UNBELIEVABLE LOVE
Epilogue
"RRRRRR… RRRRRR… RRRRRR…"
เสียงโซโลกีตาร์โหดๆ แบบนี้ ไม่ใช่ของผมแน่ๆ ครับ… และในเมื่อไม่ใช่ของผม ผมเลยนอนต่อ
แต่…
"RRRRRR… RRRRRR…RRRRRR…"
นอนไม่ได้อะ
ยังไม่อยากลืมตาครับ ควานมือหาเจ้าของมือถือก่อน แต่ไม่เจอ ผมเลยหรี่ตาขึ้นข้างหนึ่ง กวาดตามองไปทั่วห้อง…
อ้าว เจ้าของมือถือ หายไปไหนซะล่ะ?
คราวนี้ลุกขึ้นมานั่งเลยครับ… เอื้อมไปหยิบมือถือที่วางอยู่ตรงหัวเตียงมาดู เมื่อเห็นว่าชื่อที่โทรเข้าเป็น ‘Mom’ ก็เลยกดรับ “ครับ?”
ปลายสายนิ่งไปนิด ก่อนจะถาม [ใครรับสาย น้องพุหรือเปล่าลูก?]
“ครับ พุเอง พี่เล่ย์ไม่อยู่ ไม่รู้ไปไ- อ้าว มาพอดีเลยครับ แป๊บนะครับ” ยื่นมือถือให้กับเจ้าของที่เพิ่งเปิดประตูห้องเดินเข้ามา แล้วผมก็บอก “แม่ครับ” ก่อนจะซุกตัวลงไปในผ้านวมใหม่อีกรอบ แต่มันยังไม่หลับ เลยได้ยินบทสนทนาของคนที่นั่งเอนๆ อยู่ข้างตัวชัดแจ๋ว
“ครับ? วันไหน?… อืม… ไอ้เกียร์ล่ะ?... ครับ… ซื้อก็ได้มั้ง… อืม… งั้น เดี๋ยวลองดูก่อน ถ้าไม่ได้ค่อยพาไปตัด… ครับ… ครับ…คร๊าบบ… หึ หึ… บายครับ” แล้วพอวางสายปุ๊บ คนขี้แกล้งก็หันมาจี๋เอวผมทันที “ตื่นได้แล้ว ไอ้เด็กขี้เซา นอนกินไปครึ่งประเทศแล้ว”
ผมดิ้นหนี “อื้อ ง่วงงงง”
“ง่วงอะไร นอนไปจะสิบชั่วโมงอยู่แล้ว ลุกเร็ว”
“อีกครึ่งชั่วโมง”
ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ แล้วเจ้าของเสียงก็บ่น “ต่อรองทุกเรื่องจริงๆ”
แต่ผมไม่สนใจตอบโต้ เพราะเดี๋ยวจะไม่ได้นอน
“ไปไหนกันวะ?” เสียงไอ้ซอลร้องทัก เมื่อผมกับพี่เล่ย์เดินลงมาจากห้องด้วยชุดออกจากบ้าน คือ เสื้อเชิ๊ตสำหรับพี่เล่ย์ และกางเกงยีนส์สำหรับผม
ถ้าอยู่บ้าน ปกติผมใส่แต่กางเกงขาสั้นครับ ถ้าออกจากบ้านถึงจะใส่กางเกงยีนส์ ส่วนอีกคนเขาใส่ยีนส์เป็นปกติชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่จะใส่คู่กับเสื้อยืด ถ้าวันไหนเห็นใส่เชิ๊ตนั่นแสดงว่ากำลังจะออกจากบ้านครับ
“เซ็นเวิร์ล ไปป๊ะ?” ผมถาม
ไอ้ซอลส่ายหน้า “ไปนานป๊ะ”
ผมหันไปมองพี่เล่ย์เพื่อให้อีกฝ่ายตอบ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่านานหรือเปล่า “อาจจะนาน”
“เออ ถ้านานก็ไม่เป็นไร”
“มึงจะเอาไร”
“ว่าจะฝากซื้อขนมซักหน่อย”
“เอาไรล่ะ เดี๋ยวซื้อมาฝาก”
“อยากกินเค้ก”
“เค้กไรล่ะ?”
“กูไม่รู้ชื่ออะ รู้แต่ว่ามันเป็นทรงกลมเรียบๆ ขนาดนี้” มันทำมือประกอบ แล้วอธิบายต่อ “เนื้อมันจะนุ่มๆ สีเหลืองๆ น้ำตาลๆ อะ”
ผมกับพี่เล่ย์มองหน้ากัน “รู้จักป๊ะ?”
ผมส่ายหน้า “เค้กฟักทองเหรอ กลมๆ เหลืองๆ”
“หึ หึ” พี่เล่ย์หัวเราะขำ แต่ไอ้ซอลมันด่า เพราะมันเกลียดฟักทอง คึคึ“ไอ้บ้า ไม่ใช่เว้ย” ก่อนจะเสริม “มึงไปเดินดูเหอะ ถ้าเห็นแล้วมึงจะต้องรู้”
“แล้วมันอยู่ชั้นไหน?”
“ชั้นที่มีร้านขายเค้กเยอะๆ ไง”
พี่เล่ย์ส่ายหน้า “กูจะหาให้มึงได้มั้ยเนี่ย”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“เดี๋ยวเก็บตรงนี้นิดนึงก็พอดีแล้วค่ะ” พนักงานขายบอก
พี่เล่ย์พยักหน้า แล้วถาม “ต้องใช้เวลานานหรือเปล่า”
“ไม่นานค่ะ รับรองไม่เกินหนึ่งชั่วโมง… ระหว่างนี้คุณผู้ชายกับคุณน้องก็ไปเดินดูอะไรเล่นๆ รอก่อนก็ได้ค่ะ แล้วทิ้งเบอร์โทรไว้ เสร็จแล้วดิฉันจะรีบโทรไปบอก”
แต่พี่เล่ย์ปฏิเสธ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวอีกชั่วโมงพวกผมเดินกลับมาเอง”
“อย่างนั้นก็ได้ค่ะ” พนักงานขายบอกด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะผายมือเชิญ “งั้นรบกวนชำระค่าสินค้าที่เคาน์เตอร์ค่ะ”
เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินออกมาจากร้านเพื่อหาอะไรทำฆ่าเวลาระหว่างรอให้พนักงานแก้ชุดสูทที่ซื้อเสร็จ
สรุป ที่แม่พี่เล่ย์โทรมาเพราะต้องการให้พี่เล่ย์พาผมไปตัดสูทครับ วันศุกร์ที่จะถึงนี้มีงานเลี้ยง แต่พี่ท่านกลัวไม่ทันเลยพามาซื้อแบบสำเร็จรูปแทน…
“หิวมั้ย?”
ผมส่ายหน้า ก่อนจะนึกถึงเค้กที่ไอ้ซอลฝากซื้อได้ “แต่ต้องไปหาซื้อเค้กให้ไอ้ซอล”
“อืม… น่าจะอยู่ชั้นล่างนะ ตรงฟู๊ดคอร์ทน่าจะมี”
“ชิมได้นะคะ” พนักงานขายเชิญชวนด้วยรอยยิ้ม
ผมหยิบส้อมพลาสติกอันเล็กจิ้มเค้กที่อยู่ในถาดสำหรับชิมเข้าปาก… เคี้ยวๆ พอรู้รสก็กลืนลงคอ ก่อนจะหยิบส้อมอันใหม่ จิ้มเค้กอีกรส… เคี้ยวๆ พอรู้รสก็กลืนลงคอ ก่อนจะหยิบส้อมอันใหม่ จิ้มเค้กอีกรส
“อืม…”
“อิ่มพอดี ไม่ต้องซื้อ” พี่เล่ย์แซวขำๆ
ไม่สนใจ ผมชี้ไปยังเค้กที่จำได้ว่าชิมแล้วอร่อยสามรส “เอาอันนี้ อันนี้ แล้วก็อันนี้ครับ” ก่อนจะหันไปทางเจ้ามือแล้วกระดิกนิ้ว “พูดมาก เอาตังค์มาเลย”
เจ้ามือส่ายหน้า แล้วก็หัวเราะหึๆ หยิบธนบัตรสีเทาออกมาจากกระเป๋ายื่นให้ ก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบ “ต้นไม่ต้องคืน แต่ดอก พี่ขอเก็บคืนนี้”
มือที่กำลังรับแบงก์มาจากอีกฝ่ายชะงักกึก “เฮ้ย งั้นไม่เอา พุจ่ายเองก็ได้”
“ให้ไปแล้ว ไม่รับคืน” คนเจ้าเล่ห์ว่า แล้วก็ยักคิ้วกวนๆ
ทำอะไรไม่ได้ เพราะยังไงก็หนีไม่พ้น ผมเลยคิดจะเอาให้คุ้ม “โอเค๊… งั้นวันนี้ เตรียมควักไว้เลย”
“ควักอะไร ระบุด้วย” พี่เล่ย์กระซิบถาม
ผมที่กำลังอ้าปากจะตอบชะงักกึกเมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่าย เพราะเก็ทแล้วว่าหมายถึงอะไร “เฮ้ย!” และเสียงมันคงจะดังไปหน่อย คนที่ยืนอยู่โดยรอบถึงได้หันมามองเป็นตาเดียว
ผมรีบทำทีเป็นสนใจกับเค้กในตู้กระจก แล้วลอบมองคนที่ยืนอมยิ้มอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาอาฆาต “พี่เล่ย์ ชอบแกล้งว่ะ”
“หึ หึ”
หลังจากหาเค้กที่คิดว่าไอ้ซอลต้องการเจอแล้วพวกเราก็เดินกลับไปที่ร้านที่ซื้อชุดไว้
เมื่อไปถึงทางร้านก็นำชุดมาให้ลอง ซึ่งผมก็ใส่ได้พอดีทั้งสองชุดที่เลือกไว้เลย…
วันนี้ที่มา ไม่ใช่ว่าผมได้ชุดคนเดียวนะครับ พี่เล่ย์ก็ได้เหมือนกัน แต่ของพี่ท่านไม่ต้องแก้ครับ เลือกสองชุด ก็ใส่ได้ทั้งสองชุด ไม่ต้องแก้เลย พนักงานชมไม่ขาดปาก ‘พอดีเป๊ะเลยค่ะ เหมือนตัดมาเพื่อคุณผู้ชายโดยเฉพาะเลย’
ชิ หมั่นไส้คนตัวสูง… ของผมสิ เลือกสองชุดก็ต้องแก้ทั้งสองชุดเลย
‘เสื้อผ้ามันไม่ได้มาตรฐานเนอะ’ มีเยาะเย้ยครับ ไอ้พี่บ้า
วันงาน ที่บ้านพี่เล่ย์...
“คนเล็กค่ะ ชื่อน้ำพุ”
ทุกคนที่ผมถูกแนะนำให้รู้จักก็ทำหน้างง คงสงสัยว่าแม่พิมไปมีลูกอีกคนตอนไหน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่ยิ้มรับและชวนพูดคุยตามมารยาท…
และเมื่อเดินหลบแขกคนล่าสุดมาได้ คนที่พาผมร่อนไปทั่วงานก็ถามอย่างเป็นห่วง “เหนื่อยมั้ยจ๊ะ?
“ไม่ครับ ไม่เหนื่อย”
แม่พิมเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะไม่เชื่อ แต่จริงๆ นะ ผมไม่เหนื่อยเลย ไม่ได้ไปแบกไปหามอะไรสักหน่อย แต่ที่เป็นอยู่ คือเกร็งครับ…
เกร็งจนเครียด
“อีกแป๊บเดียว เดี๋ยวแม่จะปล่อยให้ไปอยู่กับพี่เล่ย์” แม่พิมว่ายิ้มๆ เมื่อเห็นผมกวาดตามองไปทั่วงาน เพื่อหาใครบางคน
“หะ หะ” ผมหัวเราะเขินๆ ที่ถูกจับได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ไปจ๊ะ อีกคนเดียว เดี๋ยวปล่อยตัวละ” แม่พิมว่าหยอกๆ ก่อนจะเดินนำไปหาสาวใหญ่ท่าทางภูมิฐานคนหนึ่ง
“พี่เนตร สวัสดีค่ะ” ผมยกมือไหว้ตามแม่พิม แต่ไม่ได้พูดอะไร
คุณเนตรยกมือรับไหว้พวกเรายิ้มๆ “สวัสดีค่ะ คุณพิม… แล้วนี่พาใครมาแนะนำคะ?”
“อ๋อ นี่น้องพุค่ะ ลูกชายคนเล็ก”
ผิดกับแขกคนอื่นๆ ที่แค่ทำหน้าสงสัย แต่ก็ไม่มีใครถามไถ่ ปล่อยให้มันผ่านเลยไป… คุณเนตรเอ่ยถามตรงๆ “เอ๊ะ คุณพิมมีลูกสามคนหรือคะ นึกว่ามีแค่ตาเล่ย์กับตาเกียร์เสียอีก?”
คุณแม่ยิ้มรับ แล้วก็บอกตรงๆ เช่นกัน “คนนี้เพิ่งได้มาค่ะ ลูกชายคนใหม่ แฟนตาเล่ย์”
“อ๋อ…” คุณเนตรพึมพำออกมาแค่นั้น แล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ
ความเงียบเข้าครอบคลุมบทสนทนาชั่วครู่ ก่อนแม่พิมจะเอ่ยออกมา “แล้วคุณพี่ผู้ชายไปไหนซะล่ะคะ เมื่อกี้เห็นแว๊บๆ ว่าจะพาน้องพุมาแนะนำให้รู้จักซะหน่อย”
“อ๋อ อยู่ในห้องโน้นค่ะ” คุณเนตรชี้ไปยังห้องสมุดของบ้าน ก่อนจะว่าอย่างเอ็นดู “ไม่รู้ตาเล่ย์ไปทำเสน่ห์อะไรไว้ ตั้งแต่มาก็ไม่ยอมคุยกับใครเลย นอกจากลูกชายคุณพิม”
“คงจะคุยกันถูกคอแหละค่ะ กับพ่อเขาก็เหมือนกัน นั่งคุยกันเป็นวันๆ ไม่รู้มีเรื่องอะไรคุยกันนักหนา” แม่พิมว่ายิ้มๆ แล้วหันมาบอกผม “น้องพุอยากไปหาพี่เล่ย์ก็ไปเถอะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ขอคุยกับป้าเนตรก่อน”
“ครับ” ผมยกมือไหว้ลาคุณเนตร แล้วก็เดินตรงไปที่ห้องสมุด ก่อนจะชะงักอยู่แค่หน้าประตู เพราะนึกได้ว่าอีกฝ่ายมีแขกอยู่
“มานั่งทำไรตรงนี้ พี่เล่ย์ล่ะ?”
ผมหันหน้าไปมองเจ้าของเสียงคุ้นหู แล้วบอก “ในห้องสมุดครับ”
“แล้วไม่ไปหามัน?”
“พี่เล่ย์มีแขก”
พี่เกียร์เลิกคิ้วขึ้น “ใคร?”
“น่าจะเป็นสามีคุณเนตรอะครับ”
พี่เกียร์พยักหน้ารับรู้ “โอเค…” แล้วก็ดึงผมให้ลุกขึ้นยืน “ป่ะ”
เดินตามแรงรั้งของอีกฝ่าย ผมถามอย่างสงสัย “ไปไหนครับ”
“ก็ไปหาพี่เล่ย์ไง”
“แต่พี่เล่ย์มีแขก…”
พี่เกียร์ไม่สนใจคำโต้แย้งของผม ผลักห้องสมุดเข้าไป แล้วพูดเสียงดังปกติ “พี่เล่ย์ มีคนมาหา”
คนที่กำลังนั่งคุยอยู่กับหนุ่มใหญ่รุ่นราวคราวเดียวกันกับพ่อของผมหันมามอง แล้วยิ้มให้น้อยๆ “อ้าว แม่ยอมปล่อยมาแล้วเหรอ”
ผมยิ้มตอบ แล้วยกมือไหว้คนแปลกหน้า “สวัสดีครับ”
“แฟนผม” คำแนะนำของพี่เล่ย์ ทำให้รอยยิ้มและมือที่ยกขึ้นมารับไหว้ชะงักค้างไปชั่วขณะ ก่อนที่หนุ่มใหญ่ผู้เป็นแขกจะปรับสีหน้าและท่าทางให้เป็นปกติได้ “สวัสดี”
พี่เล่ย์ดึงผมให้นั่งลงข้างๆ แล้วแนะนำคนที่นั่งอยู่ด้วยให้ผมรู้จัก “คุณภูมินทร์เป็นพ่อเฮียแพท” ก่อนจะบอกอีกฝ่าย “แฟนผมเป็นหลานรหัสของลูกคุณ”
“อ้อ ใช่ที่ชื่อพุหรือเปล่า เห็นตาแพทพูดถึงบ่อยๆ”
ผมพยักหน้ายืนยัน “ใช่ครับ” แต่ในใจกำลังตงิดๆ กับคำแนะนำของพี่เล่ย์อยู่
พ่อเฮียแพท?
ถ้าผู้ชายคนนี้เป็นพ่อเฮียแพท… งั้นก็ต้องเป็นพ่อพี่เล่ย์ด้วยสิ
พอรู้ว่าคนๆ นี้เป็นพ่อพี่เล่ย์ ผมก็รู้สึกเครียดขึ้นมาทันที…
ตอนแรกก็เกร็งอยู่แล้วครับ แต่ตอนนี้ทั้งเกร็งทั้งเครียดเลย…
“พี่เล่ย์?”
“หืม?”
ตะแคงตัวมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ แล้วผมก็ตัดสินใจถาม “คุณภูมินทร์เป็นพ่อพี่เล่ย์ใช่มั้ย?”
“อืม…” อีกฝ่ายตอบรับอยู่ในลำคอ
ผมพยักหน้าเข้าใจ “โอเค...” ดึงแขนยาวๆ ที่พาดอยู่ตรงเอวมากอดไว้ แล้วหลับตาลง
“แค่เนี้ย?”
“อือ ฮึ” ก็แค่อยากรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่… แค่นี้จริงๆ
พี่เล่ย์หัวเราะหึๆ แล้วถามบ้าง “วันนี้เป็นไง เหนื่อยมั้ย?”
ผมสั่นศีรษะ ตอบทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ “ไม่เหนื่อย แต่เกร็ง”
“เกร็งอะไร?”
“เอ้า ก็มีแต่พวกคุณหญิงคุณนาย ไฮโซไฮซ้อ พุก็เกร็งดิ”
“เฮียแพทก็ไฮโซ ทำไมพุไม่เกร็ง”
“มันไม่เหมือนกัน อันนั้นเขาเป็นลุงรหัส แต่อันนี้เขาทำธุรกิจกับพ่อกับแม่ไง เผื่อพุพูดอะไรผิดไป เขาถอนหุ้น เลิกทำการค้ากับพ่อ ทำไงล่ะ?”
พี่เล่ย์หัวเราะขำ ก่อนจะบอก “มิน่าว่าทำไมพุไม่ค่อยพูด ยังคิดว่าใครมาสลับตัวกับแฟนพี่หรือเปล่าวะ”
“ปกติพุก็ไม่ค่อยพูดเหอะ”
“จริงอะ?”
ต่อยแขนคนช่างว่าที หมั่นไส้ “นี่แนะ… ว่าพุพูดมากเหรอ”
คนโดนต่อยไม่สะทกสะท้านเพราะหนังหนา“หึ หึ ไม่ได้ว่าพูดมาก…” หยุดเพื่อให้เราสนใจ ก่อนจะบอก “แค่พูดเยอะ”
“พี่เล่ย์!” ต่อยไปอีกที… แต่ก็บอกแล้วไงว่าหนังหนา ไม่รู้สึกร๊อก
“หึ หึ”
หลังจากที่แกล้งกันจนผมคนเดียวที่เหนื่อยพวกเราก็นอนเงียบๆ
ไม่ได้หลับ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกัน…
ไฟในห้องปิดมืด มองเห็นหน้ากันเพียงลางๆ แต่เพราะปลายนิ้วที่ม้วนพันเส้นผมเล่นไปมา ยังไม่ยอมหยุดขยับ เลยทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่หลับ…
“พี่เล่ย์?”
“หืม?”
“พุมีความสุขจัง” มีความสุขมากๆ สุขจนล้น สุขจนไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง
ไม่อยากจะเชื่อ...ผู้ชายที่แสนเพอร์เฟ็คคนนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา
ไม่อยากจะเชื่อ...ผู้ชายคนนี้เป็นคนรักของผมจริงๆ
ไม่อยากจะเชื่อ...กับความโชคดีของตัวเอง
จะมีสักกี่คนที่โชคดีแบบผม…ได้อยู่กับคนที่ผมรัก และเขาก็รักผม… ครอบครัวทั้งสองฝ่ายยอมรับและเข้าใจ… เพื่อนสนิทไม่รังเกียจ แถมสนับสนุนด้วย
ถ้าหากนี่เป็นเพียงฝันแสนหวาน ก็ขออย่าให้ผมต้องตื่นขึ้นมาเลย
พี่เล่ย์พลิกตัวมาหา… วางศอกทั้งสองข้างคร่อมตัวผมไว้
ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากของเราทั้งคู่ นอกจากประกายตาแวววาวในความมืด…
นิ้วเรียวยาวปัดผมปอยหนึ่งที่ปรกระหน้าผากออกให้ ก่อนเจ้าของนิ้วจะก้มลงมาหา จนปลายจมูกของเราทั้งสองคนสัมผัสกัน เสียงตอบรับจึงถูกกระซิบขึ้นเบาๆ “พี่ก็มีความสุข”
ความสุขอัดแน่นอยู่ในอกจนแทบระเบิด ผมยกแขนขึ้นโอบรอบคอของอีกฝ่าย แล้วกระซิบบอก “พุรักพี่เล่ย์”
“ครับ พี่รู้…” พี่เล่ย์พูดด้วยรอยยิ้ม ที่ทำให้มองเห็นฟันขาวๆ ในความมืด “พี่ก็รักพุเหมือนกัน”
“อย่าทิ้งพุนะ” ผมบอกเสียงแผ่ว กระชับแขนที่โอบอยู่รอบคอหนาแน่นขึ้น ด้วยรู้สึกหวาดหวั่น ไม่อยากจะปล่อยมือเพราะกลัวอีกฝ่ายจะหลุดลอยหายไป
“พี่สัญญา…”
“……………”
“ให้ตายพี่ก็ไม่ทิ้ง”
http://www.youtube.com/v/niuRH8ZQ7eY?version=3&hl=en_US&rel=0" type=
Song Credit: รักเธอมากกว่าเมื่อวาน by KICK KICK +++++unbelievablelove+++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่าน แล้วเจอภาคต่อไป ^^