า :mew2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ...อสงไขย...กาลที่๕.๒ ...[5-9-2556...หน้า๔]
« ตอบ #99 เมื่อ: 06-09-2013 22:19:32 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
Re: ...อสงไขย...กาลที่๕.๒ ...[5-9-2556...หน้า๔]
«ตอบ #100 เมื่อ22-09-2013 22:18:19 »

   
อสงไขย

กาลที่๖.๑




“แก้ว...  แก้ว!”

เสียงเรียกคล้ายแว่วมาจากที่ไกลๆ  คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อแรงเขย่าหนักมือตามความร้อนรนของคนเรียก  ดวงตาเรียวเปิดรับแสงก่อนจะหรี่ลงเมื่อรู้สึกแสบตาแล้วจึงค่อยๆลืมขึ้นใหม่อีกครั้งจนได้เห็นเจ้าของเสียง

“ฤดี?”  เสียงแหบพร่าเอ่ยชื่อเพื่อน  ให้หญิงสาวรีบหันไปเทน้ำจากเหยือกแล้วพยุงร่างคนบนเตียงขึ้นนั่ง

“เป็นอย่างไรบ้าง  ทำไมถึงไม่ไปหาหมอที่โรงพยาบาล?”  คนเป็นห่วงถามเสียงดุ  ดวงหน้าซีดเซียวของเพื่อนทำให้ฤดีอยากจะลากตัวไปนอนโรงพยาบาลเสียเหลือเกิน

“โรงพยาบาล?”

“ก็ใช่น่ะซิ  เธอไม่สบายมากเลยนะ  ถึงจะไม่มีไข้แล้วก็เถอะ”  ว่าแล้วจึงยกมือขึ้นแตะหน้าผากชื้นเหงื่อของเพื่อน  นอกจากจะไม่มีไข้แล้วตัวแก้วตาออกจะเย็นเกินไปด้วยซ้ำ  ทั้งๆที่ฤดีก็เห็นว่าเพื่อนของเธอห่มผ้าหนาตั้งหลายชั้น

“เราไม่เป็นอะไรมากหรอกฤดีแค่รู้สึกเพลียๆน่ะ”

“แต่น่าจะไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจเสียหน่อยนะ”

“อย่าเลย  นี่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วล่ะ”

“ตามใจ” 

“แล้วนี่ฤดีมาหาเราหรือ?”

“ใช่  มากับพี่ชายน่ะ  รออยู่ข้างล่าง”  ฤดีตอบท่าทางคล้ายไม่พอใจบางอย่าง

“งั้นหรือ?  มีอะไรหรือเปล่าฤดี”

“ก็นายแสนน่ะซีไม่ยอมให้พี่ชายขึ้นมาเยี่ยมแก้วด้วยกันกับเรา  นี่ขนาดว่าเราเป็นผู้หญิงนะยังแทบจะไม่ยอมให้ขึ้นมาด้วยซ้ำถ้าไม่เจอน้าเพ็ญน่ากลัวว่าคงไม่ได้ขึ้นมาเสียกระมัง  สงสัยกลัวเราจะปล้ำเธอล่ะมั้ง”  คำบอกเล่าของเพื่อนสาวทำเอาแก้วตาเลิกคิ้วแปลกใจ   

“ไม่หรอกมั้ง  แสนเขาอาจจะยังไม่คุ้น”

“แก้ตัวแทนไปเถอะ  ตาคนนั้นน่ะน่ากลัวพิกล”

“แสนน่ะหรือน่ากลัว?  ฤดีคิดมากไปหรือเปล่า”  เด็กหนุ่มยิ้มบางกับความคิดของเพื่อน

“ไม่คิดมากหรอก  กับเราน่ะไม่เท่าไหร่แต่กับพี่ชายนี่ซิไม่ยอมให้ก้าวเท้าเข้ามาในเรือนใหญ่แม้แต่ก้าวเดียวเลยนะ”

“งั้นหรือ?”

“เอาเถอะ  แล้วนี่หิวหรือยังเดี๋ยวเราไปยกข้าวต้มมาให้  น้าเพ็ญเพิ่งจะลงไปเมื่อครู่นี้เอง”

“ลงไปข้างล่างเถอะ  พี่ชายอยู่ที่ศาลาขาวไม่ใช่หรือ”

“ไหวหรือ?”  ฤดีถามย้ำ  กลัวว่าเพื่อนจะเป็นลมทั้งยืนอย่างคราวที่แล้วอีก  แต่แก้วตาก็ลุกขึ้นยืนข้างเตียง  แม้จะยังเพลียจนเซไปบ้างหากยังยิ้มให้เพื่อนสบายใจ     

“จริงซิฤดี  วันนี้วันที่เท่าไหร่?”  แก้วตาเอ่ยถามคนข้างตัว

“๒๐  ทำไมเหรอ?”

“๒๐  เหรอ  จริงซิต้องไปวันนี้นี่นา”  เด็กหนุ่มพึมพำหลังได้คำตอบจากเพื่อน

“ไปไหน”

“ไปหาอาจารย์กิตติ  ต้องไปเอารูป”

“แต่เธอยังป่วยอยู่นะ”  เพื่อนสาวท้วง 

“แต่เราต้องไป”

“แก้วครับพี่ว่า...”

“ไม่  ต้องไป  บอกเอาไว้แล้วว่าจะไปรับ  บอกเขาเอาไว้แล้ว”  ประโยคเลื่อนลอยจากริมฝีปากอิ่มทำให้คนฟังขมวดคิ้วสงสัย

“ไปรับ  ไปรับใครหรือแก้ว?”  ฤดีแตะแขนเพื่อน  แก้วตาสะดุ้งมองหน้าฤดีพลางเลิกคิ้ว

“อะไรนะ?”

“เมื่อครู่เธอบอกว่าจะไปรับเขา  รับใครอย่างนั้นหรือ?”

“เปล่านี่  เราแค่บอกว่าต้องไปเอารูปที่อาจารย์กิตติ”

“แต่...”

“ไปกันเถอะ”

“แก้วครับ  เดี๋ยวพี่กับฤดีไปเอาให้ก็ได้ครับ แก้วพักผ่อนเถอะ”  ชายท้วงอีกครั้งหากเด็กหนุ่มกลับลุกขึ้นยืนหันหลังออกเดินไปทางประตู

“ไม่ครับ  ผมจะไปรับเขาเอง”  ประโยคนั้นทำให้ฤดีอ้าปากจะถาม  หากชายกลับแตะแขนห้ามน้องสาวเอาไว้แล้วรีบวิ่งไปเดินเคียงเด็กหนุ่มอย่างเร่งรีบ

“ถ้าอย่างนั้นพี่จะไปส่งนะครับ”  ชายเสนอ  แก้วตาหยุดเท้ามองพี่ชายของเพื่อนนิ่ง

“ให้พี่ชายไปส่งเถอะเธอเพิ่งจะหายป่วย  อีกอย่างเราก็พูดไว้แล้วว่าจะไปเป็นเพื่อนแก้วเอารูปน่ะ”  แก้วตาพยักหน้ารับคำพูดของเพื่อนสาวก่อนจะยอมขึ้นรถ

ช่วงปิดเทอมมหาวิทยาลัยเงียบนัก  เพราะมีเพียงอาจารย์เท่านั้นที่ยังมาทำงานเตรียมตัวก่อนเปิดเทอม  แก้วตาขอลงหน้าตึกคณะฯแล้วตรงไปยังห้องอาจารย์โดยมีฤดีตามลงมาด้วย

“ฤดี?”  เสียงเรียกทำให้หญิงสาวหันไปมอง

“คุณน้าโสภี?”  ฤดีเลิกคิ้วแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะเจอญาติสาวที่นี่  “มาทำอะไรหรือคะ?”

“น้ามาติดต่อเรื่องรูปกับอาจารย์กิตติน่ะจ้ะ”

“รูป?”  ฤดีสงสัย  ยิ่งเป็นชื่อของอาจารย์กิตติเธอเลยยิ่งไม่ไว้ใจเพราะไม่ชอบหน้า  หันไปมองเพื่อนก็เห็นเพียงหลังไวๆเดินลิ่วไม่รอเธอ

“แล้วนี่ฤดีมาทำอะไรที่มหาวิทยาลัยช่วงปิดเทอมล่ะจ๊ะ”

“ฤดีมาส่งเพื่อนเอาการบ้านน่ะค่ะ  เขาหวงมากเลยต้องรีบมาเอา”  ฤดีนินทาเพื่อนรักให้ญาติสาวฟัง  โสภีหัวเราะเอ็นดู

“อย่างนั้นหรือจ๊ะ  แล้วนี่ไปไหนเสียแล้วล่ะ?”

“วิ่งนำหน้าไปโน่นแล้วค่ะ  ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนาเชียว”

“ถ้าอย่างนั้นฤดีไปตามเพื่อนเถอะจ้ะ  น้าจะแวะไปคุยธุระก่อน”  โสภียิ้มเอ็นดูให้หลานสาวก่อนจะออกเดินไปอีกทาง



แก้วตาหยุดหอบหายใจ  ภายในห้องเก็บภาพอาจารย์กิตตินั่งอยู่ตรงโต๊ะเงยหน้าขึ้นมองแล้วยกยิ้มให้คนที่ก้าวเข้ามาในห้อง

“อ้าว  แก้วตา?”

“อาจารย์  สวัสดีครับ”  เด็กหนุ่มยกมือไหว้  หากสายตาก็มองหารูปของตัวเองรวดเร็ว

“มาเอารูปอย่างนั้นหรือ?”

“ครับ”  แก้วตาตอบหากไม่ได้มองคนถาม  เขาจึงไม่เห็นว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นยืนเดินเข้ามาใกล้เขา

“ที่จริงมาเอาทีเดียวตอนเปิดเทอมเลยก็ได้แท้ๆ”

“อาจารย์?”  แก้วตาผงะถอยหลังเมื่อกลิ่นน้ำหอมประจำตัวของกิตติลอยแตะจมูก  บ่งบอกว่าเขาถูกอีกฝ่ายเข้าใกล้ชนิดประชิดติดตัวเลยทีเดียว

“หรือว่าอันที่จริงแล้วเธอไม่ได้ตั้งใจจะมาเอารูป?”

“อาจารย์พูดอะไรครับ?”  แก้วตาก้าวถอยหลัง  ท่าทางคุกคามของอาจารย์หนุ่มและรอยยิ้มแปลกๆทำให้รู้สึกไม่ดี

“ไม่เอาน่าแก้ว  ความจริงแล้วเธอเองก็สนใจฉันอยู่เหมือนกันใช่ไหม?”

“อาจารย์!”  แก้วตาปัดมือที่ยื่นแตะแก้มเขาออกอย่างรุนแรง  ความรู้สึกรังเกียจพุ่งทะลัก  เขารู้มาบ้างว่าอาจารย์กิตตินั้นมีรสนิยมทางเพศผิดแปลก  เขาสนใจเด็กหนุ่มๆในคณะฯหลายคน  และหนึ่งในนั้นมีตัวเขารวมอยู่ด้วย  ดังนั้นเวลาส่งงานหรือรับงานเขาจึงต้องลากฤดีไปด้วยเสมอ  หากแต่ในวันนี้เขาเร่งรีบจนลืมเพื่อนสาวไปเสียสนิท  อีกอย่างเขาไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้

เพี๊ยะ!  เสียงหลังมือกระทบแก้มเนียนจนเจ้าของหน้าหัน  แก้วตามองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าอาจารย์อย่างไม่เชื่อสายตา

“ถ้าอยากจะได้คะแนนดีๆก็ยอมฉันซะซิ”  น้ำเสียงแหบปร่าผิดไปจากยามปรกติ  เขาจ้องมองใบหน้าตื่นตระหนกของเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่าน

“ผมจะฟ้องท่านอธิการว่าคุณเอาเรื่องแบบนี้มาขู่นักศึกษา!”

“เธอขู่ฉันรึ?”

“ผมไม่ได้ขู่  แต่ผมทำจริงถ้าอาจารย์คิดจะทำสิ่งไม่ดี  แต่ถ้าคุณหยุดซะผมก็จะไม่พูดเรื่องนี้”  แก้วตาเอ่ยต่อ  กิตติมีท่าทีตกใจยามเมื่อเขาเอ่ยว่าจะฟ้องอธิการ

“จริงหรือ?  เธอจะไม่บอกท่านอธิการจริงนะ?”  กิตติมีท่าทีอ่อนลง  เขาไม่ก้าวเท้าเข้าหาเด็กหนุ่มอีก

“ครับ”  แก้วตาผ่อนลมหายใจโล่งอก  ดูเหมือนกิตติจะกลัวท่านอธิการมากอยู่

“รูปของเธออยู่ตรงนั้น”  กิตติชี้ไปยังมุมห้อง  รูปภาพของแก้วตายังคงถูกผ้าขาวคลุมเอาไว้เช่นเดิมหลังจากตรวจให้คะแนนตั้งแต่วันแรกที่เด็กหนุ่มเอามาส่ง  หากแต่เพราะเขารู้สึกแย่ที่จะต้องเปิดภาพเอาไว้   เหมือนมีใครบางคนจ้องมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ  เหมือนกับมีใครคนอื่นในห้องเวลาเขานั่งทำงานคนเดียว...กิตติจึงเอาผ้ามาคลุมภาพทุกภาพที่เป็นภาพคนเอาไว้ทั้งหมด

แก้วตาหันไปยังมุมห้องที่กิตติชี้  เขาดึงผ้าคลุมออกก่อนจะมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมในอก   เด็กหนุ่มยิ้มกับภาพวาดนั้น  ยื่นมือคว้าหากแต่แล้วเขาต้องตกใจเมื่อจู่ๆก็ถูกผ้าเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกจากทางด้านหลัง  กลิ่นแปลกๆจากผ้านั้นถูกสูดเข้าปอดเพราะเขาไขว่คว้าหาอากาศ  ความรู้สึกมึนงงจู่โจมก่อนสติจะดับวูบลง...

กิตติมองร่างเพรียวของเด็กหนุ่มในอ้อมแขนด้วยความรู้สึกสมใจ  แล้วยัดผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นลงในกระเป๋ากางเกงตัวเอง  เขาทรุดตัวลงนั่งประคองร่างเล็กไม่ปล่อย  มือกร้านจับปลายคางได้รูปแล้วพิศใบหน้าเนียนของคนหมดสติด้วยความหลงใหล  นิ้วยาวแตะเลื่อนปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ดๆ  ลมหายใจของเขาติดขัดด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่าน  อารมณ์ความต้องการทะยานสูงจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ก่อนจะโน้มตัวลงสูดดมกลิ่นหอมหวานจากลำคอระหง

“แก้ว  เธอหอมยิ่งกว่าใครๆที่ฉันเคยเจอเสียอีก”  กิตติพึมพำพร่ำเพ้อเหมือนคนเมา  ปลายจมูกเลื่อนขึ้นหวังสัมผัสแก้มเนียนหากแต่ต้องชะงักเมื่อดวงตาเรียวของคนที่น่าจะหมดสติเบิกโพลงขึ้นมา

“!”  มือขาวของแก้วตาผลักร่างที่คร่อมตนไว้กระเด็นไถลไปไกล  กิตติซึ่งตอนนี้ตกใจเบิกตามองร่างตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา  เด็กหนุ่มไม่มีทีท่าอ่อนแรงสักนิด  หนำซ้ำเรี่ยวแรงยังมากกว่าคนปรกติเสียอีก  เมื่อครู่เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดสติไปแล้วนี่นา!

“ไอ้คนต่ำช้า  มึงคิดจะกระทำสิ่งใดกับคุณแก้ว!”  เสียงทุ้มตวาดก้อง  ดวงตาเรียวบัดนี้กลายเป็นสีแดงฉานจ้องเขม็งยังร่างของกิตติ

“แก้ว  เธอเข้าใจผิดนะ  ฉันแค่เห็นว่าเธอเป็นลม...”

“ไอ้คนโกหก!  มึงคิดไม่ดีกับคุณแก้ว  คิดจะล่วงเกินเธออย่างนั้นรึ!”  เสียงทุ้มยังคงตวาดออกมาจากริมฝีปากอิ่มของเด็กหนุ่ม  หากแต่ไม่ใช่เสียงเดิมอย่างที่กิตติเคยได้ยิน  ไม่ใช่เสียงที่เขาชื่นชอบนักหนา  มันไม่ใช่เสียงของแก้วตา  หนำซ้ำดวงตาเรียวแดงก่ำราวกับเลือดนั้นช่างน่ากลัวนัก!

“อึ่ก!  ไม่  เดี๋ยว...”  กิตติเอ่ยระร่ำระลัก  เขาก้าวเท้าหนีเมื่อแก้วตาย่างเท้าเข้าหา  หากแต่หนีไม่พ้นจนถูกมือเล็กนั้นจับเข้าที่ลำคอ  แรงบีบเพิ่มมากขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก  “อย่า...ช่วยด้วย!”  ถ้อยคำอ้อนวอนไม่เล็ดลอดเมื่อเจ้าของแขนขาวยกตัวของกิตติให้ลอยขึ้นจากพื้นช้าๆ

“มึงมันระยำ!  ไอ้คนชั่วช้า!  คุณแก้วเธอเป็นคนรักของคุณพระนายหาใช่คนต่ำช้าเช่นมึงไม่!”

“อ่อก!”  กิตติตาเหลือก  อากาศที่ไหลเข้าปอดลดน้อยลงทุกที

“แสน  ปล่อยมันก่อน!”

“แต่ว่า...”

“ฉันบอกให้ปล่อย!”  เสียงอันไร้ที่มาตวาดก้องให้มือขาวของแก้วตาหลุดจากลำคอของกิตติ  ชายหนุ่มทรุดลงกองกับพื้นไอโขลกต้อนอากาศเข้าปอดอย่างกระหาย  ไม่กล้าเหลือบมองแก้วตาซึ่งบัดนี้เขาแน่ใจแล้วว่าร่างตรงหน้าไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เขาต้องตาคนนั้น

“ไปเสีย  ก่อนที่กูจะบีบคอมึงจนตายเสียตรงนี้!”  เสียงนั้นยังคงออกมาจากริมฝีปากของเด็กหนุ่ม  กิตติคลานหนีออกมาอย่างรวดเร็ว  เขาไม่รู้หรอกว่าเหตุใดเจ้าสิ่งที่อยู่ในร่างของแก้วตาจึงปล่อยเขา  เขาต้องหนี!  แต่...

พลั่ก!  ร่างของแก้งตาเซถลาไปด้านหน้าเมื่อโดนกิตติทุบสองมือจากทางด้านหลัง  ก่อนเขาจะคว้าเอารูปของเด็กหนุ่มวิ่งหนีออกไป

“คุณใหญ่ขอรับ!”  ร่างของแก้วตาหันมามองความว่างเปล่าข้างกาย

“ปล่อยมันไปก่อน”

“แต่ว่ามันทำร้ายคุณแก้วนะขอรับ  เหตุใดท่านจึงใจดีปล่อยมันไปเช่นนั้น”

“ฉันน่ะหรือปล่อย?”

“แล้วคุณใหญ่ห้ามไอ้แสนทำไมขอรับ  เหตุใดไม่ปล่อยให้กระผมบีบคอมันให้มันตายเสียตรงนี้”  เสียงทุ้มจากร่างเล็กเอ่ยต่ออย่างไม่พอใจ  มองความว่างเปล่าข้างกายด้วยสายตาต่อว่า

“ฉันห้ามแกหรือแสน?  ฉันห้ามแก้วตาต่างหาก”  ดวงตาแดงก่ำมีแววฉงนเล็กน้อยก่อนจะพราวระยับเมื่อคิดบางอย่างได้  “เข้าใจหรือยัง?”

“เข้าใจแล้วขอรับ”  ร่างของแก้วตาล้มตัวลงนอนกับพื้นเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกของฤดีแว่วมา  ความว่างเปล่าที่มีเสียงวาจาเมื่อครู่เกิดเป็นเค้าร่างชายหนุ่มสูงโปร่งทอดกายลงนั่งข้างๆร่างเล็ก  มือขาวยกศีรษะได้รูปนั้นขึ้นวางบนตักพลางก้มลงมองใบหน้าที่หลับตาพริ้มด้วยสายตาอ่อนโยน  แตะแก้มเนียนที่ขึ้นรอยปื้นแดงแผ่วเบา  พลันดวงตาอ่อนโยนเมื่อครู่จึงกร้าวแข็งขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว  นำพาให้กระดาษรูปภาพในห้องปลิวว่อนแทบหลุดจากเฟรมก่อนทุกอย่างจะเงียบสงบลงเมื่อฤดีย่างเท้าเข้ามาในห้อง


ถึงตัวพี่นี้จะตายไม่วายรัก      จะไปฟักฟูมเฝ้าเป็นเจ้าของ
แม้นชายอื่นชื่นชอบมาครอบครอง      จะทุบถองถีบผลักแล้วหักคอ 


“แก้ว!”  หญิงสาวถลาเข้ามาหาร่างของเพื่อนที่นอนนิ่งบนพื้น  มองไปรอบห้องก็ไม่เห็นอาจารย์กิตติจึงเข้าใจว่าเพื่อนเป็นลมจากอาการไข้ที่เพิ่งหาย  เธอร้อนใจด้วยความเป็นห่วง  เขย่าแขนก็ไม่มีทีท่าว่าแก้วตาจะรู้สึกตัวพลันโล่งอกเมื่อเห็นพี่ชายเดินเข้ามาในห้อง  ฝ่ายนั้นก็ตกใจไม่แพ้กันก่อนจะอุ้มร่างของเด็กหนุ่มกลับไปยังรถแล้วขับไปยังโรงพยาบาลทันที   

ระหว่างทางฤดีโทษตัวเองว่าถ้าเธอไม่มัวแต่คุยกับญาติสาวแก้วตาคงไม่นอนเป็นลมอยู่บนพื้นคนเดียวแบบนี้จนชายต้องคอยปลอบ  ทั้งสองพี่น้องลืมเรื่องภาพวาดต้นเหตุที่แก้วตารีบร้อนมาเอาไปเสียสนิท  กว่าจะนึกได้ก็เมื่อแก้วตาลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนค่ำวันนั้น  เด็กหนุ่มดื้อดึงจะกลับไปเอารูปภาพให้ได้จนฤดีอ่อนใจอาสาไปเอาภาพดังกล่าวกับพี่ชายมาให้เพื่อน


“ไม่มีอย่างนั้นหรือ?”  แก้วตาเอ่ยถาม  ดวงตาเรียวตระหนกหวาดหวั่น  ยิ่งเมื่อฤดีพยักหน้ารับเขาก็แทบจะถลาลงเตียงเพื่อกลับไปหารูปภาพด้วยตัวเอง  ความรู้สึกราวกับบางอย่างหล่นหาย  ร้อนรนอยู่ไม่ได้  หากไม่ได้พบก็คล้ายจะขาดใจ...  ความรู้สึกที่แก้วตาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงล้นขึ้นมาในอกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  ทั้งๆที่เป็นเพียงแค่ภาพวาด  เขาจะวาดเมื่อใดอีกก็ได้..แต่..ถ้อยคำสัญญานั้นต่างหากที่ทำให้เขากำลังเจ็บปวด

 “แก้ว  อย่าดื้อนะ!  ถึงขนาดเป็นลมแบบนั้นเราไม่ให้เธอไปหรอก!”  ฤดีดุเพื่อน  ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากหาภาพของเพื่อนให้แต่จะปล่อยคนป่วยลุกออกไปตากน้ำค้างกลางดึกได้อย่างไรกัน  อีกอย่างเธอกับพี่ชายก็หากันจนค่ำถ้าจะเจอคงเจอไปนานแล้ว  เว้นเสียแต่ว่าจะไปหาที่บ้านของตาอาจารย์กิตตินั่น

“เป็นลม?”  เด็กหนุ่มทวนคำเพื่อน  เขาจำได้ว่าไม่ได้เป็นลม  หากแต่โดน...ทำให้หมดสติต่างหาก  ตอนตื่นขึ้นมาเขาสำรวจร่างกายตัวเองก็ไม่เห็นสิ่งแปลกประหลาดหรือมีอะไรผิดปรกติจึงคิดว่าฤดีน่าจะเข้ามาช่วยเขาไว้ทัน  ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนั้นให้ใครฟังเพราะไม่อยากให้ทุกคนไม่สบายใจ

“ใช่  เรากับพี่ชายเป็นห่วงมากเลยนะ”  ฤดีไม่วายทำคะแนนให้พี่ชายตัวเองด้วย

“นั่นซิแก้ว  ลูกป่วยอยู่นะอย่าดื้อนักเลย”  เพ็ญจันทร์ช่วยเอ็ดอีกคน  เธอส่ายหน้าอ่อนใจกับอาการดื้อดึงของบุตรชายนัก

“แต่...ฉันบอกเขาว่าจะไปรับ”  แก้วตาเอ่ยเสียงเบา

“นี่  ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนะเธอจะไปรับใครกัน”  ฤดีเอ่ยถามเสียงดัง  ชายที่ยืนฟังอยู่ไม่ได้ห้ามอีกเพราะเขาเองก็อยากรู้

“ก็เขา  เขารออยู่...”  อีกครั้งที่แก้วตาคล้ายไม่รู้ตัว  เขาพึมพำ

“ใครหรือครับแก้ว  ใครรอให้แก้วไปรับ?”  ชายรั้งแขนน้องสาวให้ออกห่างแล้วเปลี่ยนเป็นคนถามเมื่อฤดีทำท่าโมโหเพราะแก้วตาเอาแต่พูดซ้ำไปซ้ำมา

“ครับ?”  เด็กหนุ่มเงยหน้ามองชาย  เลิกคิ้วแปลกใจเมื่อร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงแล้วจ้องหน้าเขา

“แก้วบอกว่า  เขารออยู่  เขาคือใครหรือครับ  แก้วจะไปรับใคร?”  ชายพยายามใจเย็นค่อยๆถามเด็กหนุ่มที่ขมวดคิ้วส่งมาให้

“เปล่านี่ครับ”  แก้วตายังมีสีหน้างงงวย  มองหน้าเพื่อนกับพี่ชายสลับไปมาและสุดท้ายที่มารดา  แววตาใสซื่อบอกว่าเขาไม่ได้โกหกหากแต่ไม่เข้าใจคำถามของคนตรงหน้าจริงๆ   ชายถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นแตะหน้าผากเนียนก่อนจะหันมาทางเพ็ญจันทร์และน้องสาว 

“ไข้ขึ้นน่ะ”

“อ้อ  มิน่าล่ะถึงเพ้อแบบนี้”  ฤดีถอนหายใจ  ก่อนจะโบกมือไล่พี่ชายให้ไปขอยาลดไข้แล้วช่วยเพ็ญจันทร์เช็ดตัวให้แก้วตา  บังคับกินยาแล้วจึงค่อยโล่งใจเมื่อคนบนเตียงหลับไปแล้วนั่นล่ะ






โปรดติดตามกาลต่อไป





มีอะไรติ-ชมกันได้นะคะ

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
เมื่อวานเพิ่งอ่านในเล่มเวอร์ชั่นYSจบด้วยความอิ่มเอมใจ
วันนี้ได้อ่านเวอร์ชั่นไทยอีกรอบก็ยิ่งชอบ+รักเรื่องนี้มากๆค่ะ   :L1:

จะตามอ่านในนี้จนจบนะคะ    :กอด1:

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ชอบแนวนี้นะ
แต่ไม่ค่อยมีให้อ่าน
เป็นกำลังใจให้ค่า

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
จะต้องออกไปตรงนี้ให้ได้

พระนายช่วยด้วยขอรับ

ได้โปรดได้โปรด  ได้โปรด    ได้โปรด        โด้โปรด            ได้โปรด                     ได้โปรด                                  ได้โปรด

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4

จัดการคนชั่วหนักๆ
อย่าให้ไปทำกับใครอีก

+ 1 + เป็ดจ้า


ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
น้องแก้วตาเกือบไปแล้วนะนี่ ดีคุณใหญ่ กับแสนมาช่วยไว้ทัน

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
เกือบไปแล้วน้องแก้ว แต่คนดี(ผี)นายแสนกับคุณพระนายคุ้มครองจริงๆ :mew6:
ไอ้อาจารย์จอมหื่นจะเป็นยังไงเนี่ย อย่าถึงกับต้องฆ่าแกงให้มีบาปอีกเลยนะคะ :katai1:
มาต่อบ่อยๆนะคะ อยากอ่านอีกจังเลย :impress2:

carenaka

  • บุคคลทั่วไป
จักกี่เพลา ก็จักเฝ้าาอ ท่านมาต่อนะ ข้าชื่นชอบ นิยายแนวนี้นัก

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
อ.กิตตินี่เลวจริงๆ มันต้องขโมยไปขายให้น้าของฤดีแน่ๆเลย
คราวนี้แก้วตาแย่แน่

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
มาต่อบ่อยๆเหอะ โคตรชอบเลยเรื่องนี้อ่าา
น่าติดตามสุดๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๑ ...[22-9-2556...หน้า๔]
« ตอบ #109 เมื่อ: 27-09-2013 01:38:51 »





ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
อสงไขย 
กาลที่๖.๒
[/i]






“ข่าวจากคนที่ส่งไปสอดแนมพวกวังหน้ารายงานว่าไม่มีใครน่าสงสัย  หรือพวกท่านคิดเห็นประการใด?”  เสียงจริงจังเอ่ยถามคนร่วมโต๊ะ  หากชายหนุ่มอาวุโสน้อยสุดกลับไม่มีสมาธิคิดทบทวนคำพูดนั้น  เขาไม่อาจบังคับสายตาและความสนใจของตนให้พุ่งไปยังสิ่งสำคัญได้

“กระผมว่ายังไม่ควรถอนคนออกมาจากวังหน้าขอรับ  ให้แอบตรวจดูพฤติกรรมอีกสักหน่อยเผื่อจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม”

“อืม  แล้วเจ้าหมื่นเสมอใจราชล่ะมีความคิดเห็นประการใด”  ยศเต็มถูกเอ่ยเรียกขานถามจากหลวงเสนาะให้ชายหนุ่มผินหน้ากลับมามองแล้วตอบกลับ

“กระผมขอเสนอให้แบ่งเป็นสองกลุ่มขอรับ  นอกจากพวกวังหน้าและบุคคลใกล้ชิดส่วนพระองค์แล้ว  กระผมว่าเราควรจะลองตรวจสอบบุคคลที่เพิ่งเข้ารับราชการด้วย”  คุณพระนายเสนอให้เหล่าผู้อาวุโสในโต๊ะมองหน้ากัน

“แต่พวกเด็กใหม่จะเป็นไปได้รึคุณพระนาย?”  ใครคนหนึ่งถาม

“กระผมว่าเรื่องแบบนี้ไม่ว่าคนเก่าหรือใหม่ก็มีสิทธิ์น่าสงสัยได้ทุกคนขอรับ  ถึงจะเสียกำลังคนไปบ้างแต่ถ้าหากเราจับคนกระทำผิดได้เร็วน่าจะยอมเสียนะขอรับ”  คุณพระนายหนุ่มเสนอต่อไป  ประโยคนั้นทำให้ผู้ร่วมประชุมพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะคัดคนตามประกบบุคคลน่าสงสัย

หลวงเสนาะเหลือบมองใบหน้าเด็กหนุ่มคราวลูกของเจ้าหมื่นเสมอใจราชที่ท่านชื่นชมนักหนาด้วยสายตาปลาบปลื้ม  ก่อนจะมองตามสายตาคมนั้นว่าสิ่งใดที่ดึงดูดความสนใจทั้งหมดไปจากงานอันแสนสำคัญของเจ้าหมื่น  แล้วก็ให้ยกยิ้มอ่อนเมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นคือเด็กในปกครองของตนที่นั่งอยู่มุมห้องเพื่อรอคำเรียกใช้จากบรรดาเจ้าขุนมูลนายทั้งหลาย     เจ้าแก้วเด็กดื้อ...

“เย็นนี้อยู่ทานข้าวกันเสียที่นี่เถอะนะ  เดี๋ยวกระผมจะให้เด็กๆเตรียมการแสดงเอาไว้ให้”  หลวงเสนาะเอ่ย  หลังจากคุยงานเสร็จต้องมีการแสดงของนางรำขึ้นเพื่ออาศัยตบตาคนภายนอกว่าเหล่าขุนนางมารวมตัวกันที่นี่เพราะหลงนางรำคนงามของหลวงเสนาะดุริยางค์กันไม่ให้เป็นที่น่าสงสัย

“ไป  เจ้าแก้วไปบอกให้นังชบามันเตรียมสำรับไป๊”

“ขอรับ”  เด็กหนุ่มที่ไม่ยอมเงยหน้าตั้งแต่เข้ามานั่งในห้องขานรับก่อนจะคลานออกไปอย่างรวดเร็ว  คุณพระนายหนุ่มมองตามแผ่นหลังเล็กตาละห้อย  ถอนหายใจหนักหน่วงยามร่างนั้นพ้นประตูไปก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อหันมาเจอสายตาจ้องมองอยู่ก่อนของหลวงเสนาะ

“พ่อใหญ่มีอะไรกับเจ้าแก้วมันรึ  หรือยังไม่หายโกรธเรื่องเมื่อคราวนั้น”  หลวงเสนาะเอ่ยถาม

“เปล่าขอรับ  กระผมไม่ได้โกรธอะไรเรื่องนั้น”  ชายหนุ่มตอบ  หากไม่กล้าสบตาคนแก่กว่า

 “ถ้าอย่างนั้นเหตุใดจึงจ้องเด็กมันไม่วางตาเหมือนไม่พอใจอย่างนั้นเล่า?”  หลวงเสนาะเอ่ยกลั้วหัวเราะ  แกล้งหยอกเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยขันในท่าทางของคนอ่อนวัย

“กระผมเปล่าไม่พอใจขอรับ  เพียงแต่...ไม่รู้ตัวว่ามองแบบนั้น”

“อ้อ  ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าพอใจเจ้าแก้วมัน”

“!”

“ฮ่ะๆๆ  พ่อใหญ่คิดไปถึงไหนกัน  ฉันหมายถึงว่าพ่อพอใจเจ้าแก้วที่มันแก่นเซี้ยวกล้าต่อยคางพ่อรึ?”

“เอ่อ”  คุณพระนายทำหน้าไม่ถูก  เพิ่งรู้ว่าถูกหลวงเสนาะแกล้งให้อาย

“เอาเถอะๆ  ลงไปข้างล่างกัน  ป่านนี้นังชบาตั้งสำรับเสร็จแล้วกระมัง”

“ขอรับ”

คุณพระนายหนุ่มถอนหายใจ  นึกบริภาษตัวเองที่ปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่านตีรวนในหัวจนไม่มีสมาธิทำงานตรงหน้า  ยิ่งพยายามไม่มองไม่สนใจก็ยิ่งยาก  แค่เพียงเห็นเงาคุ้นตาของใครคนนั้นที่เขาฝันถึงอยู่ทุกค่ำคืนอยู่ใกล้ๆ  ยามเมื่อแขนขาวนั้นเลื่อนยกแก้วน้ำวางบนโต๊ะเขาก็ได้แต่มองมือนั้นด้วยใจที่เต้นแรงราวกับกลองเพล  พอพยายามเสหลบตอนร่างนั้นคลานเข้ามารับคำสั่งของหลวงเสนาะเขาก็ไม่อาจห้ามสายตาให้จ้องมองแก้มเนียนที่ยังติดตรึงในใจนั้นได้  เขายังคงกระสากลิ่นหอมของน้ำปรุง  ดวงตาเรียวถูกซ่อนภายใต้ขนตายาว  คิ้วเรียวขมวดมุ่นคล้ายไม่พอใจ  ริมฝีปากสีเข้มเม้มแน่นและชายหนุ่มเข้าใจว่าสาเหตุความไม่พอใจของร่างเล็กนั่นคงมาจากเขา  แค่นั้น...ความยินดีในอกก็ลั่นโครมคราม  พล่านไปทั้งหัวใจจนพองฟูด้วยว่าอย่างน้อยเขาก็อยู่ในความสนใจของฝ่ายตรงข้ามบ้างแม้จะไม่ใช่อย่างที่นึกหวังก็ตามที

คุณพระนายไม่รู้ตัวว่าตนเอาแต่คอยชะเง้อมองหาร่างเล็กตลอดช่วงเวลาอาหารเย็น  หากหลวงเสนาะกลับยิ้มในหน้าแกล้งไม่สนใจแต่มักจะคอยเรียกให้แก้วตาเข้ามารับงานบ่อยๆ  นึกขำปนเอ็นดูคุณพระนายหนุ่มที่ประเดี๋ยวยิ้มประเดี๋ยวหงอยสลับไปมาจนอดจะแกล้งไม่ได้  หนำซ้ำผลพลอยได้ดูเหมือนจะเป็นเด็กในปกครองของตนที่ส่งสายตาต่อว่ามาเป็นระยะเมื่อหลวงเสนาะสั่งให้ตักนู่นตักนี่ให้คุณพระนายไม่หยุด  จนบางครั้งก็ต้องแอบหนีแล้วให้คนอื่นเข้าไปทำแทน



“ถ้าไม่ให้เรียกแม่หญิงก็บอกชื่อมาซิขอรับ”

“อุวะ  เอ็งอยากจะโดนต่อยอย่างนั้นรึ!”

“ก็บอกชื่อมาซิขอรับ  กระผมจะได้เรียกถูก”

“ข้าไม่บอก!”

“งั้นก็จะเรียกว่าแม่หญิงอย่างนี้แหละ”

“ไอ้!”  เสียงเถียงกันดังไปจนถึงบันไดเรือนใหญ่  หลวงเสนาะซึ่งลงมาส่งคุณพระนายเป็นคนสุดท้ายเลิกคิ้วแปลกใจกับเสียงนั้น  คุณพระนายเองก็รีบเดินไปยังคู่ที่กำลังเถียงกันไม่หยุดอย่างร้อนใจ

“มีเรื่องอะไรกัน  แสน?”  คุณพระนายมองเด็กหนุ่มตัวเล็กที่บัดนี้ถูกพี่ชายตัวโตสองคนรั้งแขนไว้คนละข้าง  ดวงหน้าเนียนเอาเรื่องไม่พอใจส่งมาให้ทั้งเขาและคนในปกครอง

“ก็แม่หญิงฉุยฉายน่ะซิขอรับ  ไม่ให้กระผมเรียกว่าแม่หญิงแต่ไม่ยอมบอกชื่อ”

“อย่ามาเรียกข้าว่าแม่หญิงนะ!”  คนตัวเล็กขู่ฟ่อ  ทำท่าจะกระโดดมาบีบคอเจ้าแสนหากติดว่ามาไม่ได้เท่านั้นเอง

“ฮ่ะๆๆ  เอ็งก็บอกพ่อใหญ่กับเจ้าแสนไปเสียซิว่าชื่ออะไร  ไม่อย่างนั้นข้าจะให้เจ้าแสนมันเรียกเอ็งว่า  แม่หญิงไปอย่างนี้ล่ะ”

“ท่านลุง!”  เด็กหนุ่มมองหน้าหลวงเสนาะที่เอ่ยคำนั้นออกมาอย่างไม่พอใจ

“แก้ว...”

“อะไรนะขอรับ  พูดเสียงเบาแบบนี้คุณใหญ่ท่านไม่ได้ยินหรอกนะขอรับ”    แสนว่าพลางยิ้มกว้าง  ได้ทีมีคนให้ท้ายยิ่งอยากแกล้งคนที่กล้าต่อยคางคุณพระนายของเขา

“แก้ว !  แก้วๆๆ  ได้ยินหรือยัง  ถ้าคราวนี้คุณพระนายของเอ็งยังไม่ได้ยินล่ะก็ข้าจะไปตัดหูนั่นทิ้งซะ!”  คนตัวเล็กตะโกนก้องให้หลวงเสนาะหัวเราะชอบใจ  หากคุณพระนายหนุ่มนั้นยืนนิ่ง  อยากหัวเราะก็หัวเราะไม่ออกเพราะดูท่าทางคนตัวเล็กจะไม่พอใจมากเหลือเกิน  คุณพระนายหนุ่มยกมือขึ้นแตะหูตัวเองด้วยกลัวว่าหากคนตัวเล็กหลุดมาได้คงกระโจนเข้ามาตัดหูเขาก่อนอันดับแรกเป็นแน่แท้   ท่าทางจะโกรธมากถึงขนาดแก้มเนียนนั้นแดงก่ำลามไปจนถึงใบหูแบบนั้น  ที่จริงชายหนุ่มรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายชื่อเต็มว่าอะไรแต่ดูเหมือนหลวงเสนาะต้องการจะแกล้งเด็กในปกครองเสียมากกว่าจึงต้อนให้แก้วตาต้องยอมตะโกนบอกชื่อตัวเองออกมา





“ฉันอิจฉาแกนักไอ้แสน”  เสียงทุ้มรำพึงขณะนั่งรถกลับเรือน  ให้แสนซึ่งนั่งข้างคนขับหันมามองอย่างแปลกใจ

“อิจฉากระผมเรื่องอะไรหรือขอรับ?”

“ถ้าแม้นได้พูดคุย  เล่นหัวกันแบบนั้นบ้างใจของฉันคงเป็นทุกข์น้อยลง”  คุณพระนายถอนหายใจ  ดวงตาหม่นเศร้าเหม่อมองไปนอกหน้าต่างรถ  ดวงจันทร์คืนแรมลอยอยู่เกือบกลางท้องฟ้า  ดูมืดมนไม่ต่างไปจากหัวใจของเขาสักนิด

“น่ากลัวว่าถ้าเป็นเช่นนั้นได้จริงคุณใหญ่คงต้องพกลูกประคบติดตัวไว้ตลอดเวลานะขอรับ”  คำพูดของแสนทำเอาคุณพระนายหัวเราะ  นึกถึงท่าทางเมื่อตอนหัวค่ำของแก้วตายิ่งนึกเอ็นดูปนขยาดจนต้องยกมือขึ้นแตะคาง  แตะหูตัวเอง

“นั่นซินะ  มือหนักหมัดหนักถึงขนาดนั้น”




**********



“...ใหญ่   พ่อใหญ่”

“อ๊ะ  ขอรับ!”  ชายหนุ่มสะดุ้งตกใจ  เพิ่งรู้ตัวว่าเอาแต่ชะเง้อคอมองไปทางเรือนซ้อมรำจนไม่ได้ยินเสียงเรียกของหลวงเสนาะ  ช่างน่าขายหน้านักที่ทำตัวไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่  ไม่สมกับเป็นขุนน้ำขุนนาง  เอาแต่ชะเง้อคอมองหาคนที่คิดถึงราวกับหนุ่มน้อยเพิ่งมีความรักต่อหน้าต่อตาผู้อาวุโส

“ใจลอยไปถึงไหนกัน”  หลวงเสนาะเอ่ยคล้ายไม่พอใจ

“ขอประทานโทษขอรับ”  ชายหนุ่มก้มหน้ายอมรับผิด  เขาจึงไม่เห็นรอยยิ้มมุมปากของคนตรงข้าม

“เขาเลิกประชุมกันหมดแล้ว  พ่อจะกลับเรือนรึอยู่ทานข้าวกับฉันก่อน?”  หลวงเสนาะถาม  ยิ่งคบหายิ่งรู้สึกเอ็นดูเหมือนลูกหลาน  ดังนั้นเวลานอกงานเขาจึงเรียกคุณพระนายหนุ่มด้วยสรรพนามเหมือนคนในครอบครัว

“เอ่อ”  ท่าทางอึกอักทำเอาคุณหลวงพ่นลมหายใจ

“วันนี้เจ้าแก้วมันไม่มาหรอก”

“กระผมไม่ได้!”

“พ่อไม่ได้อะไรรึ?”  ดวงตาหม่นจ้องมองสบเด็กหนุ่มที่มองกลับมา  ในนั้นมันสั่นระริกจนดูน่าสงสาร  มันสับสัน  มันคาดหวัง  บางครั้งก็ดูเศร้าสร้อย

“กระผมไม่ได้มองหาแก้วตาขอรับ”

“จริงรึ?  แต่ฉันเห็นพ่อมองหามันจนคอแทบเคล็ด”  ครั้นเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ตอบจึงเอ่ยต่อ “แม่พยอมป่วยมาหลายเพลาวันนี้มันคงมาซ้อมรำไม่ได้  นี่ฉันก็เพิ่งให้ไอ้กล้ามันเอายาไปให้”

“ถ้าอย่างนั้นกระผมขอตัวกลับก่อนนะขอรับ”  คุณพระนายยกมือขึ้นไหว้ลา  ลุกขึ้นยืนรวดเร็ว  ท่าทางแสดงออกอ่านง่ายนั้นทำให้หลวงเสนาะถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่  ประเดี๋ยวนี้ไม่รู้ทำไมเด็กๆมันถึงได้ปากแข็งกันนัก

“พ่อใหญ่”  เสียงเรียกทำให้ชายหนุ่มหยุดชะงัก

“ขอรับ?”

“มีเรื่องอะไรที่พ่อกลัวอยู่อย่างนั้นรึ?”

“กระผม...”

“เรื่องที่...พ่อต้องแต่งงานกับแม่โสภีหรือเรื่องที่พ่อรักใครคนอื่นที่ไม่ใช่แม่โสภี?”  คุณพระนายก้มหน้านิ่งให้คนสูงวัยถอนหายใจอีกคำรบ  “แล้วคนคนนั้นพ่อคิดว่าตัวเองไม่สมควรจะรักเพราะเขาไม่ใช่แม่หญิง  ที่ฉันพูดมานั้นถูกใช่หรือไม่?”  หลวงเสนาะเห็นท่าทางเศร้าสร้อยของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็อดจะยื่นมือเข้ามาช่วยไม่ได้

“กระผม...”

“พ่อเคยได้อ่านบทประพันธ์ขององค์สมเด็จฯ เรื่องท้าวแสนปมหรือไม่?”

“เคยขอรับ”

“ถ้าอย่างนั้นพ่อคงเคยอ่านกลอนบทนี้
 
ในลักษณ์นี้ว่าน่าประหลาด           เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา              ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที
เห็นแก้วแวววับที่จับจิต               ไยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี           อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ
อันของสูงแม้ปองต้องจิต              หากไม่คิดปีนป่ายจะได้หรือ
ไม่ใช่ของตลาดที่อาจซื้อ              ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม
ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง           คงชวดดวงบุบผชาติสะอาดหอม
ดูแต่ฝูงภุมรินเที่ยวบินดอม           จังได้ออมอบกลิ่นสุมาลี  ”
[/i]

ถึงฉันไม่มีเมียก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่เคยมีความรักหรอกนะ  ถ้าอย่างนั้นคงพูดได้ว่าฉันเข้าใจหัวอกพ่อใหญ่ได้อยู่นะ  ไปเถอะ  ไอ้แสนมายืนรอจนขาแข็งแล้วกระมัง”

“ถ้าอย่างนั้นกระผมลานะขอรับ”  ชายหนุ่มยกมือไหว้เมื่อเห็นดังท่านหลวงว่า 

“อ้อ  พ่อใหญ่ความรักน่ะไม่มีผิดถูกหรอกนะ  คนเราต่างหากที่ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาให้มันเป็นอย่างนั้น  ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นหญิงหรือชายหากหัวใจจะรักไหนเลยใครจะห้ามได้”

แสนเหลือบมองคุณพระนายด้วยความแปลกใจ  คำพูดไม่กี่ประโยคของหลวงเสนาะทำให้บนใบหน้าหล่อเหลาของคุณพระนายหนุ่มไม่มีดวงตาเศร้าสร้อยเหลือให้เห็น  จะมีก็แต่ความสับสนที่ยังคงเหลือเอาไว้  หาก...แต่มันก็น้อยนักเมื่อเทียบกับก่อนหน้า

หลวงเสนาะมองแผ่นหลังกว้างของคุณพระนายหนุ่มแล้วถอนหายใจ  สิ่งที่ท่านเอ่ยพูดไปก็รู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งควรนักหากมันมีผิดถูกด้วยหรือกับเรื่องของหัวใจ  มองแววตาของคุณพระนายหนุ่มเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าฝ่ายนั้นคิดกับเจ้าแก้วตาเด็กดื้ออย่างไร  ดวงตามันมิอาจปิดบังซ่อนเร้นความปรารถนาได้มิดเฉกเช่นเดียวกับความรักที่มิอาจหักห้ามใจไม่ให้รัก  แม้จะเป็นเรื่องไม่สมควรแต่ก็อยากจะให้เด็กหนุ่มผู้นั้นลองทำตามหัวใจของตนเอง  มีความสุขให้มากที่สุด...ก่อนจะทุกข์กับความรักที่มิอาจเลือกในวันข้างหน้า

V
V
V

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3



หนำซ้ำความผิดแปลกของเด็กในปกครองของตนยิ่งน่าลุ้น  เพราะดูเหมือนแก้วตาจะไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน  แม้จะโมโหโกรธาพี่น้องในเรือนซ้อมรำบ้าง  แต่ท่านก็มิเคยเห็นแก้มมันย้อมเลือดฝาดเช่นนี้  ดวงตาเรียวจ้องมองเอาเรื่อง  ท่าทางคล้ายไม่พอใจยามคุณพระนายจ้องมองแต่มันเสียอีกที่จ้องหาเรื่องเขาก่อนไปทุกครา 

ถ้าเจ้าแก้วมันไม่มองเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเขามอง...
.
.




“เอ็งทำกระไรของเอ็ง?”  นมแย้มเอ่ยถามร่างสูงใหญ่ที่นั่งหยิบนู่นจับนี่ไม่หยุด  หนำซ้ำยังมีกล่องเล็กๆเตรียมห่อผ้าเอาไว้ด้วย

“เตรียมลูกประคบจ้ะนม”

“ใครเป็นอะไร  หรือคุณใหญ่เธอเจ็บตัวมาอีก?”

“ยังไม่เจ็บดอกจ้ะนม  แต่กระผมเตรียมไว้เผื่อคางคุณใหญ่จะช้ำมาอีก”

“ไอ้แสน!  มาแช่งให้คุณใหญ่เจ็บตัวได้เยี่ยงไร  เอ็งนี่!”

“โอ๊ย  กระผมเปล่าแช่งนะขอรับ  แค่เตรียมการณ์เอาไว้เท่านั้นเอง”  คำตอบนั้นทำให้นมแย้มส่งค้อนมาให้

“แล้วจะเตรียมทำไม?”

“ยังบอกไม่ได้ขอรับ”

“ชิชะ  เอ็งจะมีความลับกะข้าอย่างนั้นรึ?”

“ใครจะกล้า~”

“งั้นก็บอกมา”  นมแย้มสั่ง  แสนเหลียวซ้ายแลขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงโน้มลงกระซิบ

“คุณใหญ่จะไปตามหาดวงใจขอรับ”

“?”

“เห็นไหม  บอกแล้วนมก็ไม่เข้าใจดอก”

“บ๊ะ  เอ็งรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่เข้าใจ  ว่าแต่เธอคนนั้นไม่ใช่แม่หญิงมิใช่รึ?”  ท้ายประโยคนมแย้มกลายเป็นฝ่ายกระซิบเสียเอง

“ความรักน่ะไม่มีผิดถูกหรอกนะนม  คนเราต่างหากที่ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาให้มันเป็นอย่างนั้น  ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นหญิงหรือชายหากหัวใจจะรักไหนเลยใครจะห้ามได้”  ไอ้แสนลอกคำคุณหลวงมาทั้งดุ้น  พลางทำท่าอวดภูมิให้นมแย้มส่งค้อนรอบสอง

“เออๆ”  นมแย้มถอนหายใจ  มองขึ้นไปบนเรือนใหญ่ยิ่งถอนหายใจหนัก  ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วคุณพระนายของนมจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร  ถึงจะรักมากก็แต่งเป็นเมียไม่ได้  หรือถึงจะเป็นแม่หญิงจริงก็แต่งไม่ได้อยู่ดี  เฮ้อ~


.
.


“คุณใหญ่ไม่เข้าไปหรือขอรับ?”  คนด้านหลังกระซิบถาม  มองเข้าไปในเรือนซึ่งมีแสงตะเกียงลอดผ่านแล้วมองหน้าคนเป็นนายด้วยความสงสัย

คนด้านหน้าไม่ตอบ  แสนจึงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก  ได้แต่ยืนเงียบๆเป็นเพื่อนคุณพระนายพลางกอดห่อลูกประคบเอาไว้แน่น  ตอนออกจากเรือนคุณพระนายถามเขาก็ไม่ยอมบอกว่าหอบอะไรไว้จนท่านเลิกซักไปเองด้วยความรำคาญ  เขาก็นึกว่าคุณพระนายจะบุกเข้าไปยังเรือนหลังเล็กนั่นแล้วบอกแม่หญิงฉุยฉาย  เอ้ย  คุณแก้วเธอว่าคิดถึงเสียอีก  ที่ไหนได้คุณพระนายกลับพาเขามาหลบอยู่หลังต้นดอกแก้วริมรั้วนั่นเอง

เงาร่างเจ้าของผิวกายขาวผ่องสะท้อนแสงตะเกียงให้ยิ่งดูนวลตาชวนมองกำลังตักบางอย่างป้อนคนเป็นมารดาพลางพูดเจื้อยแจ้วเสียงใส  ริมฝีปากสีชาดแม้มองจากที่ไกลๆยังดูน่าเชยชม  เรียกร้องให้คนมองอยากสัมผัสดูแม้ซักเสี้ยวนาที  เรือนผมดำขลับดังขนกายาวสยายด้วยคงเพิ่งอาบน้ำเพราะยังเปียกชื้น    ชายหนุ่มพยายามควบคุมลมหายใจเมื่อนึกถึงว่ากลิ่นกายของร่างเล็กคงหอมยิ่งกว่ากลิ่นดอกราตรีที่โชยมายามนี้  ในอกก็พลันพองฟู

ตั้งแต่กลับจากเรือนหลวงเสนาะวันนั้นเขาก็เอาแต่ครุ่นคิดถึงคำพูดของคุณหลวง  จากข้างแรมกลายเป็นข้างขึ้นจนเดือนหงาย  เขาไม่ได้พบหน้าของแก้วตาอีกเลย  นอนไม่หลับกินได้น้อยในอกร่ำๆจะแตกเพราะความคิดถึงมันล้นจนเก็บไม่อยู่  ตัดสินใจลากไอ้แสนออกมาจากเรือนเพื่อหวังเพียงแค่ได้เห็นหน้าของคนที่จะทำให้หัวใจของเขาแช่มชื่นขึ้น

“แก้วตา...”  เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วร้องเรียก  แค่เพียงเห็นหน้าความร้อนรุ่มในอกกลับกลายเป็นเย็นชื่น  จนเมื่อคนด้านในลุกขึ้นประคองมารดาเข้าไปด้านใน  นานจนชายหนุ่มคิดว่าอีกฝ่ายอาจหลับไปแล้วก็พลันปรากฏร่างนั้นเดินออกมายังนอกเรือนก่อนจะทิ้งกายลงนั่งบนแคร่ใต้ต้นดอกพิกุลหน้าเรือนนั่นเอง  ร่างสูงจึงเผลอกลั้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัว

จันทร์ข้างขึ้นสว่างไปทั้งฟ้าสาดส่องให้แลเห็นทุกสิ่งได้กระจ่างตา  รวมถึงร่างอรชรของเจ้าฉุยฉายคนงามของคุณพระนายที่เผยสีหน้าย่นยู่  นั่งๆอยู่มือขาวก็ยกขึ้นตบเบาๆบนแก้มตัวเองให้คนแอบมองเลิกคิ้ว  ริมฝีปากอิ่มสีชาดขมุบขมิบฟังไม่ได้ศัพท์บ่นรำพึงกับตัวเองแล้วเงยหน้ามองฟ้า

“ต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ”  ถ้อยคำที่ชายหนุ่มฟังออกเพียงประโยคเดียว  ก่อนเจ้าของคำพูดจะนั่งนิ่งไม่ขยับ  ดวงตาเรียวคู่นั้นไม่ละไปจากจันทร์บนฟ้าเช่นเดียวกับเขาที่ไม่ละสายตาไปจากดวงหน้าเนียนนั้น

นานจนจันทร์ดวงโตลอยค่อนไปกลางฟ้านั่นแหละร่างที่นั่งนิ่งจึงขยับลุกขึ้นไปดับตะเกียงแล้วหายเข้าในเรือนหลังเล็ก    คุณพระนายขยับกายคล้ายผวาตามเช่นหัวใจของเขาลอยตามร่างเล็กเข้าเรือนไปด้วย

“จะกลับเลยไหมขอรับ?”  แสนเอ่ยถามพลางเกาแขนเกาขาตัวเองไปด้วย  มืออีกข้างยังไม่เลิกโบกผ้าไล่ยุงให้คนเป็นนาย  แต่เขานี่ซิ  ยุงกัดก็ไม่กล้าตบได้แต่ลูบๆไปมาไม่หายคันเพราะกลัวว่าแม่หญิงฉุยฉายของคุณพระนายจะรู้ตัว  จนเมื่อฝ่ายนั้นเข้าเรือนไปเขาจึงตบแปะไปทั่ว

“อีกประเดี๋ยว”  จนเมื่อไม่มีแสงใดลอดผ่านเขาจึงถอนหายใจแล้วหันหลังเดินออกมา



พระจันทร์ใกล้ลับเหลี่ยมฟ้า  หากชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งริมหน้าต่าง  ภาพเมื่อหัวค่ำยังคงติดตรึงไม่หาย  ดวงหน้าแฉล้มของคนน่ารักวนเวียนให้คิดถึงจนไม่อาจหลับตา  ก้มลงมองดอกแก้วที่เผลอเด็ดติดมือมาแล้วยกขึ้นสูดดม

โอ้น้ำค้างกลางหาวหนาวละห้อย              อย่าหยดย้อยหยุดบ้างน้ำค้างเอ๋ย
โอ้ดอกดวงพวงพะยอมอย่าหอมเลย        พี่อยากเชยชมชูเรณูนวล
โอ้พระจันทร์อันสว่างกระจ่างแจ้ง           อย่าเข้าแฝงเมฆมนลมบนหวน
ขอชมต่างหน้าน้องละอองนวล               อย่าเพ่อด่วนลับเหลี่ยมเมรุไกร
โอ้ว่าดวงดาราในอากาศ                            เดียรดาษแวมวามงามไสว
ลอยประโลมเลื่อมฟ้านภาลัย                   เหมือนดวงใจของพี่ที่เลื่อนลอย
พี่อยากได้ดวงดาวอันวาววับ                   นึกขยับแล้วขยาดไม่อาจสอย
ชมแต่แสงสุกสว่างอยู่พร่างพร้อย            พี่บุญน้อยนึกปองไม่ต้องการ


“เห็นแก้วแวววับที่จับจิต  ไยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่  เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี  อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ...”  เสียงทุ้มเอ่ยบทกลอนที่คุณหลวงท่องให้ฟังกับตนเองแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก  ยกดอกแก้วในมือทาบอกซ้ายก่อนตัดสินใจแน่วแน่
...หากคิดรักก็จะรักให้สุดใจ...




**********


“อาจารย์กิตติ?”

“ค่ะ  เขาบอกว่ามีธุระกับคุณโสภี”  บ่าวสาวรายงานให้คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวนหลังบ้านละสายตามามอง  ก่อนลุกเดินไปยังห้องรับแขกรวดเร็ว      ท่าทางมองซ้ายเหลียวขวาของคนบนโซฟาให้โสภีขมวดคิ้ว  เหลือบมองสิ่งที่วางข้างกายของเขาแล้วพลันใจเต้น  มันถูกห่อด้วยผ้าสีขาวเอาไว้อย่างมิดชิด

“ดิฉันไปหาคุณที่มหาวิทยาลัยเมื่ออาทิตย์ก่อนแต่ไม่เจอ”  หญิงสาวทัก  อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวกับการทักทายของเจ้าของบ้านพลันสะดุ้งเฮือก  ท่าทางหวาดกลัวทำเอาเธออยากจะหัวเราะเพราะมันดูต่างจากที่เธอเคยจำได้ว่าอาจารย์คนนี้นั้นมักจะแต่งกายสุภาพทุกกระเบียดนิ้วและวางท่าให้ดูสุขุมอยู่ตลอดเวลา

“ผมมาพบคุณ”  กิตติเอ่ย  พลางหันกลับไปมองนอกบ้านเป็นระยะๆคล้ายกลัวว่ามีใครตามมา

“คุณมีธุระอะไรกับดิฉันหรือเปล่าคะ”  โสภีถามหากสายตาจับจ้องสิ่งที่กิตติห่อเอาไว้ไม่วางตา

“ภาพที่คุณอยากได้”

“จริงรึ?”  โสภีถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น  เธอแทบจะถลาไปคว้าภาพนั้นมาเปิดดูด้วยความดีใจ  หากแต่ต้องเก็บอาการไว้

“ผมไม่โกหกคุณหรอก”  กิตติแกะปมผ้าที่ห่อภาพนั้นออก  เผยให้เห็นรูปใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาโศกของคนในภาพ

“คุณพี่ของน้อง”  หญิงสาวครางในลำคอ  หัวใจของเธอเต้นแรง  เต็มตื้นจนน้ำตาคลอก่อนย้ายตัวเองไปนั่งโซฟาตัวเดียวกับกิตติแล้วแตะภาพนั้นแผ่วเบา

“ผมขายให้คุณ”  กิตติบอก

“อะไรนะ  ไหนคุณบอกว่าภาพนี้เป็นของนักศึกษาของคุณ”  โสภีถาม

“ผมต้องการเงิน”

“เท่าไหร่?” หญิงสาวไม่ซักต่อถึงเหตุผลของกิตติ  ขอเพียงแค่เธอได้ภาพนี้มาเท่านั้นก็เพียงพอแล้วในตอนนี้

“สามหมื่นบาท”

“อะไรนะ?”

“ผมต้องการราคานี้”  กิตติยืนยันราคา  เมื่อมีโอกาสขูดรีดเขาก็ต้องเรียกให้แพงเท่าที่จะทำได้  อีกทั้งยังได้แก้แค้นด้วย  มันที่ทำให้เขาต้องหนีอยู่แบบนี้ไงเล่า!

“ได้  ฉันจะจ่ายให้คุณ  เพิ่มให้อีกสองพันเลยด้วย”  โสภีตอบตกลง  ไม่ว่าราคาที่กิตติเรียกร้องนั้นจะแพงแค่ไหนเธอก็ยินดีจ่าย  ขอเพียงให้ได้ภาพนี้มา  ภาพของคนที่เธอฝันถึงตั้งแต่จำความได้  คนที่เธอรู้เพียงว่ารักแม้จะจำไม่ได้ทั้งหมดว่าเพราะอะไรเธอถึงรัก  โสภีรู้แต่เพียงคนในภาพต้องเป็นของเธอเท่านั้นไม่ใช่ของใครอีกคน!

กิตติยินดีล้นเหลือ  เขานับเงินในมือด้วยความตื่นเต้น  ชะเง้อมองนอกรั้วบ้านแล้วนับใหม่

“คุณกิตติฉันถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”

“ครับ?”

“ใครคือเจ้าของภาพนี้  ใครเป็นคนวาด”

“...เขา”   กิตติเกิดอาการลังเลอยู่ชั่วครู่  แต่เมื่อเห็นสายตาจริงจังของหญิงสาวตรงหน้าเขาก็เอ่ยปากตอบในที่สุด  “แก้ว  แก้วตา  เขาเป็นเจ้าของภาพนี้และเป็นคนวาด”

“!”  สีหน้าตื่นตกใจของโสภีทำให้กิตติขมวดคิ้ว  แต่เรื่องอะไรเขาจะสน  ตอนนี้เรื่องที่เขาต้องใส่ใจคือต้องหนีให้พ้นจากไอ้ผีตัวนั้นต่างหาก!




เขาหอบภาพวาดของแก้วตาหนีออกมาจากห้องนั้นด้วยเพราะหวังว่า  เปิดเรียนเมื่อใดเขาจะใช้ภาพนั้นข่มขู่ให้แก้วตาปิดปากเงียบเรื่องที่เขากระทำ  ไม่นำมันไปฟ้องท่านอธิการหรือแพร่งพรายให้ใครรู้  เขาหอบภาพกลับบ้านด้วยความหวังว่าปัญหาจะมีทางแก้อย่างแน่นอน  แล้วเมื่อเด็กแก้วตาเริ่มลืมเรื่องนั้นเมื่อไหร่เขาจะวางแผนใหม่  เพื่อให้เด็กนั่นกลายเป็นของเขาอย่างที่ปรารถนา! 

กิตติอาบน้ำเตรียมเข้านอน  เขาหันมองภาพวาดของแก้วตาอีกครั้งก่อนจะก้าวขึ้นเตียง  แต่แล้วจู่ๆลมแรงก็พัดข้าวของในห้องกระจัดกระจาย  ยกเว้นเพียงภาพนั้นที่ยังตั้งอยู่จุดเดิมไม่เคลื่อนไหว  กิตติเหลือบมองรอบห้องเขามั่นใจว่าตนเองปิดประตูหน้าต่างทุกบานแล้วแน่ๆ  เหตุใดลมแรงขนาดนี้จึงพัดเข้ามาได้  ก่อนที่เขาจะผงะถอยหลังเมื่อเงาร่างสูงใหญ่ของอะไรบางอย่างสาวเท้าเข้ามาหาเขาเชื่องช้า  ไม่มีเสียงใดผ่านเข้ามาในโสตประสาท  ทุกอย่างเงียบราวกับไม่มีสิ่งอื่นใดในห้อง  ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ลมแรงนั้นหยุดพัด  เขายืนนิ่งอยู่กับที่เพราะก้าวขาไม่ออก  เรือนร่างสูงใหญ่นั่นย่างก้าวเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ  ดวงตาสีแดงฉานนั้นจ้องมองเขาอย่างเคียดแค้น  มือใหญ่ยกขึ้นตรงหน้าแล้วคว้าคอเขาเอาไว้  กิตติเบิกตาโพลงด้วยความหวาดกลัว

“มึงช่างบังอาจนักไอ้คนชั่วช้า!”  เสียงนั้นกิตติจำมันได้ดี  มันเป็นเสียงที่เคยดังมาจากปากของแก้วตาเมื่อตอนกลางวัน  มันตามเขามาถึงบ้าน!

“มะ  ไม่  อ่อก!”  กิตติพยายามจะเอ่ยร้องขอความเมตตา  คอของเขาถูกบีบแน่นขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียว  เรี่ยวแรงนั่นราวกับคีมเหล็กที่ไม่ว่าเขาจะดึงอย่างไรก็ไม่มีทางสะเทือน  กิตติยกขาขึ้นเพื่อหวังเตะร่างนั้นหากแต่กลับกลายเป็นเขาเตะอากาศว่างเปล่าทั้งๆที่เห็นอยู่ว่าเจ้าของมือยืนชิดเขาอยู่ตรงหน้า  แต่ทำไมถึงเตะไม่โดน!  รอยยิ้มชั่วร้ายและเสียงหัวเราะเย็นยะเยือกเล็ดลอดมาจากริมฝีปากหนาคู่นั้น  ยิ่งกิตติพยายามดิ้นรนมากเท่าไหร่มือนั้นก็ยิ่งบีบแน่นมากขึ้น  อากาศไหลเข้าปอดน้อยลงทุกทีๆ  ดวงตาเจ้าเล่ห์ที่เคยใช้มองแก้วตาอย่างหยาบคายบัดนี้เหลือกถลน

“กล้าใช้มือโสโครกนั่นแตะต้องคุณแก้ว  ปากสกปรกของมึงที่แตะแก้มคุณแก้ว  มึงมันสมควรตายนัก!”

“อ่อก!”  เสียงตวาดลั่นดังกึกก้อง  สติของกิตติลางเลือนเพราะเริ่มขาดอากาศหายใจ

“จำเอาไว้  หากมึงโผล่หน้าไปที่มหาวิทยาลัยอีกกูจะตามไปหักคอมึง  และหากมึงกล้าแตะต้องคุณแก้วตาอีกกูจะฆ่ามึงเสีย!”

“แค่ก!  เฮือก!”  ร่างของกิตติร่วงลงกองกับพื้นเมื่อมือแข็งแรงนั้นปล่อยลำคอของเขา  กิตติไอโขลกสลับกอบโกยอากาศเข้าปอดอย่างเอาเป็นเอาตาย  ความหวดกลัวทำให้ร่างของเขาสั่นเทา  ดวงตาแดงฉานนั้นค่อยๆก้มลงต่ำตามติดจ้องหน้าเขาชิดชนิดที่เห็นเส้นเลือดในดวงตาคู่นั้นแทบทุกเส้น  ความเย็นยะเยือกห้อมล้อมร่างของเขาเอาไว้ 

“หากมึงยังอยู่ที่นี่  กูจะตามมาฆ่ามึง!”


หนี!  เขาต้องหนี!

กิตติประกาศขายบ้านแล้วหนีไปนอนตามบ้านเช่ารายวัน  เขาเปลี่ยนที่พักทุกวันๆ  เพราะกลัววิญญาณตนนั้นจะตามมา  ก่อนที่จะหอบเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเขาคว้าภาพวาดของแก้วตามาด้วย  คิดหาทางที่จะให้มันทำเงินเพื่อให้เขาหนี  แล้วเขาก็นึกถึงโสภี  หญิงสาวที่สนใจรูปภาพของเด็กนั่นโดยบังเอิญ  เขาเห็นความปรารถนาในดวงตาของโสภีที่มีต่อรูปภาพนั้น  เขาก็เลยเอามันมาขายให้หล่อนเพื่อที่เขาจะได้เงินก้อนโตแล้วหนีไปต่างประเทศ  หนีไอ้ผีตัวนั้นที่จะตามมาฆ่าเขา!







“แก้ว  แก้วตา  เขาเป็นเจ้าของภาพนี้และเป็นคนวาด”

โสภีนิ่งงัน  เธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิมแม้ว่ากิตติจะออกไปแล้ว  ดวงตาคู่สวยจ้องมองภาพวาดนิ่ง  ลายเส้นคมชัด  ภาพราวกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ  หากแต่คนวาดและเป็นเจ้าของภาพนี้นั้นทำให้หล่อนตะลึงงัน  ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจอย่างรุนแรง  ปะปนทั้งอิจฉา  ริษยา  หึงหวงและเหนืออื่นใด  ...เธอไม่อยากให้ชื่อนี้มาเกี่ยวข้องกับชายในฝันที่เธอรัก!

แม้จะยังไม่เคยเห็นหน้า  แม้จะไม่รู้จักแต่โสภีรับรู้ตั้งแต่เริ่มฝันถึงชายที่ชื่อคุณใหญ่  ยามเมื่อเธอฝันเห็นเขามักจะได้ยินเสียงทุ้มนุ่มนั้นร้องเรียกชื่อของใครบางคน  รวมถึงรอยยิ้มที่เธออยากได้อยากครอบครองนั่นด้วย  มันจะส่งไปให้คนคนนั้นเพียงคนเดียวเสมอๆ  ทั้งๆที่ในฝันเธอร้องขอให้เขายิ้มให้เธอ  เรียกชื่อของเธอ  เขาก็เพียงแต่เรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงเฉยชาหากไม่เคยยิ้ม  ยิ้มอันแสนอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกรัก...เธออยากได้มัน  ดังนั้นเธอจึงอิจฉา  ริษยาสิ่งที่คนชื่อแก้วตาได้รับ 

แม้จะเป็นเพียงความฝัน  แต่สักวัน  โสภีเฝ้าหวังว่าชายคนนั้นจะมีตัวตนอยู่จริง  และยิ่งเมื่อเห็นภาพนี้ครั้งแรกเธอมั่นใจว่าต้นแบบคือชายในความฝันที่หล่อนฝันถึงทุกค่ำคืนคนนั้นอย่างแน่นอน  เธออยากเจอคนวาดภาพนี้เพื่อถามว่าคนในภาพเป็นใคร  อยู่ที่ไหน  เมื่อเธอรู้  เธอจะไปหาเขา  ขอให้เขาเรียกชื่อเธอ  ยิ้มให้เธอและรักเธอเช่นที่เธอรัก

แต่คำตอบที่ได้รับจากกิตติทำให้เธอไม่พอใจ  กลัว...  กลัวว่าหากชายในฝันของเธอคนนั้นมีตัวตนอยู่จริงจะรักแก้วตาคนที่วาดภาพนี้  เช่นเดียวกับในความฝัน  นั่นทำให้โสภีทนไม่ได้


แก้วตา  จะต้องไม่มีชื่อนี้มาทำให้คุณพี่หลงรักอีก!






โปรดติดตามกาลต่อไป



มีอะรผิดพลาดติ-ชมกันได้นะคะ

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
โสภีเป็นตัวร้ายจริงด้วย

แต่ถ้าทำอะไรแก้ว ทั้งคุณพระนาย ทั้งแสนไม่ปล่อยไว้แน่
ชิมิๆ

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
เย็นๆจะตามมาอ่านค่ะ ขอทำงานแป๊บ ^ ^

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
จะชาติที่แล้วหรือชาตินี้ เธอก็เป็นตัวร้ายใช่ไหมเนี่ยคุณโสภี :angry2:
อย่าทำร้ายน้องแก้วนะ ไม่งั้นโดน :z6: แน่ๆเลย
แต่น้องแก้วจอมดื้อน่ารักจังเลย กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งรัก อิอิ :o8:

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
 
อ่านแล้วได้อารมณ์แบบ---ถึงไม่ได้เห็นหน้าแค่ได้เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี
ถึงว่าคนสมัยก่อนถึงรักกันยาวนานเพราะต้องใช้เวลาอดทนและรอคอย

แหม---ถ้าเป็นสมัยนี้น่ะเหรอ
คงจะโพสรูปคู่ประกาศให้โลกรู้ว่าเรารักกันปานจะแหกตูดดม
แต่คบกันได้ไม่ถึงปีก็แยกย้ายกันไป---ทางใครทางมัน---บายยยยยย

+ เป็ดจ้า

ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
ชอบท่านลุงของแก้วจัง หัวสมัยใหม่เหมือนกันนะี่ แสดงว่าเป็นหนุ่ม'Y' แน่ๆเลย

ออฟไลน์ popuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สนุกมากเลยค่ะ ชอบภาษาของคนเขียนมากๆเลย
 อ่านแล้วเสพภาษาสวยๆเรื่องก็น่าติดตามแบบนี้ มันฟินจริงๆค่ะ ><
แก้วตานี่น่ารักจริงๆ ขอให้คุณพระนายสมหวังไวๆนะคะ

carenaka

  • บุคคลทั่วไป
 :z3: สนุกมากค่ะ รอตอนต่อไปนะค่ะ

ออฟไลน์ ๐DeAchieS๐

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0




มาต่อแล้วววววววว

เปนกะลังใจให้เสมอนะครับ

^^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด