อสงไขย
กาลที่๖.๑
“แก้ว... แก้ว!”
เสียงเรียกคล้ายแว่วมาจากที่ไกลๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อแรงเขย่าหนักมือตามความร้อนรนของคนเรียก ดวงตาเรียวเปิดรับแสงก่อนจะหรี่ลงเมื่อรู้สึกแสบตาแล้วจึงค่อยๆลืมขึ้นใหม่อีกครั้งจนได้เห็นเจ้าของเสียง
“ฤดี?” เสียงแหบพร่าเอ่ยชื่อเพื่อน ให้หญิงสาวรีบหันไปเทน้ำจากเหยือกแล้วพยุงร่างคนบนเตียงขึ้นนั่ง
“เป็นอย่างไรบ้าง ทำไมถึงไม่ไปหาหมอที่โรงพยาบาล?” คนเป็นห่วงถามเสียงดุ ดวงหน้าซีดเซียวของเพื่อนทำให้ฤดีอยากจะลากตัวไปนอนโรงพยาบาลเสียเหลือเกิน
“โรงพยาบาล?”
“ก็ใช่น่ะซิ เธอไม่สบายมากเลยนะ ถึงจะไม่มีไข้แล้วก็เถอะ” ว่าแล้วจึงยกมือขึ้นแตะหน้าผากชื้นเหงื่อของเพื่อน นอกจากจะไม่มีไข้แล้วตัวแก้วตาออกจะเย็นเกินไปด้วยซ้ำ ทั้งๆที่ฤดีก็เห็นว่าเพื่อนของเธอห่มผ้าหนาตั้งหลายชั้น
“เราไม่เป็นอะไรมากหรอกฤดีแค่รู้สึกเพลียๆน่ะ”
“แต่น่าจะไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจเสียหน่อยนะ”
“อย่าเลย นี่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วล่ะ”
“ตามใจ”
“แล้วนี่ฤดีมาหาเราหรือ?”
“ใช่ มากับพี่ชายน่ะ รออยู่ข้างล่าง” ฤดีตอบท่าทางคล้ายไม่พอใจบางอย่าง
“งั้นหรือ? มีอะไรหรือเปล่าฤดี”
“ก็นายแสนน่ะซีไม่ยอมให้พี่ชายขึ้นมาเยี่ยมแก้วด้วยกันกับเรา นี่ขนาดว่าเราเป็นผู้หญิงนะยังแทบจะไม่ยอมให้ขึ้นมาด้วยซ้ำถ้าไม่เจอน้าเพ็ญน่ากลัวว่าคงไม่ได้ขึ้นมาเสียกระมัง สงสัยกลัวเราจะปล้ำเธอล่ะมั้ง” คำบอกเล่าของเพื่อนสาวทำเอาแก้วตาเลิกคิ้วแปลกใจ
“ไม่หรอกมั้ง แสนเขาอาจจะยังไม่คุ้น”
“แก้ตัวแทนไปเถอะ ตาคนนั้นน่ะน่ากลัวพิกล”
“แสนน่ะหรือน่ากลัว? ฤดีคิดมากไปหรือเปล่า” เด็กหนุ่มยิ้มบางกับความคิดของเพื่อน
“ไม่คิดมากหรอก กับเราน่ะไม่เท่าไหร่แต่กับพี่ชายนี่ซิไม่ยอมให้ก้าวเท้าเข้ามาในเรือนใหญ่แม้แต่ก้าวเดียวเลยนะ”
“งั้นหรือ?”
“เอาเถอะ แล้วนี่หิวหรือยังเดี๋ยวเราไปยกข้าวต้มมาให้ น้าเพ็ญเพิ่งจะลงไปเมื่อครู่นี้เอง”
“ลงไปข้างล่างเถอะ พี่ชายอยู่ที่ศาลาขาวไม่ใช่หรือ”
“ไหวหรือ?” ฤดีถามย้ำ กลัวว่าเพื่อนจะเป็นลมทั้งยืนอย่างคราวที่แล้วอีก แต่แก้วตาก็ลุกขึ้นยืนข้างเตียง แม้จะยังเพลียจนเซไปบ้างหากยังยิ้มให้เพื่อนสบายใจ
“จริงซิฤดี วันนี้วันที่เท่าไหร่?” แก้วตาเอ่ยถามคนข้างตัว
“๒๐ ทำไมเหรอ?”
“๒๐ เหรอ จริงซิต้องไปวันนี้นี่นา” เด็กหนุ่มพึมพำหลังได้คำตอบจากเพื่อน
“ไปไหน”
“ไปหาอาจารย์กิตติ ต้องไปเอารูป”
“แต่เธอยังป่วยอยู่นะ” เพื่อนสาวท้วง
“แต่เราต้องไป”
“แก้วครับพี่ว่า...”
“ไม่ ต้องไป บอกเอาไว้แล้วว่าจะไปรับ บอกเขาเอาไว้แล้ว” ประโยคเลื่อนลอยจากริมฝีปากอิ่มทำให้คนฟังขมวดคิ้วสงสัย
“ไปรับ ไปรับใครหรือแก้ว?” ฤดีแตะแขนเพื่อน แก้วตาสะดุ้งมองหน้าฤดีพลางเลิกคิ้ว
“อะไรนะ?”
“เมื่อครู่เธอบอกว่าจะไปรับเขา รับใครอย่างนั้นหรือ?”
“เปล่านี่ เราแค่บอกว่าต้องไปเอารูปที่อาจารย์กิตติ”
“แต่...”
“ไปกันเถอะ”
“แก้วครับ เดี๋ยวพี่กับฤดีไปเอาให้ก็ได้ครับ แก้วพักผ่อนเถอะ” ชายท้วงอีกครั้งหากเด็กหนุ่มกลับลุกขึ้นยืนหันหลังออกเดินไปทางประตู
“ไม่ครับ ผมจะไปรับเขาเอง” ประโยคนั้นทำให้ฤดีอ้าปากจะถาม หากชายกลับแตะแขนห้ามน้องสาวเอาไว้แล้วรีบวิ่งไปเดินเคียงเด็กหนุ่มอย่างเร่งรีบ
“ถ้าอย่างนั้นพี่จะไปส่งนะครับ” ชายเสนอ แก้วตาหยุดเท้ามองพี่ชายของเพื่อนนิ่ง
“ให้พี่ชายไปส่งเถอะเธอเพิ่งจะหายป่วย อีกอย่างเราก็พูดไว้แล้วว่าจะไปเป็นเพื่อนแก้วเอารูปน่ะ” แก้วตาพยักหน้ารับคำพูดของเพื่อนสาวก่อนจะยอมขึ้นรถ
ช่วงปิดเทอมมหาวิทยาลัยเงียบนัก เพราะมีเพียงอาจารย์เท่านั้นที่ยังมาทำงานเตรียมตัวก่อนเปิดเทอม แก้วตาขอลงหน้าตึกคณะฯแล้วตรงไปยังห้องอาจารย์โดยมีฤดีตามลงมาด้วย
“ฤดี?” เสียงเรียกทำให้หญิงสาวหันไปมอง
“คุณน้าโสภี?” ฤดีเลิกคิ้วแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะเจอญาติสาวที่นี่ “มาทำอะไรหรือคะ?”
“น้ามาติดต่อเรื่องรูปกับอาจารย์กิตติน่ะจ้ะ”
“รูป?” ฤดีสงสัย ยิ่งเป็นชื่อของอาจารย์กิตติเธอเลยยิ่งไม่ไว้ใจเพราะไม่ชอบหน้า หันไปมองเพื่อนก็เห็นเพียงหลังไวๆเดินลิ่วไม่รอเธอ
“แล้วนี่ฤดีมาทำอะไรที่มหาวิทยาลัยช่วงปิดเทอมล่ะจ๊ะ”
“ฤดีมาส่งเพื่อนเอาการบ้านน่ะค่ะ เขาหวงมากเลยต้องรีบมาเอา” ฤดีนินทาเพื่อนรักให้ญาติสาวฟัง โสภีหัวเราะเอ็นดู
“อย่างนั้นหรือจ๊ะ แล้วนี่ไปไหนเสียแล้วล่ะ?”
“วิ่งนำหน้าไปโน่นแล้วค่ะ ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนาเชียว”
“ถ้าอย่างนั้นฤดีไปตามเพื่อนเถอะจ้ะ น้าจะแวะไปคุยธุระก่อน” โสภียิ้มเอ็นดูให้หลานสาวก่อนจะออกเดินไปอีกทาง
แก้วตาหยุดหอบหายใจ ภายในห้องเก็บภาพอาจารย์กิตตินั่งอยู่ตรงโต๊ะเงยหน้าขึ้นมองแล้วยกยิ้มให้คนที่ก้าวเข้ามาในห้อง
“อ้าว แก้วตา?”
“อาจารย์ สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มยกมือไหว้ หากสายตาก็มองหารูปของตัวเองรวดเร็ว
“มาเอารูปอย่างนั้นหรือ?”
“ครับ” แก้วตาตอบหากไม่ได้มองคนถาม เขาจึงไม่เห็นว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นยืนเดินเข้ามาใกล้เขา
“ที่จริงมาเอาทีเดียวตอนเปิดเทอมเลยก็ได้แท้ๆ”
“อาจารย์?” แก้วตาผงะถอยหลังเมื่อกลิ่นน้ำหอมประจำตัวของกิตติลอยแตะจมูก บ่งบอกว่าเขาถูกอีกฝ่ายเข้าใกล้ชนิดประชิดติดตัวเลยทีเดียว
“หรือว่าอันที่จริงแล้วเธอไม่ได้ตั้งใจจะมาเอารูป?”
“อาจารย์พูดอะไรครับ?” แก้วตาก้าวถอยหลัง ท่าทางคุกคามของอาจารย์หนุ่มและรอยยิ้มแปลกๆทำให้รู้สึกไม่ดี
“ไม่เอาน่าแก้ว ความจริงแล้วเธอเองก็สนใจฉันอยู่เหมือนกันใช่ไหม?”
“อาจารย์!” แก้วตาปัดมือที่ยื่นแตะแก้มเขาออกอย่างรุนแรง ความรู้สึกรังเกียจพุ่งทะลัก เขารู้มาบ้างว่าอาจารย์กิตตินั้นมีรสนิยมทางเพศผิดแปลก เขาสนใจเด็กหนุ่มๆในคณะฯหลายคน และหนึ่งในนั้นมีตัวเขารวมอยู่ด้วย ดังนั้นเวลาส่งงานหรือรับงานเขาจึงต้องลากฤดีไปด้วยเสมอ หากแต่ในวันนี้เขาเร่งรีบจนลืมเพื่อนสาวไปเสียสนิท อีกอย่างเขาไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้
เพี๊ยะ! เสียงหลังมือกระทบแก้มเนียนจนเจ้าของหน้าหัน แก้วตามองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าอาจารย์อย่างไม่เชื่อสายตา
“ถ้าอยากจะได้คะแนนดีๆก็ยอมฉันซะซิ” น้ำเสียงแหบปร่าผิดไปจากยามปรกติ เขาจ้องมองใบหน้าตื่นตระหนกของเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่าน
“ผมจะฟ้องท่านอธิการว่าคุณเอาเรื่องแบบนี้มาขู่นักศึกษา!”
“เธอขู่ฉันรึ?”
“ผมไม่ได้ขู่ แต่ผมทำจริงถ้าอาจารย์คิดจะทำสิ่งไม่ดี แต่ถ้าคุณหยุดซะผมก็จะไม่พูดเรื่องนี้” แก้วตาเอ่ยต่อ กิตติมีท่าทีตกใจยามเมื่อเขาเอ่ยว่าจะฟ้องอธิการ
“จริงหรือ? เธอจะไม่บอกท่านอธิการจริงนะ?” กิตติมีท่าทีอ่อนลง เขาไม่ก้าวเท้าเข้าหาเด็กหนุ่มอีก
“ครับ” แก้วตาผ่อนลมหายใจโล่งอก ดูเหมือนกิตติจะกลัวท่านอธิการมากอยู่
“รูปของเธออยู่ตรงนั้น” กิตติชี้ไปยังมุมห้อง รูปภาพของแก้วตายังคงถูกผ้าขาวคลุมเอาไว้เช่นเดิมหลังจากตรวจให้คะแนนตั้งแต่วันแรกที่เด็กหนุ่มเอามาส่ง หากแต่เพราะเขารู้สึกแย่ที่จะต้องเปิดภาพเอาไว้ เหมือนมีใครบางคนจ้องมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ เหมือนกับมีใครคนอื่นในห้องเวลาเขานั่งทำงานคนเดียว...กิตติจึงเอาผ้ามาคลุมภาพทุกภาพที่เป็นภาพคนเอาไว้ทั้งหมด
แก้วตาหันไปยังมุมห้องที่กิตติชี้ เขาดึงผ้าคลุมออกก่อนจะมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมในอก เด็กหนุ่มยิ้มกับภาพวาดนั้น ยื่นมือคว้าหากแต่แล้วเขาต้องตกใจเมื่อจู่ๆก็ถูกผ้าเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกจากทางด้านหลัง กลิ่นแปลกๆจากผ้านั้นถูกสูดเข้าปอดเพราะเขาไขว่คว้าหาอากาศ ความรู้สึกมึนงงจู่โจมก่อนสติจะดับวูบลง...
กิตติมองร่างเพรียวของเด็กหนุ่มในอ้อมแขนด้วยความรู้สึกสมใจ แล้วยัดผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นลงในกระเป๋ากางเกงตัวเอง เขาทรุดตัวลงนั่งประคองร่างเล็กไม่ปล่อย มือกร้านจับปลายคางได้รูปแล้วพิศใบหน้าเนียนของคนหมดสติด้วยความหลงใหล นิ้วยาวแตะเลื่อนปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ดๆ ลมหายใจของเขาติดขัดด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่าน อารมณ์ความต้องการทะยานสูงจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ก่อนจะโน้มตัวลงสูดดมกลิ่นหอมหวานจากลำคอระหง
“แก้ว เธอหอมยิ่งกว่าใครๆที่ฉันเคยเจอเสียอีก” กิตติพึมพำพร่ำเพ้อเหมือนคนเมา ปลายจมูกเลื่อนขึ้นหวังสัมผัสแก้มเนียนหากแต่ต้องชะงักเมื่อดวงตาเรียวของคนที่น่าจะหมดสติเบิกโพลงขึ้นมา
“!” มือขาวของแก้วตาผลักร่างที่คร่อมตนไว้กระเด็นไถลไปไกล กิตติซึ่งตอนนี้ตกใจเบิกตามองร่างตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา เด็กหนุ่มไม่มีทีท่าอ่อนแรงสักนิด หนำซ้ำเรี่ยวแรงยังมากกว่าคนปรกติเสียอีก เมื่อครู่เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดสติไปแล้วนี่นา!
“ไอ้คนต่ำช้า มึงคิดจะกระทำสิ่งใดกับคุณแก้ว!” เสียงทุ้มตวาดก้อง ดวงตาเรียวบัดนี้กลายเป็นสีแดงฉานจ้องเขม็งยังร่างของกิตติ
“แก้ว เธอเข้าใจผิดนะ ฉันแค่เห็นว่าเธอเป็นลม...”
“ไอ้คนโกหก! มึงคิดไม่ดีกับคุณแก้ว คิดจะล่วงเกินเธออย่างนั้นรึ!” เสียงทุ้มยังคงตวาดออกมาจากริมฝีปากอิ่มของเด็กหนุ่ม หากแต่ไม่ใช่เสียงเดิมอย่างที่กิตติเคยได้ยิน ไม่ใช่เสียงที่เขาชื่นชอบนักหนา มันไม่ใช่เสียงของแก้วตา หนำซ้ำดวงตาเรียวแดงก่ำราวกับเลือดนั้นช่างน่ากลัวนัก!
“อึ่ก! ไม่ เดี๋ยว...” กิตติเอ่ยระร่ำระลัก เขาก้าวเท้าหนีเมื่อแก้วตาย่างเท้าเข้าหา หากแต่หนีไม่พ้นจนถูกมือเล็กนั้นจับเข้าที่ลำคอ แรงบีบเพิ่มมากขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก “อย่า...ช่วยด้วย!” ถ้อยคำอ้อนวอนไม่เล็ดลอดเมื่อเจ้าของแขนขาวยกตัวของกิตติให้ลอยขึ้นจากพื้นช้าๆ
“มึงมันระยำ! ไอ้คนชั่วช้า! คุณแก้วเธอเป็นคนรักของคุณพระนายหาใช่คนต่ำช้าเช่นมึงไม่!”
“อ่อก!” กิตติตาเหลือก อากาศที่ไหลเข้าปอดลดน้อยลงทุกที
“แสน ปล่อยมันก่อน!”
“แต่ว่า...”
“ฉันบอกให้ปล่อย!” เสียงอันไร้ที่มาตวาดก้องให้มือขาวของแก้วตาหลุดจากลำคอของกิตติ ชายหนุ่มทรุดลงกองกับพื้นไอโขลกต้อนอากาศเข้าปอดอย่างกระหาย ไม่กล้าเหลือบมองแก้วตาซึ่งบัดนี้เขาแน่ใจแล้วว่าร่างตรงหน้าไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เขาต้องตาคนนั้น
“ไปเสีย ก่อนที่กูจะบีบคอมึงจนตายเสียตรงนี้!” เสียงนั้นยังคงออกมาจากริมฝีปากของเด็กหนุ่ม กิตติคลานหนีออกมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้หรอกว่าเหตุใดเจ้าสิ่งที่อยู่ในร่างของแก้วตาจึงปล่อยเขา เขาต้องหนี! แต่...
พลั่ก! ร่างของแก้งตาเซถลาไปด้านหน้าเมื่อโดนกิตติทุบสองมือจากทางด้านหลัง ก่อนเขาจะคว้าเอารูปของเด็กหนุ่มวิ่งหนีออกไป
“คุณใหญ่ขอรับ!” ร่างของแก้วตาหันมามองความว่างเปล่าข้างกาย
“ปล่อยมันไปก่อน”
“แต่ว่ามันทำร้ายคุณแก้วนะขอรับ เหตุใดท่านจึงใจดีปล่อยมันไปเช่นนั้น”
“ฉันน่ะหรือปล่อย?”
“แล้วคุณใหญ่ห้ามไอ้แสนทำไมขอรับ เหตุใดไม่ปล่อยให้กระผมบีบคอมันให้มันตายเสียตรงนี้” เสียงทุ้มจากร่างเล็กเอ่ยต่ออย่างไม่พอใจ มองความว่างเปล่าข้างกายด้วยสายตาต่อว่า
“ฉันห้ามแกหรือแสน? ฉันห้ามแก้วตาต่างหาก” ดวงตาแดงก่ำมีแววฉงนเล็กน้อยก่อนจะพราวระยับเมื่อคิดบางอย่างได้ “เข้าใจหรือยัง?”
“เข้าใจแล้วขอรับ” ร่างของแก้วตาล้มตัวลงนอนกับพื้นเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกของฤดีแว่วมา ความว่างเปล่าที่มีเสียงวาจาเมื่อครู่เกิดเป็นเค้าร่างชายหนุ่มสูงโปร่งทอดกายลงนั่งข้างๆร่างเล็ก มือขาวยกศีรษะได้รูปนั้นขึ้นวางบนตักพลางก้มลงมองใบหน้าที่หลับตาพริ้มด้วยสายตาอ่อนโยน แตะแก้มเนียนที่ขึ้นรอยปื้นแดงแผ่วเบา พลันดวงตาอ่อนโยนเมื่อครู่จึงกร้าวแข็งขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว นำพาให้กระดาษรูปภาพในห้องปลิวว่อนแทบหลุดจากเฟรมก่อนทุกอย่างจะเงียบสงบลงเมื่อฤดีย่างเท้าเข้ามาในห้อง
ถึงตัวพี่นี้จะตายไม่วายรัก จะไปฟักฟูมเฝ้าเป็นเจ้าของ
แม้นชายอื่นชื่นชอบมาครอบครอง จะทุบถองถีบผลักแล้วหักคอ
“แก้ว!” หญิงสาวถลาเข้ามาหาร่างของเพื่อนที่นอนนิ่งบนพื้น มองไปรอบห้องก็ไม่เห็นอาจารย์กิตติจึงเข้าใจว่าเพื่อนเป็นลมจากอาการไข้ที่เพิ่งหาย เธอร้อนใจด้วยความเป็นห่วง เขย่าแขนก็ไม่มีทีท่าว่าแก้วตาจะรู้สึกตัวพลันโล่งอกเมื่อเห็นพี่ชายเดินเข้ามาในห้อง ฝ่ายนั้นก็ตกใจไม่แพ้กันก่อนจะอุ้มร่างของเด็กหนุ่มกลับไปยังรถแล้วขับไปยังโรงพยาบาลทันที
ระหว่างทางฤดีโทษตัวเองว่าถ้าเธอไม่มัวแต่คุยกับญาติสาวแก้วตาคงไม่นอนเป็นลมอยู่บนพื้นคนเดียวแบบนี้จนชายต้องคอยปลอบ ทั้งสองพี่น้องลืมเรื่องภาพวาดต้นเหตุที่แก้วตารีบร้อนมาเอาไปเสียสนิท กว่าจะนึกได้ก็เมื่อแก้วตาลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนค่ำวันนั้น เด็กหนุ่มดื้อดึงจะกลับไปเอารูปภาพให้ได้จนฤดีอ่อนใจอาสาไปเอาภาพดังกล่าวกับพี่ชายมาให้เพื่อน
“ไม่มีอย่างนั้นหรือ?” แก้วตาเอ่ยถาม ดวงตาเรียวตระหนกหวาดหวั่น ยิ่งเมื่อฤดีพยักหน้ารับเขาก็แทบจะถลาลงเตียงเพื่อกลับไปหารูปภาพด้วยตัวเอง ความรู้สึกราวกับบางอย่างหล่นหาย ร้อนรนอยู่ไม่ได้ หากไม่ได้พบก็คล้ายจะขาดใจ... ความรู้สึกที่แก้วตาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงล้นขึ้นมาในอกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งๆที่เป็นเพียงแค่ภาพวาด เขาจะวาดเมื่อใดอีกก็ได้..แต่..ถ้อยคำสัญญานั้นต่างหากที่ทำให้เขากำลังเจ็บปวด
“แก้ว อย่าดื้อนะ! ถึงขนาดเป็นลมแบบนั้นเราไม่ให้เธอไปหรอก!” ฤดีดุเพื่อน ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากหาภาพของเพื่อนให้แต่จะปล่อยคนป่วยลุกออกไปตากน้ำค้างกลางดึกได้อย่างไรกัน อีกอย่างเธอกับพี่ชายก็หากันจนค่ำถ้าจะเจอคงเจอไปนานแล้ว เว้นเสียแต่ว่าจะไปหาที่บ้านของตาอาจารย์กิตตินั่น
“เป็นลม?” เด็กหนุ่มทวนคำเพื่อน เขาจำได้ว่าไม่ได้เป็นลม หากแต่โดน...ทำให้หมดสติต่างหาก ตอนตื่นขึ้นมาเขาสำรวจร่างกายตัวเองก็ไม่เห็นสิ่งแปลกประหลาดหรือมีอะไรผิดปรกติจึงคิดว่าฤดีน่าจะเข้ามาช่วยเขาไว้ทัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนั้นให้ใครฟังเพราะไม่อยากให้ทุกคนไม่สบายใจ
“ใช่ เรากับพี่ชายเป็นห่วงมากเลยนะ” ฤดีไม่วายทำคะแนนให้พี่ชายตัวเองด้วย
“นั่นซิแก้ว ลูกป่วยอยู่นะอย่าดื้อนักเลย” เพ็ญจันทร์ช่วยเอ็ดอีกคน เธอส่ายหน้าอ่อนใจกับอาการดื้อดึงของบุตรชายนัก
“แต่...ฉันบอกเขาว่าจะไปรับ” แก้วตาเอ่ยเสียงเบา
“นี่ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนะเธอจะไปรับใครกัน” ฤดีเอ่ยถามเสียงดัง ชายที่ยืนฟังอยู่ไม่ได้ห้ามอีกเพราะเขาเองก็อยากรู้
“ก็เขา เขารออยู่...” อีกครั้งที่แก้วตาคล้ายไม่รู้ตัว เขาพึมพำ
“ใครหรือครับแก้ว ใครรอให้แก้วไปรับ?” ชายรั้งแขนน้องสาวให้ออกห่างแล้วเปลี่ยนเป็นคนถามเมื่อฤดีทำท่าโมโหเพราะแก้วตาเอาแต่พูดซ้ำไปซ้ำมา
“ครับ?” เด็กหนุ่มเงยหน้ามองชาย เลิกคิ้วแปลกใจเมื่อร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงแล้วจ้องหน้าเขา
“แก้วบอกว่า เขารออยู่ เขาคือใครหรือครับ แก้วจะไปรับใคร?” ชายพยายามใจเย็นค่อยๆถามเด็กหนุ่มที่ขมวดคิ้วส่งมาให้
“เปล่านี่ครับ” แก้วตายังมีสีหน้างงงวย มองหน้าเพื่อนกับพี่ชายสลับไปมาและสุดท้ายที่มารดา แววตาใสซื่อบอกว่าเขาไม่ได้โกหกหากแต่ไม่เข้าใจคำถามของคนตรงหน้าจริงๆ ชายถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นแตะหน้าผากเนียนก่อนจะหันมาทางเพ็ญจันทร์และน้องสาว
“ไข้ขึ้นน่ะ”
“อ้อ มิน่าล่ะถึงเพ้อแบบนี้” ฤดีถอนหายใจ ก่อนจะโบกมือไล่พี่ชายให้ไปขอยาลดไข้แล้วช่วยเพ็ญจันทร์เช็ดตัวให้แก้วตา บังคับกินยาแล้วจึงค่อยโล่งใจเมื่อคนบนเตียงหลับไปแล้วนั่นล่ะ
โปรดติดตามกาลต่อไป
มีอะไรติ-ชมกันได้นะคะ